30 มกราคม, 2567
ประเพณีเข้าพรรษา
ความเป็นมาและความสำคัญ
วันเข้าพรรษา เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พอถึงฤดูฝนพระภิกษุส่วนใหญ่ก็อยู่ประจำที่เช่นเดียวกับนักบวชนอกพุทธศาสนาที่มักถือเป็นประเพณีปฏิบัติอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ปรากฏว่ามีพระภิกษุกลุ่มฉัพพัคคีย์พาบริวารจำนวน 1,500 รูปเที่ยวจาริกไปตามที่ต่างๆ เนื่องจากตอนต้นพุทธกาลยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษา ทำให้ชาวบ้านพากันติเตียนถึงการจาริกของท่านเพราะไปเหยียบข้าวกล้าในนาเสียหาย เมื่อรู้ไปถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ตรัสถามจนได้ความจริง แล้วทรงบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำพรรษา เป็นเวลา 3 เดือนในฤดูฝน
ฉะนั้น สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตการจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือนแก่พระสงฆ์นั้น มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพื่อเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้านที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่จำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วย
ในวันเข้าพรรษาและช่วงฤดูพรรษากาลตลอดทั้ง 3 เดือน พุทธศาสนิกชนชาวไทยถือเป็นโอกาสอันดีที่จะบำเพ็ญกุศลด้วยการเข้าวัดทำบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งสิ่งที่พิเศษจากวันสำคัญอื่น ๆ คือ มีการถวายหลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษา และผ้าอาบน้ำฝน (ผ้าวัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อสำหรับให้พระสงฆ์ได้ใช้สำหรับการอยู่จำพรรษา โดยในอดีต ชายไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนเมื่ออายุครบบวช (20 ปี) จะนิยมถือบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เพื่ออยู่จำพรรษาตลอดฤดูพรรษากาลทั้ง 3 เดือน โดยพุทธศาสนิกชนไทยจะเรียกการบรรพชาอุปสมบทเพื่อจำพรรษาตลอดพรรษากาลว่า "บวชเอาพรรษา"
วันเข้าพรรษา (บาลี: วสฺส, สันสกฤต: วรฺษ, อังกฤษ: Vassa, เขมร: វស្សា, พม่า: ဝါဆို) เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่งที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดระยะเวลา 3 เดือนตามที่พระวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือภาษาปากว่า จำพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า พักอยู่) การเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์โดยตรง พระสงฆ์จะไม่จำพรรษาไม่ได้ เนื่องจากรูปใดไม่จำพรรษาถือว่าต้องอาบัติทุกกฏตามพระวินัย[1] การเข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา
วันเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หรือปีอธิกมาส จะเลื่อนเป็นวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 หลัง) หรือเทศกาลเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือปีอธิกมาส จะเลื่อนเป็นวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 หลัง ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) ถือว่าเป็นวันและช่วงเทศกาลทางศาสนาพุทธที่สำคัญเทศกาลหนึ่งในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาประมาณ 3 เดือนในช่วงฤดูฝน โดยวันเข้าพรรษาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ต่อเนื่องมาจากวันอาสาฬหบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8) ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั้งพระมหากษัตริย์และคนทั่วไปได้สืบทอดประเพณีปฏิบัติการทำบุญในวันเข้าพรรษามาช้านานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย
สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตการจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือนแก่พระสงฆ์นั้น มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพื่อเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้านที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่จำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วย
ในวันเข้าพรรษาและช่วงฤดูพรรษากาลตลอดทั้ง 3 เดือน พุทธศาสนิกชนชาวไทยถือเป็นโอกาสอันดีที่จะบำเพ็ญกุศลด้วยการเข้าวัดทำบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งสิ่งที่พิเศษจากวันสำคัญอื่น ๆ คือ มีการถวายหลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษา และผ้าอาบน้ำฝน (ผ้าวัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อสำหรับให้พระสงฆ์ได้ใช้สำหรับการอยู่จำพรรษา โดยในอดีต ชายไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนเมื่ออายุครบบวช (20 ปี) จะนิยมถือบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เพื่ออยู่จำพรรษาตลอดฤดูพรรษากาลทั้ง 3 เดือน โดยพุทธศาสนิกชนไทยจะเรียกการบรรพชาอุปสมบทเพื่อจำพรรษาตลอดพรรษากาลว่า "บวชเอาพรรษา"
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2551 รัฐบาลได้ประกาศให้วันเข้าพรรษาเป็น "วันงดดื่มสุราแห่งชาติ"[2] โดยในปีถัดมา ยังได้ประกาศให้วันเข้าพรรษาเป็นวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วราชอาณาจักร[3] ทั้งนี้เพื่อรณรงค์ให้ชาวไทยตั้งสัจจะอธิษฐานงดการดื่มสุราในวันเข้าพรรษาและในช่วง 3 เดือนระหว่างฤดูเข้าพรรษา เพื่อส่งเสริมค่านิยมที่ดีให้แก่สังคมไทย[4]
ความสำคัญและประโยชน์ของการเข้าพรรษา
ช่วงเข้าพรรษานั้นเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่นา ดังนั้นการกำหนดให้ภิกษุสงฆ์หยุดการเดินทางจาริกไปในสถานที่ต่างๆ ก็จะช่วยให้พันธุ์พืชของต้นกล้า หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย ไม่ได้รับความเสียหายจากการเดินธุดงค์
หลังจากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลา 8 - 9 เดือน ช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงที่ให้พระภิกษุสงฆ์ได้หยุดพักผ่อน
เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมสำหรับตนเอง และศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยตลอดจนเตรียมการสั่งสอนให้กับประชาชนเมื่อถึงวันออกพรรษา
เพื่อจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนและบวชให้กับกุลบุตรผู้มีอายุครบบวช อันเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป
เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น การทำบุญตักบาตร หล่อเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้นอบายมุข และมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาตลอดเวลาเข้าพรรษา
มูลเหตุที่พระพุทธเจ้าอนุญาตการจำพรรษาแก่พระสงฆ์
ในสมัยก่อน การเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในฤดูฝน มีความยากลำบาก และเป็นช่วงฤดูทำไร่นาของชาวบ้าน พระพุทธเจ้าจึงวางระเบียบให้พระสงฆ์หยุดการเดินทางเพื่อประจำอยู่ ณ สถานที่ใดที่หนึ่งในช่วงฤดูฝน
ในสมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงวางระเบียบเรื่องการเข้าพรรษาไว้ แต่การเข้าพรรษานั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวกปฏิบัติกันมาโดยปกติเนื่องด้วยพุทธจริยาวัตรในอันที่จะไม่ออกไปจาริกตามสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงฤดูฝนอยู่แล้ว เพราะการคมนาคมมีความลำบาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์ในช่วงต้นพุทธกาลมีจำนวนน้อยและส่วนใหญ่เป็นพระอริยะบุคคล จึงทราบดีว่าสิ่งใดที่พระสงฆ์ควรหรือไม่ควรกระทำ
ต่อมาเมื่อมีพระสงฆ์มากขึ้น และด้วยพระพุทธจริยาที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบัญญัติพระวินัยล่วงหน้า ทำให้พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ทรงบัญญัติเรื่องให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจำพรรษาไว้ด้วย จึงเกิดเหตุการณ์กลุ่มภิกษุจาริกไปในที่ต่าง ๆ โดยไม่ย่อท้อทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ทำให้ชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พวกพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไม่ยอมหยุดพักสัญจรแม้ในฤดูฝน ในขณะที่นักบวชในศาสนาอื่น พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การที่พระภิกษุสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ แม้ในฤดูฝน อาจเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่ำโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากินจนถึงแก่ความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบให้ภิกษุประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง เป็นเวลา 3 เดือนดังกล่าว[5]
การเข้าพรรษาของพระสงฆ์ตามพระวินัยปิฎก
ตามพระวินัย พระสงฆ์รูปใดไม่เข้าจำพรรษาอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงปรับอาบัติแก่พระสงฆ์รูปนั้นด้วยอาบัติทุกกฎ
และพระสงฆ์ที่อธิษฐานรับคำเข้าจำพรรษาแล้วจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้ แต่ถ้าหากเดินทางออกไปแล้วและไม่สามารถกลับมาในเวลาที่กำหนด คือ ก่อนรุ่งสว่าง ก็จะถือว่าพระภิกษุรูปนั้น"ขาดพรรษา" และต้องอาบัติทุกกฎเพราะรับคำนั้น รวมทั้งพระสงฆ์รูปนั้นจะไม่ได้รับอานิสงส์พรรษา ไม่ได้อานิสงส์กฐินตามพระวินัย และทั้งยังห้ามไม่ให้นับพรรษาที่ขาดนั้นอีกด้วย[8]
ประเภทของการเข้าพรรษาของพระสงฆ์
การเข้าพรรษาตามพระวินัยแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.ปุริมพรรษา (เขียนอีกอย่างว่า บุริมพรรษา) คือ การเข้าพรรษาแรก เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 (สำหรับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน จะเริ่มในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง) จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หลังจากออกพรรษาแล้ว พระที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน ก็มีสิทธิที่จะรับกฐินซึ่งมีช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
2.ปัจฉิมพรรษา คือ การเข้าพรรษาหลัง ใช้ในกรณีที่พระภิกษุต้องเดินทางไกลหรือมีเหตุสุดวิสัย ทำให้กลับมาเข้าพรรษาแรกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไม่ทัน ต้องรอไปเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 แล้วจะไปออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งเป็นวันหมดเขตทอดกฐินพอดี ดังนั้นพระภิกษุที่เข้าปัจฉิมพรรษาจึงไม่มีโอกาสได้รับกฐิน แต่ก็ได้พรรษาเช่นเดียวกับพระที่เข้าปุริมพรรษาเหมือนกัน
ในประเทศไทย พระภิกษุส่วนใหญ่จะจำพรรษาในช่วงปุริมพรรษาหรือพรรษาแรกมากกว่าปัจฉิมพรรษาหรือพรรษาหลัง ยกเว้นพระภิกษุที่อาพาธ(ป่วย)หรือมีกิจจำเป็นจึงจะอธิษฐานจำพรรษาในช่วงปัจฉิมพรรษา ส่วนการที่มีเดือนแปดสองหน หรือปีอธิกมาส ก็เพราะเป็นการนับทางจันทรคติ(วันขึ้น วันแรม)ซึ่งแต่ละปีจะมีจำนวนวันน้อยกว่าการนับทางสุริยคติ(การนับวันตามแบบปัจจุบัน) ทำให้ต้องเพิ่มเดือนในบางปีเพื่อชดเชยจำนวนวันที่หายไป มิให้ปีทางจันทรคติและสุริยคติคลาดเคลื่อนกันไปมากความเป็นมาของวันเข้าพรรษาเกิดขึ้น
ความสำคัญและประโยชน์ของการเข้าพรรษา
ช่วงเข้าพรรษานั้นเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่นา ดังนั้นการกำหนดให้ภิกษุสงฆ์หยุดการเดินทางจาริกไปในสถานที่ต่างๆ ก็จะช่วยให้พันธุ์พืชของต้นกล้า หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย ไม่ได้รับความเสียหายจากการเดินธุดงค์
หลังจากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลา 8 - 9 เดือน ช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงที่ให้พระภิกษุสงฆ์ได้หยุดพักผ่อน
เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมสำหรับตนเอง และศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยตลอดจนเตรียมการสั่งสอนให้กับประชาชนเมื่อถึงวันออกพรรษา
เพื่อจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนและบวชให้กับกุลบุตรผู้มีอายุครบบวช อันเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป
เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น การทำบุญตักบาตร หล่อเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้นอบายมุข และมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาตลอดเวลาเข้าพรรษา
อานิสงส์แห่งการจำพรรษา
เมื่อพระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนได้ปวารณาแล้ว ย่อมจะได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา 5 อย่าง ตลอด 1 เดือนนับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป คือ
1.เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ปาจิตตีย์กัณฑ์
2.เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
3.ฉันคณะโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
4.เก็บอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา
5.จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอ
และยังได้โอกาสเพื่อที่จะกราลกฐิน และได้รับอานิสงส์พรรษาทั้ง 5 ขึ้นนั้นเพิ่มออกไปอีก 4 เดือน ในฤดูหนาว คือตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 12 ไปจนถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 อีกด้วย
กิจกรรมในวันเข้าพรรษาที่พุทธศาสนิกชนนิยมทำกัน ได้แก่
1.ตักบาตร
2.ถวายเทียนพรรษา
3.ถวายผ้าอาบน้ำฝน
4.ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม
5.ฟังธรรมเทศนา
6.เวียนเทียนรอบพระอุโบสถ
7.รักษาศีล 5
8.งดเว้นอบายมุข
9.เจริญภาวนา
สำหรับพุทธศาสนิกชน ในวันเข้าพรรษานิยมทำบุญตักบาตร ถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัยไทยธรรม ฟังธรรมเทศนา และเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ วันเข้าพรรษาเป็นช่วงเวลาแห่งการประพฤติปฏิบัติธรรมอันดีงามของชาวพุทธ เป็นวันแห่งการชำระจิต ชำระใจ และอ้อมกอดพระพุทธศาสนาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ข้อยกเว้นการจำพรรษาของพระสงฆ์
แม้การเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระภิกษุโดยตรง ที่จะละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม แต่ว่าในการจำพรรษาของพระสงฆ์ในระหว่างพรรษานั้น อาจมีกรณีจำเป็นบางอย่าง ทำให้พระภิกษุผู้จำพรรษาต้องออกจากสถานที่จำพรรษาเพื่อไปค้างที่อื่น พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษาโดยมีเหตุจำเป็นเฉพาะกรณี ๆ ไป ตามที่ทรงระบุไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการพระศาสนาหรือการอุปัฏฐานบิดามารดา แต่ทั้งนี้ก็จะต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน การออกนอกที่จำพรรษาล่วงวันเช่นนี้เรียกว่า "สัตตาหกรณียะ" ซึ่งเหตุที่ทรงระบุว่าจะออกจากที่จำพรรษาไปได้ชั่วคราวนั้นเช่น
การไปรักษาพยาบาล หาอาหารให้ภิกษุหรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย เป็นต้น กรณีนี้ทำได้กับสหธรรมิก 5 และมารดาบิดา
การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้ กรณีนี้ทำได้กับสหธรรมิก 5
การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด หรือ การไปทำสังฆกรรม เช่น สวดญัตติจตุตถกรรมวาจาให้พระผู้ต้องการอยู่ปริวาส เป็นต้น
หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปให้ทายกได้ให้ทาน รับศีล ฟังเทสนาธรรมได้ กรณีนี้หากโยมไม่มานิมนต์ ก็จะไปค้างไม่ได้.
ซึ่งหากพระสงฆ์ออกจากอาวาสแม้โดยสัตตาหกรณียะล่วงกำหนด 7 วันตามพระวินัย ก็ถือว่า ขาดพรรษา และเป็นอาบัติทุกกฎเพราะรับคำ (รับคำอธิษฐานเข้าพรรษาแต่ทำไม่ได้)
ในกรณีที่พระสงฆ์สัตตาหกรณียะและกลับมาตามกำหนดแล้ว ไม่ถือว่าเป็นอาบัติ และสามารถกลับมาจำพรรษาต่อเนื่องไปได้ และหากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกจากที่จำพรรษาไปได้ตามวินัยอีก ก็สามารถทำได้โดยสัตตาหกรณียะ แต่ต้องกลับมาภายในเจ็ดวัน เพื่อไม่ให้พรรษาขาดและไม่เป็นอาบัติทุกกฎดังกล่าวแล้ว
อาหารประจำประเพณีเข้าพรรษา
เข้าพร้อมตอก ออกพร้อมต้ม
คำพังเพยสำนวนปักษ์ใต้ทำนองนี้ เด็กรุ่นใหม่อาจไม่เข้าใจ ส่วนคนรุ่นเก่าที่ค่อนข้างจะห่างวัดอาจลืมๆ ไปแล้วก็ได้ แต่เมื่อได้ยินอีกครั้งก็คงจะพอหวลระลึกความหมายได้....
ตามประเพณีปักษ์ใต้ เทศกาลเข้าพรรษา นอกจากจะมีการถวายเทียนประจำพรรษา (ซึ่งปัจจุบันมีหลอดไฟฟ้าเสริมมาด้วย) และผ้าอาบน้ำฝนแล้ว ก็จะมีการถวายข้าวตอกด้วย
ข้าวตอก คือ ข้าวเปลือกที่นำมาคั่วแห้ง ให้เมล็ดแตกออกมา แล้วก็เก็บเปลือกทิ้งไป ก็จะเหลือเพียงข้าวตอกขาวๆ ซึ่งคงจะมีน้อยคนที่ไม่รู้จัก ในเทศกาลเข้าพรรษา ญาติโยมก็จะนำข้าวตอกมาถวาย เพื่อพระ-เณรในวัดจะใช้เป็นอาหารในช่วงที่ฝนตกหนัก ไม่สามารถจะออกบิณฑบาตได้
การรับประทานข้าวตอก สามารถนำข้าวตอกคลุกกับมะพร้าวขูดและโรยน้ำตาลใส่เกลืออีกเล็กน้อย หรือข้าวตอกทำน้ำกะทิทุเรียนราดหน้าได้อีกด้วย คล้ายๆ กับ ลอดช่องกะทิหรือข้าวเหนียวน้ำกะทิทุเรียน
การถวายข้าวตอกในวันเข้าพรรษาค่อยๆ น้อยลงตามลำดับ เพราะไม่มีความจำเป็นดังเช่นสมัยโบราณ... ขณะที่การถวายหลอดไฟฟ้ากลับค่อยๆ มากขึ้น... การลดลงและเพิ่มขึ้นระหว่างข้าวตอกกับหลอดไฟฟ้าเป็นเครื่องบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า ประเพณีค่อยๆ แปรไป เพราะสังคมเห็นว่ามีความสำคัญหรือไม่เพียงใด ประมาณนั้น
ส่วนในวันออกพรรษา หลายๆ วัดจะมีการทำเรือพระแล้วก็ลากไปยังสถานที่ต่างๆ และญาติโยมก็จะนิยมทำ ข้าวต้มสามเหลี่ยม (ปักษ์ใต้เรียกสั้นๆว่า ต้ม) เพื่อนำไปแขวนที่เรือพระวัดต่างๆ เพื่อเป็นพุทธบูชา แม้บางวัดจะไม่ได้ทำเรือพระ แต่ก็ยังมีญาติโยมนำต้มมาถวายเป็นพุทธบูชาที่วัด ต้มเหล่านี้ วัดที่มีเรือพระก็จะได้เยอะ
ในตอนเย็น แม้เรือพระยังไม่กลับวัด เพราะอาจอยู่ร่วมสมโภชน์หรือสมัครใจลากไปยังที่อื่นต่อไป แต่ต้มเกือบทั้งหมดที่เรือพระ จะนำกลับมาย่างหรือทอดที่วัดก่อน (เพราะจะบูด) เพื่อจะได้เก็บไว้ฉัน ซึ่งโดยมากพระ-เณรไม่ค่อยจะฉันสักเท่าไหร่ บรรดาลูกศิษย์จะแบ่งกันไป หรือบางครั้งก็นำไปให้ที่เรือนจำเพื่อแจกพวกนักโทษ
สมัยก่อน ไม่ค่อยมีการซื้อขาย พอจะเข้าพรรษาก็มีการคั่วตอกกันทุกบ้าน นั่นคือ เข้าพร้อมตอก ... และพอจะออกพรรษาก็จะมีการทำข้าวต้มสามเหลี่ยมกันทุกบ้าน นั่นคือ ออกพร้อมต้ม
ข้าวต้มมัด ขนมของคนมีคู่ประจำวันเข้าพรรษา
ประเพณีของไทยหลาย ๆ อย่าง มักจะมีเรื่องราวของอาหารเข้าไป ข้องเกี่ยวอยู่ด้วยเสมอ เพราะคนไทยโบราณจะชอบทำอาหาร หรือขนมไทยชนิดต่าง ๆ ไปทำบุญถวายพระ แตกต่างกันไปตามความเชื่อ จนทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ที่ขาดกันไปไม่ได้แล้ว และก็สืบทอดมาจนถึงัจจุบัน เช่นเดียวกับ ข้าวต้มมัดกับวันเข้าพรรษา ที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ด้วย
เกิดเป็นคนไทยจะมีใครที่ไม่รู้จักข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มผัด บ้างไหมเนี่ย ไม่ว่าจะไปอยู่มุมไหนของประเทศไทยก็มีขาย หาซื้อกินได้ง่ายเหลือเกิน โดยเฉพาะในช่วงวันเข้าพรรษา เราจะได้เห็นข้าวต้มมัดวางขายกันให้เกลื่อนเลยล่ะ เพราะคนไทยยกให้ข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มผัด เป็นขนมประจำวันเข้าพรรษานั่นเอง
ในสมัยก่อน คนโบราณยกให้ข้าวต้มมัดเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของคนมีคู่ เพราะมีลักษณะการจับขนม 2 ชิ้น มามัดเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง และมีความเชื่อว่า ถ้าหนุ่มสาวคู่ไหนทำบุญวันเข้าพรรษาด้วยข้าวต้มมัด ความรักมักจะดี ชีวิตคู่ครองจะคงอยู่นานตลอดกาล เหมือนกับข้าวต้มมัดที่ผูกกันติดหนึบนั่นเอง คนโบราณผู้มีคู่ก็เลยนิยมทำข้าวต้มมัดไปถวายพระในวันเข้าพรรษานั่นเอง โอ้โห !
