19 ตุลาคม, 2568

วัดขุนโขลง โบราณสถานทางประวัติศาสตร์

1. ซากเจดีย์โบราณ ขนาด 6X6 เมตร สูงราว ๓ เมตร มีแนวอิฐเจดีย์โผล่ให้เห็นได้ชัดเจนบริเวณส่วนฐาน องค์เจดีย์ก่ออิฐสอดิน กลางเนินด้านบนมีร่องรอยการลักลอบขุดหาโบราณวัตถุ จากลักษณะที่ปรากฏอาจกำหนดอายุเจดีย์องค์นี้ไว้ในสมัยอยุธยา 2.พระพุทธรูปแกะสลักจากหินทรายแดง ขนาดหน้าตักราว 40 นิ้ว 2 องค์ เดิมพบในบริเวณใกล้ฐานเจดีย์องค์ใหญ่ กำหนดอายุไว้ในสมัยอยุธยาตอนกลาง ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ๒๓ พระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์นี้ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่สำนักสงฆ์ถ้ำหลอด กิ่งอำเภอนพพิตำ เป็นเวลาเกือบ ๓๐ ปี ในยุคปัจจุบันได้กลับคืนมาประดิษฐาน ณ โบราณสถานวัดขุนโขลง โดยชาวบ้านสร้างศาลาไว้เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดังกล่าว 3. เจดีย์องค์เล็กชาวบ้านเรียกเจดีย์พ่อท่านทิศ หรือบัวบรรจุอัฐิพ่อท่านทิด อดีตเจ้าอาวาสวัดขุนโขลง(ประมาณพ.ศ.2263) มีลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนฐานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง ส่วนฐานกว้างด้านละ ๓ เมตร ประกอบด้วยฐานบัวท้องไม้สูง ๒ ชั้น วางอยู่บนฐานเขียงเตี้ยๆ ๓ ชั้น ที่ฐานบัวชั้นที่ ๑ ด้านทิศตะวันออกตรงส่วนบัวคว่ำมีรูปบุคคล อาจเป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง ไม่ทราบว่าแสดงปางใดเนื่องจากส่วนพระกรหักหาย ที่ฐานบัวชั้นที่ ๒ มีร่องรอยของปูนฉาบเหลืออยู่มีการตกแต่งลายปูนปั้นเป็นรูปดอกไม้ประกอบลวดลายกระจังและลายกนก ตรงเหลี่ยมย่อมุมท่าเป็นลายประจำยาม องค์ระฆังย่อมุมไม้สิบสองรับกับส่วนฐาน ยอดเจดีย์นั้นหักพังลงมาหมดและเนื่องจากบางส่วนขององค์เจดีย์ แตกหักอยู่บนพื้น ทำให้สันนิษฐานได้ว่า เดิมน่าจะเป็นยอดแบบบัวกลุ่มเถารูปแบบศิลปกรรมสามารถกำหนดอายุได้ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
4.กำแพงแก้ว อยู่ห่างจากฐานเจดีย์องค์ใหญ่ไปทางทิศตะวันออกราว ๒๐ เมตร แนวกำแพงที่พบมีลักษณะคล้ายคันนา แต่เมื่อขุดตรวจลงไปราว ๑๐ เมตร ก็จะพบแนวอิฐของกำแพงดังกล่าว ในปัจจุบันแนวอิฐนี้ถูกทำลายไปมากแล้ว เนื่องจากปรับพื้นที่สำหรับทำนา นอกเหนือไปจากโบราณสถาน-โบราณวัตถุ ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญของวัดแล้ว ยังมีสระโบราณ ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของอาณาเขตวัดภายหลังสระมีสภาพแห้งแล้ง ตื้นเขิน จึงได้ขุดลอกสระขึ้นใหม่ สำหรับใช้งาน รวมถึงแนวก้อนอิฐโบราณ จำนวนหนึ่ง ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2537 