26 กุมภาพันธ์, 2568
ตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
ตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
ตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยาเป็นต้นมา จนกระทั่งมีการปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีหลักฐานปรากฏว่าได้มีการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ๖ ครั้งคือ
ครั้งที่ ๑ เมื่อปีจอ จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๐๔ (ปีพ.ศ.๒๒๕๕) ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ทรงตั้งพระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช
ครั้งที่ ๒ เมื่อปีวอก อัฐศก จุลศักราช ๑๑๓๘ (ปีพ.ศ.๒๓๑๙) ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงตั้งเจ้านครฯ (หนู) เป็นเจ้าเมืองประเทศราช
ครั้งที่ ๓ เมื่อปีมะโรง ฉศก จุลศักราช ๑๑๔๖ (ปีพ.ศ.๒๓๒๗) พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงตั้งเจ้าพัฒน์เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์)
ครั้งที่ ๔ เมื่อปีมะแม ตรีศก จุลศักราช ๑๑๗๓ (ปีพ.ศ.๒๓๕๔) พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) เป็นพระยานครศรีธรรมราช (น้อย)
ครั้งที่ ๕ เมื่อปีฉลู ตรีศก จุลศักราช ๑๒๐๓ (ปีพ.ศ.๒๓๘๔) พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระเสน่หามนตรี (น้อยกลาง) เป็นพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง)
ครั้งที่ ๖ เมื่อปีเถาะ นพศก จุลศักราช ๑๒๒๙ (ปีพ.ศ.๒๔๑๐) พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระเสน่หามนตรี (หนูพร้อม) เป็นพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม)
การตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชทั้ง ๖ ครั้ง มีพิธีการและรายละเอียดแตกต่างกันพอจะแยกได้เป็น ๓ สมัย คือการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาตอนปลายการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงธนบุรี และการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์การตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาตอนปลายตามสำเนากฎเรื่องตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ในปี พ.ศ.๒๒๘๕ มีรายละเอียดและขั้นตอนที่สำคัญดังนี้คือ
(๑) คุณสมบัติของผู้ที่เหมาะสมจะเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยามีเพียงสั้นๆ ว่า ".ถ้าเสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ่มีบำเหน็จความชอบในราชกิจ สมเด็จบรมบพิตรจะปลูกเลี้ยงให้ออกไปรั้งเมืองครองเมือง..." เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาจึงเป็นขุนนางจากส่วนกลางไม่ใช่บุคคลในท้องที่ และไม่มีการสืบต่อตำแหน่งเจ้าเมืองทางสายโลหิตอย่างสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
(๒) การตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาเป็นหน้าที่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง ในพิธีการแต่งตั้งนั้นจะมีข้าหลวงจากกรมอาลักษณ์ กรมวัง กรมคลัง และกรมมหาดไทย จำทูลพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏ เสด็จไปมอบเมืองนครศรีธรรมราชให้แก่เจ้าเมืองคนใหม่ที่เมืองนครศรีธรรมราช แต่อย่างไรก็ตาม เมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่สมัยพระเพทราชาเป็นต้นมา จนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ขึ้นกับกรมท่ามีพระยาโกษาธิบดีเป็นผู้ควบคุมดูแล เพิ่งโอนมาขึ้นกรมสมุหพระกลาโหมในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
(๓) ข้าหลวงที่เชิญพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์และพระสุพรรณบัฏไปมอบเมืองนครศรีธรรมราชให้แก่พระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราชในปี พ.ศ.๒๒๘๕นั้นประกอบด้วย "นายเฑียรฆราษอาลักษณ์ นายสวัสดิ์ภักดี ชาววังโกชาอิสหาก นายพิทักษ์ราชา นายชาญอาวุธ และแวงจัตุลังคบาท." เมื่อข้าหลวงเชิญพระราชโองการออกไปถึงบ้านใดเมืองใดตำบลใด ก็ให้ "ผู้จำทูลว่าแก่ผู้รักษาเมืองผู้รั้งกรมการ นายบ้าน นายอำเภอ และนายขนอนด่านคอย (ดู ด่านคอย) ณ ตำบลนั้น แต่งพานขันหมาก ข้าว ดอกไม้ ธูปเทียน มากราบถวายบังคมพระราชโองการจงทุกหัวเมือง
ถ้าจะเชิญพระราชโองการเสด็จจากที่นั้น ตำบลนั้นไปก็ให้กรมการ นายขนอนด่านคอย และนายบ้าน นายอำเภอ แต่งเรือแห่แหนป้องกันพิทักษ์รักษา ส่งสืบกันไป ตามธรรมเนียมพระราชโองการเสด็จไปมอบเมืองแต่ก่อนนั้นจงทุกหัวเมืองกว่าจะถึงเมืองนครศรีธรรมราช อย่าให้เป็นเหตุประการใดได้ .."