อีกหนึ่งตำนานที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า ข้าวต้มมัด เป็นข้าวต้มที่พระอินทร์กับนางสนมกินด้วยกันเมื่อตอนมีความรักให้กัน แต่ต่อมาพระอินทร์เกิดจับได้ว่าานางสนมมีชู้ จึงโกรธและดลบันดาลให้ลูกของนางสนมที่เกิดกับชู้ คลอดออกมาเป็นข้าวต้มมัด เมื่อถึงเวลาที่นางสนมคลอดบุตรอกมา ก็กลายเป็นข้าวต้มมัดจริง ๆ นางสนมก็เกิดความรังเกียจเดียดฉันท์ลูกแท้ ๆ ของตัวเอง เลยนำลงมาทิ้งไว้ที่ป่าในโลกมนุษย์ ตา-ยายคู่หนึ่งเดินเข้ามาในป่าก็มาเจอข้าวต้มมัดที่นางสนมมาทิ้งไว้ ลองแกะกินดูแล้วว่าอร่อย ก็เลยลองทำตามดู แล้วก็นำมาขายจนเป็นที่แพร่หลายมาจนถึงทุกวันนี้นี่เอง
พอได้รู้ถึงเรื่องราวของข้าวต้มมัดกับวันเข้าพรรษไปแล้ว เราก็มาทำความรู้จักขนมชนิดนี้กันให้ลึกกว่าที่เคยรู้กันหน่อยดีกว่า
ข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มผัด เป็นการนำข้าวเหนียวไปผัด หรือกวนกับน้ำกะทิ จากนั้นก็ห่อด้วยใบตองหรือใบมะพร้าวอ่อน สอดไส้กล้วยลงไปด้วย แล้วนำไปนึ่งให้สุก ข้าวต้มมัดมีชื่อเรียกหลากหลายมาก เช่น
"ข้าวต้มมัดไต้" หรือ ขนมมัดไต้ ข้าวต้มมัดใต้ ฯลฯ เป็นชื่อเรียกข้าวต้มมัดของคนภาคใต้ มีเอกลักษณ์โดดเด่นก็คือ การนำข้าวเหนียวไปห่อแล้วมัดให้มีลักษณะเหมือนไต้ที่ใช้จุดไฟ มัดเป็นปล้อง ๆ 4-5 ปล้อง ซึ่งมีขนาดยาวกว่าข้าวต้มมัดทั่วไป ไม่มีไส้ มีรสชาติเค็มที่ทำมาจากส่วน ผสมถั่วทองโขลกกับเครื่อง เช่น รากผักชี กระเทียม และพริกไทย แถมยังใส่หมูและมันหมูลงไปด้วย และยังแยกออกไปอีกด้วยว่า ถ้าห่อด้วยใบกะพ้อ เรียก "ห่อต้ม" แต่ถ้าห่อด้วยใบมะพร้าวและมัดด้วยเชือกเรียกว่า "ห่อมัด"
"ข้าวต้มกล้วย" เป็นชื่อเรียกข้าวต้มมัดของคนภาคอีสาน มี 2 แบบด้วยกันคือ ใช้ข้าวเหนียวดิบปรุงรสด้วยเกลือ ใส่ถั่วลิสงต้มสุก เคล้าให้เข้ากัน นำไปห่อเป็นมัด ใส่ไส้กล้วย แล้วเอาไปต้มให้สุก ส่วนแบบที่ 2 คือ แบบผัด จะผัดข้าวเหนียวกับกะทิ นำไปห่อใส่ไส้กล้วยแล้วต้มให้สุก จะไม่ใส่น้ำตาลลงไปในส่วนผสม แต่จะใช้วิธีนำมาจิ้มกินกับน้ำตาลแทน
"ข้าวต้มหัวหงอก" หรือข้าวต้มมัดของคนภาคเหนือ จะนำข้าวต้มมัดที่สุกแล้วมาหั่นเป็นชิ้น ๆ คลุกกับมะพร้าวขูด แล้วโรยน้ำตาลทราย
"ข้าวต้มญวน" มีลักษณะคล้ายข้าวต้มมัด แต่ห่อให้ใหญ่กว่า นำไปต้ม เวลากินให้หั่นเป็นชิ้น ๆ คลุกกับมะพร้าวขูด เกลือและน้ำตาลทราย
นอกจากนั้นเราอาจจะพบเห็นขนมที่มีรูปร่างหน้าตาคล้าย ๆ ข้าวต้มมัดแบบนี้ได้ที่ต่างประเทศอีกด้วย อย่างในประเทศฟิลิปปินส์ เรียกขนมชนิดนี้ว่า "อีบอส" หรือ "ซูมัน" ซึ่งจะเรียกต่างกันไปตามส่วนผสมที่นำมาทำ ส่วนในประเทศลาว ก็มีข้าวต้มมัดเช่นเดียวกันกับเรา แต่เรียกว่า "เข้าต้ม" มีทั้งแบบไส้เค็มที่ใส่มันหมูกับถั่วเขียว และแบบไส้หวานที่ใส่ไส้กล้วยเหมือนข้าวต้มมัดทั่วไปนั่นเอง
กล้วยบนโลกนี้มีมากมายหลายชนิด แต่มีใครเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมข้าวต้มมัดถึงใช้เฉพาะกล้วยน้ำว้า นั่นก็เพราะว่า คนโบราณใช้ภูมิปัญญาอันหลักแหลม ในการทดลอง ใช้กล้วยอยู่หลายชนิด แต่ผลปรากฎออกมาว่า ต้องกล้วยน้ำว้าเท่านั้น เพราะเป็นกล้วยที่สุกยาก เมื่อนำมานึ่งกับข้าวเหนียวแล้วจะสุกพร้อมกันนั่นเอง แหม่ ไม่ธรรมดาจริง ๆ
แต่ไม่ใช่แค่วันเข้าพรรษาอย่างเดียว ข้าวต้มมัดก็ยังสามารถนำมาทำบุญในวันออกพรรษาก็ได้เช่นเดียวกัน หรือที่เรียกว่า "ข้าวต้มลูกโยน" ที่เรามักจะได้ยินเมื่อถึงวันออกพรรษา มีชื่อเรียกหลายอย่างไม่แพ้ข้าวต้มมัดเลย ทั้งข้าวต้มโยน ข้าวต้มหาง ข้าวต้มลูกโยนซึ่งเป็นอีกหนึ่งผล ผลิตจากข้าวต้มมัด มาจากข้าวเหนียวที่เหลือ ๆ ตอนทำข้าวต้มมัด แต่ไม่มีไส้ มีแต่ข้าวเหนียวอย่างเดียว หรืออาจจะเป็นข้าวเหนียวผสมถั่วดำ แล้วนำไปห่อให้เป็นทรงรีด้วยใบ กะพ้อ หรือใบมะพร้าวให้สวยงาม แต่ไฮไลท์อยู่ที่หางยาว ๆ ที่ใช้ตอกหรือไม้ไผ่เหลาบาง ๆ มัดให้เป็นหาง ผูกเข้าด้วยกันเป็นพวง ๆ แล้วนำไปนึ่ง หรือต้มจนสุกนั่นเอง
สูตรการทำข้าวต้มมัดไส้กล้วย
สิ่งที่ต้องเตรียม
ข้าวเหนียวขาว 500 กรัม
มะพร้าวขูด 500 กรัม
น้ำสำหรับคั้นกะทิ 3 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
กล้วยน้ำว้าสุก ปอกเปลือกผ่าครึ่ง 10 ลูก
ถั่วดำต้มสุก 1 ถ้วย
ใบตองสำหรับห่อขนม
วิธีทำ
1. ซาวข้าวเหนียวให้สะอาด ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ เตรียมไว้
2. คั้นมะพร้าวกับน้ำให้ได้น้ำกะทิ เตรียมไว้
3. ผสมน้ำกะทิ (2 ถ้วย) กับน้ำตาลทราย และเกลือป่นเข้าด้วยกัน คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย กรองเอาเฉพาะน้ำกะทิ เตรียมไว้
4. เทส่วนผสมกะทิใส่หม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ใส่ข้าวเหนียว กวนผสมจนเข้ากัน และส่วนผสมทั้งหมดเริ่มแห้ง ยกลงจากเตา เตรียมไว้
5. เช็ดใบตองให้สะอาด ตักส่วนผสมข้าวเหนียวใส่ ตามด้วยกล้วย และถั่วดำ ห่อขนมให้สวยงาม จากนั้นนำไปนึ่งนานประมาณ 40 นาที นำออกจากชุดนึ่ง พักทิ้งไว้ พร้อมรับประทาน
ทำบุญ เข้าพรรษา จัดอาหารถวายพระ อย่างไรให้ได้บุญ
วันสำคัญทางพุทธศาสนา กำลังเวียนมาอีกครั้ง พุทธศาสนิกชนคงกำลังเตรียมภัตตาหาร เครื่องอัฐบริขาร เพื่อนำไปถวายพระกันอยู่ใช่ไหม แต่ขอถามสักนิดว่า “คุณคิดว่าอาหารที่คุณจะนำไปถวายพระนั้นเหมาะสมหรือไม่” ส่วนใหญ่เรามักจะเลือกอาหารที่ตัวเองชอบ หรือไม่ก็อาหารโปรดของญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ลืมนึกไปว่าพระสงฆ์คือผู้ฉันอาหารที่เรานำไปถวาย ฉะนั้นเพื่อทำบุญให้ได้บุญ เรามาจัดอาหารถวายพระสงฆ์อย่างถูกต้องกันดีกว่า
หลักในการจัดอาหารถวายพระ
สิ่งแรกที่เราควรรู้คือ พระสงฆ์ท่านปฎิบัติธรรมอยู่ในวัด จะมีกิจนิมนต์ข้างนอกบ้าง แต่มิได้ใช้แรงหรือออกกำลังกายมากนัก และญาติโยมใส่บาตรถวายสิ่งใดมา ท่านก็ต้องฉัน เลือกไม่ได้ ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงสูงกับโรคภัยที่เกิดจากจากการฉันอาหาร สำหรับ โรคที่พระสงฆ์อาพาธมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่
1.โรคความดันโลหิตสูง
2.เบาหวาน
3.ถุงลมโป่งพอง
4.โรคกระดูกเสื่อม
5.ข้อเข่าเสื่อม
6.โรคหัวใจและหลอดเลือด
7.โรคไขมันหลอดเลือดสูง
8.โรคฟันผุ, เหงือกอักเสบ
9.โรคเกี่ยวกับตา เช่น ต้อกระจก
10.โรคท้องเสีย
อาหารต้องห้ามถวายต่อพระภิกษุสงฆ์
อาหารต้องห้ามสำหรับพระภิกษุ คือ อาหารที่เป็น อกัปปิยะ ไม่สมควรแก่สมณบริโภคขบฉันได้แก่ เนื้อ 10 ชนิด และอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อ 10 ชนิด คือ
1.เนื้อมนุษย์ รวมทั้งเลือดมนุษย์ด้วย
2.เนื้อช้าง
3.เนื้อม้า
4.เนื้อสุนัข
5.เนื้องู
6.เนื้อราชสีห์ (สิงห์โต)
7.เนื้อเสือโคร่ง
8.เนื้อเสือเหลือง
9.เนื้อหมี
10เนื้อเสือดาว
นอกจากเนื้อสัตว์ 10 ชนิดนี้ จำพวกเนื้อที่ยังไม่ได้ทำให้สุกด้วยไฟ เช่น เนื้อดิบ ปลาดิบ ก็เป็นของต้องห้ามไม่ให้พระภิกษุขบฉันด้วยเช่นกัน (ซูชิปลาดิบ, เนื้อย่างเสือร้องไห้ที่สุกๆ ดิบๆ จำพวกนั้นไม่ได้เด็ดขาด)
เนื้อสัตว์ที่ฆ่าเจาะจง เช่น ฆ่าปลา ฆ่าไก่ เพื่อทำอาหารถวายแก่พระภิกษุสามเณรโดยตรง ซึ่งเรียกว่า “อุทิศสะมังสะ” แปลว่า เนื้อเจาะจง ก็เป็นของห้ามไม่ให้พระภิกษุสามเณรขบฉัน ถ้าพระภิกษุไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่ได้สงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อเป็นอาหารเฉพาะเจาะจงแก่ตน จึงฉันได้
ผลไม้ที่มีเมล็ดอาจเพาะเป็น คือ ผลไม้ที่ใช้เมล็ดปลูกได้ เช่น เงาะ ลำไย เป็นต้น และเง่าที่ปลูกเป็น คือ พวกเผือก มัน แห้ว เป็นต้น อนุญาตให้อนุปสัมบัน คือ บุคคลที่ไม่ใช่พระภิกษุ ได้แก่ สามเณร และคฤหัสถ์ ทำให้เป็นของสมควรแก่สมณะเสียก่อนแล้วฉันได้ ไม่เป็นอาบัติ
อาหารที่ปรุงด้วยสุรา จนมีสี มีกลิ่น หรือ มีรสปรากฏ รู้ได้ว่ามีสุราเจือปน ห้ามไม่ให้พระภิกษุขบฉัน ถ้าไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หรือไม่มีรสปรากฏ ฉันได้ ไม่เป็นอาบัติ
อาหารถวายพระ เข้าพรรษา
อาหารที่สมควรแก่พระภิกษุสงฆ์
เนื้อสัตว์ (นอกจากเนื้อที่ห้าม 10 ชนิดดังกล่าวแล้ว) ทุกชนิด ซึ่งเป็นเนื้อที่เขาฆ่าเพื่อนำมาขายเป็นอาหารคนพื้นเมือง ตามร้านตลาดเรียกว่า “ปะวัตตะมังสะ” แปลว่า เนื้อมีอยู่แล้ว เนื้อที่เป็นไปอยู่ตามปกติที่เขาทำให้สุกด้วยไฟแล้ว อนุญาตให้พระภิกษุฉันได้ ไม่เป็นอาบัติ
สัตว์ที่เขาฆ่าเจาะจงเพื่อทำอาหารถวายแก่พระภิกษุโดยตรง แต่พระภิกษุไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่ได้สงสัยว่าเขาฆ่าเป็นการเฉพาะเจาะจงแก่ตน อนุญาตให้พระภิกษุฉันได้ไม่เป็นอาบัติ
วิธีการจัดภัตตาหารถวายพระสงฆ์
การจัดภัตตาหารถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ ในเวลาเช้านิยมจัดอาหารประเภทอาหารเบา เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก กาแฟ ขนมปัง เป็นต้น เพื่อพระภิกษุจะได้มีโอกาสฉันภัตตาหารเพลได้ดี ทำให้ไม่เกิดความหิวในเวลาเย็นและค่ำคืน
ถ้าจัดภัตตาหารถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ ในเวลาเพลนิยมจัดอาหารประเภทอาหารหนัก โดยมากนิยมจัดอาหารไทย ซึ่งถูกกับรสนิยมของพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นคนไทย และควรเป็นอาหารประเภทพื้นเมืองเป็นหลัก อาจมีอาหารพิเศษแทรกบ้างบางอย่างก็ได้
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่ากิจของสงฆ์นั้นไม่ได้ใช้แรงกำลังมากนัก พูดกันง่ายๆ คือพระท่านจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ดังนั้นอาหารไม่ควรหนักไปทางแป้ง, น้ำตาล, ไขมัน ส่วนข้าว เน้นเป็นข้าวกล้องจะดีที่สุด
ที่มา
https://th.wikipedia.org
https://www.gotoknow.org/posts
เขียนใน GotoKnow
www.sanook.com
https://cooking.kapook.com/
ข้อมูลอ้างอิงจาก https://www.isangate.com
https://food.trueid.net/detail/XKP6NlJ1LQ4
25 มกราคม, 2567
กลองยาว
ประวัติความเป็นมาของกลองยาว
กลองยาว เป็นเครื่องดนตรีของไทยมาแต่โบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ผู้ใดคิด
ประดิษฐ์ขึ้นก่อน แต่ได้กล่าวกันต่อ ๆ มาว่าเป็นกลองที่ได้แบบอย่างมาจากพม่า ในปลายสมัยกรุงธนบุรีหรือ
สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยที่ไทยกับพม่าท าสงครามกัน ในช่วงพักรบ ทหารพม่าก็พากันตีกลองยาว ซึ่งได้นำติดตัวมาเป็นที่สนุกสนาน ชาวไทยได้เห็นแบบอย่างมาเล่นบ้าง แต่บางกระแสกล่าวว่า กลองยาว ของพม่านี้
มีชาวพม่าพวกหนึ่ง นำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีบทร้อง
กราวรำ ยกทัพพม่า ในการแสดงละครเรื่อง พระอภัยมณีตอนสงครามเก้าทัพ บทร้องมีดังนี้
ทุงเล ทุงเล ทีนี้จะเห่พม่าใหม่
ตกเข้ามาเมืองไทย เป็นผู้ใหญ่ตีกลองยาว
ตีว่องตีไวได้จังหวะ ทีนี้จะกะเป็นเพลงกราว
เลื่องชื่อลือฉาว ตีกลองยาวสลัดได
บางท่านกล่าวว่า คำว่า“สลัดได” เป็นชื่อ ชาวพม่าที่เข้ามาสอนการเล่นกลองยาวให้ชาวไทย
มีชื่อว่า “หม่องสลัดได”
ต่อมาคนไทย น ากลองยาวมาเล่นในงานที่มีกระบวนแห่ เช่น บวชนาคและทอดกฐิน เป็นต้น
การเล่นกลองยาว เป็นที่นิยมกันมากในฤดูเทศกาลงานตรุษสงกรานต์และการเล่นกลองยาวได้แพร่หลายไป
แทบทุกหัวเมือง เพราะเล่นง่ายสนุกสนาน วงหนึ่ง ๆ สามารถใช้กลองยาวหลายลูกก็ได้ เครื่องดนตรีประกอบ
จังหวะ ที่ใช้บรรเลงร่วมมี ฉิ่ง ฉาบ กรับ และโหม่ง เรียกการเล่นชนิดว่า “เถิดเทิง”หรือ “เทิ้งบ้องกลองยาว”
ที่เรียก ดังนี้ เข้าใจว่าเรียกตามเสียงที่ตีและตามรูปลักษณะของกลองยาว เมื่อกลองยาวแพร่หลายเข้ามาใน
กรุงเทพมหานคร ปรากฏว่า นักดนตรีที่บรรเลงอยู่ในวงปี่พาทย์ ประกอบการแสดงละคร คณะเจ้าพระยา
มหินทรศักดิ์ธ ารง (เพ็ง เพ็ญกุล) ได้น าวิธีการเล่นกลองยาวมาใช้ในการแสดงละครพันทาง เรื่อง ราชาธิราช
ตอนยกทับพม่า และเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายเพชร พลายบัวออกศึก ในราวปลายสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นอกจากละครพันทางแล้ว ในการแสดงละครอิงประวัติศาสตร์ของ
หลวงวิจิตรวาทการ เรื่อง เจ้าหญิงแสนหวี ที่แสดง ณ โรงละครกรมศิลปากร ในบริเวณพิพิธภัณฑ์สถาน
แห่งชาติ ก็ได้น าเอาลีลาการเล่นกลองยาว มาประกอบเป็นระบ าไว้ในละครเรื่องนี้ด้วย เรียกว่า “ชุดกลองยาว
เขมรัฐ” การเล่นกลองยาว มิได้มีเพียงแต่ในการแสดงละครเท่านั้น ในงานนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ ก็ถือเป็นประเพณี
นิยมที่จัดการเล่นกลองยาวสืบมาจนทุกวันนี้
ส่วนประกอบของกลองยาว
กลองยาว เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี เป็นกลองหน้าเดียว ขึ้นหน้าด้วยหนังวัว โยงสาย
เร่งเสียงด้วยหนังเรียด มีส่วนประกอบ ดังนี้
๑. ตัวกลอง หรือที่เรียกว่า “หุ่นกลอง” นิยมท าด้วยไม้จริง เช่น ไม้ขนุน ไม้มะม่วง
ไม้กระท้อน และไม้จามจุรีเป็นต้น ไม่นิยมใช้ไม้เนื้อแข็งเพราะมีน้ำหนักมาก ไม่สะดวกต่อการสะพายตี ตัวกลอง
ยาวมีด้วยกัน หลายขนาด ตั้งแต่เล็กจนใหญ่ เจาะทะลุเป็นโพงตลอดทั้งลูก ตอนบนตั้งแต่หน้ากลองมาถึง
บริเวณที่เป็นคอคอด มีลักษณะเป็นกระพุ้งอุ้งเสียงทรงกลม บริเวณกระพุ้งนี้จะใช้หนังเรียดโยงหน้ากลองเพื่อ
เร่งเสียง เป็นลักษณะห่าง ๆ โดยรอบกระพุ้ง ตอนกลางถัดจากกระพุ้งลงมาจะค่อย ๆ เรียวคอด ลงไปจนถึง
ปลาย แล้วจึงค่อย ๆ ผายบานเป็นรูปดอกลำโพง
๒. หน้ากลอง ท าจากหนังวัว มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่นิยมใช้ตั้งแต่ประมาณ ๘ - ๑๒ นิ้ว
หน้ากลอง ทายางรัก เป็นวงกลมที่ขอบ และบริเวณกึ่งกลางหน้ากลอง เพื่อเป็นการรักษาหนังบริเวณนั้น เพราะ
เมื่อเวลาเลิกตีจะต้องขูดข้าวสุกออก
๓. ล าโพงกลอง เป็นส่วนประกอบ ในส่วนท้ายของกลอง มีลักษณะบานตรงปลาย คล้ายรูป
ดอกลำโพง จึงเรียกส่วนปลายที่บานนี้ว่า “ลำโพงกลองยาว ”
๔. กระโปรงกลอง เป็นผ้าสีสด หรือผ้าดอกสวยงาม เย็บหุ้มหุ่นกลองยาว ตรงบริเวณกระพุ้ง
กลอง เพื่อมิให้เห็นหนังเรียดและหุ่นกลองบริเวณนี้ บางครั้งมีการตกแต่งด้วยการปล่อยเชิงเป็นระบายต่างสี
๒ – ๓ ชั้น สลับกัน เพื่อให้สวยงามยิ่งขึ้น เรียกผ้าที่หุ้มกลองนี้ว่า“กระโปรงกลองยาว”
๕. สายสะพาย สายสะพายผูกข้างหนึ่งที่หูห่วงริมขอบหน้ากลอง อีกข้างหนึ่งผูกไว้ที่ตอนกลาง
หุ่น กลอง ตรงบริเวณที่เรียวคอด สำหรับใช้คล้องสะพายบ่าเวลายืน
โดยปกติมักจะเรียกขนาดของกลองยาว ตามความกว้างของหน้ากลอง เช่น กลองยาว หน้า ๙
นิ้ว กลองยาวหน้า ๑๐ นิ้ว เป็นต้น ส่วนสูงนั้น ถ้าขนาดหน้า ๘ - ๙ นิ้ว จะสูงประมาณ ๗๐-๗๒ เซนติเมตร
ถ้าขนาดหน้า ๑๐-๑๒ นิ้ว สูงประมาณ ๘๒ เซนติเมตร ก่อนตีกลองยาว ตรงกลางหน้ากลองที่มียางรักทาเป็น
วงกลมเล็ก ๆ นั้น จะต้องติดข้าวสุกบดผสม ขี้เถ้าฟืน เพื่อถ่วงเสียงให้ได้เสียงตามความต้องการของผู้ตี
การนั่งและการจับกลอง การนั่ง โดยปกติจะนั่งขัดสมาธิ วางกลองยาว ในลักษณะเฉียง
ไปข้างซ้ายของล าตัวผู้ตี โดยให้กระพุ้งกลองยาว อยู่บนตักของผู้ตีที่ส่วนบริเวณหางกลองยาว ตั้งแต่ส่วนที่
เรียวคอด ต่อจากกระพุ้งกลองยาว ไปจนถึงบริเวณที่เสียงจะออกไปในส่วนท้ายของกลองยาว ซึ่งเรียกว่า
“ลำโพง” นั้นจะต้องแนบติดกับล าตัวไปด้านหลังของผู้ตี ส่วนมือของผู้ตีจะวางในลักษณะมือซ้ายวางบนกระพุ้ง
กลองยาว โดยครึ่งมือส่วนนอก คือ บริเวณนิ้วทั้งสี่อยู่ตรงหน้ากลองยาว สำหรับครึ่งมือส่วนใน จะวางอยู่บน
กระพุ้งกลองยาว มือซ้ายที่กล่าวนี้โดยทั่วไปจะท าหน้าที่ยืนจังหวะเบาเพื่อให้มือขวาไปเป็นมือขัด เช่น เปิ้งนะ
เปิ้ง เปิ้ง เปิ้งนะ เปิ้ง เปิ้ง เป็นต้น ส่วนการวางมือขวานั้น จะวางในลักษณะครึ่งมือส่วนนอกอยู่ที่หน้ากลองยาว
(อาจจะลึกเข้าไปในครึ่งมือส่วนใน เล็กน้อยก็ได้ตามแต่ถนัด) ครึ่งมือส่วนใน อยู่กระพุ้งกลองยาว ถ้าจะกล่าวให้
เข้าใจเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น คือ เมื่อผู้ตีวางกลองยาวบนตัก มือซ้ายจะอยู่บนมือขวาจะอยู่ล่าง มือขวาที่จะกล่าวนี้
ท าหน้าที่มากกว่ามือซ้าย โดยตียืน จังหวะหลังบ้าง ขัดจังหวะบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับท านองจังหวะกลองยาว
สำหรับผู้ที่ถนัดมือซ้ายให้ทำทุกอย่าง ตรงกันข้ามกับมือขวาทั้งสิ้น
การปฏิบัติกลองยาว
วิธีการตีกลองยาว โดยบังคับมือให้เกิดเสียงต่าง ๆ โดยทั่วไป มี๗ เสียง ดังนี้
๑. เสียง “ป๊ะ” เป็นเสียงกลองยาวที่นิยมใช้ตีสอดแทรกกับเสียงอื่น วิธีการตีใช้ตีด้วยมือขวา
โดยใช้มือขวาตั้งแต่ปลายนิ้วมือทั้ง ๔ นิ้ว ตีกดลงไปบนหน้ากลองตรงส่วนล่างของหน้ากลองยาวบริเวณที่ติด
ข้าวสุกส่วนล่าง จึงเกิดเสียง “ป๊ะ” ได้ในกรณีที่ฝึกหัดตีเสียง “ป๊ะ” ให้ผู้ตีใช้มือซ้ายช่วยอีกมือหนึ่งด้วยคือ
ใช้มือซ้ายตรงปลายนิ้วที่อยู่บนขอบกลอง กดลงบนหน้ากลองส่วนบนเพื่อไม่ให้หนังหน้ากลองสั่นสะเทือน แล้ว
ใช้มือขวาตีเป็นเสียง “ป๊ะ” ก็จะเป็นเสียงที่หนักแน่นเสียงหนึ่ง
๒. เสียง “บ่อม” เป็นเสียงที่มีใช้มากสาหรับการตีกลองยาว และใช้ตีสอดแทรกกับเสียงอื่น
เช่นกัน โดยทั่วไปเสียง “บ่อม”จะใช้ในตอนแรกหลังจากโห่สามลา แล้วโหม่งขึ้นตั้งจังหวะ ต่อจากนั้นจึงตีเป็น
เสียง “บ่อม” ดาเนินจังหวะเป็นทานองกลองยาวทานองแรก ก่อนที่จะตีทานองอื่นต่อไป สาหรับวิธีการบังคับ
มือเพื่อให้เกิดเป็นเสียง “บ่อม” นี้เป็นวิธีค่อนข้างง่าย โดยไม่ต้องใช้ส่วนอื่นๆ ของร่างกายช่วย วิธีง่ายๆ โดยกา
มือขวาตีลงบนหน้ากลอง บริเวณที่ติดข้าวสุกเมื่อตีแล้วให้ผู้ตียกมือขึ้นเล็กน้อยจากหน้ากลอง เพื่อช่วยให้เสียงที่ตีแล้วกังวานขึ้น จึงจะเกิดเป็นเสียง “บ่อม” ที่ต้องการ
๓. เสียง “เปิ้ง” หรือเสียง “เทิ่ง” เป็นเสียงที่เกิดจากการใช้มืออย่างเดียวกัน หรือเสียง
เดียวกัน โดยใช้มือขวาครึ่งมือส่วนนอก (นิ้วทั้งสี่เรียงชิดติดกัน) ตีลงที่มุมของหน้ากลองยาว เมื่อตีแล้วต้องเปิด
มือขึ้นจากหน้ากลองเล็กน้อย จึงเกิดเป็นเสียง “เปิ้ง” เป็นเสียงที่นิยมมากที่สุดในบรรดาเสียงต่างๆ และยังใช้ตี
สอดแทรกสลับกับเสียงอื่น เช่นเดียวกัน เสียงเปิ้ง นี้อาจใช้ในตอนใดตอนหนึ่งก็ได้หลังจาก “บ่อม” ทั้งนี้
แล้วแต่ผู้คุมวงจะประสงค์ให้อยู่ในตอนหนึ่งตอนใด
๔. เสียง “เปิด”หรือที่ได้ยินกันว่า “เถิด” เป็นเสียงที่เกิดจากการบังคับมืออย่างเดียวกัน
นั่นเอง คือใช้มือขวาบริเวณครึ่งมือส่วนนอก (นิ้วทั้งสี่เรียงชิดกัน) ตีลงที่มุมของหน้ากลองยาว วิธีตีเสียง “เปิด”
นี้เมื่อตีแล้วผู้ตีต้องกดปลายนิ้วมือทั้งสี่บนหน้ากลองด้วย จึงเป็นเสียง “เปิด” หรืออีกวิธีหนึ่ง คือ ใช้มือขวาตี
เป็นเสียงอย่างเสียง “เปิ้ง” โดยเปิดมือขึ้นเล็กน้อย ขณะที่มือขวาเปิดมือในระยะเวลาใกล้เคียง มือซ้ายซึ่งวาง
บนขอบ กลองยาวด้านบนต้องรีบปิดมือกดหน้ากลองไว้เสียงที่ตีออกมามักจะเป็นเสียง “เปิด” อนึ่งเสียง
“เปิด” เป็นเสียงที่ออกจะฟังยากสักหน่อยถ้าผู้ฟังไม่สังเกตมือผู้ตีจะไม่สามารถทราบได้ว่า เสียงที่ตีออกมานั้น
เป็นเสียง “เปิด” หรือ “เปิ้ง” กันแน่ นอกจากทั้งสองเสียงนี้มีฐานที่เกิดเสียงอย่างเดียวกัน แต่ผิดกันตรงที่การ
บังคับมือปิดไม่เหมือนกัน อีกทั้งยังเป็นเสียงที่ใช้กันน้อย จึงไม่ค่อยได้ยินกันบ่อย
๕. เสียง “นะ” เป็นเสียงกลองยาวอีกเสียงหนึ่ง คือเสียงที่เกิดขึ้นเบา ๆ จากมือซ้าย ซึ่งดาเนิน
แบบยืนจังหวะเบา ๆ ให้กับมือขวา เสียงที่กล่าวนี้เป็นทานองจังหวะเซิ้งกระติ๊บข้าวที่ใช้เสียง “นะ” ตีแทนเสียง
“ป๊ะ” นั่นเอง จะเห็นได้ว่าเสียง “นะ” เป็นเสียงที่ตกจังหวะตลอด ส่วนเสียง “เปิ้ง” นั้นเป็นเสียงที่ขัดกับเสียง
