30 มกราคม, 2567
ประเพณีเข้าพรรษา
ความเป็นมาและความสำคัญ
วันเข้าพรรษา เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พอถึงฤดูฝนพระภิกษุส่วนใหญ่ก็อยู่ประจำที่เช่นเดียวกับนักบวชนอกพุทธศาสนาที่มักถือเป็นประเพณีปฏิบัติอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ปรากฏว่ามีพระภิกษุกลุ่มฉัพพัคคีย์พาบริวารจำนวน 1,500 รูปเที่ยวจาริกไปตามที่ต่างๆ เนื่องจากตอนต้นพุทธกาลยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษา ทำให้ชาวบ้านพากันติเตียนถึงการจาริกของท่านเพราะไปเหยียบข้าวกล้าในนาเสียหาย เมื่อรู้ไปถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ตรัสถามจนได้ความจริง แล้วทรงบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำพรรษา เป็นเวลา 3 เดือนในฤดูฝน   
	ฉะนั้น สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตการจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือนแก่พระสงฆ์นั้น มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพื่อเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้านที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่จำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วย
	ในวันเข้าพรรษาและช่วงฤดูพรรษากาลตลอดทั้ง 3 เดือน พุทธศาสนิกชนชาวไทยถือเป็นโอกาสอันดีที่จะบำเพ็ญกุศลด้วยการเข้าวัดทำบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งสิ่งที่พิเศษจากวันสำคัญอื่น ๆ คือ มีการถวายหลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษา และผ้าอาบน้ำฝน (ผ้าวัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อสำหรับให้พระสงฆ์ได้ใช้สำหรับการอยู่จำพรรษา โดยในอดีต ชายไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนเมื่ออายุครบบวช (20 ปี) จะนิยมถือบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เพื่ออยู่จำพรรษาตลอดฤดูพรรษากาลทั้ง 3 เดือน โดยพุทธศาสนิกชนไทยจะเรียกการบรรพชาอุปสมบทเพื่อจำพรรษาตลอดพรรษากาลว่า "บวชเอาพรรษา"
วันเข้าพรรษา (บาลี: วสฺส, สันสกฤต: วรฺษ, อังกฤษ: Vassa, เขมร: វស្សា, พม่า: ဝါဆို) เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่งที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดระยะเวลา 3 เดือนตามที่พระวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือภาษาปากว่า จำพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า พักอยู่) การเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์โดยตรง พระสงฆ์จะไม่จำพรรษาไม่ได้ เนื่องจากรูปใดไม่จำพรรษาถือว่าต้องอาบัติทุกกฏตามพระวินัย[1] การเข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา
	วันเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หรือปีอธิกมาส จะเลื่อนเป็นวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 หลัง) หรือเทศกาลเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือปีอธิกมาส จะเลื่อนเป็นวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 หลัง ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) ถือว่าเป็นวันและช่วงเทศกาลทางศาสนาพุทธที่สำคัญเทศกาลหนึ่งในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาประมาณ 3 เดือนในช่วงฤดูฝน โดยวันเข้าพรรษาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ต่อเนื่องมาจากวันอาสาฬหบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8) ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั้งพระมหากษัตริย์และคนทั่วไปได้สืบทอดประเพณีปฏิบัติการทำบุญในวันเข้าพรรษามาช้านานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย
	สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตการจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือนแก่พระสงฆ์นั้น มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพื่อเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้านที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่จำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วย
	ในวันเข้าพรรษาและช่วงฤดูพรรษากาลตลอดทั้ง 3 เดือน พุทธศาสนิกชนชาวไทยถือเป็นโอกาสอันดีที่จะบำเพ็ญกุศลด้วยการเข้าวัดทำบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งสิ่งที่พิเศษจากวันสำคัญอื่น ๆ คือ มีการถวายหลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษา และผ้าอาบน้ำฝน (ผ้าวัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อสำหรับให้พระสงฆ์ได้ใช้สำหรับการอยู่จำพรรษา โดยในอดีต ชายไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนเมื่ออายุครบบวช (20 ปี) จะนิยมถือบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เพื่ออยู่จำพรรษาตลอดฤดูพรรษากาลทั้ง 3 เดือน โดยพุทธศาสนิกชนไทยจะเรียกการบรรพชาอุปสมบทเพื่อจำพรรษาตลอดพรรษากาลว่า "บวชเอาพรรษา"
	นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2551 รัฐบาลได้ประกาศให้วันเข้าพรรษาเป็น "วันงดดื่มสุราแห่งชาติ"[2] โดยในปีถัดมา ยังได้ประกาศให้วันเข้าพรรษาเป็นวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วราชอาณาจักร[3] ทั้งนี้เพื่อรณรงค์ให้ชาวไทยตั้งสัจจะอธิษฐานงดการดื่มสุราในวันเข้าพรรษาและในช่วง 3 เดือนระหว่างฤดูเข้าพรรษา เพื่อส่งเสริมค่านิยมที่ดีให้แก่สังคมไทย[4]
ความสำคัญและประโยชน์ของการเข้าพรรษา
ช่วงเข้าพรรษานั้นเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่นา ดังนั้นการกำหนดให้ภิกษุสงฆ์หยุดการเดินทางจาริกไปในสถานที่ต่างๆ ก็จะช่วยให้พันธุ์พืชของต้นกล้า หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย ไม่ได้รับความเสียหายจากการเดินธุดงค์
หลังจากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลา 8 - 9 เดือน ช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงที่ให้พระภิกษุสงฆ์ได้หยุดพักผ่อน
เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมสำหรับตนเอง และศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยตลอดจนเตรียมการสั่งสอนให้กับประชาชนเมื่อถึงวันออกพรรษา
เพื่อจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนและบวชให้กับกุลบุตรผู้มีอายุครบบวช อันเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป
เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น การทำบุญตักบาตร หล่อเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้นอบายมุข และมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาตลอดเวลาเข้าพรรษา
มูลเหตุที่พระพุทธเจ้าอนุญาตการจำพรรษาแก่พระสงฆ์
	ในสมัยก่อน การเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในฤดูฝน มีความยากลำบาก และเป็นช่วงฤดูทำไร่นาของชาวบ้าน พระพุทธเจ้าจึงวางระเบียบให้พระสงฆ์หยุดการเดินทางเพื่อประจำอยู่ ณ สถานที่ใดที่หนึ่งในช่วงฤดูฝน
ในสมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงวางระเบียบเรื่องการเข้าพรรษาไว้ แต่การเข้าพรรษานั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวกปฏิบัติกันมาโดยปกติเนื่องด้วยพุทธจริยาวัตรในอันที่จะไม่ออกไปจาริกตามสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงฤดูฝนอยู่แล้ว เพราะการคมนาคมมีความลำบาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์ในช่วงต้นพุทธกาลมีจำนวนน้อยและส่วนใหญ่เป็นพระอริยะบุคคล จึงทราบดีว่าสิ่งใดที่พระสงฆ์ควรหรือไม่ควรกระทำ
	ต่อมาเมื่อมีพระสงฆ์มากขึ้น และด้วยพระพุทธจริยาที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบัญญัติพระวินัยล่วงหน้า ทำให้พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ทรงบัญญัติเรื่องให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจำพรรษาไว้ด้วย จึงเกิดเหตุการณ์กลุ่มภิกษุจาริกไปในที่ต่าง ๆ โดยไม่ย่อท้อทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ทำให้ชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พวกพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไม่ยอมหยุดพักสัญจรแม้ในฤดูฝน ในขณะที่นักบวชในศาสนาอื่น พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การที่พระภิกษุสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ แม้ในฤดูฝน อาจเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่ำโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากินจนถึงแก่ความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบให้ภิกษุประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง เป็นเวลา 3 เดือนดังกล่าว[5]
การเข้าพรรษาของพระสงฆ์ตามพระวินัยปิฎก
ตามพระวินัย พระสงฆ์รูปใดไม่เข้าจำพรรษาอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงปรับอาบัติแก่พระสงฆ์รูปนั้นด้วยอาบัติทุกกฎ
	และพระสงฆ์ที่อธิษฐานรับคำเข้าจำพรรษาแล้วจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้ แต่ถ้าหากเดินทางออกไปแล้วและไม่สามารถกลับมาในเวลาที่กำหนด คือ ก่อนรุ่งสว่าง ก็จะถือว่าพระภิกษุรูปนั้น"ขาดพรรษา" และต้องอาบัติทุกกฎเพราะรับคำนั้น รวมทั้งพระสงฆ์รูปนั้นจะไม่ได้รับอานิสงส์พรรษา ไม่ได้อานิสงส์กฐินตามพระวินัย และทั้งยังห้ามไม่ให้นับพรรษาที่ขาดนั้นอีกด้วย[8]
ประเภทของการเข้าพรรษาของพระสงฆ์
การเข้าพรรษาตามพระวินัยแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.ปุริมพรรษา (เขียนอีกอย่างว่า บุริมพรรษา) คือ การเข้าพรรษาแรก เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 (สำหรับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน จะเริ่มในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง) จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หลังจากออกพรรษาแล้ว พระที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน ก็มีสิทธิที่จะรับกฐินซึ่งมีช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
