25 กุมภาพันธ์, 2568
อำเภอหัวไทร
อำเภอหัวไทร
ประวัติความเป็นมา
เดิมอำเภอหัวไทร ตั้งอยู่ที่บริเวณเขาพังไกร ก่อนเป็นอำเภอปรากฏในทำเนียบข้าราชการนครศรีธรรมราช พ.ศ.๒๓๕๔ (ครั้งรัชกาลที่ ๒) ว่า "ที่พังไกรท้ายวัง" มีหมื่นบาลธานีเป็นนายที่พังไกรท้ายวัง ศักดินา ๔๐๐ ฝ่ายซ้าย เป็นพื้นที่ที่ขึ้นกับกรมท้ายวัง เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีออกหลวงทิพรักษาเป็นกรมท้ายวัง ศักดินา ๑๒๐๐ ฝ่ายซ้าย มีที่บางจาก บางเคร็งที่พนางตุงและที่พังไกร รวม ๔ ตำบล สังกัดอยู่ในกรมนี้เฉพาะที่พังไกร นอกจากมีหมื่นบาลธานีเป็นนายที่แล้ว ยังมีหมื่นไกรบุรี ศักดินา ๒๐๐ เป็นรองที่พังไกรท้ายวัง และหมื่นโจม ศักดินา ๒๐๐ เป็นสมุห์บัญชี
ครั้นมีประกาศตั้งมณฑลนครศรีธรรมราชขึ้นเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ร.ศ.๑๑๕ (พ.ศ.๒๔๓๙) และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุขุมนัยวินิตเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นคนแรก ได้แบ่งเขตการปกครองเมืองนครศรีธรรมราชเป็นอำเภอด่างๆ ๙ อำเภอ คือ อำเภอกลางเมือง อำเภอเบี้ยซัด อำเภอร่อนพิบูลย์ เป็นแขวงชั้นกลาง อำเภอกลาย (ปากน้ำท่าสูง) อำเภอสิชล อำเภอลำพูน (ที่บ้านนา) อำเภอฉวาง อำเภอทุ่งสง และ "อำเภอเขาพังไกร" (ปัจจุบันคืออำเภอหัวไทร) เป็นแขวงชั้นนอกโดยเร่งดำเนินการแขวงชั้นในก่อน
รายงานการปฏิบัติราชการ ศ.ก.๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๔๐) ของพระยาสุขุมนัยวินิต ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครศรีธรรมราช ลงวันที่ ๔ ตุลาคม ร.ศ.๑๑๗ (พ.ศ.๒๔๔๑) ว่า ได้แบ่งแขวงตั้งกรมการอำเภอตลอดทั้งมณฑลเมืองนครศรีธรรมราช เดิมได้แขวงออกเป็น ๑๐ อำเภอ ครั้นภายหลังโปรดเกล้าฯ ให้ยกเกาะสมุยไปขึ้นกับมณฑลชุมพรเสียจึงยังคงเหลือ ๙ อำเภอ อำเภอลำดับที่ ๙ คือ "อำเภอเขาพังไกร เป็นแขวงชั้นนอก ต่อแดนเมืองพัทลุง เมืองสงขลานายก้านมหาดเล็ก บุตรพระดำรงค์เทวฤทธิ์ (กล่อม) เป็นนายอำเภอ ตั้งที่ว่าการที่เขาพังไกร"
อันนี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่า "อำเภอเขาพังไกร" ตั้งมาตั้งแต่ ร.ศ.๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๔๐)
รายงานฉบับเดียวกันนี้้พระยาสุขุมนัยวินิตกล่าวถึงสภาพท้องถิ่นนี้บางประการ เช่น การค้าขายว่า "เข้าเปลือกเข้าสารในแขวงอำเภอเขาพังไกร แลเบี้ยซัดมีมาก ซึ่งราษฎรพามาจำหน่ายที่ปากน้ำพนัง ลงเรือไปสิงคโปร์ เมืองแขกบ้างกรุงเทพฯ บ้าง..."