“นะ” เรื่อยไป วิธีในทางปฏิบัติเมื่อมือขวาตีเป็นเสียง “เปิ้ง” ในจังหวะขัด มือซ้ายก็ตีเป็นเสียง “นะ”เบาๆ
สรุปได้ว่าเสียง “นะ” จะตีเป็นเสียงที่ยืนจังหวะให้กับมือขวาซึ่งตีเสียง “เปิ้ง”
๖. เสียง “เพริ่ง” เป็นเสียงกลองยาวที่ยังนิยมใช้ไม่แพ้กับเสียงอื่น ๆ เช่นกัน ถ้าพิจารณา
ค าว่า “เพริ่ง” โดยเขียนเป็นคาอ่าน คือ “พะ-เริ่ง” ซึ่งเป็นคาควบกล้าด้วย ร ฉะนั้นเสียงกลองที่ตีเป็นเสียง
“เพริ่ง”นี้คือ ใช้ทั้งมือขวาและมือซ้ายตีด้วยเสียงที่มีน้าหนักเท่ากัน อาจใช้มือขวาตีก่อนแล้วตามด้วยมือซ้าย
หรือจะใช้มือซ้ายแล้วตามด้วยมือขวาก็ได้แต่ที่ถูกจะต้องตีด้วยมือซ้ายก่อน แล้วจึงตามด้วยมือขวา และใช้ตีมือ
ละครั้ง ในลักษณะตีเปิดมือแบบเสียง “เปิ้ง” และต้องตีในเวลาอันกระชั้นที่สุด แต่ไม่ถึงกับตีพร้อมกันทั้งสองมือ
เพียงแต่ตีให้เกิดเป็นเสียงเดียวกันสองครั้งในจังหวะอันเดียวกัน
๗. เสียง “พรู” เป็นเสียงกลองยาวที่ขาดไม่ได้เป็นเสียงที่มีมาช้านาน ซึ่งการละเล่นกลองยาว
วงหนึ่งๆ นั้น จะต้องขึ้นต้นเสียงโห่สามลา แต่ละลาก็ต้องรับท้ายจากโห่เสร็จว่า “ฮิ้ว” พร้อมกับตีกลองยาวเป็น
เสียง “พรู” และเมื่อครบสามลาแล้ว โหม่งจึงขึ้นตั้งจังหวะ แล้วตามด้วยเสียงกลองยาวในทานองจังหวะต่างๆ
ทั้งนี้แล้วแต่ผู้ควบคุมวงจะใช้ทานองจังหวะใดๆ บ้าง วิธีตีเสียงพรูนี้จะใช้มือซ้ายและมือขวา ตีด้วยเสียงเท่ากัน
(มือไหนก่อนก็ได้) ตีในลักษณะ “รัว” คือการตีสองมือสลับกันถี่ๆ จะสั้นหรือยาวทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
ของคาว่า “ฮิ้ว” เมื่อตีแล้วเสียงออกมาจะเกิดเป็นเสียง “พรู”
เสียงกลองยาวและวิธีในการปฏิบัติที่กล่าวข้างต้น เป็นที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป เห็นได้ว่าเสียง
กลองยาวทุกๆ เสียงล้วนมีความสัมพันธ์กันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียง ป๊ะ - เปิ้ง , เปิ้ง -บ่อม หรือ ป๊ะ – เปิด
เปิ้ง เสียงเหล่านี้จะสลับและสอดแทรกกันไป เป็นท านองกลองยาวในลักษณะต่างๆ กัน เสียงทั้งหมดที่กล่าว
มาแล้ว สามารถไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมีระเบียบแบบแผนต่อไป
การประสมวงรูปแบบกลองยาวทั่ว ๆ ไปของภาคกลาง ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี ดังนี้
1. กลองยาว 10 ใบ
2. โหม่ง 1 ใบ
3. ฉิ่ง 1 คู่
4. ฉาบเล็ก 1 คู่
5. ฉาบใหญ่ 1 คู่
6. กรับไม้ 1 คู่
กลองยาว เป็นกลองยาวทรงกลม เจาะทะลุเป็นโพรงตลอดทั้งลูก ตอนบนตั้งแต่หน้ากลองลง
มาจนถึงคอคอด เป็นกระพุงอุ้งเสียงทรงกลม บริเวณกระพุงนี้จะใช้หนังเรียดโยงข้างกลอง เพื่อเร่งเสียงเป็น
ลักษณะห่วงโดยรอบกระพุง ตอนกลางตัดจากกระพุงลงมาจะค่อยๆ เรียวลงไปจนถึงตอนปลายแล้วจึงค่อยๆ
บานออกเป็นรูปดอกลำโพง โดยปกติหุ่นกลองยาวตรงบริเวณกระพุง วงกลองยาวของโรงเรียนได้ตกแต่งด้วยสี
ส้มเขียวสะท้อนแสง โดยใช้วิธีการเย็บเป็นกระโปรงหุ้ม เพื่อมิให้สังเกตเห็นหนังเรียด บริเวณหุ่นกลอง บางครั้ง
จะตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้ที่มีความสวยงามใช้สำหรับเป็นกลองรำ
ฉิ่ง เป็นเครื่องดนตรีที่ทำด้วยโลหะ มีการใช้เล่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่
สมั ย สุโขทัย ฉิ่งเป็น เครื่องดนตรีที่ สำคัญ ที่ สุ ดใน การ ควบ คุ ม จังห ว ะ มี รูป ร่างลักษณะคล้าย
ถ้วยชา หรือคล้ายฝาขนมครกที่ไม่มีที่จับ ฉิ่งหนึ่งคู่จะมี ๒ ฝา มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๖ – ๖.๕
เซนติเมตร เจาะรูตรงกลางสำหรับร้อยเชือกเพื่อความสะดวกในการเล่น ที่เรียกว่าฉิ่งคงจะเรียกตามเสียงที่ได้
ยินเมื่อตีแล้วกระทบกันหมิ่นๆ จะมีเสียง “ฉิ่ง” ถ้าฝา ๒ ฝาตีกระทบกันจะมีเสียง “ฉับ” สำหรับฉิ่งที่ใช้ในวง
กลองยาวพื้นเมืองโรงเรียนชลราษฎรอำรุง ๒ บริเวณตรงกลางฉิ่งที่ร้อยเชือกจะมีการผูกริบบิ้นลงไปด้วยเพื่อ
ความสวยงามในขณะทำการแสดง
ฉาบใหญ่ และฉาบเล็ก ฉาบเป็นเครื่องดนตรีที่ท าด้วยโลหะชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายฉิ่ง แต่มี
ขนาดใหญ่กว่า และบางกว่า ใช้ตีกระทบกันให้เกิดเสียงตามจังหวะที่ต้องการ
กรับไม้ กรับเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะทำด้วยไม้
ฆ้องโหม่ง เป็นเครื่องตีประกอบจังหวะที่ท าด้วยโลหะ มีลักษณะเป็นวงกลมตรงกลางที่นูน
ออก เรียกว่า “ฉัตร” ผู้ตีจะใช้ไม้ตีลงบริเวณฉัตร จะมีเสียง โม้ง โม้ง โดยตีตามจังหวะตกของเสียง “ฉับ” ซึ่ง
เป็นเสียงของการตีฉิ่ง ฆ้องโหม่ง ทำหน้าที่ควบคุมจังหวะตีกลองทุกใบไปพร้อม ๆ กับ ฉิ่ง ฉาบ และกรับ
การเล่นทับยาวมีการรวบรวมจังหวะในการตีจำนวน 12 จังหวะ คือ
1. จังหวะลงโรง เพื่อบ่งบอกว่าเราพร้อมแล้ว ที่จะเล่นหรือเป็นการปลุกใจผู้ชมให้เกิดความรื่นเริงเกิดความชอบเพื่อที่จะเรียกเข้ามาดู
2. จังหวะเชิด คือจังหวะไหว้ครู จังหวะเชิดนั้นจะนำมาใช้ในพิธีกรรมมากมายอย่างเช่น พิธีเวียนเทียน พิธีทำขวัญนาค พิธีมงคลต่างๆ
3. จังหวะเทิง ม้อง เป็นจังหวะที่มีการใช้ท่ารำประกอบ
4. จังหวะสามม้อง เป็นการร่ายจังหวะที่ใช้ลีลาในการเล่นคือ ใช้หมัด เข่า ศอกเพื่อปลุกใจผู้ชมให้เกิดความฮึกเหิมในการร่ายรำทับยาว
5. จังหวะเพลงทับ เป็นการเล่นเพื่อการไล่กระบวนการของท่าที่เรียกว่า การเล่นนิ้ว
6. จังหวะโทน เป็นจังหวะที่มโนราห์ใช้เล่นจังหวะเทงตุ้ง ใช้ในการร่ายท่า ร่ายเสียงของทับคล้ายๆดนตรีสากลแต่เสียงของทับยาวจะต้องมีเสียงปั๊บ เสียงตุ้ง เสียงม้อง
7. จังหวะเพลงเดิน ซึ่งในปัจจุบันจะนำมาเล่นเป็นเพลงแห่ซึ่งลักษณะของเพลงเดินในการตีทับยาวจะมีอยู่3-4ชั้น และจะต้องใช้ลูกคู่ให้มีความพร้อม
8. จังหวะรำวง ปัจจุบันจะตีกันง่ายๆ คือปั๊บ ทึง ทึง
9. จังหวะสิงโต เล่นคล้ายกับจังหวะของภาคกลางแต่ต้องตีให้เข้ากับเสียงโหม่งเป็นหลัก
10. จังหวะ 7 ชั้น คือเพลงเซิ้ง ทางภาคใต้เรียกว่าเซิ้งนอก เซิ้งใน
11. จังหวะสิงโตคำราม หรือจังหวะหยอก หรือเรียกอีกแบบว่าจังหวะยกไม้ส่งนาง ถ้าหัวหน้ามีปฏิภาณไหวพริบเราสามารถเลือกจังหวะใดจังหวะหนึ่งก็ได้
12. จังหวะพระรามเดินดง เป็นเซิ้งธรรมดา
ส่วนประกอบของทับยาว
ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
1. หน้าทับ
2. ส่วนที่เป็นไม้เรียกว่า หม้อทับยาว
3. คอ เรียกว่า ลำเคียน
4. ส่วนท้ายเรียกว่าปากทับยาวหรือลำโพง
ทับยาวเป็นเครื่องดนตรีของชาวภาคใต้ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ตัวกลองทําด้วยไม้จริง นิยมใช้ไม้ขนุน
เนื่องจากมีน้ำหนักเบา ตัวไม้มีความยาวประมาณ 16 - 17 นิ้ว หน้าทับกว้างประมาณ 6 - 12 นิ้ว ส่วนท้ายกลองกว้างประมาณ 3 - 4 นิ้ว ขยายออกเหมือนถ้วยแก้ว เพื่อใช้ในการตั้งพื้นได้ ขึ้นหนังหน้าเดียวด้วยหนังวัวหรือหนังแพะ เหนือบริเวณขึ้นมามีร่องสําหรับฝังขดลวดขนาดใหญ่ไว้เป็นที่รับและร้อยเชือกหนังที่ดึงหน้ากลองให้ตึงลงมา ลักษณะการตีทับยาวคล้ายการตีกลองยาวเชื่อกันว่าการนําทับยาวมาแข่งขันกับกลองยาว ความดังจะแตกต่างกันอย่างมาก ใช้กลองยาว 10 ใบ เท่ากับใช้ทับยาว 3 - 4 ลูก ทับยาวมีสองกลุ่มเสียงคือเสียงเอกและเสียงทุ้ม เสียงเอก คือ ทับยาวใบที่มีเสียงสูง เป็นลูกต้นในการเปลี่ยนทํานองเพลงและเสียงทุ้ม คือ ทับยาวใบที่มีเสียงต่ำ เป็นลูกทับยาวที่ทําให้เกิดเสียงกังวาน เสียงของทับยาวนิยมบรรเลงกัน 2 เสียง ได้แก่ เสียงฉับและเสียงครึม
ท่ารำและเพลงประกอบ
ท่ารำที่มาประกอบในจังหวะในการเล่นทับยาวเรียกว่า แม่ท่า แม่ท่า คือ ท่ารำประกอบจนเกิดความชื่นชอบ การรําประกอบทับอาศัยพื้นฐานจากท่วงท่าในยุคเปลี่ยนแปลง มีการเคลื่อนไหวแปรขบวนสอดรับกับจังหวะและทํานอง มือตีทับยาวมีการต่อตัวหลายรูปแบบ มีการคาบทับเพื่อแสดงความสามารถ มีลีลาท่าทางที่ดึงดูดความ สนใจให้กับผู้ชม
เพลงที่ใช้ประกอบการตีทับยาว ในการบรรเลงเพลงทับยาวนั้นมีกระบวนการบรรเลงโดยแบ่ง
ลักษณะการบรรเลงทับยาวออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1. การบรรเลงทับยาวเดินขบวน
2. การบรรเลงทับยาวในการประโคม
3. การบรรเลงทับยาวเพื่อการแข่งขัน การบรรเลงทั้ง 3 ลักษณะการบรรเลงที่คล้ายคลึงกันโดยมี กระบวนการบรรเลงดังต่อไปนี้
1) การโหมโรงไหว้ครู
2) เพลงทับ
3) เพลงตามความเหมาะสมของงาน
4) บากลงจบ
แบบเก็บข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น “กลองยาวเมืองคอน”
ชื่อคณะกลองยาว ชื่อ-สกุล วันเกิด ที่อยู่ เบอร์โทร
ลุงบ่าว เมืองคอน นาย ชัยศักดิ์ คงรอด 11 ส.ค.2519 116/3 ม.3 ต.ปากพนัง ฝั่งตะวันตก อ.ปากพนัง จ.นครฯ 80140
ลุงบ่าว เมืองคอน นายแสง สีคราม 24ก.ค.2501 154หมู่7ต.คลองน้อย อ.
ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช80140
ลุงบ่าว เมืองคอน นายสันติ ภูมิธร 11 ม.ค. 2511 130/7 ม. 5 ต.ไชยมนตรี อ.เมือง จ.นครฯ 80000
โทร063-7251159
ลุงบ่าว เมืองคอน นางทรสุดา ศรีมณี 30 ก.ค. 2515 118/1 ม. 5 ต.ไชยมนตรี อ.เมือง จ.นครฯ 80000
โทร080-8091259
ลุงบ่าว เมืองคอน นายกวิโรจน์ แก้ว 94หมู่14ต.คลองน้อย อ.
ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช80140
ลุงบ่าว เมืองคอน นายบุญฤทธิ์ หีบเพ็ชร 12 มิ.ย.2503 อ.ปากพนัง จ.นครฯ801400 โทร 80-4873776
ลุงบ่าว เมืองคอน นายอดิศักดิ์ ราชวัตร 13 พ.ย.2518 2168/15 ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครฯ 80000 โทร 063-8989405
ลุงบ่าว เมืองคอน นางสาวนฤมล ฟองเกิด 24 พ.ย.46 55 ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครฯ 80000 โทร 080-5571525
เอราวัณ นายอรุณ แสวงบุญ 27 ส.ค.2504 134/4 ม.5 ต.ช้างซ้าย อ.
พระพรหม จ.นครฯ โทร063-8989405
เอราวัณ นายสนิท ญาตินิยม 19 ก.ย.2503 26/1 ม.5 ต.ช้างซ้าย อ.
พระพรหม จ.นครฯ 061-0944617
เอราวัณ นายสุวรรณ์ สุขศรี 23 ก.ค.2505 95/1 ม.13 ต.ช้างซ้าย อ.
พระพรหม จ.นครฯ 087-2788317
ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช
ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช
ความเป็นมาประเพณีการแห่ผ้าขึ้นธาตุ
ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นงานประเพณีที่เก่าแก่และสำคัญของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช เท่านั้น ประเพณีนี้ไม่มีปฏิบัติกันที่ใดในประเทศไทย นอกจากเมืองนครเท่านั้น เป็นประเพณีที่ชาวนครได้ร่วมมือร่วมใจกันบริจาคเงินทองตามกำลังศรัทธา นำเงินที่ได้จากการบริจาคนั้นไปซื้อผ้ามาเย็บต่อกันเข้าให้เป็นแถบยาวนับพันหลา แล้วพากันแห่งผ้าดังกล่าวไปยังวัดพระมหาธาตุวรวิหาร เพื่อนำแถบผ้านั้นไปพันโอบรอบฐานองค์พระบรมธาตุเจดีย์ อันเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
สมัยก่อนพุทธกาล ชาวอินเดียส่วนใหญ่มีความเชื่อในสิ่งลี้ลับอยู่มาก โดยเฉพาะในศาสนาพราหมณ์นั้นเชื่อเทพเจ้าทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง จึงเชื่อว่าทุกสิ่งที่อย่างเทพเจ้าเป็นผู้สร้างและผู้ทำลาย เทพเจ้าจึงมีความสำคัญแก่ชีวิตพรามณ์เป็นที่สุด การกระทำทุกอย่างของพราหมณ์จึงคำนึงถึงเทพเจ้าก่อนสิ่งอื่นใด เพราะเชื่อว่าหากการกระทำใดไม่ถูกอัธยาศัยของเทพเจ้าจะนำมาซึ่งวิบัติได้ ดังนั้นการกระทำที่ดีที่สุดเพื่อให้ถูกใจเทพเจ้า คือการเซ่นบวงสรวงกราบไหว้ การเซ่นบูชากราบไหว้จึงกลายเป็นวัตรที่ต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
ครั้นถึงสมัยพุทธกาล คำสอนของพระพุทธองค์ที่มุ่งจะทำลายความเชื่ออันไม่เป็นสรณะ การทำลายการเซ่นสรวงเหล่านั้นไม่ได้โดยเด็ดขาดทันทีทันใด เพราะชาวพุทธส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน ดังนั้นความเชื่อเก่า ๆ ที่ตนเคยปฏิบัติอยู่จึงยากแก่การสลัดทิ้งไป การเซ่นบวงสรวงที่ตนเคยปฏิบัติมาก่อนจึงยังคงปฏิบัติต่อไป อย่างการบูชาเทพเจ้าต้นไม้ (รุกขเทวดา) เพื่อให้ประทานโชคลาภ ความสงบสุข ประทานบุตร และพืชผลแก่ตน โดยการกราบไหว้และการหาผ้าแพรพรรณมาพันรอบต้นไม้ก็ยังปฏิบัติสืบต่อกันมา
จากการปฏิบัติของชาวพุทธที่เคยเป็นพราหมณ์มาก่อน เป็นผลสืบเนื่องมาถึงชาวพุทธสมัยหลัง ๆ ดังจะเห็นได้จากชาวพุทธสมัยหลัง ๆ นิยมปฏิบัติตามประเพณีและความเชื่อเดิม ชาวพุทธบางคนไม่อาจะแยกได้ว่าประเพณีใดเป็นของศาสนาพราหมณ์ ประเพณีใดเป็นของศาสนาพุทธ เป็นอันว่าประเพณีของศาสนาพราหมณ์ก็เข้ามาปะปนในศาสนาพุทธมากมาย
การแห่ผ้าขึ้นธาตุของชาวนครก็คงเกิดขึ้นด้วยเหตุผลนี้เช่นกัน เพราะเมื่อชาวนครรับพุทธศาสนามาจากอินเดียก็รับเอาประเพณีต่าง ๆ ตามแบบของชาวพุทธในอินเดียเข้ามาด้วย และเราก็ยึดถือกันว่าหากจะทำบุญหรือกราบไหว้บูชาให้ได้กุศลจริง ๆ ก็ต้องปฏิบัติเฉพาะพระพักตร์พระพุทธองค์เท่านั้น เมื่อพระพุทธองค์เสด็จสู่ปรินิพพานแล้วก็อาจยังมีตัวแทนอยู่ เช่น เจดีย์ และพระพุทธรูป เป็นต้น การกราบไหว้บูชาสิ่งเหล่านี้ก็เท่ากับกราบไหว้บูชาพระพุทธองค์ด้วย การที่ชาวนครนำเอาผ้าไปบูชาพระบรมธาตุเจดีย์ โดยการโอบรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ก็คือการบูชาที่สนิทแนบกับองค์พระพุทธองค์นั่นเอง (วิเชียร ณ นคร และคณะ, 2521)
จุดเริ่มต้นของ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ สันนิษฐานได้ว่าเป็นประเพณีที่มีมานานจนยากที่จะยืนยันได้แน่ชัดว่า จะทำกันมาตั้งแต่ครั้งใดนั้น ไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ปรากฏว่าในรัชกาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้น ได้กระทำกันในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ อันเป็นวันวิสาขบูชาอยู่แล้วทุกปี และต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้กำหนดประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุเพิ่มเป็น ๒ วัน คือนอกจากวันวิสาขบูชาแล้ว ยังทําเพิ่มในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ซึ่งเป็นวันมาฆบูชาอีกวันหนึ่ง และได้ถือปฏิบัติสืบมาจนทุกวันนี้ (นครศรีธรรมราช, ๒๕๓๗, น. ๑๕๕-๑๕๖)
อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับประเพณีนี้ว่า ในสมัยโบราณประมาณปี พ.ศ. ๑๓๓๓ ขณะที่กษัตริย์สามพี่น้อง คือพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระเจ้าจันทรภานุ และพระเจ้าพงษาสุระ กำลังเตรียมประกอบพิธีวิสาขะสมโภชพระบรมธาตุเจดีย์หลังจากที่พระองค์ได้บูรณะแล้วเสร็จ เมื่อปีพุทธศักราช ๑๗๗๓ ซึ่งไม่กี่วันก่อนจะเริ่มพิธีสมโภชพระบรมธาตุเจดีย์ ชาวปากพนัง ได้เก็บ ผ้า “พระบฏ” ที่มีคลื่นซัดมาเกยชายหาด ซึ่งมีลักษณะเป็นผ้าแถบเขียนลวดลายเขียนพุทธประวัติ ผ้ายาวประมาณ ๑,๐๐๐ หลา นำมาทูลเกล้าถวายพระเจ้าศรีธรรมโศกราช เมื่อเจ้าพนักงานทำความสะอาดแล้วเสร็จปรากฏว่าลายเขียนนั้นก็ไม่เลือนหายไป ซักเสร็จจึงผึ่งไว้ในพระราชวัง และประกาศหาเจ้าของจนได้ความว่า พระบฏเป็นของพุทธศาสนิกชนคณะหนึ่งที่แล่นเรือมาจาก เมืองหงสาวดี โดยมี “ผขาวอริพงษ์” เป็นหัวหน้าคณะนำพระบฏไปบูชาพระพุทธบาทที่ลังกา แต่ถูกมรสุมพัดจนเรือแตกเสียก่อน พุทธศาสนิกชนกลุ่มนั้นมีราว ๑๐๐ คน รอดเพียง ๑๐ คน ยินดีถวายผ้าพระบฏให้พระเจ้าศรีธรรมโศกราชจึงโปรดให้ชาวเมืองจัดเครื่องประโคมแห่แหนและนำขึ้นห่มโอบฐานพระบรมธาตุเจดีย์ ในคราวเดียวกับการสมโภชพระบรมธาตุเจดีย์ และได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาจวบจนถึงปัจจุบัน
ทุกปีของวันมาฆบูชา ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ และในปีอธิกมาสวันมาฆบูชาจะตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ พุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้พร้อมในกันประกอบศาสนพิธีขึ้นในวันดังกล่าว โดยนำผ้าแถบสีต่าง ๆ เช่น สีขาว สีเหลือง สีแดง เป็นต้น อีกทั้ง ผ้าสีขาวที่ภาพวาดพุทธประวัติ ซึ่งเรียกว่าผ้าพระบฏ ขึ้นนำห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประจำทุกปี เรียกประเพณีนี้ว่า “ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ”
ตำนานพระมหาธาตุเมืองนครฯ
การเรียกชื่อเจดีย์ของวัดมหาธาตุนั้นมีหลายชื่อ ในบทความนี้จะขอใช้คำว่า “พระมหาธาตุ” โดยพระมหาธาตุเป็นพุทธศาสนโบราณสถานสำคัญของไทย เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงสุดของชาวนครฯ ไม่ปรากฏหลักฐานการก่อสร้างที่แน่ชัด แต่มีตำนานกล่าวว่า พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาสู่หาดทรายแก้ว เมื่อประมาณ พ.ศ. 834 นางเหมชาลาและพระธนกุมารจึงได้สร้างพระมหาธาตุเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระมหาธาตุมีสถาปัตยกรรมดั้งเดิมเป็นแบบใด แต่พระมหาธาตุได้รับการก่อสร้างตกแต่งเพิ่มเติมอยู่เสมอ ในราวพุทธศตวรรษที่ 13 ตรงกับสมัยอาณาจักรตามพรลิงค์ เมืองนครฯ ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายมหายาน จึงสันนิษฐานว่าพระมหาธาตุอาจมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัย
ต่อมา ราวพุทธศตวรรษที่ 17 ในสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ปฐมวงศ์ศรีธรรมโศกราช ได้นิมนต์คณะสงฆ์จากลังกามายังเมืองนครฯ และได้สถาปนาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ขึ้น จากนั้นจึงได้ช่วยกันบูรณะปฏิสังขรพระมหาธาตุ โดยสร้างสถูปลังกาครอบพระมหาธาตุองค์เดิม เป็นสถาปัตยกรรมแบบลังกาทรงโอคว่ำ ปากของระฆังติดกับพื้นกำแพงแก้ว ที่มุมกำแพงแก้วมีพระมหาธาตุจำลองประดิษฐานทั้งสี่มุม
ตำนานการแห่ผ้าพระบฏ
จากบทความ “แห่ผ้าขึ้นธาตุ มรดกจากราชวงศ์ศรีธรรมโศกราช” อธิบายตำนานที่มาของการแห่ผ้าขึ้นธาตุว่า ไม่กี่วันก่อนจะเริ่มพิธีสมโภชพระมหาธาตุ ผ้าขาวผืนหนึ่งที่มีลายเขียนพุทธประวัติ เรียกกันว่า “พระบฏ” หรือ “พระบฏ” ถูกคลื่นซัดขึ้นที่หาดปากพนัง ชาวบ้านจึงนำผ้าผืนนั้นถวายพระเจ้าศรีธรรมโศกราช
เมื่อเจ้าพนักงานทำความสะอาดแล้วเสร็จปรากฏว่าลายเขียนนั้นก็ไม่เลือนหายไป ซักเสร็จจึงผึ่งไว้ในพระราชวัง และประกาศหาเจ้าของจนได้ความว่า พระบฏเป็นของพุทธศาสนิกชนคณะหนึ่งที่แล่นเรือมาจากเมืองหงสาวดี มี “ผขาวอริพงษ์” เป็นหัวหน้าคณะจะนำพระบฏไปบูชาพระพุทธบาทที่ลังกา แต่ถูกมรสุมพัดจนเรือแตกเสียก่อน
พุทธศาสนิกชนกลุ่มนั้นมีราว 100 คน รอดเพียง 10 คน ผขาวอริพงษ์ที่รอดชีวิตมาด้วยก็ยินดีถวายผ้าพระบฏให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช พระเจ้าศรีธรรมโศกราชจึงโปรดให้ชาวเมืองจัดเครื่องประโคมแห่แหนขึ้นห่มพระมหาธาตุ ในคราวเดียวกับการสมโภชพระมหาธาตุนั้นเอง
อย่างไรก็ตาม จากหนังสือ “สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้” อธิบายตำนานเรื่องนี้ต่างออกไปเล็กน้อย กล่าวคือ คณะพุทธศาสนิกชนล่องเรือมาจากเมืองอินทรปัต ซึ่งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงฝั่งเขมร จะนำพระบฏไปถวายเป็นพุทธบูชาพระทันตธาตุหรือพระเขี้ยวแก้วที่ลังกา และเข้ามาเมืองนครศรีธรรมราชในรัชสมัยพระเจ้าจันทรภาณุ ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ส่วนหัวหน้าคณะพุทธศาสนิกชนนั้นไม่ปรากฏชื่อแต่เสียชีวิตไปเนื่องจากจมน้ำ
แม้ตำนานจากทั้งสองแหล่งที่มาจะเล่ารายละเอียดแตกต่างต่างกัน แต่เล่าเรื่องราวไปในทิศทางเดียวกันคือ เรือของพุทธศาสนิกชนคณะหนึ่งที่กำลังจะไปลังกาเกิดเหตุเรือแตกกลางทะเล แล้วคลื่นได้ซัดผ้าพระบฏมาขึ้นที่ชายหาด ก่อนจะนำผ้าพระบฏไปห่มพระมหาธาตุในการสมโภชพระมหาธาตุเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