(๔) ในการเชิญพระราชโองการของข้าหลวงออกไปนั้นมีข้อห้ามที่ต้องปฏิบัติต่างๆ มากมาย เป็นต้นว่าจะพักแรมอยู่ช้านาน ๒-๓ วันไม่ได้ จะให้คนกางร่ม โพกศีรษะเข้ามาใกล้พระราชโองการไม่ได้ เจ้าเมืองกรมการเมืองจะต้องแต่งคนมารักษาพระราชโองการ ถ้าเชิญพระราชโองการผ่านเมืองเพชรบุรีจะต้องนำพระราชโองการขึ้นไว้ ณ หอพระราชโองการเมืองเพชรบุรี เมื่อพระราชโองการเสด็จไปเป็นระยะทาง ๑-๒ วันให้ว่ากล่าวแก่เจ้าเมืองกรมการ ณ ตำบลนั้นให้ปลูกหอพระราชโองการเป็นมณฑป ตั้งระเนบียด รั้วไก่ ร้านไฟ ทิมดาบและเกยซ้ายขวา
(๕) ก่อนที่พระราชโองการจะเสด็จไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชให้มีข่าวแจ้งไปถึงปลัด ยกกระบัตรและกรมการเมืองนครศรีธรรมราชให้ปลูกหอเป็นมณฑป ตั้งระเนียด รั้วไก่ ร้านไฟ ทิมดาบและเกยซ้ายขวาพร้อมทั้งฉนวนและเกยช้างสำหรับพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์และพระสุพรรณบัฏไว้ให้พร้อม แล้วเกณฑ์พระ หลวง ขุน หมื่นในเมืองนครศรีธรรมราชพร้อมด้วยธงทิว ฆ้อง กลอง แตรสังข์ ไปแห่ต้อนรับพระราชโองการตราพระครุทพ่าห์และพระสุพรรณบัฏนำขึ้นไปประทับอยู่บนพระมณฑลแต่งขุน หมื่น กรมการควบคุมไพร่พลรักษาอย่าให้เกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้นได้
(๖) หลังจากนั้นให้เจ้าหน้าที่ตกแต่งพระวิหารวัดพระมหาธาตุฯ เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อทำพิธีมอบเมืองให้แก่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนใหม่ ในพิธีนั้นให้กรมการนิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะ ๕ รูป และพระอันดับ ๑๕ รูป มาร่วมทำพิธีสงฆ์ให้พระ หลวง ขุน หมื่น กรมการที่มาร่วมในพิธีนุ่งสมปักขาว ห่มเสื้อขาวแต่งพานหมากถวายบังคม และให้ตั้งแถวแห่เรียงกันไปจนถึงพระวิหาร แล้วให้ประโคมแตรสังข์ฆ้อง กลอง พร้อมกันนั้นข้าหลวงผู้จำทูลพระราชโองการอัญเชิญพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏเสด็จเข้าไปในพระวิหารนั่งเหนือเดียงทอง ลาดผ้าขาว ตั้งเบญจาแล้วไขม่านปิดไว้ แล้วให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนใหม่นุ่งผ้าสมปักขาว ชายกรวย ห่อเสื้อขาวใส่พอกเกี้ยวดอกไม้ไหวขึ้นคานหามให้หลวง ขุน หมื่น แห่เข้ามาถึงประตูพระวิหาร ให้นั่งหน้าเบญจาห่างมาประมาณ ๔ ศอก มีพานขันหมากถวายบังคม ให้เจ้าพระยานครฯ และ พระ หลวงขุน หมื่น กรมการทั้งปวงถวายบังคมให้พร้อมกัน แล้วผู้จำทูลพระราชโองการและอาลักษณ์ซึ่งนุ่งขาวกราบถวายบังคม๓ ลา ให้นายแวงผู้จำทูลไขย่นพานย่นเจียดถุงกล่องออกแล้วเชิญพระราชโองการส่งให้อาลักษณ์ยืนบนผ้าแดงและพรมอ่านพระราชโองการมอบเมืองให้แด่พระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยานคร
(๗) ครั้นอ่านพระราชโองการเสร็จแล้ว ให้ปลัด ยกกระบัตรและกรมการเมืองนครศรีธรรมราชประนมมือเหนือศีรษะรับสั่งตราพระราชโองการว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงขอรับพระราชโองการมาณพระบัณฑูรด้วยเกล้าฯ ครั้นรับสั่งแล้วให้กราบถวายบังคม ๓ ลา
(๘) หลังจากนั้นจึงอ่านพระสุพรรณบัฏพระราชทานชื่อแก่เจ้าพระยานครฯ เจ้าพระยานครฯ รับสั่งว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระราชโองการพระบัณฑูรด้วยเกล้าฯ จึงส่งพระสุพรรณบัฏให้แก่เจ้าพระยานครฯ จึงให้เจ้าพระยานครฯ แต่งพานมุกรองเหมทองรับพระสุพรรณบัฏไว้ตามธรรมเนียม
(๙) แล้วให้อาลักษณ์เชิญตราพระครุฑพ่าห์ชูขึ้นเหนือศีรษะพร้อมทั้งร้องประกาศว่า "คงตราพระครุฑพ่าห์แล้ว" ๓ ครั้ง จึงให้หลวงปลัดและกรมการทั้งปวงกราบถวายบังคมแล้วรับสั่งตราพระครุฑพ่าห์ว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงขอรับพระราชโองการมาณพระบัณฑูรซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯมานี้ทุกประการ แล้วจึงให้ประโคม ฆ้อง กลอง แตรสังข์ ๓ ลาแล้วเชิญพระราชโองการและตราสังข์ครุฑพ่าห์เสด็จขึ้น แล้วให้เจ้าพระยานครฯ และกรมการทั้งปวง กราบถวายบังคม ๓ ลาแล้วให้ชักม่านไขเข้า
(๑๐) ครั้นเสร็จแล้วจึงให้เผดียงพระสงฆ์ราชาคณะและพระสงฆ์อันดับ สวดถวายพระพรพระพุทธเจ้าจนจบสัพพพุทธาและภวตุสัพพมังคลังและสวดพระพุทธมนต์ต่อ จบแล้วให้ประโคมฆ้อง กลอง แตรสั่งข์ แล้วให้พระ หลวง ขุน หมื่นแห่แหนเชิญพระราชโองการและตราพระครุฑพ่าห์ เสด็จมา ณ มณฑปอีกครั้งตามธรรมเนียม เป็นอันเสร็จพิธีมอบเมือง
(๑๑) หลังจากนั้นข้าหลวงจำทูลพระราชโองการว่ากล่าวแก่เจ้าพระยานครฯ ให้แต่งหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายสนองพระราชโองการ หนังสือปฏิบัติ ฯพณฯ โกษาธิบดี และเครื่องราชบรรณาการ สำหรับสนองพระราชโองการและสิ่งของสนองหนังสือ ฯพณฯ โกษาธิบดี พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมมอบเมืองค่าธรรมเนียมแต่งตราพระราชโองการตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏและค่าธรรมเนียมสำหรับผู้เชิญตราพระราชโองการแก่เจ้าพระยานครฯ
(๑๒) ให้เจ้าพระยานครฯ และกรมการแต่งพระ หลวง ขุน หมื่น คุมไพร่พร้อมด้วยอาวุธครบมือ และเรือแห่แหนป้องกันรักษาพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์ และเครื่องราชบรรณาการ เมื่อเชิญเสด็จกลับเมืองหลวง
(๑๓) ข้าหลวงที่จำทูลพระราชโองการไปนั้น ห้ามมิให้เอากิจราชการในเมืองหลวงไปบอกเล่าแก่คนทางหัวเมืองปักษ์ได้เด็ดขาด ห้ามวิวาท ฆ่าฟัน ฉกชิง ฉ้อ ทำข่มเหงเอาพัสดุทองเงินและทรัพย์ อัญมณีแก่สมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎร์ ลูกค้าวาณิชเป็นอันขาด