2.ปัจฉิมพรรษา คือ การเข้าพรรษาหลัง ใช้ในกรณีที่พระภิกษุต้องเดินทางไกลหรือมีเหตุสุดวิสัย ทำให้กลับมาเข้าพรรษาแรกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไม่ทัน ต้องรอไปเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 แล้วจะไปออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งเป็นวันหมดเขตทอดกฐินพอดี ดังนั้นพระภิกษุที่เข้าปัจฉิมพรรษาจึงไม่มีโอกาสได้รับกฐิน แต่ก็ได้พรรษาเช่นเดียวกับพระที่เข้าปุริมพรรษาเหมือนกัน
	ในประเทศไทย พระภิกษุส่วนใหญ่จะจำพรรษาในช่วงปุริมพรรษาหรือพรรษาแรกมากกว่าปัจฉิมพรรษาหรือพรรษาหลัง ยกเว้นพระภิกษุที่อาพาธ(ป่วย)หรือมีกิจจำเป็นจึงจะอธิษฐานจำพรรษาในช่วงปัจฉิมพรรษา ส่วนการที่มีเดือนแปดสองหน หรือปีอธิกมาส ก็เพราะเป็นการนับทางจันทรคติ(วันขึ้น วันแรม)ซึ่งแต่ละปีจะมีจำนวนวันน้อยกว่าการนับทางสุริยคติ(การนับวันตามแบบปัจจุบัน) ทำให้ต้องเพิ่มเดือนในบางปีเพื่อชดเชยจำนวนวันที่หายไป มิให้ปีทางจันทรคติและสุริยคติคลาดเคลื่อนกันไปมากความเป็นมาของวันเข้าพรรษาเกิดขึ้น
ความสำคัญและประโยชน์ของการเข้าพรรษา
ช่วงเข้าพรรษานั้นเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่นา ดังนั้นการกำหนดให้ภิกษุสงฆ์หยุดการเดินทางจาริกไปในสถานที่ต่างๆ ก็จะช่วยให้พันธุ์พืชของต้นกล้า หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย ไม่ได้รับความเสียหายจากการเดินธุดงค์
	หลังจากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลา 8 - 9 เดือน ช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงที่ให้พระภิกษุสงฆ์ได้หยุดพักผ่อน
	เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมสำหรับตนเอง และศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยตลอดจนเตรียมการสั่งสอนให้กับประชาชนเมื่อถึงวันออกพรรษา
	เพื่อจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนและบวชให้กับกุลบุตรผู้มีอายุครบบวช อันเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป
	เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น การทำบุญตักบาตร หล่อเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้นอบายมุข และมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาตลอดเวลาเข้าพรรษา
อานิสงส์แห่งการจำพรรษา
เมื่อพระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนได้ปวารณาแล้ว ย่อมจะได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา 5 อย่าง ตลอด 1 เดือนนับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป คือ 
1.เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ปาจิตตีย์กัณฑ์ 
2.เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ 
3.ฉันคณะโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้ 
4.เก็บอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา 
5.จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอ
และยังได้โอกาสเพื่อที่จะกราลกฐิน และได้รับอานิสงส์พรรษาทั้ง 5 ขึ้นนั้นเพิ่มออกไปอีก 4 เดือน ในฤดูหนาว คือตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 12 ไปจนถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 อีกด้วย  
กิจกรรมในวันเข้าพรรษาที่พุทธศาสนิกชนนิยมทำกัน ได้แก่
1.ตักบาตร
2.ถวายเทียนพรรษา
3.ถวายผ้าอาบน้ำฝน
4.ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม
5.ฟังธรรมเทศนา
6.เวียนเทียนรอบพระอุโบสถ
7.รักษาศีล 5
8.งดเว้นอบายมุข
9.เจริญภาวนา
สำหรับพุทธศาสนิกชน ในวันเข้าพรรษานิยมทำบุญตักบาตร ถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัยไทยธรรม ฟังธรรมเทศนา และเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ วันเข้าพรรษาเป็นช่วงเวลาแห่งการประพฤติปฏิบัติธรรมอันดีงามของชาวพุทธ เป็นวันแห่งการชำระจิต ชำระใจ และอ้อมกอดพระพุทธศาสนาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ข้อยกเว้นการจำพรรษาของพระสงฆ์
แม้การเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระภิกษุโดยตรง ที่จะละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม แต่ว่าในการจำพรรษาของพระสงฆ์ในระหว่างพรรษานั้น อาจมีกรณีจำเป็นบางอย่าง ทำให้พระภิกษุผู้จำพรรษาต้องออกจากสถานที่จำพรรษาเพื่อไปค้างที่อื่น พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษาโดยมีเหตุจำเป็นเฉพาะกรณี ๆ ไป ตามที่ทรงระบุไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการพระศาสนาหรือการอุปัฏฐานบิดามารดา แต่ทั้งนี้ก็จะต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน การออกนอกที่จำพรรษาล่วงวันเช่นนี้เรียกว่า "สัตตาหกรณียะ" ซึ่งเหตุที่ทรงระบุว่าจะออกจากที่จำพรรษาไปได้ชั่วคราวนั้นเช่น
	การไปรักษาพยาบาล หาอาหารให้ภิกษุหรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย เป็นต้น กรณีนี้ทำได้กับสหธรรมิก 5 และมารดาบิดา
การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้ กรณีนี้ทำได้กับสหธรรมิก 5
การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด หรือ การไปทำสังฆกรรม เช่น สวดญัตติจตุตถกรรมวาจาให้พระผู้ต้องการอยู่ปริวาส เป็นต้น
หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปให้ทายกได้ให้ทาน รับศีล ฟังเทสนาธรรมได้ กรณีนี้หากโยมไม่มานิมนต์ ก็จะไปค้างไม่ได้.
