30 ตุลาคม, 2568

ชุมชนจีนและอินเดียในนครศรีธรรมราช'

จีนและอินเดียถือเป็นชนชาติที่มีอารยธรรมสูงมาแต่อดีต พ่อค้า นักบวช และนักเดินสมุทร มีความสามารถที่จะเดินเรือไปยังที่ต่างๆ ในโลก ซึ่งหนึ่งในจุดหมายปลายทาง คือ ดินแดนสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะคาบสมุทรชายฝั่งทะเลทางภาคใต้ของไทย สิ่งที่น่าสนใจคือในปัจจุบันยังคงมีขารจีนจำนวนมากอาศัยยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่างจากชาวอินเดียที่ครั้งหนึ่งได้เดินทางนำเอาศาสนาพุทธและพราหมณ์เข้ามาประดิษฐาน มีการค้นพบ โบราณหลายแห่งที่บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองทางศาสนาที่รับจากอินเดียอย่างสูงสุดเมื่อราวพันกว่าปี ก่อน แต่เหตุใดในปัจจุบันจึงไม่มีชมชนชาวอินเดียเหลืออยู่ดังเช่นชาวจีน หรือแท้จริงแล้ว ชาวอินเดียได้ อพยพมายาวนานและมีจำนวนมากจนกลายเป็นชาวพื้นเมืองที่มีผิวดำแดง ผมหยิก ตาโต ซึ่งลักษณะ เหล่านี้ของชาวใต้มีความคล้ายคลึงอย่างยิ่งกับลักษณะทางกายภาพของชาวอินเดียใต้ราวกับเป็นคน เชื้อชาติเดียวกัน ส่วนชาวจีนนั้นได้เดินทางเข้ามาหลายรุ่นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้กลุ่มคนจีนที่เข้ามาใหม่ คือ เมื่อราวหนึ่งร้อยปีมานี้ยังคงรู้รากเหง้าและภาษาของตน และคงความเป็นจีนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น การศึกษาเรื่องราวของสองกลุ่มชนที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและสังคมของนครศรีธรรรมราช มาอย่างยาวนานนั้นจึงมีความน่าสนใจยิ่ง และจากการค้นคว้าทำให้ได้ข้อมูลที่จะกล่าวโดยสังเขป ดังนี้
ชาวจีนเมืองนครศรีธรรมราช ดินแดนชายฝั่งทะเล เป็นเสมือนเมืองท่าแห่งความหวังที่ชาวจีนหลายชั่วคนได้เสี่ยงชีวิต เพื่อล่องเรือมาบุกเบิกการค้า ชาวจีนรู้จักคาบสมุทรภาคใต้และติดต่อค้าขายทางทะเลมาช้านาน มีหลักฐานปรากฏเรื่องราวบันทึกของภิกษุจีน ที่เดินทางไปแสวงบุญยังชมพูทวีปกับเรือของต่างชาติแล้ว ได้ผ่านมาทางดินแดนคาบสมุทรภาคใต้ของไทย ในสมัยราชวงศ์เหลียง หรือราวพุทธศตรรษที่ ๗ -๘ ชาวจีนนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับชาวพื้นเมืองและราชสำนักของไทย จึงได้เข้ามาทำการค้า หางานทำ และมาตั้งรกรากอยู่อย่างถาวรหลายแห่งในประเทศไทย รวมถึงบริเวณชายฝั่งคาบสมุทรใต้หลายชุมชน เช่น ภูเก็ต พังงา สงขลา ปัตตานี และนครศรีธรรมราช เป็นต้น ชาวจีนที่อพยพมาอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้นได้อพยพเข้ามานานเท่าไหร่ ไม่ทราบแน่ชัด แต่มีการพบหลักฐานเงินตราแบบจีนในสมัยรัชกาลที่ ๓ - ๔ ที่พื้นที่นศรศรีธรรมราช" และน่าจะมีการอยู่อาศัยเป็นชุมชนใหญ่ เนื่องจากมีการสร้างเหรียญขึ้นมาเองด้วย
