26 กุมภาพันธ์, 2568
เจ้าพระยานครศรีธรรมราชหรือเจ้าพระยานคร(น้อย)
ประวัติความเป็นมา
เจ้าพระยานคร (น้อย) หรือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เป็นเจ้าเมืองลำดับที่ ๓ ของเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นับเป็นเจ้าเมืองที่มีชื่อเสียงโดดเด่นกว่าเจ้าเมืองใด ๆ ในสมัยเดียวกัน เพราะเป็นทั้งนักรบ นักปกครอง และเป็นผู้สันทัดในการช่างเป็นอย่างยอดเยี่ยม รับราชการสนองพระเดชพระคุณชาติบ้านเมืองด้วยความอุตสาหะ จงรักภักดีซื่อสัตย์ ต่อพระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์อย่างแน่วแน่มั่นคงถึง ๓ รัชกาล คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นับได้ว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ใด้บำเพ็ญกรณียกิจที่สำคัญแก่ชาติบ้านเมืองมายาวนานตั้งแต่วัยฉกรรจ์จนกระทั่งถึงอสัญกรรม
เจ้าพระยานคร (น้อย) หรือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๑๙ เป็นบุตรพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) มารดาชื่อ ปราง หรือ หนูเล็ก ด้านชีวิตครอบครัว เจ้าพระยานคร (น้อย) สมรสกับท่านผู้หญิงอิน ซึ่งเป็นราชนิกูลธิดาพระยาพินาศอัคคี (ตระกูล ณ บางช้าง) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่า “พี่อิน” ท่านผู้หญิงอิน มีบุตรธิดากับเจ้าพระยานคร (น้อย) ๖ คน ในจำนวนนี้คือ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ซึ่งต่อมาได้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราชสืบแทนบิดา ส่วนบุตรธิดาของเจ้าพระยานคร (น้อย) ที่เกิดจากภรรยาอื่น ก็ยังมีอีกหลายคน
เจ้าพระยานคร (น้อย) เริ่มเข้ารับราชการอย่างจริงจังในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย คือ ใน พ.ศ.๒๓๕๔ กล่าวคือ เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแล้ว เจ้าพระยานคร (พัฒน์) ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานถวายบังคมลาออกจากราชการเนื่องจากมีความชรา หูหนัก จักษุมืดมัวและหลงลืม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนเจ้าพระยานคร (พัฒน์) ขึ้นเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี และทรงตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราชเป็น “พระยาศรีธรรมาโศกราช” ว่าราชการเมืองนครศรีธรรมราช และได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในรัชกาลที่ ๒ ภายหลังได้ปราบปรามกบฏเมืองไทรบุรีครั้งแรกในพ.ศ. ๒๓๖๔ จนเป็นผลสำเร็จ และได้ปกครองเมืองนี้จนถึงแก่อสัญกรรม ในวันจันทร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๘๑ สิริรวมอายุได้ ๖๒ ปีเศษ
ผลงานและพระเกียรติคุณ
๑. ด้านการปกครอง การตีเมืองไทรบุรี เป็นเมืองที่มีปัญหาในการปกครองของไทยตลอดเวลา เจ้าพระยานคร (น้อย) ปกครองเมืองนคร ต้องใช้ความรู้ความสามารถทั้งในด้านการสงคราม การทูต การปกครอง และการบริหารอย่างยิ่งยวด จึงสามารถรักษาเมืองไทรบุรีให้อยู่ภายในราชอาณาจักรไทยตลอดชีวิตของท่าน ทั้งนี้เพราะปัญหาเมืองไทรบุรีเป็นปัญหาละเอียดอ่อน อยู่ในภาวะล่อแหลมต่ออันตราย คือ ภัยจากเจ้าเมืองเดิมประการหนึ่ง และภัยจากอังกฤษที่กำลังแสวงหาเมืองขึ้นอีกประการหนึ่ง ภัยทั้งสองประการดังกล่าวได้ทำให้เจ้าพระยานคร (น้อย) ต้องยกกำลังไปปราบถึง ๔ ครั้ง
๒. ด้านการทูต บทบาทของเจ้าพระยานคร (น้อย) ว่าเป็นนักการทูตคนสำคัญในยุคนั้น โดยเฉพาะการทูตระหว่างไทยกับอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ เจ้าพระยานคร (น้อย) มีความเฉลียวฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบในการเจรจาความเมืองและผลแห่งการเป็นนักการทูตผู้มีปฏิภาณทำให้เมืองนครศรีธรรมราช มีอิทธิพลต่อเมืองมลายูและเป็นที่นับถือยำเกรงแก่บริษัทอังกฤษ ซึ่งกำลังแผ่อิทธิพลการค้าและการเมืองมายังภาคพื้นเอเชียอาคเนย์
๓. ด้านการต่อเรือ เจ้าพระยานคร (น้อย) มีความเชี่ยวชาญในการต่อเรือมาก คือ ได้ต่อเรือกำปั่นหลวงสำหรับบรรทุกข้าวไปขายที่อินเดีย ทำให้ประเทศชาติมีรายได้มากและที่สำคัญคือ ได้ต่อเรือรบขนาดย่อมไปจนถึงเรือขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้กรรเชียงสองชั้น เรือรบที่ต่อก็มีขนาดใหญ่กว่าที่เคยปรากฏมาก่อน เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ต่อเรือรบและเรือลาดตระเวนเหล่านี้ที่เมืองตรัง และเมืองสตูล เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๒-๒๓๕๔ และในพ.ศ.๒๓๖๔-๒๓๖๖ ได้ต่อเรือรบเป็นจำนวนถึง ๑๕๐ ลำ ที่บ้านดอน เจ้าพระยานคร (น้อย) มีกองทัพเรือขนาดใหญ่ซึ่งเป็นกองทัพเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่เมืองตรัง ประกอบด้วยขบวนเรือทั้งหมด ประมาณ ๓๐๐ ลำ เป็นกองทัพเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในราชอาณาจักรขณะนั้น เพราะแม้ทางกรุงเทพมหานครเองก็เพิ่งจะมาตื่นตัวในการสร้างกองทัพเรือขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อไทยเริ่มเป็นศัตรูกับญวน
๔. ด้านการพัฒนาเครื่องถม “เครื่องถม” เป็นหัตถกรรมชั้นสูงที่ชาวนครทำสืบทอดกันมาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง เป็นฝีมือการรังสรรค์ของชาวนครโบราณที่ได้รับสืบทอดความรู้จากชาวโปรตุเกสที่มาติดต่อค้าขาย งานศิลปหัตถกรรมกลายเป็นงานฝีมือเอกลักษณ์ของเมือง ล่วงมาถึงสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นเจ้าเมืองก็ได้พัฒนางานนี้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง โดยกะเกณฑ์เอาเชลยชาวเมืองไทรบุรีที่มีฝีมือช่างโลหะอยู่ก่อนแล้ว มาฝึกฝนทำเครื่องถมจนชำนาญ เจ้าพระยานคร (น้อย) ให้การเอาใจใส่ดูแลอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเป็นผู้มีความประณีตบรรจงในงานช่างเป็นทุนอยู่แล้ว เครื่องถมในสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) จึงโดดเด่นเป็นพิเศษ งานถมชิ้นใดที่สวยงามเป็นเลิศก็มักนำไปทูลเกล้าฯ ถวายทุกครั้งที่เข้าเฝ้าฯ จนกล่าวได้ว่ามีจำนวนมากมายในราชสำนัก ที่มา https://sites.google.com/benjama.ac.th/benjama1
ตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
ตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
ตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยาเป็นต้นมา จนกระทั่งมีการปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีหลักฐานปรากฏว่าได้มีการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ๖ ครั้งคือ
ครั้งที่ ๑ เมื่อปีจอ จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๐๔ (ปีพ.ศ.๒๒๕๕) ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ทรงตั้งพระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช
ครั้งที่ ๒ เมื่อปีวอก อัฐศก จุลศักราช ๑๑๓๘ (ปีพ.ศ.๒๓๑๙) ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงตั้งเจ้านครฯ (หนู) เป็นเจ้าเมืองประเทศราช
ครั้งที่ ๓ เมื่อปีมะโรง ฉศก จุลศักราช ๑๑๔๖ (ปีพ.ศ.๒๓๒๗) พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงตั้งเจ้าพัฒน์เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์)
ครั้งที่ ๔ เมื่อปีมะแม ตรีศก จุลศักราช ๑๑๗๓ (ปีพ.ศ.๒๓๕๔) พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) เป็นพระยานครศรีธรรมราช (น้อย)
ครั้งที่ ๕ เมื่อปีฉลู ตรีศก จุลศักราช ๑๒๐๓ (ปีพ.ศ.๒๓๘๔) พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระเสน่หามนตรี (น้อยกลาง) เป็นพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง)
ครั้งที่ ๖ เมื่อปีเถาะ นพศก จุลศักราช ๑๒๒๙ (ปีพ.ศ.๒๔๑๐) พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระเสน่หามนตรี (หนูพร้อม) เป็นพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม)
การตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชทั้ง ๖ ครั้ง มีพิธีการและรายละเอียดแตกต่างกันพอจะแยกได้เป็น ๓ สมัย คือการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาตอนปลายการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงธนบุรี และการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์การตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาตอนปลายตามสำเนากฎเรื่องตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ในปี พ.ศ.๒๒๘๕ มีรายละเอียดและขั้นตอนที่สำคัญดังนี้คือ
(๑) คุณสมบัติของผู้ที่เหมาะสมจะเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยามีเพียงสั้นๆ ว่า ".ถ้าเสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ่มีบำเหน็จความชอบในราชกิจ สมเด็จบรมบพิตรจะปลูกเลี้ยงให้ออกไปรั้งเมืองครองเมือง..." เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาจึงเป็นขุนนางจากส่วนกลางไม่ใช่บุคคลในท้องที่ และไม่มีการสืบต่อตำแหน่งเจ้าเมืองทางสายโลหิตอย่างสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
(๒) การตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาเป็นหน้าที่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง ในพิธีการแต่งตั้งนั้นจะมีข้าหลวงจากกรมอาลักษณ์ กรมวัง กรมคลัง และกรมมหาดไทย จำทูลพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏ เสด็จไปมอบเมืองนครศรีธรรมราชให้แก่เจ้าเมืองคนใหม่ที่เมืองนครศรีธรรมราช แต่อย่างไรก็ตาม เมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่สมัยพระเพทราชาเป็นต้นมา จนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ขึ้นกับกรมท่ามีพระยาโกษาธิบดีเป็นผู้ควบคุมดูแล เพิ่งโอนมาขึ้นกรมสมุหพระกลาโหมในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
(๓) ข้าหลวงที่เชิญพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์และพระสุพรรณบัฏไปมอบเมืองนครศรีธรรมราชให้แก่พระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราชในปี พ.ศ.๒๒๘๕นั้นประกอบด้วย "นายเฑียรฆราษอาลักษณ์ นายสวัสดิ์ภักดี ชาววังโกชาอิสหาก นายพิทักษ์ราชา นายชาญอาวุธ และแวงจัตุลังคบาท." เมื่อข้าหลวงเชิญพระราชโองการออกไปถึงบ้านใดเมืองใดตำบลใด ก็ให้ "ผู้จำทูลว่าแก่ผู้รักษาเมืองผู้รั้งกรมการ นายบ้าน นายอำเภอ และนายขนอนด่านคอย (ดู ด่านคอย) ณ ตำบลนั้น แต่งพานขันหมาก ข้าว ดอกไม้ ธูปเทียน มากราบถวายบังคมพระราชโองการจงทุกหัวเมือง
ถ้าจะเชิญพระราชโองการเสด็จจากที่นั้น ตำบลนั้นไปก็ให้กรมการ นายขนอนด่านคอย และนายบ้าน นายอำเภอ แต่งเรือแห่แหนป้องกันพิทักษ์รักษา ส่งสืบกันไป ตามธรรมเนียมพระราชโองการเสด็จไปมอบเมืองแต่ก่อนนั้นจงทุกหัวเมืองกว่าจะถึงเมืองนครศรีธรรมราช อย่าให้เป็นเหตุประการใดได้ .."
(๔) ในการเชิญพระราชโองการของข้าหลวงออกไปนั้นมีข้อห้ามที่ต้องปฏิบัติต่างๆ มากมาย เป็นต้นว่าจะพักแรมอยู่ช้านาน ๒-๓ วันไม่ได้ จะให้คนกางร่ม โพกศีรษะเข้ามาใกล้พระราชโองการไม่ได้ เจ้าเมืองกรมการเมืองจะต้องแต่งคนมารักษาพระราชโองการ ถ้าเชิญพระราชโองการผ่านเมืองเพชรบุรีจะต้องนำพระราชโองการขึ้นไว้ ณ หอพระราชโองการเมืองเพชรบุรี เมื่อพระราชโองการเสด็จไปเป็นระยะทาง ๑-๒ วันให้ว่ากล่าวแก่เจ้าเมืองกรมการ ณ ตำบลนั้นให้ปลูกหอพระราชโองการเป็นมณฑป ตั้งระเนบียด รั้วไก่ ร้านไฟ ทิมดาบและเกยซ้ายขวา
(๕) ก่อนที่พระราชโองการจะเสด็จไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชให้มีข่าวแจ้งไปถึงปลัด ยกกระบัตรและกรมการเมืองนครศรีธรรมราชให้ปลูกหอเป็นมณฑป ตั้งระเนียด รั้วไก่ ร้านไฟ ทิมดาบและเกยซ้ายขวาพร้อมทั้งฉนวนและเกยช้างสำหรับพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์และพระสุพรรณบัฏไว้ให้พร้อม แล้วเกณฑ์พระ หลวง ขุน หมื่นในเมืองนครศรีธรรมราชพร้อมด้วยธงทิว ฆ้อง กลอง แตรสังข์ ไปแห่ต้อนรับพระราชโองการตราพระครุทพ่าห์และพระสุพรรณบัฏนำขึ้นไปประทับอยู่บนพระมณฑลแต่งขุน หมื่น กรมการควบคุมไพร่พลรักษาอย่าให้เกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้นได้
(๖) หลังจากนั้นให้เจ้าหน้าที่ตกแต่งพระวิหารวัดพระมหาธาตุฯ เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อทำพิธีมอบเมืองให้แก่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนใหม่ ในพิธีนั้นให้กรมการนิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะ ๕ รูป และพระอันดับ ๑๕ รูป มาร่วมทำพิธีสงฆ์ให้พระ หลวง ขุน หมื่น กรมการที่มาร่วมในพิธีนุ่งสมปักขาว ห่มเสื้อขาวแต่งพานหมากถวายบังคม และให้ตั้งแถวแห่เรียงกันไปจนถึงพระวิหาร แล้วให้ประโคมแตรสังข์ฆ้อง กลอง พร้อมกันนั้นข้าหลวงผู้จำทูลพระราชโองการอัญเชิญพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏเสด็จเข้าไปในพระวิหารนั่งเหนือเดียงทอง ลาดผ้าขาว ตั้งเบญจาแล้วไขม่านปิดไว้ แล้วให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนใหม่นุ่งผ้าสมปักขาว ชายกรวย ห่อเสื้อขาวใส่พอกเกี้ยวดอกไม้ไหวขึ้นคานหามให้หลวง ขุน หมื่น แห่เข้ามาถึงประตูพระวิหาร ให้นั่งหน้าเบญจาห่างมาประมาณ ๔ ศอก มีพานขันหมากถวายบังคม ให้เจ้าพระยานครฯ และ พระ หลวงขุน หมื่น กรมการทั้งปวงถวายบังคมให้พร้อมกัน แล้วผู้จำทูลพระราชโองการและอาลักษณ์ซึ่งนุ่งขาวกราบถวายบังคม๓ ลา ให้นายแวงผู้จำทูลไขย่นพานย่นเจียดถุงกล่องออกแล้วเชิญพระราชโองการส่งให้อาลักษณ์ยืนบนผ้าแดงและพรมอ่านพระราชโองการมอบเมืองให้แด่พระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยานคร
(๗) ครั้นอ่านพระราชโองการเสร็จแล้ว ให้ปลัด ยกกระบัตรและกรมการเมืองนครศรีธรรมราชประนมมือเหนือศีรษะรับสั่งตราพระราชโองการว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงขอรับพระราชโองการมาณพระบัณฑูรด้วยเกล้าฯ ครั้นรับสั่งแล้วให้กราบถวายบังคม ๓ ลา
(๘) หลังจากนั้นจึงอ่านพระสุพรรณบัฏพระราชทานชื่อแก่เจ้าพระยานครฯ เจ้าพระยานครฯ รับสั่งว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระราชโองการพระบัณฑูรด้วยเกล้าฯ จึงส่งพระสุพรรณบัฏให้แก่เจ้าพระยานครฯ จึงให้เจ้าพระยานครฯ แต่งพานมุกรองเหมทองรับพระสุพรรณบัฏไว้ตามธรรมเนียม
(๙) แล้วให้อาลักษณ์เชิญตราพระครุฑพ่าห์ชูขึ้นเหนือศีรษะพร้อมทั้งร้องประกาศว่า "คงตราพระครุฑพ่าห์แล้ว" ๓ ครั้ง จึงให้หลวงปลัดและกรมการทั้งปวงกราบถวายบังคมแล้วรับสั่งตราพระครุฑพ่าห์ว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงขอรับพระราชโองการมาณพระบัณฑูรซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯมานี้ทุกประการ แล้วจึงให้ประโคม ฆ้อง กลอง แตรสังข์ ๓ ลาแล้วเชิญพระราชโองการและตราสังข์ครุฑพ่าห์เสด็จขึ้น แล้วให้เจ้าพระยานครฯ และกรมการทั้งปวง กราบถวายบังคม ๓ ลาแล้วให้ชักม่านไขเข้า
(๑๐) ครั้นเสร็จแล้วจึงให้เผดียงพระสงฆ์ราชาคณะและพระสงฆ์อันดับ สวดถวายพระพรพระพุทธเจ้าจนจบสัพพพุทธาและภวตุสัพพมังคลังและสวดพระพุทธมนต์ต่อ จบแล้วให้ประโคมฆ้อง กลอง แตรสั่งข์ แล้วให้พระ หลวง ขุน หมื่นแห่แหนเชิญพระราชโองการและตราพระครุฑพ่าห์ เสด็จมา ณ มณฑปอีกครั้งตามธรรมเนียม เป็นอันเสร็จพิธีมอบเมือง
(๑๑) หลังจากนั้นข้าหลวงจำทูลพระราชโองการว่ากล่าวแก่เจ้าพระยานครฯ ให้แต่งหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายสนองพระราชโองการ หนังสือปฏิบัติ ฯพณฯ โกษาธิบดี และเครื่องราชบรรณาการ สำหรับสนองพระราชโองการและสิ่งของสนองหนังสือ ฯพณฯ โกษาธิบดี พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมมอบเมืองค่าธรรมเนียมแต่งตราพระราชโองการตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏและค่าธรรมเนียมสำหรับผู้เชิญตราพระราชโองการแก่เจ้าพระยานครฯ
(๑๒) ให้เจ้าพระยานครฯ และกรมการแต่งพระ หลวง ขุน หมื่น คุมไพร่พร้อมด้วยอาวุธครบมือ และเรือแห่แหนป้องกันรักษาพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์ และเครื่องราชบรรณาการ เมื่อเชิญเสด็จกลับเมืองหลวง
(๑๓) ข้าหลวงที่จำทูลพระราชโองการไปนั้น ห้ามมิให้เอากิจราชการในเมืองหลวงไปบอกเล่าแก่คนทางหัวเมืองปักษ์ได้เด็ดขาด ห้ามวิวาท ฆ่าฟัน ฉกชิง ฉ้อ ทำข่มเหงเอาพัสดุทองเงินและทรัพย์ อัญมณีแก่สมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎร์ ลูกค้าวาณิชเป็นอันขาด
(๑๔) เจ้าพระยานครศรีธรรมราชต้องเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้แก่ข้าหลวงจำทูลพระราชโองการดังนี้คือ
๑. กรมอาลักษณ์ผู้แต่งตราพระราชโองการได้ค่าธรรมเนียม ๑๒๐ บาท
๒. กรมแสงในได้ค่าธรรมเนียมรักษาตราพระราชโองการและตราพระครุฑพ่าห์ ๑๒๐ บาท
๓. สนมผู้เชิญตราพระราชโองการและตราพระครุฑพ่าห์ ๔๐ บาท
๔. คนหามเสลี่ยงและแตรสังข์คนละ ๑ บาท
๕. ค่าชักม่าน ค่าปี กลอง รวมทั้งหมด ๖ บาท
(๑๕) พระราชโองการมอบเมืองนครศรีธรรมราช ปีพ.ศ.๒๒๕๕ มีข้อความดังนี้คือ พระราชโองการพระบาทสมเด็จพระศรีสรรเพชญ สมเด็จพระเอกาทศรถอิศวร บรมนาถบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัวคือองค์สมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าพระเจ้าปราสาททอง พระเจ้าช้างเนียม พระเจ้าช้างเผือกทรงทศพิธราชธรรมอนันตสมภาราดิเรก เอกอุดมบรมจักรพรรดิสุนทรธรรมิกราช บรมนาถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาตรัสเอาพระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ชาติเดโชไชย มไหศุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เจ้าพระยานครศรีธรรมราชครั้นพระราชโองการแลตราพระครุฑพ่าห์เสด็จโดยสวัสดิภักดี ชาววังแลโกชาอิสหากกรม คลังนายพิทักษ์ราชานายชาญอาวุธแวงจัตุลังคบาทจำทูลมานี้ไช้ ให้หลวงศรีราชสงครามรามภักดี ปลัดหลวงภักดีราชยกบัตร แลกรมการทั้งหลายตรวจจัดช้างม้า พลไร่นาอากร สำหรับเมืองโดยขนาด..."
