25 มกราคม, 2567
กลองยาว
ประวัติความเป็นมาของกลองยาว
กลองยาว เป็นเครื่องดนตรีของไทยมาแต่โบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ผู้ใดคิด
ประดิษฐ์ขึ้นก่อน แต่ได้กล่าวกันต่อ ๆ มาว่าเป็นกลองที่ได้แบบอย่างมาจากพม่า ในปลายสมัยกรุงธนบุรีหรือ
สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยที่ไทยกับพม่าท าสงครามกัน ในช่วงพักรบ ทหารพม่าก็พากันตีกลองยาว ซึ่งได้นำติดตัวมาเป็นที่สนุกสนาน ชาวไทยได้เห็นแบบอย่างมาเล่นบ้าง แต่บางกระแสกล่าวว่า กลองยาว ของพม่านี้
มีชาวพม่าพวกหนึ่ง นำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีบทร้อง
กราวรำ ยกทัพพม่า ในการแสดงละครเรื่อง พระอภัยมณีตอนสงครามเก้าทัพ บทร้องมีดังนี้
ทุงเล ทุงเล 	ทีนี้จะเห่พม่าใหม่
ตกเข้ามาเมืองไทย		 เป็นผู้ใหญ่ตีกลองยาว
ตีว่องตีไวได้จังหวะ		 ทีนี้จะกะเป็นเพลงกราว
เลื่องชื่อลือฉาว		 ตีกลองยาวสลัดได
บางท่านกล่าวว่า คำว่า“สลัดได” เป็นชื่อ ชาวพม่าที่เข้ามาสอนการเล่นกลองยาวให้ชาวไทย
มีชื่อว่า “หม่องสลัดได”
ต่อมาคนไทย น ากลองยาวมาเล่นในงานที่มีกระบวนแห่ เช่น บวชนาคและทอดกฐิน เป็นต้น
การเล่นกลองยาว เป็นที่นิยมกันมากในฤดูเทศกาลงานตรุษสงกรานต์และการเล่นกลองยาวได้แพร่หลายไป
แทบทุกหัวเมือง เพราะเล่นง่ายสนุกสนาน วงหนึ่ง ๆ สามารถใช้กลองยาวหลายลูกก็ได้ เครื่องดนตรีประกอบ
จังหวะ ที่ใช้บรรเลงร่วมมี ฉิ่ง ฉาบ กรับ และโหม่ง เรียกการเล่นชนิดว่า “เถิดเทิง”หรือ “เทิ้งบ้องกลองยาว”
ที่เรียก ดังนี้ เข้าใจว่าเรียกตามเสียงที่ตีและตามรูปลักษณะของกลองยาว เมื่อกลองยาวแพร่หลายเข้ามาใน
กรุงเทพมหานคร ปรากฏว่า นักดนตรีที่บรรเลงอยู่ในวงปี่พาทย์ ประกอบการแสดงละคร คณะเจ้าพระยา
มหินทรศักดิ์ธ ารง (เพ็ง เพ็ญกุล) ได้น าวิธีการเล่นกลองยาวมาใช้ในการแสดงละครพันทาง เรื่อง ราชาธิราช
ตอนยกทับพม่า และเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายเพชร พลายบัวออกศึก ในราวปลายสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นอกจากละครพันทางแล้ว ในการแสดงละครอิงประวัติศาสตร์ของ
หลวงวิจิตรวาทการ เรื่อง เจ้าหญิงแสนหวี ที่แสดง ณ โรงละครกรมศิลปากร ในบริเวณพิพิธภัณฑ์สถาน
แห่งชาติ ก็ได้น าเอาลีลาการเล่นกลองยาว มาประกอบเป็นระบ าไว้ในละครเรื่องนี้ด้วย เรียกว่า “ชุดกลองยาว