ชุมชนจีนดั้งเดิมในนครศรีธรรมราชหลายแห่งมักตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล เช่น ชุมชน จีนปากพนัง ท่าศาลา ขนอม สิชล ส่วนในตัวเมืองเป็นชุมชนชาวจีนขนาดใหญ่ ได้แก่ ชุมชนวัดสพ (วัดโพสพ) และชุมขนท่าวัง ส่วนใหญ่เป็นชาวฮกเกี้ยน และไหหลำ นอกจากนี้ยังมีชาวแต้จิ๋ว คุ้งตามลำดับ โดยปัจจุบันชาวจีนที่มาทำการค้าในตัวเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวจีนแต้จิ๋ว ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ตัวเมือง นครศรีธรรมราช มีศาลเจ้าแบบจีนที่เก่าแก่ และมีสถาปัตยกรรมจีนปรากฎให้เห็น อยู่ทั่วไป เนื่องจากมีชุมชนชาวจีนหลายชุมชนอาศัยอยู่มาช้านาน ความสำคัญของชาวจีนที่มีต่อชุมชน คือเรื่องเศรษฐกิจ เนื่องจากชาวจีนมักเข้ามาทำการค้าขายและมีทักษะในการค้าพาณิชย์เป็นอย่างดี เจ้าของกิจการส่วนใหญ่จึงเป็นชาวจีน และมีการรวมตัวกันตั้งสมาคมพาณิชย์จีนขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๗ โดยมีแนวคิดที่จะส่งเสริมการค้า สร้างความสามัคคีในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเล สร้างมิตรภาพกับไทย สนับสนุนช่วยเหลือ ให้สมาชิกมีความเป็นอยู่ที่ดี และช่วยส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และคุณธรรม นอกจากนี้ ยังเป็นการจัดตั้งสมาคมาคมเพื่อรวมสมัครพรรคพวกชาวจีนทุกกลุ่มภาษาที่ทำการค้าขายอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราชให้เป็นกลุ่มก้อน มีการแต่งตั้งนายกสมาคม และมีการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการค้าและเศรษฐกิจของชาวจีนในจังหวัด นอกจากสมาคมนี้แล้ว ยังมีการจัดตั้งสมาคมชาวจีนโดยแบ่งตามกลุ่มภาษาได้แก่ สมาคมไหหลำ สมาคมฮากกาและสมาคมแต้จิ๋ว เป็นต้น ซึ่งการรวบรวมชาวจีนตามกลุ่มภาษานี้ เป็นการจัดทำขึ้นโดยดำริของผู้อาวุโส ที่เห็นว่าแต่ละกลุ่มภาษานั้นล้วนมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ คือ ศาลเจ้า ซึ่งพี่น้องภาษาเดียวกัน ที่มีบรรพบุรุษมาจากบ้านเดียวกันล้วนนับถือเป็นศูนย์กลางและต่างมีวัฒนธรรมภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตน เหตุนี้จึงได้รวมกลุ่มชาวจีนที่พูดภาษาเดียวกันมาร่วมเป็นสมาชิกแต่ละสมาคม โดยมีการจัดกิจกรรมทางศาสนาที่ศาลเจ้า รวมถึงพบปะสังสรรค์เป็นประจำ นอกจากนี้ยังได้ช่วยกันส่งเสริมอนุรักษ์วัฒนธรรมจีน โดยแต่ละกลุ่มภาษาจะรวมตัวกันจัดกิจกรรมที่ศาลเจ้าที่บรรพบุรุษของตนนับถือ เช่น
สมาคมไหหลำนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ที่ศาลเจ้าแม่ทับทิม เล่าต่อกันมาว่าบรรพบุรุษชาวไหหลำเข้ามาที่เมืองท่า เช่น ปากพนัง เป็นที่แรก ๆ แล้วจึงย้ายไปยังอำเภออื่น ๆ โดยชาวไหหลำมักจะสร้างศาลเจ้าแม่ทับทิมไว้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน ดังนั้นจึงมีศาลเจ้าแม่ทับทิมอยู่ที่ปากพนังและอำเภอเมือง ชาวไหหลำที่เข้ามาในระยะแรกจะทำมาค้าขายอยู่ริมน้ำ บางส่วนมีญาติพี่น้องไปทำโรงไม้ตามที่ต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และทางภูมิภาคที่มีป้าไม้สมบูรณ์ ส่วนที่อยู่ในนครศรีธรรมราชนั้นส่วนใหญ่จะทำกิจการค้าขาย เช่น ขายเหล็ก หลายครอบครัวนิยมทำโรงแรมที่พักหรือบางครอบครัวหันมาทำการเกษตร เช่น ปลกส้มโอทับทิมสยามที่ล่มน้ำปากพนัง นอกจากนี้ชาวไหหลำยังนิยมทำอาหารขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ข้าวมันไก่ เพราะข้าวมันไก่สูตรไหหลำนับว่าเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อในหมู่ชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก ร้านอาหารของชาวไหหลำที่มีชื่อเสียงมากในเมืองนครศรีธรรมราช คือ ร้านโกปิ๊ ภาษาที่ชาวไหหลำยังคงใช้พูดกันอยู่บ้าง เช่นคำว่า เด แปลว่า พ่อ เหน่ แหนะ หรือ เน่ แปลว่า ย่า, ยาย ก๋ง แปลว่า ปู่, ตา เจี่ยบุ้ย แปลว่า ทานข้าว เจี่ยตุ่ย แปลว่า ดื่มน้ำ เป็นต้น หากแต่ปัจจุบันชาวจีนที่มีอิทธิพลด้านภาษาในประเทศไทยคือแต้จิ๋ว หลายครอบครัวจึงไม่ได้เรียกพ่อว่า เด แต่เรียกว่า ป๊า แทน บางครอบครัวส่งลูกหลานไปเรียนภาษาจีนกลาง (แมนดาริน)ลูกหลานจึงพูดได้เพียงภาษาจีนกลางทำให้คนพูดภาษาไหหลำได้นั้นเหลือในวงจำกัดคือในหมู่ผู้อาวุโสเป็นส่วนใหญ่
ปัจจุบันสมาคมใหหลำ มีการจัดงานประจำปี ที่ศาลเจ้าแม่ทับทับทิม ๒ ครั้ง คือ หลังตรุษจีน และ ช่วงเดือนมิถุนายนที่นับว่าเป็นการฉลองศาลเจ้าซึ่งใน พ.ศ.๒๕๕๙ นี้นับเป็นปีที่ ๕๑ ในการจัดกิจกรรม นอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมว่าหลังวันตรุษจีนสมาชิกสามารถยืมเงินจากศาลเจ้าไปเป็นขวัญถุงในการทำ มาค้าขายได้เป็นเวลา ๑ ปี จากนั้นต้องนำกลับมาคืนในปีถัดไปเป็นจำนวน ๒ เท่าจากที่ยืม โดยเชื่อว่า เงินขวัญถุงนี้จะนำสิริมงคลมาให้ และเมื่อนำดอกเบี้ยมาคืน ก็ถือว่าได้ทำบุญให้กับศาลเจ้าด้วย ในงานนี้ ขาวไหหลำจะจัดเลี้ยงสังสรรค์ ไหว้เจ้าร่วมกัน และจัดงิ้วไหหลำ ๓ คณะ สลับสับเปลี่ยนกันทุกปี สืบเนื่องมาจนทุกวันนี้
สมาคมฮากกานครศรีธรรมราช" เริ่มต้นจากการที่ชาวฮากกาหรือชาวจีนแคะรวมตัว กันขึ้นเป็นสมาคม บรรพบุรุษฮากกาเข้ามาอาศัยอยู่ที่นครศรีธรรรมราชเนิ่นนานหลายรุ่นแล้ว โดยช่วงแรก เข้ามาที่ริมชายฝั่งทะเลดังเช่นชาวจีนกลุ่มอื่นๆ ส่งผลให้มีชาวฮากกาอาศัยอยู่ที่อำเภอปากพนังและ อำเภอท่าศาลาจำนวนมาก ชาวฮากกาในนครศรีธรรมราชประกอบอาชีพหลากหลาย ส่วนใหญ่นิยม ขายสินค้าเบ็ดเตล็ด เช่น เสื้อผ้า ของใช้ ซึ่งมักขายที่แยกท่าวัง ต่างจากชาวฮากกาในกรุงเทพฯ ที่นิยม ทำรองเท้า นอกจากนี้อาหารที่ชาวฮากกาทำนั้นขึ้นชื่อหลายอย่างและมีเอกลักษณ์ เช่น จู้หมี่ฟุ่น (หมี่ขาวใส่ข้าวหมาก) ลูกชิ้นแคะ เต้าหู้ยัดไส้ ขนมหล่อฟัดหยั่น (เส้นใส่กุ้ง, ปลาหมึกเจียว) วู้หยั่น (เผือกทอด) เป็นต้น ภาษาที่ชาวฮากกายังสืบทอดมาจนปัจจุบัน คือคำที่ใช้เรียกลำดับญาติในครอบครัว และชื่ออาหาร เช่น อากุง แปลว่า ปู่ หรือ ตา / อาผ่อ หรือ อาโผ่ แปลว่า ย่า หรือ ยาย / โก แปลว่า พี่ชาย / ซึกฟ่าน แปลว่า ทานข้าว เป็นต้น