(๑๖) พระสุพรรณบัฏนั้นมีข้อความว่า "ศุภมัสดุ สุวดิการยดิเรก ๑๖๖๔ ศก โสณสังวัจฉรมฤคสิรมาสศุกรปักษ์เทวดิถีพูฒวารศุภมหุรดิพระบาท พระศรีสรรเพชญ สมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาพระราชทานนามกรพระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราชชาติเดโชไชย มไหศุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช..."
(๑๗) ในหนังสือสนองพระราชโองการนั้น มีข้อความว่า"...ข้าพระพุทธเจ้า เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราชชาติเดโซไชยมไหศุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เจ้าพระยานครศรีธรรมราชขอกราบถวายบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ด้วยข้าพเจ้า (ชื่อ) แลแวงจัดุลังคบาทซ้ายขวาจำทูลพระราชโองการ แลตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏเสด็จไปมอบข้าพระพุทธเจ้าแล้ว แลข้าพระพุทธเจ้าเชิญพระราชโองการ แลตราพระครุฑพ่าห์เสด็จกลับโดย (ชื่อ) แลนายแวงจตุลังคบาทเข้ามากราบถวายบังคม พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมทูลพระกรุณาพระบาทพระพุทธเจ้าอยู่หัว..."
การตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงธนบุรีหลังจากเจ้านราสุริยวงศ์ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ.๒๓๑๙ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านครฯ(หนู) กลับออกมาปกครองเมืองนครศรีธรรมราชใหม่อีกครั้งหนึ่งดังปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุกรุงธนบุรี จ.ศ.๑๑๓๔ เลขที่ ๖ และ ๗ เรื่องตั้งพระเจ้านครศรีธรรมราช และสำเนากฎตั้งพระเจ้านครศรีธรรมราช ซึ่งมีขั้นตอนและพิธีการพอจะสรุปได้ดังนี้คือ
(๑) พิธีการตั้งเจ้านครฯ (หนู) เป็นเจ้าขัณฑสีมาพระเจ้านครศรีธรรมราชในปี พ.ศ.๒๓๑๙ นั้น เหมือนกับการตั้งพระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมราชในปี พ.ศ.๒๒๘๕ ทุกประการ คล้ายกับเลียนแบบกัน กล่าวคือให้ขุนสกลมณเฑียร กรมวัง ขุนวิเศษนุชิต กรมคลัง นายเฑียรฆราชอาลักษณ์ นายจิตรบำเรอแวงตำรวจนอกซ้าย นายบัลลังก์ กุญชรแวงดำรวจในขวา และแวงจัตุลังคบาทจำทูลพระราชโองการตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏออกไปมอบเมืองเหมือนกัน ต่างกันแต่เพียงตั้งให้เจ้านคร (หนู) เป็นเจ้าขัณฑสีมาหรือเจ้าประเทศราช ไม่ใช่เจ้าเมืองพระยามหานครชั้นแรกอย่างในปี พ.ศ.๒๒๘๕ เท่านั้น
(๒) ในจดหมายเหตุกรุงธนบุรี จ.ศ.๑๑๓๘ เรื่องตั้งพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) นั้น ได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการทำพระสุพรรณบัฏ กล่องทองสำหรับใส่พระสุพรรณบัฏ กล่องเงินสำหรับใส่กล่องพระสุพรรณบัฏ กล่องทองสำหรับใส่พระราชโองการ ผอบทองสำหรับใส่ตราพระครุฑพ่าห์ และกล่องเงินสำหรับใส่ผอบทองรองตราพระครุฑพ่าห์ด้วย พร้อมทั้งให้ช่างกลึงกล่องงาสำหรับใส่พระราชโองการและพระสุพรรณบัฏ ทำเจียดลายทองสำหรับใส่ผอบตราพระครุฑพ่าห์อีกชั้นหนึ่งด้วย นอกจากนั้นยังมีพานรองแว่นฟ้าหรือพานรองมุก ๓ สำรับ สำหรับใส่พระราชโองการตราพระครุฑพ่าห์และพระสุพรรณบัฏ
(๓) ในจดหมายเหตุฉบับเดียวกันได้กล่าวถึงทพิธีการเชิญพระราชโองการตรา พระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏจากกรุงธนบุรีออกไปมอบเมืองให้แก่พระเจ้านครศรีธรรมราช(หนู) แล้วกลับไว้อย่างละเอียด ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างไปจากสมัยอยุธยาอยู่บ้าง เกี่ยวกับการเชิญและการแห่แหน พระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏ
(๔) พระราชโองการในสมัยกรุงธนบุรีมีข้อความว่า"..พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถ อิศวร บรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงทศพิธราชธรรม อนันตสัมภาราดิเรกอุดมบรมจักรพรรดิ สุนทรธรรมิกราช บรมนารถบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาตรัสเอาพระยานครเป็นเจ้าขัณฑสีมานามขัติยราชนิคม สมมุติมไหศวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราช
ครั้นพระราชโองการและตราพระครุฑพ่าห์เสด็จโดยขุนสกลมณเฑียร กรมวัง ขุนวิเศษนุชิต กรมคลัง นายจิตร บำเรอ นายบัลลังก์กุญชร แวงจัตุลังคบาท จำทูลมานี้ไซร้ ให้พระยาราชสุภาวดี ผู้ช่วยราชการ และพระยา พระ หลวงเสนาบดี ขุนหมื่น มหาดเล็ก ข้าเฝ้าทั้งหลาย ตรวจจับเครื่องราชบริโภคสำหรับกษัตริย์ประเทศราชพระราชทานมอบโดยขนาด"
(๕) พระสุพรรณบัฏในสมัยนี้มีข้อความว่า "...ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยานครคืนเมือง เป็นเจ้าขัณฑสีมานามขัติยราชนิคม สมมุติมไหศวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราชเศกไป ณ วันอาทิตย์ เดือนสิบเอ็ด ขึ้นสามค่ำ จุลศักราช ๑๑๓๗ ปีวอกอัฐศก..."
(๖) หนังสือสนองพระราชโองการมีข้อความว่า "...ข้าพระพุทธเจ้าพระเจ้านครศรีธรรมราช ขอกราบถวายบังคมทูลพระกรุณา แด่พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระอนันตคุณอันมหาประเสริฐ ด้วยข้าพระพุทธเจ้าขุนวิเศษนุชิต กรมคลัง ขุนสกลมณเฑียร กรมวัง นายเฑียรฆราช-อาลักษณ์ นายจิตรบำเรอแวงซ้าย นายบัลลังก์กุญชร แวงขวา แวงจัดุสังคบาทจำทูลพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์และพระสุพรรณบัฏ เสด็จไปพระราชทานมอบเมืองให้ข้าพระพุทธเจ้า ทรงพระนามขัติยราชนิคมสมมุติมไทศวรรย์เจ้าขัณฑสีมาเมืองนครศรีธรรมราชเสร็จแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเชิญพระราชโองการ และตราพระครุฑพ่าห์ เสด็จกลับโดยขุนวิเศษนุชิต กรมคลัง ขุนสกลมณเฑียร กรมวัง นายเฑียรฆราชอาลักษณ์...แวงจัตุลังคบาท เข้ามากราบถวายบังคมแด่พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมทูลพระกรุณา แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว บรมสุจริตปฏิการาธิคุณอดุลยดิเรกเอกสัตยาในขัติยราชสมมุติมไหศวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราช ถวายอภิวาทบังคมแด่ พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนารถบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระอนันตคุณอันมหาประเสริฐ..."
(๗) การตั้งพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในปี พ.ศ.๒๓๑๙ มีข้อแตกต่างไปจากการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาอยู่ประการหนึ่งคือมีการกำหนดภาระหน้าที่ของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชไว้ในกฎตั้งด้วย ในสมัยอยุธยาได้กำหนดภาระหน้าที่ของเจ้าเมืองไว้ต่างหากในพระราชกำหนดเก่า มาตรา ๒๓ ซึ่งต่อมารวบรวมไว้ในกฎหมายตราสามดวงในกฎตั้งพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู)หน้าที่ของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชไว้หลายประการ แต่พอจะจำแนกได้ ๔ ประการ คือประการแรก เป็นหน้าที่เกี่ยวกับนั้น ได้กำหนดการป้องกันและรักษาพระราชอาณาเขตทางหัวเมืองภาคใต้ประการที่ ๒ การรักษาความสงบภายในหัวเมืองนครศรีธรรมราชและประการที่ ๓ การจัดรวบรวมและเก็บภาษีอากรส่งเข้าท้องพระคลังหลวงในกรุงธนบุรี ประการที่ ๔ เป็นหน้าที่เกี่ยวกับความประพฤติส่วนพระองค์ของพระเจ้านครศรีธรรมราชและมีราชการพิเศษเกี่ยวกับหัวเมืองประเทศราชมลายูโดยเฉพาะปัตตานีและไทรบุรีอีกด้วย
(๘) การป้องกันรักษาพระราชอาณาเขตทางใต้ ได้แก่การตรวจตราดูแลกำแพงเมือง ฝึกหัดทหาร จัดหาอาวุธปืนต่อเรือรบเรือลาดตระเวนไว้ เป็นต้น การรักษาความสงบภายในหัวเมืองนครศรีธรรมราช ได้แก่ การบริหารบ้านเมืองด้วยความยุติธรรมวางตัวเป็นกลาง ทำนุบำรุงพระศาสนา ส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนของพระ เป็นต้น การเก็บภาษีอากรนั้นพระเจ้านครศรีธรรมราช ต้องจัดการดูแลอย่างใกล้ชิดให้เสร็จเรียบร้อยอยู่เสมอ และรีบบอกส่งเข้าไปยังเมืองหลวง ถ้าขัดสนจะขอไว้ใช้ก็ให้มีหนังสือบอกเข้าไปทางเมืองหลวงให้ทราบ เป็นต้น หน้าที่ส่วนตัวของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชก็คือให้รักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรือศีล ๑๐ เป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความประมาท และเป็นที่เคารพนับถือของประชาชน ส่วนราชการพิเศษก็คือให้พระเจ้านครศรีธรรมราชมีตราออกไปยืมเงินเมืองปัตตานีและเมืองไทรบุรีเมืองละ ๑,๐๐๐ ชั่ง ซึ่งปรากฏว่าทำไม่สำเร็จ หัวเมืองทั้ง ๒ เฉยเมยและตั้งแข็งเมืองภายหลัง
การตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยรัตนโกสินทร์
พิธีการแต่งตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จะแตกต่างไปจากสมัยอยุธยาและกรุงธนบุรีหลายประการ เป็นต้นว่าไม่มีการจำทูลพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์ และพระสุพรรณบัฏ เสด็จออกมามอบเมืองอีกและการแต่งตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในยุคนี้เป็นเพียงการแต่งตั้งเจ้าเมืองหัวเมืองชั้นเอกเท่านั้น พิธีการแต่งตั้งจึงมีแต่ข้าหลวงเชิญกฎพระบรมราชโองการและสารตรา ฯพณฯสมุหกลาโหมออกมาตั้งเจ้าเมืองเท่านั้น พิธีการแต่งตั้งจึงมาเน้นที่บทบาทของสมุหกลาโหมมากกว่า ฯพณฯ โกษาธิบดีในสมัยอยุธยา สำหรับราชทินนามของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งแต่เดิมใช้เจ้าพระยาศรีธรรมโศกราชก็มาสิ้นสุดลงในสมัยเจ้าพระยานคร (น้อยกลาง) ในสมัยพระยานครฯ (หนูพร้อม)เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชที่มาจากตระกูล ณ นคร คนสุดท้ายเปลี่ยนไปใช้ราชทินนามว่า "พระยานครศรีธรรมราช ชาติเดโชไชย มไหศุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ" แทน ไม่ใช่คำว่า "ศรีธรรมาโศกราช" แต่ใช้คำว่า "ศรีธรรมราช" พิธีการแต่งตั้งเจ้าเมืองนครฯ ในสมัยนี้จึงมีที่เหมือนกันกับสมัยกรุงธนบุรีอยู่ประการหนึ่งคือ ทั้ง ๒ สมัยด่างก็มีกฎตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ไม่พบรายละเอียดว่ามีพิธีมอบเมืองหรือไม่ ทำให้เข้าใจว่าคงไม่มีมีแต่เฉพาะให้ข้าหลวงอ่านสารตรา ฯพณฯ สมุหกลาโหม และกฏตั้งให้เจ้าเมืองคนใหม่ พระปลัด ยกกระบัตร และกรมการฟังในพระวิหารวัดพระมหาธาตุฯ เท่านั้น ก็เป็นอันเสร็จพิธีแล้ว
ในสารตรา ฯพณฯ สมุหกลาโหม และกฎพระบรมราชโองการตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้กำหนดภาระหน้าที่ของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชที่จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดละเลยไม่ได้มีโทษไว้หลายประการ พอจะแยกกล่าวได้ดังนี้คือ
(๑) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเตรียมพร้อมทางด้านกำลังคนได้แก่ การจัดทำบัญชีชายฉกรรจ์ การเกลี้ยกล่อมไพร่พลที่หลบหนีอยู่ตามป่าเขาให้กลับเข้ามาตั้งบ้านเรือน ทำนุบำรุงทหารและฝึกหัดทหารให้มีความชำนิชำนาญ ความสามารถในการสู้รบ และบำรุงชาวด่านแต่งตั้งทิดที่สึกใหม่ออกไปเป็นผู้รักษาด่าน
(๒) หน้าที่เกี่ยวกับการเตรียมพร้อมทางด้านพาหนะอาวุธและกำแพง ค่าย คู ประตูเมือง ได้แก่ ดูแลรักษากำแพงค่าย คู ประตูเมืองให้แข็งแรงมั่นคงอยู่เสมอ ตรวจดูปืนกระสุนปืน ดินประสิว และอาวุธอื่นๆ ให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีอยู่เสมอและทำบัญชีเอาไว้ ตรวจดูเรือรบ เรือลาดตระเวนและทำบัญชีช้างม้าและวัดส่วนสูงเอาไว้ เป็นต้น
(๓) หน้าที่เกี่ยวกับการลาดตระเวน และสืบข่าวความเคลื่อนไหวของข้าศึกศัตรู ได้แก่ การจัดเรือรบออกลาดตระเวนทั้งทางด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนและจัดคนออกไปลาดตระเวนด่านปลายราชอาณาเขตที่ติดต่อกับหัวเมืองแขกมลายู เพื่อสอดแนมสืบข่าวให้ทราบว่าพวกแขกยังสงบดีอยู่หรือประการใด เป็นต้น
(๔) หน้าที่ทางด้านการขจัดทุกข์บำรุงสุข และรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหัวเมืองนครศรีธรรมราช ได้แก่หน้าที่ทางฝ่ายดุลาการ การชำระพระอัยการ พระราชกำหนดและพิจารณาพิพากษาคดีด้วยความยุติธรรม หน้าที่ทางฝ่ายบริหาร บริหารบ้านเมืองร่วมกับปลัด ยกกระบัตร กรมการด้วยความยุติธรรมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่งตั้งข้าราชการให้เต็มตามตำแหน่ง ให้ยกกระบัตรมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการคิดราชการบ้านเมืองและการพิพากษาคดีราษฎรของเจ้าเมือง หน้าที่เกี่ยวกับการขจัดทุกข์บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ ต้องมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่สมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎร์ ลูกค้าวาณิช ชักชวนให้ราษฎรรักษาศีลเป็นประจำ ส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนของพระสงฆ์ ช่วยกันปราบปรามโจรผู้ร้าย ดูแลราษฎรไม่ให้คนมาเบียดเบียนฆ่าฟันได้รับความเดือดร้อนและส่งเสริมการทำไร่นาของราษฎร เป็นต้น
(๕) หน้าที่ที่เป็นส่วนตัวของเจ้าเมืองที่จะต้องปฏิบัติต่อราษฎร เช่น ห้ามเจ้าเมืองข่มเหง จับเอาลูกสาว หลานสาวของอาณาประชาราษฎร์ไปเป็นภรรยา หรือคนใช้โดยพลการ ให้สู่ขอตามประเพณี ห้ามเจ้าเมืองเกณฑ์ราษฎรทำบ้านเรือนที่อยู่อาศัยให้แก่บุตรภรรยาและญาติของเจ้าเมือง ห้ามเจ้าเมืองเอาไพร่สมสังกัดมาเป็นไพร่ของเจ้าเมืองเอง
(๖) หน้าที่ที่เจ้าเมืองจะต้องปฏิบัติต่อทางราชธานีได้แก่ จะต้องมีใบบอกสารสุขทุกข์ในเมืองให้ทางราชธานีทราบตลอดเวลา ถ้าไม่มีใบบอกจะมีความผิด มีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต เจ้าเมืองกรมการเมืองจะต้องถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาปีละ ๒ ครั้ง คือในวันตรุษและวันสารท และจะต้องส่งภาษีอากรไม่ให้ค้างงวดล่วงปี เป็นต้นพิธีการตั้งเจ้าเมืองต่างๆ ให้สิ้นสุดลงหลังจากการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ หลังจากนั้นเจ้าเมืองต่างๆ รวมทั้งเมืองนครศรีธรรมราชจะได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯออกมาเป็นเจ้าเมือง โดยเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้เสนอและเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการเท่านั้น ไม่ต้องจำทูลพระราชโองการ ตราพระครุฑพ่าห์และพระสุพรรณบัฏออกมามอบเมืองให้แก่เจ้าเมืองคนใหม่ หรือมีสารตราและกฎพระบรมราชโองการออกมาตั้งเจ้าเมืองอีกต่อไป