การแห่ผ้าขึ้นธาตุในสมัยรัตนโกสินทร์
ในอดีตการแห่ผ้าขึ้นธาตุนั้นไม่ปรากฏว่ามีกำหนดวันตายตัวว่าแต่ละปีจะต้องทำวันใด อาจจะกำหนดตามฤกษ์สะดวก แต่การแห่ผ้าขึ้นธาตุมักจัดในงานสมโพสพระมหาธาตุ กำหนดการแห่ผ้าขึ้นธาตุจึงขึ้นอยู่กับงานสมโพสและจัดไม่แน่นอนในแต่ละปี
กระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ปรากฏว่าได้ทำการแห่ผ้าขึ้นธาตุในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือวันวิสาขบูชา ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีพระราชประสงค์ให้พุทธศาสนิกชนจัดพิธีทางพุทธศาสนาเพิ่มอีกวันหนึ่ง ดังนั้น ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 หรือวันมาฆบูชา จึงได้มีการแห่ผ้าขึ้นธาตุเพิ่มอีกวันหนึ่งด้วย
การแห่ผ้าขึ้นธาตุจึงมักจัดขึ้นในงานสมโภชน์พระมหาธาตุหรืองานพิธีสำคัญทางพระพุทธศาสนา แต่ก็เคยมีการแห่ผ้าขึ้นธาตุในคราวพิเศษ คือในคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯประพาสแหลมมลายู พ.ศ. 2448 พระองค์ขึ้นไปห่มผ้าพระมหาธาตุ ดังพระราชหัตถเลขา ความว่า “วันที่ 5 ก.ค. เวลาเช้าไม่ได้ไปแห่งใด เพราะเหนื่อยและนอนน้อย เวลาบ่ายผ้าห่มพระบรมธาตุตามเคย แต่หาผ้าแดงไม่ได้ ซื้อทำธงรับเสด็จกันหมดเมือง จึงต้องใช้สีชมพู เข้าไปที่วิหารพระม้า ถ่ายรูปที่นั่นและทับเกษตร แล้วไปดูละครทรัพย์ ภรรยาพระศิริรักษ์ที่พลับพลา”
ปัจจุบันผ้าพระบฏที่เขียนภาพพุทธประวัติ (อาจมีการประดับด้วยสิ่งของต่าง ๆ เช่น ลูกปัด แพรพรรณ และดอกไม้) เป็นสิ่งหายากมากขึ้นเพราะขาดช่างผู้ชำนาญ ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปจึงเน้นความสะดวกและเรียบง่าย ขณะที่ผ้าห่มพระธาตุก็มีหลากสีมากกว่าสมัยก่อนที่นิยมสีขาว สีแดง และสีเหลือง
ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุเป็นประเพณีสำคัญของชาวนครฯ และเป็นประเพณีที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ นับเป็นประเพณีที่รวมเอาศรัทธาด้วยความบริสุทธิ์ใจของชาวพุทธเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงต่อไป
ในปัจจุบัน การแห่ผ้าขึ้นธาตุ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดไปจากเดิมมาก แต่เดิมมานั้น พระบตมีช่างผู้ชำนาญเขียนภาพสีส่วนใหญ่เกี่ยวกับพุทธประวัติ ประดับด้วยลูกปัดสีต่าง ๆ แพรพรรณและดอกไม้ที่แถบขอบผ้าโดยตลอดทั้งผืน แต่ปัจจุบันอาจะเป็นเพราะสภาพสังคมสับสน หาเวลาว่างไม่ค่อยได้ หรืออาจจะเพราะไม่มีช่างผู้ชำนาญก็เป็นไปได้ จึงทำให้การประดับประดาและเขียนภาพที่พระบตสูญหายไป ผ้าที่นิยมใช้กันจึงเป็นผ้าสี่เหลี่ยม เช่น สีเหลือง สีขาว สีแดง ภัตตาหารและเครื่องบริโภคและอุปโภค ที่เคยจัดไปถวายพระในว้นแห่ผ้าขึ้นธาตุแต่เดิมไม่มีแล้ว เดิมการแห่ผ้าขึ้นธาตุกระทำกันโดยพร้อมเพรียงกันเป็นขบวนเอิกเกริกเพียงขบวนเดียว แต่ต่อมาอาจเป็นเพราะประชาขนมาจากหลายทิศทาง แต่ละคนต่างเตรียมผ้ามาเอง ทำให้การแห่ผ้าขึ้นธาตุไม่พร้อมเพรียงเป็นขบวนเดียว เป็นต้น (วิเชียร ณ นคร และคณะ, ๒๕๒๑) การจัดเตรียมผ้า ชาวบ้านอาจะจัดเตรียมมาเอง หรือ สามารถมาทอนผ้าที่ทางวัดเตรียมไว้ โดยร่วมบริจาคค่าผ้าทำบุญตามกำลังศรัทธา แล้วนำผ้าเดินทักษิณาวรรตรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ๓ รอบ เมื่อครบนำผ้าเข้าสู่พระวิหารมหาภิเนษกรมณ์ หรือวิหารพระทรงม้า ทางขึ้นลานภายในกำแพงแก้วล้อมฐานพระบรมธาตุเจดีย์ อยู่ในวิหารนี้ เจ้าหน้าที่ของวัดจะยอมให้ผู้อาวุโสในขบวนเพียง ๒-๓ คน เท่านั้นสมทบกับคนงานนำผ้าไปพันโอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ที่ไม่สามารถขึ้นไปบนกำแพงแก้วได้หมดทั้งขบวนเพราะทางวัดได้กำหนดให้ลานภายในกำแพงแก้วเป็นเขตหวงห้าม ยกเว้นการนำผ้าพระบฏขึ้นบูชาองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าใต้ลานกำแพงแก้วในฐานพระบรมธาตุเจดีย์มีพระบรมสาริกธาตุประดิษฐานอยู่ หากขึ้นไปเดินบนลานจะไม่เป็นการสมควร
ซึ่งในแต่ละปีจะมีพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศได้เดินทางมายังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้ามืดถึงค่ำคืน เพื่อร่วมสืบสานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ
ผ้าพระบฏเพื่อใช้ห่มบูชาพระบรมธาตุเจดีย์
ผ้า “พระบฏ” ความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๔ เป็นคำนาม หมายถึง ผืนผ้าที่มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นและแขวนไว้เพื่อบูชา ผ้าพระบฏพระราชทาน ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวนครเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผ้าผ้าพระบฏพระราชทานผืนแรก ได้รับพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ ในงานแห่ผ้าขึ้นธาตุประจำปี ๒๕๓๐ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เรือตรีสุกรี รักษ์ศรีทอง และหัวหน้าส่วนราชการ ได้พร้อมใจกันจัดงานถวาย ชื่อ “มาฆบูชา แห่ผ้าขึ้นธาตุ ถวายราชสักการ” โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ มีวัตถุประสงค์ในการจัดงานเพื่อรักษาและส่งเสริมประเพณีทางพุทธศาสนา เพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นการถวายราชสักการะเนื่องในวดรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา และ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวของจังหวัดนครศรีธรรมราชเนื่องในปีท่องเที่ยวไทย ผ้าพระบฏพระราชทานผืนแรก ทำจากผ้าขาวความยาว ๓๐ เมตร บนผืนผ้าปรากฎภาพจิตรกรรมไทยเกี่ยวพุทธประวัติตั้งแต่พระสิทธัตถะจุติจากสรวงสรรค์ชั้นดุสิตสู่พระครรภ์มารดา การสุบันนิมิต การบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยา การตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน รวมทั้งหมด ๓๐ ภาพ เขียนด้วยสีน้ำและสีโปสเตอร์ตามแนวนอนของผ้า ในปัจจุบันผ้าพระบฏพระราชทาน มีจำนวน ๕ ผืน เพื่อบูชาองค์พระบรมธาตุเจดีย์ตามประเพณี ประกอบด้วย
-พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานผ้าพระบฏเมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๖
- สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานผ้าพระบฏเมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๕
- พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จ- พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานผ้าพระบฏเมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๖
-สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานผ้าพระบฏเมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๐ และพระราชทานผ้าพระบฏผืนใหม่เมื่อพุทธศักราช ๒๕๔๙
- สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานผ้าพระบฏเมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๗
ส่วนพุทธศาสนิกชนทั่วไปนิยมใช้ผ้าสีเหลือง ผ้าสีขาว และผ้าแดง พุทธศาสนิกชนสามารถเตรียมผ้าขนาดความยาวตามความต้องการของตน ซึ่งเป็นขนาดที่สามารถห่มพระบรมธาตุเจดีย์รอบองค์ได้ การตกแต่งผ้าห่มพระบรมธาตุเจดีย์ พุทธศาสนิกชนทั่วไปบางกลุ่ม หรือ บางคน อาจจะประดิษฐ์ตกแต่งชายขอบผ้าประดับด้วยริบบิ้น พู่ห้อย แพรพรรณ ลวดลายดอกไม้สวยงาม
“พระบฏ” ผ้าผืนพิเศษนั้น จะเขียนภาพพุทธประวัติทั้งผืนยาว โดยช่างผู้ชำนาญเขียนภาพ แสดงให้เห็นความถึงความตั้งใจ ความมานะ พยายาม ในการทำผ้าพระบฏขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชาองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เช่น ผ้าพระบฏวิทยาลัยช่างศิลป
การจัดขบวนแห่แหนผ้าพระบฏและการถวายผ้า
การจัดขบวนแห่แหนผ้าพระบฏ นิยมจัดขบวนเป็นแถวตอนเรียงสองทุกขบวน ซึ่งขนวนแห่แหนจะมาทุกสารทิศของพุทธศาสนิกชนที่มีความศรัทธาเลื่อมใส ซึ่งขบวนแห่แหนจะดนตรีนำหน้า เช่น คณะกลองยาวเป็นดนตรีนำขบวน หรือวงดุริยางค์ของโรงเรียนต่าง ๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช บรรเลงจังหวะที่ครึกครื้น ขบวนแห่ผ้าขึ้นธาตุจะเดินแถวเรียงเป็นริ้วขบวนยาวไปตามความยาวของผืนผ้า ทุกคนทูนชูผ้าพระบฏไว้เหนือศีรษะ ตามความเชื่อกันว่าผ้าพระบฏเป็นเครื่องสักการะพระพุทธเจ้าจึงควรแก่การบูชาจะถือไว้ในระดับต่ำกว่าศีรษะไม่ได้โดยเด็ดขาดวิธีการถวายผ้าพระบฏ
ขบวนแห่แหนผ้าพระบฏ สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป จะมาจากทุกสารทิศ ตลอดวันของการจัดงานเพื่อแห่ผ้าขึ้นธาตุ หากมากันเป็นหมู่คณะใหญ่ จะมีการแต่งกายที่งดงาม เรียบร้อยเป็นรูปแบบเดียวกัน นิยมใส่เสื้อผ้าสีขาว ผ้าถุงยาวซึ่งอาจจะเป็นผ้าปาเต๊ะ ผ้าบาติก หรือผ้าทอพื้นเมือง ส่วนผู้ชาย จะใส่เสื้อสีขาว และกางเกงขายาวขาวหรือดำ
สำหรับขบวนแห่แหนผ้าพระบฏพระราชทาน ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๔ ข้อมูลจากสำนักงานวัฒนธรรม จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้บรรยายการการจัดริ้วขบวนอัญเชิญผ้าพระบฎ ไว้ว่า “ กำหนดให้มีริ้วขบวนเพียง ๖ ริ้วขบวน เป็นริ้วขบวนอัญเชิญผ้าพระบฏพระราชทาน จำนวน ๕ ผืน ประกอบด้วย
ผ้าพระบฏพระราชทานพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ผ้าพระบฏพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ผ้าพระบฏพระราชทานพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ผ้าพระบฏพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ผ้าพระบฏพระราชทานสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
และริ้วขบวนผ้าพระบฏของพุทธศาสนิกชน ที่ประกอบด้วยริ้วขบวนผ้าสีขาว สีเหลือง สีแดง และสีกรมท่า จำนวน 1 ริ้วขบวน ทั้งนี้เพื่อลดจำนวนผู้ที่จะเข้าร่วมในกิจกรรม และเป็นไปตามแนวทางการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ โดยริ้วขบวนได้เคลื่อนจากด้านหน้าศาลาประดู่หก สนามหน้าเมืองไปตามถนนราชดำเนินเพื่อเข้าสู่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และเมื่อถึงบริเวณลานโพธิ์ ภายในวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหารมีการรำบูชาพระบรมธาตุเจดีย์ของนักศึกษาวิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช จากนั้นเป็นการประกอบพิธีทางศาสนาโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และพระพิศิษฎ์วินัยการ เจ้าคณะอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช (ธ) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีพระราชวิสุทธิกวี เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (ธ) พระผู้ใหญ่ ร่วมพิธี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชได้กล่าวนำถวายผ้าพระบฏพระราชทาน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารท้องถิ่น จะได้อัญเชิญผ้าพระบฏพระราชทาน จำนวน ๕ ผืน บูชาองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ พระวิหารทรงม้า ก่อนจะมีการประกอบพิธีเวียนเทียน เนื่องในวันมาฆบูชาตามลำดับต่อไป”
งานประเพณีมาฆบูชาแห่ผ้าขึ้นธาตุ ประจำปี ๒๕๖๕ ตามโครงการพระบรมธาตุ มรดกธรรม มรดกโลก เชื่อมเส้นทางศรีวิชัย เปิดประตูประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒- ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ จัดริ้วขบวนแห่ผ้า เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่อ โควิด-19 แต่ยังคงให้มีกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ กิจกรรมรณรงค์การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวในสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา กิจกรรมสมโภชผ้าพระบฏพระราชทาน กิจกรรมสวดมนต์ กิจกรรมสวดด้าน กิจกรรมตักบาตร กิจกรรมถวายผ้าพระบฎพระราชทาน และกิจกรรมเวียนเทียน
มาฆบูชาแห่ผ้าขึ้นธาตุ ประจำปี ๒๕๖๖ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒-๖ มีนาคม ๒๕๖๖ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร มีกิจกรรมสำคัญในปีนี้คือ กิจกรรมสมโภชผ้าพระบฏพระราชทาน พิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในวันมาฆบูชา พิธีอัญเชิญและถวายผ้าพระบฏพระราชทาน กิจกรรมประดับตกแต่งเมืองด้วยผ้าพระบฎ กิจกรรมสวดพระด้าน กิจกรรมสวดมนต์เจริญจิตตภาวนา กิจกรรมกวนข้าวยาคู และพิธีเวียนเทียนเนื่องในวันมาฆบูชา
ปี ๒๕๖๖ มีกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อสมโภชประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ จัดโดย วิทยาลัยนาฎศิลปนครศรีธรรมราช คือ ศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย คือ การแสดง “โขน” เรื่องรามเกียรติ์ ถวายเบื้องหน้าพระบรมธาตุเมืองนคร ในวันเสาร์ ๔ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา +๙๐๐ ณ ลานหน้าพระวิหารหลวง วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง #นครศรีธรรมราช
ถึงแม้ว่าธรรมเนียมที่ปฏิบัติสำหรับประเพณีนี้จะสืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่พุทธศักราช ๑๗๗๓ ณ ปัจจุบัน ๗๙๒ ปีก็ตาม ในปัจจุบันก็ยังคงถือเป็นประเพณีที่สำคัญของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชเหมือนเดิม เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความศรัทธาในพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยังคงมีการทำบุญใส่บาตร มีความเลื่อมใสศรัทธาในการบูชาองค์พระบรมธาตุเจดีย์ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนิกชนจังหวัดนครศรีธรรมราช หรือจากจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างมีความศรัทธาที่จะมาห่มผ้าองค์พระบรมธาตุเจดีย์อย่างพร้อมเพรียงเพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต
บรรณานุกรม
การศึกษาวิเคราะห์ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/141787
ฉัตรชัย ศุภกระกาญจน์. (ม.ป.ป.). ผ้าพระบฏนครศรีธรรมราช. http://dspace.nstru.ac.th:8080/dspace/bitstream/123456789/494/1/ผ้าพระบฎเมืองนคร.pdf
เดชชาติ ตรีทรัพย์ และคณะ. (2561). การศึกษาวิเคราะ์ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช. วารสารมหาจุฬาวิชาการ, 4(1), 65-75. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/141787
นครศรีธรรมราช. (2537). นครศรีธรรมราช. สารคดี.
“ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ” ตำนานเมืองนครฯ และเรื่องผ้าสีชมพูห่มพระมหาธาตุของรัชกาลที่ 5. www.silpa-mag.com/history/article_27637
พิธีอัญเชิญผ้าพระบฏพระราชทาน และขบวนผ้าพระบฏของพุทธศาสนิกชน เนื่องในงานประเพณีมาฆบูชาแห่ผ้าขึ้นธาตุ ประจำปี 2564 ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด. https://www.m-culture.go.th/nakhonsrithammarat/ewt_news.php?nid=999&filename=index
เมืองคอนจัดงานแห่ผ้าขึ้นธาตุ 12-16 กุมภาพันธ์ 2565. https://www.facebook.com/NakhonSiThammaratToday/posts/333901681935474
ราชบัณฑิตยสถาน. (2555). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๔. https://dictionary.orst.go.th/
วิจิตร ศรีสุวรรณ. (2543). นครศรีธรรมราชท้องถิ่นของเรา. วุฒิสาส์น.
วิเชียร ณ นคร, สมพุทธ ธุระเจน, ชวน เพชรแก้ว, ฉัตรชัย ศุภกระกาญจน์ และ ปรีชา นุ่นสุข, (2521). นครศรีธรรมราช, อักษรสัมพันธ์ฺ.
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. (2540. ชีวิตไทยชุดสมบัติตายาย (พิมพ์ครั้งที่ 3). สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ.
สำนักงานจังหวัดพังงา. (2563). ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ. https://www.m-culture.go.th/phangnga/ewt_news.php?nid=980&filename=index
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช. (2563). พิธีอัญเชิญและถวายผ้าพระบฏพระราชทาน จำนวน 5 ผืน เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชาแห่ผ้าขึ้นธาตุที่เมืองนคร ประจำปี 2563. https://www.m-culture.go.th/nakhonsrithammarat/ewt_news.php?nid=642&filename=index
สุนีย์ ประสงค์บัณฑิต. (2565). แห่ผ้าขึ้นธาตุ. https://www.sac.or.th/databases/rituals/rituals_pdf.php?id=33
องค์การบริหารส่วนตำบลดุสิต อำเภอถ้ำพรรณรา จังหวัดนครศรีธรรมราช. (2560). โครงการสืบสานประเพณีวัฒนธรรมแห่ผ้าขึ้นธาตุประจำปี 2560. https://www.abtdusit.go.th/activity/user_select_photo.php?news_id=168
Muzika. (2565). งานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร วันมาฆบูชา 2565 งานบุญใหญ่ นครศรีธรรมราช. https://travel.trueid.net/detail/XPdyB5xKDEAl
Unseen ถิ่นไทย. (2561). นครศรีฯ ดี๊ดี “มาฆบูชา แห่ผ้าขึ้นธาตุ” งานบุญใหญ่ประจำปี 2561 จ.นครศรีธรรมราช. http://www.unseenthinthai.com/news/1079
แฟ้มภาพ
มโนราห์
มโนราห์
ประวัติความเป็นมาของมโนราห์
โนรา หรือ มโนห์รา (เขียนเป็น มโนรา หรือ มโนราห์ ก็ได้) เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่สืบทอดกันมานาน และนิยมกันอย่างแพร่หลายในภาคใต้ เป็นการละเล่นที่มีทั้งการร้อง การรำ บางส่วนเล่นเป็นเรื่องและบางโอกาสมีบางส่วนแสดงตามคติความเชื่อที่เป็นพิธีกรรม
โนรา เป็นศิลปะพื้นเมืองภาคใต้ เรียกว่า โนรา แต่ คำว่า มโนราห์ หรือ มโนห์รา นั้นเป็นคำที่เกิด ขึ้นมาเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการนำเอาเรื่องพระสุธน-มโนราห์ มาแสดงเป็นละครชาตรี จึงมีคำ เรียกว่า มโนราห์ ส่วนกำเนิดของโนรานั้น สันนิษฐานกันว่าได้รับอิทธิพลจากการ ร่ายรำของอินเดียโบราณก่อนสมัยศรีวิชัย ที่มา จากพ่อค้าชาวอินเดีย สังเกตได้จากเครื่องดนตรีที่ เรียกว่า เบ็ญจสังคีตซึ่งประกอบโหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง ปี่ ใน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีโนรา และท่ารำของโนรา อีกหลายท่าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับการร่ายรำของ ทางอินเดีย และเริ่มมีโนราเป็นกิจลักษณะขึ้นเมื่อ ประมาณปีพุทธศักราชที่ 1820 ซึ่งตรงกับสมัยสุโขทัยตอนต้น
ปัจจุบันเชื่อกันว่าโนราเกิดขึ้นครั้งแรกที่ หัวเมืองพัทลุง คือ ตำบล บางแก้ว จังหวัด พัทลุง แล้ว แพร่ขยายไปยังหัวเมืองอื่นๆ ของภาคใต้ จน ไปถึงภาคกลาง และกลายเป็นละครชาตรี และจังหวะตะลุง ที่ได้รับอิทธิพล ในตำนานเล่า กันมาว่า เจ้าเมืองพัทลุง มีชื่อว่า พระยา สายฟ้าฟาด มีลูกสาวที่ชื่อ ศรีมาลา ซึ่งมีความสามารถในการร่ายรำมาก ได้เกิดตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน เชื่อกันว่า เป็นท้องกับเทวดา พระยาสายฟ้าฟาดเห็นดังนั้น ก็โกรธมาก สั่งให้นำนางศรีมาลาไป ลอยแพในทะเล ( คือ ทะเลสาปสงขลา) และ แพได้ไปติดที่เกาะใหญ่ นางศรีมาลา ก็ได้ให้กำเนิดลูกชาย โดยตั้งชื่อว่า เทพสิงหล ซึ่งมีนัยความว่า ลูกของเทวดา นางศรีมาลา ได้ฝึกให้เทพสิงหลฝึกร่ายรำ ซึ่งเทพสิงหล ก็สามารถร่ายรำได้สวยงามมาก และร่ายรำ มีชื่อเสียงมากที่เกาะใหญ่ จนรู้ไปถึง หูพระยาสายฟ้าฟาด ซึ่งพระยาสายฟ้าฟาด ก็ยังไม่รู้ว่าหลานตัวเอง ก็ได้ เชิญไปรำในราชสำนัก ฝ่ายนางศรีมาลานั้น ก็น้อยเนื้อต่ำใจเมื่อครั้งที่ถูกลอยแพ ก็บอกกับคนที่มาติดต่อว่า โนราคณะนี้จะไปรำได้ แต่ต้องปูผ้าขาวตั้งแต่ริมฝั่งที่ลงจากเรือจนไปถึงตำหนัก พระยาสายฟ้าฟาดก็ตอบตกลง ดังนั้น เทพสิงหลจึงไปรำในราชสำนัก เทพสิงหลรำได้สวยงามมาก จนพระยาสายฟ้าฟาด ก็ตกตะลึงในความสวยงาม จึงถอดเครื่องทรงที่ทรงอยู่ให้กับเทพสิงหล แล้วบอกว่า "เครื่อง แต่งกายกษัตริย์ชุดนี้มอบให้เป็นเครื่องแต่งกายของโนรานับแต่นี้เป็นต้นไป" เทพสิงหลจึงบอกว่าแท้จริงแล้ว เป็นหลานของพระยาสายฟ้าฟาด พระยาสายฟ้าฟาดจึงรับโนราไว้ในราชสำนัก และให้สิทธิแต่งกายเหมือนกษัตริย์ทุกประการ