ซึ่งหากพระสงฆ์ออกจากอาวาสแม้โดยสัตตาหกรณียะล่วงกำหนด 7 วันตามพระวินัย ก็ถือว่า ขาดพรรษา และเป็นอาบัติทุกกฎเพราะรับคำ (รับคำอธิษฐานเข้าพรรษาแต่ทำไม่ได้)
	ในกรณีที่พระสงฆ์สัตตาหกรณียะและกลับมาตามกำหนดแล้ว ไม่ถือว่าเป็นอาบัติ และสามารถกลับมาจำพรรษาต่อเนื่องไปได้ และหากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกจากที่จำพรรษาไปได้ตามวินัยอีก ก็สามารถทำได้โดยสัตตาหกรณียะ แต่ต้องกลับมาภายในเจ็ดวัน เพื่อไม่ให้พรรษาขาดและไม่เป็นอาบัติทุกกฎดังกล่าวแล้ว
อาหารประจำประเพณีเข้าพรรษา
เข้าพร้อมตอก ออกพร้อมต้ม
คำพังเพยสำนวนปักษ์ใต้ทำนองนี้ เด็กรุ่นใหม่อาจไม่เข้าใจ ส่วนคนรุ่นเก่าที่ค่อนข้างจะห่างวัดอาจลืมๆ ไปแล้วก็ได้ แต่เมื่อได้ยินอีกครั้งก็คงจะพอหวลระลึกความหมายได้....
ตามประเพณีปักษ์ใต้ เทศกาลเข้าพรรษา นอกจากจะมีการถวายเทียนประจำพรรษา (ซึ่งปัจจุบันมีหลอดไฟฟ้าเสริมมาด้วย) และผ้าอาบน้ำฝนแล้ว ก็จะมีการถวายข้าวตอกด้วย
ข้าวตอก คือ ข้าวเปลือกที่นำมาคั่วแห้ง ให้เมล็ดแตกออกมา  แล้วก็เก็บเปลือกทิ้งไป ก็จะเหลือเพียงข้าวตอกขาวๆ ซึ่งคงจะมีน้อยคนที่ไม่รู้จัก ในเทศกาลเข้าพรรษา ญาติโยมก็จะนำข้าวตอกมาถวาย เพื่อพระ-เณรในวัดจะใช้เป็นอาหารในช่วงที่ฝนตกหนัก ไม่สามารถจะออกบิณฑบาตได้ 
การรับประทานข้าวตอก สามารถนำข้าวตอกคลุกกับมะพร้าวขูดและโรยน้ำตาลใส่เกลืออีกเล็กน้อย หรือข้าวตอกทำน้ำกะทิทุเรียนราดหน้าได้อีกด้วย คล้ายๆ กับ ลอดช่องกะทิหรือข้าวเหนียวน้ำกะทิทุเรียน 
	การถวายข้าวตอกในวันเข้าพรรษาค่อยๆ น้อยลงตามลำดับ เพราะไม่มีความจำเป็นดังเช่นสมัยโบราณ... ขณะที่การถวายหลอดไฟฟ้ากลับค่อยๆ มากขึ้น... การลดลงและเพิ่มขึ้นระหว่างข้าวตอกกับหลอดไฟฟ้าเป็นเครื่องบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า ประเพณีค่อยๆ แปรไป เพราะสังคมเห็นว่ามีความสำคัญหรือไม่เพียงใด ประมาณนั้น
ส่วนในวันออกพรรษา หลายๆ วัดจะมีการทำเรือพระแล้วก็ลากไปยังสถานที่ต่างๆ และญาติโยมก็จะนิยมทำ ข้าวต้มสามเหลี่ยม (ปักษ์ใต้เรียกสั้นๆว่า ต้ม) เพื่อนำไปแขวนที่เรือพระวัดต่างๆ เพื่อเป็นพุทธบูชา แม้บางวัดจะไม่ได้ทำเรือพระ แต่ก็ยังมีญาติโยมนำต้มมาถวายเป็นพุทธบูชาที่วัด ต้มเหล่านี้ วัดที่มีเรือพระก็จะได้เยอะ 
	ในตอนเย็น แม้เรือพระยังไม่กลับวัด เพราะอาจอยู่ร่วมสมโภชน์หรือสมัครใจลากไปยังที่อื่นต่อไป แต่ต้มเกือบทั้งหมดที่เรือพระ จะนำกลับมาย่างหรือทอดที่วัดก่อน (เพราะจะบูด) เพื่อจะได้เก็บไว้ฉัน ซึ่งโดยมากพระ-เณรไม่ค่อยจะฉันสักเท่าไหร่ บรรดาลูกศิษย์จะแบ่งกันไป หรือบางครั้งก็นำไปให้ที่เรือนจำเพื่อแจกพวกนักโทษ
	สมัยก่อน ไม่ค่อยมีการซื้อขาย พอจะเข้าพรรษาก็มีการคั่วตอกกันทุกบ้าน นั่นคือ เข้าพร้อมตอก ... และพอจะออกพรรษาก็จะมีการทำข้าวต้มสามเหลี่ยมกันทุกบ้าน นั่นคือ ออกพร้อมต้ม 