"..อำเภอเขาพังไกร ได้ขุดคลองขึ้น ๒ แห่ง คือ แห่งหนึ่ง ลำคลองปลายแม่น้ำพนังไปออกทะเลสาบที่บ้านระโนดซึ่งเป็นทางสำหรับไปมาระหว่างเมืองสงขลากับเมืองนครศรีธรรมราช เวลามรสุมนั้นคลองนี้ตื้นแลหญ้ารกมาก เวลาฤดูแล้งไปมาเป็นที่กันดาร ได้ขอแรงราษฎรชาวบ้าน พร้อมใจกันขุดที่ตื้นให้ลึกลงไปจากพื้นคลองเดิม ๓ ศอก กว้าง ๓ วา ขุดแล้ว ๑๒๒ เส้น ยังค้างอีก ๑๓๘ เส้น จะได้จัดการขุดต่อไป ที่ขุดแล้วนี้ระดูแล้งเรือจุเข้า ๑ เกวียนเดินได้ คลองนี้เรือเดินไปมามากเพราะไปเมืองสงขลา พัทลุงได้ตลอด
อีกแห่งหนึ่งปลายคลองบางตะพาน ที่จะไปเขาพังไกรที่ว่าการอำเภอนี้ตั้งอยู่นั้น คลองไปไม่ถึงจึงได้ขุดคลองต่อไป ๔๓ เส้น ลึก ๓ ศอก กว้าง ๖ ศอก ถึงที่ว่าการอำเภอแล้วเสร็จ"
พระยาสุขุมนัยวินิต ได้จัดทำบาญชีสำมะโนครัวเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา และเมืองพัทลุง เมื่อปี ร.ศ.๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๔๐) ในส่วนที่เกี่ยวกับอำเภอเขาพังไกรเป็นลำดับที่ ๖ มีนายก้านมหาดเล็ก เป็นนายอำเภอ มีกำนัน ๑๘ คน ผู้ใหญ่บ้าน ๒๔๐ คน มีจำนวนหมู่บ้าน ๔๗๕ หมู่บ้าน จำนวน ๕๕๔ หลังคาเรือน จำนวนราษฎรชาย ๑๒,๓๑๕ คน หญิง ๑๔,๓๑๕ คน รวม ๒๖,๖๓๐ คน มีราษฎรมากเป็นอันดับ ๓ ของเมืองนครศรีธรรมราช และมากกว่าอำเภอทุ่งสงเล็กน้อย คือ อำเภอเมืองมี ๔๓,๒๖๗ คน อำเภอเบียซัดมี ๓๔,๖๘๕ คน อำเภอทุ่งสงมี ๒๕,๔๒๘ คน
ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านว่าเหตุที่เรียกว่า "เขาพังไกร" เพราะบริเวณเชิงเขาแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของช้างป่า ที่ชื่อ "พลายดำ" และ "พังไกร" ครั้นช้างพังไกรล้มลง ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนั้นว่า 4"เขาพังไกร" ตามลักษณะที่มีภูเขาและเกี่ยวกับช้างพังไกร ดังกล่าวแล้ว
เมื่อ ร.ศ.๑๒๔ (พ.ศ.๒๔๔๘) พระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมือง ชายทะเลปักษ์ใต้เสด็จถึงอำเภอปากพนัง ทรงบันทึกไว้เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคมร.ศ.๑๒๔ ตอนหนึ่งมีว่า "ต่อโรงสีไฟขึ้นไปไม่มากนัก ถึงปากแพรก ซึ่งเป็นแม่น้ำ ๒ แยกๆ หนึ่งเลียบไปตามทเลถึงตำบลทุ่งพังไกร ซึ่งเป็นที่นาอุดมดี บ้างจีนกล่าวกันว่า ดีกว่านาคลองรังสิต แลมีที่ว่างเหลืออยู่มาก จะทำนาขึ้นได้ใหม่กว่าที่มีอยู่แล้วเดี๋ยวนี้อีก ๑๐ เท่า เขากะกำลังทุ่งนั้นว่าถ้ามีนาบริบูรณ์จะตั้งโรงสีไฟได้ประมาณ ๑๐ โรง ขาดแต่คนเท่านั้นนาทั้งมณฑลนครศรีธรรมราชไม่มีที่ไหนสู้ ลำน้ำนั้นเรือกลไฟขนาดศรีธรรมราชขึ้นไปได้ตลอดถึงพังไกร ในเวลาน่าแล้งต่อพังไกรไปเป็นลำคลองเล็กลง แต่ถ้าน่าน้ำเรือศรีธรรมราชไปได้ถึงอำเภอระโนด แขวงสงขลาตกทเลสาบ"
อันนี้แสดงถึงความเป็นอู่ข้าวอู่น้ำและเส้นทางเดินเรือของท้องที่ "อำเภอพังไกร" หรือ "อำเภอเขาพังไกร" ในสมัยรัชกาลที่ ๕
