25 มกราคม, 2567
มโนราห์
มโนราห์
ประวัติความเป็นมาของมโนราห์
โนรา หรือ มโนห์รา (เขียนเป็น มโนรา หรือ มโนราห์ ก็ได้) เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่สืบทอดกันมานาน และนิยมกันอย่างแพร่หลายในภาคใต้ เป็นการละเล่นที่มีทั้งการร้อง การรำ บางส่วนเล่นเป็นเรื่องและบางโอกาสมีบางส่วนแสดงตามคติความเชื่อที่เป็นพิธีกรรม
โนรา เป็นศิลปะพื้นเมืองภาคใต้ เรียกว่า โนรา แต่ คำว่า มโนราห์ หรือ มโนห์รา นั้นเป็นคำที่เกิด ขึ้นมาเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการนำเอาเรื่องพระสุธน-มโนราห์ มาแสดงเป็นละครชาตรี จึงมีคำ เรียกว่า มโนราห์ ส่วนกำเนิดของโนรานั้น สันนิษฐานกันว่าได้รับอิทธิพลจากการ ร่ายรำของอินเดียโบราณก่อนสมัยศรีวิชัย ที่มา จากพ่อค้าชาวอินเดีย สังเกตได้จากเครื่องดนตรีที่ เรียกว่า เบ็ญจสังคีตซึ่งประกอบโหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง ปี่ ใน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีโนรา และท่ารำของโนรา อีกหลายท่าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับการร่ายรำของ ทางอินเดีย และเริ่มมีโนราเป็นกิจลักษณะขึ้นเมื่อ ประมาณปีพุทธศักราชที่ 1820 ซึ่งตรงกับสมัยสุโขทัยตอนต้น
ปัจจุบันเชื่อกันว่าโนราเกิดขึ้นครั้งแรกที่ หัวเมืองพัทลุง คือ ตำบล บางแก้ว จังหวัด พัทลุง แล้ว แพร่ขยายไปยังหัวเมืองอื่นๆ ของภาคใต้ จน ไปถึงภาคกลาง และกลายเป็นละครชาตรี และจังหวะตะลุง ที่ได้รับอิทธิพล ในตำนานเล่า กันมาว่า เจ้าเมืองพัทลุง มีชื่อว่า พระยา สายฟ้าฟาด มีลูกสาวที่ชื่อ ศรีมาลา ซึ่งมีความสามารถในการร่ายรำมาก ได้เกิดตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน เชื่อกันว่า เป็นท้องกับเทวดา พระยาสายฟ้าฟาดเห็นดังนั้น ก็โกรธมาก สั่งให้นำนางศรีมาลาไป ลอยแพในทะเล ( คือ ทะเลสาปสงขลา) และ แพได้ไปติดที่เกาะใหญ่ นางศรีมาลา ก็ได้ให้กำเนิดลูกชาย โดยตั้งชื่อว่า เทพสิงหล ซึ่งมีนัยความว่า ลูกของเทวดา นางศรีมาลา ได้ฝึกให้เทพสิงหลฝึกร่ายรำ ซึ่งเทพสิงหล ก็สามารถร่ายรำได้สวยงามมาก และร่ายรำ มีชื่อเสียงมากที่เกาะใหญ่ จนรู้ไปถึง หูพระยาสายฟ้าฟาด ซึ่งพระยาสายฟ้าฟาด ก็ยังไม่รู้ว่าหลานตัวเอง ก็ได้ เชิญไปรำในราชสำนัก ฝ่ายนางศรีมาลานั้น ก็น้อยเนื้อต่ำใจเมื่อครั้งที่ถูกลอยแพ ก็บอกกับคนที่มาติดต่อว่า โนราคณะนี้จะไปรำได้ แต่ต้องปูผ้าขาวตั้งแต่ริมฝั่งที่ลงจากเรือจนไปถึงตำหนัก พระยาสายฟ้าฟาดก็ตอบตกลง ดังนั้น เทพสิงหลจึงไปรำในราชสำนัก เทพสิงหลรำได้สวยงามมาก จนพระยาสายฟ้าฟาด ก็ตกตะลึงในความสวยงาม จึงถอดเครื่องทรงที่ทรงอยู่ให้กับเทพสิงหล แล้วบอกว่า "เครื่อง แต่งกายกษัตริย์ชุดนี้มอบให้เป็นเครื่องแต่งกายของโนรานับแต่นี้เป็นต้นไป" เทพสิงหลจึงบอกว่าแท้จริงแล้ว เป็นหลานของพระยาสายฟ้าฟาด พระยาสายฟ้าฟาดจึงรับโนราไว้ในราชสำนัก และให้สิทธิแต่งกายเหมือนกษัตริย์ทุกประการ
สำหรับเครื่องแต่งกายชุดโนราประกอบด้วย 14 ชิ้น ได้แก่ เทริด เป็นเครื่องประดับศีรษะของตัวนายโรงหรือโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง (โบราณไม่นิยมให้นางรำใช้) ทำเป็นรูปมงกุฎอย่างเตี้ย มีกรอบหน้า มีด้ายมงคลประกอบ เครื่องรูปปัด เครื่องรูปปัดจะร้อยด้วยลูกปัดสีเป็นลายมีดอกดวง ใช้สำหรับสวมลำตัวท่อนบนแทนเสื้อ ประกอบด้วยชิ้นสำคัญ 5 ชิ้น คือ บ่า สำหรับสวมทับบนบ่าซ้าย-ขวา รวม 2 ชิ้น ปิ้งคอ สำหรับสวมห้อยคอหน้า-หลังคล้ายกรองคอหน้า-หลัง รวม 2 ชิ้น พานอก ร้อยลูกปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้พันรอบตัวตรงระดับอก บางถิ่นเรียกว่า"พานโครง"บางถิ่นเรียกว่า"รอบอก" เครื่องลูกปัดดังกล่าวนี้ใช้เหมือนกันทั้งตัวยืนเครื่องและตัวนาง (รำ) แต่มีช่วงหนึ่งที่คณะชาตรีในมณฑลนครศรีธรรมราชใช้อินทรธนู ซับทรวง (ทับทรวง) ปีกเหน่ง แทนเครื่องลูกปัดสำหรับตัวยืนเครื่อง ปีกนกแอ่น หรือ ปีกเหน่ง มักทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายนกนางแอ่นกำลังกางปีก ใช้สำหรับโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง สวมติดกับสังวาลอยู่ที่ระดับเหนือสะเอวด้านซ้ายและขวา คล้ายตาบทิศของละคร ซับทรวง หรือ ทับทรวง หรือ ตาบ สำหรับสวมห้อยไว้ตรงทรวงอก นิยมทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายขนมเปียกปูนสลักเป็นลวดลาย และอาจฝังเพชรพลอยเป็นดอกดวงหรืออาจร้อยด้วยลูกปัด นิยมใช้เฉพาะตัวโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง ตัวนางไม่ใช้ซับทรวง