ข้าวต้มมัด ขนมของคนมีคู่ประจำวันเข้าพรรษา
ประเพณีของไทยหลาย ๆ อย่าง มักจะมีเรื่องราวของอาหารเข้าไป ข้องเกี่ยวอยู่ด้วยเสมอ เพราะคนไทยโบราณจะชอบทำอาหาร หรือขนมไทยชนิดต่าง ๆ ไปทำบุญถวายพระ แตกต่างกันไปตามความเชื่อ จนทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ที่ขาดกันไปไม่ได้แล้ว และก็สืบทอดมาจนถึงัจจุบัน เช่นเดียวกับ ข้าวต้มมัดกับวันเข้าพรรษา ที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ด้วย
	เกิดเป็นคนไทยจะมีใครที่ไม่รู้จักข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มผัด บ้างไหมเนี่ย ไม่ว่าจะไปอยู่มุมไหนของประเทศไทยก็มีขาย หาซื้อกินได้ง่ายเหลือเกิน โดยเฉพาะในช่วงวันเข้าพรรษา เราจะได้เห็นข้าวต้มมัดวางขายกันให้เกลื่อนเลยล่ะ เพราะคนไทยยกให้ข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มผัด เป็นขนมประจำวันเข้าพรรษานั่นเอง
ในสมัยก่อน คนโบราณยกให้ข้าวต้มมัดเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของคนมีคู่ เพราะมีลักษณะการจับขนม 2 ชิ้น มามัดเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง และมีความเชื่อว่า ถ้าหนุ่มสาวคู่ไหนทำบุญวันเข้าพรรษาด้วยข้าวต้มมัด ความรักมักจะดี ชีวิตคู่ครองจะคงอยู่นานตลอดกาล เหมือนกับข้าวต้มมัดที่ผูกกันติดหนึบนั่นเอง คนโบราณผู้มีคู่ก็เลยนิยมทำข้าวต้มมัดไปถวายพระในวันเข้าพรรษานั่นเอง โอ้โห !
	อีกหนึ่งตำนานที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า ข้าวต้มมัด เป็นข้าวต้มที่พระอินทร์กับนางสนมกินด้วยกันเมื่อตอนมีความรักให้กัน แต่ต่อมาพระอินทร์เกิดจับได้ว่าานางสนมมีชู้ จึงโกรธและดลบันดาลให้ลูกของนางสนมที่เกิดกับชู้ คลอดออกมาเป็นข้าวต้มมัด เมื่อถึงเวลาที่นางสนมคลอดบุตรอกมา ก็กลายเป็นข้าวต้มมัดจริง ๆ นางสนมก็เกิดความรังเกียจเดียดฉันท์ลูกแท้ ๆ ของตัวเอง เลยนำลงมาทิ้งไว้ที่ป่าในโลกมนุษย์ ตา-ยายคู่หนึ่งเดินเข้ามาในป่าก็มาเจอข้าวต้มมัดที่นางสนมมาทิ้งไว้ ลองแกะกินดูแล้วว่าอร่อย ก็เลยลองทำตามดู แล้วก็นำมาขายจนเป็นที่แพร่หลายมาจนถึงทุกวันนี้นี่เอง
	พอได้รู้ถึงเรื่องราวของข้าวต้มมัดกับวันเข้าพรรษไปแล้ว เราก็มาทำความรู้จักขนมชนิดนี้กันให้ลึกกว่าที่เคยรู้กันหน่อยดีกว่า
	ข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มผัด เป็นการนำข้าวเหนียวไปผัด หรือกวนกับน้ำกะทิ จากนั้นก็ห่อด้วยใบตองหรือใบมะพร้าวอ่อน สอดไส้กล้วยลงไปด้วย แล้วนำไปนึ่งให้สุก ข้าวต้มมัดมีชื่อเรียกหลากหลายมาก เช่น
	"ข้าวต้มมัดไต้" หรือ ขนมมัดไต้ ข้าวต้มมัดใต้ ฯลฯ เป็นชื่อเรียกข้าวต้มมัดของคนภาคใต้ มีเอกลักษณ์โดดเด่นก็คือ การนำข้าวเหนียวไปห่อแล้วมัดให้มีลักษณะเหมือนไต้ที่ใช้จุดไฟ มัดเป็นปล้อง ๆ 4-5 ปล้อง ซึ่งมีขนาดยาวกว่าข้าวต้มมัดทั่วไป ไม่มีไส้ มีรสชาติเค็มที่ทำมาจากส่วน ผสมถั่วทองโขลกกับเครื่อง เช่น รากผักชี กระเทียม และพริกไทย แถมยังใส่หมูและมันหมูลงไปด้วย และยังแยกออกไปอีกด้วยว่า ถ้าห่อด้วยใบกะพ้อ เรียก "ห่อต้ม" แต่ถ้าห่อด้วยใบมะพร้าวและมัดด้วยเชือกเรียกว่า "ห่อมัด"