เขมรัฐ” การเล่นกลองยาว มิได้มีเพียงแต่ในการแสดงละครเท่านั้น ในงานนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ ก็ถือเป็นประเพณี
นิยมที่จัดการเล่นกลองยาวสืบมาจนทุกวันนี้
ส่วนประกอบของกลองยาว
กลองยาว เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี เป็นกลองหน้าเดียว ขึ้นหน้าด้วยหนังวัว โยงสาย
เร่งเสียงด้วยหนังเรียด มีส่วนประกอบ ดังนี้
๑. ตัวกลอง หรือที่เรียกว่า “หุ่นกลอง” นิยมท าด้วยไม้จริง เช่น ไม้ขนุน ไม้มะม่วง
ไม้กระท้อน และไม้จามจุรีเป็นต้น ไม่นิยมใช้ไม้เนื้อแข็งเพราะมีน้ำหนักมาก ไม่สะดวกต่อการสะพายตี ตัวกลอง
ยาวมีด้วยกัน หลายขนาด ตั้งแต่เล็กจนใหญ่ เจาะทะลุเป็นโพงตลอดทั้งลูก ตอนบนตั้งแต่หน้ากลองมาถึง
บริเวณที่เป็นคอคอด มีลักษณะเป็นกระพุ้งอุ้งเสียงทรงกลม บริเวณกระพุ้งนี้จะใช้หนังเรียดโยงหน้ากลองเพื่อ
เร่งเสียง เป็นลักษณะห่าง ๆ โดยรอบกระพุ้ง ตอนกลางถัดจากกระพุ้งลงมาจะค่อย ๆ เรียวคอด ลงไปจนถึง
ปลาย แล้วจึงค่อย ๆ ผายบานเป็นรูปดอกลำโพง
๒. หน้ากลอง ท าจากหนังวัว มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่นิยมใช้ตั้งแต่ประมาณ ๘ - ๑๒ นิ้ว
หน้ากลอง ทายางรัก เป็นวงกลมที่ขอบ และบริเวณกึ่งกลางหน้ากลอง เพื่อเป็นการรักษาหนังบริเวณนั้น เพราะ
เมื่อเวลาเลิกตีจะต้องขูดข้าวสุกออก
๓. ล าโพงกลอง เป็นส่วนประกอบ ในส่วนท้ายของกลอง มีลักษณะบานตรงปลาย คล้ายรูป
ดอกลำโพง จึงเรียกส่วนปลายที่บานนี้ว่า “ลำโพงกลองยาว ”
๔. กระโปรงกลอง เป็นผ้าสีสด หรือผ้าดอกสวยงาม เย็บหุ้มหุ่นกลองยาว ตรงบริเวณกระพุ้ง
กลอง เพื่อมิให้เห็นหนังเรียดและหุ่นกลองบริเวณนี้ บางครั้งมีการตกแต่งด้วยการปล่อยเชิงเป็นระบายต่างสี
๒ – ๓ ชั้น สลับกัน เพื่อให้สวยงามยิ่งขึ้น เรียกผ้าที่หุ้มกลองนี้ว่า“กระโปรงกลองยาว”
๕. สายสะพาย สายสะพายผูกข้างหนึ่งที่หูห่วงริมขอบหน้ากลอง อีกข้างหนึ่งผูกไว้ที่ตอนกลาง
หุ่น กลอง ตรงบริเวณที่เรียวคอด สำหรับใช้คล้องสะพายบ่าเวลายืน
โดยปกติมักจะเรียกขนาดของกลองยาว ตามความกว้างของหน้ากลอง เช่น กลองยาว หน้า ๙
นิ้ว กลองยาวหน้า ๑๐ นิ้ว เป็นต้น ส่วนสูงนั้น ถ้าขนาดหน้า ๘ - ๙ นิ้ว จะสูงประมาณ ๗๐-๗๒ เซนติเมตร
ถ้าขนาดหน้า ๑๐-๑๒ นิ้ว สูงประมาณ ๘๒ เซนติเมตร ก่อนตีกลองยาว ตรงกลางหน้ากลองที่มียางรักทาเป็น
วงกลมเล็ก ๆ นั้น จะต้องติดข้าวสุกบดผสม ขี้เถ้าฟืน เพื่อถ่วงเสียงให้ได้เสียงตามความต้องการของผู้ตี