ปีก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หาง หรือ หางหงส์ นิยมทำด้วยเขาควายหรือโลหะเป็นรูปคล้ายปีกนก 1 คู่ ซ้าย-ขวาประกอบกัน ปลายปีกเชิดงอนขึ้นและผูกรวมกันไว้มีพู่ทำด้วยด้ายสีติดไว้เหนือปลายปีก ใช้ลูกปัดร้อยห้อยเป็นดอกดวงรายตลอดทั้งข้างซ้ายและขวาให้ดูคล้ายขนของนก ใช้สำหรับสวมคาดทับผ้านุ่งตรงระดับสะเอว ปล่อยปลายปีกยื่นไปด้านหลังคล้ายหางกินรี ผ้านุ่ง เป็นผ้ายาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า นุ่งทับชายแล้วรั้งไปเหน็บไว้ข้างหลัง ปล่อยปลายชายให้ห้อยลงเช่นเดียวกับหางกระเบน เรียกปลายชายที่พับแล้วห้อยลงนี้ว่า "หางหงส์ "(แต่ชาวบ้านส่วนมากเรียกว่า หางหงส์) การนุ่งผ้าของโนราจะรั้งสูงและรัดรูปแน่นกว่านุ่งโจมกระเบน หน้าเพลา เหน็บเพลา หนับเพลา ก็ว่า คือสนับเพลาสำหรับสวมแล้วนุ่งผ้าทับ ปลายขาใช้ลูกปัดร้อยทับหรือร้อยทาบ ทำเป็นลวดลายดอกดวง เช่น ลายกรวยเชิง รักร้อย ผ้าห้อย คือ ผ้าสีต่างๆ ที่คาดห้อยคล้ายชายแครงแต่อาจมีมากกว่า โดยปกติจะใช้ผ้าที่โปร่งผ้าบางสีสด แต่ละผืนจะเหน็บห้อยลงทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของหน้าผ้า หน้าผ้า ลักษณะเดียวกับชายไหว ถ้าเป็นของโนราใหญ่หรือนายโรงมักทำด้วยผ้าแล้วร้อยลูกปัดทาบเป็นลวดลาย ที่ทำเป็นผ้า 3 แถบคล้ายชายไหวล้อมด้วยชายแครงก็มี ถ้าเป็นของนางรำ อาจใช้ผ้าพื้นสีต่างๆ สำหรับคาดห้อยเช่นเดียวกับชายไหว กำไลต้นแขนและปลายแขน กำไลสวมต้นแขน เพื่อขบรัดกล้ามเนื้อให้ดูทะมัดทะแมงและเพิ่มให้สง่างามยิ่งขึ้น กำไล กำไลของโนรามักทำด้วยทองเหลืองทำเป็นวงแหวน ใช้สวมมือและเท้าข้างละหลายๆ วง เช่น แขนแต่ละข้างอาจสวม 5-10 วงซ้อนกัน เพื่อเวลาปรับเปลี่ยนท่าจะได้มีเสียงดังเป็นจังหวะเร้าใจยิ่งขึ้นเล็บ เป็นเครื่องสวมนิ้วมือให้โค้งงามคล้ายเล็บกินนร กินรี ทำด้วยทองเหลือง หรือเงิน อาจต่อปลายด้วยหวายที่มีลูกปัดร้อยสอดสีไว้พองาม นิยมสวมมือละ 4 นิ้ว (ยกเว้นหัวแม่มือ) หน้าพราน เป็นหน้ากากสำหรับตัว "พราน" ซึ่งเป็นตัวตลก ใช้ไม้แกะเป็นรูปใบหน้า ไม่มีส่วนที่เป็นคาง ทำจมูกยื่นยาว ปลายจมูกงุ้มเล็กน้อย เจาะรูตรงส่วนที่เป็นตาดำ ให้ผู้สวมมองเห็นได้ถนัด ทาสีแดงทั้งหมด เว้นแต่ส่วนที่เป็นฟันทำด้วยโลหะสีขาว หรือทาสีขาว หรืออาจลี่ยมฟัน (มีเฉพาะฟันบน) ส่วนบนต่อจากหน้าผากใช้ขนเป็ดหรือห่านสีขาวติดทาบไว้ต่างผมหงอก หน้าทาสี เป็นหน้ากากของตัวตลกหญิง ทำเป็นหน้าผู้หญิง มักทาสีขาวหรือสีเนื้อ
การทำชุดมโนราห์เป็นงานศิลปะที่สืบสานมาจากรุ่นบรรพบุรุษ ที่มีความประณีตอันวิจิตรในแบบเครื่องทรงที่ประดับเรือนร่างมโนราห์ ซึ่งปัจจุบันเครื่องแต่งกายชุดมโนราห์ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดนัดมีความต่างไปจากอดีต เพราะเริ่มหาความประณีตอันวิจิตรในแบบเครื่องทรงที่ครูมโนราห์รุ่นบรรพบุรุษสืบทอดไว้ จึงมีคนรุ่นใหม่และคณะมโนราห์ต่างๆ ในท้องถิ่น อนุรักษ์ศิลปะการร้อยลูกปัดชุดมโนราห์ในท้องถิ่นภาคใต้แขนงนี้ไว้ ตลอดจนสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น ควบคู่กับสืบสานศิลป์แขนงนี้ให้คงอยู่สืบไป ด้วยการนำลูกปัดขนาดเล็กมาคัดแยกสี ขนาด จากนั้นร้อยเป็นเส้นตามต้องการ ก่อนนำเส้นด้ายที่ร้อยมาผูกรวมกัน เพื่อประกอบเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ของชุดอันประกอบด้วย 1.เทริด 1 หัว 2.ปิ้งคอ 2 ชิ้น 3.บ่า 2 ชิ้น 4.รัดอก 5.หางหงส์ 6.ปิดสะโพก 1 ชิ้น 7.สร้อยคอ 1 เส้น 8.เล็บ 8 ชิ้น 9.ผ้าห้อยและหน้าผ้า 7 ผืน 10.กางเกงมโนราห์ 1 ตัว 11.ผ้าโจงกระเบน 1 ผืน ทำให้ได้ชุดลูกปัดมโนราห์ทั้งชุด ที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาด ด้วยฝีมือที่ยังคงไว้รูปลักษณ์ในแบบฉบับการแต่งองค์ทรงเครื่องยุคอดีตไว้ทุกกระเบียดนิ้ว
องค์ประกอบในการร่ายรำและการแสดงโนรา
๑. โรง หรือเวทีแสดง โรงโนราในสมัยก่อนไม่มีการยกพื้น โดยทั่วไปจะปลูกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขนาดระหว่าง ๘-๙ ศอก เปิดโล่งทั้งสี่ด้าน มีเสากลางอยู่ต้นหนึ่ง เรียกว่า "เสามหาชัย” เชื่อกันว่าเป็นที่ประทับของพระวิสสุกรรมเวลาอัสดงโนราหลังคาเป็นรูปหน้าจั่ว มุงจาก มีพนักทำด้วยไม้ไผ่สำหรับให้โนรานั่งรำหรือแสดง ต่อมาภายหลังโรงโนรา มีการยกพื้นปลูกโรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาแบบเพิงหมาแหงน ภายในจะมีฉากมีม่านกั้น