 	"ข้าวต้มกล้วย" เป็นชื่อเรียกข้าวต้มมัดของคนภาคอีสาน มี 2 แบบด้วยกันคือ ใช้ข้าวเหนียวดิบปรุงรสด้วยเกลือ ใส่ถั่วลิสงต้มสุก เคล้าให้เข้ากัน นำไปห่อเป็นมัด ใส่ไส้กล้วย แล้วเอาไปต้มให้สุก ส่วนแบบที่ 2 คือ แบบผัด จะผัดข้าวเหนียวกับกะทิ นำไปห่อใส่ไส้กล้วยแล้วต้มให้สุก จะไม่ใส่น้ำตาลลงไปในส่วนผสม แต่จะใช้วิธีนำมาจิ้มกินกับน้ำตาลแทน
	"ข้าวต้มหัวหงอก" หรือข้าวต้มมัดของคนภาคเหนือ จะนำข้าวต้มมัดที่สุกแล้วมาหั่นเป็นชิ้น ๆ คลุกกับมะพร้าวขูด แล้วโรยน้ำตาลทราย
	"ข้าวต้มญวน" มีลักษณะคล้ายข้าวต้มมัด แต่ห่อให้ใหญ่กว่า นำไปต้ม เวลากินให้หั่นเป็นชิ้น ๆ คลุกกับมะพร้าวขูด เกลือและน้ำตาลทราย
	นอกจากนั้นเราอาจจะพบเห็นขนมที่มีรูปร่างหน้าตาคล้าย ๆ ข้าวต้มมัดแบบนี้ได้ที่ต่างประเทศอีกด้วย อย่างในประเทศฟิลิปปินส์ เรียกขนมชนิดนี้ว่า "อีบอส" หรือ "ซูมัน" ซึ่งจะเรียกต่างกันไปตามส่วนผสมที่นำมาทำ ส่วนในประเทศลาว ก็มีข้าวต้มมัดเช่นเดียวกันกับเรา แต่เรียกว่า "เข้าต้ม" มีทั้งแบบไส้เค็มที่ใส่มันหมูกับถั่วเขียว และแบบไส้หวานที่ใส่ไส้กล้วยเหมือนข้าวต้มมัดทั่วไปนั่นเอง
	 กล้วยบนโลกนี้มีมากมายหลายชนิด แต่มีใครเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมข้าวต้มมัดถึงใช้เฉพาะกล้วยน้ำว้า นั่นก็เพราะว่า คนโบราณใช้ภูมิปัญญาอันหลักแหลม ในการทดลอง ใช้กล้วยอยู่หลายชนิด แต่ผลปรากฎออกมาว่า ต้องกล้วยน้ำว้าเท่านั้น เพราะเป็นกล้วยที่สุกยาก เมื่อนำมานึ่งกับข้าวเหนียวแล้วจะสุกพร้อมกันนั่นเอง แหม่ ไม่ธรรมดาจริง ๆ
	แต่ไม่ใช่แค่วันเข้าพรรษาอย่างเดียว ข้าวต้มมัดก็ยังสามารถนำมาทำบุญในวันออกพรรษาก็ได้เช่นเดียวกัน หรือที่เรียกว่า "ข้าวต้มลูกโยน" ที่เรามักจะได้ยินเมื่อถึงวันออกพรรษา มีชื่อเรียกหลายอย่างไม่แพ้ข้าวต้มมัดเลย ทั้งข้าวต้มโยน ข้าวต้มหาง ข้าวต้มลูกโยนซึ่งเป็นอีกหนึ่งผล ผลิตจากข้าวต้มมัด มาจากข้าวเหนียวที่เหลือ ๆ ตอนทำข้าวต้มมัด แต่ไม่มีไส้ มีแต่ข้าวเหนียวอย่างเดียว หรืออาจจะเป็นข้าวเหนียวผสมถั่วดำ แล้วนำไปห่อให้เป็นทรงรีด้วยใบ กะพ้อ หรือใบมะพร้าวให้สวยงาม แต่ไฮไลท์อยู่ที่หางยาว ๆ ที่ใช้ตอกหรือไม้ไผ่เหลาบาง ๆ มัดให้เป็นหาง ผูกเข้าด้วยกันเป็นพวง ๆ แล้วนำไปนึ่ง หรือต้มจนสุกนั่นเอง
สูตรการทำข้าวต้มมัดไส้กล้วย 
สิ่งที่ต้องเตรียม
           ข้าวเหนียวขาว 500 กรัม
           มะพร้าวขูด 500 กรัม
           น้ำสำหรับคั้นกะทิ 3 ถ้วย
           น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
           เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