(สงบ ส่งเมือง)
ที่มา https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/detail.php?id=19737
อำเภอนาบอน
ประวัติความเป็นมา
ทำเนียบข้าราชการนครศรีธรรมราช ครั้งรัชกาลที่ ๒ พ.ศ.๒๓๕๔ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเจ้าพระยา-นครเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีศรีโศกราช ในโอกาสนั้นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพย์ กราบทูลพระกรุณาว่า พระหลวงกรมการเมืองนคร ขาดมิครบตามตำแหน่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นให้ครบดามตำแหน่ง ณ วันจันทร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีมะเมีย ตรีศก (จ.ศ.๑๑๗๓)ในทำเนียบดังกล่าวนี้มีตำแหน่ง ขุนโจมธานี นายที่นาบอน
นา ๔๐๐ ฝ่ายซ้าย ขุนศักดิ์ รองนายที่นาบอน นา ๒๐๐ และบ่งว่าที่วัดนาบอน เป็นที่เลณฑุบาตในที่ชมาย หลักฐานอันนี้แสดงว่าในปี พ.ศ.๒๓๕๔ นาบอนมีฐานะเป็นตำบลสำคัญตำบลหนึ่ง รองกว่าชมาย ซึ่งมีขุนกำแหงธานี ถือศักดินา ๘๐๐ เป็นนายที่ เมื่อนำฐานะของนายที่อื่นๆ ประกอบกัน พบว่าหลักฐานะของนาบอน อยู่ในระดับเดียวกับ เคร็ง, พนังดุง,พังไกร, นบทิตำ (นบพิดำ) เล็กกว่าที่เบี้ยซัด ร่อนพิบูลย์ที่เก้าระวาง (ระโนด) ช้างซ้าย ชื่อตำบลเหล่านี้มีนายที่ถือศักดินา ๘๐๐
เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐ ได้มีการจัดการปกครองแผนใหม่ ที่นาบอนและที่ทุ่งสงได้ตั้งเป็นตำบลนาบอนและตำบลทุ่งสง อยู่ในเขตการปกครองอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ชวลิต อังวิทยาธร กล่าวไว้ใน "จีน : ประวัติศาสตร์โบราณคดี ผู้คนและวัฒนธรรมนครศรีธรรมราช" ว่าในราวพ.ศ.๒๕๗๒-๒๔๗v๓ ชาวจีนที่ใช้ภาษาฮกจิ๋ว จากอำเภอฮกจิ๋วมณฑลฮกเกี้ยนที่เคยอพยพมาอยู่ที่เปรัค ประเทศมาเลเซียได้อพยพเข้ามาอยู่ในบ้านนาบอนและบ้านจันดี จังหวัดนครศรีธรรมราช ทำให้เกิดประเพณีการสวดศพของจีนฮกจิ๋วซึ่งเรียกว่า "ชวงชัว" ที่อำเภอนาบอน ซึ่งเน้นกิจกรรมของศาลเจ้าที่เป็นลัทธิผสมผสานความเชื่อระหว่างเต๋ำขงจื้อกับพุทธศาสนามหายาน ซึ่งมี ๓ ศาลเจ้า คือ ศาลเจ้าจงซิ่นเต้าถ่าน ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๙ ศาลเจ้าฟุกกงถ่าน ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ และศาลเจ้าไท่ฮั่วสัมถ่าน ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๖ และที่คลองจันดี มีศาลเจ้า ฟุกกงถ่าน ก่อตั้งเมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๓๙ มีสมาชิกทั้งหมดเกือบ ๕๐๐ คน สมาชิกร้อยละ ๙๕ เป็นชาวฮกจิว ชาวฮกจิวที่นาบอนและคลองจันดีเป็นบรรพบุรุษของชาวฮกจิวในประเทศไทย
นาบอน ซึ่งเป็นตำบลในเขตอำเภอทุ่งสง ต่อมาเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๘ ได้ยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอ โดยได้แยกตำบลทุ่งสง ตำบลนาบอน และบางส่วนของตำบลนาโพธิ์มาสังกัด จนถึง พ.ศ.๒๕๒๔ ได้ยกฐานะเป็นอำเภอนาบอนตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๘ ตอนที่ ๑๑๕ลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๔ ที่ว่าการอำเภอนาบอนถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ยกกำลังเข้าโจมตีและเผา ๒ ครั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๐ และครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๕
สถานที่ตั้งที่ว่าการอำเภอนาบอนในปัจจุบัน เป็นที่ซึ่งนายบุญทอง สันติกาญจน์ บริจาคให้เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคมพ.ศ.๒๕๑๕ จำนวน ๒๕ ไร่
สภาพทั่วไป
นาบอน เป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ประมาณ ๑๙๒.๘๙๔ ตารางกิโลเมตร ที่ว่าการอำเภอห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๗๗ ตารางกิโลเมตร
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไป พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มอยู่ในบริเวณที่ราบเชิงเขา คือ พืดเขานครศรีธรรมราช เขาเหมน เป็นภูเขาลูกหนึ่งในเทือกเขานครศรีธรรมราชมีถ้ำที่พบพระพิมพ์ศิลปะศรีวิชัยมีหลายรูปแบบ เขาเหมนยังอุดมด้วยแร่ธาตุและพรรณไม้หลายชนิด เช่น พวงมุก ส้มแปะ หญ้าข้าวก่ำ เปล้าน้ำทอง ข้าวตอกฤๅษี ดอกสิงโต บัวแฉกเล็ก เป็นต้นการคมนาคมมีทั้งทางรถไฟ และรถยนต์
ลักษณะภูมิอากาศ อำเภอนาบอนมี ๒ ฤดูกาล ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงปลายเดือนธันวาคม โดยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และฤดูร้อนเริ่มเดือนมกราคมจนถึงเดือนเมษายนในระยะเดือนพฤศจิกายน จะเป็นช่วงที่มีฝนตกมากที่สุดทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งน้ำที่สำคัญ พื้นที่ทำการเกษตรของอำเภอนาบอนส่วนใหญ่อาศัยแหล่งน้ำธรรมชาติ คือน้ำฝนและลำธารต่างๆ
แหล่งน้ำธรรมชาติมีลำคลองสายเล็กๆ ได้แก่ คลองจัง อยู่ทางทิศเหนือของอำเภอนาบอน โดยน้ำไหลผ่านในท้องที่หมู่ที่ ๔, ๕, ๖ และ ๗ ของตำบลนาบอน มีน้ำไหลตลอดปี คลองบิน อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอนาบอน ต้นน้ำเกิดจากแม่น้ำตาปี ไหลผ่านตำบลแสนแก้ว และตำบลนาบอนมีน้ำไหลตลอดปี
จากการสำรวจในปี พ.ศ.๒๕๓๙ อำเภอนาบอนมีประชากรรวมทั้งสิ้น ๒๗,๔๙๗ คน ชาย ๑๓,๗๓๓ คน หญิง ๑๓,๗๖๔คน ประชากรนับถือพุทธศาสนา ประมาณร้อยละ ๙๙ และนับถือศาสนาคริสต์ร้อยละ ๑ วัฒนธรรมโดยทั่วไปแล้วแตกต่างจากอำเภออื่นๆ เช่น การใช้วงกาหลอแห่นำหน้าศพและมีประเพณีที่สำคัญคือ "ประเพณีปิดกรีด" (สิ้นสุดฤดูกาลกรีดยางพารา) เป็นประเพณีที่จัดขึ้นเฉพาะท้องถิ่นนี้ ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมของทุกปี
ลักษณะสภาพเศรษฐกิจทั่วไป ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางเกษตรเป็นหลัก คือ การทำสวนยางพารา สวนกาแฟ สวนโกโก้ และการทำนา เนื่องจากมีการปลูกยางพารามาก ดังนั้นจึงมีโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการแปรรูปยางดิบต่างๆ เช่น โรงงานน้ำยางข้น โรงรมยาง โรงงานผลิตแอร์ดรายซีส เพื่อรับรองผลผลิต อำเภอนาบอนยังเป็นที่ตั้งขององค์การสวนยางนาบอนที่สำคัญของการยาง ในเขตนครศรีธรรมราช สามารถผลิตยางส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศปีละมากกว่า ๒๕๐,๐๐๐ ตัน ทำรายได้แก่ประเทศปีละประมาณ ๔,๐๐๐ ล้านบาท
อำเภอนาบอนแบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๓ ตำบล ๒๙ หมู่บ้าน ดังนี้ ตำบลนายม ตำบลแก้วแสน และตำบลทุ่งสง
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ คือ น้ำตกคลองจัง และสวนสาธารณะหนองไม้ตายเฉลิมพระเกียรติ (อัมมร ธุระเจน)
ที่มา https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/detail.php?id=20790
อำเภอเฉลิมพระเกียรติ
อำเภอเฉลิมพระเกียรติ
ประวัติความเป็นมา
ตามพระราชกฤษฎีกาตั้งอำเภอเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ.๒๕๓๙ หน้าที่ ๑ เล่มที่ ๑๑๓ ตอนที่ ๖๒ ก ราชกิจจานุเบกษาวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๙ ให้แยกพื้นที่ตำบลเชียรเขา ตำบลดอนตรอ ตำบลสวนหลวง อำเภอเชียรใหญ่ และตำบลทางพูน อำเภอร่อนพิบูลย์ ตั้งเป็น "อำเภอเฉลิมพระเกียรติ" เหตุผลในการประกาศพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ เพื่อให้บริการของรัฐอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและส่งเสริมความเจริญตลอดจนเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบห้าสิบปี ในวาระเดียวกันตามพระราชกฤษฎีกานี้มีการตั้งอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ๕ อำเภอทั่วประเทศ ได้แก่ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๙ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีสำนักงานชั่วคราว ณ อาคารเรียนโรงเรียนวัดสระไคร หมู่ที่ ๙ ตำบลเชียรเขา โดยเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๙ ส่วนอาคารที่ทำการถาวรก่อสร้างเสร็จและเปิดใช้เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๐
การจัดตั้งอำเภอเฉลิมพระเกียรติ มีความเป็นมาน่าสนใจที่สามารถรวมท้องที่ของอำเภอต่างๆ มากกว่า ๑ อำเภอได้ คือ มีทั้งท้องที่ตำบลจากอำเภอร่อนพิบูลย์ และตำบลจากอำเภอเชียรใหญ่ ประกอบกันขึ้นเป็นอำเภอใหม่ ประการหนึ่ง และการตั้งคราวนี้เป็นการตั้งเป็นอำเภอ โดยมิได้ผ่านการเป็นกิ่งอำเภอมาก่อน อีกประการหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากอำเภอเชียรใหญ่ได้เปิดสาขาสวนหลวง ให้บริการประชาชนเกี่ยวกับงานทะเบียนต่างๆ ใน ๓ ตำบล คือ ตำบลดอนตรอ ตำบลสวนหลวง และตำบลเชียรเขา ในวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อรองรับการขอตั้งกิ่งอำเภอ ต่อจากนั้นเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๓๙ จังหวันครศรีธรรมราชขอจัดตั้งกิ่งอำเภอสวนหลวง กรมการปกครอง ได้แจ้งให้จังหวัดเสนอการจัดตั้งอำเภอเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบห้าสิบปี โดยรวมเอาท้องที่ตำบลจากสองอำเภอดังกล่าวแล้วคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๙ อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งอำเภอเป็นกรณีพิเศษ ๕ แห่ง ดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ผ่านการเป็นกิ่งอำเภอ และกระทรวงมหาดไทยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใช้ชื่ออำเภอเฉลิมพระเกียรติทั้ง ๕ แห่ง พร้อมทั้งขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใช้ตราสัญลักษณ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ประดับไว้ที่อาคารที่ว่าการอำเภอ ต่อมาสำนักราชเลขาธิการได้มีหนังสือแจ้งอนุญาตตามเสนอ ตามหนังสือที่ รล ๐๐๐๓/๑๐๘๐๐ ลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๙
สภาพทั่วไป
อำเภอเฉลิมพระเกียรติขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราชมีพื้นที่ประมาณ ๑๒๔.๑๔๕ ตารางกิโลเมตร ที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่บนสันทรายเชียรใหญ่ ทางทิศใต้ของศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ห่างจากศาลากลางประมาณ ๓๐ กิโลเมตรบนเส้นทางหลวงแผ่นดินสายนครศรีธรรมราช-บ่อล้อ-หัวไทร-สงขลา บริเวณหลักกิโลเมตรที่ ๒๓.๕
อาณาเขต
ทิศเหนือ จดตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง และตำบลช้างซ้าย อำเภอพระพรหม
ทิศใต้ จดตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่
ทิศตะวันออก จดตำบลชะเมา อำเภอปากพนัง และตำบลเชียรใหญ่ อำเภอเชียรใหญ่
ทิศตะวันตก จดตำบลควนพัง อำเภอร่อนพิบูลย์ และตำบลบ้านตูล อำเภอชะอวด
อำเภอเฉลิมพระเกียรติ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๔ ตำบล ๓๓ หมู่บ้าน ได้แก่ ดำบลดอนตรอ ตำบลทางพูน ตำบลเชียรเขา และตำบลสวนหลวง ปี พ.ศ.๒๕๓๙ มีประชากรรวมทั้งสิ้น ๓๔,๔๐๕ คน
การคมนาคมของอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ใช้สำหรับติดต่อระหว่างจังหวัด และใช้สำหรับคมนาคมกับอำเภอต่างๆ ที่สำคัญๆ คือ ทางหลวงแผ่นดินสายนครศรีธรรมราช-บ่อล้อ-หัวไทร-สงขลา ทางหลวงแผ่นดินสายปากพนัง-เชียรใหญ่-บ่อล้อ-ชะอวด-บางขัน-ลำทับ ทางหลวงชนบทสายทางพูน-โคกคราม ทางหลวงชนบทสายสระไคร-เชียรเขา ทางหลวงชนบทสายหนองหม้อ-โคกกระถิน ทางหลวงชนบทสายวัดจันทร์-เชียรเขา ทางหลวงชนบทสายบางลิง-เชียรเขา นอกจากนี้ยังมีคลองสำคัญๆเป็นต้นว่า คลองค็อง (ปัจจุบันทางราชการเรียกว่า คลองฆ้อง) คลองใหม่สุรินทร์ คลองชะเมา คลองเชียรใหญ่ และคลองชลประทานแยกคลองชะเมา-คลองค็อง ซึ่งในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้ในการเดินทาง คงมีความสำคัญเฉพาะใช้เดินทางในฤดูฝน
การประกอบอาชีพของประชาชนอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ส่วนใหญ่อยู่บริเวณที่ราบด้านตะวันออกของสันทรายเชียรใหญ่ เพราะมีสภาพพื้นที่ราบเหมาะกับการทำนาข้าว ปลูกถั่วเขียว ทำไร่นาสวนผสม และไม้ดอกไม้ประดับ พบว่ามีพื้นที่ประมาณ ๖๔,๔๙๔ ไร่ ๓,๔๒๕ ไร่ ๒,๔๓๖ ไร่ และ ๓๑๒ ไร่ ตามลำดับ นอกจากนี้ยังปลูกพืชผักต่างๆ ประมาณ ๑,๔๕๑ ไร่ ส่วนที่ราบลุ่มด้านตะวันตกมี คลองค็อง เป็นแหล่งเก็บกักน้ำจากในบริเวณป่าพรุที่ต่อเนื่องกว้างใหญ่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอชะอวด อำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอร่อนพิบูลย์ และอำเภอพระพรหม เป็นป่าพรุประกอบด้วยไม้เสม็ด ได้แก่ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดอนทราย ป่าบ้านในกลอง และป่าคลองค็อง ตามโครงการชลประทานคลองค็อง เพื่อการเก็บกักน้ำเปรี้ยวจากป่าพรุและรักษาน้ำนี้ เพื่อการเพาะปลูก มีพื้นที่ที่กันดาร ในริมคลองนี้ที่เรียกว่า บ้านบางนกวัก หมู่ที่ ๔ ตำบลสวนหลวง และบ้านบางไทร หมู่ที่ ๓ ตำบลสวนหลวง และ คลองชะเมา มีแหล่งต้นน้ำมาจากเทือกเขานครศรีธรรมราช บริเวณอำเภอร่อนพิบูลย์ คลองทั้ง ๒ สายนี้ เป็นคลองสาขาสำคัญของแม่น้ำปากพนัง ทั้งการเดินเรือในอดีต โดยพื้นที่ราบทั้งสองด้านของสันทรายเชียรใหญ่นี้จะอยู่ระหว่างบริเวณพื้นที่ มีสภาพเป็นเนินยาว มีถนนทางหลวงแผ่นดินสายนครศรีธรรมราช-สงขลา ตัดผ่านเป็นแนวตามยาวตลอดกลางสันทราย ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "บนเนิน" เป็นพื้นที่ที่มีการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยหนาแน่นที่สุดของอำเภอและยังเป็นพื้นที่ที่ปลูกไม้ผลมาก ได้แก่ มะพร้าว ประมาณ ๖๒๔ ไร่ จึงทำให้อำเภอเฉลิมพระเกียรติ เป็นอำเภอที่มีประชาชนประกอบอาชีพเกษตรกรรมมากอำเภอหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีครัวเรือนเกษตรกรประมาณ ๕,๑๖๔ ครัวเรือน พื้นที่การเกษตร ๑๐๔,๐๒๓ ไร่
อำเภอเฉลิมพระเกียรติ มี ๒ ฤดู คือ ฤดูร้อน ประมาณเดือนมีนาคมถึงกันยายน ส่วนฤดูฝน ประมาณเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์
ด้านสังคม ประชาชนมีความเป็นอยู่ผสมผสานระหว่างชนบทและสังคมเมือง กล่าวคือ ประกอบด้วยชุมชนใหญ่ตั้งอยู่ ๔ ชุมชน ซึ่งมีตลาดนัด มีวัด โรงเรียนเป็นศูนย์รวม หรือเป็นศูนย์กลางหลักทางสังคมและเศรษฐกิจของอำเภอ ได้แก่ บ้านชะเมา บ้านเชียรเขา หรือเขาแก้ววิเชียร บ้านสระไคร บ้านหนองหม้อหรือบ้านพังยอม มีสถานบริการภาครัฐและเอกชนน้อยมาก แต่เนื่องจากความสะดวกในการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองนครศรีธรรมราช โดยมีระยะทางไม่ไกลนัก ประชาชนจึงประยุกต์เอาวิถีชีวิตแบบสังคมเมืองเข้ามามาก สำหรับการละเล่นนับว่าเป็นแหล่งผลิตศิลปินพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงหลายแขนง เป็นต้นว่า เพลงบอกสร้อย ดำแจ่ม หรือเพลงบอกสร้อย เสียงเสนาะศิลปินแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๓๘ หนังตะลุงคณะหนังปฐม อ้ายลูกหมี เพลงบอกสุรินทร์ เสียงเสนาะ ศิษย์เพลงบอกสร้อย คณะโนราน้ำอ้อย ด้านศาสนา ประชาชนในอำเภอนับถือศาสนาพุทธทุกคน มีวัต ๘ แห่ง โดยเฉพาะมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ๓ รูป คือ พระครูเรวัตศีลคุณ (หลวงปู่สังข์) วัดดอนตรอ ส่วนที่มรณภาพแล้ว คือ พระสมุห์เพิ่ม อดีตเจ้าอาวาสวัดพังยอม และหลวงปู่จันทร์วัดทุ่งเพื้อ ทั้งหมดนี้นับว่าเป็นพระเถระที่ประชาชนทั่วไปเคารพบูชาและศรัทธามาก (ณรงค์ บุญสวยขวัญ, สุธาสินี บุญสวยขวัญ)
ที่มา : https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/detail.php?id=19125
25 กุมภาพันธ์, 2568
ประวัติอำเภอพระพรหม
อำเภอพระพรหม
คำขวัย: ผ้ายกประดิษฐ์ ผลิตจักรสาน พื้นบ้านข้าวหลาม งดงามมหาวิทยาลัย มะนาวไข่พันธุ์ดี
ประวัติความเป็นมา
วัดพระเพรง ตำบลนาสาร อำเภอพระพรหม ได้พบเทวรูปพระวิษณุ ทรงสวมกิรีฏมุกุฏและกุณฑล พระหัตถ์ขวาหน้าทรงถือดอกบัวตูม พระหัตถ์ช้ายหน้าทรงถือสังข์อยู่ข้างพระโสณี ส่วนพระหัตถ์หลังทั้ง ๒ ข้างหักหายไป รศ.ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ ให้คำอธิบายว่า มีอายุประมาณครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๑ เป็นรูปแบบที่นิยมอย่างมากของศิลปกรรมในราชวงศ์คุปตะ และมีความสัมพันธ์ต่อประติมากรรมรูปพระวิษณุในศิลปะของอาณาจักรฟูนัน นอกจากนี้ยังพบเทวรูปพระวิษณุศิลาลักษณะเดียวกันนี้ ที่เทวสถานพระนารายณ์ ในเขตตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เทวรูปที่พบที่วัดพระเพรงดังกล่าว จึงสอดคล้องและสัมพันธ์กับหลักฐานเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์ที่บริเวณเขาคา อำเภอสิชล อันแสดงว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานของศาสนาพราหมณ์ไวษณพนิกาย ในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว
แหล่งโบราณคดีวัดพระเพรง อยู่ใกล้วัดพระเพรง ในเขตตำบลนาสาร กิ่งอำเภอพระพรหม มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๑ พบเทวรูปพระวิษณุศิลา ประทับยืนบนปัทมอาสน์ ทำด้วยสำริด สูง ๑๙ เซนติเมตร มีสี่กร พระหัตถ์หน้าขวาแสดงปางประทานพร พระหัตถ์หน้าซ้ายถือนิโลตบล (ดอกบัวสีน้ำเงิน) พระหัตถ์หลังขวาถือลูกประคำ พระหัตถ์หลังซ้ายถือหนังสือ เกล้าพระเกศาเป็นมวยทรงสูง เรียกชฎามงกุฎ มีรูปพระธยานิพุทธอมิตาภะ ปางสมาธิประดับบนมวยผม คล้องสายยัชโญปวีด เฉียงบนพระอังสะซ้าย ทรงผ้ายาวกรอบพระบาทคาดทับด้วยหนังสือที่บริเวณพระโสณี จะเห็นหัวเสือที่พระโสณีเบื้องขวา มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔
ที่บริเวณตำบลท้ายสำเภาเคยพบเครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์ถังและสมัยราชวงศ์ซ้องเป็นจำนวนมากกระจายเชื่อมตลอดไปจนถึงคลองท่าเรือ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งแสดงว่าบริเวณนี้เคยเป็นเมืองเก่าสำคัญของอาณาจักรตามพรลิงค์ ที่สัมพันธ์กับชนชาติจีนและอินเดียต่อเนื่องมายาวนานมีนามสถานที่สะท้อนวัฒนธรรมดังกล่าวหลายแห่ง เช่น บ้านพระพรหม ตำบลนาพรุ (เคยขุดพบเทวรูป ฐานพระสยมและศิวลึงค์ ในการขุดดินทำถนน จากตำบลนาพรุไปอำเภอลานสกา) บ้านนาพรุ ตำบลนาพรุ (ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางธรณีสัณฐานแสดงว่าบริเวณนี้เคยเป็นทะเลมาก่อนแล้วเปลี่ยนเป็นทุ่งพรุ แล้วเป็นนาพรุ) บ้านท่าช้าง ตำบลช้างซ้าย (เคยเป็นท่าน้ำกว้าง ใช้เป็นที่ให้ช้างกินน้ำและอาบน้ำให้ช้าง) บ้านพระเพรง ตำบลนาสาร (ที่พบเทวรูปพระวิษณุ ดังกล่าวมาแล้ว) บ้านท้ายสำเภา ตำบลท้ายสำเภา (เคยขุดพบสมอเรือและเครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์ถังและสมัยราชวงศ์ซ้อง) เป็นต้น
วัดป่าตอ (วัดร้าง) เคยมีบทบาทสำคัญที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา กล่าวคือ เคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนยังมีพระประธานองค์ใหญ่ สมัยกรุงศรีอยุธยาประดิษฐานอยู่จนถึงปัจจุบัน มีหลักฐานและคำบอกเล่าว่า เมื่อคราวกรุงศรีอยุธยาแตกใน พ.ศ.๒๓๑๐ นั้น ได้มีพระเถระผู้ใหญ่จากกรุงศรีอยุธยาหนีภัยมาพำนักอยู่นครศรีธรรมราชและได้สร้าง "วัดป่าตอ" ขึ้น ภายหลังเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จลงมาปราบก๊กเจ้านคร พระองค์ได้ทรงนิมนต์พระเถระผู้นี้ไปเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่กรุงธนบุรี สถิตอยู่ที่วัดหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆษิตาราม) ในปี พ.ศ.๒๓๑๒ ได้ทรงยกวัดหว้าใหญ่เป็นพระอารามหลวง และได้โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระไตรปิฎกไปจากเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อให้สมเด็จพระสังฆราชและพระเถรานุเถระ สังคายนาจนสำเร็จสมบูรณ์ตามพระราชประสงค์ ณ วัดนี้ ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระสังฆราชรูปนี้ยังได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ต่อมาเรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช (ลี) อันเป็นปฐมสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
วัดห้วยพระ ตำบลนาพรุ เป็นวัดโบราณที่มีความสำคัญมากอีกวัดหนึ่ง ได้เก็บรักษาตัวหนังตะลุงรุ่นเก่าซึ่งมีอายุประมาณเกือบ ๒๐๐ ปีไว้ (ปัจจุบันได้มอบให้ศูนย์วัฒนธรรมสถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช) เป็นรูปที่มีคุณค่าทั้งด้านพัฒนาการของรูปหนังตะลุง และสะท้อนวัฒนธรรมอื่น ๆ ของภาคใต้ ตลอดจนบ่งว่าบริเวณนี้เป็นแหล่งสำคัญด้านศิลปะและวัฒนธรรมของภาคใต้แหล่งหนึ่ง และหลายอย่างยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ในขณะเดียวกัน พุทธศาสนาก็เจริญเรื่อยมาตามคำกล่าวที่ว่า "นครดอนพระ" จึงมีศาสนสถานทางพุทธศาสนาทับซ้อนกันอยู่กับเทวสถานบ้าง แทรกสลับอยู่บ้าง เช่น บ้านห้วยพระ (เล่ากันว่าเคยพบพระพุทธรูปในลำห้วยนี้) บ้านเนกข์ (ตามคำบอกเล่าว่ามาจาก "เนกข์ม" หมายถึง การออกบวชโดยชาวบ้านนี้ไปบวชที่วัดโมคลาน ที่สร้างขึ้นเป็นวัดแรกของเมืองนครศรีธรรมราช) วัดพระเพรง เป็นต้น
ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ที่ว่าด้วยกัลปนาที่สำหรับคณะลังการาม ในสมัยกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่าบรรดาญาติเหล่ากอของหมอช้าง ๔ คน คือ หมอไซ หมอแก้ว หมอศรี หมอจัน พรรคพวกของพระท้าวราช พระท้าวศรี มีกำลังมั่งคั่งคิดเลื่อมใสในพระศาสนา จึงสร้างอารามทุกที่ทุกตำบล "คฤา วัดสำฤๅที่ยไชย ๑ วัดไทคย ๓ ต้น ๑ วัดก็ปงง ๑ วัดนำมดำ ๑ วัตะบาก ๑ วัดหม้าย ๑ วัดจัรรภอ ๑ วัดทุ่งภระ ๑ วัดเสมาเมือง ๑" รวม ๙ อาราม มีที่ไร่นาและข้าพระโยม และอารามทั้ง ๙ นี้ขึ้นกับสมเด็จเจ้าโพธิสมภาร ผู้เป็นอธิการวัดท่าช้าง อารามหลวงคณะลังการาม บางวัดอยู่ในเขตพื้นที่ของอำเภอพระพรหมในปัจจุบัน เช่น "วัดก็ปงง" คือ วัด "เกาะปง" ปัจจุบันเป็นวัดร้าง อยู่ในท้องที่ตำบลท้ายสำเภา "วัดหม้าย" ก็น่าจะอยู่ในท้องที่ "บ้านทุ่งมาย" (ชาวบ้านเรียกว่า บ้านหมอมาย) ตำบลท้ายสำเภา "วัดนำมดำ" หรือ "วัดน้ำดำ" ก็คงอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ถ้าไม่อยู่ในท้องที่อำเภอพระพรหมก็อาจจะอยู่ในท้องที่อำเภอร่อนพิบูลย์ ซึ่งต่อแดนกันเพราะแหล่งนี้มีสารหนูเจือปนอยู่ในดินค่อนข้างสูง
อำเภอพระพรหม เคยอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชมาช้านาน เพราะอยู่ห่างจากตัวจังหวัดเพียงประมาณ ๑๕ กิโลเมตรเท่านั้น แต่เนื่องจากอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช มีพื้นที่รวมกว้างขวางและมีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงต้องแบ่งพื้นที่ออกเป็นกิ่งอำเภอและพัฒนาเป็นอำเภอในระยะต่อ ๆ มา เช่นปี พ.ศ.๒๔๕๔ แบ่งตั้งเป็นกิ่งอำเภอลานสกา ปี พ.ศ.๒๕๑๗ แบ่งตั้งเป็นกิ่งอำเภอพรหมคีรี และกระทรวงมหาดไทยได้มีประกาศตั้งเป็น "กิ่งอำเภอพระพรหม" โดยแบ่งท้องที่อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชรวม ๔ ตำบล คือ ตำบลนาพรุ ตำบลนาสาร ตำบลช้างซ้ายและตำบลท้ายสำเภา รวมพื้นที่ประมาณ ๑๘๗.๐๒๖ ตารางกิโลเมตร ตั้งที่ว่าการกิ่งอำเภอที่ตำบลนาพรุ อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๗ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นต้นไป
ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกา พ.ศ.๒๕๔๐ ยกฐานะ "กิ่งอำเภอพระพรหม" ตั้งเป็น "อำเภอพระพรหม" เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๐ ในโอกาสเดียวกันทนี้ "กิ่งอำเภอ" ในภาคใต้ที่ได้ยกฐานะเป็นอำเภอ คือ "กิ่งอำเภอกาบัง" จังหวัดยะลา เป็น "อำเภอกาบัง" และ "กิ่งอำเภอคลองหอยโข่ง" จังหวัดสงขลา เป็น "อำเภอคลองหอยโข่ง"
สภาพทั่วไป
อำเภอพระพรหมขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ประมาณ ๑๔๗.๙๖๓ ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และห่างจากที่ตั้งศาลากลางจังหวัดประมาณ ๑๕ กิโลเมตร
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช
ทิศใต้ ติดกับอำเภอร่อนพิบูลย์ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ
ทิศตะวันออก ติดกับอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช
ทิศตะวันตก ติดกับอำเภอลานสกา
ที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่บนที่ดินสาธารณประโยชน์จำนวนเนื้อที่ ๘๒ ไร่ ในพื้นที่หมู่ที่ ๔ เขตดำบลนาพรุ โดยเลี้ยวขวาจากบ้านพระพรหมไปเส้นทางโรงเรียนวัดพระพรหม โรงเรียนวัดห้วยระย้าและโรงเรียนวัดห้วยพระประมาณ ๘ กิโลเมตร หรือเส้นทางสายเลียบคลองชลประทานประมาณ ๕ กิโลเมตร
อำเภอพระพรหมนับว่าเป็นอำเภอขนาดเล็กที่แยกตัวออกไปจากอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๔ ตำบล ๒๘ หมู่บ้าน ได้แก่ ตำบลนาพรุ ตำบลนาสาร ตำบลช้างซ้าย ตำบลท้ายสำเภา ประชากรเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๙ มีจำนวน ๓๕,๒๔๕ คน อาชีพส่วนใหญ่ทำนา ปลูกผักผลไม้และยางพารา รวมทั้งรับจ้างในภาคธุรกิจในเขตเมือง
สภาพภูมิประเทศ โดยทั่วไปอำเภอพระพรหมเป็นที่ราบและราบลุ่ม (บางส่วนอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง) ด้านทิศตะวันออกในท้องที่ตำบลช้างซ้ายเป็นพรุขนาดใหญ่เคยเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญเชื่อมต่อไปไหลลงสู่แม่น้ำปากพนัง ผ่านคลองเสาธงและคลองค๊อง (ปัจจุบันทางราชการเรียกว่า คลองฆ้อง) คลองท่าเรือ คลองวังวัว ส่วนที่ราบตอนกลางของอำเภอเหมาะแก่การทำสวนและทำนาเป็นอย่างยิ่ง และในอดีตพื้นที่ราบบริเวณนี้ คือ แหล่งปลูกข้าวแหล่งสำคัญแหล่งหนึ่งของนครศรีธรรมราช การเป็นที่ราบลุ่มทั้งสองลักษณะดังกล่าวนี้ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์น้ำท่วมในฤดูฝนอยู่เสมอ ๆ เนื่องจากน้ำจากเทือกเขานครศรีธรรมราชจะไหลบ่าคลองท่าดีและป่าคลองชลประทานแล้วไหลย้อนกลับขึ้นไป เพราะพื้นที่หลายส่วนที่เคยเป็นเส้นทางระบายน้ำกำลังเปลี่ยนแปลงเป็นชุมชนเมืองและมีการสร้างถนนหลายสายขวางกั้นทางน้ำธรรมชาติที่มีมาตั้งแต่อดีต อำเภอพระพรหมประกอบไปด้วยภูมิอากาศแบบร้อนชื้นมี ๒ ฤดู คือ ฤดูร้อนในเดือนมกราคมถึงเมษายน ส่วนฤดูฝนอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม
การคมนาคม เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ใช้เป็นทางผ่านจึงมีเส้นทางที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างเมืองหรือชุมชนต่าง ๆ กล่าวคือทางหลวงแผ่นดินสายนครศรีธรรมราช-ทุ่งสง เป็นทางเชื่อมระหว่างจังหวัดนครศรีธรรมราชกับอำเภอร่อนพิบูลย์และอำเภอทุ่งสง ซึ่งมีทางเชื่อมต่อกับจังหวัดฝั่งตะวันตก เป็นต้นว่า จังหวัดตรัง จังหวัดกระบี่ หรือจังหวัดสุราษฎร์ธานี เส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางหลวงที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองกับชุมชนบริเวณนี้มาแต่โบราณ ทางหลวงแผ่นดินสายสามแยกนาพรุ-สี่แยกเบญจมฯ เป็นเส้นทางมาตรฐานจากศูนย์ราชการนาสารไปสู่เมืองนครศรีธรรมราช และตรงไปสู่สนามบินพานิชย์จังหวัดนครศรีธรรมราช ถนน รพช. สายนาพรุ-อำเภอลานสกา เป็นต้น ส่วนเส้นทางรถไฟนครศรีธรรมราช-เขาชุมทอง-กรุงเทพฯ เป็นเส้นทางหนึ่งที่ทำให้มีความสะดวกในการเดินทาง แม้นว่าจะไม่เป็นที่นิยมของประชาชน คงเป็นเพียงทางผ่านของการเดินทางสู่กรุงเทพฯ ก็ตาม แต่ในระยะยาวอำเภอพระพรหมจะเป็นศูนย์กลางของการคมนาคมของนครศรีธรรมราชโดยอาศัยทางรถไฟได้ด้วย
สถานที่สำคัญ
อำเภอพระพรหมเป็นพื้นที่ตัวอย่างของการผสมผสานการเป็นชุมชนชนบทกับการเปลี่ยนแปลงเป็นชุมชนเมือง โดยเฉพาะการเป็นพื้นที่ที่ตั้งของศูนย์ราชการระดับจังหวัดที่ตำบลนาสาร หรือที่เรียกว่าศูนย์ราชการนาสาร ในรูปแบบการบริการเสร็จสิ้นใน ๑ วัน (One day Service) ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานของราชการ เป็นต้นว่า ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วิทยาลัยการอาชีพนครศรีธรรมราช สำนักงานพัฒนาที่ดิน เรือนจำจังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานขนส่งจังหวัด สถานีเพาะชำกล้าไม้จังหวัดนครศรีธรรมราช ศูนย์เครื่องมือจักรกล การประปาส่วนภูมิภาค สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย สถานีวิทยุองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) นอกจากนี้อำเภอพระพรหมยังเป็นเมืองที่ตั้งสถานศึกษาของรัฐทุกระดับการศึกษา กล่าวคือในระดับอุดมศึกษา มีศูนย์วิทยบริการทางการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดให้บริการการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้วยการจัดสอนและสอบโดยตรงที่ศูนย์ฯ นี้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่กรุงเทพฯ และเป็นศูนย์การเรียนการสอนในระดับบัณฑิตศึกษา สาขารัฐศาสตร์ สาขาบริหารธุรกิจและสาขาบริหารการศึกษา ศูนย์วิทยบริการมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชที่เปิดบริการมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๔ เพื่อรองรับการให้บริการนักศึกษาและประชาชนทั่วไปในเขตภาคใต้ การศึกษาขั้นพื้นฐานหรือระดับมัธยมศึกษามีโรงเรียนศรีวิชัย สังกัดกรมสามัญศึกษา เพื่อรองรับนักเรียนที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการ นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนมัธยมศึกษา ๒ โรง ส่วนการศึกษาภาคบังคับ ประกอบด้วยโรงเรียนระดับประถมศึกษา ๑๖ โรงเรียน และจากความสมบูรณ์ของสถานศึกษาและสถานที่ราชการดังที่กล่าวมาแล้ว จึงมีการกล่าวกันว่าอำเภอพระพรหมเป็น "เมืองปัญญา" นอกเหนือจาก "เมือง