สำหรับเครื่องแต่งกายชุดโนราประกอบด้วย 14 ชิ้น ได้แก่ เทริด เป็นเครื่องประดับศีรษะของตัวนายโรงหรือโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง (โบราณไม่นิยมให้นางรำใช้) ทำเป็นรูปมงกุฎอย่างเตี้ย มีกรอบหน้า มีด้ายมงคลประกอบ เครื่องรูปปัด เครื่องรูปปัดจะร้อยด้วยลูกปัดสีเป็นลายมีดอกดวง ใช้สำหรับสวมลำตัวท่อนบนแทนเสื้อ ประกอบด้วยชิ้นสำคัญ 5 ชิ้น คือ บ่า สำหรับสวมทับบนบ่าซ้าย-ขวา รวม 2 ชิ้น ปิ้งคอ สำหรับสวมห้อยคอหน้า-หลังคล้ายกรองคอหน้า-หลัง รวม 2 ชิ้น พานอก ร้อยลูกปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้พันรอบตัวตรงระดับอก บางถิ่นเรียกว่า"พานโครง"บางถิ่นเรียกว่า"รอบอก" เครื่องลูกปัดดังกล่าวนี้ใช้เหมือนกันทั้งตัวยืนเครื่องและตัวนาง (รำ) แต่มีช่วงหนึ่งที่คณะชาตรีในมณฑลนครศรีธรรมราชใช้อินทรธนู ซับทรวง (ทับทรวง) ปีกเหน่ง แทนเครื่องลูกปัดสำหรับตัวยืนเครื่อง ปีกนกแอ่น หรือ ปีกเหน่ง มักทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายนกนางแอ่นกำลังกางปีก ใช้สำหรับโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง สวมติดกับสังวาลอยู่ที่ระดับเหนือสะเอวด้านซ้ายและขวา คล้ายตาบทิศของละคร ซับทรวง หรือ ทับทรวง หรือ ตาบ สำหรับสวมห้อยไว้ตรงทรวงอก นิยมทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายขนมเปียกปูนสลักเป็นลวดลาย และอาจฝังเพชรพลอยเป็นดอกดวงหรืออาจร้อยด้วยลูกปัด นิยมใช้เฉพาะตัวโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง ตัวนางไม่ใช้ซับทรวง ปีก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หาง หรือ หางหงส์ นิยมทำด้วยเขาควายหรือโลหะเป็นรูปคล้ายปีกนก 1 คู่ ซ้าย-ขวาประกอบกัน ปลายปีกเชิดงอนขึ้นและผูกรวมกันไว้มีพู่ทำด้วยด้ายสีติดไว้เหนือปลายปีก ใช้ลูกปัดร้อยห้อยเป็นดอกดวงรายตลอดทั้งข้างซ้ายและขวาให้ดูคล้ายขนของนก ใช้สำหรับสวมคาดทับผ้านุ่งตรงระดับสะเอว ปล่อยปลายปีกยื่นไปด้านหลังคล้ายหางกินรี ผ้านุ่ง เป็นผ้ายาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า นุ่งทับชายแล้วรั้งไปเหน็บไว้ข้างหลัง ปล่อยปลายชายให้ห้อยลงเช่นเดียวกับหางกระเบน เรียกปลายชายที่พับแล้วห้อยลงนี้ว่า "หางหงส์ "(แต่ชาวบ้านส่วนมากเรียกว่า หางหงส์) การนุ่งผ้าของโนราจะรั้งสูงและรัดรูปแน่นกว่านุ่งโจมกระเบน หน้าเพลา เหน็บเพลา หนับเพลา ก็ว่า คือสนับเพลาสำหรับสวมแล้วนุ่งผ้าทับ ปลายขาใช้ลูกปัดร้อยทับหรือร้อยทาบ ทำเป็นลวดลายดอกดวง เช่น ลายกรวยเชิง รักร้อย ผ้าห้อย คือ ผ้าสีต่างๆ ที่คาดห้อยคล้ายชายแครงแต่อาจมีมากกว่า โดยปกติจะใช้ผ้าที่โปร่งผ้าบางสีสด แต่ละผืนจะเหน็บห้อยลงทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของหน้าผ้า หน้าผ้า ลักษณะเดียวกับชายไหว ถ้าเป็นของโนราใหญ่หรือนายโรงมักทำด้วยผ้าแล้วร้อยลูกปัดทาบเป็นลวดลาย ที่ทำเป็นผ้า 3 แถบคล้ายชายไหวล้อมด้วยชายแครงก็มี ถ้าเป็นของนางรำ อาจใช้ผ้าพื้นสีต่างๆ สำหรับคาดห้อยเช่นเดียวกับชายไหว กำไลต้นแขนและปลายแขน กำไลสวมต้นแขน เพื่อขบรัดกล้ามเนื้อให้ดูทะมัดทะแมงและเพิ่มให้สง่างามยิ่งขึ้น กำไล กำไลของโนรามักทำด้วยทองเหลืองทำเป็นวงแหวน ใช้สวมมือและเท้าข้างละหลายๆ วง เช่น แขนแต่ละข้างอาจสวม 5-10 วงซ้อนกัน เพื่อเวลาปรับเปลี่ยนท่าจะได้มีเสียงดังเป็นจังหวะเร้าใจยิ่งขึ้นเล็บ เป็นเครื่องสวมนิ้วมือให้โค้งงามคล้ายเล็บกินนร กินรี ทำด้วยทองเหลือง หรือเงิน อาจต่อปลายด้วยหวายที่มีลูกปัดร้อยสอดสีไว้พองาม นิยมสวมมือละ 4 นิ้ว (ยกเว้นหัวแม่มือ) หน้าพราน เป็นหน้ากากสำหรับตัว "พราน" ซึ่งเป็นตัวตลก ใช้ไม้แกะเป็นรูปใบหน้า ไม่มีส่วนที่เป็นคาง ทำจมูกยื่นยาว ปลายจมูกงุ้มเล็กน้อย เจาะรูตรงส่วนที่เป็นตาดำ ให้ผู้สวมมองเห็นได้ถนัด ทาสีแดงทั้งหมด เว้นแต่ส่วนที่เป็นฟันทำด้วยโลหะสีขาว หรือทาสีขาว หรืออาจลี่ยมฟัน (มีเฉพาะฟันบน) ส่วนบนต่อจากหน้าผากใช้ขนเป็ดหรือห่านสีขาวติดทาบไว้ต่างผมหงอก หน้าทาสี เป็นหน้ากากของตัวตลกหญิง ทำเป็นหน้าผู้หญิง มักทาสีขาวหรือสีเนื้อ
การทำชุดมโนราห์เป็นงานศิลปะที่สืบสานมาจากรุ่นบรรพบุรุษ ที่มีความประณีตอันวิจิตรในแบบเครื่องทรงที่ประดับเรือนร่างมโนราห์ ซึ่งปัจจุบันเครื่องแต่งกายชุดมโนราห์ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดนัดมีความต่างไปจากอดีต เพราะเริ่มหาความประณีตอันวิจิตรในแบบเครื่องทรงที่ครูมโนราห์รุ่นบรรพบุรุษสืบทอดไว้ จึงมีคนรุ่นใหม่และคณะมโนราห์ต่างๆ ในท้องถิ่น อนุรักษ์ศิลปะการร้อยลูกปัดชุดมโนราห์ในท้องถิ่นภาคใต้แขนงนี้ไว้ ตลอดจนสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น ควบคู่กับสืบสานศิลป์แขนงนี้ให้คงอยู่สืบไป ด้วยการนำลูกปัดขนาดเล็กมาคัดแยกสี ขนาด จากนั้นร้อยเป็นเส้นตามต้องการ ก่อนนำเส้นด้ายที่ร้อยมาผูกรวมกัน เพื่อประกอบเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ของชุดอันประกอบด้วย 1.เทริด 1 หัว 2.ปิ้งคอ 2 ชิ้น 3.บ่า 2 ชิ้น 4.รัดอก 5.หางหงส์ 6.ปิดสะโพก 1 ชิ้น 7.สร้อยคอ 1 เส้น 8.เล็บ 8 ชิ้น 9.ผ้าห้อยและหน้าผ้า 7 ผืน 10.กางเกงมโนราห์ 1 ตัว 11.ผ้าโจงกระเบน 1 ผืน ทำให้ได้ชุดลูกปัดมโนราห์ทั้งชุด ที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาด ด้วยฝีมือที่ยังคงไว้รูปลักษณ์ในแบบฉบับการแต่งองค์ทรงเครื่องยุคอดีตไว้ทุกกระเบียดนิ้ว
องค์ประกอบในการร่ายรำและการแสดงโนรา
๑. โรง หรือเวทีแสดง โรงโนราในสมัยก่อนไม่มีการยกพื้น โดยทั่วไปจะปลูกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขนาดระหว่าง ๘-๙ ศอก เปิดโล่งทั้งสี่ด้าน มีเสากลางอยู่ต้นหนึ่ง เรียกว่า "เสามหาชัย” เชื่อกันว่าเป็นที่ประทับของพระวิสสุกรรมเวลาอัสดงโนราหลังคาเป็นรูปหน้าจั่ว มุงจาก มีพนักทำด้วยไม้ไผ่สำหรับให้โนรานั่งรำหรือแสดง ต่อมาภายหลังโรงโนรา มีการยกพื้นปลูกโรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาแบบเพิงหมาแหงน ภายในจะมีฉากมีม่านกั้น
๒. ผู้แสดงและลูกคู่ ผู้แสดงโนราแต่เดิมมีเพียง ๓ คน ปัจจุบันมีประมาณ ๑๕-๒๐ คน เนื่องจากนิยมแสดงจากนิยายสมัยใหม่ ต้องใช้ตัวประกอบมาก ในจำนวนนี้จะมี "นายโรง” หรือ "โนราใหญ่” คนหนึ่ง หมอประจำคณะ ๑ คน ลูกคู่ประมาณ ๕-๖ คน นอกนั้นเป็นตัวผู้แสดง "คนรำ” หรือ "นางรำ” ประจำคณะที่ขาดไม่ได้คือตัวตลกทั้งชายและหญิงผู้มีบทบาทในการสร้างอารมณ์ขันและความพอใจให้แก่ผู้ชม
๓. เครื่องแต่งกาย จากตำนานโนราถือว่า เป็นเครื่องทรงที่ขุนศรีศรัทธาได้รับพระราชทานจากพระยาสายฟ้าฟาดจึงน่าจะเป็นเครื่องทรงของกษัตริย์ และมีลักษณะคล้ายกับกินนร หรือกินรี เครื่องแต่งกายประกอบด้วย เทริด หน้าพราน ผ้าห้อยหน้า ผ้าห้อยข้าง (ชายไหว ชายแครง) ผ้านุ่ง หางหงส์ กำไลมือหรือกำไลปลายแขน และเล็บมือซึ่งทำด้วยเงินหรือโลหะ
๔. เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีโนรารุ่นเก่า มีอยู่ ๕ ชิ้น คือ กลอง ซึ่งตามตำนานโนราเรียก "กลองสุวรรณเภรีโลก” มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐-๑๒ นิ้ว สูงประมาณ ๑๘ นิ้ว ทับ คู่หนึ่ง ตามตำนานโนราเรียก "น้ำตาตก” กับ "นกเขาขัน” ทับที่เสียงทุ้มเรียกว่า "ลูกเทิง” เสียงแหลมเรียกว่า "ลูกฉับ” โหม่ง ๑ คู่ มีเสียงทุ้มกับเสียงแหลม ฉิ่ง ๑ คู่ กรับ ๑ อัน ปี่ ๑ เลา เป็นพวกปี่ไฉน ยาวประมาณ ๑๓-๑๕ นิ้ว
ธรรมเนียมนิยมในการแสดงโนรา ก่อนออกจากบ้านก็จะมีการ "ยกเครื่อง” คือตีเครื่องทุกชนิด แล้วออกเดินทาง เมื่อไปถึงบ้านเจ้าของงานจะตีกลองเป็นสัญญาณ เจ้าของงานจะเอาขันหมาก ซึ่งมีหมาก ๓ คำ พลู ๓ คำ หรือ ๙ คำ มารับ เมื่อคณะโนราขึ้นไปบนโรงแล้ว ก็จะตีเครื่องดนตรีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อบอกผู้ชมใกล้ไกล เรียกว่า "ตั้งเครื่อง” ก่อนการแสดงจะมีการ "เบิกโรง” แล้วจึงลงโรงหรือโหมโรง และเชิญครู หรือกาศครู จากนั้นตัวแสดง แต่ละตัวจะออกมาร่ายรำ ทำบท แล้วจึงแสดงเรื่อง ส่วนเรื่องที่โนราใช้แสดง แต่เดิมนิยมแสดงเรื่อง พระสุธนนางมโนราห์ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงเป็นนิยายประโลมโลก บางคณะก็จะมีดนตรีลูกทุ่งผสมผสานเข้าไปด้วย
การแต่งกาย
1. เทริด เป็นเครื่องประดับศีรษะของตัวนายโรงหรือโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง (โบราณไม่นิยมให้นางรำใช้) ทำเป็นรูปมงกุฎอย่างเตี้ย มีกรอบหน้า มีด้ายมงคลประกอบ
2. เครื่องรูปปัด เครื่องรูปปัดจะร้อยด้วยลูกปัดสีเป็นลายมีดอกดวง ใช้สำหรับสวมลำตัวท่อนบนแทนเสื้อ ประกอบด้วยชิ้นสำคัญ 5 ชิ้น คือ บ่า สำหรับสวมทับบนบ่าซ้าย-ขวา รวม 2 ชิ้น ปิ้งคอ สำหรับสวมห้อยคอหน้า-หลังคล้ายกรองคอหน้า-หลัง รวม 2 ชิ้น พานอก ร้อยลูกปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้พันรอบตัวตรงระดับอก บางถิ่นเรียกว่า"พานโครง"บางถิ่นเรียกว่า"รอบอก" เครื่องลูกปัดดังกล่าวนี้ใช้เหมือนกันทั้งตัวยืนเครื่องและตัวนาง (รำ) แต่มีช่วงหนึ่งที่คณะชาตรีในมณฑลนครศรีธรรมราชใช้อินทรธนู ซับทรวง (ทับทรวง) ปีกเหน่ง แทนเครื่องลูกปัดสำหรับตัวยืนเครื่อง
3. ปีกนกแอ่น หรือ ปีกเหน่ง มักทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายนกนางแอ่นกำลังกางปีก ใช้สำหรับโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง สวมติดกับสังวาลอยู่ที่ระดับเหนือสะเอวด้านซ้ายและขวา คล้ายตาบทิศของละคร
4. ซับทรวง หรือ ทับทรวง หรือ ตาบ สำหรับสวมห้อยไว้ตรงทรวงอก นิยมทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายขนมเปียกปูนสลักเป็นลวดลาย และอาจฝังเพชรพลอยเป็นดอกดวงหรืออาจร้อยด้วยลูกปัด นิยมใช้เฉพาะตัวโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง ตัวนางไม่ใช้ซับทรวง
5. ปีก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หาง หรือ หางหงส์ นิยมทำด้วยเขาควายหรือโลหะเป็นรูปคล้ายปีกนก 1 คู่ ซ้าย-ขวาประกอบกัน ปลายปีกเชิดงอนขึ้นและผูกรวมกันไว้มีพู่ทำด้วยด้ายสีติดไว้เหนือปลายปีก ใช้ลูกปัดร้อยห้อยเป็นดอกดวงรายตลอดทั้งข้างซ้ายและขวาให้ดูคล้ายขนของนก ใช้สำหรับสวมคาดทับผ้านุ่งตรงระดับสะเอว ปล่อยปลายปีกยื่นไปด้านหลังคล้ายหางกินรี
6. ผ้านุ่ง เป็นผ้ายาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า นุ่งทับชายแล้วรั้งไปเหน็บไว้ข้างหลัง ปล่อยปลายชายให้ห้อยลงเช่นเดียวกับหางกระเบน เรียกปลายชายที่พับแล้วห้อยลงนี้ว่า "หางหงส์"(แต่ชาวบ้านส่วนมากเรียกว่า หางหงส์) การนุ่งผ้าของโนราจะรั้งสูงและรัดรูปแน่นกว่านุ่งโจมกระเบน
7. หน้าเพลา เหน็บเพลา หนับเพลา ก็ว่า คือสนับเพลาสำหรับสวมแล้วนุ่งผ้าทับ ปลายขาใช้ลูกปัดร้อยทับหรือร้อยทาบ ทำเป็นลวดลายดอกดวง เช่น ลายกรวยเชิง รักร้อย
8. ผ้าห้อย คือ ผ้าสีต่างๆ ที่คาดห้อยคล้ายชายแครงแต่อาจมีมากกว่า โดยปกติจะใช้ผ้าที่โปร่งผ้าบางสีสด แต่ละผืนจะเหน็บห้อยลงทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของหน้าผ้า
9. หน้าผ้า ลักษณะเดียวกับชายไหว ถ้าเป็นของโนราใหญ่หรือนายโรงมักทำด้วยผ้าแล้วร้อยลูกปัดทาบเป็นลวดลาย ที่ทำเป็นผ้า 3 แถบคล้ายชายไหวล้อมด้วยชายแครงก็มี ถ้าเป็นของนางรำ อาจใช้ผ้าพื้นสีต่างๆ สำหรับคาดห้อยเช่นเดียวกับชายไหว
10. กำไลต้นแขนและปลายแขน กำไลสวมต้นแขน เพื่อขบรัดกล้ามเนื้อให้ดูทะมัดทะแมงและเพิ่มให้สง่างามยิ่งขึ้น
11. กำไล กำไลของโนรามักทำด้วยทองเหลือง ทำเป็นวงแหวน ใช้สวมมือและเท้าข้างละหลายๆ วง เช่น แขนแต่ละข้างอาจสวม 5-10 วงซ้อนกัน เพื่อเวลาปรับเปลี่ยนท่าจะได้มีเสียงดังเป็นจังหวะเร้าใจยิ่งขึ้น
12. เล็บ เป็นเครื่องสวมนิ้วมือให้โค้งงามคล้ายเล็บกินนร กินรี ทำด้วยทองเหลืองหรือเงิน อาจต่อปลายด้วยหวายที่มีลูกปัดร้อยสอดสีไว้พองาม นิยมสวมมือละ 4 นิ้ว (ยกเว้นหัวแม่มือ)
13. หน้าพราน เป็นหน้ากากสำหรับตัว "พราน" ซึ่งเป็นตัวตลก ใช้ไม้แกะเป็นรูปใบหน้า ไม่มีส่วนที่เป็นคาง ทำจมูกยื่นยาว ปลายจมูกงุ้มเล็กน้อย เจาะรูตรงส่วนที่เป็นตาดำ ให้ผู้สวมมองเห็นได้ถนัด ทาสีแดงทั้งหมด เว้นแต่ส่วนที่เป็นฟันทำด้วยโลหะสีขาว หรือทาสีขาว หรืออาจลี่ยมฟัน (มีเฉพาะฟันบน) ส่วนบนต่อจากหน้าผากใช้ขนเป็ดหรือห่านสีขาวติดทาบไว้ต่างผมหงอก
14. หน้าทาสี เป็นหน้ากากของตัวตลกหญิง ทำเป็นหน้าผู้หญิง มักทาสีขาวหรือสีเนื้อ
เครื่องดนตรี
1. ทับ (โทนหรือทับโนรา) เป็นคู่ เสียงต่างกันเล็กน้อย ใช้คนตีเพียงคนเดียว เป็นเครื่องตีที่สำคัญที่สุด เพราะทำหน้าที่ คุมจังหวะและเป็นตัวนำในการเปลี่ยนจังหวะทำนอง (แต่จะต้องเปลี่ยนตามผู้รำ ไม่ใช่ผู้รำ เปลี่ยน จังหวะลีลาตามดนตรี ผู้ทำหน้าที่ตีทับจึงต้องนั่งให้มอง เห็นผู้รำตลอดเวลา และต้องรู้เชิง ของผู้รำ)
2. กลอง เป็นกลองทัดขนาดเล็ก (โตกว่ากลองของหนังตะลุงเล็กน้อย) 1 ใบทำหน้าที่เสริมเน้นจังหวะและล้อเสียงทับ
3. ปี่ เป็นเครื่องเป่าเพียงชิ้นเดียวของวง นิยมใช้ปี่ใน หรือ บางคณะอาจใช้ปี่นอก ใช้เพียง 1 เลา ปี่มีวิธีเป่าที่คล้ายคลึงกับขลุ่ย ปี่มี 7 รูแต่สามารถกำเนิดเสียงได้ ถึง 21 เสียงซึ่งคล้ายคลึงกับเสียงพูด มากที่สุด
4. โหม่ง คือ ฆ้องคู่ เสียงต่างกันที่เสียงแหลม เรียกว่า "เสียงโหม้ง" ที่เสียงทุ้ม เรียกว่า "เสียงหมุ่ง" หรือ บางครั้งอาจจะเรียกว่าลูกเอกและลูก ทุ้มซึ่งมีเสียงแตกต่างกันเป็น คู่แปดแต่ดั้งเดิมแล้วจะใช้คู่ห้า
5. ฉิ่ง หล่อด้วยโลหะหนารูปฝาชีมีรูตรงกลางสำหรับร้อยเชือก สำรับนึงมี 2 อัน เรียกว่า 1 คู่เป็นเครื่องตีเสริมแต่งและเน้นจังหวะ ซึ่งการตีจะแตกต่างกับการตีฉิ่ง ในการกำกับจังหวะของดนตรีไทย
6. แตระ หรือ แกระ คือ กรับ มี ทั้งกรับอันเดียวที่ใช้ตีกระทบกับรางโหม่ง หรือกรับคู่ และมีที่ร้อยเป็นพวงอย่างกรับพวง หรือใช้เรียวไม้หรือลวด เหล็กหลาย ๆ อันมัดเข้าด้วยกันตีให้ปลายกระทบกัน
องค์ประกอบหลักของการแสดง
1. การรำ นักแสดงต้องรำอวดความชำนาญและความสามารถเฉพาะตน โดยการรำผสมท่าต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องกลมกลืน แต่ละท่ามีความถูกต้องตามแบบฉบับ มีความคล่องแคล่วชำนาญที่จะเปลี่ยนลีลาให้เข้ากับจังหวะดนตรี และต้องรำให้สวยงามอ่อนช้อยหรือกระฉับกระเฉงเหมาะแก่กรณี บางคนอาจอวดความสามารถในเชิงรำเฉพาะด้าน เช่น การเล่นแขน การทำให้ตัวอ่อน การรำท่าพลิกแพลง เป็นต้น
2. การร้อง นักแสดงต้องอวดลีลาการร้องขับบทกลอนในลักษณะต่าง ๆ เช่น เสียงไพเราะดังชัดเจน จังหวะการร้องขับถูกต้องเร้าใจ มีปฏิภาณในการคิดกลอนรวดเร็ว ได้เนื้อหาดี สัมผัสดี มีความสามารถในการร้องโต้ตอบ แก้คำอย่างฉับพลันและคมคาย เป็นต้น
3. การทำบท เป็นการอวดความสามารถในการตีความหมายของบทร้องเป็นท่ารำ ให้คำร้องและท่ารำสัมพันธ์กันต้องตีท่าให้พิสดารหลากหลายและครบถ้วน ตามคำร้องทุกถ้อยคำต้องขับบทร้องและตีท่ารำให้ประสมกลมกลืนกับจังหวะและลีลาของดนตรีอย่างเหมาะเหม็ง การทำบทจึงเป็นศิลปะสุดยอดของโนรา
4. การรำเฉพาะอย่าง นอกจากความสามารถในการรำ การร้อง และการทำบทดังกล่าวแล้วยังต้องฝึกการำเฉพาะอย่างให้เกิดความชำนาญเป็นพิเศษด้วยซึ่งการรำเฉพาะอย่างนี้ อาจใช้แสดงเฉพาะโอกาส เช่น รำในพิธีไหว้ครู หรือพิธีแต่งพอกผูกผ้าใหญ่ บางอย่างใช้รำเฉพาะเมื่อมีการประชันโรง บางอย่างใช้ในโอกาสรำลงครูหรือโรงครู หรือรำแก้บน เป็นต้น การรำเฉพาะอย่าง มีดังนี้
1. รำบทครูสอน
2. รำบทปฐม
3. รำเพลงทับเพลงโทน
4. รำเพลงปี่
5. รำเพลงโค
6. รำขอเทริด
7. รำเฆี่ยนพรายและเหยียบลูกนาว (เหยียบมะนาว)
8. รำแทงเข้
9. รำคล้องหงส์
10. รำบทสิบสองหรือรำสิบสองบท
5. การเล่นเป็นเรื่อง โดยปกติมโนราห์ไม่เน้นการเล่นเป็นเรื่อง แต่ถ้ามีเวลาแสดงมากพอหลังจากการอวดการรำการร้องและการทำบทแล้ว อาจแถมการเล่นเป็นเรื่องให้ดู เพื่อความสนุกสนาน โดยเลือกเรื่องที่รู้ดีกันแล้วบางตอนมาแสดงเลือกเอาแต่ตอนที่ต้องใช้ตัวแสดงน้อย ๆ (2-3 คน) ไม่เน้นที่การแต่งตัวตามเรื่อง มักแต่งตามที่แต่งรำอยู่แล้ว แล้วสมมติเอาว่าใครเป็นใคร แต่จะเน้นการตลกและการขับบทกลอนแบบโนราให้ได้เนื้อหาตามท้องเรื่อง
โนราลงแข่ง (ประชันโรง)
การแข่งมโนราห์ หรือ มโนราห์ประชันโรง เพื่อจะพิสูจน์ว่าใครเล่นหรือรำดีกว่า มีศิลปะในการรำเป็นอย่างไรการว่ามุตโต (กลอนสด) ดีกว่ากัน ถ้าโรงไหนดีกว่าโรงนั้นก็จะมีคนดูมาก และเป็นผู้ชนะ การแข่งมโนรานี้มีพิธีที่คณะมโนราต้องทำมาก กลางคืนก่อนแข่งมีการไหว้ครูเชิญครู แล้วเอาเทริดผูกไว้ที่เพดานโรง เอาหมาก 3 คำ และจุดเทียนตามเอาไว้ จากนั้นหมอก็ทำพิธีปิดตู (ประตู) กันตู (ประตู) โดยชักสายสิญจน์กันไว้ หมอและคณะจะไม่นอนกันทั้งคืน หมอทำพิธีประพรมน้ำมนต์ไปเรื่อย (หมอประจำโรงต้องจ้างเป็นพิเศษไปกับคณะ สมัยก่อนเมื่อมีการแข่งครั้งหนึ่งหมอจะได้รับค่าจ้าง 1 เหรียญ หรือ 50 เบี้ย)
การเอาเทริดผูกไว้ที่เพดานเพื่อที่จะเสี่ยงทายเอาเคล็ด คือ ให้หันเทริดเวียน 3 ที แล้วคอยดูว่าเมื่อหยุดเทริดจะหันหน้าไปทางไหน ถ้าเทรอดหันหน้าไปทางคู่แข่งมีหมายความว่ารุ่งเช้าจะแข่งชนะ ถ้าเทริดหันไปทางอื่นหมายความว่าแพ้ เมื่อถึงเวลาแข่งก็มีการรำอย่างธรรมดา คือ ออกนางรำทุกๆคน ประมาณ 4-5 คน แล้วก็ถึงตัวมโนราใหญ่ (นายโรง) นายโรงจะออกมารำ แต่ยังไม่สวมเทริดแล้วหมอก็จะนำหน้าลงมาจากโรงเพื่อทำพิธีเวียนโรงเป็นทักษิณาวัด 3 รอบ (ขณะเวียนโรงดนตรีเชิด) หมอถือน้ำมนต์นำหน้า มโนราใหญ่เดินตามหลัง การเวียนโรงทำเพื่อโปรดสัตว์ แผ่เมตตา มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สพเพ สตตา กรุณา อุเบกขา มุทิตา สพเพ สตตา สุขี โหนตุ แผ่เมตตาแก่ผู้ดูและสรรพสัตว์ทั้งหลายให้อยู่เย็นเป็นสุข แล้วก็กลับขึ้นโรงตามเดิม
ท่ารำมโนราห์
ท่ารำของโนราที่เป็นหลัก ๆ นั้นเมื่อแกะออกมารวมประมาณ 83 ท่ารำ
1. ตั้งต้นเป็นประถม 2. ถัดมาพระพรหมสี่หน้า
3. สอดสร้อยห้อยเป็นพวงมาลา 4. เวโหนโยนช้า
5. ให้น้องนอน 6. พิสมัยร่วมเรียง
7. เคียงหมอน 8. ท่าต่างกัน
9. หันเป็นมอน 10. มรคาแขกเต้าบินเข้ารัง
11. กระต่ายชมจันทร์ 12. จันทร์ทรงกลด
13. พระรถโยนสาส์น 14. มารกลับหลัง
15. ชูชายนาดกรายเข้าวัง 16. กินนรร่อนรำ
17.เข้ามาเปรียบท่า 18. พระรามาน้าวศิลป์
19. มัจฉาล่องวาริน 20. หลงใหลไปสิ้นงามโสภา
21. โตเล่นหาง 22. กวางโยนตัว
23. รำยั่วเอแป้งผัดหน้า 24. หงส์ทองลอยล่อง
25. เหราเล่นน้ำ 26. กวางเดินดง
27. สุริวงศ์ทรงศักดิ์ 28. ช้างสารหว้านหญ้า
29. ดูสาน่ารัก 30. พระลักษณ์แผลงศรจรลี
31. ขี้หนอนฟ้อนฝูง 32. ยูงฟ้อนหาง
33. ขัดจางหยางนางรำทั้งสองศรี 34. นั่งลงให้ได้ที่
35. ชักสีซอสามสายย้ายเพลงรำ 36. กระบี่ตีท่า
37. จีนสาวไส้ 38. ชะนีร่ายไม้
39. เมขลาล่อแก้ว 40. ชักลำนำ
41. เพลงรำแต่ก่อนครูสอนมา
ท่าสิบสอง
1.พนมมือ 2.จีบซ้ายตึงเทียมบ่า
3.จีบขวาตึงเทียมบ่า 4.จับซ้ายเพียงเอว