           กล้วยน้ำว้าสุก ปอกเปลือกผ่าครึ่ง 10 ลูก
           ถั่วดำต้มสุก 1 ถ้วย
           ใบตองสำหรับห่อขนม
วิธีทำ
          1. ซาวข้าวเหนียวให้สะอาด ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ เตรียมไว้
          2. คั้นมะพร้าวกับน้ำให้ได้น้ำกะทิ เตรียมไว้
          3. ผสมน้ำกะทิ (2 ถ้วย) กับน้ำตาลทราย และเกลือป่นเข้าด้วยกัน คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย กรองเอาเฉพาะน้ำกะทิ เตรียมไว้
          4. เทส่วนผสมกะทิใส่หม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ใส่ข้าวเหนียว กวนผสมจนเข้ากัน และส่วนผสมทั้งหมดเริ่มแห้ง ยกลงจากเตา เตรียมไว้
          5. เช็ดใบตองให้สะอาด ตักส่วนผสมข้าวเหนียวใส่ ตามด้วยกล้วย และถั่วดำ ห่อขนมให้สวยงาม จากนั้นนำไปนึ่งนานประมาณ 40 นาที นำออกจากชุดนึ่ง พักทิ้งไว้ พร้อมรับประทาน
ทำบุญ เข้าพรรษา  จัดอาหารถวายพระ อย่างไรให้ได้บุญ
	วันสำคัญทางพุทธศาสนา กำลังเวียนมาอีกครั้ง พุทธศาสนิกชนคงกำลังเตรียมภัตตาหาร เครื่องอัฐบริขาร เพื่อนำไปถวายพระกันอยู่ใช่ไหม แต่ขอถามสักนิดว่า “คุณคิดว่าอาหารที่คุณจะนำไปถวายพระนั้นเหมาะสมหรือไม่” ส่วนใหญ่เรามักจะเลือกอาหารที่ตัวเองชอบ หรือไม่ก็อาหารโปรดของญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ลืมนึกไปว่าพระสงฆ์คือผู้ฉันอาหารที่เรานำไปถวาย ฉะนั้นเพื่อทำบุญให้ได้บุญ เรามาจัดอาหารถวายพระสงฆ์อย่างถูกต้องกันดีกว่า
หลักในการจัดอาหารถวายพระ
        สิ่งแรกที่เราควรรู้คือ พระสงฆ์ท่านปฎิบัติธรรมอยู่ในวัด จะมีกิจนิมนต์ข้างนอกบ้าง แต่มิได้ใช้แรงหรือออกกำลังกายมากนัก และญาติโยมใส่บาตรถวายสิ่งใดมา ท่านก็ต้องฉัน เลือกไม่ได้ ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงสูงกับโรคภัยที่เกิดจากจากการฉันอาหาร สำหรับ โรคที่พระสงฆ์อาพาธมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่
1.โรคความดันโลหิตสูง
2.เบาหวาน
3.ถุงลมโป่งพอง
4.โรคกระดูกเสื่อม
5.ข้อเข่าเสื่อม
6.โรคหัวใจและหลอดเลือด
7.โรคไขมันหลอดเลือดสูง
8.โรคฟันผุ, เหงือกอักเสบ
9.โรคเกี่ยวกับตา เช่น ต้อกระจก
10.โรคท้องเสีย
อาหารต้องห้ามถวายต่อพระภิกษุสงฆ์
	อาหารต้องห้ามสำหรับพระภิกษุ คือ อาหารที่เป็น อกัปปิยะ ไม่สมควรแก่สมณบริโภคขบฉันได้แก่ เนื้อ 10 ชนิด และอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อ 10 ชนิด คือ
1.เนื้อมนุษย์ รวมทั้งเลือดมนุษย์ด้วย
2.เนื้อช้าง
3.เนื้อม้า
4.เนื้อสุนัข
5.เนื้องู
6.เนื้อราชสีห์ (สิงห์โต)
7.เนื้อเสือโคร่ง
8.เนื้อเสือเหลือง
9.เนื้อหมี
10เนื้อเสือดาว
	นอกจากเนื้อสัตว์ 10 ชนิดนี้ จำพวกเนื้อที่ยังไม่ได้ทำให้สุกด้วยไฟ เช่น เนื้อดิบ ปลาดิบ ก็เป็นของต้องห้ามไม่ให้พระภิกษุขบฉันด้วยเช่นกัน (ซูชิปลาดิบ, เนื้อย่างเสือร้องไห้ที่สุกๆ ดิบๆ จำพวกนั้นไม่ได้เด็ดขาด)