๒. ผู้แสดงและลูกคู่ ผู้แสดงโนราแต่เดิมมีเพียง ๓ คน ปัจจุบันมีประมาณ ๑๕-๒๐ คน เนื่องจากนิยมแสดงจากนิยายสมัยใหม่ ต้องใช้ตัวประกอบมาก ในจำนวนนี้จะมี "นายโรง” หรือ "โนราใหญ่” คนหนึ่ง หมอประจำคณะ ๑ คน ลูกคู่ประมาณ ๕-๖ คน นอกนั้นเป็นตัวผู้แสดง "คนรำ” หรือ "นางรำ” ประจำคณะที่ขาดไม่ได้คือตัวตลกทั้งชายและหญิงผู้มีบทบาทในการสร้างอารมณ์ขันและความพอใจให้แก่ผู้ชม
๓. เครื่องแต่งกาย จากตำนานโนราถือว่า เป็นเครื่องทรงที่ขุนศรีศรัทธาได้รับพระราชทานจากพระยาสายฟ้าฟาดจึงน่าจะเป็นเครื่องทรงของกษัตริย์ และมีลักษณะคล้ายกับกินนร หรือกินรี เครื่องแต่งกายประกอบด้วย เทริด หน้าพราน ผ้าห้อยหน้า ผ้าห้อยข้าง (ชายไหว ชายแครง) ผ้านุ่ง หางหงส์ กำไลมือหรือกำไลปลายแขน และเล็บมือซึ่งทำด้วยเงินหรือโลหะ
๔. เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีโนรารุ่นเก่า มีอยู่ ๕ ชิ้น คือ กลอง ซึ่งตามตำนานโนราเรียก "กลองสุวรรณเภรีโลก” มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐-๑๒ นิ้ว สูงประมาณ ๑๘ นิ้ว ทับ คู่หนึ่ง ตามตำนานโนราเรียก "น้ำตาตก” กับ "นกเขาขัน” ทับที่เสียงทุ้มเรียกว่า "ลูกเทิง” เสียงแหลมเรียกว่า "ลูกฉับ” โหม่ง ๑ คู่ มีเสียงทุ้มกับเสียงแหลม ฉิ่ง ๑ คู่ กรับ ๑ อัน ปี่ ๑ เลา เป็นพวกปี่ไฉน ยาวประมาณ ๑๓-๑๕ นิ้ว
ธรรมเนียมนิยมในการแสดงโนรา ก่อนออกจากบ้านก็จะมีการ "ยกเครื่อง” คือตีเครื่องทุกชนิด แล้วออกเดินทาง เมื่อไปถึงบ้านเจ้าของงานจะตีกลองเป็นสัญญาณ เจ้าของงานจะเอาขันหมาก ซึ่งมีหมาก ๓ คำ พลู ๓ คำ หรือ ๙ คำ มารับ เมื่อคณะโนราขึ้นไปบนโรงแล้ว ก็จะตีเครื่องดนตรีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อบอกผู้ชมใกล้ไกล เรียกว่า "ตั้งเครื่อง” ก่อนการแสดงจะมีการ "เบิกโรง” แล้วจึงลงโรงหรือโหมโรง และเชิญครู หรือกาศครู จากนั้นตัวแสดง แต่ละตัวจะออกมาร่ายรำ ทำบท แล้วจึงแสดงเรื่อง ส่วนเรื่องที่โนราใช้แสดง แต่เดิมนิยมแสดงเรื่อง พระสุธนนางมโนราห์ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงเป็นนิยายประโลมโลก บางคณะก็จะมีดนตรีลูกทุ่งผสมผสานเข้าไปด้วย
การแต่งกาย
1. เทริด เป็นเครื่องประดับศีรษะของตัวนายโรงหรือโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง (โบราณไม่นิยมให้นางรำใช้) ทำเป็นรูปมงกุฎอย่างเตี้ย มีกรอบหน้า มีด้ายมงคลประกอบ
2. เครื่องรูปปัด เครื่องรูปปัดจะร้อยด้วยลูกปัดสีเป็นลายมีดอกดวง ใช้สำหรับสวมลำตัวท่อนบนแทนเสื้อ ประกอบด้วยชิ้นสำคัญ 5 ชิ้น คือ บ่า สำหรับสวมทับบนบ่าซ้าย-ขวา รวม 2 ชิ้น ปิ้งคอ สำหรับสวมห้อยคอหน้า-หลังคล้ายกรองคอหน้า-หลัง รวม 2 ชิ้น พานอก ร้อยลูกปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้พันรอบตัวตรงระดับอก บางถิ่นเรียกว่า"พานโครง"บางถิ่นเรียกว่า"รอบอก" เครื่องลูกปัดดังกล่าวนี้ใช้เหมือนกันทั้งตัวยืนเครื่องและตัวนาง (รำ) แต่มีช่วงหนึ่งที่คณะชาตรีในมณฑลนครศรีธรรมราชใช้อินทรธนู ซับทรวง (ทับทรวง) ปีกเหน่ง แทนเครื่องลูกปัดสำหรับตัวยืนเครื่อง
3. ปีกนกแอ่น หรือ ปีกเหน่ง มักทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายนกนางแอ่นกำลังกางปีก ใช้สำหรับโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง สวมติดกับสังวาลอยู่ที่ระดับเหนือสะเอวด้านซ้ายและขวา คล้ายตาบทิศของละคร
4. ซับทรวง หรือ ทับทรวง หรือ ตาบ สำหรับสวมห้อยไว้ตรงทรวงอก นิยมทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายขนมเปียกปูนสลักเป็นลวดลาย และอาจฝังเพชรพลอยเป็นดอกดวงหรืออาจร้อยด้วยลูกปัด นิยมใช้เฉพาะตัวโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง ตัวนางไม่ใช้ซับทรวง
5. ปีก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หาง หรือ หางหงส์ นิยมทำด้วยเขาควายหรือโลหะเป็นรูปคล้ายปีกนก 1 คู่ ซ้าย-ขวาประกอบกัน ปลายปีกเชิดงอนขึ้นและผูกรวมกันไว้มีพู่ทำด้วยด้ายสีติดไว้เหนือปลายปีก ใช้ลูกปัดร้อยห้อยเป็นดอกดวงรายตลอดทั้งข้างซ้ายและขวาให้ดูคล้ายขนของนก ใช้สำหรับสวมคาดทับผ้านุ่งตรงระดับสะเอว ปล่อยปลายปีกยื่นไปด้านหลังคล้ายหางกินรี
6. ผ้านุ่ง เป็นผ้ายาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า นุ่งทับชายแล้วรั้งไปเหน็บไว้ข้างหลัง ปล่อยปลายชายให้ห้อยลงเช่นเดียวกับหางกระเบน เรียกปลายชายที่พับแล้วห้อยลงนี้ว่า "หางหงส์"(แต่ชาวบ้านส่วนมากเรียกว่า หางหงส์) การนุ่งผ้าของโนราจะรั้งสูงและรัดรูปแน่นกว่านุ่งโจมกระเบน
7. หน้าเพลา เหน็บเพลา หนับเพลา ก็ว่า คือสนับเพลาสำหรับสวมแล้วนุ่งผ้าทับ ปลายขาใช้ลูกปัดร้อยทับหรือร้อยทาบ ทำเป็นลวดลายดอกดวง เช่น ลายกรวยเชิง รักร้อย