5..จีบขวาเพียงเอว 6.จีบซ้ายไว้หลัง
7.จีบขวาไว้หลัง 8.จีบซ้ายเพียงบ่า
9.จีบขวาเพียงบ่า 10.จีบซ้ายเสมอหน้า
11.จีบขวาเสมอหน้า 12.เขาควาย
บทครูสอน
1.ครูเอยครูสอน 2.เสดื้องกร
3.ต่อง่า 4.ผูกผ้า
5.ทรงกำไล 6.ครอบเทริดน้อย
7.จับสร้อยพวงมาลัย 8.ทรงกำไลซ้ายขวา
9.เสดื้องเยื้องข้างซ้าย 10.ตีค่าได้ห้าพารา
11.เสดื้องเยื้องข้างขวา 12.ตีค่าได้ห้าตำลึงทอง
13.ตีนถับพนัก 14.มือชักแสงทอง
15.หาไหนจะได้เสมือนน้อง 16.ทำนองพระเทวดา
บทสอนรำ
1.สอนเจ้าเอย 2.สอนรำ
3.รำเทียมบ่า 4.ปลดปลงลงมา
5.รำเทียมพก 6.วาดไว้ฝ่ายอก
7.ยกเป็นแพนผาหลา 8.ยกสูงเสมอหน้า
9.เรียกช่อระย้าพวงดอกไม้ 10.โคมเวียน
11.วาดไว้ให้เสมือนรูปเขียน 12.กระเชียนปาดตาล
13.พระพุทธเจ้าห้ามมาร 14.พระรามจะข้ามสมุทร
พิธีกรรม
- โนราโรงครู
- โนราโรงครูมี 2 ชนิด คือ
1. โรงครูใหญ่ หมายถึงการรำโนราโรงครูอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะต้องกระทำต่อเนื่องกัน 3 วัน 3 คืนจึงจะจบพิธี โดยจะเริ่มในวันพุธ ไปสิ้นสุดในวันศุกร์ และจะต้องกระทำเป็นประจำทุกปี หรือทุกสามปี ทุกห้าปี ซึ่งต้องใช้เวลาเตรียมการกันนานและใช้ทุนทรัพย์สูง จึงเป็นการยากที่จะทำได้
2. โรงครูเล็ก หมายถึงการรำโรงครูอย่างย่นย่อ คือใช้เวลาเพียง 1 วันกับ 1 คืน โดยปกติจะเริ่มในตอนเย็นวันพุธแล้วไปสิ้นสุดในวันพฤหัสบดี ซึ่งการรำโรงครูไม่ว่าจะเป็นโรงครูใหญ่หรือโรงครูเล็กก็มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวการณ์และความพร้อม การรำโรงครูเล็ก เรียกอีกอย่าง คือ " การค้ำครู "
โนราโรงครูท่าแค
การจัดพิธีกรรมโนราโรงครูวัดท่าแค เริ่มตั้งแต่การไหว้พระภูมิโรงพิธีพระ แล้วเข้าโรงในวันแรกซึ่งเป็นวันพุธตอนเย็น จากนั้นจึงทำพิธีเบิกโรง ลงโรง กาศครู เชิญครู กราบครู โนราใหญ่รำถวายครู จับบทตั้งเมือง การรำทั่วไป วันที่สองซึ่งเป็นวันพฤหัสบดีถือเป็นพิธีใหญ่ เริ่มตั้งแต่ ลงโรง กาศโรง เชิญครู เอาผ้าหุ้มต้นโพธิ์ที่เชื่อกันว่าเป็นที่เผาศพและฝังกระดูกของขุนศรีศรัทธา เซ่นไหว้ครูหมอตายายโนราทั่วไป รำถวายครู การรำสอดเครื่องสอดกำไล ทำพิธีตัดจุก ทำพิธีครอบเทริด หรือผูกผ้าใหญ่ พิธีแก้บนด้วยการรำถวายครูและออกพราน พิธีผูกผ้าปล่อย การรำทั่วไปในเวลากลางคืน ส่วนวันที่สาม เริ่มตั้งแต่ลงโรง กาศครู เชิญครู การรำทั่วไป รำบทสิบสองเพลง สิบสองบท เหยียบเสน ตัดผมผีช่อ รำบทคล้องหงส์ รำบทแทงเข้ รำส่งตายาย เป็นอันเสร็จพิธี
มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ในการประชุมออนไลน์ของคณะกรรมการอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 16 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส องค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศขึ้นทะเบียนการรำโนราห์ทางภายใต้ของไทย ภายใต้ชื่อภาษาอังกฤษว่า "Nora, dance drama in southern Thailand" เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม) ในประเภท "รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity" นับเป็นการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้รายการที่สามของประเทศไทย
ทำเนียบศิลปินโนราห์
- นางกั้น เชาวพ้อง
ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) พุทธศักราช ๒๕๖๑
นางกั้น เชาวพ้อง หรือ โนรากั้น บันเทิงศิลป์ ปัจจุบันอายุ ๘๖ ปี เกิดวันอาทิตย์ เดือนสี่ ปีจอ พ.ศ.๒๔๗๖ จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัดจันพอ หมู่ ๓ ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
ตลอดระยะเวลา ๖๘ ปี ที่โนรากั้น บันเทิงศิลป์ ได้แสดงโนราเพื่อสังคม ในทุกงาน รูปแบบการแสดง
ของโนรากั้น ไม่เคยทอดทิ้งเอกลักษณ์การเป็นโนราแบบโบราณ ยังคงรักษาศิลปะการแสดงโนราที่ถูกต้องทั้งการร้อง การรำแทงเข้ การรำคล้องหงส์ ซึ่งเป็นการรำแสดงแบบโบราณทั้งหมดตลอดถึงเครื่องดนตรี อุปกรณ์การแต่งกายที่ยังคงเป็นโนราโบราณขนานแท้ จึงนับได้ว่า โนรากั้น ได้อนุรักษ์และสืบสานเอกลักษณ์ของโนราคนหนึ่งของภาคใต้ไว้อย่างน่าภาคภูมิใจ จากการที่โนรากั้น บันเทิงศิลป์ มีความสามารถในการแสดงโนราเป็นอย่างมาก และเป็นศิลปินที่มีประชาชนชื่นชม รวมถึงเป็นบุคคลที่มีน้ำใจมีความเอื้ออาทร เสียสละ เป็นที่รักใคร่ของบุคคลทั่วๆ ไป จึงทำให้มีคนมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ฝึกหัดรำโนราอยู่ตลอดเวลารุ่นแล้วรุ่นเล่า โนรากั้นยินดีและเต็มใจถ่ายทอดความรู้ซึ่งลูกศิษย์ที่โนรากั้นได้ฝึกหัด มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จำนวนไม่น้อยกว่า ๑๐๐ คนปัจจุบัน โนรากั้น บันเทิงศิลป์ ยังคงรับงานแสดง และยินดีรับเชิญไปแสดงเสมอเมื่อเป็นงานการกุศลและช่วยเหลือสังคม ยามว่างจากการแสดงโนราจะมีผู้มาขอให้ช่วยโดยให้ค่าแรงบ้าง และให้ช่วยร้อยลูกปัดบ้างนอกจากนั้น ยังขายขนมจีน ใช้ชีวิตอย่างสมถะเรียบง่ายในสังคมชนบท และยังฝึกสอนให้ลูกศิษย์ที่มาฝึกหัดอยู่ตลอด ด้วยอายุวัย ๘๖ ปี ถึงอายุมากอยู่ในวัยชราแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำให้โนรากั้น หยุดการรำโนราได้เพราะจิตและวิญญาณคือศิลปินที่แท้จริงจากการที่นางกั้น เชาวพ้อง หรือโนรากั้น บันเทิงศิลป์ ได้แสดงโนรามาเป็นเวลายาวนานกว่า ๖๘ ปี และประสบผลสำเร็จในอาชีพ เลี้ยงครอบครัว ส่งให้ลูกได้เรียนหนังสือ สร้างฐานะความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ด้วยการรำโนรา ตลอดจนมีลูกศิษย์มากมายไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ คน เป็นบุคคลที่ครองตัวครองตน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี และได้บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น รวมถึงสังคมส่วนรวมต่างๆ มามากมาย อีกทั้งมีความรู้ความสามารถในด้านการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นหลายด้านจนเป็นที่ยอมรับ จึงเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญอีกคนหนึ่งที่ยังคงสืบสานเอกลักษณ์ในศิลปะการแสดงอันเป็นภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของภาคใต้ไว้ได้อย่างดียิ่ง นางกั้น เชาวพ้อง จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (โนรา)
- มโนห์รามดลิ้น
ในบรรดามโนห์ราที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครศรีธรรมราช มโนห์รามดลิ้น ( มดชลิน ) เป็นบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักแพร่หลายโดยทั่วไปทั้งที่เมืองนครศรีธรรมราชและจังหวัดอื่นๆ แม้แต่ในกรุงเทพมหานคร มโนห์รามดลิ้นก็เคยเข้าไปรำเผยแพร่หน้าพระที่นั่งหลายครั้งหลายคราวจนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป และเนื่องจากความสามารถในการรำมโนห์รานี้เอง ท่านผู้นี้จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "ยอดระบำ"
มโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม 2421 ตรงกับเดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ปีขาล เป็นบุตรนายทอง นางนุ่ม เป็นหลานปู่ของนายบัวจันทร์ และย่าชุม เกิดที่บ้านหัวสะพานขอย หมู่ที่ 4 ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันสี่คน คือ นางบึ้ง นายมดชลิน นางลิบ และนางลม
เมื่ออายุประมาณ 7 ขวบ พ่อท่านทวดด้วงได้พาให้ไปศึกษาหนังสือไทยสมัยเรียนนอโม-พุท-ท่อ และเรียนเวทมนต์คาถากับพ่อท่านคงที่วัดเนกขัมมาราม (หน้ากาม) อำเภอร่อนพิบูลย์ เมื่อเรียนหนังสืออ่านออกเขียนได้ดีแล้ว ท่านอาจารย์คงได้ฝากให้ไปเล่าเรียนวิชาไสยศาสตร์เพิ่มเติมกับท่านอาจารย์เกิด ที่วัดป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง กระทั่งมีความรู้อ่านออกเขียนหนังสือขอมได้
ครั้นอายุ 20 ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ที่วัดมัชฌิมภูผา อำเภอร่อนพิบูลย์ 1 พรรษา สมัยพระอาจารย์ภู่เป็นสมภาร และได้ศึกษาเล่าเรียนเวทมนตร์คาถาเพิ่มเติมด้วย ต่อมาอายุ 22 ปี ได้สมรสกับนางทิม ซึ่งเป็นบุตรของมโนห์ราปลอด นางศรีทอง บ้านวังไส ตำบลสามตำบล อำเภอร่อนพิบูลย์ มีบุตรด้วยกัน 7 คน คือนายกลิ้ง นายคล่อง นายสังข์ นายไว นางพิน นางพัน และนายเจริญ
มโนห์รามดลิ้นได้ฝึกหัดรำมโนห์ราเมื่ออายุ 14 ปี โดยฝึกหัดกับมโนห์ราเดชบ้านหูด่าน อำเภอร่อนพิบูลย์ ซึ่งเป็นอาจารย์เดียวกับมโนห์ราหมื่นระบำบรรเลง (คล้าย พรหมเมศ หรือ คล้ายกินนร) เมื่อรำเป็นแล้วได้เที่ยวรำกับอาจารย์หมื่นระบำบรรเลงและมโนห์ราเถื่อน บ้านทุ่งโพธิ์ อำเภอรอ่นพิบูลย์ ในสมัยก่อนมโนห์ราส่วนมากไม่ค่อยจะมีสตรีร่วมแสดงเช่นเดียวกับสมัยนี้ เมื่อจะแสดงเรื่องก็ใช้ผู้ชายแสดงแทน มโนห์รามดลิ้นซึ่งกล่าวได้ว่าสมัยนั้นรูปหล่อ สุภาพอ่อนโยน ก็ทำหน้าที่แสดงเป็นตัวนางเอกแทบทุกครั้ง และแสดงได้ถึงบทบาทจนกระทั่งคนดูสงสารหลั่งน้ำตาร้องไห้เมื่อถึงบทโศก
มโนห์ราลิ้นเที่ยวแสดงในงานต่างๆ แทบทั่ทั้งภาคใต้ จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย นอกจากนี้เคยไปแสดงในงานสำคัญ ๆ ในกรุงเทพฯ หลายครั้งก็คือ
ครั้งแรกเมื่อประมาณ พ.ศ. 2451 ได้ไปรำถวายในพระบรมมหาราชวังเนื่องในงานราชพิธีหน้าพระที่นั่งสมัยรัชกาลที่ 5 มีมโนห์ราคล้าย พรหมเมศ เป็นหัวหน้าคณะไปทางเรือรวมทั้งหมด 13 คน ในการรำถวายครั้งนี้นายคล้าย พรหมเมศแสดงเป็นตัวพระ ส่วนผู้แสดงเป็นตัวนางคือมโนห์รามดลิ้น หลังจากแสดงเสร็จนายคล้าย พรหมเมศ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานเป็นหมื่นระบำบรรเลง มโนห์รามดลิ้นได้รับพระราชทานนามสกุลให้ใหม่เป็น "ยอดระบำ" และในโอกาสเดียวกันนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายศิลปินในสำนักพระราชวัง ได้จดบทกลอนท่ารำมโนห์ราและบทต่างๆ ไว้หลายบท เพื่อถือเป็นแบบฉบับสำหรับการศึกษาต่อไป
ครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ. 2466 ได้ไปรำในงานราชพิธีที่ในพระบรมมหาราชวัง สมัยรัชกาลที่ 6 โดยหมื่นระบำบรรเลงเป็นหัวหน้า พร้อมด้วยมโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ มโนห์ราเสือ (ทุ่งสง) มโนห์ราพรัด (ทุ่งไห้ฉวาง) มโนห์ราคลิ้ง ยอดระบำ ไข่ร็องแร็ง (สามตำบล) พรานทองแก้ว พรานนุ่น กับลูกคู่รวม 14 คน
เมื่อกลับจากแสดงครั้งนี้ชั่วระยะไม่ถึง 2 เดือน ทางราชการได้เรียกมโนห์ราให้ไปแสดงอีก แต่เนื่องจากครั้งนั้นมโนห์รามดลิ้นได้นำคณะมโนห์ราส่วนหนึ่งเดินทางไปแสดงที่จังหวัดกระบี่ พังงา และอำเภอตะกั่วป่า (เดินเท้า) จึงไม่สามารถกลับมาและร่วมไปแสดงได้หมื่นระบำบรรเลง จึงรวบรวมบรรดาศิษย์ไปแสดงเอง การแสดงครั้งนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายศิลปากรได้ถ่ายรูปท่ารำมโนห์ราท่าต่างๆ ของหมื่นระบำบรรเลงกับมโนห์ราเย็นไว้เป็นแบบฉบับเพื่อการเผยแพร่และการศึกษาของอนุชนรุ่นหลัง ดังปรากฏในหนังสือว่าด้วยตำราไทยในหอสมุดแห่งชาติ
ครั้งที่สามเมื่อ พ.ศ. 2473 ได้ไปรำถวายในพระบรมมหาราชวังเนื่องในงานพระราชพิธีหน้าพระที่นั่งสมัยรัชกาลที่ 7 ครั้งนี้หมื่นระบำบรรเลงแก่ชรามากจึงไม่ได้เดินทางไปจึงมองให้มโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ เป็นหัวหน้านำคณะ 12 คน ไปรำถวายแทน
หลังจากนี้ปลาย พ.ศ. 2479 สมัยหลวงวิจิตรวาทการเป็นอธิบดีกรมศิลปากรได้ริเริ่มปรับปรุงฟื้นฟูมหรสพพื้นเมืองทั่วไป จึงได้เดินทางมาขอชมการรำมโนห์ราแบบโบราณที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ ได้นำคณะแสดงให้ชมที่เรือนรับรองของข้าหลวงประจำจังหวัดในสมัยนั้น ผู้แสดงมีมโนห์ราคลิ้ง อ้น เจริญ ปุ่น และพรานบก การแสดงเป็นที่พึงพอใจของอธิบดีเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ขอตัวมโนห์ราเจริญและปุ่นไปอยู่ที่กรมศิลปากร เพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับมโนห์ราแบบโบราณให้แก่นักเรียนของโรงเรียนนาฏศิลป์ กรมศิลปากรได้ศึกษา และได้ให้มโนห์ราทั้งสองได้เล่าเรียนหนังสือไทยเพิ่มเติม พร้อมทั้งศึกษาท่ารำแบบต่างๆ ของกรมศิลปากรให้มีความรู้ความชำนาญยิ่งขึ้น มโนห์ราเจริญ และปุ่นศึกษาอยู่ที่กรมศิลปากรเป็นเวลา 1 ปี จึงได้กลับมายังนครศรีธรรมราช นับได้ว่าเป็นผลงานริเริ่มของมโนห์รามดลิ้นส่วนหนึ่งด้วย
ครั้งที่สี่เมื่อ พ.ศ. 2480 ได้ไปรำในงานวันชาติที่ท้องสนามหลวงอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้มโนห์รามดลิ้นไปในฐานะหัวหน้าคณะเท่านั้น เพราะแก่ชรามากแล้วรำไม่ได้ จึงให้มโนห์ราคลิ้ง ยอดระบำ ซึ่งเป็นบุตรแสดงแทน
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว มโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ ได้เคยนำคณะไปรำในงานของทางราชการบ้านเมืองอีกหลายครั้ง ที่สำคัญเช่น
1. ไปรำถวายรับเสด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จประพาสภาคใต้ซึ่งได้ทรงเสด็จในงานยกช่อฟ้าพระวิหารหลวง วัดพระมหาธาตุวรวิหาร นครศรีธรรมราช
2. ไปรำในงานต้อนรับพลเอก พระยาพหลพลยุหเสนา นากยรัฐมนตรี (สมัยนั้น) ซึ่งเดินทางมาเยี่ยพี่น้องข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช
ส่วนงานอื่นๆ ที่เกี่ยวกับงานของเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง ในอำเภอหรือในจังหวัดใกล้เคียง มโนห์รามดลิ้นได้นำคณะไปช่วยเหลืออยู่เป็นประจำเสมอ ในชีวิตของท่านจึงนับได้ว่าท่านได้ใช้ความสามารถให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
นอกจากความสามารถของการรำมโนห์ราแล้ว มโนห์รามดลิ้นยังสามารถบริการประชาชนในเรื่องยากลางบ้านอีกด้วย กล่าวคือท่านได้ศึกษาหาความรู้ทางแพทย์แผนโบราณภายหลังที่ฝึกฝนให้นายคลิ้งบุตรคนโตให้ฝึกรำมโนห์ราจนชำนาญแล้ว นอกจากรักษาคนเจ็บไข้โดยทั่วไปแล้ว มโนห์รามดลิ้นยังเป็นหมอประจำคณะมโนห์ราอีกทั้งเป็นหมอรักษาผู้ที่ถูกยาสั่ง ถูกคุณต่างๆ ตามหลักวิชาไสยศาสตร์อีกด้วย จึงนับได้ว่าท่านผู้นี้เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมอย่างกว้างขวางจนตลอดชีวิตคนหนึ่ง
มโนห์รามดลิ้น ยอดระบำ ถึงแก่กรรมเมื่อวันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2511 เวลา 10.00 น. ด้วยโรคชรา ที่บ้านเลขที่ 181 หมู่ที่ 7 ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช รวมอายุได้ 92 ปี
บรรณานุกรม
วิกิพีเดีย. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2565 จาก https://th.wikipedia.org/wiki
ประวัติของมโนราห์ (2562). สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2565 จาก https://www.historicaldance.com
วัฒนธรรมประจำท้องถิ่นภาคใต้. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2565 จาก https://sites.google.com/site/psysicstam/prawati-khwam-pen-ma-khxng-mno-ra
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2565 จาก
https://www.m-culture.go.th/phatthalung/ewt_news.php?nid=508&filename=King
ศิลปินโนรา. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2565 จาก https://www.tungsong.com/NakhonSri/Cultures&Games_Nakhonsri/
เพลงบอก
เพลงบอก
ประวัติความเป็นมา/แหล่งกำเนิด
เพลงบอกเป็นการแสดงพื้นบ้านของภาคใต้ที่สืบเนื่องมาแต่โบราณ จัดเป็นปฏิภาณกวีคือผู้ทอกเพลงบอกจะต้องใช้ไหวพริบและปฏิภาณ ซึ่งการใช้คารมที่ออกมาเป็นบทกลอนเพื่อชมสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือโต้ตอบกัน เพลงบอกจะเล่นและร้องกันอย่างแพร่หลายในบริเวณจังหวัดภาคใต้ตอนบนและตอนกลาง ซึ่งบทกลอนของเพลงบอกจะมีความโดดเด่นทางด้านฉันทลักษณ์มาก ซึ่งนักวิชาการกล่าวกันว่ามีความแตกต่างจากเพลงพื้นบ้านภาคใต้อื่น ๆ และไม่ตรงกับบทร้อยกรองไทยประเภทใดเลย (ภัทราดี ภูชฎาภิรมณ์, ๒๕๕๔, หน้า ๕๙) ซึ่งจะนิยมเล่นกันในวันตรุษสงกรานต์ เพื่อเป็นการป่าวประกาศให้ชาวบ้านได้รู้โดยทั่วกันว่าวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่แล้ว หรือใช้เป็นการบอกเรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ เช่น บอกงานบุญกุศล เพราะในสมัยโบราณคนที่รู้หนังสืออ่านออกเขียนได้มีน้อย เอกสารการพิมพ์ก็ไม่แพร่หลายมากนัก รายละเอียดเกี่ยวกับการขึ้นปีใหม่หรือเปลี่ยนศักราช หรือการประกาศสงกรานต์ประจำปี เพลงบอกคือการสื่อสารที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง เพลงบอกจึงเป็นการบอกข่าวของชาวบ้านไปทุกละแวกให้ทราบว่าใกล้ถึงปีใหม่แล้ว หรือเป็นการบอกเล่าเรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ เช่น บอกข่าวเชิญไปทำบุญตามเหตุการณ์ ต่าง ๆ เรียกได้ว่าเพลงบอกเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมทางจิตใจอย่างหนึ่งของชาวใต้ ซึ่งคู่กับชาวบ้านมานานตั้งแต่โบราณ และสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
จังหวัดนครศรีธรรมราชได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีนักเล่นเพลงบอกมากที่สุด ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จนได้รับสมญานามว่าเมืองเพลงบอก นอกจากมีนักเล่นเพลงบอกเป็นจำนวนมากแล้ว นักเล่นเพลงบอกที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมชมชอบว่ามีฝีปากคมคายเป็นที่ดีเยี่ยมส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพลงบอกเป็นการละเล่นประเภทการขับร้องที่ต้องใช้สำเนียงภาษาถิ่นใต้ในการร้องบท ตามคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ได้เล่าว่าเพลงบอกนั้นมีมานานแล้ว ถ้าพิจารณาจากชื่อเรียกเพลงบอกหมายถึงการบอกกล่าวข่าวสารต่าง ๆ ให้ชาวบ้านได้รับรู้ แต่แทนที่จะพูดหรือป่าวประกาศเป็นร้อยแก้ว ผู้ประกาศข่าวหรือแม่เพลง จะกล่าวเป็นทำนองบทร้อยกรอง และมีลูกคู่คอยรับและส่งตามคำร้องของแม่เพลง ส่วนอีกประการหนึ่งเพลงบอกอาจจะมาจากกระบอกไม้ไผ่ ที่ในครั้งอดีตเวลาแม่เพลงนำข่าวสารไปบอกกับชาวบ้าน ก็จะเอาสารออกมาจากกระบอกไม้ไผ่แล้วบอกให้ชาวบ้านทราบ หรือเมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์จะมีนักเลงกลอนชาวบ้าน เที่ยวตระเวนไปแทบทุกครัวเรือนหรือที่ ๆ ชาวบ้านมาชุมนุมกันมาก ๆ อาทิ วัด เพื่อขับร้องกลอนบอกสงกรานต์ตามคำทำนายของโหรหลวง เพราะฉะนั้นเพลงชนิดนี้จึงได้ชื่อว่า "เพลงบอก" สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ (๒๕๒๙) กล่าวว่าเพลงบอกเป็นเพลงพื้นเมืองที่นิยมเล่นแพร่หลายที่สุดในสมัยก่อนเมื่อถึงหน้าสงกรานต์ยังไม่มีปฏิทินบอกสงกรานต์แพร่หลายอย่างปัจจุบัน จะมีแม่เพลงนำรายละเอียดเกี่ยวกับสงกรานต์ออกป่าวประกาศแก่ชาวบ้าน โดยร้องเป็นเพลงพื้นบ้านและมีลูกคู่รับเป็นทำนองเฉพาะจึงมีชื่อเรียกว่าเพลงบอก
สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (2558) ได้กล่าวว่าเพลงบอกนั้นประกอบด้วยคำ ๒ คำ คือคำว่า “เพลง” กับคำว่า “บอก” เพลงหมายถึงสำเนียงขับร้อง, ทำนองดนตรี หรือชื่อการร้องแก้กัน ส่วนบอกหมายถึงพูดให้รู้หรือเล่าให้ฟัง เพราะฉะนั้นเพลงบอกเพลงเล่าเรื่องหรือเล่าเป็นเพลง,พูดเป็นเพลง เพลงบอกเป็นเพลงพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมสูงสุดและมีการแพร่กระจายทั่วทั้ง ๑๔ จังหวัดภาคใต้ ตลอดไปจนถึงคนไทยในประเทศมาเลเซีย
การละเล่นเพลงบอก