(๑๔) เจ้าพระยานครศรีธรรมราชต้องเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้แก่ข้าหลวงจำทูลพระราชโองการดังนี้คือ
๑. กรมอาลักษณ์ผู้แต่งตราพระราชโองการได้ค่าธรรมเนียม ๑๒๐ บาท
๒. กรมแสงในได้ค่าธรรมเนียมรักษาตราพระราชโองการและตราพระครุฑพ่าห์ ๑๒๐ บาท
๓. สนมผู้เชิญตราพระราชโองการและตราพระครุฑพ่าห์ ๔๐ บาท
๔. คนหามเสลี่ยงและแตรสังข์คนละ ๑ บาท
๕. ค่าชักม่าน ค่าปี กลอง รวมทั้งหมด ๖ บาท
(๑๕) พระราชโองการมอบเมืองนครศรีธรรมราช ปีพ.ศ.๒๒๕๕ มีข้อความดังนี้คือ พระราชโองการพระบาทสมเด็จพระศรีสรรเพชญ สมเด็จพระเอกาทศรถอิศวร บรมนาถบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัวคือองค์สมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าพระเจ้าปราสาททอง พระเจ้าช้างเนียม พระเจ้าช้างเผือกทรงทศพิธราชธรรมอนันตสมภาราดิเรก เอกอุดมบรมจักรพรรดิสุนทรธรรมิกราช บรมนาถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาตรัสเอาพระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ชาติเดโชไชย มไหศุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เจ้าพระยานครศรีธรรมราชครั้นพระราชโองการแลตราพระครุฑพ่าห์เสด็จโดยสวัสดิภักดี ชาววังแลโกชาอิสหากกรม คลังนายพิทักษ์ราชานายชาญอาวุธแวงจัตุลังคบาทจำทูลมานี้ไช้ ให้หลวงศรีราชสงครามรามภักดี ปลัดหลวงภักดีราชยกบัตร แลกรมการทั้งหลายตรวจจัดช้างม้า พลไร่นาอากร สำหรับเมืองโดยขนาด..."
(๑๖) พระสุพรรณบัฏนั้นมีข้อความว่า "ศุภมัสดุ สุวดิการยดิเรก ๑๖๖๔ ศก โสณสังวัจฉรมฤคสิรมาสศุกรปักษ์เทวดิถีพูฒวารศุภมหุรดิพระบาท พระศรีสรรเพชญ สมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาพระราชทานนามกรพระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราชชาติเดโชไชย มไหศุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช..."
(๑๗) ในหนังสือสนองพระราชโองการนั้น มีข้อความว่า"...ข้าพระพุทธเจ้า เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราชชาติเดโซไชยมไหศุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เจ้าพระยานครศรีธรรมราชขอกราบถวายบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ด้วยข้าพเจ้า (ชื่อ) แลแวงจัดุลังคบาทซ้ายขวาจำทูลพระราชโองการ แลตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏเสด็จไปมอบข้าพระพุทธเจ้าแล้ว แลข้าพระพุทธเจ้าเชิญพระราชโองการ แลตราพระครุฑพ่าห์เสด็จกลับโดย (ชื่อ) แลนายแวงจตุลังคบาทเข้ามากราบถวายบังคม พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมทูลพระกรุณาพระบาทพระพุทธเจ้าอยู่หัว..."
การตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงธนบุรีหลังจากเจ้านราสุริยวงศ์ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ.๒๓๑๙ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านครฯ(หนู) กลับออกมาปกครองเมืองนครศรีธรรมราชใหม่อีกครั้งหนึ่งดังปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุกรุงธนบุรี จ.ศ.๑๑๓๔ เลขที่ ๖ และ ๗ เรื่องตั้งพระเจ้านครศรีธรรมราช และสำเนากฎตั้งพระเจ้านครศรีธรรมราช ซึ่งมีขั้นตอนและพิธีการพอจะสรุปได้ดังนี้คือ
(๑) พิธีการตั้งเจ้านครฯ (หนู) เป็นเจ้าขัณฑสีมาพระเจ้านครศรีธรรมราชในปี พ.ศ.๒๓๑๙ นั้น เหมือนกับการตั้งพระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมราชในปี พ.ศ.๒๒๘๕ ทุกประการ คล้ายกับเลียนแบบกัน กล่าวคือให้ขุนสกลมณเฑียร กรมวัง ขุนวิเศษนุชิต กรมคลัง นายเฑียรฆราชอาลักษณ์ นายจิตรบำเรอแวงตำรวจนอกซ้าย นายบัลลังก์ กุญชรแวงดำรวจในขวา และแวงจัตุลังคบาทจำทูลพระราชโองการตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏออกไปมอบเมืองเหมือนกัน ต่างกันแต่เพียงตั้งให้เจ้านคร (หนู) เป็นเจ้าขัณฑสีมาหรือเจ้าประเทศราช ไม่ใช่เจ้าเมืองพระยามหานครชั้นแรกอย่างในปี พ.ศ.๒๒๘๕ เท่านั้น
(๒) ในจดหมายเหตุกรุงธนบุรี จ.ศ.๑๑๓๘ เรื่องตั้งพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) นั้น ได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการทำพระสุพรรณบัฏ กล่องทองสำหรับใส่พระสุพรรณบัฏ กล่องเงินสำหรับใส่กล่องพระสุพรรณบัฏ กล่องทองสำหรับใส่พระราชโองการ ผอบทองสำหรับใส่ตราพระครุฑพ่าห์ และกล่องเงินสำหรับใส่ผอบทองรองตราพระครุฑพ่าห์ด้วย พร้อมทั้งให้ช่างกลึงกล่องงาสำหรับใส่พระราชโองการและพระสุพรรณบัฏ ทำเจียดลายทองสำหรับใส่ผอบตราพระครุฑพ่าห์อีกชั้นหนึ่งด้วย นอกจากนั้นยังมีพานรองแว่นฟ้าหรือพานรองมุก ๓ สำรับ สำหรับใส่พระราชโองการตราพระครุฑพ่าห์และพระสุพรรณบัฏ
(๓) ในจดหมายเหตุฉบับเดียวกันได้กล่าวถึงทพิธีการเชิญพระราชโองการตรา พระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏจากกรุงธนบุรีออกไปมอบเมืองให้แก่พระเจ้านครศรีธรรมราช(หนู) แล้วกลับไว้อย่างละเอียด ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างไปจากสมัยอยุธยาอยู่บ้าง เกี่ยวกับการเชิญและการแห่แหน พระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏ
(๔) พระราชโองการในสมัยกรุงธนบุรีมีข้อความว่า"..พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถ อิศวร บรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงทศพิธราชธรรม อนันตสัมภาราดิเรกอุดมบรมจักรพรรดิ สุนทรธรรมิกราช บรมนารถบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาตรัสเอาพระยานครเป็นเจ้าขัณฑสีมานามขัติยราชนิคม สมมุติมไหศวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราช
ครั้นพระราชโองการและตราพระครุฑพ่าห์เสด็จโดยขุนสกลมณเฑียร กรมวัง ขุนวิเศษนุชิต กรมคลัง นายจิตร บำเรอ นายบัลลังก์กุญชร แวงจัตุลังคบาท จำทูลมานี้ไซร้ ให้พระยาราชสุภาวดี ผู้ช่วยราชการ และพระยา พระ หลวงเสนาบดี ขุนหมื่น มหาดเล็ก ข้าเฝ้าทั้งหลาย ตรวจจับเครื่องราชบริโภคสำหรับกษัตริย์ประเทศราชพระราชทานมอบโดยขนาด"
(๕) พระสุพรรณบัฏในสมัยนี้มีข้อความว่า "...ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยานครคืนเมือง เป็นเจ้าขัณฑสีมานามขัติยราชนิคม สมมุติมไหศวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราชเศกไป ณ วันอาทิตย์ เดือนสิบเอ็ด ขึ้นสามค่ำ จุลศักราช ๑๑๓๗ ปีวอกอัฐศก..."