8. ผ้าห้อย คือ ผ้าสีต่างๆ ที่คาดห้อยคล้ายชายแครงแต่อาจมีมากกว่า โดยปกติจะใช้ผ้าที่โปร่งผ้าบางสีสด แต่ละผืนจะเหน็บห้อยลงทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของหน้าผ้า
9. หน้าผ้า ลักษณะเดียวกับชายไหว ถ้าเป็นของโนราใหญ่หรือนายโรงมักทำด้วยผ้าแล้วร้อยลูกปัดทาบเป็นลวดลาย ที่ทำเป็นผ้า 3 แถบคล้ายชายไหวล้อมด้วยชายแครงก็มี ถ้าเป็นของนางรำ อาจใช้ผ้าพื้นสีต่างๆ สำหรับคาดห้อยเช่นเดียวกับชายไหว
10. กำไลต้นแขนและปลายแขน กำไลสวมต้นแขน เพื่อขบรัดกล้ามเนื้อให้ดูทะมัดทะแมงและเพิ่มให้สง่างามยิ่งขึ้น
11. กำไล กำไลของโนรามักทำด้วยทองเหลือง ทำเป็นวงแหวน ใช้สวมมือและเท้าข้างละหลายๆ วง เช่น แขนแต่ละข้างอาจสวม 5-10 วงซ้อนกัน เพื่อเวลาปรับเปลี่ยนท่าจะได้มีเสียงดังเป็นจังหวะเร้าใจยิ่งขึ้น
12. เล็บ เป็นเครื่องสวมนิ้วมือให้โค้งงามคล้ายเล็บกินนร กินรี ทำด้วยทองเหลืองหรือเงิน อาจต่อปลายด้วยหวายที่มีลูกปัดร้อยสอดสีไว้พองาม นิยมสวมมือละ 4 นิ้ว (ยกเว้นหัวแม่มือ)
13. หน้าพราน เป็นหน้ากากสำหรับตัว "พราน" ซึ่งเป็นตัวตลก ใช้ไม้แกะเป็นรูปใบหน้า ไม่มีส่วนที่เป็นคาง ทำจมูกยื่นยาว ปลายจมูกงุ้มเล็กน้อย เจาะรูตรงส่วนที่เป็นตาดำ ให้ผู้สวมมองเห็นได้ถนัด ทาสีแดงทั้งหมด เว้นแต่ส่วนที่เป็นฟันทำด้วยโลหะสีขาว หรือทาสีขาว หรืออาจลี่ยมฟัน (มีเฉพาะฟันบน) ส่วนบนต่อจากหน้าผากใช้ขนเป็ดหรือห่านสีขาวติดทาบไว้ต่างผมหงอก
14. หน้าทาสี เป็นหน้ากากของตัวตลกหญิง ทำเป็นหน้าผู้หญิง มักทาสีขาวหรือสีเนื้อ
เครื่องดนตรี
1. ทับ (โทนหรือทับโนรา) เป็นคู่ เสียงต่างกันเล็กน้อย ใช้คนตีเพียงคนเดียว เป็นเครื่องตีที่สำคัญที่สุด เพราะทำหน้าที่ คุมจังหวะและเป็นตัวนำในการเปลี่ยนจังหวะทำนอง (แต่จะต้องเปลี่ยนตามผู้รำ ไม่ใช่ผู้รำ เปลี่ยน จังหวะลีลาตามดนตรี ผู้ทำหน้าที่ตีทับจึงต้องนั่งให้มอง เห็นผู้รำตลอดเวลา และต้องรู้เชิง ของผู้รำ)
2. กลอง เป็นกลองทัดขนาดเล็ก (โตกว่ากลองของหนังตะลุงเล็กน้อย) 1 ใบทำหน้าที่เสริมเน้นจังหวะและล้อเสียงทับ
3. ปี่ เป็นเครื่องเป่าเพียงชิ้นเดียวของวง นิยมใช้ปี่ใน หรือ บางคณะอาจใช้ปี่นอก ใช้เพียง 1 เลา ปี่มีวิธีเป่าที่คล้ายคลึงกับขลุ่ย ปี่มี 7 รูแต่สามารถกำเนิดเสียงได้ ถึง 21 เสียงซึ่งคล้ายคลึงกับเสียงพูด มากที่สุด
4. โหม่ง คือ ฆ้องคู่ เสียงต่างกันที่เสียงแหลม เรียกว่า "เสียงโหม้ง" ที่เสียงทุ้ม เรียกว่า "เสียงหมุ่ง" หรือ บางครั้งอาจจะเรียกว่าลูกเอกและลูก ทุ้มซึ่งมีเสียงแตกต่างกันเป็น คู่แปดแต่ดั้งเดิมแล้วจะใช้คู่ห้า
5. ฉิ่ง หล่อด้วยโลหะหนารูปฝาชีมีรูตรงกลางสำหรับร้อยเชือก สำรับนึงมี 2 อัน เรียกว่า 1 คู่เป็นเครื่องตีเสริมแต่งและเน้นจังหวะ ซึ่งการตีจะแตกต่างกับการตีฉิ่ง ในการกำกับจังหวะของดนตรีไทย
6. แตระ หรือ แกระ คือ กรับ มี ทั้งกรับอันเดียวที่ใช้ตีกระทบกับรางโหม่ง หรือกรับคู่ และมีที่ร้อยเป็นพวงอย่างกรับพวง หรือใช้เรียวไม้หรือลวด เหล็กหลาย ๆ อันมัดเข้าด้วยกันตีให้ปลายกระทบกัน
องค์ประกอบหลักของการแสดง
1. การรำ นักแสดงต้องรำอวดความชำนาญและความสามารถเฉพาะตน โดยการรำผสมท่าต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องกลมกลืน แต่ละท่ามีความถูกต้องตามแบบฉบับ มีความคล่องแคล่วชำนาญที่จะเปลี่ยนลีลาให้เข้ากับจังหวะดนตรี และต้องรำให้สวยงามอ่อนช้อยหรือกระฉับกระเฉงเหมาะแก่กรณี บางคนอาจอวดความสามารถในเชิงรำเฉพาะด้าน เช่น การเล่นแขน การทำให้ตัวอ่อน การรำท่าพลิกแพลง เป็นต้น
2. การร้อง นักแสดงต้องอวดลีลาการร้องขับบทกลอนในลักษณะต่าง ๆ เช่น เสียงไพเราะดังชัดเจน จังหวะการร้องขับถูกต้องเร้าใจ มีปฏิภาณในการคิดกลอนรวดเร็ว ได้เนื้อหาดี สัมผัสดี มีความสามารถในการร้องโต้ตอบ แก้คำอย่างฉับพลันและคมคาย เป็นต้น
3. การทำบท เป็นการอวดความสามารถในการตีความหมายของบทร้องเป็นท่ารำ ให้คำร้องและท่ารำสัมพันธ์กันต้องตีท่าให้พิสดารหลากหลายและครบถ้วน ตามคำร้องทุกถ้อยคำต้องขับบทร้องและตีท่ารำให้ประสมกลมกลืนกับจังหวะและลีลาของดนตรีอย่างเหมาะเหม็ง การทำบทจึงเป็นศิลปะสุดยอดของโนรา
4. การรำเฉพาะอย่าง นอกจากความสามารถในการรำ การร้อง และการทำบทดังกล่าวแล้วยังต้องฝึกการำเฉพาะอย่างให้เกิดความชำนาญเป็นพิเศษด้วยซึ่งการรำเฉพาะอย่างนี้ อาจใช้แสดงเฉพาะโอกาส เช่น รำในพิธีไหว้ครู หรือพิธีแต่งพอกผูกผ้าใหญ่ บางอย่างใช้รำเฉพาะเมื่อมีการประชันโรง บางอย่างใช้ในโอกาสรำลงครูหรือโรงครู หรือรำแก้บน เป็นต้น การรำเฉพาะอย่าง มีดังนี้
1. รำบทครูสอน
2. รำบทปฐม
3. รำเพลงทับเพลงโทน
4. รำเพลงปี่
5. รำเพลงโค
6. รำขอเทริด
7. รำเฆี่ยนพรายและเหยียบลูกนาว (เหยียบมะนาว)