	เนื้อสัตว์ที่ฆ่าเจาะจง เช่น ฆ่าปลา ฆ่าไก่ เพื่อทำอาหารถวายแก่พระภิกษุสามเณรโดยตรง ซึ่งเรียกว่า “อุทิศสะมังสะ” แปลว่า เนื้อเจาะจง ก็เป็นของห้ามไม่ให้พระภิกษุสามเณรขบฉัน ถ้าพระภิกษุไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่ได้สงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อเป็นอาหารเฉพาะเจาะจงแก่ตน จึงฉันได้
	ผลไม้ที่มีเมล็ดอาจเพาะเป็น คือ ผลไม้ที่ใช้เมล็ดปลูกได้ เช่น เงาะ ลำไย เป็นต้น และเง่าที่ปลูกเป็น คือ พวกเผือก มัน แห้ว เป็นต้น อนุญาตให้อนุปสัมบัน คือ บุคคลที่ไม่ใช่พระภิกษุ ได้แก่ สามเณร และคฤหัสถ์ ทำให้เป็นของสมควรแก่สมณะเสียก่อนแล้วฉันได้ ไม่เป็นอาบัติ
อาหารที่ปรุงด้วยสุรา จนมีสี มีกลิ่น หรือ มีรสปรากฏ รู้ได้ว่ามีสุราเจือปน ห้ามไม่ให้พระภิกษุขบฉัน ถ้าไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หรือไม่มีรสปรากฏ ฉันได้ ไม่เป็นอาบัติ
อาหารถวายพระ เข้าพรรษา
	อาหารที่สมควรแก่พระภิกษุสงฆ์
 	เนื้อสัตว์ (นอกจากเนื้อที่ห้าม 10 ชนิดดังกล่าวแล้ว) ทุกชนิด ซึ่งเป็นเนื้อที่เขาฆ่าเพื่อนำมาขายเป็นอาหารคนพื้นเมือง ตามร้านตลาดเรียกว่า “ปะวัตตะมังสะ” แปลว่า เนื้อมีอยู่แล้ว เนื้อที่เป็นไปอยู่ตามปกติที่เขาทำให้สุกด้วยไฟแล้ว อนุญาตให้พระภิกษุฉันได้ ไม่เป็นอาบัติ
	สัตว์ที่เขาฆ่าเจาะจงเพื่อทำอาหารถวายแก่พระภิกษุโดยตรง แต่พระภิกษุไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่ได้สงสัยว่าเขาฆ่าเป็นการเฉพาะเจาะจงแก่ตน อนุญาตให้พระภิกษุฉันได้ไม่เป็นอาบัติ
วิธีการจัดภัตตาหารถวายพระสงฆ์
	การจัดภัตตาหารถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ ในเวลาเช้านิยมจัดอาหารประเภทอาหารเบา เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก กาแฟ ขนมปัง เป็นต้น เพื่อพระภิกษุจะได้มีโอกาสฉันภัตตาหารเพลได้ดี ทำให้ไม่เกิดความหิวในเวลาเย็นและค่ำคืน
ถ้าจัดภัตตาหารถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ ในเวลาเพลนิยมจัดอาหารประเภทอาหารหนัก โดยมากนิยมจัดอาหารไทย ซึ่งถูกกับรสนิยมของพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นคนไทย และควรเป็นอาหารประเภทพื้นเมืองเป็นหลัก อาจมีอาหารพิเศษแทรกบ้างบางอย่างก็ได้
	 อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่ากิจของสงฆ์นั้นไม่ได้ใช้แรงกำลังมากนัก พูดกันง่ายๆ คือพระท่านจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ดังนั้นอาหารไม่ควรหนักไปทางแป้ง, น้ำตาล, ไขมัน ส่วนข้าว เน้นเป็นข้าวกล้องจะดีที่สุด	
ที่มา
https://th.wikipedia.org
https://www.gotoknow.org/posts
เขียนใน GotoKnow
www.sanook.com
https://cooking.kapook.com/
ข้อมูลอ้างอิงจาก https://www.isangate.com
https://food.trueid.net/detail/XKP6NlJ1LQ4