การนั่งและการจับกลอง การนั่ง โดยปกติจะนั่งขัดสมาธิ วางกลองยาว ในลักษณะเฉียง
ไปข้างซ้ายของล าตัวผู้ตี โดยให้กระพุ้งกลองยาว อยู่บนตักของผู้ตีที่ส่วนบริเวณหางกลองยาว ตั้งแต่ส่วนที่
เรียวคอด ต่อจากกระพุ้งกลองยาว ไปจนถึงบริเวณที่เสียงจะออกไปในส่วนท้ายของกลองยาว ซึ่งเรียกว่า
“ลำโพง” นั้นจะต้องแนบติดกับล าตัวไปด้านหลังของผู้ตี ส่วนมือของผู้ตีจะวางในลักษณะมือซ้ายวางบนกระพุ้ง
กลองยาว โดยครึ่งมือส่วนนอก คือ บริเวณนิ้วทั้งสี่อยู่ตรงหน้ากลองยาว สำหรับครึ่งมือส่วนใน จะวางอยู่บน
กระพุ้งกลองยาว มือซ้ายที่กล่าวนี้โดยทั่วไปจะท าหน้าที่ยืนจังหวะเบาเพื่อให้มือขวาไปเป็นมือขัด เช่น เปิ้งนะ
เปิ้ง เปิ้ง เปิ้งนะ เปิ้ง เปิ้ง เป็นต้น ส่วนการวางมือขวานั้น จะวางในลักษณะครึ่งมือส่วนนอกอยู่ที่หน้ากลองยาว
(อาจจะลึกเข้าไปในครึ่งมือส่วนใน เล็กน้อยก็ได้ตามแต่ถนัด) ครึ่งมือส่วนใน อยู่กระพุ้งกลองยาว ถ้าจะกล่าวให้
เข้าใจเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น คือ เมื่อผู้ตีวางกลองยาวบนตัก มือซ้ายจะอยู่บนมือขวาจะอยู่ล่าง มือขวาที่จะกล่าวนี้
ท าหน้าที่มากกว่ามือซ้าย โดยตียืน จังหวะหลังบ้าง ขัดจังหวะบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับท านองจังหวะกลองยาว
สำหรับผู้ที่ถนัดมือซ้ายให้ทำทุกอย่าง ตรงกันข้ามกับมือขวาทั้งสิ้น
การปฏิบัติกลองยาว
วิธีการตีกลองยาว โดยบังคับมือให้เกิดเสียงต่าง ๆ โดยทั่วไป มี๗ เสียง ดังนี้
๑. เสียง “ป๊ะ” เป็นเสียงกลองยาวที่นิยมใช้ตีสอดแทรกกับเสียงอื่น วิธีการตีใช้ตีด้วยมือขวา
โดยใช้มือขวาตั้งแต่ปลายนิ้วมือทั้ง ๔ นิ้ว ตีกดลงไปบนหน้ากลองตรงส่วนล่างของหน้ากลองยาวบริเวณที่ติด
ข้าวสุกส่วนล่าง จึงเกิดเสียง “ป๊ะ” ได้ในกรณีที่ฝึกหัดตีเสียง “ป๊ะ” ให้ผู้ตีใช้มือซ้ายช่วยอีกมือหนึ่งด้วยคือ
ใช้มือซ้ายตรงปลายนิ้วที่อยู่บนขอบกลอง กดลงบนหน้ากลองส่วนบนเพื่อไม่ให้หนังหน้ากลองสั่นสะเทือน แล้ว
ใช้มือขวาตีเป็นเสียง “ป๊ะ” ก็จะเป็นเสียงที่หนักแน่นเสียงหนึ่ง
๒. เสียง “บ่อม” เป็นเสียงที่มีใช้มากสาหรับการตีกลองยาว และใช้ตีสอดแทรกกับเสียงอื่น
เช่นกัน โดยทั่วไปเสียง “บ่อม”จะใช้ในตอนแรกหลังจากโห่สามลา แล้วโหม่งขึ้นตั้งจังหวะ ต่อจากนั้นจึงตีเป็น
เสียง “บ่อม” ดาเนินจังหวะเป็นทานองกลองยาวทานองแรก ก่อนที่จะตีทานองอื่นต่อไป สาหรับวิธีการบังคับ