ต่อมามีการย้ายที่ว่าการอำเภอเขาพังไกรไปตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ ตำบลหัวไทร (ปัจจุบัน) การย้ายครั้งนี้บางแห่งบ่งว่าย้ายในสมัยที่ขุนชำนาญธุระกิจ (สิงห์โต) เป็นนายอำเภอ (พ.ศ.๒๔๔๙-๒๔๕๓) แต่เอกสารบางแห่งว่าย้ายเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ สมัยที่หลวงอนุสรณ์สิทธิกรรม (บัว ณ นคร) เป็นนายอำเภอ (พ.ศ.๒๔๕๖-๒๔๖๒) เมื่อย้ายแล้วจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น "อำเภอหัวไทร" ตามดำบลที่ตั้ง
ในระหว่าง พ.ศ.๒๔๖๔-๒๔๖๖ มีขุนภูวนาถนรานุบาลเป็นนายอำเภอ ครั้นถึง พ.ศ.๒๔๖๗ อำเภอหัวไทรถูกลดฐานะลงเป็น "กิ่งอำเภอหัวไทร" ไปขึ้นกับอำเภอปากพนัง
จนถึงปี พ.ศ.๒๔๘๐ จึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นอำเภออีกครั้งหนึ่ง มีนายนาค ศรีวิสุทธิ์ เป็นนายอำเภอ (วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๑) และได้ย้ายที่ว่าการอำเภอไปตั้งยังอีกฟากของถนนสายนครศรีธรรมราช-หัวไทร ในบริเวณหมู่ที่ 4 ตำบลหัวไทรมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งบริเวณนี้เดิมเป็นบริเวณของวัดหัวไทร (ปัจจุบันวัดหัวไทรย้ายไปตั้งที่หมู่ที่ ๑ ตำบลหัวไทร) ในขณะที่ยกฐานะกลับขึ้นเป็นอำเภอครั้งนั้น มีดำบลด่างๆ รวม ๘ ตำบล คือ หัวไทร ทรายขาว ท่าซอม เขาพังไกร แหลม หน้าสตน บ้านราม และบางนบ ต่อมาภายหลังจึงมีตำบลเพิ่มขึ้นอีก ๓ ตำบล คือ รามแก้ว ควนชะลิก และเกาะเพชร
สภาพทั่วไป
อำเภอหัวไทร ขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช มีเนื้อที่ประมาณ ๔๑๗.๗๓๓ ตารางกิโลเมตร ที่ว่าการอำเภออยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศใต้ตามถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๘ (นครศรีธรรมราช-สงขลา) ประมาณ ๖๖ กิโลเมตร
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอปากพนัง
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอระโนด จังหวัดสงขลาและอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอ่าวไทย
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเชียรใหญ่
อำเภอหัวไทร แบ่งเขตการปกครองเป็น ๑๑ ตำบล ๙๓ หมู่บ้าน ได้แก่ ตำบลควนชะลิก ตำบลแหลม ตำบลรามแก้วตำบลท่าซอม ตำบลบางนบ ตำบลบ้านราม ตำบลทรายขาว ตำบลเขาพังไกร ตำบลหัวไทร ตำบลเกาะเพชร และตำบลหน้าสตน
เมื่อถึงเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๓๘ มีประชากรทั้งหมด ๗๒,๓๒๙ คน เป็นชาย ๓๕,๕๗๙ คน เป็นหญิง ๓๖,๗๕๐ คน ปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีประชากรทั้งสิ้น ๗๑,๙๓๒ คน
สภาพภูมิประเทศ ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีเขาพระบาทและเขาน้อย สูงประมาณ ๓๐๐ เมตร เป็นแนวยาวประมาณ ๑๐ กิโลเมตร นอกนั้นเป็นที่ราบลุ่มโดยตลอด