ศูนย์ราชการ" ส่งผลให้บริเวณริมทางหลวงแผ่นดินทั้ง ๒ สาย เกิดเป็นถิ่นที่อยู่ใหม่แบบชุมชนเมือง เนื่องจากมีหมู่บ้านจัดสรร ๔ โครงการใหญ่ ๆ ที่เป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนที่ทำงานในตัวเมืองนครศรีธรรมราช กระนั้นก็ดี ความเป็นชุมชนชนบทหรือวิถีชีวิตแบบชนบทก็ยังคงปรากฏอยู่ทั่วไป เพราะว่าบริเวณนี้เป็นแหล่งชุมชนที่มีความต่อเนื่องมาแต่อดีต เช่น มีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญ ๆ เช่น บริเวณวัดพระเพรง หมู่ที่ ๓ ตำบลนาสาร มีร่องรอยของการเป็นสถานที่ผลิตอิฐก่อพระบรมธาตุ อายุประมาณ ๗๐๐ ปี วัดป่าห้วยพระ หมู่ที่ ๕ ตำบลนาพรุ เป็นวัดจำพรรษาของหลวงปู่ทวด พระพุทธรูปหินวัดมะม่วงขาว อายุประมาณ ๗๐๐ ปี ส่วนศิลปวัฒนธรรมอื่น ๆ เป็นต้นว่า ที่หมู่ที่ ๔, ๕ ตำบลนาสาร บ้านมะม่วงขาว บ้านหนองเข้ บริเวณวัดคันนารามเป็นแหล่งที่ผลิตผ้าพื้นเมืองหรือการผลิตผ้ายกเมืองนครฯ ยังดำรงอยู่ถึงปัจจุบัน การผลิตเครื่องจักสานไม้ไผ่และเครื่องถมเงินของแม่บ้านหมู่ที่ ๒-๓ ตำบลนาพรุ และตำบลช้างซ้าย ประชาชนนับถือศาสนาพุทธร้อยละ ๙๙.๔๗ วัดที่สำคัญมาแต่โบราณ คือ วัดพระเพรง วัดมะม่วงตลอด วัดป่าห้วยพระ และวัดที่จัดเป็นอุทยานการศึกษา ๑ แห่ง คือ วัดท้ายสำเภา เป็นศูนย์ภูมิปัญญาหมู่บ้านยาสมุนไพรท้ายสำเภา พระอธิการสีวิชัยพุทธรักขิตโตเจ้าอาวาสเป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม มีมัสยิด ๓ แห่ง ในตำบลช้างซ้าย นอกจากนี้ในอำเภอพระพรหม เริ่มมีโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้นว่า โรงงานเคมีภัณฑ์ โรงงานน้ำปลา ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลท้ายสำเภา สำหรับการคงความเป็นชนบท มีการรักษาเอกลักษณ์การละเล่นแบบชนบทในนครศรีธรรมราชอย่างเข้มข้น มีศิลปินพื้นบ้านที่ยังคงประกอบอาชีพอยู่ เช่น คณะโนราหนูเขียน เสียงทอง หมู่ที่ ๒ ตำบลท้ายสำเภา คณะโนราเชิด หมู่ที่ ๑ ตำบลนาพรุ คณะหนังตะลุงประดับ ประดิษฐ์ศิลป์ หมู่ที่ ๑ ตำบลนาพรุ และคณะหนังชูบ้านไสเลียบ ตำบลช้างซ้าย เป็นต้น (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, ณรงค์ บุญสวยขวัญ, สุธาสินี บุญสวยขวัญ)
ที่มา
https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/detail.php?id=22059
http://www.thaiheritage.net/nation/oldcity/nakhonsithammarat5.htm
ประวัติอำเภอจุฬาภรณ์
ประวัติความเป็นมา
อำเภอจุฬาภรณ์ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๔ ตำบลสามตำบล มีประวัติเชิงตำนานของไสว วังปรีชา ว่า ครั้นกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ นั้น พม่าได้เผากรุงศรีอยุธยาเสียหายย่อยยับ ประชาชนและท้าวพระยามหากษัตริย์ต่างหลบลี้หนีภัยไปคนละทิศละทางเพื่อเอาตัวรอดบ้าง เพื่อหาทางกู้บ้านกู้เมืองบ้าง ในจำนวนนั้นมีเจ้านาย ๒ องค์ ซึ่งไม่ทราบนามเดิมและฐานันดรศักดิ์ แต่คนทั่วไปเรียกองค์พี่ว่า "หม่อมเณรใหญ่" (ต้นตระกูลเณรานนท์) ส่วนองค์น้องเรียกกันว่า "หม่อมเณรน้อย" (ต้นตระกูลชัยพลบาล) ทั้ง ๒ พาลูกเมียและพรรคพวกประมาณ ๕๐๐ คน หนีรอนแรมลงมาทางภาคใต้จนมาถึงบริเวณใกล้คลองวังฆ้องในปัจจุบัน จึงให้ช่วยกันทำเพิ่งพักเพื่อค้างแรมแล้วจะเดินทางต่อไป ผู้ที่มีหน้าที่หุงหาอาหารไม่สามารถหาน้ำได้ จึงต้องนอนท้องเปล่ากันทุกคน ครั้นตอนดึกทั้งหมดได้ยินเสียงกบร้องมาทางทิศใต้ หม่อมเณรน้อยรู้ได้ทันทีว่ามีแหล่งน้ำอยู่ไม่ไกลนัก จึงสั่งให้คนทำคบไม้ไผ่จุดไฟส่องทางเดินไปตามเสียงกบร้อง ก็พบลำธารใหญ่ น้ำใสสะอาด คือ "คลองวังฆ้อง" จึงได้น้ำมาปรุงอาหารตามต้องการรุ่งเช้าหม่อมทั้งสองพร้อมด้วยญาติมิตรได้ช่วยกันเดินสำรวจบริเวณรอบที่พัก เห็นเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสมสำหรับตั้งบ้านพักอาศัยอย่างถาวร จึงได้ร่วมกันดั้งมั่นอยู่ ณบริเวณดังกล่าว หม่อมเณรใหญ่ให้ผู้ติดตามมาทั้งหมดช่วยกันสำรวจพื้นที่สำหรับทำนา เพื่อจะได้อาหารหลักหม่อมไพนารถ บุตรหม่อมเณรใหญ่ พาพไปทางทิศอีสาน ถางป่าเบิกเป็นนาและตั้งบ้านพัก ณ บริเวณหมู่ที่ 9 บ้านวังไส ตำบลสามตำบลในปัจจุบัน ทุ่งนาที่เบิกคือ ทุ่งห้วยยาง ห้วยยม และทุ่งวังไส ส่วนที่พักของหม่อมไพนารถ ปัจจุบันเรียกว่า "บ้านเก่าไพนารถ" ส่วนบุตรชายอีกคนหนึ่งของหม่อมเณรใหญ่ คือ หม่อมไพบูลย์ หรือ "หม่อมบุญ" พาพรรคพวกไปทางทิศใต้ เบิกป่าเป็นนา ณ บริเวณหมู่ที่ ๒ ตำบลม"นาหมอบุญ" (ปัจจุบันคือ บ้านในวัง (หรือ วังบุญ) ริมคลองนาหมอบุญ ตำบลควนหนองหงษ์ อำเภอชะอวด) ทำนาตลอดไปจนถึงทุ่งนาหมอบุญ ทุ่งบ้านรั้ว ทุ่งลานควาย เป็นต้น ส่วนหม่อมชัยพลบาล บุตรของหม่อมเณรน้อย ได้พาพรรคพวกไปทางทิศตะวันออก ทำนาที่ทุ่งห้วยหุ่น ทุ่งไสใหญ่ ทุ่งลานควาย ทุ่งข่า เป็นต้น และสร้างที่พักอย่างถาวรอยู่บริเวณบ้านต้นเหรียงในปัจจุบันบริเวณที่พักของหม่อมเณรใหญ่ที่วังฆ้องนั้น ต่อมาทายาทได้ถวายเป็นที่วัด จึงชื่อว่า "วัดวังฆ้อง" และเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์บรรจุอัฐิของหม่อมเณรใหญ่ (องค์ทิศใต้) และของหม่อมเณรน้อย (องค์ทิศเหนือ) ปัจจุบันเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของหม่อมเณรใหญ่ถูกขุดทำลายไปหมดแล้ว
คำเรียกว่า "สามตำบล" จึงเกิดจาก "วังฆ้อง" "วังไส"และ "วังบุญ" (นาหมอบุญ หรือ บ้านในวัง) ดังกล่าวแล้วและคงเรียกกันมาไม่ช้ากว่ารัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ดังที่ปรากฏในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๓ ทำเนียบข้าราชการนครศรีธรรมราช (พ.ศ.๒๓๕๔) กล่าวถึงที่สามตำบลว่า "ขุนฤทธิธานี นายที่สามตำบล ถือศักดินา ๖๐๐ ฝ่ายซ้ายหมื่นชนะบุรี รองที่สามดำบล ถือศักดินา ๓๐๐. สิริ ขุนหมื่น ที่ ร่อนสามตำบล ขุนสอง หมื่นสี่ รวมหกคน" อันนี้แสดงว่าในช่วงนั้นเรียกชื่อรวม ๆ กันว่า "ที่ร่อนสามตำบล" ถ้าจะเปรียบเทียบฐานะกับท้องที่ใกล้เคียงกันในขณะนั้น โดยเอาศักดินาของผู้ควบคุมดูแลเป็นเกณฑ์ ที่ร่อนสามตำบล จะเท่ากับที่พิปูน ที่กลาย (ต่อมาเป็นอำเภอกลายแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอท่าศาลา) และผู้ควบคุมมีศักดินาสูงกว่านายที่ร่อนเขาใหญ่(ศักดินา ๔๐๐) นายที่สิชล (ศักดินา ๔๐๐) เป็นต้น
ต่อมาเมื่อต้นรัชกาลที่ ๕ ได้มีการปฏิรูปการปกครองได้รวมเขตพื้นที่ ๓ แห่ง คือ วังไส วังฆ้อง และนาหมอบุญเป็นแขวง เรียกว่า "แขวงสามตำบล" และต่อมาเปลี่ยนเป็น "ตำบลสามตำบล" ขึ้นกับอำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้มีพระราชกฤษฎีกาตั้งอำเภอเพื่อประโยชน์แก่การปกครองและความสะดวกของประชาชน โดยได้รับพระราชทานพระอนุญาตให้ใช้พระนาม ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ เป็นชื่ออำเภอว่า "อำเภอจุฬาภรณ์" (เป็นการตั้งอำเภอเป็นกรณีพิเศษ ที่ไม่ต้องผ่านขั้นตอนการเป็นกิ่งอำเภอตลาดนัดเพียงแห่งเดียวอยู่ที่บ้านสามตำบลของอำเภอจุฬาภรณ์เนื่องในวโรกาสมีพระชนมพรรษาครบ ๓ รอบ ใน พ.ศ.๒๕๓๖) ตั้งที่ว่าการอำเภออยู่ที่บ้านไสไม้เรียบ หมู่ที่ ๔ ตำบลสามตำบลห่างจากตัวจังหวัดนครศรีธรรมราช ๕๐ กิโลเมตร
สภาพทั่วไป
อำเภอจุฬาภรณ์ มีพื้นที่ทั้งหมด ๑๙๒.๕๐๕ ตารางกิโลเมตร
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อตำบลร่อนพิบูลย์ ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์
ทิศใต้ ติดต่อกับตำบลควนหนองหงษ์ ตำบลบ้านตูน อำเภอชะอวด
ทิศตะวันออก ติดต่อกับตำบลควนชุม ตำบลควนพัง อำเภอร่อนพิบูลย์ และตำบลบ้านตูล อำเภอชะอวด
ทิศตะวันตก ติดต่อกับตำบลน้ำตก อำเภอทุ่งสง และตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
อำเภอจุฬาภรณ์ แบ่งเขตการปกครองเป็น ๖ ตำบล ๒๓ หมู่บ้าน มีตำบลสามตำบล ตำบลนาหมอบุญ ตำบลทุ่งโพธิ์ตำบลควนหนองหว้า ตำบลบ้านชะอวด และตำบลบ้านควนมุด
สภาพของพื้นที่ในอดีตเคยเป็นแหล่งที่มีความกันดารเป็นเขตเคลื่อนไหวและต่อสู้ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ประสบกับปัญหาด้านความมั่นคง มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรของพื้นที่ ทำให้มีผลกระทบต่อการลงทุน เนื่องจากขาดแคลนแหล่งน้ำเพื่ออุปโภคและเพื่อการเกษตร น้ำใต้ดินและน้ำธรรมชาติไม่สะอาด มีธาตุเหล็กปนปริมาณสูงกว่าค่ามาตรฐาน และเนื่องจากสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม มีแนวภูเขาด้านทิศตะวันตกของพื้นที่ จึงเป็นที่รองรับน้ำฝนที่ตดกหนักและน้ำป่าที่ไหลหลากจากแนวภูเขา เสี่ยงต่ออุทกภัย และเนื่องจากทิศตะวันออกเป็นที่ราบไม่มีแนวกำบังลม เมื่อเกิดมรสุมหรือพายุจึงเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อวาดภัย สภาพภูมิอากาศ มีอากาศร้อนชื้นเป็นส่วนมาก
แหล่งน้ำธรรมชาติมีคลองสายสำคัญ คือ คลองวังฆ้อง คลองท่ายาง มีป่าสงวนแห่งชาติ ได้แก่ ป่าเชิงเขานา ป่าช่องกะโสม และป่าอื่น ๆ คือ ป่าวังยวน ป่าควนประ ป่าช่องเขา ป่าไร่ใหญ่ ป่าควนขี้แรด ป่าควนนกจาบ และป่าปากอ่าว ปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีพื้นที่เพื่อเกษตรกรรมประมาณ ๙๙,๘๗๐ ไร่ ปลูกยางพาราประมาณ ๓๔,๖๘๓ ไร่ จำนวน ๒,๓๑๕ ครัวเรือน ทำนาข้าว ๔๒,๕๔๓ ไร่ จำนวน ๑,0๐๕ ครัวเรือน และไม้ผล ๑,๔๕๘ ไร่ จำนวน ๑,๒๑๑ ครัวเรือน ประชากรร้อยละ ๘๐ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้สุทธิเฉลี่ยคนละ ๑๐,๔๐๐ บาทต่อปี
สถานที่สำคัญ ได้แก่ วัดวังฆ้อง ซึ่งเป็นวัดโบราณ และศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ดังกล่าวมาแล้ว (ณรงค์ บุญสวยขวัญ,ศรีประไพ สุวรรณประเสริฐ, กัญญา คงประมูล)
ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย
เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2522 นายจรง ชูกลิ่น และนายถวิล ช่วยเกิด อาศัยอยู่ใน หมู่บ้านคลองท้อนหมู่ที่ 9 ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เดินทางไปในป่าแถบหุบเขาช่องคอย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านโคกสะท้อน ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร บุคคลทั้งสองได้พบแผ่นหินกว้างใหญ่อยู่ใกล้กับร่องน้ำระหว่างหุบเขา แผ่นหินดังกล่าวมีความกว้าง 1.60 เมตร ยาว 6.83 เมตร หนา 1.20 เมตร บนแผ่นหินนั้นมีเส้นเป็นรอยลึกขีดไปมาเป็นรูปอักษร นั่นคือศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2523 นายอำไพ ขันทาโรจน์ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้ทราบเรื่องการพบศิลาจารึกหลักนี้ จากพระภิกษุเพิ่ม เจ้าอาวาส วัดหนองหม้อ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้รายงานให้นางกัลยา จุลนวล หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ทราบ และได้ออกสำรวจจารึกดังกล่าว 2 ครั้ง คือวันที่ 17 มกราคม 2522 และวันที่ 19 มกราคม 2523 พร้อมทั้งได้ทำสำเนา และถ่ายภาพศิลาจารึกนั้น และได้ส่งสำเนาจารึกพร้อมภาพถ่ายมายังกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2523 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2523 กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้ส่งสำเนาศิลาจารึกพร้อมภาพถ่ายมายังกองหอสมุดแห่งชาติ เพื่อให้เจ้าหน้าที่งานบริการหนังสือโบราณอ่าน-แปล เมื่อเจ้าหน้าที่อ่าน-แปลเสร็จแล้วได้ส่งคำอ่าน-แปลไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2523 นางจิรา จงกล ผู้อำนวยการกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้นำคำอ่า-แปล ศิลาจารึกหลักนี้ เสนอนายเดโช สวนานนท์ อธิบดีกรมศิลปากร เพื่อทราบเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2523 เมื่อนายเดโช สวนานนท์ ได้รับทราบแล้ว จึงได้ให้ใช้ชื่อศิลาจารึกหลักนี้ว่า “ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย” จากนั้น ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร กับชะเอม แก้วคล้ายจึงได้อ่านและแปลจารึกนี้ เพื่อพิมพ์เผยแพร่ในวารสารศิลปากร ปีที่ 24 ฉบับที่ 4 (กันยายน 2523) ลักษณะของศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยบ่งชัดว่า เป็นการสร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีง่ายๆ ไม่ปราณีตบรรจง ใช้แผ่นศิลาธรรมชาติที่มีอยู่ในบริเวณหุบเขานั้น เป็นที่จารึกรูปอักษรขึ้น 3 ตอน มีความหมายต่อเนื่องกัน แต่ขนาดของรูปอักษรไม่เท่ากัน ตอนที่ 1 มีขนาดของตัวอักษรสูง 25 เซนติเมตร มีอักษรข้อความ 1 บรรทัด ตอนที่ 2 ขนาดของตัวอักษรสูง 7 เซนติเมตร มีอักษรข้อความ 4 บรรทัด ตอนที่ 3 ขนาดของตัวอักษรเท่ากับตอนที่ 2 แต่มีอักษรข้อความเพียง 2 บรรทัด
ที่มา
https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/detail.php?id=18952
https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/58
ประวัติอำเภอชะอวด
ประวัติความเป็นมา
คำ "ชะอวด" จากคำบอกเล่ามาจากชื่อเถาวัลย์ที่ภาษาท้องถิ่น เรียกว่า "เชียกอวด" หรือ "ย่านเชือกอวด" เพราะบริเวณนี้เคยอุดมด้วยเถาวัลย์ชนิดนี้ เป็นเถาวัลย์ที่มีความเหนียวและทนทาน ใช้สำหรับผูกมัดของ ต่อมาคำ "เชียกอวด" กลายเสียงเป็น "ชะอวด"