ในอดีตการละเล่นเพลงบอกนิยมเล่นเพื่อป่าวประกาศข่าวต่าง ๆ แก่ชาวบ้าน เช่น บอกรายละเอียดเกี่ยวกับงานสงกรานต์ ภายหลังจึงมีการเล่นเพื่อความครึกครื้นหรือร้องโต้ประชันเพื่ออวดฝีปากกัน เพลงบอกคณะหนึ่ง ๆ จะมีแม่เพลง ๑ คน ลูกคู่ ๒-๓ คน กลอนที่ใช้ในเพลงบอกจะเป็นกลอนด้น ซึ่งต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบ รูปแบบค่อนข้างซับซ้อน ยืดหยุ่นได้ทั้งสัมผัสและจำนวนคำ ความนิยมในการเล่นเพลงบอกเดิมเชื่อว่าเป็นการเล่นที่เกี่ยวข้องกับประเพณีสงกรานต์เป็นหลัก ในตำนานนางสงกรานต์ที่เล่าว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเศรษฐีคนหนึ่งรวยทรัพย์แต่ไม่มีบุตรไว้สืบสกุล โดยบ้านของเศรษฐีคนนี้ตั้งอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีที่ไม่มีบุตร จนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร แต่แม้ว่าเศรษฐีจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นานกว่าสามปี ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีบุตร กระทั่งวันหนึ่งเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษเศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอไปถึงก็ได้นำข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐีจึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานเทพบุตรให้องค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าเทพบุตรก็คลอดออกมา เศรษฐีจึงตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า "ธรรมบาลกุมาร" และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัยเวลาผ่านไป ธรรมบาลกุมารโตขึ้นได้เรียนรู้ภาษานก และเมื่ออายุเจ็ดขวบก็ได้เรียนไตรเภทจบ ธรรมบาลกุมาลจึงได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่งท้าวกบิลพรหมได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อ โดยตั้งเงื่อนไขไว้ว่าถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ซึ่งปัญหาที่ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมาร ก็คือ "ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน" เมื่อได้ฟังคำถามดังนั้นธรรมบาลกุมารก็จนปัญญาไม่สามารถตอบได้ จึงได้ขอผัดผ่อนท้าวกบิลพรหมไปอีก ๗ วัน จนกระทั่งล่วงเข้าวันที่ ๖ ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล โดยคิดว่าหากไม่สามารถตอบปัญหานี้ได้ ก็ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาของท้าวกบิลพรหม แต่นับเป็นโชคดีที่ธรรมบาลกุมาร ซึ่งสามารถฟังภาษานกได้ และบังเอิญบนต้นตาลนั้นมีนกอินทรี ๒ ตัว ผัวเมียเกาะทำรังอยู่ ธรรมบาลกุมารจึงได้ยินนกสองตัวผัวเมียสนทนากัน โดยนางนกอินทรีถามสามีว่าพรุ่งนี้จะไปหาอาหารแห่งใด สามีได้ตอบนางนกเมียไปว่าเราจะได้กินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมฆ่าเพราะตอบปัญหาไม่ได้ นางนกเมียจึงถามว่าคำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไรและคำตอบคืออะไร นกผู้สามีก็เล่าให้นางนกผู้เมียฟังว่าตอนเช้าราศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยงราศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็นราศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน เมื่อธรรมบาลกุมารได้ยินดังนั้นก็ดีใจ กระทั่งวันรุ่งขึ้นวันที่ ๗ ธรรมบาลกุมารได้นำคำตอบดังกล่าวไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ทำให้ท้าวกบิลพรหมพ่ายแพ้ต่อธรรมบาลกุมาร ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่าจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ตามคำท้าไว้แต่ปัญหาก็คือ พระเศียรของพระองค์หากตกไปอยู่ที่ใด ก็จะเป็นอันตรายต่อที่นั้นอย่างเช่น หากตั้งเศียรไว้บนแผ่นดินไฟก็จะไหม้โลก แต่ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง หรือถ้าจะทิ้งในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง ด้วยเหตุนี้ท้าวกบิลพรหม จึงมอบหมายให้ธิดาทั้ง ๗ ผลัดเวรกันนำพานมารองรับเศียร โดยให้นางทุงษะผู้เป็นธิดาองค์โต เป็นผู้เริ่มต้น ซึ่งนางทุงษะก็เชิญพระเศียรของท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที จากนั้นนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธชุลี ณ เขาไกรลาศ และเมื่อครบกำหนด ๓๖๕ วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นว่า ๑ ปี เวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้ง ๗ ก็จะทรงพาหนะของตนผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของบิดาออกแห่ ทำเช่นนี้ทุก ๆ ปี และเนื่องจากเทพธิดาทั้ง ๗ ปรากฏตัวในวันมหาสงกรานต์เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า "นางสงกรานต์" ส่วนท้าวกบิลพรหมนั้น นัยก็คือพระอาทิตย์ เพราะกบิลหมายถึงสีแดง คือเป็นการนำเอาเรื่องราวที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและรายละเอียดเกี่ยวกับวันสงกรานต์มาบอกให้ ชาวบ้านได้ทราบเพราะแต่ก่อนนี้ความรู้อ่านออกเขียนได้มีน้อย เพลงบอกจึงเป็นสิ่งที่ชาวบ้านให้ความสนใจเนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม การทำนา ทำไร่ ซึ่งต้องพึ่งพาธรรมชาติ ดังนั้นการทราบรายละเอียดของฝน การให้น้ำของนาค การทราบชื่อนางสงกรานต์ จึงเป็นสิ่งที่ชาวบ้านต้องการทราบ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการประกอบอาชีพของตน นอกจากการเล่นเพลงบอกในวันสงกรานต์แล้ว ในเวลาต่อมีการนำเอาเพลงบอกไปเล่นในงานอื่น ๆ ด้วย เช่น งานประจำปี งานบวชนาค งานแต่งงาน งานศพ งานขึ้นบ้านใหม่ และงานบุญอื่น ๆ ตามความประสงค์ของเจ้าภาพ เพลงบอกจึงกลายเป็นการละเล่นพื้นถิ่นของภาคใต้ตอนบนและภาคใต้ตอนกลาง แต่จะเล่นกันอย่างแพร่หลายในจังหวัดนครศรีธรรมราชมานานกว่า ๒๐๐ กว่าปี โดยจะเล่นกันประมาณปลายปีประมาณเดือน ๔ หรือย่างเข้าเดือน ๕ ซึ่งเป็นเวลาที่ชาวนาภาคใต้ส่วนใหญ่ทำการเก็บเกี่ยวข้าวขึ้นยุ้งฉางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนพลบค่ำตามละแวกบ้านจะได้ยินเสียงเพลงบอกแทบทุกบ้าน คณะเพลงบอกจะออกตระเวณตามบ้านใกล้เรือนเคียง เมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตูรับ แม่เพลงก็จะขับกล่อมเพลงบอก โดยเนื้อความตอนแรกมักจะเป็นบทไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และกล่าวขมเชยเจ้าของบ้าน แล้วเจ้าของบ้านจะเชิญขึ้นบนเรือน ยกเอาหมากพลู บุหรี่ หรือบางที่ก็นำเหล้ายาปลาปิ้งออกมาเลี้ยง เจ้าของบ้านบางคนอาจลองภูมิรู้ของเพลงบอกบอกโดยถามถึงเรื่องราวทั่ว ๆ ไป เช่น หลักธรรมคำสอน ความเป็นมาของวันสงกรานต์ แม่เพลงก็จะขับเป็นเพลงบอกเล่าให้ฟัง และก่อนจะอำลากลับไปบ้านอื่น ๆ คณะเพลงบอกจะขับเพลงบอกให้ศีลให้พรตามธรรมเนียม และคณะเพลงบอกก็จะตระเวนกันต่อไปจนตลอดรุ่งจึงจะเลิก รายได้จากการเล่นเพลงบอกสงกรานต์นิยมแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งจะถวายวัด อีกส่วนหนึ่งแบ่งปันกันในคณะสำหรับเที่ยวและเล่นการพนันในงานสงกรานต์ซึ่งเรียกว่า "เล่นว่าง" ในวันสงกรานต์เพลงบอกนอกจากทำหน้าที่ให้ข่าวสารแล้ว ตามขนมธรรมเนียมประเพณีเด็กหรือผู้เยาว์ยังนิยมเอาน้ำไปสรงพระพุทธรูป ก็จะมีการรดน้ำผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือด้วย ในการขับร้องเพลงบอกในบทหนึ่งจะมีจำนวนวรรคอยู่ ๔ วรรค ในวรรคหนึ่ง ๆ จะมีจำนวนคำที่ไม่ค่อยแน่นอนนัก การขับเพลงบอกนั้นเมื่อแม่เพลงบอกร้องจบวรรคแรก ลูกคู่ก็รับครั้งหนึ่งโดยรับว่า "ว่าเอ้ว่าเห้" พร้อม ๆ กับต้องคอยตีฉิ่งให้เข้าจังหวะกับแม่เพลง แต่เดิมการร้องเพลงบทใช้การปรบมือ หรือการใช้กระบอกไม้ไผ่กระทุ้งให้เกิดเสียงเป็นจังหวะประกอบการร้องบท เครื่องดนตรีที่เพลงบอกใช้และสืบทอดมาถึงปัจจุบันคือฉิ่ง ๑ คู่ (หรืออาจมีกรับ ๑ คู่ก็ได้) การขับเพลงบอกจะแต่งเป็นบทกลอน ซึ่งมีฉันทลักษณ์เป็นแบบฉบับของตนเอง ส่วนมากกลอนหนึ่งบทจะประกอบด้วย ๔ วรรค ๓ วรรคแรกจะมีวรรคละ ๖ คำ ส่วนวรรคสุดท้ายจะมี ๔ คำ เพลงบอกจะต้องมีลูกคู่คอยร้องรับ ซึ่งเพลงบอกคณะหนึ่ง ๆ จะมีลูกคู่อย่างน้อย ๒ คน หรือมากสุดไม่เกิน ๖ คน
ประเภทของเพลงบอก
การขับร้องเพลงบอกที่นิยมเล่นกันสามารถแบ่งออกเป็นประเภทได้ดังนี้คือ
เพลงบอกบอกสงกรานต์
เพลงบอกบอกสงกรานต์ถือเป็นการละเล่นที่เป็นจุดเริ่มต้นของเพลงบอก จะเล่นกันราว ๆ ประมาณปลายเดือน ๔ หรือย่างเข้าเดือน ๕ ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวนาทางภาคใต้ใต้ส่วนใหญ่ทำการเก็บเกี่ยวข้าวขึ้นยุ้งฉางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนพลบค่ำตามละแวกบ้านจะได้ยินเสียงเพลงบอกแทบทุกบ้านของจังหวัดนครศรีธรรมราช คณะเพลงบอกจะออกตระเวณตามบ้านใกล้เรือนเคียง โดยมีบุคคลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บ้านนั้น ๆ เป็นคนนำทางคอยไปปลุกเจ้าของบ้านให้เปิดประตูรับเจ้าของบ้านจะเปิดประตูรับ ก็ต่อเมื่อเขาแน่ใจว่าคนที่มานั้นเป็นผู้ซึ่งเขารู้จักดี ทั้งนี้เพราะว่าบางทีก็มีการสวมรอยของผู้ร้ายมาทำทีเป็นเพลงบอก แล้วเข้าปล้นบ้านก็มี เมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตูรับแม่เพลงก็จะขับกล่อมเพลงบอกขึ้นในทันที เนื้อความตอนแรกมักจะเป็นบทไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวขมเชยเจ้าของบ้านตามสมควร ต่อจากนั้นเจ้าของบ้านก็จะเชิญขึ้นบนเรือน
เพลงบอกบอกข่าวทั่ว ๆ ไป
เพลงบอกบอกข่าวทั่ว ๆ ไป ในการว่าเพลงบอกนอกจากเพลงบอกจะบอกสงกรานต์อันถือเป็นสัญลักษณ์เฉพาะแล้วยังบอกข่าวคราวทั่ว ๆ ไปด้วย เช่น บอกบุญเรี่ยไรในงานบุญงานกุศล ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งและเชิญชวนให้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง ตลอดจนโฆษณาสินค้าต่าง ๆ เป็นต้น ข่าวที่ใช้เพลงบอกจะเข้าถึงและได้รับความสนใจจากชาวบ้านมากกว่าการสื่อสารธรรมดา เพราะท่วงท่าทำนองลีลาจังหวะ ถ้อยคำ และน้ำเสียง ชวนให้เกิดความหรรษาไปด้วย โดยเป็นการว่าเพลงบอกเพื่อประกาศข่าวสาร เช่น งานบุญตามเทศกาลต่าง ๆ โดยเพื่อพ่อเพลงและลูกคู่มาถึงชานบ้านก็จะยกเอาหมากพลู บุหรี่ หรือบางที่ก็นำเหล้ายาปลาปิ้งออกมาเลี้ยง หรือหยิบยื่นให้เป็นเสบียง เป็นยาแก้หนาวในขณะที่ออกตระเวนว่าเพลงบอก เจ้าของบ้านบางคนอาจลองภูมิรู้ของเพลงบอกบอกโดยถามถึงเรื่องราวทั่ว ๆ ไป เช่น หลักธรรมคำสอน ความเป็นมาของวันสงกรานต์ แม่เพลงก็จะขับเป็นเพลงบอกเล่าให้ฟังหากตอบถูกเจ้าของบ้านก็จะตกรางวัลให้ แต่ถ้าบอกไม่ได้ก็อาจเคราะห์ร้ายถูกเจ้าของบ้านเชิญให้ลงจากบ้านก็เป็นได้ แต่ส่วนใหญ่เจ้าของบ้านก็ไม่ถึงกับไล่คณะเพลงบอก เพราะอยากจ่ายรางวัล จึงมักมีรางวัลติดไม้ติดมือกลับไปเสมอ ก่อนจะอำลากลับไปบ้านอื่น ๆ คณะเพลงบอกจะขับเพลงบอกให้ศีลให้พรตามธรรมเนียมของไทยเรา ต่อจากนั้นคณะเพลงบอกก็จะตระเวนกันต่อไปจนตลอดรุ่งจึงจะเลิก แต่ส่วนใหญ่กฌมักจะไปเมามายอยู่ที่ใดที่หนึ่งรายได้จากการเล่นเพลงบอกสงกรานต์ นิยมแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งถวายวัด อีกส่วนหนึ่งแบ่งปันกันในคณะสำหรับเที่ยวและเล่นการพนันในงานสงกรานต์ซึ่งเรียกว่า " เล่นว่าง"
เพลงบอกประชัน
การละเล่นเพลงบอกเพื่อการประชันเป็นการว่าเพลงอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยม ในสมัยก่อนการประชันเพลงบอกส่วนมากจะจัดขึ้นภายในวัด โดยมีแม่เพลงบอกนั่งร้องขับบทกันที่ศาลากลางวัด แม่เพลงผู้อวุโสจะเป็นผู้แสดงฝีปากก่อน ซึ่งจะเริ่มร้องด้วยบทไหว้ครู สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บุคคลสำคัญ และเจ้าบ้านผ่านเมือง เมื่อแม่เพลงร้องจบ ฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มร้องบทไหว้ครูเช่นเดียวกัน
การประชันเพลงบอกจะมีหลักเกณฑ์หรือกติกาในการตัดสินว่าเพลงบอกคณะนี้ดีหรือด้อยอย่างไร โดยจะดูบทกลอนว่าถูกต้องตามฉัทลักษณ์หรือไม่ และว่าถูกต้องตามแบบของกลอนเพลงบอกหรือไม่ นอกจากนี้ยังสังเกตจากการเลือกสรรคำมาใช้ เช่น ดูคำศัพท์ สำนวนโวหาร ว่ามีความคมคาย กว้างแคบ หรือใช้ได้เพียงไร พิจารณาดูเชาว์ปัญญาความรอบรู้ และปฏิภาณไหวพริบของแม่เพลง การนำเสนอความคิดเห็นที่แยบคาย แปลกใหม่ ดูท่วงทำนอง ลีลาจังหวะ สุ้มเสียง และการร้องรับของลูกคู่ ซึ่งจะมีค่านิยมที่ปรากฏในเพลงบอกที่เด่น ๆ มีอยู่ ๒ ประการ คือการเคารพยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ และการเคารพยกย่องครูอาจารย์ นอกจากนี้ในบทกลอนเพลงบอกยังสะท้อนถึงชีวิตความเป็นอยู่และการละเล่นต่าง ๆ ของชาวภาคใต้ ตลอดจนการแสดงความคิดเห็นในเรื่องการเมืองการปกครองอีกด้วย ในการประชันหรือโต้เพลงบอกนิยมยกพื้นเวทีสูงขึ้นกว่าพื้นปรกติเพื่อให้ผู้ชมเห็นได้ชัดเจน คู่โต้พร้อมลูกคู่นั่งฝ่ายละฟากเวที มีผู้อาวุโสนั่งกลางเป็นประธาน แต่เดิมการโต้ไม่กำหนดหัวข้อหรือญัตติและเวลา เรื่องที่โต้แล้วแต่ใครจะหยิบอะไรขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเชิงเปรียบเทียบ เช่น ถ้าฝ่ายหนึ่งว่าเรื่องชนไก่หรือวัวชน อีกฝ่ายก็ต้องว่าเรื่องนั้นด้วย และต่างพยายามนำเรื่องไก่ชน วัวชน มาเปรียบเทียบกับคน โดยเฉพาะแม่เพลงทั้ง ๒ คน จะต้องว่าในทำนองข่มกัน บางครั้งอาจว่าเกี่ยวกับธรรมะและเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ การประชันครั้งสำคัญ ๆ ก่อนประชันต่างฝ่ายต้องสืบประวัติ ตลอดจนชั้นเชิงความสามารถของฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด เพื่อจะได้หาทางกล่าวโจมตีและกล่าวแก้ได้ทันควัน การโต้เพลงบอกต้องอาศัยไหวพริบความฉับไวเข้าแข่งกัน ในการตัดสินแพ้ชนะใช้เสียงของผู้ชมผู้ฟังเป็นหลัก โดยฟังจากเสียงโห่ฝ่ายใดโห่สิ้นเสียงก็เป็นฝ่ายชนะ หรือไม่ก็โต้กันจนจนฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ไปเลย การโต้เพลงบอกในปัจจุบันต่างไปจากสมัยโบราณเป็นอันมาก เพราะมีการกำหนดหัวเรื่องหรือญัตติให้โต้กัน โดยมีฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน มีการกำหนดเวลาและกติกากำหนดไว้ชัดเจนในการโต้ ตลอดถึงมีกรรมการตัดสินเช่นเดียวกับการโต้วาทีโดยทั่ว ๆ ไป ซึ่งจะทำให้เพลงบอกคณะที่เตรียมตัวมาดีกว่าได้เปรียบ แต่การโต้เพลงบอกจะไม่สนุกและไม่เห็นไหวพริบปฏิภาณของเพลงบอกได้เด่นชัดดั่งเช่นในอดีต
เพลงบอกร้องชา
เพลงบอกร้องชาเป็นการร้องบูชาหรือชมเชยสิ่งชองหรือบุคคลที่ควรชมเชยหรือบูชา เช่น ชาขวัญข้าว ชาประธาตุ ชาเจ้านายหรือข้าราชการผู้ใหญ่ ชาผู้อาวุโสและครูอาจารย์ เป็นต้น การร้องชาแม่เพลงจะสรรหาแต่สิ่งดีงาม สวยงามขึ้นมากล่าว เพื่อให้สิ่งของหรือผู้ที่ถูกชาเกิดความมีคุณค่า รู้สึกอิ่มเอมใจ การชาพบได้บ่อยในงานบุญ โดยเพลงบอกจะชาผู้ทำบุญว่าเป็นผู้สูงส่งด้วยคุณธรรมต่าง ๆ
การขับร้องเพลงบอก
เนตร ชลารัตน์ ๑ นักเล่นเพลงบอกอาวุโสยืนยันว่าเพลงบอกเป็นชื่อเรียกตามลักษณะการบอกกล่าวกันในวันสงกรานต์แน่นอน ทั้งนี้เพราะแต่ก่อนหาปฏิทินที่บอกสงกรานต์ได้ยาก เพลงบอกจึงนำรายละเอียดเกี่ยวกับสงกรานต์ไปขับร้องบอกกล่าวแก่ชาวบ้าน บทกลอนเพลงบอกดัดแปลงมาจากคำร้องประเภทหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะสั้น ๆ เรียกว่า “เพลงเห่” บ้าง “กลอนแปดบท” บ้างเช่น
รักเมียเสียนายจะคลายยศ รักกระบือเสียสวนควรจะอดผล
รักนวลเสียงานป่วยการตน รักชนเสียชื่อคือคนร้าย
รักดื้อเสียดายคงจะวายชีพ ไม่ช้านานเท่าใดไวฉิบหาย
ท่านผู้ฟังหลังหน้าปรึกษาดู จะว่าไว้ให้เห็นเป็นครูลาย
กลอนแปดบทเฟื่องฟูอยู่ทางเมืองนครศรีธรรมราชประมาณ ๑๕๐-๒๐๐ ปีมาแล้ว ศิลปินที่มีชื่อเสียงตามที่เล่าสืบต่อกันมาได้แก่นายเรือง นาใน จนผู้คนเรียกว่า “นายเรืองแปดบท” นายเรืองมีชีวิตอยู่ราวสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาขุนประดิษฐ์ได้ดัดแปลงกลอนแปดบทขึ้นเป็นกลอนเพลงบอก เรียกติดปากกันในครั้งนั้นว่า “เพลงบอกขุนประดิษฐ์” นักกลอนเพลงบอกที่มีชื่อในระยะแรกได้แก่นายควาย นายสุขปราชญ์ นายช่วย เสมาชัย ขุนเสกและนายแตง เป็นต้น แต่ลักษณะกลอนในระยะแรกคงจะลักลั่นกันอยู่มากและคงไม่ไพเราะนัก ล่วงมาถึงสมัย พระรัตนธัชมุนี (ม่วง รตฺนธชฺเถระ) ซึ่งเป็นสหชาติกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นเจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราช จึงได้ดัดแปลงจัดระเบียบกฎเกณฑ์ของกลอนเพลงบอกขึ้นเป็นแบบแผน กลอนเพลงบอกที่เขียนครั้งแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาลาประดู่หกซึ่งเป็นศาลาหน้าจวนเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เพลงบอกคณะหนึ่งจะมีแม่เพลง ๑ คน และลูกคู่อีก ๔-๖ คน อาจจะน้อยกว่าหรือมากกว่าก็ได้ เครื่องดนตรีจะมีเพียงอย่างเดียวคือฉิ่ง การร้องจะใช้ภาษาถิ่นปักษ์ใต้ โดยร้องด้นเป็นกลอนสดแท้ ๆ ใช้ปฏิภาณร้องไปตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็น แต่ถ้าร้องในโอกาสพิเศษอื่น ๆ มักจะเตรียมตัวโดยประพันธ์เรื่องไว้ก่อนไปร้องก็มี สำหรับดนตรีประกอบบางคราวก็อาจมีเพิ่มได้ เช่น ขลุ่ย ปี่ ทับ กรับ ก็ได้ สำหรับวิธีการขับ (ว่า) เพลงบอก เมื่อแม่เพลงบอกร้องจบวรรคแรกลูกคู่ก็รับครั้งหนึ่งโดยรับว่า "ว่าเอ้ว่าเห้" พร้อม ๆ กับต้องคอยตีฉิ่งให้เข้ากับจังหวะ ถ้าหากแม่เพลงว่าวรรคแรกซ้ำอีก ลูกคู่ก็จะรับว่า "ว่าทอยช้าฉ้าเอ้" และเมื่อแม่เพลงว่าไปจนจบบทแล้ว ลูกคู่จะต้องรับวรรคสุดท้ายอีกครั้ง ในเพลงบอกบทหนึ่ง ๆ มีจำนวนวรรคอยู่ ๔ วรรค วรรคหนึ่ง ๆ มีจำนวนคำไม่ค่อยแน่นอน บางทีขาดบางที่เกินไปบ้าง และสัมผัสก็ไม่เคร่งครัดนัก การนอกสัมผัสใน เช่น
ครั้นได้มิตรชนิดดี ผูกไมตรีไว้ในแน่น
อย่าคลอนแคลนลอดลักลั่น ทำเป็นหักหุน
เมื่อข้าวของเงินทองเฟือ หยิบแผ่เผื่อแจกเจือจุน
กับหมั่นหมุนเอาใจคอ กันให้พอดี
ในสมัยอนเมื่อใกล้ถึงเทศกาลต่าง ๆ คณะเพลงบอกต่างก็เตรียมฝึกซ้อม หาลูกคู่ และคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ เพื่อประกวดกัน หลังจากทำบุญเสร็จตกบ่ายคณะเพลงบอกจะไปว่าเพลงบอก ตามบ้านผู้ที่ตนเคารพนับถือหรือผู้ที่ตนรู้จักคุ้นเคย ความนิยมแบบนี้ปัจจุบันลดน้อยลงไปมาก ยังมีเหลืออยู่ในบางท้องถิ่นเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเพลงบอกในปัจจุบันมักจะว่าประชันกันตามงานวัด งานทำบุญบ้าน งานนักขัตฤกษ์ หรือกล่าวบอกบุญหาให้ผู้คนมาร่วมบริจาคเงิน หรือวัสดุ ในงานบุญของวัดต่าง ๆ นักเล่นเพลงบอกโดยเฉพาะที่เมืองนครศรีธรรมราช ได้รับการยกย่องกันทั่วไปว่ามีคารมคมคาย มีชื่อเสียงติดปากชาวบ้านมาจนกระทั่งปัจจุบันหลาย ๆ ท่าน อาทิ ปรีชาควาย สุขปราชญ์ ปานบอด รอดหลอ เจ้าคุณรัตนธัชมุนี (ม่วง) พระครูวินัยธร ชูปราชญ์ เพลงบอกเนตร ชลารัตน์ และเพลงบอกสร้อย เสียงเสนาะ เป็นต้น
สำหรับวิธีการขับเพลงบอก เมื่อแม่เพลงร้องจบวรรคแรกลูกคู่ก็รับครั้งหนึ่งโดยรับว่า "ว่าเอ้ว่าเห้" พร้อม ๆ กับจะต้องคอยตีฉิ่งให้เข้ากับจังหวะ ถ้าหากแม่เพลงว่าวรรคแรกซ้ำอีก ลูกคู่ก็จะรับว่า "ว่าทอยช้าฉ้าเหอ" และเมื่อแม่เพลงว่าไปจนจบบทแล้ว ลูกคู่จะต้องรับวรรคสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง เช่น บทตัวอย่างกลอนเพลงบอกประชัน ตอนที่เพลงบอกปานบอด จากอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้โต้ตอบกับเพลงบอกรุ่ง จากอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่แสดงถึงความสามารถในเชิงเพลงบอกดังเช่นตัวอย่างตอนหนึ่งจากการประชันเพลงบอก.....