(๖) หนังสือสนองพระราชโองการมีข้อความว่า "...ข้าพระพุทธเจ้าพระเจ้านครศรีธรรมราช ขอกราบถวายบังคมทูลพระกรุณา แด่พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระอนันตคุณอันมหาประเสริฐ ด้วยข้าพระพุทธเจ้าขุนวิเศษนุชิต กรมคลัง ขุนสกลมณเฑียร กรมวัง นายเฑียรฆราช-อาลักษณ์ นายจิตรบำเรอแวงซ้าย นายบัลลังก์กุญชร แวงขวา แวงจัดุสังคบาทจำทูลพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์และพระสุพรรณบัฏ เสด็จไปพระราชทานมอบเมืองให้ข้าพระพุทธเจ้า ทรงพระนามขัติยราชนิคมสมมุติมไทศวรรย์เจ้าขัณฑสีมาเมืองนครศรีธรรมราชเสร็จแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเชิญพระราชโองการ และตราพระครุฑพ่าห์ เสด็จกลับโดยขุนวิเศษนุชิต กรมคลัง ขุนสกลมณเฑียร กรมวัง นายเฑียรฆราชอาลักษณ์...แวงจัตุลังคบาท เข้ามากราบถวายบังคมแด่พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมทูลพระกรุณา แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว บรมสุจริตปฏิการาธิคุณอดุลยดิเรกเอกสัตยาในขัติยราชสมมุติมไหศวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราช ถวายอภิวาทบังคมแด่ พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนารถบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระอนันตคุณอันมหาประเสริฐ..."
(๗) การตั้งพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในปี พ.ศ.๒๓๑๙ มีข้อแตกต่างไปจากการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาอยู่ประการหนึ่งคือมีการกำหนดภาระหน้าที่ของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชไว้ในกฎตั้งด้วย ในสมัยอยุธยาได้กำหนดภาระหน้าที่ของเจ้าเมืองไว้ต่างหากในพระราชกำหนดเก่า มาตรา ๒๓ ซึ่งต่อมารวบรวมไว้ในกฎหมายตราสามดวงในกฎตั้งพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู)หน้าที่ของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชไว้หลายประการ แต่พอจะจำแนกได้ ๔ ประการ คือประการแรก เป็นหน้าที่เกี่ยวกับนั้น ได้กำหนดการป้องกันและรักษาพระราชอาณาเขตทางหัวเมืองภาคใต้ประการที่ ๒ การรักษาความสงบภายในหัวเมืองนครศรีธรรมราชและประการที่ ๓ การจัดรวบรวมและเก็บภาษีอากรส่งเข้าท้องพระคลังหลวงในกรุงธนบุรี ประการที่ ๔ เป็นหน้าที่เกี่ยวกับความประพฤติส่วนพระองค์ของพระเจ้านครศรีธรรมราชและมีราชการพิเศษเกี่ยวกับหัวเมืองประเทศราชมลายูโดยเฉพาะปัตตานีและไทรบุรีอีกด้วย
(๘) การป้องกันรักษาพระราชอาณาเขตทางใต้ ได้แก่การตรวจตราดูแลกำแพงเมือง ฝึกหัดทหาร จัดหาอาวุธปืนต่อเรือรบเรือลาดตระเวนไว้ เป็นต้น การรักษาความสงบภายในหัวเมืองนครศรีธรรมราช ได้แก่ การบริหารบ้านเมืองด้วยความยุติธรรมวางตัวเป็นกลาง ทำนุบำรุงพระศาสนา ส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนของพระ เป็นต้น การเก็บภาษีอากรนั้นพระเจ้านครศรีธรรมราช ต้องจัดการดูแลอย่างใกล้ชิดให้เสร็จเรียบร้อยอยู่เสมอ และรีบบอกส่งเข้าไปยังเมืองหลวง ถ้าขัดสนจะขอไว้ใช้ก็ให้มีหนังสือบอกเข้าไปทางเมืองหลวงให้ทราบ เป็นต้น หน้าที่ส่วนตัวของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชก็คือให้รักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรือศีล ๑๐ เป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความประมาท และเป็นที่เคารพนับถือของประชาชน ส่วนราชการพิเศษก็คือให้พระเจ้านครศรีธรรมราชมีตราออกไปยืมเงินเมืองปัตตานีและเมืองไทรบุรีเมืองละ ๑,๐๐๐ ชั่ง ซึ่งปรากฏว่าทำไม่สำเร็จ หัวเมืองทั้ง ๒ เฉยเมยและตั้งแข็งเมืองภายหลัง
การตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยรัตนโกสินทร์
พิธีการแต่งตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จะแตกต่างไปจากสมัยอยุธยาและกรุงธนบุรีหลายประการ เป็นต้นว่าไม่มีการจำทูลพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏ เสด็จออกมามอบเมืองอีกและการแต่งตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในยุคนี้เป็นเพียงการแต่งตั้งเจ้าเมืองหัวเมืองชั้นเอกเท่านั้น พิธีการแต่งตั้งจึงมีแต่ข้าหลวงเชิญกฎพระบรมราชโองการและสารตรา ฯพณฯสมุหกลาโหมออกมาตั้งเจ้าเมืองเท่านั้น พิธีการแต่งตั้งจึงมาเน้นที่บทบาทของสมุหกลาโหมมากกว่า ฯพณฯ โกษาธิบดีในสมัยอยุธยา สำหรับราชทินนามของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งแต่เดิมใช้เจ้าพระยาศรีธรรมโศกราชก็มาสิ้นสุดลงในสมัยเจ้าพระยานคร (น้อยกลาง) ในสมัยพระยานครฯ (หนูพร้อม)เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชที่มาจากตระกูล ณ นคร คนสุดท้ายเปลี่ยนไปใช้ราชทินนามว่า "พระยานครศรีธรรมราช ชาติเดโชไชย มไหศุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ" แทน ไม่ใช่คำว่า "ศรีธรรมาโศกราช" แต่ใช้คำว่า "ศรีธรรมราช" พิธีการแต่งตั้งเจ้าเมืองนครฯ ในสมัยนี้จึงมีที่เหมือนกันกับสมัยกรุงธนบุรีอยู่ประการหนึ่งคือ ทั้ง ๒ สมัยด่างก็มีกฎตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ไม่พบรายละเอียดว่ามีพิธีมอบเมืองหรือไม่ ทำให้เข้าใจว่าคงไม่มีมีแต่เฉพาะให้ข้าหลวงอ่านสารตรา ฯพณฯ สมุหกลาโหม และกฏตั้งให้เจ้าเมืองคนใหม่ พระปลัด ยกกระบัตร และกรมการฟังในพระวิหารวัดพระมหาธาตุฯ เท่านั้น ก็เป็นอันเสร็จพิธีแล้ว
ในสารตรา ฯพณฯ สมุหกลาโหม และกฎพระบรมราชโองการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้กำหนดภาระหน้าที่ของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชที่จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดละเลยไม่ได้มีโทษไว้หลายประการ พอจะแยกกล่าวได้ดังนี้คือ
(๑) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเตรียมพร้อมทางด้านกำลังคนได้แก่ การจัดทำบัญชีชายฉกรรจ์ การเกลี้ยกล่อมไพร่พลที่หลบหนีอยู่ตามป่าเขาให้กลับเข้ามาตั้งบ้านเรือน ทำนุบำรุงทหารและฝึกหัดทหารให้มีความชำนิชำนาญ ความสามารถในการสู้รบ และบำรุงชาวด่านแต่งตั้งทิดที่สึกใหม่ออกไปเป็นผู้รักษาด่าน
(๒) หน้าที่เกี่ยวกับการเตรียมพร้อมทางด้านพาหนะอาวุธและกำแพง ค่าย คู ประตูเมือง ได้แก่ ดูแลรักษากำแพงค่าย คู ประตูเมืองให้แข็งแรงมั่นคงอยู่เสมอ ตรวจดูปืนกระสุนปืน ดินประสิว และอาวุธอื่นๆ ให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีอยู่เสมอและทำบัญชีเอาไว้ ตรวจดูเรือรบ เรือลาดตระเวนและทำบัญชีช้างม้าและวัดส่วนสูงเอาไว้ เป็นต้น