แนวพื้นที่ตอนกลางจากเหนือไปใด้มีลักษณะเป็นเนินสูงเล็กน้อยคล้ายหลังเต่า แล้วลาดลงไปทั้งสองข้าง ทางทิศตะวันตกเป็นป่าพรุที่เคยเป็นทะเลแล้วตื้นเขิน ส่วนใหญ่จะเป็นดินเปรี้ยวเต็มไปด้วยป่าเสม็ด ทางทิศตะวันออกค่อยลาดลงไปจนจดอ่าวไทย เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เกิดจากตะกอนดินทับถมสืบเนื่องกันมาร่วม ๑,๐๐๐ ปี จึงเต็มไปด้วยห้วย หนอง คลอง โคก เป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญยิ่งของภาคใต้ นามสถานเป็นจำนวนมากที่บ่งถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ในอดีต เช่น ควนทะเล โมง คลองช้าง บ้านแหลม หนองสิบหาบ เกาะสำโรง เกาะเรือ บางแหยง โพรงจระเข้ พรุรวม บางคุระ บางหนัง หนองเพ็งกรอ หนองหมาคลอด หนองหลุง โคกลาน นานอก ท้ายสำเภา บ่อพูด บ่อโพง ห้วยน้ำเย็น เกาะขรบ มาบยอด ในอ่าว ท่าเข็น และปากระวะ เป็นต้น
ปี พ.ศ.๒๕๓๘ อำเภอหัวไทรมีพื้นที่เพื่อทำการเกษตรประมาณ ๑๙๒,๖๐๖ ไร่ เป็นพื้นที่ทำนาปลูกข้าวประมาณ ๑๖๖,๘๖๐ ไร่ ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นประมาณ ๙,๔๖๓ ไร่ เลี้ยงกุ้งกุลาดำประมาณ ๑๓,๕๓๓ ไร่ ปลูกพืชผักต่าง ๆประมาณ ๒,๗๕๐ ไร่ ในช่วง ๑๐ ปี (พ.ศ.๒๕๓๐-๒๕๔๐) ได้มีการแปรสภาพการใช้ที่ดินจากการทำนาข้าว เป็นการทำนากุ้งเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้สภาพดิน รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลดีในระยะสั้น แต่จะส่งผลกระทบเป็นผลเสียในระยะยาว การทำนากุ้งในท้องที่อำเภอหัวไทร จึงกลายเป็นประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นจนเกิดเป็นคำขวัญของอำเภอว่า "เมืองนากุ้ง ทุ่งนาข้าวจ้าวทะเล เสน่ห์หาดทราย มากหลายศิลปิน"
จากการที่ทุ่งหัวไทร ได้เปลี่ยนจากทุ่งนาข้าวเป็นทุ่งนากุ้งจนมีการขยายพื้นที่ทำบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำอย่างรวดเร็ว เช่น ปี พ.ศ.๒๕๓๗ มีผู้เลี้ยงกุ้งถึง ๑,๒๓๔ ราย จำนวนบ่อ ๒,๑๑๓ บ่อ ใช้พื้นที่ ๘,๑๐๓ ไร่ นอกจากนี้ยังมีเอกชนรายใหญ่ และบริษัทอีก ๔ ราย ทำนากุ้งในพื้นที่ ๑,๘๕๐ ไร่ ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๕๓๘ มีพื้นที่ทำนากุ้งถึง ๑๓,๕๓๓ ไร่ ส่งผลกระทบต่อนาข้าวอย่างรุนแรง พื้นที่นาข้าว ซึ่งเคยเต็มไปด้วยดงตาลให้ความร่มรื่นและผลประโยชน์นานาประการ กลับกลายเป็นยืนต้นตายเต็มทุ่ง สภาพเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่สภาพทางสังคมก็เสื่อมโทรมอย่างเห็นได้ชัด สภาพแวดล้อมก็ทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว ครั้นถึงปลายปี พ.ศ.๒๕๓๘ ผู้เลี้ยงกุ้งรายย่อยเริ่มประสบปัญหาขาดทุน ต้องปล่อยให้บ่อกุ้งเรื้อร้างเกินครึ่ง ผู้ประกอบการบางรายมีหนี้สิน และปัญหาทางสังคมนานาประการ
ส่วนจากคำขวัญที่ว่า อำเภอหัวไทร "มากหลายศิลปิน" นั้น เป็นความจริงในอดีต เพราะมีศิลปินพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ เช่น หนังปานบอด (ปฏิภาณกวี) เป็นทั้งนายหนังและเพลงบอกที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หนังประวิง หนูเกื้อ, หนังประทิน บัวทอง, หนังประทุม เสียงชาย, หนังหญิงลำยอง, หนังบุญธรรม เทอดเกียรดิชาติ โนรามีโนราเนตรน้อย, โนราเสน่ห์น้อย เพลงบอกมี เพลงบอกเผียนเพลงบอกหญิงหนูหับ เป็นต้น (วิเชียร ณ นคร, สุธิวงศ์ พงศ์ ไพบูลย์)
ที่มา
https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/detail.php?id=25065