มือเพื่อให้เกิดเป็นเสียง “บ่อม” นี้เป็นวิธีค่อนข้างง่าย โดยไม่ต้องใช้ส่วนอื่นๆ ของร่างกายช่วย วิธีง่ายๆ โดยกา
มือขวาตีลงบนหน้ากลอง บริเวณที่ติดข้าวสุกเมื่อตีแล้วให้ผู้ตียกมือขึ้นเล็กน้อยจากหน้ากลอง เพื่อช่วยให้เสียงที่ตีแล้วกังวานขึ้น จึงจะเกิดเป็นเสียง “บ่อม” ที่ต้องการ
๓. เสียง “เปิ้ง” หรือเสียง “เทิ่ง” เป็นเสียงที่เกิดจากการใช้มืออย่างเดียวกัน หรือเสียง
เดียวกัน โดยใช้มือขวาครึ่งมือส่วนนอก (นิ้วทั้งสี่เรียงชิดติดกัน) ตีลงที่มุมของหน้ากลองยาว เมื่อตีแล้วต้องเปิด
มือขึ้นจากหน้ากลองเล็กน้อย จึงเกิดเป็นเสียง “เปิ้ง” เป็นเสียงที่นิยมมากที่สุดในบรรดาเสียงต่างๆ และยังใช้ตี
สอดแทรกสลับกับเสียงอื่น เช่นเดียวกัน เสียงเปิ้ง นี้อาจใช้ในตอนใดตอนหนึ่งก็ได้หลังจาก “บ่อม” ทั้งนี้
แล้วแต่ผู้คุมวงจะประสงค์ให้อยู่ในตอนหนึ่งตอนใด
๔. เสียง “เปิด”หรือที่ได้ยินกันว่า “เถิด” เป็นเสียงที่เกิดจากการบังคับมืออย่างเดียวกัน
นั่นเอง คือใช้มือขวาบริเวณครึ่งมือส่วนนอก (นิ้วทั้งสี่เรียงชิดกัน) ตีลงที่มุมของหน้ากลองยาว วิธีตีเสียง “เปิด”
นี้เมื่อตีแล้วผู้ตีต้องกดปลายนิ้วมือทั้งสี่บนหน้ากลองด้วย จึงเป็นเสียง “เปิด” หรืออีกวิธีหนึ่ง คือ ใช้มือขวาตี
เป็นเสียงอย่างเสียง “เปิ้ง” โดยเปิดมือขึ้นเล็กน้อย ขณะที่มือขวาเปิดมือในระยะเวลาใกล้เคียง มือซ้ายซึ่งวาง
บนขอบ กลองยาวด้านบนต้องรีบปิดมือกดหน้ากลองไว้เสียงที่ตีออกมามักจะเป็นเสียง “เปิด” อนึ่งเสียง
“เปิด” เป็นเสียงที่ออกจะฟังยากสักหน่อยถ้าผู้ฟังไม่สังเกตมือผู้ตีจะไม่สามารถทราบได้ว่า เสียงที่ตีออกมานั้น
เป็นเสียง “เปิด” หรือ “เปิ้ง” กันแน่ นอกจากทั้งสองเสียงนี้มีฐานที่เกิดเสียงอย่างเดียวกัน แต่ผิดกันตรงที่การ
บังคับมือปิดไม่เหมือนกัน อีกทั้งยังเป็นเสียงที่ใช้กันน้อย จึงไม่ค่อยได้ยินกันบ่อย
๕. เสียง “นะ” เป็นเสียงกลองยาวอีกเสียงหนึ่ง คือเสียงที่เกิดขึ้นเบา ๆ จากมือซ้าย ซึ่งดาเนิน
แบบยืนจังหวะเบา ๆ ให้กับมือขวา เสียงที่กล่าวนี้เป็นทานองจังหวะเซิ้งกระติ๊บข้าวที่ใช้เสียง “นะ” ตีแทนเสียง
“ป๊ะ” นั่นเอง จะเห็นได้ว่าเสียง “นะ” เป็นเสียงที่ตกจังหวะตลอด ส่วนเสียง “เปิ้ง” นั้นเป็นเสียงที่ขัดกับเสียง
“นะ” เรื่อยไป วิธีในทางปฏิบัติเมื่อมือขวาตีเป็นเสียง “เปิ้ง” ในจังหวะขัด มือซ้ายก็ตีเป็นเสียง “นะ”เบาๆ
สรุปได้ว่าเสียง “นะ” จะตีเป็นเสียงที่ยืนจังหวะให้กับมือขวาซึ่งตีเสียง “เปิ้ง”
	๖. เสียง “เพริ่ง” เป็นเสียงกลองยาวที่ยังนิยมใช้ไม่แพ้กับเสียงอื่น ๆ เช่นกัน ถ้าพิจารณา
ค าว่า “เพริ่ง” โดยเขียนเป็นคาอ่าน คือ “พะ-เริ่ง” ซึ่งเป็นคาควบกล้าด้วย ร ฉะนั้นเสียงกลองที่ตีเป็นเสียง
“เพริ่ง”นี้คือ ใช้ทั้งมือขวาและมือซ้ายตีด้วยเสียงที่มีน้าหนักเท่ากัน อาจใช้มือขวาตีก่อนแล้วตามด้วยมือซ้าย
หรือจะใช้มือซ้ายแล้วตามด้วยมือขวาก็ได้แต่ที่ถูกจะต้องตีด้วยมือซ้ายก่อน แล้วจึงตามด้วยมือขวา และใช้ตีมือ
ละครั้ง ในลักษณะตีเปิดมือแบบเสียง “เปิ้ง” และต้องตีในเวลาอันกระชั้นที่สุด แต่ไม่ถึงกับตีพร้อมกันทั้งสองมือ
เพียงแต่ตีให้เกิดเป็นเสียงเดียวกันสองครั้งในจังหวะอันเดียวกัน
๗. เสียง “พรู” เป็นเสียงกลองยาวที่ขาดไม่ได้เป็นเสียงที่มีมาช้านาน ซึ่งการละเล่นกลองยาว
วงหนึ่งๆ นั้น จะต้องขึ้นต้นเสียงโห่สามลา แต่ละลาก็ต้องรับท้ายจากโห่เสร็จว่า “ฮิ้ว” พร้อมกับตีกลองยาวเป็น
เสียง “พรู” และเมื่อครบสามลาแล้ว โหม่งจึงขึ้นตั้งจังหวะ แล้วตามด้วยเสียงกลองยาวในทานองจังหวะต่างๆ
ทั้งนี้แล้วแต่ผู้ควบคุมวงจะใช้ทานองจังหวะใดๆ บ้าง วิธีตีเสียงพรูนี้จะใช้มือซ้ายและมือขวา ตีด้วยเสียงเท่ากัน
(มือไหนก่อนก็ได้) ตีในลักษณะ “รัว” คือการตีสองมือสลับกันถี่ๆ จะสั้นหรือยาวทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
ของคาว่า “ฮิ้ว” เมื่อตีแล้วเสียงออกมาจะเกิดเป็นเสียง “พรู”
เสียงกลองยาวและวิธีในการปฏิบัติที่กล่าวข้างต้น เป็นที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป เห็นได้ว่าเสียง
กลองยาวทุกๆ เสียงล้วนมีความสัมพันธ์กันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียง ป๊ะ - เปิ้ง , เปิ้ง -บ่อม หรือ ป๊ะ – เปิด
เปิ้ง เสียงเหล่านี้จะสลับและสอดแทรกกันไป เป็นท านองกลองยาวในลักษณะต่างๆ กัน เสียงทั้งหมดที่กล่าว
มาแล้ว สามารถไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมีระเบียบแบบแผนต่อไป
การประสมวงรูปแบบกลองยาวทั่ว ๆ ไปของภาคกลาง ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี ดังนี้
1. กลองยาว 10 ใบ
2. โหม่ง 1 ใบ
3. ฉิ่ง 1 คู่
4. ฉาบเล็ก 1 คู่
5. ฉาบใหญ่ 1 คู่
6. กรับไม้ 1 คู่
กลองยาว เป็นกลองยาวทรงกลม เจาะทะลุเป็นโพรงตลอดทั้งลูก ตอนบนตั้งแต่หน้ากลองลง
มาจนถึงคอคอด เป็นกระพุงอุ้งเสียงทรงกลม บริเวณกระพุงนี้จะใช้หนังเรียดโยงข้างกลอง เพื่อเร่งเสียงเป็น
ลักษณะห่วงโดยรอบกระพุง ตอนกลางตัดจากกระพุงลงมาจะค่อยๆ เรียวลงไปจนถึงตอนปลายแล้วจึงค่อยๆ
บานออกเป็นรูปดอกลำโพง โดยปกติหุ่นกลองยาวตรงบริเวณกระพุง วงกลองยาวของโรงเรียนได้ตกแต่งด้วยสี
ส้มเขียวสะท้อนแสง โดยใช้วิธีการเย็บเป็นกระโปรงหุ้ม เพื่อมิให้สังเกตเห็นหนังเรียด บริเวณหุ่นกลอง บางครั้ง
จะตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้ที่มีความสวยงามใช้สำหรับเป็นกลองรำ
ฉิ่ง เป็นเครื่องดนตรีที่ทำด้วยโลหะ มีการใช้เล่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่
สมั ย สุโขทัย ฉิ่งเป็น เครื่องดนตรีที่ สำคัญ ที่ สุ ดใน การ ควบ คุ ม จังห ว ะ มี รูป ร่างลักษณะคล้าย
ถ้วยชา หรือคล้ายฝาขนมครกที่ไม่มีที่จับ ฉิ่งหนึ่งคู่จะมี ๒ ฝา มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๖ – ๖.๕
เซนติเมตร เจาะรูตรงกลางสำหรับร้อยเชือกเพื่อความสะดวกในการเล่น ที่เรียกว่าฉิ่งคงจะเรียกตามเสียงที่ได้
ยินเมื่อตีแล้วกระทบกันหมิ่นๆ จะมีเสียง “ฉิ่ง” ถ้าฝา ๒ ฝาตีกระทบกันจะมีเสียง “ฉับ” สำหรับฉิ่งที่ใช้ในวง
กลองยาวพื้นเมืองโรงเรียนชลราษฎรอำรุง ๒ บริเวณตรงกลางฉิ่งที่ร้อยเชือกจะมีการผูกริบบิ้นลงไปด้วยเพื่อ
ความสวยงามในขณะทำการแสดง
ฉาบใหญ่ และฉาบเล็ก ฉาบเป็นเครื่องดนตรีที่ท าด้วยโลหะชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายฉิ่ง แต่มี
ขนาดใหญ่กว่า และบางกว่า ใช้ตีกระทบกันให้เกิดเสียงตามจังหวะที่ต้องการ
กรับไม้ กรับเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะทำด้วยไม้
ฆ้องโหม่ง เป็นเครื่องตีประกอบจังหวะที่ท าด้วยโลหะ มีลักษณะเป็นวงกลมตรงกลางที่นูน
ออก เรียกว่า “ฉัตร” ผู้ตีจะใช้ไม้ตีลงบริเวณฉัตร จะมีเสียง โม้ง โม้ง โดยตีตามจังหวะตกของเสียง “ฉับ” ซึ่ง
เป็นเสียงของการตีฉิ่ง ฆ้องโหม่ง ทำหน้าที่ควบคุมจังหวะตีกลองทุกใบไปพร้อม ๆ กับ ฉิ่ง ฉาบ และกรับ
การเล่นทับยาวมีการรวบรวมจังหวะในการตีจำนวน 12 จังหวะ คือ 
1.	จังหวะลงโรง เพื่อบ่งบอกว่าเราพร้อมแล้ว ที่จะเล่นหรือเป็นการปลุกใจผู้ชมให้เกิดความรื่นเริงเกิดความชอบเพื่อที่จะเรียกเข้ามาดู
2.	จังหวะเชิด คือจังหวะไหว้ครู จังหวะเชิดนั้นจะนำมาใช้ในพิธีกรรมมากมายอย่างเช่น พิธีเวียนเทียน พิธีทำขวัญนาค พิธีมงคลต่างๆ
3.	จังหวะเทิง ม้อง เป็นจังหวะที่มีการใช้ท่ารำประกอบ
4.	จังหวะสามม้อง เป็นการร่ายจังหวะที่ใช้ลีลาในการเล่นคือ ใช้หมัด เข่า ศอกเพื่อปลุกใจผู้ชมให้เกิดความฮึกเหิมในการร่ายรำทับยาว
5.	จังหวะเพลงทับ เป็นการเล่นเพื่อการไล่กระบวนการของท่าที่เรียกว่า การเล่นนิ้ว
6.	จังหวะโทน เป็นจังหวะที่มโนราห์ใช้เล่นจังหวะเทงตุ้ง ใช้ในการร่ายท่า ร่ายเสียงของทับคล้ายๆดนตรีสากลแต่เสียงของทับยาวจะต้องมีเสียงปั๊บ เสียงตุ้ง เสียงม้อง
7.	จังหวะเพลงเดิน ซึ่งในปัจจุบันจะนำมาเล่นเป็นเพลงแห่ซึ่งลักษณะของเพลงเดินในการตีทับยาวจะมีอยู่3-4ชั้น และจะต้องใช้ลูกคู่ให้มีความพร้อม
8.	จังหวะรำวง ปัจจุบันจะตีกันง่ายๆ คือปั๊บ ทึง ทึง
9.	จังหวะสิงโต เล่นคล้ายกับจังหวะของภาคกลางแต่ต้องตีให้เข้ากับเสียงโหม่งเป็นหลัก
10.	จังหวะ 7 ชั้น คือเพลงเซิ้ง ทางภาคใต้เรียกว่าเซิ้งนอก เซิ้งใน
11.	จังหวะสิงโตคำราม หรือจังหวะหยอก หรือเรียกอีกแบบว่าจังหวะยกไม้ส่งนาง ถ้าหัวหน้ามีปฏิภาณไหวพริบเราสามารถเลือกจังหวะใดจังหวะหนึ่งก็ได้
12.	จังหวะพระรามเดินดง เป็นเซิ้งธรรมดา
ส่วนประกอบของทับยาว
ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
1.	หน้าทับ
2.	ส่วนที่เป็นไม้เรียกว่า หม้อทับยาว  
3.	คอ เรียกว่า ลำเคียน 
4.	ส่วนท้ายเรียกว่าปากทับยาวหรือลำโพง
ทับยาวเป็นเครื่องดนตรีของชาวภาคใต้ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ตัวกลองทําด้วยไม้จริง นิยมใช้ไม้ขนุน
เนื่องจากมีน้ำหนักเบา ตัวไม้มีความยาวประมาณ 16 - 17 นิ้ว หน้าทับกว้างประมาณ 6 - 12 นิ้ว ส่วนท้ายกลองกว้างประมาณ 3 - 4 นิ้ว ขยายออกเหมือนถ้วยแก้ว เพื่อใช้ในการตั้งพื้นได้ ขึ้นหนังหน้าเดียวด้วยหนังวัวหรือหนังแพะ เหนือบริเวณขึ้นมามีร่องสําหรับฝังขดลวดขนาดใหญ่ไว้เป็นที่รับและร้อยเชือกหนังที่ดึงหน้ากลองให้ตึงลงมา ลักษณะการตีทับยาวคล้ายการตีกลองยาวเชื่อกันว่าการนําทับยาวมาแข่งขันกับกลองยาว ความดังจะแตกต่างกันอย่างมาก ใช้กลองยาว 10 ใบ เท่ากับใช้ทับยาว 3 - 4 ลูก ทับยาวมีสองกลุ่มเสียงคือเสียงเอกและเสียงทุ้ม เสียงเอก คือ ทับยาวใบที่มีเสียงสูง เป็นลูกต้นในการเปลี่ยนทํานองเพลงและเสียงทุ้ม คือ ทับยาวใบที่มีเสียงต่ำ เป็นลูกทับยาวที่ทําให้เกิดเสียงกังวาน เสียงของทับยาวนิยมบรรเลงกัน 2 เสียง ได้แก่ เสียงฉับและเสียงครึม
ท่ารำและเพลงประกอบ
ท่ารำที่มาประกอบในจังหวะในการเล่นทับยาวเรียกว่า แม่ท่า แม่ท่า คือ ท่ารำประกอบจนเกิดความชื่นชอบ การรําประกอบทับอาศัยพื้นฐานจากท่วงท่าในยุคเปลี่ยนแปลง มีการเคลื่อนไหวแปรขบวนสอดรับกับจังหวะและทํานอง มือตีทับยาวมีการต่อตัวหลายรูปแบบ มีการคาบทับเพื่อแสดงความสามารถ มีลีลาท่าทางที่ดึงดูดความ สนใจให้กับผู้ชม
เพลงที่ใช้ประกอบการตีทับยาว ในการบรรเลงเพลงทับยาวนั้นมีกระบวนการบรรเลงโดยแบ่ง
ลักษณะการบรรเลงทับยาวออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ 
1. การบรรเลงทับยาวเดินขบวน 
2. การบรรเลงทับยาวในการประโคม 
3. การบรรเลงทับยาวเพื่อการแข่งขัน การบรรเลงทั้ง 3 ลักษณะการบรรเลงที่คล้ายคลึงกันโดยมี กระบวนการบรรเลงดังต่อไปนี้
1) การโหมโรงไหว้ครู
2) เพลงทับ
3) เพลงตามความเหมาะสมของงาน 
4) บากลงจบ
แบบเก็บข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น “กลองยาวเมืองคอน”
ชื่อคณะกลองยาว	ชื่อ-สกุล	วันเกิด	ที่อยู่	เบอร์โทร
ลุงบ่าว เมืองคอน	นาย ชัยศักดิ์  คงรอด	11 ส.ค.2519	116/3 ม.3 ต.ปากพนัง ฝั่งตะวันตก อ.ปากพนัง จ.นครฯ 80140	
ลุงบ่าว เมืองคอน	นายแสง  สีคราม	24ก.ค.2501	154หมู่7ต.คลองน้อย อ.
ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช80140	
ลุงบ่าว เมืองคอน	นายสันติ  ภูมิธร	11 ม.ค. 2511	130/7 ม. 5 ต.ไชยมนตรี อ.เมือง จ.นครฯ 80000 
โทร063-7251159	
ลุงบ่าว เมืองคอน	นางทรสุดา  ศรีมณี	30 ก.ค. 2515	118/1 ม. 5 ต.ไชยมนตรี อ.เมือง จ.นครฯ 80000 
โทร080-8091259	
ลุงบ่าว เมืองคอน	นายกวิโรจน์   แก้ว		94หมู่14ต.คลองน้อย อ.
ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช80140	
ลุงบ่าว เมืองคอน	นายบุญฤทธิ์  หีบเพ็ชร	12 มิ.ย.2503	อ.ปากพนัง จ.นครฯ801400  โทร 80-4873776	
ลุงบ่าว เมืองคอน	นายอดิศักดิ์  ราชวัตร	13 พ.ย.2518	2168/15 ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครฯ 80000 โทร 063-8989405	
ลุงบ่าว เมืองคอน	นางสาวนฤมล  ฟองเกิด	24 พ.ย.46	55 ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครฯ 80000 โทร 080-5571525	
เอราวัณ	นายอรุณ แสวงบุญ	27 ส.ค.2504	134/4 ม.5 ต.ช้างซ้าย อ.
พระพรหม จ.นครฯ   โทร063-8989405	
เอราวัณ	นายสนิท  ญาตินิยม	19 ก.ย.2503	26/1 ม.5 ต.ช้างซ้าย อ.
พระพรหม จ.นครฯ   061-0944617	
เอราวัณ	นายสุวรรณ์  สุขศรี	23 ก.ค.2505	95/1 ม.13  ต.ช้างซ้าย อ.
พระพรหม จ.นครฯ  087-2788317 	