รุ่ง: กูไม่เป็นเวสสันดร (รับ)) เพราะจะเดือดร้อนที่สุด กูจะเป็นนายเจตบุตรที่ร่างกายมันคับขัน (รับ) คอยยิงพุงชูชก (รับ) ที่สกปรกเสียครัน ถือเกณฑ์ขวางไว้ ไม่ให้มึงเข้าไป (รับ)
ปาน: ดีแล้วนายเจตบุตร (รับ) เป็นผู้วิสุทธิ์สามารถ เป็นบ่าวพระยาเจตราชที่เขาตั้งให้เป็นใหญ่ (รับ) ถือธนูหน้าไม้ (รับ) คอยทำลายคนเข้าไป เขาตั้งให้เป็นใหญ่ คอยเฝ้าอยู่ปากประตูป่า (รับ) คนอื่นอื่นมีชื่อเสียง (รับ) เขาได้เลี้ยงวัวควายแต่นายเจตบุตรรุ่ง นาย เขาใช้ให้เลี้ยงหมา (รับ
รุ่ง : ปานนี้เปรียบเหมือนกับชูชก มันแสนสกปรกเหลือประมาณ
อ้ายเรื่องหัวไม้ขอทาน แล้วใครจะปานกับมัน
เปิดคนที่ขี้ขอ ยิ่งคนเขายอว่าสำคัญ
แล้วตัวมันยิ่งกินยอ เห็นว่าคนพอใจ
พัทลุงหรือสงขลา ตลอดมาถึงนคร
ถ้าปล่อยให้ปานขอก่อน แล้วคนอื่นไม่พักไขว่
ปาน : จริงแหละรุ่งปานเหมือนชูชก แต่ปานจะยกรุ่งเป็นพระเวสสันดร
ครั้งชูชกเข้าไปวอน แล้วรุ่งให้ไม่เหลือไหร่
ถึงลูกเมียยังไม่แน่ ครั่งพอปานแวะเข้าไป
บางทีสิ่งไรที่รัก ใคร่ก็รุ่งต้องให้มา
รุ่ง : เราไม่เป็นพระเวสสันดร เพราะจะเดือนร้อนในที่สุด
เราจะเป็นนายเจตบุตร ที่มันเลิศเป็นนักหนา
ได้รับคำสั่งท้าวเจตราษฏร์ เหมือนหมายมาดที่เป็นมา
คอยรักษาอยู่ประตูป่า ถ้ามึงมาเวลาใด
เราจะคอยยิงด้วยธนูหน้าไม้ ให้ชูชกมันวายชีวิต
น้ารุ่งยกกลอนขึ้นประดิษฐ์ เห็นว่าไม่ผิดไหร่
ปาน : จริงแหละรุ่งตนเป็นเจตบุตร เป็นคนประเสริฐสุดงามวิไล
ถ้าเมื่อชูชกเข้าไป ต้องม้วยซึ่งชีวา
แต่คนอื่นอื่นเขาเลี้ยงวัว บางคนก็เลี้ยงควาย
แต่เจตบุตรรุ่งนาย ทำไมถึงเลี้ยงหมา
อุปกรณ์และวิธีการเล่น
๑. อุปกรณ์
เพลงบอกคณะหนึ่งมีแม่เพลง ๑ คนและลูกคู่อีก ๔ ถึง ๖ คน มีฉิ่งเป็นดนตรีประกอบเพียงอย่างเดียว การร้องเพลงบอกใช้ภาษาถิ่นปักษ์ใต้ โดยร้องด้นเป็นกลอนสดแท้ ๆ ใช้ปฏิภาณร้องไปตามเหตุการณ์ที่พบเห็น แม่เพลงต้องมีความรอบรู้ไหวพริบดี และฝึกฝนจนแม่นยำในเชิงกลอน
๒. วิธีการเล่น
สำหรับวิธีการขับเพลงบอก เมื่อแม่เพลงร้องจบวรรคแรกลูกคู่ก็รับครั้งหนึ่งโดยรับว่า "ว่าเอ้ว่าเห้" พร้อม ๆ กับจะต้องคอยตีฉิ่งให้เข้ากับจังหวะ ถ้าหากแม่เพลงว่าวรรคแรกซ้ำอีก ลูกคู่ก็จะรับว่า "ว่าทอยช้าฉ้าเหอ" และเมื่อแม่เพลงว่าไปจนจบบทแล้ว ลูกคู่จะต้องรับวรรคสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง
โอกาส/เวลาที่เล่น
๑. เพลงบอก นิยมเล่นกันในวันตรุษสงกรานต์ เป็นการบอกกล่าวป่าวร้องให้ชาวบ้านทุกละแวกได้ทราบว่าถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว โดยเฉพาะรายละเอียดการเปลี่ยนปี หรือการประกาศสงกรานต์ประจำปีซึ่งสมัยก่อนไม่ได้มีการพิมพ์ปฏิทินอย่างเช่นในปัจจุบัน
พอถึงปลายเดือนสี่ย่างเดือนห้า ซึ่งเป็นระยะที่ชาวนาส่วนมากเก็บเกี่ยวขึ้นยุ้งขึ้นฉางเสร็จแล้ว เวลาพลบค่ำตามละแวกบ้านจะได้ยินเสียงเพลงบอกแทบจะกล่าวได้ทุกหมู่บ้านของจังหวัดนครศรีธรรมราช ออกตระเวณตามบ้านใกล้เรือนเคียงโดยมีบุคคลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บ้านนั้น ๆ เป็นคนนำทาง คอยไปปลุกเจ้าของบ้านให้เปิดประตูรับ
เมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตูรับ แม่เพลงก็จะขับกลอนเพลงบอกขึ้นในทันที เนื้อความตอนแรกมักจะเป็นบทไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวชมเชยเจ้าของบ้านตามสมควร เจ้าของบ้านจะเชื้อเชิญขึ้นบนเรือน ยกเอาหมากพลู บุหรี่ เหล้ายาปลาปิ้งออกมาเลี้ยง ตอนนี้เพลงบอกจะว่าเพลงเล่นตำนานสงกรานต์ในปีนั้นให้ฟัง ถ้าเจ้าของบ้านพอใจก็จะให้รางวัล
๒. เพลงบอกเล่าเรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ เช่น บอกข่าวเชิญไปทำบุญกุศลที่นั่นที่นี่ตามเหตุการณ์ จะเห็นได้ว่าเพลงบอกเกิดขึ้นเพื่อใช้ในการป่าวประกาศเรื่องต่าง ๆ ให้ประชาชนทราบนั่นเอง เหตุผลก็คือในสมัยโบราณคนที่รู้หนังสืออ่านออกเขียนได้มีน้อยกิจการพิมพ์ก็ไม่แพร่หลาย ข่าวที่ใช้เพลงบอกเป็นสื่อจะได้รับความสนใจจากชาวบ้านมากกว่าการสื่อสารธรรมดา เพราะฟังแล้วเกิดความสนุกด้วย
๓. เพลงบอกประชัน เป็นการโต้เพลงบอกให้ผู้ชมฟัง โดยการจัดเวที เพื่อประชันโต้ตอบ ไม่มีการกำหนดหัวข้อและเวลา แล้วแต่ใครจะหยิบยกเรื่องอะไรมาว่า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการเปรียบเทียบ และต้องว่าในทำนองข่มกัน หาทางโจมตีและกล่าวแก้ได้ทันควัน การตัดสินแพ้ชนะใช้เสียงผู้ชมเป็นหลัก โดยฟังจากเสียงโห่หรือโต้กันจนอีกฝ่ายหนึ่งยอมแพ้
คุณค่าและแนวคิด
การเล่นเพลงบอกให้คุณค่าดังนี้
๑. เป็นการใช้ภูมิปัญญาเพื่อประชาสัมพันธ์ประกาศบอกข่าวแก่ชาวบ้าน ในสมัยที่การสื่อสารยังไม่เจริญและไม่มีปฏิทินบอกวันเหมือนอย่างในปัจจุบัน ทำให้ชาวบ้านทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสงกรานต์และข่าวต่าง ๆ
๒. น้ำเสียง ถ้อยคำในการว่าเพลงบอก ให้ความครึกครื้นสนุกสนาน ข่าวที่มากับเพลงบอก จึงได้รับความสนใจจากชาวบ้านมากกว่าบอกข่าวธรรมดา ปัจจุบันเพลงบอกจึงนำมาใช้บอกบุญ โฆษณาสินค้าต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง และเชิญชวนให้คนไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียง
๓. นักว่ากลอนได้แสดงความสามารถในกลอนปฏิภาณ และศิลปะในการขับกลอน การประชันอวดฝีปากในเชิงกลอน ผู้ว่ากลอนต้องมีความรอบรู้ เฉลียวฉลาด หลักแหลม ไหวพริบดี และแม่นยำในเชิงกลอน นับเป็นวิธีการพัฒนาความรู้ของชาวบ้านได้อีกวิธีการหนึ่ง
เครื่องดนตรี
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการขับร้องเพลงบอกแต่เดิมนั้นมี ๒ ชนิดคือ
๑. ฉิ่ง จํานวน ๑ คู่ โดยจะต้องเลือกฉิ่งที่มีเสียงดี คือเสียงต้องกังวาน และปลายเสียงจะต้องไม่ขาด ฉิ่งที่มีเสียงดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ผสมทองเหลือง เพลงบอกบางคณะจะให้ช่างทองเหลืองทําฉิ่งให้โดยเฉพาะ
๒. กรับ จํานวน ๑ คู่ กรับที่ใช้ควรทําด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้มะขาม ไม้เคี่ยม ไม้หลุมพอ ไม้ขนุน หรือแก่นไม้ขี้เหล็กก็ได้ เหตุที่ต้องเลือกไม้เนื้อแข็งมาใช้ก็เพราะคงทน แข็งแรงและเสียงดังไพเราะดี
ต่อมาสมัยหนึ่งแม่เพลงบอกนิยมถือพัดด้ามจั่วหรือพัดจีนด้วย พัดด้ามจิ๋วที่แม่เพลงถือเป็นพัดกระดาษ คลี่กางพับเก็บได้ง่ายและรวดเร็ว จุดประสงค์ของการถือพัดชนิดนี้ก็เพื่อให้ดูมีสง่า มีความภูมิฐานสมกับเป็นแม่เพลง และแม่เพลงจะใช้พัดดังกล่าวทํา จังหวะหรือบางคราวก็พัดวีแก้ร้อนหรือถือแก้ขวยเขิน (ซึ่งบางคนถือว่าพัดด้ามจิ้วเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่ใช้ประกอบการขับร้องเพลงบอก เพราะถือว่าแม่เพลงใช้พัดดังกล่าวทําจังหวะ ในการขับร้องเพลงบอกไปด้วย) ในปัจจุบันนี้กรับและพัดด้ามจิ๋วได้เลิกใช้ประกอบการขับร้องเพลงบอก จะเป็นด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการขับร้องเพลงบอกจึงเหลือ อยู่เพียงนิ่ง ๑ คู่ เพื่อให้จังหวะเท่านั้น
แม่เพลงและลูกคู่
เพลงบอกคณะหนึ่ง ๆ ใช้ผู้เล่นไม่มาก คือมีแม่เพลงเพียง ๑ คน กับลูกคู่อีก ๒ คน เป็นอย่างน้อย และอย่างมากที่สุดจํานวนลูกคู่จะไม่เกิน ๔ คน แต่ที่แม่เพลงนิยมกันมากคือลูกคู่ ๓ คน
ก. แม่เพลงบอก
แม่เพลงบอกซึ่งเล่นเพลงบอกอยู่โดยทั่ว ๆ ไปนั้นจะแบ่งเป็น ๒ พวก คือ
- เพลงบอกไม่มีครู เพลงบอกประเภทนี้เรียกว่า “เพลงบอกหัดเอง” คือเมื่อมีใจชอบก็พยายามศึกษาหรือฝึกฝนด้วยตัวเอง ตลอดถึงไปฟังไปดูเพลงบอกที่มีชื่อเสียงเขาขับบท แล้วจดจําเอาท่วงทํานองมาหัดว่า และเมื่ออยู่ว่าง ๆ ก็พยายามหาหนังสือต่าง ๆ มาศึกษาหาความรู้ เพื่อให้แตกฉานในเรื่องต่าง ๆ และหัดแต่งกลอนเพลงบอก จนในที่สุดก็สามารถออกโรงได้ แต่น่าสังเกตว่าแม่เพลงบอกที่ฝึกหัดเองนั้นมักจะ เป็นเพลงบอกที่เอาดีได้ยาก ที่มีชื่อเสียงถึงขนาดเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปมีน้อยเต็มที่
- เพลงบอกมีครู แม่เพลงบอกประเภทที่สองนี้ เรียกว่า “เพลงบอกศิษย์มีครู” แม่เพลงบอก ประเภทนี้พวกนี้ เมื่อสนใจหรือชอบที่จะเล่นเพลงบอก นอกจากจะหัดว่าหรือหัดขับบทเพลงบอกด้วยตัวเองแล้ว ก็จะไปฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ของแม่เพลงบอกที่มีชื่อเสียงคนใดคนหนึ่ง เพื่อขอศึกษากลอนเพลงบอก และความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเพลงบอก ตลอดจนกลเม็ดและไหวพริบต่าง ๆ บางทีก็ติดตามผู้เป็นครูไปเป็นลูกคู่ เพื่อที่จะได้มีประสบการณ์กว้างไกลยิ่งขึ้น แม่เพลงบอกประเภทศิษย์มีครูมักจะมีหลักเกณฑ์ในการขับบทเพลงบอกที่ถูกต้อง และมักจะได้รับความนิยมจากผู้ดู ผู้ฟัง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันกว้างขวางทั่วไป กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือมักจะประสบผลสําเร็จถึง ขนาดยึดเอาการเล่นเพลงบอกเป็นอาชีพได้
แม่เพลงบอกจะเก่งหรือมีชื่อเสียงได้นั้น นอกจากจะมีความสําคัญอยู่ที่มีครูหรือไม่มีครูแล้ว ยังมีองค์ประกอบที่มีความสําคัญอีกหลายประการคือ
๑. ต้องศึกษากลอนเพลงบอกให้รู้อย่างละเอียดลึกซึ้ง จนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าแตกฉานจริง ๆ มิใช่รู้เพียงง ๆ ปลาๆ เท่านั้น โดยเฉพาะฉันทลักษณ์ของกลอนชนิดนี้ต้องแม่นยํา และต้องรู้จักท่วงทํานองอย่างดีด้วย
๒. มีความสนใจในงานร้อยกรองประเภทอื่น ๆ งานร้อยกรองที่ว่านี้ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และกลบทต่าง ๆ นั่นเอง ทั้งนี้เพราะว่าท่วงทํานองของกลอนและกลบทนํามาใช้ในการแต่งกลอนเพลงบอกได้มาก และสิ่งสําคัญที่สุดที่ได้จากการสนใจบทร้อยกรองประเภทอื่น ๆ ก็คือ ช่วยให้แม่เพลงบอกรู้จักเลือกสรรใช้คําให้ได้คําที่มีเสียงเสนาะและมีความหมายที่ลึกซึ้งกินใจ
๓. มีความสนใจในการเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตัวเองอย่างกว้างขวาง ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา วรรณคดี และความรู้เกี่ยวกับสภาพทั่วไปของสังคมชาวบ้านในชนบทตั้งแต่เกิดจนตาย ส่วนเรื่องทั่ว ๆ ไปอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน เช่น ปลากัด ไก่ชน วัวชน ไฟ โป นิทาน พื้นบ้าน วรรณกรรมพื้นบ้าน ตํารายาพื้นบ้าน เป็นต้น ต้องรอบรู้อย่างละเอียดด้วย นอกจากนี้ข้อธรรมะต่าง ๆ และคัมภีร์ชาดกต่าง ๆ ก็มีส่วนช่วยอย่างสําคัญที่จะทําให้ความคิดของแม่ เพลงบอกคมคายและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
๔. มีความสนใจและรู้จักบันทึก จดจํา ถ้อยคํา สํานวน ภาษิต และสุภาษิตต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ เพราะถ้อยคํา สํานวน ภาษิต และสุภาษิตที่คมคาย จะช่วยให้แม่เพลงบอกผูกคํากลอนขึ้นมาได้แหลมคมและมีความลุ่มลึก ทั้งความคิดของแม่เพลงจะไม่จํากัดอยู่ในกรอบแคบ ๆ
ข. ลูกคู่เพลงบอก
การร้องรับเพลงบอกนั้นเป็นหน้าที่ของลูกคู่ ซึ่งลูกคู่ของเพลงบอกคณะหนึ่ง ๆ นั้นมีอย่างน้อยที่สุด ๒ คน และอย่างมากที่สุดไม่ควรเกิน ๔ คน นอกจากจะมีหน้าที่รองรับแล้ว ลูกคู่จะต้องคอยตีฉิ่ง และกรับให้เข้ากับจังหวะการร้องและการรับด้วย ลูกคู่ที่นักเล่นเพลงบอกถือว่าเป็นดีที่สุดคือ ๓ คน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเสียงที่รับนั้นจะพร้อมเพรียงประสานกันดีประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งคือเสียงที่รับจะไม่เบาจนเกินไปและดังจนเกินไป ลูกคู่นั้นจะต้องเป็นลูกคู่ขาประจํา ไม่ใช่จะเป็นใครเข้ามาประสมโรงก็ได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็ เพราะว่าลูกคู่ที่รับอยู่ประจําจะรู้ว่าแม่เพลงมีท่วงทํานองการร้องเฉพาะตัวเป็นอย่างไร เมื่อรับจะได้มีช่วงจังหวะที่ดีไม่ขัดเขิน และในบางคราวเมื่อแม่เพลงใช้คําเกินหรือขาดหรือไม่กลมกลืนกัน ลูกคู่ก็อาจจะตัดคําหรือเพิ่มคําหรือเปลี่ยนแปลงคําเสียเล็กน้อยในตอนที่รับ ก็จะทําให้การร้องและการรับเพลงบอกมีความไพเราะยิ่งขึ้น ลูกคู่ของเพลงบอกมีอยู่ ๒ ประเภท คือ
ประเภทที่ ๑ คือเป็นลูกคู่โดยตรง เป็นลูกคู่ที่มีหน้าที่รับแต่เพียงอย่างเดียว
ประเภทที่ ๒ คือผู้ที่มาเป็นศิษย์ฝึกหัดเพลงบอก ลูกคู่ประเภทที่สองนั้น นอกจากจะมีหน้าที่รับเพลงบอกแล้ว ในบางคราวที่แม่เพลงบอกร้องติดต่อกันนาน ๆ เสียงอาจ จะแหบแห้งหรืออาจจะเหน็ดเหนื่อย ก็อาจจะให้ลูกคู่ที่เป็นศิษย์ร้องแทนก็มี การร้องแทนของลูกคู่ที่เป็นลูกศิษย์นั้น นอกจากจะช่วยผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยของแม่เพลงแล้ว ยังได้ ประโยชน์อีก ๒ ประการ คือ เป็นการให้ลูกศิษย์ได้ลองแสดงคารมและท่วงทํานองของตัวเองบ้าง จะได้เกิดความเคยชิน และในช่วงที่หยุดพักจะช่วยให้แม่เพลงมีเวลาคิดเอามุขเด็ด ๆ หรือคํากลอนที่มีความคิดและถ้อยคําคมคายไว้เสนอให้ผู้ฟังในช่วงต่อไปอีกด้วย
ส่วนการรับเพลงบอกนั้นมีแบบฉบับที่แน่นอนตายตัว กล่าวคือเมื่อแม่เพลงร้องจบ วรรคแรก ลูกคู่จะรับว่า “ว่าเอ้ว่าเห” แล้วซ้ำข้อความที่แม่เพลงร้อง ๓ พยางค์สุดท้ายถ้าแม่เพลงร้องซ้ําวรรคแรกอีกครั้งหนึ่ง ลูกคู่ก็จะต้องรับว่า “ทอยช่าฉ้าเอ” หรือ “ทอยช่าฉ้าเหอ" แล้วซ้ําข้อความ ๒ พยางค์สุดท้าย ต่อจากนั้นแม่เพลงก็จะร้องวรรคที่สอง วรรคที่สาม และเมื่อร้องวรรคที่สี่หรือวรรคสุดท้ายจบลง ลูกคู่ก็จะรับโดยซ้ําวรรคสุดท้าย แล้วย้อนกลับไปซ้ํา ข้อความในวรรคที่สามและวรรคสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง ลูกคู่จะรับเช่นนี้ทุก ๆ บทที่แม่เพลงร้อง
การแต่งกาย
สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับแม่เพลงและลูกคู่อีกอย่างหนึ่งก็คือ การแต่งกาย การแต่งกายของแม่เพลงและลูกคู่แต่เดิมนั้นนจะแต่งกายอย่างไรนั้นไม่สามารถสืบค้นได้ แต่ในช่วง ๖๐ ถึง ๗๐ ปีที่ผ่านมานี้ มีผู้เล่าให้ฟังพอสรุปได้ว่าการแต่งกายของนักเลงเพลงบอกนั้น มีอยู่ ๒ แบบ คือ
แบบที่ ๑ แต่งกายตามสบาย มีเสื้อผ้าอาภรณ์ใส่ในชีวิตประจําวันอย่างไรก็ใช้อย่างนั้น ไม่ประดิษฐ์ตกแต่งให้ยุ่งยาก เสียเวลา อาจจะนุ่งกางเกงบ้าง ผ้าโสร่งพื้นเมืองบ้าง มีผ้าขาวม้าพาดบ่าหรือเคียนพุงผืนหนึ่ง เสื้อจะสวมหรือไม่ก็ได้ กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือแต่งกายตามที่ตัวเองมีอยู่นั่นเอง หรือตามที่ชาวบ้านชาวเมืองเขานิยมใช้นั่นเอง การแต่งกายของเพลงบอกแบบตามสบายนี้น่าจะเป็นการแต่งกายแบบเก่า ทั้งนี้เพราะว่าสอดคล้องกับพื้นฐานของการเล่นชนิดนี้ คือเล่นสนุกแบบสมัครเล่น จึงไม่ได้หวังผลอะไรจากการเล่นสนุก เว้นเสียแต่ในบางคราวมีผู้มาหาให้ไปเล่นใน งานใดงานหนึ่ง จึงต้องแต่งกายดี ๆ ให้สวยงามและมีระเบียบแบบแผนขึ้น
แบบที่ ๒ เป็นแบบแผนขึ้นกว่าแบบแรกเพราะมีเงื่อนไขของผู้ชมและสถานที่ที่แสดงมาเกี่ยวข้อง กล่าวคือเมื่อการเล่นเพลงบอกได้รับความนิยมมากขึ้นก็มี ผู้ไปหาให้ไปว่าในงานต่าง ๆ หรือว่าประชันกันหรือไปว่าที่บ้านเจ้านายในตัวเมือง จึงแต่งกายแบบตามสบายหรือซอมซ่อจนเกินไปไม่ได้ เพลงบอกบางคนจะนุ่งผ้าโจงกระเบนเป็นผ้ายกทอ พื้นเมือง ผ้าม่วง ผ้าไหม หรือผ้าโสร่ง สวมเสื้อสี มีผ้าขาวผ้าพาดบ่าผืนหนึ่ง หรืออาจจะ ใช้ผ้าแพรเพลาะพาดบ่าคลุมไหล่ และมือจะถือพัดด้ามจิ๋วด้วย การแต่งกายแบบที่ ๒ เป็นการแต่งกายที่พัฒนาขึ้นมาตามสภาพสังคมที่นิยมกันในสมัยหลัง ทั้งนี้เพราะมีเงื่อนไขของผู้ชมและสถานที่ที่แสดงมาเกี่ยวข้องดังที่ได้กล่าวแล้ว
จุดเด่น/เอกลักษณ์
เพลงบอก มีภารกิจหลักตั้งเดิมคือทำหน้าที่สื่อสารมวลชนในการบอกข่าว อาทิวันขึ้นปีใหม่เดิมของไทยว่าปีนั้น ๆ นางสงกรานต์ชื่อใด มีนาคให้น้ำกี่ตัว มีฝนตกลงในโลกที่ห่า โลกแห้งแล้ง น้ำท่วม หรืออุดมสมบูรณ์อย่างไร ฯลฯ เพื่อให้ชาวบ้านซึ่งเป็นเกษตรกรส่วนใหญ่ ได้ตระเตรียมตัวรับสถานการณ์ถูกต้อง แม้เพลงบอกจะไม่มีตำนานโดยตรงอย่างกาหลอ แต่ก็ได้รับรู้เรื่องราวตามลัทธิความเชื่อจากเรื่องราวเดียวกัน จึงเห็นได้ว่าการละเล่นที่เป็นการแสดงเพื่อความสนุกสนานรื่นเริงของภาคใต้ส่วนใหญ่นั้น มีที่มาจากลัทธิความเชื่อจากอย่างเดียวกัน แทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจุดเด่นหรือเอกลักษณ์ของเพลงบอกที่ปรากฏคือ
๑. เป็นการใช้ภูมิปัญญาเพื่อประชาสัมพันธ์ประกาศบอกข่าวแก่ชาวบ้าน ในสมัยที่การสื่อสารยังไม่เจริญและไม่มีปฏิทินบอกวัน เดือน ปี เหมือนอย่างในปัจจุบัน ทำให้ชาวบ้านทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสงกรานต์และข่าวต่าง ๆ
๒. น้ำเสียง ถ้อยคำในการว่าเพลงบอก ให้ความครึกครื้นสนุกสนาน ข่าวที่มากับเพลงบอก จึงได้รับความสนใจจากชาวบ้านมากกว่าบอกข่าวธรรมดา ปัจจุบันเพลงบอกจึงนำมาใช้บอกบุญ โฆษณาสินค้าต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง และเชิญชวนให้คนไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียง
๓. นักว่ากลอนได้แสดงความสามารถในกลอนปฏิภาณ และศิลปะในการขับกลอน การประชันอวดฝีปากในเชิงกลอน ผู้ว่ากลอนต้องมีความรอบรู้ เฉลียวฉลาด หลักแหลม ไหวพริบดี และแม่นยำในเชิงกลอน นับเป็นวิธีการพัฒนาความรู้ของชาวบ้านได้อีกวิธีการหนึ่ง
ทำเนียบศิลปินเพลงบอก
- เผียน เพชรคงทอง
เพลงบอกเผียน เพชรคงทอง เป็นบุตรคนเดียวของนายคำกับนางหนูอินทร์ เพชรคง (ต่อมาเปลี่ยนเป็น เพชรคงทอง) อาชีพ ทำนา มีพี่น้องต่างมารดาอีก ๒ คน คือนางคำแก้วและนายหมี บิดาเป็นชาวบ้านหัวป่า ตำบลตะเครียะ อำเภอระโนด สงขลา มารตาเป็นชาวบ้านทะเลปัง ตำบลหัวไทร อำภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช
เพลงบอกเผียน เพชรคงทอง เกิดเมื่อเช้าวันจันทร์ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๔๕๗ ตรงกับปีขาล ณ บ้านทะเลปัง หมู่ที่ ๒ ตำบลหัวไทร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช บิคามีอาชีพเสริม นอกเหนือจากการทำนาอีกอาชีพหนึ่ง คือการรับจ้างเป่าปี่โนรา เมื่อเพลงบอกเผียน อายุได้เพียง ๑ ปี บิดาก็ถึงแก่กรรม เขาจึงต้องอยู่ในความดูแลของมารคาแต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งอายุได้ ๑๐ ปี มารดาก็พาไปฝากไว้กับพระที่วัดทะเลปัง ได้เรียนหนังสือจากพระเที่ยงและพระคง จนสามารถอ่านออกเขียนได้ ล่วงเวลา ๒ ปี ต่อมา มารดามีสามีใหม่ชื่อนายกลับ อยู่บ้านลากชาย ตำบลเขาพังไกร อำเภอหัวไทร ทำให้เพลงบอกเผียนจำต้องออกจากวัด เพื่อตามไปอาศัยอยู่กับมารดา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ชีวิตของเพลงบอกเผียน ณ บ้านลากชายตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยหนุ่ม เกี่ยวข้องอยู่กับการทำนา การรับจ้างเลี้ยงวัวควาย และการได้มีความสุขอยู่กับการฝึกหัดว่ากลอนหนัง ว่ากลอนเพลงบอก โดยมีเพลงบอกปานบอด (ปาน ชีช้าง) บรมครูเพลงบอกแห่งทุ่งเขาพังไกร เป็นอาจารย์ จนชำนาญถึงขั้นว่ากลอนเพลงบอกโต้กับศิลปินเพลงบอกคณะอื่นๆ ได้ และส่งผลให้ชื่อเสียงของเพลงบอกเผียน เป็นที่รู้จักของผู้คนโดยทั่วไป ในเขตพื้นที่อำเภอหัวไทร ตั้งแต่วัยเยาว์ ต่อมาเมื่อถึงวัยอุปสมบท เพลงบอกเผียนได้ปฏิบัติตนเยี่ยงชายไทยที่ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา โดยได้อุปสมบท ๑ พรรษา ณ วัดบูรณาวาส ตำบลเขาพังไกร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช
บรรณานุกรม
ความเป็นมาของเพลงบอก. จากหนังสือ "สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้" สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (2529). https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=sivilize&month=06-2005&date=29&group=6&gblog=2
ประวัติความเป็นมา. https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/2/c7f436bf
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)