พื้นที่บริเวณอำเภอชะอวด อำเภอหัวไทร อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอปากพนัง อำเภอจุฬาภรณ์ และบางส่วนของอำเภอร่อนพิบูลย์ เคยเป็นที่ราบลุ่ม ประกอบด้วยสันทรายและหาดทราย เป็นที่ราบลุ่มน้ำทะเลท่วมถึง และเป็นบริเวณที่ราบเกิดจากตะกอนลำน้ำทับถม เพราะเคยเป็นทะเลมาก่อน เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ บริเวณเคร็งซึ่งเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอชะอวดยังเป็นจุดแวะพักของผู้เดินทางเรือ และเส้นทางการค้าระหว่างนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ครั้นเส้นทางเรือค่อยตื้นเขินเพราะตะกอนดินทับถม จึงเป็นพรุขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ถึง ๑๙๕,๕๕๕ ไร่ จนทำให้บริเวณอำเภอหัวไทร เชียรใหญ่ ชะอวด ปากพนัง ของจังหวัดนครศรีธรรมราช รวมไปถึงอำเภอระโนด จังหวัดสงขลากลายเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดในภาคใต้เป็นเหตุให้บริเวณตำบลเคร็ง และบางท้องที่ที่ใกล้เคียงเป็นชุมชนใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะบริเวณควนเคร็ง และควนชิงในตำบลเคร็ง มีหลักฐานบ่งว่าเพิ่งเป็นชุมชนขึ้นเมื่อประมาณ ๑๐๐-๑๕๐ ปีที่ผ่านมา
จากทำเนียบข้าราชการนครศรีธรรมราช ครั้งรัชกาลที่ ๒ กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.๒๓๕๔ ท้องที่ของอำเภอชะอวดในปัจจุบันเรียกว่า ปรามบุรี มีหลวงพิชัยโยธา ธานิตภักดี ศรีสงครามศักดินา ๑๒๐๐ เป็นหลวงปรามบุรี เรียกบริเวณนี้ว่าที่ปราม-นาหมาก เป็นเมืองฝ่ายขวาของนครศรีธรรมราช ออกหลวงพินิจภักดีศรีราชเป็นอากรนาหมาก ถือศักดินา ๑๒๐๐ เช่นกัน มีหลวงพิชัยภักดีศรีสงคราม ศักดินา ๖๐๐ เป็นปลัดปรามและเมืองพินิจภักดีศรีสงคราม ศักดินา ๖๐๐ เป็นเมืองรองนาหมาก และในท้องที่ดังกล่าวนี้ ยังมีที่เคร็งเป็นที่พกหมากแต่ขึ้นกับท้ายวังฝ่ายซ้าย มีหมื่นภักดีนิตย์ ศักดินา ๔๐๐ เป็นนายที่เคร็ง (ดู เคร็ง, ตำบล)
เมื่อมีการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งมีพระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช (พ.ศ.๒๔๓๙-๒๔๔๙) ได้แบ่งการปกครองเมืองนครศรีธรรมราชเสร็จในปี พ.ศ.๒๔๓๙ เป็น ๙ อำเภอ คือ อำเภอกลางเมือง อำเภอเบี้ยซัด อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอกลาย อำเภอสิชล อำเภอลำพูน อำเภอฉวาง อำเภอทุ่งสง และอำเภอพังไกร
ตามหนังสือพระยาราชวรานุกูล ราชปลัดทูลฉวาง ที่ ๑๙๔/๒๗๕๓ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ร.ศ.๑๑๕ (พ.ศ. ๒๔๓๙) กราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสมมตอมรพันธ์ ราช-เลขานุการ อ้างถึงใบบอกพระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครศรีธรรมราช ฉบับที่ ๑๑๔/๘๙๓ ลงวันที่ ๗ ธันวาคม ร.ศ.๑๑๕ ว่า "พระยาสุขุมนัยวินิตได้ปฤกษากับพระยาศรีธรรมราชพระศิริธรรมบริรักษ์ปลัด จัดการแบ่งท้องที่ต่างๆ ในแขวงเมืองนครศรีธรรมราชเปนอำเภอๆ ตามที่พระยาสุขุมนัยวินิตเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า จะเพียงพอแก่อำนาจกรรมการอำเภอจะปกครองได้ คิดประมาณที่ที่จะตั้งให้เป็นสูนกลาง เดินทางได้ตลอดในวัน ๑ และทั้งเป็นที่ทำเลที่มีราษฎรตั้งอยู่แน่นหนาด้วย... ได้ออกประกาศตั้งแขวงแล้ว ๒ ตำบล ซึ่งเป็นตำบลสำคัญในเมืองนครศรีธรรมราชคือ ๑ อำเภอเมือง ตั้งนายร้อยเอกนายเกดข้าหลวง ผู้ช่วยแทนกรมการอำเภอ นายจรเป็นปลัดอำเภอ พร้อมด้วยพนักงานคนเก่า ๒ อำเภอปากพนัง แต่เรียกว่า อำเภอเบี้ยซัด ตั้งให้ขุนพิบูลย์สมบัติแทนกรมการอำเภอ นายสาดเป็นปลัดอำเภอพร้อมด้วยพนักงานคนเก่า ตั้งต้นทำการตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ร.ศ.๑๑๕ ไป... ในปลายเดือนธันวาคมนี้ พระยาสุขุมนัยวินิตจะได้รับพระราชทานตั้งอีกอำเภอ ๑ ที่ต่อกับเมืองสงขลา เมืองพัทลุง เรียกว่าอำเภอปราน จะตั้งให้ขุนพรหมรักษาเปนกรมการอำเภอ นายขำอำเภอเก่าเป็นปลัดอำเภอ พร้อมด้วยพนักงานสำรับเก่า แต่แขวงอื่นๆ นั้น ยังขัดออกไปไม่ได้ด้วยเหตุ ๒ สถาน ๑ กำลังฝนชุกน้ำท่วมทุ่งหมด การไปมาลำบาก ๒ กำลังเลือกผู้ที่จะเป็นกรมการอำเภอยังไม่ได้... จึงจะได้จัดตั้งพร้อมกันทั้งหมด จำเป็นจะต้องให้แล้วเสร็จใน ร.ศ.๑๑๕ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการยุ่งยากในการเก็บภาษีอากรต่างๆ... และในปลายแม่น้ำปากพนังนี้ มีพวกจีนไหหลำไปตั้งเลื่อยไม้อยู่อีกแห่งหนึ่ง เรียกว่าที่ปราน ที่นี้เป็นสูนกลางของอำเภอที่ต่อกับเมืองสงขลา เมืองพัทลุง ซึ่งพระยาสุขุมนัยวินิตจะให้ขุนพรหมรักษาไปเปนกรมการอำเภออยู่ และกะเรียกว่า อำเภอปราน พระยาสุขุมนัยวินิตจะได้ออกไปจัดตั้งเอง ตรวจตราทำเลที่ที่เลื่อยไม้ เพราะที่ตำบลนี้มีไม้มาก ไม้ที่ใช้ในเมืองนครศรีธรรมราชอาไศรยที่นั้นมาก ด้วยล่องลงมาง่าย ทางข้างหลังเขาต้องอ้อมไปลงทางเมืองกาญจนดิฐ เป็นการลำบากยิ่งนัก"
จะเนื่องด้วยปัญหาขัดข้องอย่างไรไม่ปรากฏ เมื่อถึงร.ศ.๑๑๖ พระยาสุขุมนัยวินิต ได้มีใบบอกรายงานการจัดตั้งอำเภอ ๙ อำเภอ พร้อมบาญชีสำมโนครัวของอำเภอต่างๆเมืองนครศรีธรรมราช ไม่ปรากฏชื่อ "อำเภอปราน" ดังกล่าวมา
แต่ตำบลต่างๆ รวม ๕ ตำบล ได้แก่ ตำบลชะอวด ตำบลท่าประจะ ตำบลท่าเสม็ด ตำบลวังอ่าง และตำบลเคร็งไปขึ้นอยู่กับอำเภอร่อนพิบูลย์ ทั้ง ๕ ตำบลนี้ เป็นถิ่นทุรกันดารอยู่ห่างไกลจากชุมชนที่เป็นตัวอำเภอชะอวดในปัจจุบัน การคมนาคมสมัยนั้นไม่สะดวก ติดต่อกันได้โดยทางรถไฟ และทางเรือระหว่างปากพนังกับชะอวด ต่อมาจึงมีเรือยนต์โดยสาร ทำให้สะดวกยิ่งขึ้น ชาวชะอวดและต่างดำบลจึงต้องพึ่งพากันเองเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้จึงพบว่าที่ตำบลเคร็งมีหมอดำแยผู้ชายอยู่มาก แปลกกว่าท้องถิ่นอื่นๆ (ยังมีชีวิตอยู่บ้างจนถึง พ.ศ.๒๕๓๘) เนื่องจากการติดต่อภายในพื้นที่ส่วนใหญ่ใช้วิธีเดินเท้า ทำให้เจ้าหน้าที่ดูแลไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะฝ่ายป้องกันและปราบปราม จึงเป็นสาเหตุให้มีโจรผู้ร้ายชุกชุมแห่งหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช
พ.ศ.๒๔๖๓ ทางอำเภอร่อนพิบูลย์ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตั้งกองปราบปรามโจรผู้ร้ายขึ้นที่วัดหนองจิก เรียกว่า "กองกลาง" (อยู่ในหมู่ที่ ๒ ตำบลท่าเสม็ดในปัจจุบัน) โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยศชั้น "ว่าที่นายสิบ" เป็นหัวหน้า มีพลตำรวจและกำนันผู้ใหญ่บ้านในท้องที่เป็นผู้ช่วยเหลือ แต่วัดหนองจิกอยู่ห่างจากสถานีรถไฟถึง ๓ กิโลเมตร การลำเลียงผู้ต้องหามาขึ้นรถไฟที่สถานีท่าเสม็ด (สถานีชะอวดในปัจจุบัน) เพื่อจะส่งไปอำเภอร่อนพิบูลย์ เป็นไปอย่างลำบาก ดังนั้นจึงย้าย "กองกลาง" จากวัดหนองจิกมาตั้งอยู่ที่ริมทางรถไฟใกล้ๆ กับสถานีท่าเสม็ดอยู่ห่างจากสถานีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ ๒๐๐ เมตร คือสถานที่ตั้งที่ว่าการอำเภอชะอวดในปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๖ ปรากฏตามหลักฐานในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๖ ในสมัยที่พระสุนทรวรนาถ (พร้อม ณ ถลาง) เป็นนายอำเภอร่อนพิบูลย์ และพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ (สินเทพหัสดิน) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยความเห็นชอบของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ อุปราชมณฑลปักษ์ใต้ ด้วยมีความประสงค์จะปราบปรามโจรผู้ร้ายให้สงบเรียบร้อย จึงดำเนินการจัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอ เรียกว่า "กิ่งอำเภอชะอวด" มี ๕ ตำบล คือ ตำบลเคร็ง ตำบลท่าเสม็ด ตำบลวังอ่าง ตำบลท่าประจะ และตำบลชะอวด
พ.ศ.๒๔๘๓ ได้ยุบเขตการปกครองซึ่งมีอยู่ ๕ ตำบล เหลือเพียง ๓ ตำบล คือ ตำบลเคร็งรวมกับตำบลท่าเสม็ด เรียกว่าตำบลท่าเสม็ด และรวมตำบลวังอ่างกับตำบลท่าประจะ เป็นตำบลท่าประจะ จึงมีตำบลในขณะนั้นเพียง ๓ ตำบล คือ ตำบลท่าเสม็ด ตำบลท่าประจะ และตำบลชะอวด
พ.ศ.๒๔๙๓ กรมการปกครองได้แยกตำบลออกเป็น ๕ ตำบลเหมือนเดิม
เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๖ ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะกิ่งอำเภอชะอวดขึ้นเป็น "อำเภอชะอวด" และต่อมาได้แยกตำบลชะอวดไปตั้งเป็นตำบลบ้านตูล แล้วแยกตำบลบ้านตูลไปตั้งเป็นตำบลควนหนองหงส์ แยกตำบลท่าเสม็ดไปตั้งเป็นตำบลขอนหาด แยกตำบลท่าประจะไปตั้งเป็นตำบลเกาะขันธ์
สภาพทั่วไป
อำเภอชะอวด ขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช มีเนื้อที่ประมาณ ๘๓๓.๐๔๔ ตารางกิโลเมตร อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัด ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๗๐ กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพมหานครโดยทางรถไฟ ๘๕๑ กิโลเมตร
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอจุฬาภรณ์ และอำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอป่าพยอม และอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเฉลิมพระเกียรติ และอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอทุ่งสงและอำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ลักษณะภูมิประเทศ อำเภอชะอวดมีสภาพพื้นที่บริเวณด้านตะวันออกเป็นที่ราบลุ่ม มีสภาพเป็นพรุ ส่วนบริเวณด้านตะวันตกเป็นที่ราบเชิงเขาและเทือกเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามสภาพพื้นที่แล้วสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ได้ดังนี้
๑. บริเวณที่ราบซึ่งใช้ในการทำนา ทำสวนยางพาราและสวนผลไม้ ได้แก่ ตำบลขอนหาด ตำบลท่าเสม็ด และตำบลเกาะขันธ์
๒. บริเวณที่ราบลุ่มเนินทรายและที่พรุ มีการปลูกมะม่วงหิมพานต์ มะพร้าว และทำนา ได้แก่ ตำบลชะอวด ตำบลบ้านตูล และตำบลเคร็ง
๓. บริเวณที่ราบภูเขา มีการทำนา ทำสวนยางพารา มีป่าไม้ แร่พลวงเงิน แร่พลวงทอง ได้แก่ ตำบลวังอ่าง ตำบลเขาพระทอง และตำบลควนหนองหงส์
จากสภาพพื้นที่ดังกล่าว ทำให้อำเภอชะอวดมีห้วย คลองเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ตื้นเขินและแคบ ใช้ในการระบายน้ำไม่ดีเท่าที่ควร เมื่อฝนตกหนักเป็นเวลาหลายวัน ทำให้น้ำท่วมขังอย่างฉับพลัน และในช่วงหน้าแล้ง ห้วย คลองต่างๆก็ไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำ ซึ่งในอำเภอชะอวดมีคลองที่สำคัญๆ หลายสาย ได้แก่
คลองชะอวด เดิมเรียกว่า คลองท่าเสม็ด เป็นคลองที่เกิดจากคลองต่างๆ ทางทิศตะวันตกไหลมารวมกันเป็นคลองชะอวด เช่น คลองไม้เสียบ คลองลาไม คลองเกียบ ฯลฯ คลองชะอวดเป็นคลองที่กว้างและลึก ไหลผ่านหลายตำบล เช่น ตำบลท่าประจะ ตำบลชะอวด ตำบลท่าเสม็ด ตำบลเคร็ง ไหลไปสู่อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอหัวไทร ลงสู่ทะเลที่อำเภอปากพนัง คลองชะอวดเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่หล่อเลี้ยงชาวชะอวด และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด ที่เป็นทั้งแหล่งทำมาหากินและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ
คลองลาไม เป็นคลองที่เกิดจากห้วยต่าง ๆ ไหลมารวมกัน เช่น ห้วยไข่เน่า ห้วยตราบกอก ห้วยลูกฟาน ห้วยถ้ำพระ ฯลฯ ซึ่งเป็นห้วยเล็ก ๆ ด้านตะวันตกริมภูเขา ไหลมารวมกันเป็นคลองลาไม ผ่านตำบลวังอ่าง ตำบลเขาพระทอง ตำบลท่าประจะลงสู่คลองชะอวด
คลองบางกลม เป็นคลองที่เกิดจากห้วย คลองต่างๆบริเวณตำบลควนหนองหงส์ อำเภอชะอวด และบริเวณอำเภอจุฬาภรณ์ มารวมกันเป็นคลองบางกลม ไหลผ่านตำบลบ้านตูล ตำบลชะอวด ลงคลองชะอวด
ลักษณะทั่วไปของภูมิอากาศ อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับเส้นศูนย์สูตรและคาบสมุทรซึ่งมีเทือกเขานครศรีธรรมราชเป็นแกนกลาง มีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเป็นปัจจัยสำคัญ ประกอบกับอำเกอชะอวดอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน แบ่งฤดูกาลได้ ๒ ฤดู ดังนี้
ฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน อากาศค่อนข้างร้อนตลอดฤดูกาล
ฤดูฝน แบ่งออกเป็น ๒ ช่วง คือ
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-มกราคม ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ อันเป็นช่วงที่ฝนตกหนาแน่น
ทรัพยากรธรรมชาติ อำเภอชะอวดมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ ไม้หลุมพอ ไม้ตะเคียน ในเขตตำบลวังอ่างมีแร่ธาตุที่สำคัญ คือ แร่พลวงเงิน และที่ตำบลเขาพระทอง มีแร่ฟอสฟอรัส และแร่โดโลไมต์ ใช้ทำปุ๋ย ปัจจุบันไม่ได้นำมาใช้แต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีป่าสงวนแห่งชาติ ได้แก่
ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าควนแก้ว ป่าคลองตม และป่าทุ่งลานแซะ มีเนื้อที่ ๑๑๖,๐๙๓ ไร่ ตั้งอยู่ในท้องที่ตดำบลวังอ่าง ตำบลเขาพระทอง และดำบลควนหนองหงส์ และมีพื้นที่บางส่วนเป็นป่าเสื่อมโทรม ซึ่งในขณะนี้กรมป่าไม้ได้ยกให้สปก. ดำเนินการปฏิรูปที่ดินให้แก่ราษฎร เนื้อที่ ๖๘,๖๕๖.๒๕ ไร่
ป่าสงวนแห่งชาติ ป่ายางงาม มีเนื้อที่ ๑,๑๔๓ ไร่ อยู่ในท้องที่ตำบลท่าเสม็ด ปัจจุบันมีไม้ยางอยู่บางส่วน และได้ออกเป็นพระราชกฤษฎีกาปฏิรูปที่ดินไปทั้งหมด ๑,๑๔๓ ไร่
ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าในลุ่ม ป่ากุมแป และป่าพรุควนเคร็งมีเนื้อที่ ๕๔,๒๒๑ ไร่ อยู่ในท้องที่ตำบลบ้านตูล ตำบลชะอวด ตำบลขอนหาด และตำบลเคร็ง และได้ออกเป็นพระราชกฤษฎีกาปฏิรูปที่ดินไป ๔๕,๐๒๕ ไร่
อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า-เขาคราม มีเนื้อที่ประมาณ ๒๓,๑๒๕ ไร่ อยู่ในท้องที่ตำบลวังอ่าง ตำบลเขาพระทองและตำบลควนหนองหงส์
พื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย เนื้อที่ ๖๒,๕๐๐ ไร่ อยู่ในท้องที่ดำบลเคร็ง
การคมนาคม การคมนาคมระหว่างอำเภอชะอวดกับจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดใกล้เคียง สามารถเดินทางติดต่อได้สะดวก เส้นทางคมนาคมที่สำคัญ มีดังนี้
๑. ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑ สามารถเดินทางไปอำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอทุ่งสง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอป่าพยอม และอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
๒. ทางหลวงจังหวัดหมายเลข ๔๐๑๘ ติดต่อกันภายในอำเภอ