สมาคมชาวฮากกาเดิมตั้งอยู่ในตัวเมืองและมีการอัญเชิญเทพเจ้าท่ามกงเยี่ยมาจากจังหวัดตรัง (พี่ชาวฮากกานครศรีรรรรมราช เรียก ท่ามกุงหยา) มาประดิษฐานไว้ที่ด้านบนสมาคม แต่เนื่องด้วยสถานที่ไม่สะดวกต่อการต้อนรับประชาชนที่ต้องการเข้ามาสักการะ ทางสมาคมจึงได้ซื้อที่ดินตำบลปากพูน เพื่อเป็นที่ตั้งถาวรของสมาคมและเป็นศาลที่ประดิษฐานเทพเจ้าท่ามกุงหยาเพื่อดำเนินกิจกรรมของสมาคมและเป็นศูนย์รวมจิตใจให้กับชาวฮากกาสืบไป
สมาคมแต้จิ๋วนครศรีธรรมราช" ชาวแต้จิ๋วเป็นประชากรจีนกลุ่มใหญ่ที่สุดในบรรดาชาวจีนโพ้นทะเลที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ที่นครศรีธรรมราช ก็มีชาวแต้จิ๋วอาศัยอยู่จำนวนไม่น้อย เดิมนั้นชาวแต้จิ๋วจะอาศัยและทำการค้าอยู่ใกล้กับบริเวณศาลเจ้ากวนอูบริเวณท่าวัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวจีนโพ้นทะเลในสมัยนั้น ต่อมาได้รวมตัวกันก่อตั้งเป็นสมาคมแต้จิ๋ว ซึ่งชาวแต่จิ๋วนิยมประกอบอาชีพค้าขาย กิจการส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองโดยขายสินค้าหลากหลายประเภท เช่น ร้านขายทอง เป็นต้น ส่วนภาษาที่ชาวแต้จิ๋ว ยังสืบทอดอยู่ในปัจจุบัน เช่น คำเรียกลำดับญาติ นับว่าเป็นภาษาที่ใช้แพร่หลายที่สุดในการรับรู้ของชาวไทย เช่น อากง แปลว่า ปู่,ตา / อาม่า แปลว่า ย่า,ยาย / อาแปะ แปลว่า ลุง / อาอึม แปลว่าป้าสะใภ้/ อาเจ็ก แปลว่า อาผู้ชาย / อ1อี้ แปลว่า น้าผู้หญิง/ อาเฮีย แปลว่า พี่ชาย เป็นต้น ส่วนเทพเจ้าที่ชาวแต้จิ๋วนับถือนั้น คือ เทพเจ้ากวนอู และด้วยเหตุที่เทพเจ้ากวนอูเป็นถือในหมู่ชาวจีนในแต่ละปีจึงมีการจัดงานประเพณีไหว้เจ้าและเทศกาลเจร่วมกัน โดยชาวแต้จิวจะมีบทบาทในการจัดกิจกรรมหรือทำนุบำรุงศาลเจ้ากวนอูมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีชาวจีนกลุ่มภาษาอื่น ๆ ที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครศรีธรรมราชอีก เช่น ชาวฮกเกี้ยน ชาวกวางตุ้ง เป็นต้น ซึ่งซาวจีนทุกลุ่มภาษาคือนักเดินเรือที่มุ่งหน้าแสวงหาดินแดนใหม่ แต่ละที่จึงมีศาลเจ้าที่นับถือประดิษฐานไว้ นั่นคือ ศาลเจ้าหม่าโจ ซึ่งเป็นที่นับถือของขาวเดินเรือนั่นเอง ในภาพรวมนั้น ชาวจีนในนครศรีธรรมราชและในภาคใต้ถือว่ายังมีความใกล้ชิดกับวัฒนธรรมของบรรพบุรุษอยู่มาก ตัวอย่างเช่น การเรียกชื่ออาหารจีนของชาวนครศรีธรรมราช ยังคงใกล้เคียงกับคำจีนดั้งเดิม เช่น การเรียกปาท่องโก๋ว่า จาก๊วย ซึ่งในภาษากวางตุ้งนั้น เรียกปาท่องโก๋ว่า หย่าวจากวาย และเรียกแป้งทอดกลม ๆ ที่ชายคู่กันว่า ป๊าดทองโก๊ว ซึ่งชาวไทยในภาคกลางอาจสับสนเลยเรียกหย่าวจากวาย ว่า ปาท่องโก๋ ในขณะที่ชาวเมืองนครศรีธรรมราชและชาวใต้ในอีกหลายจังหวัดเรียกว่า จาก๊วย เหมือนคำจีนตั้งเดิม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความเข้มข้นของวัฒนธรรมภาษาจีนในดินแดนใต้นั้นยังคงถูกต้องตามต้นฉบับมากกว่าที่อื่นๆ ส่วนงานเทศกาลประเพณีสำคัญที่ขาวจีนร่วมกันกันจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี คือเทศกาลกินเจ เช่นเดียวกับชุมชนชาวจีนอื่น ๆ ทั่วประเทศไทย โดยจะจัดงานเฉลิมฉลองในตัวเมืองอย่างยิ่งใหญ่ สร้างความคึกคักให้กับจังหวัดอย่างมาก จะเห็นได้ว่าชุมชนชาวจีนที่นครศรีธรรมราชนั้นเป็นหนึ่งในชุมชนที่สามารถรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็ง และยังเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาให้จังหวัดนครศรีธรรมราช กลายเป็นเมืองที่มั่งคั่งทางเศรษฐกิจจวบจนทุกวันนี้
ชุมชนอินเดีย และพราหมณ์ - ฮินดู ในนครศรีธรรมราช หากย้อนไปในอดีต อาจสันนิษฐานได้ว่าเมืองท่าชายทะเลของนครศรีธรรมราชได้มีขาวอินเดียใต้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์อพยพเข้ามาเผยแผ่ศาสนาเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากมีการพบโบราณวัตถุและโบราณสถานที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์ เช่น ศิวลึงค์ทองคำ ที่ค้นพบในบริเวณถ้ำเขาพลีเมืองในพื้นที่อำเภอสิชล" แหล่งโบราณคดีโมคลาน อำเภอท่าศาลา เทวรูปพระวิษณุ ที่วัดเกาะ พระนารายณ์ อำเภอท่าศาลา เสาชิงช้า และศาสนสถาน ในอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น โบราณวัตถุสถาน รวมถึงตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราชที่เล่าสืบต่อกันมานั้น ทำให้เชื่อได้ว่าพราหมณ์เมืองนครฯ น่าจะเป็นพราหมณ์จากอินเดียใต้ที่เข้ามาเมื่อราวพุทธศตวรรษที่๘ – ๑๒ และส่งอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมความเชื่อรวมทั้งจารีตประเพณีในราชสำนักกรุงศรีอยุทธยา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งความสัมพันธ์ที่ปรากฏให้เห็นได้แก่ การสร้างหอพระอิศวร หอพระนารายณืและเสาชิงช้า ที่อยู่ในนครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร
ผู้สืบเชื่อสายพราหมณ์ในนครศรีธรรมราช ถือเป็นตระกูลพราหมณ์ที่มีบทบาทอยู่ในราชสำนักไทยและเรียกว่าเป็นพราหมณ์ในราชสำนักหรือพราหมณ์หลวง ส่วนชาวบ้านนั้น มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับการบอกเล่าจากบรรพบุรุษว่าตระกูลของตนสืบเชื้อสายมาจากพราหมณ์อินเดียแต่ไม่สามารถสืบสาแหรกได้ และส่วนใหญ่ได้หันมานับถือพุทธศาสนา จึงแทบไม่หลงเหลือความเป็นพราหมณ์อีกต่อไป ส่วนชาวฮินดูที่รู้จักในนครศรีธรรมราชในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ชาวฮินดูที่สืบเชื้อสายมาจากเมื่อพันกว่าปีก่อนแต่เป็นชาวฮินดูที่อพยพจากประเทศอินเดียเข้ามาค้าขายอยู่ในตัวเมืองนครศรีธรรมราชเมื่อครั้งที่มีการแบ่งฮินดูสถานออกเป็นอินเดียกับปากีสถาน ครอบครัวชาวอินเดียที่อพยพเข้ามาในครั้งนั้น ได้กลายเป็นพ่อค้าคนสำคัญของเมืองนครศรีธรรรมราช นั่นคือ ครอบครัวชาวาลา