8. รำแทงเข้
9. รำคล้องหงส์
10. รำบทสิบสองหรือรำสิบสองบท
5. การเล่นเป็นเรื่อง โดยปกติมโนราห์ไม่เน้นการเล่นเป็นเรื่อง แต่ถ้ามีเวลาแสดงมากพอหลังจากการอวดการรำการร้องและการทำบทแล้ว อาจแถมการเล่นเป็นเรื่องให้ดู เพื่อความสนุกสนาน โดยเลือกเรื่องที่รู้ดีกันแล้วบางตอนมาแสดงเลือกเอาแต่ตอนที่ต้องใช้ตัวแสดงน้อย ๆ (2-3 คน) ไม่เน้นที่การแต่งตัวตามเรื่อง มักแต่งตามที่แต่งรำอยู่แล้ว แล้วสมมติเอาว่าใครเป็นใคร แต่จะเน้นการตลกและการขับบทกลอนแบบโนราให้ได้เนื้อหาตามท้องเรื่อง
โนราลงแข่ง (ประชันโรง)
การแข่งมโนราห์ หรือ มโนราห์ประชันโรง เพื่อจะพิสูจน์ว่าใครเล่นหรือรำดีกว่า มีศิลปะในการรำเป็นอย่างไรการว่ามุตโต (กลอนสด) ดีกว่ากัน ถ้าโรงไหนดีกว่าโรงนั้นก็จะมีคนดูมาก และเป็นผู้ชนะ การแข่งมโนรานี้มีพิธีที่คณะมโนราต้องทำมาก กลางคืนก่อนแข่งมีการไหว้ครูเชิญครู แล้วเอาเทริดผูกไว้ที่เพดานโรง เอาหมาก 3 คำ และจุดเทียนตามเอาไว้ จากนั้นหมอก็ทำพิธีปิดตู (ประตู) กันตู (ประตู) โดยชักสายสิญจน์กันไว้ หมอและคณะจะไม่นอนกันทั้งคืน หมอทำพิธีประพรมน้ำมนต์ไปเรื่อย (หมอประจำโรงต้องจ้างเป็นพิเศษไปกับคณะ สมัยก่อนเมื่อมีการแข่งครั้งหนึ่งหมอจะได้รับค่าจ้าง 1 เหรียญ หรือ 50 เบี้ย)
การเอาเทริดผูกไว้ที่เพดานเพื่อที่จะเสี่ยงทายเอาเคล็ด คือ ให้หันเทริดเวียน 3 ที แล้วคอยดูว่าเมื่อหยุดเทริดจะหันหน้าไปทางไหน ถ้าเทรอดหันหน้าไปทางคู่แข่งมีหมายความว่ารุ่งเช้าจะแข่งชนะ ถ้าเทริดหันไปทางอื่นหมายความว่าแพ้ เมื่อถึงเวลาแข่งก็มีการรำอย่างธรรมดา คือ ออกนางรำทุกๆคน ประมาณ 4-5 คน แล้วก็ถึงตัวมโนราใหญ่ (นายโรง) นายโรงจะออกมารำ แต่ยังไม่สวมเทริดแล้วหมอก็จะนำหน้าลงมาจากโรงเพื่อทำพิธีเวียนโรงเป็นทักษิณาวัด 3 รอบ (ขณะเวียนโรงดนตรีเชิด) หมอถือน้ำมนต์นำหน้า มโนราใหญ่เดินตามหลัง การเวียนโรงทำเพื่อโปรดสัตว์ แผ่เมตตา มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สพเพ สตตา กรุณา อุเบกขา มุทิตา สพเพ สตตา สุขี โหนตุ แผ่เมตตาแก่ผู้ดูและสรรพสัตว์ทั้งหลายให้อยู่เย็นเป็นสุข แล้วก็กลับขึ้นโรงตามเดิม
ท่ารำมโนราห์
ท่ารำของโนราที่เป็นหลัก ๆ นั้นเมื่อแกะออกมารวมประมาณ 83 ท่ารำ
1. ตั้งต้นเป็นประถม 2. ถัดมาพระพรหมสี่หน้า
3. สอดสร้อยห้อยเป็นพวงมาลา 4. เวโหนโยนช้า
5. ให้น้องนอน 6. พิสมัยร่วมเรียง
7. เคียงหมอน 8. ท่าต่างกัน
9. หันเป็นมอน 10. มรคาแขกเต้าบินเข้ารัง
11. กระต่ายชมจันทร์ 12. จันทร์ทรงกลด
13. พระรถโยนสาส์น 14. มารกลับหลัง
15. ชูชายนาดกรายเข้าวัง 16. กินนรร่อนรำ
17.เข้ามาเปรียบท่า 18. พระรามาน้าวศิลป์
19. มัจฉาล่องวาริน 20. หลงใหลไปสิ้นงามโสภา
21. โตเล่นหาง 22. กวางโยนตัว
23. รำยั่วเอแป้งผัดหน้า 24. หงส์ทองลอยล่อง
25. เหราเล่นน้ำ 26. กวางเดินดง
27. สุริวงศ์ทรงศักดิ์ 28. ช้างสารหว้านหญ้า
29. ดูสาน่ารัก 30. พระลักษณ์แผลงศรจรลี
31. ขี้หนอนฟ้อนฝูง 32. ยูงฟ้อนหาง
33. ขัดจางหยางนางรำทั้งสองศรี 34. นั่งลงให้ได้ที่
35. ชักสีซอสามสายย้ายเพลงรำ 36. กระบี่ตีท่า
37. จีนสาวไส้ 38. ชะนีร่ายไม้
39. เมขลาล่อแก้ว 40. ชักลำนำ
41. เพลงรำแต่ก่อนครูสอนมา
ท่าสิบสอง
1.พนมมือ 2.จีบซ้ายตึงเทียมบ่า
3.จีบขวาตึงเทียมบ่า 4.จับซ้ายเพียงเอว
5..จีบขวาเพียงเอว 6.จีบซ้ายไว้หลัง
7.จีบขวาไว้หลัง 8.จีบซ้ายเพียงบ่า
9.จีบขวาเพียงบ่า 10.จีบซ้ายเสมอหน้า
11.จีบขวาเสมอหน้า 12.เขาควาย
บทครูสอน
1.ครูเอยครูสอน 2.เสดื้องกร
3.ต่อง่า 4.ผูกผ้า
5.ทรงกำไล 6.ครอบเทริดน้อย
7.จับสร้อยพวงมาลัย 8.ทรงกำไลซ้ายขวา
9.เสดื้องเยื้องข้างซ้าย 10.ตีค่าได้ห้าพารา
11.เสดื้องเยื้องข้างขวา 12.ตีค่าได้ห้าตำลึงทอง
13.ตีนถับพนัก 14.มือชักแสงทอง
15.หาไหนจะได้เสมือนน้อง 16.ทำนองพระเทวดา
บทสอนรำ
1.สอนเจ้าเอย 2.สอนรำ
3.รำเทียมบ่า 4.ปลดปลงลงมา
5.รำเทียมพก 6.วาดไว้ฝ่ายอก
7.ยกเป็นแพนผาหลา 8.ยกสูงเสมอหน้า
9.เรียกช่อระย้าพวงดอกไม้ 10.โคมเวียน
11.วาดไว้ให้เสมือนรูปเขียน 12.กระเชียนปาดตาล
13.พระพุทธเจ้าห้ามมาร 14.พระรามจะข้ามสมุทร
พิธีกรรม
- โนราโรงครู
- โนราโรงครูมี 2 ชนิด คือ
1. โรงครูใหญ่ หมายถึงการรำโนราโรงครูอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะต้องกระทำต่อเนื่องกัน 3 วัน 3 คืนจึงจะจบพิธี โดยจะเริ่มในวันพุธ ไปสิ้นสุดในวันศุกร์ และจะต้องกระทำเป็นประจำทุกปี หรือทุกสามปี ทุกห้าปี ซึ่งต้องใช้เวลาเตรียมการกันนานและใช้ทุนทรัพย์สูง จึงเป็นการยากที่จะทำได้
2. โรงครูเล็ก หมายถึงการรำโรงครูอย่างย่นย่อ คือใช้เวลาเพียง 1 วันกับ 1 คืน โดยปกติจะเริ่มในตอนเย็นวันพุธแล้วไปสิ้นสุดในวันพฤหัสบดี ซึ่งการรำโรงครูไม่ว่าจะเป็นโรงครูใหญ่หรือโรงครูเล็กก็มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวการณ์และความพร้อม การรำโรงครูเล็ก เรียกอีกอย่าง คือ " การค้ำครู "
โนราโรงครูท่าแค
การจัดพิธีกรรมโนราโรงครูวัดท่าแค เริ่มตั้งแต่การไหว้พระภูมิโรงพิธีพระ แล้วเข้าโรงในวันแรกซึ่งเป็นวันพุธตอนเย็น จากนั้นจึงทำพิธีเบิกโรง ลงโรง กาศครู เชิญครู กราบครู โนราใหญ่รำถวายครู จับบทตั้งเมือง การรำทั่วไป วันที่สองซึ่งเป็นวันพฤหัสบดีถือเป็นพิธีใหญ่ เริ่มตั้งแต่ ลงโรง กาศโรง เชิญครู เอาผ้าหุ้มต้นโพธิ์ที่เชื่อกันว่าเป็นที่เผาศพและฝังกระดูกของขุนศรีศรัทธา เซ่นไหว้ครูหมอตายายโนราทั่วไป รำถวายครู การรำสอดเครื่องสอดกำไล ทำพิธีตัดจุก ทำพิธีครอบเทริด หรือผูกผ้าใหญ่ พิธีแก้บนด้วยการรำถวายครูและออกพราน พิธีผูกผ้าปล่อย การรำทั่วไปในเวลากลางคืน ส่วนวันที่สาม เริ่มตั้งแต่ลงโรง กาศครู เชิญครู การรำทั่วไป รำบทสิบสองเพลง สิบสองบท เหยียบเสน ตัดผมผีช่อ รำบทคล้องหงส์ รำบทแทงเข้ รำส่งตายาย เป็นอันเสร็จพิธี
มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ในการประชุมออนไลน์ของคณะกรรมการอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 16 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส องค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศขึ้นทะเบียนการรำโนราห์ทางภายใต้ของไทย ภายใต้ชื่อภาษาอังกฤษว่า "Nora, dance drama in southern Thailand" เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม) ในประเภท "รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity" นับเป็นการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้รายการที่สามของประเทศไทย
ทำเนียบศิลปินโนราห์
- นางกั้น เชาวพ้อง
ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) พุทธศักราช ๒๕๖๑
นางกั้น เชาวพ้อง หรือ โนรากั้น บันเทิงศิลป์ ปัจจุบันอายุ ๘๖ ปี เกิดวันอาทิตย์ เดือนสี่ ปีจอ พ.ศ.๒๔๗๖ จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัดจันพอ หมู่ ๓ ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
ตลอดระยะเวลา ๖๘ ปี ที่โนรากั้น บันเทิงศิลป์ ได้แสดงโนราเพื่อสังคม ในทุกงาน รูปแบบการแสดง
ของโนรากั้น ไม่เคยทอดทิ้งเอกลักษณ์การเป็นโนราแบบโบราณ ยังคงรักษาศิลปะการแสดงโนราที่ถูกต้องทั้งการร้อง การรำแทงเข้ การรำคล้องหงส์ ซึ่งเป็นการรำแสดงแบบโบราณทั้งหมดตลอดถึงเครื่องดนตรี อุปกรณ์การแต่งกายที่ยังคงเป็นโนราโบราณขนานแท้ จึงนับได้ว่า โนรากั้น ได้อนุรักษ์และสืบสานเอกลักษณ์ของโนราคนหนึ่งของภาคใต้ไว้อย่างน่าภาคภูมิใจ จากการที่โนรากั้น บันเทิงศิลป์ มีความสามารถในการแสดงโนราเป็นอย่างมาก และเป็นศิลปินที่มีประชาชนชื่นชม รวมถึงเป็นบุคคลที่มีน้ำใจมีความเอื้ออาทร เสียสละ เป็นที่รักใคร่ของบุคคลทั่วๆ ไป จึงทำให้มีคนมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ฝึกหัดรำโนราอยู่ตลอดเวลารุ่นแล้วรุ่นเล่า โนรากั้นยินดีและเต็มใจถ่ายทอดความรู้ซึ่งลูกศิษย์ที่โนรากั้นได้ฝึกหัด มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จำนวนไม่น้อยกว่า ๑๐๐ คนปัจจุบัน โนรากั้น บันเทิงศิลป์ ยังคงรับงานแสดง และยินดีรับเชิญไปแสดงเสมอเมื่อเป็นงานการกุศลและช่วยเหลือสังคม ยามว่างจากการแสดงโนราจะมีผู้มาขอให้ช่วยโดยให้ค่าแรงบ้าง และให้ช่วยร้อยลูกปัดบ้างนอกจากนั้น ยังขายขนมจีน ใช้ชีวิตอย่างสมถะเรียบง่ายในสังคมชนบท และยังฝึกสอนให้ลูกศิษย์ที่มาฝึกหัดอยู่ตลอด ด้วยอายุวัย ๘๖ ปี ถึงอายุมากอยู่ในวัยชราแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำให้โนรากั้น หยุดการรำโนราได้เพราะจิตและวิญญาณคือศิลปินที่แท้จริงจากการที่นางกั้น เชาวพ้อง หรือโนรากั้น บันเทิงศิลป์ ได้แสดงโนรามาเป็นเวลายาวนานกว่า ๖๘ ปี และประสบผลสำเร็จในอาชีพ เลี้ยงครอบครัว ส่งให้ลูกได้เรียนหนังสือ สร้างฐานะความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ด้วยการรำโนรา ตลอดจนมีลูกศิษย์มากมายไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ คน เป็นบุคคลที่ครองตัวครองตน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี และได้บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น รวมถึงสังคมส่วนรวมต่างๆ มามากมาย อีกทั้งมีความรู้ความสามารถในด้านการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นหลายด้านจนเป็นที่ยอมรับ จึงเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญอีกคนหนึ่งที่ยังคงสืบสานเอกลักษณ์ในศิลปะการแสดงอันเป็นภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของภาคใต้ไว้ได้อย่างดียิ่ง นางกั้น เชาวพ้อง จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (โนรา)
- มโนห์รามดลิ้น
ในบรรดามโนห์ราที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครศรีธรรมราช มโนห์รามดลิ้น ( มดชลิน ) เป็นบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักแพร่หลายโดยทั่วไปทั้งที่เมืองนครศรีธรรมราชและจังหวัดอื่นๆ แม้แต่ในกรุงเทพมหานคร มโนห์รามดลิ้นก็เคยเข้าไปรำเผยแพร่หน้าพระที่นั่งหลายครั้งหลายคราวจนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป และเนื่องจากความสามารถในการรำมโนห์รานี้เอง ท่านผู้นี้จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "ยอดระบำ"
มโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม 2421 ตรงกับเดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ปีขาล เป็นบุตรนายทอง นางนุ่ม เป็นหลานปู่ของนายบัวจันทร์ และย่าชุม เกิดที่บ้านหัวสะพานขอย หมู่ที่ 4 ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันสี่คน คือ นางบึ้ง นายมดชลิน นางลิบ และนางลม
เมื่ออายุประมาณ 7 ขวบ พ่อท่านทวดด้วงได้พาให้ไปศึกษาหนังสือไทยสมัยเรียนนอโม-พุท-ท่อ และเรียนเวทมนต์คาถากับพ่อท่านคงที่วัดเนกขัมมาราม (หน้ากาม) อำเภอร่อนพิบูลย์ เมื่อเรียนหนังสืออ่านออกเขียนได้ดีแล้ว ท่านอาจารย์คงได้ฝากให้ไปเล่าเรียนวิชาไสยศาสตร์เพิ่มเติมกับท่านอาจารย์เกิด ที่วัดป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง กระทั่งมีความรู้อ่านออกเขียนหนังสือขอมได้
ครั้นอายุ 20 ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ที่วัดมัชฌิมภูผา อำเภอร่อนพิบูลย์ 1 พรรษา สมัยพระอาจารย์ภู่เป็นสมภาร และได้ศึกษาเล่าเรียนเวทมนตร์คาถาเพิ่มเติมด้วย ต่อมาอายุ 22 ปี ได้สมรสกับนางทิม ซึ่งเป็นบุตรของมโนห์ราปลอด นางศรีทอง บ้านวังไส ตำบลสามตำบล อำเภอร่อนพิบูลย์ มีบุตรด้วยกัน 7 คน คือนายกลิ้ง นายคล่อง นายสังข์ นายไว นางพิน นางพัน และนายเจริญ
มโนห์รามดลิ้นได้ฝึกหัดรำมโนห์ราเมื่ออายุ 14 ปี โดยฝึกหัดกับมโนห์ราเดชบ้านหูด่าน อำเภอร่อนพิบูลย์ ซึ่งเป็นอาจารย์เดียวกับมโนห์ราหมื่นระบำบรรเลง (คล้าย พรหมเมศ หรือ คล้ายกินนร) เมื่อรำเป็นแล้วได้เที่ยวรำกับอาจารย์หมื่นระบำบรรเลงและมโนห์ราเถื่อน บ้านทุ่งโพธิ์ อำเภอรอ่นพิบูลย์ ในสมัยก่อนมโนห์ราส่วนมากไม่ค่อยจะมีสตรีร่วมแสดงเช่นเดียวกับสมัยนี้ เมื่อจะแสดงเรื่องก็ใช้ผู้ชายแสดงแทน มโนห์รามดลิ้นซึ่งกล่าวได้ว่าสมัยนั้นรูปหล่อ สุภาพอ่อนโยน ก็ทำหน้าที่แสดงเป็นตัวนางเอกแทบทุกครั้ง และแสดงได้ถึงบทบาทจนกระทั่งคนดูสงสารหลั่งน้ำตาร้องไห้เมื่อถึงบทโศก
มโนห์ราลิ้นเที่ยวแสดงในงานต่างๆ แทบทั่ทั้งภาคใต้ จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย นอกจากนี้เคยไปแสดงในงานสำคัญ ๆ ในกรุงเทพฯ หลายครั้งก็คือ
ครั้งแรกเมื่อประมาณ พ.ศ. 2451 ได้ไปรำถวายในพระบรมมหาราชวังเนื่องในงานราชพิธีหน้าพระที่นั่งสมัยรัชกาลที่ 5 มีมโนห์ราคล้าย พรหมเมศ เป็นหัวหน้าคณะไปทางเรือรวมทั้งหมด 13 คน ในการรำถวายครั้งนี้นายคล้าย พรหมเมศแสดงเป็นตัวพระ ส่วนผู้แสดงเป็นตัวนางคือมโนห์รามดลิ้น หลังจากแสดงเสร็จนายคล้าย พรหมเมศ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานเป็นหมื่นระบำบรรเลง มโนห์รามดลิ้นได้รับพระราชทานนามสกุลให้ใหม่เป็น "ยอดระบำ" และในโอกาสเดียวกันนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายศิลปินในสำนักพระราชวัง ได้จดบทกลอนท่ารำมโนห์ราและบทต่างๆ ไว้หลายบท เพื่อถือเป็นแบบฉบับสำหรับการศึกษาต่อไป
ครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ. 2466 ได้ไปรำในงานราชพิธีที่ในพระบรมมหาราชวัง สมัยรัชกาลที่ 6 โดยหมื่นระบำบรรเลงเป็นหัวหน้า พร้อมด้วยมโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ มโนห์ราเสือ (ทุ่งสง) มโนห์ราพรัด (ทุ่งไห้ฉวาง) มโนห์ราคลิ้ง ยอดระบำ ไข่ร็องแร็ง (สามตำบล) พรานทองแก้ว พรานนุ่น กับลูกคู่รวม 14 คน
เมื่อกลับจากแสดงครั้งนี้ชั่วระยะไม่ถึง 2 เดือน ทางราชการได้เรียกมโนห์ราให้ไปแสดงอีก แต่เนื่องจากครั้งนั้นมโนห์รามดลิ้นได้นำคณะมโนห์ราส่วนหนึ่งเดินทางไปแสดงที่จังหวัดกระบี่ พังงา และอำเภอตะกั่วป่า (เดินเท้า) จึงไม่สามารถกลับมาและร่วมไปแสดงได้หมื่นระบำบรรเลง จึงรวบรวมบรรดาศิษย์ไปแสดงเอง การแสดงครั้งนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายศิลปากรได้ถ่ายรูปท่ารำมโนห์ราท่าต่างๆ ของหมื่นระบำบรรเลงกับมโนห์ราเย็นไว้เป็นแบบฉบับเพื่อการเผยแพร่และการศึกษาของอนุชนรุ่นหลัง ดังปรากฏในหนังสือว่าด้วยตำราไทยในหอสมุดแห่งชาติ
ครั้งที่สามเมื่อ พ.ศ. 2473 ได้ไปรำถวายในพระบรมมหาราชวังเนื่องในงานพระราชพิธีหน้าพระที่นั่งสมัยรัชกาลที่ 7 ครั้งนี้หมื่นระบำบรรเลงแก่ชรามากจึงไม่ได้เดินทางไปจึงมองให้มโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ เป็นหัวหน้านำคณะ 12 คน ไปรำถวายแทน
หลังจากนี้ปลาย พ.ศ. 2479 สมัยหลวงวิจิตรวาทการเป็นอธิบดีกรมศิลปากรได้ริเริ่มปรับปรุงฟื้นฟูมหรสพพื้นเมืองทั่วไป จึงได้เดินทางมาขอชมการรำมโนห์ราแบบโบราณที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ ได้นำคณะแสดงให้ชมที่เรือนรับรองของข้าหลวงประจำจังหวัดในสมัยนั้น ผู้แสดงมีมโนห์ราคลิ้ง อ้น เจริญ ปุ่น และพรานบก การแสดงเป็นที่พึงพอใจของอธิบดีเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ขอตัวมโนห์ราเจริญและปุ่นไปอยู่ที่กรมศิลปากร เพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับมโนห์ราแบบโบราณให้แก่นักเรียนของโรงเรียนนาฏศิลป์ กรมศิลปากรได้ศึกษา และได้ให้มโนห์ราทั้งสองได้เล่าเรียนหนังสือไทยเพิ่มเติม พร้อมทั้งศึกษาท่ารำแบบต่างๆ ของกรมศิลปากรให้มีความรู้ความชำนาญยิ่งขึ้น มโนห์ราเจริญ และปุ่นศึกษาอยู่ที่กรมศิลปากรเป็นเวลา 1 ปี จึงได้กลับมายังนครศรีธรรมราช นับได้ว่าเป็นผลงานริเริ่มของมโนห์รามดลิ้นส่วนหนึ่งด้วย
ครั้งที่สี่เมื่อ พ.ศ. 2480 ได้ไปรำในงานวันชาติที่ท้องสนามหลวงอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้มโนห์รามดลิ้นไปในฐานะหัวหน้าคณะเท่านั้น เพราะแก่ชรามากแล้วรำไม่ได้ จึงให้มโนห์ราคลิ้ง ยอดระบำ ซึ่งเป็นบุตรแสดงแทน
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว มโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ ได้เคยนำคณะไปรำในงานของทางราชการบ้านเมืองอีกหลายครั้ง ที่สำคัญเช่น
1. ไปรำถวายรับเสด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จประพาสภาคใต้ซึ่งได้ทรงเสด็จในงานยกช่อฟ้าพระวิหารหลวง วัดพระมหาธาตุวรวิหาร นครศรีธรรมราช
2. ไปรำในงานต้อนรับพลเอก พระยาพหลพลยุหเสนา นากยรัฐมนตรี (สมัยนั้น) ซึ่งเดินทางมาเยี่ยพี่น้องข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช
ส่วนงานอื่นๆ ที่เกี่ยวกับงานของเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง ในอำเภอหรือในจังหวัดใกล้เคียง มโนห์รามดลิ้นได้นำคณะไปช่วยเหลืออยู่เป็นประจำเสมอ ในชีวิตของท่านจึงนับได้ว่าท่านได้ใช้ความสามารถให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
นอกจากความสามารถของการรำมโนห์ราแล้ว มโนห์รามดลิ้นยังสามารถบริการประชาชนในเรื่องยากลางบ้านอีกด้วย กล่าวคือท่านได้ศึกษาหาความรู้ทางแพทย์แผนโบราณภายหลังที่ฝึกฝนให้นายคลิ้งบุตรคนโตให้ฝึกรำมโนห์ราจนชำนาญแล้ว นอกจากรักษาคนเจ็บไข้โดยทั่วไปแล้ว มโนห์รามดลิ้นยังเป็นหมอประจำคณะมโนห์ราอีกทั้งเป็นหมอรักษาผู้ที่ถูกยาสั่ง ถูกคุณต่างๆ ตามหลักวิชาไสยศาสตร์อีกด้วย จึงนับได้ว่าท่านผู้นี้เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมอย่างกว้างขวางจนตลอดชีวิตคนหนึ่ง
มโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ ถึงแก่กรรมเมื่อวันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2511 เวลา 10.00 น. ด้วยโรคชรา ที่บ้านเลขที่ 181 หมู่ที่ 7 ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช รวมอายุได้ 92 ปี
บรรณานุกรม
วิกิพีเดีย. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2565 จาก https://th.wikipedia.org/wiki
ประวัติของมโนราห์ (2562). สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2565 จาก https://www.historicaldance.com
วัฒนธรรมประจำท้องถิ่นภาคใต้. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2565 จาก https://sites.google.com/site/psysicstam/prawati-khwam-pen-ma-khxng-mno-ra
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2565 จาก
https://www.m-culture.go.th/phatthalung/ewt_news.php?nid=508&filename=King
ศิลปินโนรา. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2565 จาก https://www.tungsong.com/NakhonSri/Cultures&Games_Nakhonsri/