๓. ทางหลวงจังหวัดหมายเลข ๔๑๕๑ ติดต่อกันภายในอำเภอและติดต่อกับอำเภอเชียรใหญ่ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
๔. ทางรถไฟสายใต้ ติดต่อกับอำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอทุ่งสง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช และอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
๕. การคมนาคมทางน้ำ มีคลองชะอวดเป็นเส้นทางที่สำคัญ ใช้ได้ตลอดฤดูกาล มีเรือบรรทุกสินค้าและเรือโดยสารระหว่างอำเภอชะอวด อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอหัวไทร และอำเภอปากพนัง
อาชีพและสภาพเศรษฐกิจ
ประชากรส่วนใหญ่หรือประมาณร้อยละ ๙๐ ประกอบอาชีพทางการเกษตร เช่น ทำนา ทำสวนยางพารา พืชไร่ สวนผลไม้ พืชผัก ตัดไม้ขาย และหาปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติในพรุ โดยใช้เครื่องมือขนาดเล็ก เช่น แห ข่าย ไซ สุ่ม กระชุในเขตอำเภอชะอวดมีโรงสีข้าว (พ.ศ.๒๕๔๐) ถึง ๗๒ โรง
การปศุสัตว์ ปี พ.ศ.๒๕๓๙ มีการเลี้ยงโค ๑๔,๑๕๖ ตัวกระบือ ๖๗๕ ตัว สุกร ๙,๔๐๐ เป็ด ๒๔,๕๔๐ ตัว ไก่ ๒๐๔,๒๒๘ ตัว
ประชากรมีรายได้เฉลี่ยประมาณ ๑๓,๐๐๐ บาทต่อปีต่อคน
สังคมและวัฒนธรรม
เนื่องจากประชากรในอำเภอนี้นับถือศาสนาพุทธประมาณร้อยละ ๙๔.๗ สังคมและวัฒนธรรมจึงเป็นสังคมเกษตรแบบพุทธ ประเพณีและวิถีชีวิตชาวบ้านเป็นแบบเดียวกับอำเภออื่น ๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีศิลปินพื้นบ้านที่เป็นหนังตะลุง โนรา เพลงบอก สืบทอดกันหลายสายตระกูลประเพณีที่สำคัญ เช่น ประเพณีเดือนสิบ การรดน้ำผู้สูงอายุในวันสงกรานต์ การทำบุญให้แก่บรรพบุรุษ เป็นต้น (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์)
ที่มา
https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/detail.php?id=19216
อำเภอหัวไทร
อำเภอหัวไทร
ประวัติความเป็นมา
เดิมอำเภอหัวไทร ตั้งอยู่ที่บริเวณเขาพังไกร ก่อนเป็นอำเภอปรากฏในทำเนียบข้าราชการนครศรีธรรมราช พ.ศ.๒๓๕๔ (ครั้งรัชกาลที่ ๒) ว่า "ที่พังไกรท้ายวัง" มีหมื่นบาลธานีเป็นนายที่พังไกรท้ายวัง ศักดินา ๔๐๐ ฝ่ายซ้าย เป็นพื้นที่ที่ขึ้นกับกรมท้ายวัง เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีออกหลวงทิพรักษาเป็นกรมท้ายวัง ศักดินา ๑๒๐๐ ฝ่ายซ้าย มีที่บางจาก บางเคร็งที่พนางตุงและที่พังไกร รวม ๔ ตำบล สังกัดอยู่ในกรมนี้เฉพาะที่พังไกร นอกจากมีหมื่นบาลธานีเป็นนายที่แล้ว ยังมีหมื่นไกรบุรี ศักดินา ๒๐๐ เป็นรองที่พังไกรท้ายวัง และหมื่นโจม ศักดินา ๒๐๐ เป็นสมุห์บัญชี
ครั้นมีประกาศตั้งมณฑลนครศรีธรรมราชขึ้นเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ร.ศ.๑๑๕ (พ.ศ.๒๔๓๙) และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุขุมนัยวินิตเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นคนแรก ได้แบ่งเขตการปกครองเมืองนครศรีธรรมราชเป็นอำเภอด่างๆ ๙ อำเภอ คือ อำเภอกลางเมือง อำเภอเบี้ยซัด อำเภอร่อนพิบูลย์ เป็นแขวงชั้นกลาง อำเภอกลาย (ปากน้ำท่าสูง) อำเภอสิชล อำเภอลำพูน (ที่บ้านนา) อำเภอฉวาง อำเภอทุ่งสง และ "อำเภอเขาพังไกร" (ปัจจุบันคืออำเภอหัวไทร) เป็นแขวงชั้นนอกโดยเร่งดำเนินการแขวงชั้นในก่อน
รายงานการปฏิบัติราชการ ศ.ก.๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๔๐) ของพระยาสุขุมนัยวินิต ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครศรีธรรมราช ลงวันที่ ๔ ตุลาคม ร.ศ.๑๑๗ (พ.ศ.๒๔๔๑) ว่า ได้แบ่งแขวงตั้งกรมการอำเภอตลอดทั้งมณฑลเมืองนครศรีธรรมราช เดิมได้แขวงออกเป็น ๑๐ อำเภอ ครั้นภายหลังโปรดเกล้าฯ ให้ยกเกาะสมุยไปขึ้นกับมณฑลชุมพรเสียจึงยังคงเหลือ ๙ อำเภอ อำเภอลำดับที่ ๙ คือ "อำเภอเขาพังไกร เป็นแขวงชั้นนอก ต่อแดนเมืองพัทลุง เมืองสงขลานายก้านมหาดเล็ก บุตรพระดำรงค์เทวฤทธิ์ (กล่อม) เป็นนายอำเภอ ตั้งที่ว่าการที่เขาพังไกร"
อันนี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่า "อำเภอเขาพังไกร" ตั้งมาตั้งแต่ ร.ศ.๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๔๐)
รายงานฉบับเดียวกันนี้้พระยาสุขุมนัยวินิตกล่าวถึงสภาพท้องถิ่นนี้บางประการ เช่น การค้าขายว่า "เข้าเปลือกเข้าสารในแขวงอำเภอเขาพังไกร แลเบี้ยซัดมีมาก ซึ่งราษฎรพามาจำหน่ายที่ปากน้ำพนัง ลงเรือไปสิงคโปร์ เมืองแขกบ้างกรุงเทพฯ บ้าง..."
"..อำเภอเขาพังไกร ได้ขุดคลองขึ้น ๒ แห่ง คือ แห่งหนึ่ง ลำคลองปลายแม่น้ำพนังไปออกทะเลสาบที่บ้านระโนดซึ่งเป็นทางสำหรับไปมาระหว่างเมืองสงขลากับเมืองนครศรีธรรมราช เวลามรสุมนั้นคลองนี้ตื้นแลหญ้ารกมาก เวลาฤดูแล้งไปมาเป็นที่กันดาร ได้ขอแรงราษฎรชาวบ้าน พร้อมใจกันขุดที่ตื้นให้ลึกลงไปจากพื้นคลองเดิม ๓ ศอก กว้าง ๓ วา ขุดแล้ว ๑๒๒ เส้น ยังค้างอีก ๑๓๘ เส้น จะได้จัดการขุดต่อไป ที่ขุดแล้วนี้ระดูแล้งเรือจุเข้า ๑ เกวียนเดินได้ คลองนี้เรือเดินไปมามากเพราะไปเมืองสงขลา พัทลุงได้ตลอด
อีกแห่งหนึ่งปลายคลองบางตะพาน ที่จะไปเขาพังไกรที่ว่าการอำเภอนี้ตั้งอยู่นั้น คลองไปไม่ถึงจึงได้ขุดคลองต่อไป ๔๓ เส้น ลึก ๓ ศอก กว้าง ๖ ศอก ถึงที่ว่าการอำเภอแล้วเสร็จ"
พระยาสุขุมนัยวินิต ได้จัดทำบาญชีสำมะโนครัวเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา และเมืองพัทลุง เมื่อปี ร.ศ.๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๔๐) ในส่วนที่เกี่ยวกับอำเภอเขาพังไกรเป็นลำดับที่ ๖ มีนายก้านมหาดเล็ก เป็นนายอำเภอ มีกำนัน ๑๘ คน ผู้ใหญ่บ้าน ๒๔๐ คน มีจำนวนหมู่บ้าน ๔๗๕ หมู่บ้าน จำนวน ๕๕๔ หลังคาเรือน จำนวนราษฎรชาย ๑๒,๓๑๕ คน หญิง ๑๔,๓๑๕ คน รวม ๒๖,๖๓๐ คน มีราษฎรมากเป็นอันดับ ๓ ของเมืองนครศรีธรรมราช และมากกว่าอำเภอทุ่งสงเล็กน้อย คือ อำเภอเมืองมี ๔๓,๒๖๗ คน อำเภอเบียซัดมี ๓๔,๖๘๕ คน อำเภอทุ่งสงมี ๒๕,๔๒๘ คน
ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านว่าเหตุที่เรียกว่า "เขาพังไกร" เพราะบริเวณเชิงเขาแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของช้างป่า ที่ชื่อ "พลายดำ" และ "พังไกร" ครั้นช้างพังไกรล้มลง ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนั้นว่า 4"เขาพังไกร" ตามลักษณะที่มีภูเขาและเกี่ยวกับช้างพังไกร ดังกล่าวแล้ว
เมื่อ ร.ศ.๑๒๔ (พ.ศ.๒๔๔๘) พระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมือง ชายทะเลปักษ์ใต้เสด็จถึงอำเภอปากพนัง ทรงบันทึกไว้เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคมร.ศ.๑๒๔ ตอนหนึ่งมีว่า "ต่อโรงสีไฟขึ้นไปไม่มากนัก ถึงปากแพรก ซึ่งเป็นแม่น้ำ ๒ แยกๆ หนึ่งเลียบไปตามทเลถึงตำบลทุ่งพังไกร ซึ่งเป็นที่นาอุดมดี บ้างจีนกล่าวกันว่า ดีกว่านาคลองรังสิต แลมีที่ว่างเหลืออยู่มาก จะทำนาขึ้นได้ใหม่กว่าที่มีอยู่แล้วเดี๋ยวนี้อีก ๑๐ เท่า เขากะกำลังทุ่งนั้นว่าถ้ามีนาบริบูรณ์จะตั้งโรงสีไฟได้ประมาณ ๑๐ โรง ขาดแต่คนเท่านั้นนาทั้งมณฑลนครศรีธรรมราชไม่มีที่ไหนสู้ ลำน้ำนั้นเรือกลไฟขนาดศรีธรรมราชขึ้นไปได้ตลอดถึงพังไกร ในเวลาน่าแล้งต่อพังไกรไปเป็นลำคลองเล็กลง แต่ถ้าน่าน้ำเรือศรีธรรมราชไปได้ถึงอำเภอระโนด แขวงสงขลาตกทเลสาบ"
อันนี้แสดงถึงความเป็นอู่ข้าวอู่น้ำและเส้นทางเดินเรือของท้องที่ "อำเภอพังไกร" หรือ "อำเภอเขาพังไกร" ในสมัยรัชกาลที่ ๕
ต่อมามีการย้ายที่ว่าการอำเภอเขาพังไกรไปตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ ตำบลหัวไทร (ปัจจุบัน) การย้ายครั้งนี้บางแห่งบ่งว่าย้ายในสมัยที่ขุนชำนาญธุระกิจ (สิงห์โต) เป็นนายอำเภอ (พ.ศ.๒๔๔๙-๒๔๕๓) แต่เอกสารบางแห่งว่าย้ายเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ สมัยที่หลวงอนุสรณ์สิทธิกรรม (บัว ณ นคร) เป็นนายอำเภอ (พ.ศ.๒๔๕๖-๒๔๖๒) เมื่อย้ายแล้วจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น "อำเภอหัวไทร" ตามดำบลที่ตั้ง
ในระหว่าง พ.ศ.๒๔๖๔-๒๔๖๖ มีขุนภูวนาถนรานุบาลเป็นนายอำเภอ ครั้นถึง พ.ศ.๒๔๖๗ อำเภอหัวไทรถูกลดฐานะลงเป็น "กิ่งอำเภอหัวไทร" ไปขึ้นกับอำเภอปากพนัง
จนถึงปี พ.ศ.๒๔๘๐ จึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นอำเภออีกครั้งหนึ่ง มีนายนาค ศรีวิสุทธิ์ เป็นนายอำเภอ (วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๑) และได้ย้ายที่ว่าการอำเภอไปตั้งยังอีกฟากของถนนสายนครศรีธรรมราช-หัวไทร ในบริเวณหมู่ที่ 4 ตำบลหัวไทรมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งบริเวณนี้เดิมเป็นบริเวณของวัดหัวไทร (ปัจจุบันวัดหัวไทรย้ายไปตั้งที่หมู่ที่ ๑ ตำบลหัวไทร) ในขณะที่ยกฐานะกลับขึ้นเป็นอำเภอครั้งนั้น มีดำบลด่างๆ รวม ๘ ตำบล คือ หัวไทร ทรายขาว ท่าซอม เขาพังไกร แหลม หน้าสตน บ้านราม และบางนบ ต่อมาภายหลังจึงมีตำบลเพิ่มขึ้นอีก ๓ ตำบล คือ รามแก้ว ควนชะลิก และเกาะเพชร
สภาพทั่วไป
อำเภอหัวไทร ขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช มีเนื้อที่ประมาณ ๔๑๗.๗๓๓ ตารางกิโลเมตร ที่ว่าการอำเภออยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศใต้ตามถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๘ (นครศรีธรรมราช-สงขลา) ประมาณ ๖๖ กิโลเมตร
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอปากพนัง
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอระโนด จังหวัดสงขลาและอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอ่าวไทย
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเชียรใหญ่
อำเภอหัวไทร แบ่งเขตการปกครองเป็น ๑๑ ตำบล ๙๓ หมู่บ้าน ได้แก่ ตำบลควนชะลิก ตำบลแหลม ตำบลรามแก้วตำบลท่าซอม ตำบลบางนบ ตำบลบ้านราม ตำบลทรายขาว ตำบลเขาพังไกร ตำบลหัวไทร ตำบลเกาะเพชร และตำบลหน้าสตน
เมื่อถึงเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๓๘ มีประชากรทั้งหมด ๗๒,๓๒๙ คน เป็นชาย ๓๕,๕๗๙ คน เป็นหญิง ๓๖,๗๕๐ คน ปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีประชากรทั้งสิ้น ๗๑,๙๓๒ คน
สภาพภูมิประเทศ ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีเขาพระบาทและเขาน้อย สูงประมาณ ๓๐๐ เมตร เป็นแนวยาวประมาณ ๑๐ กิโลเมตร นอกนั้นเป็นที่ราบลุ่มโดยตลอด
แนวพื้นที่ตอนกลางจากเหนือไปใด้มีลักษณะเป็นเนินสูงเล็กน้อยคล้ายหลังเต่า แล้วลาดลงไปทั้งสองข้าง ทางทิศตะวันตกเป็นป่าพรุที่เคยเป็นทะเลแล้วตื้นเขิน ส่วนใหญ่จะเป็นดินเปรี้ยวเต็มไปด้วยป่าเสม็ด ทางทิศตะวันออกค่อยลาดลงไปจนจดอ่าวไทย เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เกิดจากตะกอนดินทับถมสืบเนื่องกันมาร่วม ๑,๐๐๐ ปี จึงเต็มไปด้วยห้วย หนอง คลอง โคก เป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญยิ่งของภาคใต้ นามสถานเป็นจำนวนมากที่บ่งถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ในอดีต เช่น ควนทะเล โมง คลองช้าง บ้านแหลม หนองสิบหาบ เกาะสำโรง เกาะเรือ บางแหยง โพรงจระเข้ พรุรวม บางคุระ บางหนัง หนองเพ็งกรอ หนองหมาคลอด หนองหลุง โคกลาน นานอก ท้ายสำเภา บ่อพูด บ่อโพง ห้วยน้ำเย็น เกาะขรบ มาบยอด ในอ่าว ท่าเข็น และปากระวะ เป็นต้น
ปี พ.ศ.๒๕๓๘ อำเภอหัวไทรมีพื้นที่เพื่อทำการเกษตรประมาณ ๑๙๒,๖๐๖ ไร่ เป็นพื้นที่ทำนาปลูกข้าวประมาณ ๑๖๖,๘๖๐ ไร่ ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นประมาณ ๙,๔๖๓ ไร่ เลี้ยงกุ้งกุลาดำประมาณ ๑๓,๕๓๓ ไร่ ปลูกพืชผักต่าง ๆประมาณ ๒,๗๕๐ ไร่ ในช่วง ๑๐ ปี (พ.ศ.๒๕๓๐-๒๕๔๐) ได้มีการแปรสภาพการใช้ที่ดินจากการทำนาข้าว เป็นการทำนากุ้งเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้สภาพดิน รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลดีในระยะสั้น แต่จะส่งผลกระทบเป็นผลเสียในระยะยาว การทำนากุ้งในท้องที่อำเภอหัวไทร จึงกลายเป็นประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นจนเกิดเป็นคำขวัญของอำเภอว่า "เมืองนากุ้ง ทุ่งนาข้าวจ้าวทะเล เสน่ห์หาดทราย มากหลายศิลปิน"
จากการที่ทุ่งหัวไทร ได้เปลี่ยนจากทุ่งนาข้าวเป็นทุ่งนากุ้งจนมีการขยายพื้นที่ทำบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำอย่างรวดเร็ว เช่น ปี พ.ศ.๒๕๓๗ มีผู้เลี้ยงกุ้งถึง ๑,๒๓๔ ราย จำนวนบ่อ ๒,๑๑๓ บ่อ ใช้พื้นที่ ๘,๑๐๓ ไร่ นอกจากนี้ยังมีเอกชนรายใหญ่ และบริษัทอีก ๔ ราย ทำนากุ้งในพื้นที่ ๑,๘๕๐ ไร่ ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๕๓๘ มีพื้นที่ทำนากุ้งถึง ๑๓,๕๓๓ ไร่ ส่งผลกระทบต่อนาข้าวอย่างรุนแรง พื้นที่นาข้าว ซึ่งเคยเต็มไปด้วยดงตาลให้ความร่มรื่นและผลประโยชน์นานาประการ กลับกลายเป็นยืนต้นตายเต็มทุ่ง สภาพเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่สภาพทางสังคมก็เสื่อมโทรมอย่างเห็นได้ชัด สภาพแวดล้อมก็ทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว ครั้นถึงปลายปี พ.ศ.๒๕๓๘ ผู้เลี้ยงกุ้งรายย่อยเริ่มประสบปัญหาขาดทุน ต้องปล่อยให้บ่อกุ้งเรื้อร้างเกินครึ่ง ผู้ประกอบการบางรายมีหนี้สิน และปัญหาทางสังคมนานาประการ
ส่วนจากคำขวัญที่ว่า อำเภอหัวไทร "มากหลายศิลปิน" นั้น เป็นความจริงในอดีต เพราะมีศิลปินพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ เช่น หนังปานบอด (ปฏิภาณกวี) เป็นทั้งนายหนังและเพลงบอกที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หนังประวิง หนูเกื้อ, หนังประทิน บัวทอง, หนังประทุม เสียงชาย, หนังหญิงลำยอง, หนังบุญธรรม เทอดเกียรดิชาติ โนรามีโนราเนตรน้อย, โนราเสน่ห์น้อย เพลงบอกมี เพลงบอกเผียนเพลงบอกหญิงหนูหับ เป็นต้น (วิเชียร ณ นคร, สุธิวงศ์ พงศ์ ไพบูลย์)
ที่มา
https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/detail.php?id=25065
ประวัติความเป็นมาอำเภอบางขัน
คำขวัญประจำอำเภอบางขัน “พระพุทธลีลาศูนย์รวมใจ พ่อท่านไข่วาจาสิทธิ์ ดุจเนรมิตเขานางนอน บ่อน้ำร้อนมีชื่อเสียง ทิวทัศน์ช่องเหรียงงามตา เสน่หาน้ำตกโตน”
ประวัติความเป็นมาอำเภอบางขัน
หลวงพำนักนิคมคาม (เทียน ณ นคร) นายอำเภอทุ่งสง ได้จัดตั้งท้องที่บริเวณห้วยบางขันเป็นตำบลบางขัน ขึ้นกับอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้ประกาศตั้งตำบลบางขันเป็นกิ่งอำเภอบางขันตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๗ ประกอบด้วย ๓ ตำบล คือ ตำบลบางขัน ตำบลบ้านลำนาว และตำบลวังหิน ต่อมาเมื่อพ.ศ.๒๕๓๐ ได้จัดตั้งตำบลเพิ่มขึ้นอีก ๑ ตำบล คือ ตำบลบ้านนิคม โดยแยกออกจากตำบลวังหิน จึงรวมเป็น ๔ ตำบลและได้มีพระราชกฤษฎีกาตามราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๔๕ ลงวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๕ ยกฐานะเป็นอำเภอบางขัน ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕
ในท้องที่อำเภอบางขันนี้ มีความเกี่ยวข้องกับการ ขุดคลอง ที่น้อม อุปรามัย ได้เขียนถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ที่พระเจ้าตากสินมหาราช ได้มีพระราชประสงค์ให้พระเจ้าขัตติยราชนิคมสมมติมไหสวรรค์ พระเจ้านครศรีธรรมราช หรือเจ้านคร (หนู) เจ้าผู้ครอบครองอาณาจักรนครศรีธรรมราช หรือเป็นประเทศราช ขุดคลองเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำตาปี กับแม่น้ำตรังประมาณ พ.ศ.๒๓๒๐ ที่ปลายแม่น้ำตรังหรือคลองสาขาที่เรียกว่า "คลองวังหิน" กับปลายแม่น้ำตาปีหรือคลองสาขา ที่เรียกว่า "คลองพา" เจ้านคร (หนู) ได้ทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว แต่การขุดเชื่อมแม่น้ำทั้งสองยังไม่สำเร็จ เพราะสิ้นรัชกาลพระเจ้าตากสินมหาราชเสียก่อน เส้นทางดังกล่าวนี้ ตามที่น้อม อุปรามัยเรียกว่า "ทางน้ำสายใน" ซึ่งบางพื้นที่ของทางสายในจะอยู่ในท้องที่อำเภอบางขันด้วย
สภาพทั่วไป
อำเภอบางขันขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ประมาณ ๖๐๑.๖๖๒ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๓๗๖,๐๓๘ ไร่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดนครศรีธรรมราชตามทางหลวงแผ่นดินที่ ๔๑๕๑ สายบ่อล้อ-ลำทับ อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ๙๔ กิโลเมตร
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอทุ่งใหญ่ และอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอทุ่งสง
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่และอำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง
การจัดการปกครอง อำเภอบางขัน แบ่งเขตการปกครองเป็น ๔ ตำบล ๕๒ หมู่บ้าน ประกอบด้วย ตำบลบางขัน ตำบลบ้านลำนาว ดำบลวังหิน และตำบลบ้านนิคม ประชากรปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีจำนวน ๓๑,๗๖๒ คน นับถือศาสนาพุทธร้อยละ ๗๘ นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ ๒๐ ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์ประมาณร้อยละ ๒
พื้นที่หลายหมู่บ้านในอำเภอบางขันมีพัฒนาการของการตั้งชุมชนที่มีลักษณะพิเศษ เช่น บ้านเคี่ยมงาม หมู่ที่ ๑๑ ตำบลบ้านลำนาว เป็นหมู่บ้านที่ราษฎรจากอำเภอพิปูน ตำบลฉวาง เข้ามาตั้งถิ่นฐานหลังจากเกิดวาตภัย (วันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๕) ซึ่งเดิมเคยเป็นป่าสงวน เคยเป็นป่าไม้เคี่ยมมาก่อน บ้านสมสรร ตำบลบ้านนิคม แต่เดิมชื่อว่าบ้านไสถั่ว ต่อมาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงให้สร้างโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนขึ้น และทรงตั้งชื่อโรงเรียนว่า "สมสรร" ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อบ้านไสถั่วตามชื่อโรงเรียนเป็น "บ้านสมสรร" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เนื่องจากราษฎรส่วนใหญ่อพยพมาจากท้องถิ่นอื่น จึงประกอบอาชีพเพาะปลูกเป็นหลัก เช่น ยางพารา กาแฟ ไม้ผลและการเลี้ยงสัตว์ มีรายได้เฉลี่ยประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาทต่อคน ต่อปี
สภาพภูมิประเทศ เป็นที่ราบสูงสลับที่ราบ มีคลองและลำห้วยเล็ก ๆ หลายสายที่สำคัญ เช่น แม่น้ำตรัง เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่กั้นระหว่างอำเภอบางขันกับจังหวัดตรัง ไหลผ่านอำเภอบางขัน ๒๕ กิโลเมตร คลองลำนาว เกิดจากภูเขาหน้าแดงท้องที่อำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง ยาวประมาณ ๓๐ กิโลเมตร สภาพภูมิประเทศที่สำคัญ คือ เป็นพื้นที่ป่าสงวน มีป่าสงวนแห่งชาติ ๘ แปลง รวมเนื้อที่ ๒๑๒,๙๖๖ ไร่ ทำให้มีการย้ายถิ่นเข้ามาของประชาชนจากอำเภออื่นๆ มารุกล้ำป่าเหล่านั้นเป็นจำนวนมาก
ลักษณะภูมิอากาศโดยทั่วไปเป็นเช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆ ของภาคใต้ฝั่งตะวันออก
ชาวบางขันเป็นส่วนใหญ่ ยึดมั่นขนบธรรมเนียมพื้นบ้านอยู่กันแบบเครือญาติ รักใคร่ในหมู่คณะ มีความเป็นอยู่ทีเรียบง่าย เนื่องจากราษฎรส่วนหนึ่งอพยพมาจากอำเภอและจังหวัดใกล้เคียง เช่น พัทลุง ตรัง สังคมและวัฒนธรรมจึงเป็นอย่างท้องถิ่นอื่นๆ ในภาคใต้ การดำเนินงานทางวัฒนธรรมมีสภาวัฒนธรรมประจำอำเภอและศูนย์วัฒนธรรมประจำอำเภอจำนวน ๑ แห่ง
สถานที่สำคัญ ได้แก่ พระพุทธลีลาศิริธรรมนคร ประสงค์มิ่งมงคล เป็นพระพุทธรูปปางลีลา สูง ๕.๐๙ เมตร เททองหล่อพระที่โรงหล่อรุ่งเรือง จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๘ งบประมาณค่าก่อสร้างทั้งสถานที่ประดิษฐานพระและบริเวณรวม ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท เป็นนามที่พระเทพปัญญาสุธี เจ้าอาวาสวัดแจ้ง พระอารามหลวงประทานนาม โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อเป็นสิริมงคลและเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจแก่ประชาชน รวมทั้งเป็นการถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสที่ครองราชย์ครบ ๕๐ พรรษา บ่อน้ำร้อน ตั้งอยู่หมู่ที่ ๓ ตำบลวังหิน ริมถนนสายบ่อล้อ-ลำทับที่กิโลเมตรที่ ๓๑ มีเนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ บริเวณนี้ได้รับการบูรณะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งของอำเภอ สำนักสงฆ์ศรีเทพวนาราม ตั้งอยู่ในท้องที่หมู่ที่ ๑๑ ตำบลลำนาว ห่างจากที่ว่าการอำเภอ ๑๒ กิโลเมตร ตามเส้นทางสายลำนาว-เคี่ยมงาม อยู่ห่างจากถนนสายนี้้ ๑.๕ กิโลเมตร เนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่การจัดตั้งสำนักสงฆ์นี้เป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของประชาชนที่ต้องการสร้างสำนักสงฆ์เพื่อให้เป็นสำนักของพระสายวิปัสสนากรรมฐาน ตามความศรัทธาของประชาชนถาวรวัตถุหรือสิ่งก่อสร้างจึงมีน้อย เนื่องจากไม่ต้องการสิ้นเปลืองและต้องการรักษาต้นไม้ หรือธรรมชาติต่างๆ เอาไว้ไม่ให้ถูกทำลาย น้ำตกโตน ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑๑ ตำบลลำนาว ห่างจากที่ว่าการ อำเภอประมาณ ๑๒ กิโลเมตร อยู่ใกล้ๆ กับสำนักสงฆ์ศรีเทพวนาราม น้ำตกนี้มีทั้งแอ่งน้ำเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ (ณรงค์ บุญสวยขวัญ, อัมมร ธุระเจน)
น้ำพุร้อน อำเภอบางขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช
อุทยานบ่อน้ำร้อน วัดอุทยานบ่อน้ำร้อน หมู่ที่ 13 ตำบลวังหิน อำเภอบางขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันถือว่าเป็นจุดหมายปลายทาง ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่สำคัญแห่งหนึ่ง โดยบ่อน้ำร้อนประกอบไปด้วยบ่อน้ำร้อนรวม 9 บ่อ เส้นผ่าศูนย์กลางของแต่ละบ่อประมาณ 3-4 เมตรมีบ่อเล็ก ๆ อีกหลายบ่อ เป็นพื้นที่ราบริมคลอง พบน้ำผุดอยู่ในห้วยหลายแห่ง คุณภาพน้ำดี ใส ไม่มีกลิ่นกำมะถัน นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้ชมบ่อน้ำร้อน หรืออาบและแช่น้ำแร่ก็ย่อมได้เช่นกัน
ที่มา
https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/detail.php?id=21113
https://th.search.yahoo.com
ประวัติอำเภอทุ่งใหญ่
คำขวัญ : ถิ่นยางพันธุ์ดี เจดีย์ศรีวิชัย เพลินไพรนางนอน จุฬาภรณ์พัฒนา ป่าสองทะเลศรี ธรณียิบซั่ม
.ประวัติความเป็นมา
อำเภอทุ่งใหญ่ มีประวัติการจัดตั้งมาเป็นเวลาอันยาวนาน เฉพาะที่เป็นกิ่งอำเภอนั้นก็นานกว่าครึ่งศตวรรษ ซึ่งต่างจากอำเภออื่นๆ ในปัจจุบัน บางอำเภอก็เป็นกิ่งอำเภอเพียง 3 ปี ก็ยกฐานะเป็นอำเภอ ทางเดินของอำเภอและชาวอำเภอทุ่งใหญ่จึงยาวไกลคดเคี้ยวทุรกันดารอย่างน่าศึกษาเป็นบทเรียน ประวัติ ข้อมูลของอำเภอทุ่งใหญ่ที่นำเสนอนี้ได้มาจากเอกสารของทางราชการหนังสือตำนานประวัติเล่าเรื่อง และการพบปะสนทนากับบุคคลต่างๆ ทั้งข้าราชการ พระสงฆ์ ประชาชน ผู้นำท้องถิ่น และขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ คุณฉลอง เทพจินดา ผู้ใหญ่บ้านนักพัฒนา ผู้มีมนุษย์สัมพันธ์และอัธยาศัยโอบอ้อมอารี ที่สละเวลาเต็มวันเป็นผู้นำทางเข้าถึงพื้นที่ ทุ่งใหญ่จนทั่วถึง
เดิมมีฐานะเป็นกิ่งอำเภอ อยู่ภายใต้การปกครองของอำเภอทุ่งสง หลังจากนั้นจึงยกฐานะจากตำบลขึ้นเป็นกิ่งอำเภอเมื่อ พ.ศ. 2449 ที่ว่าการกิ่งอำเภอเดิมตั้งอยู่ที่บ้านบางปรน หมู่ที่ 2 ตำบลกุแหระ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2452 จึงได้ย้ายที่ตั้งมาตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 2 ตำบลท่ายาง และเปลี่ยนจากชื่อเดิมคือ "กิ่งอำเภอกุแหระ" เป็น "กิ่งอำเภอท่ายาง" ตามตำบลที่มาตั้งเป็นที่ว่าการกิ่งอำเภอใหม่ และมีฐานะเป็นกิ่งอำเภอมาจนกระทั้งได้มีพระราชกฤษฎีกาให้ยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2502 เมื่อยกฐานะเป็นอำเภอแล้วจึงใช้ชื่อว่า "อำเภอท่ายาง" ตามชื่อกิ่งอำเภอเดิมและที่ว่าการยังคงตั้งอยู่ที่เดิม ภายหลังปรากฏว่าชื่ออำเภอท่ายางไปพ้องกับชื่อ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ทางราชการจึงได้เปลี่ยนชื่อจากอำเภอท่ายาง เป็น อำเภอทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2504 ชื่อที่เปลี่ยนใหม่นี้ได้เอาชื่อของตำบลๆ หนึ่งในเขตการปกครอง คือ ตำบลทุ่งใหญ่ ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตำบลที่ตั้งที่ว่าการอำเภอในปัจจุบัน ส่วนในด้านการปกครองท้องถิ่นนั้นยังคงใช้ชื่อว่าสุขาภิบาลท่ายาง เหมือนเดิม อำเภอทุ่งใหญ่เป็นอำเภอที่มีฐานะเป็นกิ่งอำเภอในระยะเวลายาวนานที่สุด คือ เป็นกิ่งอำเภอนานถึง 53 ปี
จากข้อมูลในอดีตของอำเภอทุ่งใหญ่ ซึ่งได้กล่าวมาข้างต้น นับรวมจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 87 ปี เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ตามคำบอกเล่าสืบต่อกันมาของคนโบราณ กล่าวกันว่าคนถิ่นเดิมได้อพยพมาจากหลายแห่ง คือ เมื่อครั้งสงครามพม่าศึกเก้าทัพ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์พม่าตีเมืองถลางและทางตอนใต้ของไทยมีคนบางส่วนได้อพยพมาจากจังหวัดสงขลา พัทลุง สุราษฎร์ธานี และบางอำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช เช่น อำเภอฉวาง มาตั้งถิ่นฐานที่ตำบลทุ่งใหญ่ ตำบลท่ายาง ตำบลกุแหระ ตำบลปริก ความสำคัญทางด้านวรรณคดีและวัฒนธรรม มีโบราณสถานที่สำคัญ คือ เจดีย์ศรีวิชัย ที่วัดภูเขาหลัก หมู่ที่ 5 ตำบลทุ่งสัง เพียงแห่งเดียว สำหรับวัดที่เคยมีชื่อเสียงในสมัยโบราณ คือ วัดภูเขาหลัก ตำบลทุ่งสัง วัดบางวงศ์ ตำบลบางรูป วัดใหม่ ตำบลทุ่งใหญ่ เพราะเคยมีสมภารที่มีชื่อเสียงชำนาญทางไสยเวทย์ติดต่อกันมา สถานที่ที่เคยพบโบราณวัตถุหลายแห่ง เช่น ถ้ำเขาสัง ตำบลทุ่งสัง ราษฎรขุดมูลค้างคาวพบกาตักน้ำทำด้วยทองสัมฤทธิ์ บาตร และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ที่ตำบลท่ายาง มีคนเคยพบวัตถุโบราณมากแต่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้ และที่วัดภูเขาดิน พบซากกระดูกนานชนิด ซากเปลือกหอยมากมาย
ที่ตั้งและอาณาเขต
อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นอำเภอชั้น 3 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวจังหวัด พิกัด NK 406174 ห่างจากจังหวัดโดยทางรถยนต์ประมาณ 102 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพมหานครโดยทางรถยนต์ประมาณ 800 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมด 603,287 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอและจังหวัดต่างๆ ดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอฉวาง กิ่งอำเภอถ้ำพรรณรา จังหวัดนครศรีธรรมราช
และอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
และอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอฉวาง อำเภอนาบอน
อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
และอำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่
ลักษณะภูมิประเทศ
ลักษณะทั่วไปเป็นที่ราบสูงมีพื้นที่ประมาณ 3 ใน 4 ส่วน นอกจากนั้นจะเป็นที่ราบลุ่มสลับเนินพื้นที่ทางตอนใต้มีระดับสูงกว่าทางตอนเหนือ ฉะนั้น ในแม่น้ำลำคลองต่างๆ จึงไหลลงสู่ทิศเหนือทั้งหมดพื้นที่ทั่วไปจึงเหมาะสมแก่การทำสวน ทำนา สวนยางพารา น้ำเพื่อการเกษตรต้องอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก บริเวณแถบเนินเขามีทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แร่ยิบซัมมีจำนวนมาก ได้มีบริษัทต่างๆ เข้ามาซื้อที่ดินเพื่อเปิดดำเนินการผลิตแร่ยิบซัม ออกจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศหลายบริษัท นอกจากนี้แล้วการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้เข้ามาทำการขุดเจาะสำรวจถ่านหินลิกไนท์ ซึ่งพบในตำบลท่ายาง ตำบลทุ่งสัง และตำบลกุแหระ
สถานที่สำคัญ
วัดภูเขาหลัก
เป็นวัดที่เก่าแก่แห่งนึงของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีเจดีย์ศรีวิชัยตั้งแต่สมัยโบราณนานมาที่เป็นที่นับถือมาก มีเจดีย์ศรีวิชัยมี่ถ้วยชามเก่าแก่ที่ประดับเจดีย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำตาปี
ทะเลสองห้อง
ทะเลสองห้องเป็นแหล่งดำน้ำลึก เป็นปล่องภูเขาไฟเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว ทะเลสองห้องตั้งอยู่ใน ตำบลกรุงหยัน อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง นักดำน้ำต่างชาติหลายคนให้การยอมรับว่าเป็นแหล่งดำน้ำที่มหัศจรรย์ มีสิ่งมีชีวิตมากมาย และยังเป็นถ้ำใต้นำ้ที่มีความลึกที่ยังไม่เคยมีใครดำไปจนถึงก้นถ้ำได้ ติดเป็นแหล่งดำน้ำต้นๆของเอเชีย จากที่เคยมีการสำรวจปากบ่อภูเขาไฟนี้จะมีทั้งหมด 2 บ่อ บ่อแรกกว้างราวๆ 20 ไร่ อีกบ่อกว้าง 10 ไร่ และหากลงไปข้างใต้นั้นจะมีความกว้างและความลึกมากทีเดียว
ที่มา
https://www.tungsong.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)