25 กุมภาพันธ์, 2568

ประวัติอำเภอจุฬาภรณ์

ประวัติความเป็นมา อำเภอจุฬาภรณ์ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๔ ตำบลสามตำบล มีประวัติเชิงตำนานของไสว วังปรีชา ว่า ครั้นกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ นั้น พม่าได้เผากรุงศรีอยุธยาเสียหายย่อยยับ ประชาชนและท้าวพระยามหากษัตริย์ต่างหลบลี้หนีภัยไปคนละทิศละทางเพื่อเอาตัวรอดบ้าง เพื่อหาทางกู้บ้านกู้เมืองบ้าง ในจำนวนนั้นมีเจ้านาย ๒ องค์ ซึ่งไม่ทราบนามเดิมและฐานันดรศักดิ์ แต่คนทั่วไปเรียกองค์พี่ว่า "หม่อมเณรใหญ่" (ต้นตระกูลเณรานนท์) ส่วนองค์น้องเรียกกันว่า "หม่อมเณรน้อย" (ต้นตระกูลชัยพลบาล) ทั้ง ๒ พาลูกเมียและพรรคพวกประมาณ ๕๐๐ คน หนีรอนแรมลงมาทางภาคใต้จนมาถึงบริเวณใกล้คลองวังฆ้องในปัจจุบัน จึงให้ช่วยกันทำเพิ่งพักเพื่อค้างแรมแล้วจะเดินทางต่อไป ผู้ที่มีหน้าที่หุงหาอาหารไม่สามารถหาน้ำได้ จึงต้องนอนท้องเปล่ากันทุกคน ครั้นตอนดึกทั้งหมดได้ยินเสียงกบร้องมาทางทิศใต้ หม่อมเณรน้อยรู้ได้ทันทีว่ามีแหล่งน้ำอยู่ไม่ไกลนัก จึงสั่งให้คนทำคบไม้ไผ่จุดไฟส่องทางเดินไปตามเสียงกบร้อง ก็พบลำธารใหญ่ น้ำใสสะอาด คือ "คลองวังฆ้อง" จึงได้น้ำมาปรุงอาหารตามต้องการรุ่งเช้าหม่อมทั้งสองพร้อมด้วยญาติมิตรได้ช่วยกันเดินสำรวจบริเวณรอบที่พัก เห็นเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสมสำหรับตั้งบ้านพักอาศัยอย่างถาวร จึงได้ร่วมกันดั้งมั่นอยู่ ณบริเวณดังกล่าว หม่อมเณรใหญ่ให้ผู้ติดตามมาทั้งหมดช่วยกันสำรวจพื้นที่สำหรับทำนา เพื่อจะได้อาหารหลักหม่อมไพนารถ บุตรหม่อมเณรใหญ่ พาพไปทางทิศอีสาน ถางป่าเบิกเป็นนาและตั้งบ้านพัก ณ บริเวณหมู่ที่ 9 บ้านวังไส ตำบลสามตำบลในปัจจุบัน ทุ่งนาที่เบิกคือ ทุ่งห้วยยาง ห้วยยม และทุ่งวังไส ส่วนที่พักของหม่อมไพนารถ ปัจจุบันเรียกว่า "บ้านเก่าไพนารถ" ส่วนบุตรชายอีกคนหนึ่งของหม่อมเณรใหญ่ คือ หม่อมไพบูลย์ หรือ "หม่อมบุญ" พาพรรคพวกไปทางทิศใต้ เบิกป่าเป็นนา ณ บริเวณหมู่ที่ ๒ ตำบลม"นาหมอบุญ" (ปัจจุบันคือ บ้านในวัง (หรือ วังบุญ) ริมคลองนาหมอบุญ ตำบลควนหนองหงษ์ อำเภอชะอวด) ทำนาตลอดไปจนถึงทุ่งนาหมอบุญ ทุ่งบ้านรั้ว ทุ่งลานควาย เป็นต้น ส่วนหม่อมชัยพลบาล บุตรของหม่อมเณรน้อย ได้พาพรรคพวกไปทางทิศตะวันออก ทำนาที่ทุ่งห้วยหุ่น ทุ่งไสใหญ่ ทุ่งลานควาย ทุ่งข่า เป็นต้น และสร้างที่พักอย่างถาวรอยู่บริเวณบ้านต้นเหรียงในปัจจุบันบริเวณที่พักของหม่อมเณรใหญ่ที่วังฆ้องนั้น ต่อมาทายาทได้ถวายเป็นที่วัด จึงชื่อว่า "วัดวังฆ้อง" และเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์บรรจุอัฐิของหม่อมเณรใหญ่ (องค์ทิศใต้) และของหม่อมเณรน้อย (องค์ทิศเหนือ) ปัจจุบันเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของหม่อมเณรใหญ่ถูกขุดทำลายไปหมดแล้ว คำเรียกว่า "สามตำบล" จึงเกิดจาก "วังฆ้อง" "วังไส"และ "วังบุญ" (นาหมอบุญ หรือ บ้านในวัง) ดังกล่าวแล้วและคงเรียกกันมาไม่ช้ากว่ารัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ดังที่ปรากฏในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๓ ทำเนียบข้าราชการนครศรีธรรมราช (พ.ศ.