(๓) หน้าที่เกี่ยวกับการลาดตระเวน และสืบข่าวความเคลื่อนไหวของข้าศึกศัตรู ได้แก่ การจัดเรือรบออกลาดตระเวนทั้งทางด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนและจัดคนออกไปลาดตระเวนด่านปลายราชอาณาเขตที่ติดต่อกับหัวเมืองแขกมลายู เพื่อสอดแนมสืบข่าวให้ทราบว่าพวกแขกยังสงบดีอยู่หรือประการใด เป็นต้น
(๔) หน้าที่ทางด้านการขจัดทุกข์บำรุงสุข และรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหัวเมืองนครศรีธรรมราช ได้แก่หน้าที่ทางฝ่ายดุลาการ การชำระพระอัยการ พระราชกำหนดและพิจารณาพิพากษาคดีด้วยความยุติธรรม หน้าที่ทางฝ่ายบริหาร บริหารบ้านเมืองร่วมกับปลัด ยกกระบัตร กรมการด้วยความยุติธรรมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่งตั้งข้าราชการให้เต็มตามตำแหน่ง ให้ยกกระบัตรมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการคิดราชการบ้านเมืองและการพิพากษาคดีราษฎรของเจ้าเมือง หน้าที่เกี่ยวกับการขจัดทุกข์บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ ต้องมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่สมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎร์ ลูกค้าวาณิช ชักชวนให้ราษฎรรักษาศีลเป็นประจำ ส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนของพระสงฆ์ ช่วยกันปราบปรามโจรผู้ร้าย ดูแลราษฎรไม่ให้คนมาเบียดเบียนฆ่าฟันได้รับความเดือดร้อนและส่งเสริมการทำไร่นาของราษฎร เป็นต้น
(๕) หน้าที่ที่เป็นส่วนตัวของเจ้าเมืองที่จะต้องปฏิบัติต่อราษฎร เช่น ห้ามเจ้าเมืองข่มเหง จับเอาลูกสาว หลานสาวของอาณาประชาราษฎร์ไปเป็นภรรยา หรือคนใช้โดยพลการ ให้สู่ขอตามประเพณี ห้ามเจ้าเมืองเกณฑ์ราษฎรทำบ้านเรือนที่อยู่อาศัยให้แก่บุตรภรรยาและญาติของเจ้าเมือง ห้ามเจ้าเมืองเอาไพร่สมสังกัดมาเป็นไพร่ของเจ้าเมืองเอง
(๖) หน้าที่ที่เจ้าเมืองจะต้องปฏิบัติต่อทางราชธานีได้แก่ จะต้องมีใบบอกสารสุขทุกข์ในเมืองให้ทางราชธานีทราบตลอดเวลา ถ้าไม่มีใบบอกจะมีความผิด มีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต เจ้าเมืองกรมการเมืองจะต้องถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาปีละ ๒ ครั้ง คือในวันตรุษและวันสารท และจะต้องส่งภาษีอากรไม่ให้ค้างงวดล่วงปี เป็นต้นพิธีการตั้งเจ้าเมืองต่างๆ ให้สิ้นสุดลงหลังจากการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ หลังจากนั้นเจ้าเมืองต่างๆ รวมทั้งเมืองนครศรีธรรมราชจะได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯออกมาเป็นเจ้าเมือง โดยเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้เสนอและเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการเท่านั้น ไม่ต้องจำทูลพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์และพระสุพรรณบัฏออกมามอบเมืองให้แก่เจ้าเมืองคนใหม่ หรือมีสารตราและกฎพระบรมราชโองการออกมาตั้งเจ้าเมืองอีกต่อไป
(สงบ ส่งเมือง)
ที่มา https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/detail.php?id=19737