ทายาทตระกูลชวาลาที่ทำการค้าในปัจจุบัน คือ นายจิมมี่ ขวาลา ทายาทรุ่นที่ ๓ ผู้ดูแลกิจการร้านชายผ้าในตัวเมือง นายจิมมีได้ลำดับความทรงจำให้ฟังว่า ทวดได้ย้ายเข้ามาเป็นรุ่นแรก เมื่อสมัยที่ชาวอินเดียอพยพเข้ามาช่วงที่อินเดียได้รับเอกราชแล้วเกิดการแบ่งแยกประเทศระหว่างอินเดียและปากีสถานในครั้งนั้นมีครอบครัวชาวฮินดูที่ย้ายมาอยู่รวมกันในเมืองนครศรีธรรมราชอยู่หลายครอบครัว เมื่อสมัยที่ตนยังเป็นเด็ก คือ เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๐๗ นั้น มีชาวฮินดูอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันประมาณ ๒๕ ครอบครัว จากนั้น เริ่มมีภัยจากคอมมิวนิสต์ ส่งผลให้หลายครอบครัวได้อพยพไปอยู่กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันในจำนวนชาวฮินดูที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากอยู่ที่อำเภอเมืองด้วยกันคงเหลือเพียงครอบครัวขวาลาและสืบทอดกิจการค้าผ้ามาจนทุกวันนี้" การที่นครศรีธรรมราชเคยเป็นชุมชนที่พราหมณ์มีบทบาทมายาวนาน แต่ประชากรปัจจุบันหันมานับถือพุทธศาสนา ส่งผลให้ครอบครัวฮินดู ที่อพยพเข้ามาทีหลังมีความคุ้นเคยกับชาวพุทธ และในความเชื่อของฮินดูนั้นนับถือว่าพุทธกับฮินดูมีรากเดียวกัน ทำให้ครอบครัวชวาลามีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาด้วย และได้กลายเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเพื่อบูรณะยอดพระธาตุ ณ วัดมหาธาตุนครศรีศรีธรรมราชเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา
ส่วนการปฏิบัติตามวิถีของฮินดูนั้นยังคงกระทำเป็นกิจวัตรภายในครอบครัว หรือเดินทางไปสักการะเทวสถานหรือโบราณสถานที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์ฮินดู เช่น ฐานพระสยม เป็นต้น เพียงแต่เวลามีพิธีกรรมหรือวันสำคัญเนื่องในศาสนาฮินดูนั้น ต้องเดินทางไปร่วมกิจกรรมทางศาสนากับพราหมณ์จากอินเดียที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากไม่มีพราหมณ์อินเดียในนครศรีธรรรมราชทำพิธีให้ ปัจจุบันนี้ เริ่มมีการฟื้นฟูประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับพิธีพราหมณ์ในอดีต เช่น ประเพณีแห่นางดาน มีการแสดงแสงสีเสียง มีการบูรณะเสาชิงข้า เพื่อเป็นการรำลึกว่านานมาแล้วดินแดนแถบนี้เคยมีพราหมณ์มาเผยแผ่ศาสนาจนรุ่งเรืองอยู่ระยะหนึ่ง และทิ้งร่อยรอยไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ค้นหาต่อไป จะเห็นได้ว่าชาวจีนและอินเดียที่อพยพเข้ามาอยู่อาศัยในนครศรีธรรมราชตั้งแต่อดีตนั้น เป็นผู้บุกเบิกดินแดนบางแห่ง เป็นผู้นำทางศาสนา วัฒนธรรม รวมทั้งสร้างอาชีพใหม่หลายอาชีพ จึงนับว่าเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของนครศรีธรรมราชมาอย่างช้านาน ปัจจุบันนี้ทุกคนล้วนเป็น "คนคอน" ที่มีหน้าที่ช่วยกันสืบสานวิถีวัฒนธรรมอันหลากหลายให้คงอยู่ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อพัฒนานครศรีธรรมราชให้เจริญรุ่งเรืองทั้งด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมสืบไป