24 มกราคม, 2567
การกวนข้าวมธุปายาสยาคู
ประวัติ และความเป็นมา
	ประเพณีกวนข้าวมธถปายาสยาคูหรือข้าวยาโค เป็นชื่อที่คนภาคใต้เรียกกันทั่วไป ในพุทธประวัติเรียกว่า “ข้าวมธุปายาสยาคู”  เป็นประเพณีบุญทาน ที่ยังประโยชน์ให้แก่ผู้ปฏิบัติ เป็นมรดกที่บรรพบุรุษรักษามาหลายชั่วอายุคน 
ประเพณีกวนข้าวมธุปายาสยาคู เป็นประเพณีที่เกิดจากความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ เมื่อพุทธศาสนาอุบัติขึ้น  ได้มีพราหมณ์เป็นจำนวนมาก เปลี่ยนจากนับถือศาสนาพราหมณ์ มาถือพุทธศาสนา พราหมณ์เหล่านี้ได้พิธีการต่างๆ ที่เคยปฏิบัติมาปฏิบัติต่อไป พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า พิธีการทางศาสนาพราหมณ์บางพิธี ทำให้ผู้ปฏิบัติ เกิดความศรัทธาในความดี และเป็นการบำรุงกำลังใจ  จึงไม่ทรงห้ามการปฏิบัติเหล่านี้ 
ที่มาของประเพณีกวนข้าวมธุปายาสยาคู  ได้มีผู้สันนิษฐานไว้ 2 แนวดังนี้
 แนวที่ 1  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงกล่าวไว้ในหนังสือพระราชพิธี12 เดือนว่า ประเพณีกวนข้าว มธุปายาสยาคู มีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ธรรมบทแห่งหนึ่ง และในคัมภีร์มโนถบุรณีแห่งหนึ่ง ทั้งสองคัมภีร์ มีเนื้อความตรงกันว่า พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงบุรพชาติของอัญญากุทโกญฑัญญะ ผู้ซึ่งมีความประสงค์อย่างแรงกล้าและแน่วแน่  ที่จะศึกษาธรรมเพื่อให้บรรลุพระอรหันต์ก่อนผู้อื่นให้พระภิกษุฟังว่า เมื่อพระพุทธะอิปัติสีอุบัติขึ้นในโลก  มีกฏมพี่สองคนพี่น้อง คุณพี่ชื่อมหากาฬ  คนน้องชื่อจุลกาฬ  ทั้งสองคนทำนาข้าวสาลีในแปลงเดียวกัน เมื่อข้าวกำลังจะออกรวง หรือข้าวกำลังตั้งท้อง  จุลกาฬได้เอาท้องเข้ามากิน ก็รู้ว่ามีรสหวานอร่อยมากจึงคิดจะเอาข้าวนั้นไปถวายพระภิกษุ  จึงไปบอกพี่ชาย แต่พี่ชายไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่าไม่มีใครเคยทำ และทำไปก็คงจะสูญเสียข้าวเปล่าๆ แต่จุลกาฬก็รบร้าวอยู่ทุกวันจนมหาราชไม่พอใจ ในที่สุดจึงได้ตกลงแบ่งนาออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน จุลกาฬได้ให้ชาวบ้านช่วยกันเก็บข้าวของตน ซึ่งกำลังตั้งท้องแล้วเอาไปผ่าออกนำเข้านั้นไปต้มด้วยนมสด ผสมเนยใส่น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวด  แล้วนำไปถวายพระพุทธองค์ และพระสาวก  โดยอธิษฐานว่าผลทางนี้นี้จงเป็นเครื่องชี้นำให้ตนบรรลุธรรมวิเศษก่อนคนทั้งปวง  เมื่อจุลกาฬทำทานแล้วกลับไปดูนา ในนาเต็มไปด้วยข้าวสาลี ก็มีความยินดี ยิ่งหลังจากนั้นจุลกาฬก็ได้ทำบุญในวาระต่างๆอีกรวมเก้าครั้ง  จุลกาฬซึ่งมาเป็นพระอัญญาโกฑัญญะ ก็ทำทานและมีความมุ่งมั่นเช่นเดิมมาโดยตลอด  จนในที่สุดได้บรรลุอรหันต์ก่อนพุทธะสาวกทั้งปวงจากพระคัมภีร์ทั้งสองคัมภีร์ที่กล่าวมาจึงได้สันนิษฐานได้ว่าประเพณีกวนข้าวมธุปายาสยาคู ยังคงเกิดขึ้นเนื่องมาจากอรรถกถาที่กล่าวมา
แนวที่2 จากความเชื่อของชาวนครศรีธรรมราชซึ่ งเป็นความเชื่อที่มาจากพระพุทธศาสนา และเป็นความเชื่อที่สอดคล้องกับพุทธประวัติ ตอนที่นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส ก่อนอภิสัมโพธิกาล ดังปรากฏในพุทธประวัติเล่ม1 บุริมกาล ปริเฉทที่5 ดังนี้
“ในเช้าวันนั้นนางสุชาดาบุตรีกฏมพีนายใหญ่แห่งชาวบ้านเสนานิคม  ณ ตำบลอุรุเวลา ปรารถนาจะทำการบวงสรวงเทวดา  หุงข้าวมธุปายาสคือข้าวสุกหุงด้วยนมโคล้วน  เสร็จแล้วจัดลงในถาดทอง นำไปที่โพธิพฤกษ์ เห็นพระมหาบุรุษนั่งอยู่สำคัญว่าเทวดา จึงน้อมข้าวปายาสเข้าถวาย ในเวลานั้น บาตรของพระองค์เผอิญอันตธานหาย พระองค์จึงทรงรับปายาสนั้นทั้งถาดด้วยพระหัตถ์แล้วทอดพระเนตรแลดูนาง  นางทราบพระอาการ จึงทูลถวายถาดแล้วกลับไปพระมหาบุรุษทรงถือถาดข้าวปายาส เสด็จไปสู่ท่าแม่น้ำเนรัญชรา สรงแล้วเสวย ข้าวปายาสหมดแล้วส่งลอยถาดเสียในกระแส”
หลังจากที่พระองค์เสวยข้าวมธุปายาส ของนางสุชาดาแล้วก็ทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณในคืนนั้น  ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธโดยทั่วไปในเมืองนครศรีธรรมราช จึงเชื่อกันว่า ข้าวมธุปายาส เป็นสิ่งที่ส่งผลให้พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้  จึงเห็นว่าข้าวมธุปายาสเป็นของดีของวิเศษที่สามารถบันดาลความสำเร็จให้เกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อพระพุทธองค์เสวยข้าวมธุปายาสแล้วทำให้พระองค์เห็นแจ้งธรรม  แสดงว่าข้าวมธุปายาส ช่วยเพิ่มพูนพลังและก่อให้เกิดสติปัญญาสมองแจ่มใสจึงเห็นข้าวมธุปายาส เป็นดุจยาขนานวิเศษ
จากข้อสันนิษฐานทั้งสองแนวที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าเจตนาของผู้ปฏิบัติพิธีก็คือการทำทาน  เมื่อปฏิบัติแล้ว จิตใจของผูเปฏิบัติก็ปลอดโปร่ง  เพราะเชื่อว่าเมื่อปฏิบัติทานโดยการถวายข้าวมธุปายาสแล้วจะได้อานิวงส์  และนำมาซึ่งความสำเร็จตามที่ตนปี่ถนาได้ 
	ตามความเชื่อที่กล่าวมา  ประเพณีกวนข้าวมธุปายาสยาคู จึงเป็นประเพณีที่ชาวนครศรีธรรมราชปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างแน่นแฟ้น  แต่เนื่องจากประเพณีนี้ได้ปฏิบัติติดต่อมาเป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไปๆก็อาจมีข้อปฏิบัติปลีกย่อยแตกต่างไปจากเดิมบ้าง
	ประเพณีกวนข้าวข้าวมธุปายาสยาคู  แต่เดิมมักกระทำในเดือน 6 และเดือน 10 และผูเกวนก็คือผู้หญิงพราหมณ์ หรือเชื้อพระวงศ์  ผู้หญิงพรหมจารี แต่ต่อมาก็ไม่ได้นับถือในเรื่องนี้กันนัก  ปัจจุบันการกวนข้าวมธุปายาสยาคู ชาวเมืองมักขะหาเครื่องปรุงมาร่วมกันกวนที่วัด แทนการกวนตามบ้านเรือนของแต่ละคน
	ประเพณีกวนข้าวข้าวมธุปายาสยาคูนี้บางทีเรียกว่า  “ยาคู”  หรือ “ยาโค”  หลายวัดที่จัดให้มีประเพณีนี้เป็นประจำทุกปี   
การเตรียมการเครื่องปรุง
เครื่องปรุงมีมากกว่า ๕๐ ชนิด มีทั้งพวกพืชผลและพืชสมุนไพรผลไม้ที่มีอยู่ในท้องถิ่นตามฤดูกาล ซึ่งจัดเครื่องปรุงแยกเป็นประเภทได้ดังนี้
 ๑.๑ น้ำนมข้าว เป็นเครื่องปรุงที่สำคัญที่สุดได้จากการเก็บข้าวที่กำลังมีน้ำนม ชาวใช้กะลามะพร้าวรูดเอาแต่เมล็ดออกจารวงนำเมล็ดข้าวไปตำให้แหลกแล้ว นำมาคั้นเอาน้ำนมข้าว ใช้วิธีการเดียวกับการคั้นกะทิ แล้วกรองให้สะอาดเก็บเตรียมไว้
 ๑.๒ ประเภทผลไม้ เช่น ขนุน จำปาดะ มังคุด ละมุด อินทผาลัม กล้วย เงาะ พุทรา มะละกอ ทุเรียนสด ทุเรียนกวน มะตูม สาคูวิลาด และผลไม้อื่นๆ ที่มีตามฤดูกาล ผลไม้เหล่านี้ปอกเปลือกแกะเมล็ด หั่น ต้ม เตรียมไว้
 ๑.๓ ประเภทพืชผัก ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวโพดอ่อน ข้าวเม่า ข้าวตอก ฟักทอง ถั่วลิสงคั่ว เมล็ดผักชี ลูกบัว หอม กระเทียม ซึ่งแต่ละชนิดเตรียมด้วยการหั่น ซอย คั่วหรือตำให้ละเอียด
 ๑.๔ ประเภทพืชมีหัว ได้แก่ เผือก มันเทศ มันล่า หัวมันหอม เป็นต้น ปอกเปลือกหั่นแล้วนำไปต้มในน้ำกะทิเตรียมไว้
 	๑.๕ ประเภทน้ำผึ้งและนม ได้แก่ น้ำผึ้งรวง น้ำตาลทราย น้ำตาลขัณฑสกร น้ำตาลปิ๊บ น้ำอ้อย นมสด นมข้น นมผง น้ำลำไย น้ำบัวบก เป็นต้น
 ๑.๖ ประเภทสมุนไพร ได้แก่ พริกไทย ลูกกระวาน กานพลู ราแดง ราขาว ราตั๊กแตน ชะเอม ดีปลีเชือก (ดีปลี) ลูกจันทน์ รกจันท์ ดอกจันท์ นำเครื่องเทศทั้งหมดคั่วให้มีกลิ่นหอมแล้วนำไปตำร่อนเอาแต่ส่วนที่ละเอียด ส่วนขิงแห้ง หัวเปราะ หัวกระชาย หัวข่า อบเชย และโป้ยกั๊ก นำไปต้มกรองเอาแต่น้ำ
 	๑.๗ ประเภทแป้ง ได้แก่ แป้งข้าวเจ้า แป้งขาวเหนียว เวลาจะกวนจึงละลายผสมในน้ำนมข้าว
 	๑.๘ มะพร้าว นำไปขูดเอกน้ำกะทิแล้วเคี่ยวให้แตกมันจนกลายเป็นน้ำมันมะพร้าวเก็บพักไว้
สำหรับการผสมเครื่องปรุงนำเครื่องปรุงทั้งหมดมาผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยแบ่งเครื่องปรุงทุกชนิดออกเป็นส่วนๆ เท่าๆ กัน ใส่ภาชนะโอ่งดินพักไว้ จำนวนโอ่งดินที่ใช้ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดจะเท่ากับจำนวนกระทะใบบัวที่ใช้กวนข้าวยาคู อาจจะเป็น ๕ – ๗ – ๙ กระทะ
การกวนข้าวยาคูต้องใช้ความร้อนสูง ลักษณะของเตานิยมขุดลงไปในพื้นดินเป็นรูปตัวที ให้ความร้อนระอุอยู่ภายในตลอดเวลา เตาดินสามารถเก็บความร้อนไว้ได้มากลมไม่โกรก มีช่องสำหรับใส่ฟืนเชื้อเพลิงและมีรูช่องระบายอากาศ ชาวบ้านเรียกว่า รูพังเหย เตาไฟของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารใช้เป็นเตาเหล็กตั้งบนพื้นดินแต่เก็บความร้อนได้ดี
การเตรียมบุคลากรที่สำคัญ
 ๑. สาวพรหมจารี เพื่อความเป็นสิริมงคลในการกวนข้าวยาคูในพิธีต้องใช้สาวพรหมจารีคือผู้หญิงที่บริสุทธิ์ รับสมาทานเบญจศีลก่อนเข้าพิธีกวนแต่ละเตาจะใช้จำนวน ๓ คน
 	๒. นิมนต์พระสงฆ์สำหรับสวดชัยมงคลคาถาพร้อมทั้งเครื่องใช้ในพิธีสงฆ์ เช่น ด้าย สายสิญจน์ และอื่นๆ
 	๓. ด้านสายสิญจน์ วงจากพระสงฆ์มาผูกไว้ที่ไม้พาย (ไม้กวน) เพื่อให้สาวพรหมจารีจับไม้พายที่ผูกสายสิญจน์ไว้
ขั้นตอนในการกวนข้าวยาคู   การกวนข้าวยาคู ของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เริ่มด้วยพิธีบวงสรวงพระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์ เสร็จแล้วจึงบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล สาวพรหมจารีรับสมาทานศีล ประธานในพิธีทัดดอกมะตูมให้สาวพรหมจารี
 	๑. เริ่มพิธีกวน สาวพรหมจารียืนประจำกระทะละ ๓ คน พนักงานนำเครื่องปรุงวางบนโต๊ะข้างกระทะ ประธานในพิธีเข้าประจำที่กระทะ เริ่มพิธีกวนข้าวยาคูโดยประธานในพิธีเทเครื่องปรุงลงในกระทะ จับไม้กวนมีการลั่นฆ้องชัย ตั้งแต่เริ่มกวนพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาจนจบเป็นอันว่าเสร็จพิธีต่อไปใครจะกวนก็ได้
 	๒. วิธีกวน การกวนข้าวยาคูต้องกวนอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะได้ไม่ติดกระทะ เมื่อข้าวยาคูเริ่มเหนียวหนืดจะใช้น้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวไว้เติมลงในกระทะ ไม่ให้ข้าวยาคูติดไม้พาย ข้าวยาคูจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ำเมื่อกวนเสร็จ และมีกลิ่นหอมเครื่องเทศ
 	๓. ระยะเวลาในการกวนข้าวยาคู ใช้เวลาประมาณ ๘ ถึง ๙ ชั่วโมง ส่วนมากเริ่มกวนเวลา ๑๙.๐๐ น. แต่ละกระทะจะใช้เวลากวนไม่เท่ากัน เพราะการใส่ส่วนผสมและขนาดของกระทะไม่เท่ากัน รวมทั้งการเติมไฟเชื้อเพลิงแต่ละกระทะไม่เสมอกัน ทำให้ข้าวยาคูกระทะแรกมักจะสุกได้ที่ใช้เวลาประมาณ ๗ ชั่วโมง คือเสร็จประมาณ ๐๒.๐๐ น. ส่วนกระทะสุดท้ายอาจกวนจนเช้าถึงเวลา ๐๕.๐๐ น. จึงแล้วเสร็จ
	 ๔. ตักข้าวยาคูจากกระทะใส่ถาด เกลี่ยข้าวยาคูให้บางๆ ในถาดวางไว้จนข้าวยาคูเย็นลงต้องทิ้งระยะหนึ่ง ในวันรุ่งขึ้นจึงร่วมกันตัดข้าวยาคูบรรจุใส่ถุงและบรรจุลงกล่องสำหรับนำไปถวายพระในวัด แจกจ่ายฝากญาติมิตรที่มาร่วมในพิธีทั่วทุกคน ที่เหลือจัดส่งไปยังวัดต่างๆ และนำไปฝากญาติมิตร ซึ่งข้าวยาคูของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารพุทธศาสนิกชนจะรับได้ในวันมาฆบูชาแห่ผ้าขึ้นธาตุ
สาระสำคัญ  
การกวนข้าวยาคูเป็นกิจกรรมที่สำคัญ ที่พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติเพราะเป็นการปลูกฝังให้คนมีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาสาระสำคัญมีดังนี้
 	๑. ทำให้เกิดความรักความสามัคคีในหมู่ญาติและมิตรสหาย เพราะต้องร่วมแรงร่วมใจจัดหาอุปกรณ์ เครื่องปรุง การกวนต้องใช้ทั้งเวลาและผู้คน
 ๒. เป็นประเพณีที่มีความสัมพันธ์กับสังคมเกษตรกรรม คือให้ความสำคัญต่อข้าวหรือน้ำนมข้าวซึ่งเป็นพืชหลักของชาวไทย
 ๓. การแบ่งปันข้าวยาคูแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันเกิดความห่วงใยซึ่งกันและกัน แม้ไม่ได้มาร่วมกวนข้าวยาคู ก็จะได้รับข้าวยาคูเป็นของฝากให้ได้รับประทานทั่วถึงกันทุกคน
 	๔. เป็นการอนุรักษ์และปฏิบัติตามประเพณีที่ดีงาม และเป็นการถ่ายทอดประเพณีให้แก่เยาวชนได้เรียนรู้ถึงวิธีการกวนข้าวยาคู เพื่อสืบทอดประเพณีให้คงอยู่ตลอดไป
ที่มา  เปรมจิต  ชนะวงศ์