๒๓๕๔) กล่าวถึงที่สามตำบลว่า "ขุนฤทธิธานี นายที่สามตำบล ถือศักดินา ๖๐๐ ฝ่ายซ้ายหมื่นชนะบุรี รองที่สามดำบล ถือศักดินา ๓๐๐. สิริ ขุนหมื่น ที่ ร่อนสามตำบล ขุนสอง หมื่นสี่ รวมหกคน" อันนี้แสดงว่าในช่วงนั้นเรียกชื่อรวม ๆ กันว่า "ที่ร่อนสามตำบล" ถ้าจะเปรียบเทียบฐานะกับท้องที่ใกล้เคียงกันในขณะนั้น โดยเอาศักดินาของผู้ควบคุมดูแลเป็นเกณฑ์ ที่ร่อนสามตำบล จะเท่ากับที่พิปูน ที่กลาย (ต่อมาเป็นอำเภอกลายแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอท่าศาลา) และผู้ควบคุมมีศักดินาสูงกว่านายที่ร่อนเขาใหญ่(ศักดินา ๔๐๐) นายที่สิชล (ศักดินา ๔๐๐) เป็นต้น ต่อมาเมื่อต้นรัชกาลที่ ๕ ได้มีการปฏิรูปการปกครองได้รวมเขตพื้นที่ ๓ แห่ง คือ วังไส วังฆ้อง และนาหมอบุญเป็นแขวง เรียกว่า "แขวงสามตำบล" และต่อมาเปลี่ยนเป็น "ตำบลสามตำบล" ขึ้นกับอำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้มีพระราชกฤษฎีกาตั้งอำเภอเพื่อประโยชน์แก่การปกครองและความสะดวกของประชาชน โดยได้รับพระราชทานพระอนุญาตให้ใช้พระนาม ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ เป็นชื่ออำเภอว่า "อำเภอจุฬาภรณ์" (เป็นการตั้งอำเภอเป็นกรณีพิเศษ ที่ไม่ต้องผ่านขั้นตอนการเป็นกิ่งอำเภอตลาดนัดเพียงแห่งเดียวอยู่ที่บ้านสามตำบลของอำเภอจุฬาภรณ์เนื่องในวโรกาสมีพระชนมพรรษาครบ ๓ รอบ ใน พ.ศ.๒๕๓๖) ตั้งที่ว่าการอำเภออยู่ที่บ้านไสไม้เรียบ หมู่ที่ ๔ ตำบลสามตำบลห่างจากตัวจังหวัดนครศรีธรรมราช ๕๐ กิโลเมตร สภาพทั่วไป อำเภอจุฬาภรณ์ มีพื้นที่ทั้งหมด ๑๙๒.๕๐๕ ตารางกิโลเมตร อาณาเขต ทิศเหนือ ติดต่อตำบลร่อนพิบูลย์ ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ ทิศใต้ ติดต่อกับตำบลควนหนองหงษ์ ตำบลบ้านตูน อำเภอชะอวด ทิศตะวันออก ติดต่อกับตำบลควนชุม ตำบลควนพัง อำเภอร่อนพิบูลย์ และตำบลบ้านตูล อำเภอชะอวด ทิศตะวันตก ติดต่อกับตำบลน้ำตก อำเภอทุ่งสง และตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอจุฬาภรณ์ แบ่งเขตการปกครองเป็น ๖ ตำบล ๒๓ หมู่บ้าน มีตำบลสามตำบล ตำบลนาหมอบุญ ตำบลทุ่งโพธิ์ตำบลควนหนองหว้า ตำบลบ้านชะอวด และตำบลบ้านควนมุด สภาพของพื้นที่ในอดีตเคยเป็นแหล่งที่มีความกันดารเป็นเขตเคลื่อนไหวและต่อสู้ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ประสบกับปัญหาด้านความมั่นคง มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรของพื้นที่ ทำให้มีผลกระทบต่อการลงทุน เนื่องจากขาดแคลนแหล่งน้ำเพื่ออุปโภคและเพื่อการเกษตร น้ำใต้ดินและน้ำธรรมชาติไม่สะอาด มีธาตุเหล็กปนปริมาณสูงกว่าค่ามาตรฐาน และเนื่องจากสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม มีแนวภูเขาด้านทิศตะวันตกของพื้นที่ จึงเป็นที่รองรับน้ำฝนที่ตดกหนักและน้ำป่าที่ไหลหลากจากแนวภูเขา เสี่ยงต่ออุทกภัย และเนื่องจากทิศตะวันออกเป็นที่ราบไม่มีแนวกำบังลม เมื่อเกิดมรสุมหรือพายุจึงเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อวาดภัย สภาพภูมิอากาศ มีอากาศร้อนชื้นเป็นส่วนมาก แหล่งน้ำธรรมชาติมีคลองสายสำคัญ คือ คลองวังฆ้อง คลองท่ายาง มีป่าสงวนแห่งชาติ ได้แก่ ป่าเชิงเขานา ป่าช่องกะโสม และป่าอื่น ๆ คือ ป่าวังยวน ป่าควนประ ป่าช่องเขา ป่าไร่ใหญ่ ป่าควนขี้แรด ป่าควนนกจาบ และป่าปากอ่าว ปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีพื้นที่เพื่อเกษตรกรรมประมาณ ๙๙,๘๗๐ ไร่ ปลูกยางพาราประมาณ ๓๔,๖๘๓ ไร่ จำนวน ๒,๓๑๕ ครัวเรือน ทำนาข้าว ๔๒,๕๔๓ ไร่ จำนวน ๑,0๐๕ ครัวเรือน และไม้ผล ๑,๔๕๘ ไร่ จำนวน ๑,๒๑๑ ครัวเรือน ประชากรร้อยละ ๘๐ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้สุทธิเฉลี่ยคนละ ๑๐,๔๐๐ บาทต่อปี สถานที่สำคัญ ได้แก่ วัดวังฆ้อง ซึ่งเป็นวัดโบราณ และศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ดังกล่าวมาแล้ว (ณรงค์ บุญสวยขวัญ,ศรีประไพ สุวรรณประเสริฐ, กัญญา คงประมูล)
ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2522 นายจรง ชูกลิ่น และนายถวิล ช่วยเกิด อาศัยอยู่ใน หมู่บ้านคลองท้อนหมู่ที่ 9 ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เดินทางไปในป่าแถบหุบเขาช่องคอย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านโคกสะท้อน ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร บุคคลทั้งสองได้พบแผ่นหินกว้างใหญ่อยู่ใกล้กับร่องน้ำระหว่างหุบเขา แผ่นหินดังกล่าวมีความกว้าง 1.60 เมตร ยาว 6.83 เมตร หนา 1.20 เมตร บนแผ่นหินนั้นมีเส้นเป็นรอยลึกขีดไปมาเป็นรูปอักษร นั่นคือศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2523 นายอำไพ ขันทาโรจน์ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้ทราบเรื่องการพบศิลาจารึกหลักนี้ จากพระภิกษุเพิ่ม เจ้าอาวาส วัดหนองหม้อ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้รายงานให้นางกัลยา จุลนวล หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ทราบ และได้ออกสำรวจจารึกดังกล่าว 2 ครั้ง คือวันที่ 17 มกราคม 2522 และวันที่ 19 มกราคม 2523 พร้อมทั้งได้ทำสำเนา และถ่ายภาพศิลาจารึกนั้น และได้ส่งสำเนาจารึกพร้อมภาพถ่ายมายังกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2523 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2523 กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้ส่งสำเนาศิลาจารึกพร้อมภาพถ่ายมายังกองหอสมุดแห่งชาติ เพื่อให้เจ้าหน้าที่งานบริการหนังสือโบราณอ่าน-แปล เมื่อเจ้าหน้าที่อ่าน-แปลเสร็จแล้วได้ส่งคำอ่าน-แปลไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2523 นางจิรา จงกล ผู้อำนวยการกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้นำคำอ่า-แปล ศิลาจารึกหลักนี้ เสนอนายเดโช สวนานนท์ อธิบดีกรมศิลปากร เพื่อทราบเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2523 เมื่อนายเดโช สวนานนท์ ได้รับทราบแล้ว จึงได้ให้ใช้ชื่อศิลาจารึกหลักนี้ว่า “ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย” จากนั้น ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร กับชะเอม แก้วคล้ายจึงได้อ่านและแปลจารึกนี้ เพื่อพิมพ์เผยแพร่ในวารสารศิลปากร ปีที่ 24 ฉบับที่ 4 (กันยายน 2523) ลักษณะของศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยบ่งชัดว่า เป็นการสร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีง่ายๆ ไม่ปราณีตบรรจง ใช้แผ่นศิลาธรรมชาติที่มีอยู่ในบริเวณหุบเขานั้น เป็นที่จารึกรูปอักษรขึ้น 3 ตอน มีความหมายต่อเนื่องกัน แต่ขนาดของรูปอักษรไม่เท่ากัน ตอนที่ 1 มีขนาดของตัวอักษรสูง 25 เซนติเมตร มีอักษรข้อความ 1 บรรทัด ตอนที่ 2 ขนาดของตัวอักษรสูง 7 เซนติเมตร มีอักษรข้อความ 4 บรรทัด ตอนที่ 3 ขนาดของตัวอักษรเท่ากับตอนที่ 2 แต่มีอักษรข้อความเพียง 2 บรรทัด
ที่มา https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/detail.php?id=18952 https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/58