โดยสำนักศิลปากร นครศรีธรรมราช วัดขุนโขลง อยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มากนัก โบราณสถานบ้านขุนโขลง ตามคำบอกเล่าในพื้นที่ แต่เดิมเชื่อกันว่า เป็นหมู่บ้านด่านหน้าเมืองนคร ผู้ที่เดินทางผ่านวัดขุนโขลง ไม่ว่าจะทางบกหรือทางเรือ จะต้องทำการบูชาต่อดวงจิตที่สถิตรักษาวัด อันประกอบด้วยพ่อท่านทิด แม่ชีนมเหล็ก แม่ชีผมหอม ทวดโขลงทอง เจ้านายขี้เหล็ก เจ้านายหวันตก หากเป็นคนทั่วไป หรือขบวนค้าขายเดินทางผ่าน ต้องวางหมากพลู ดอกไม้ เอ่ยชื่อบูชาทั้ง 6 ท่าน หากเป็นคณะหนังตลุง มโนรา หรือคณะศิลปะพื้นบ้าน จะต้องตีเครื่องถวาย มิฉะนั้นจะเกิดอาถรรพ์กับผู้สัญจรผ่าน เช่น เกิดเจ็บป่วยกะทันหัน หรือเกิดอุปสรรคทำให้เดินทางผ่านไม่ได้ จนกว่าจะเข้ามาบอก ไหว้ขอขมา
วัดขุนโขลง เป็นยุทธภูมิชุมนุมนักรบเพื่อป้องกันบ้านเมืองสมัยโบราณ และช่วงหนึ่งเคยถูกใช้เป็นป่าช้าสำหรับฝังศพ โบราณสถานวัดขุนโขลง มีพระพุทธรูปโบราณ ซากพระเจดีย์ บัวพ่อท่านทิศ และทวดขุนโขลง กับ เจ้านายขี้เหล็ก เป็นที่เคารพนับถือและเป็นที่สักการะยึดเหนี่ยวจิตใจของคนชุมชน โดยเปรียบเสมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอกปกป้องดูแลชุมชนเสมอมา วัดขุนโขลงได้ซบเซาลงหลังจากพ่อท่านทิดมรณภาพ และไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระรูปใดมาเป็นเจ้าอาวาสต่อจากท่าน ตามคำบอกเล่ามีเพียงแม่ชีสองพี่น้องเป็นผู้ดูแลวัด จยกระทั่งแม่ชีถึงแก่กรรม วัดขุนโขลงก็ร้างลง และเพื่อไม่ให้สมบัติของวัดถูกโจรกรรม กำนันหวาน ซึ่งเป็นกำนันหัวตะพานในสมัยนั้น จึงทำการยกเสนาสนะต่างๆ ไปฝากวัดใกล้เคียงไว้ เช่น พระหินทรายแดงคู่ทั้ง 2 องค์ ถูกเชิญไปไว้วัดสระประดิษฐ์ ภายหลังอีกองค์ถูกเชิญไปไว้ถ้ำแห่งหนึ่งในอำเภอนพพิตำ พระลาก ตำราหนังสือบุด รวมถึงถ้วยชามต่างๆของวัด ชาวบ้านได้นำไปฝากไว้ที่วัดสโมสร ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร ส่วนกุฏิพ่อท่านทิดเจ้าอาวาส และกุฏิอื่นๆที่ยังคงสภาพดี ชาวบ้านได้ช่วยกันชักลากกุฏิไปยังวัดสระประดิษฐ์
เมื่อวัดขุนโขลงร้าง พื้นที่ของวัดได้กลายเป็นสุสาน ป่าช้าของตำบลเพราะ ไม่ว่าศพจะตายจากสาเหตุอะไร มักนำมาฝังหรือเผาที่วัดขุนโขลง และเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชาวบ้านไม่ยอมไปวัดขุนโขลงหากไม่จำเป็น นอกจากไปแก้บนบานสานกล่าวต่อดวงจิตพ่อท่านทิดและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด ก็จะไม่มีใครกล้าเข้าไป
ประวัติวัดขุนโขลงจากข้อมูลพระอาจารย์มณฑลขันติสโร เจ้าอาวาสวัดขุนโขลงรูปปัจจุบัน เล่าว่าท่านเป็นชาวบ้านขุนโขลงมาตั้งตั้งแต่กำเนิด อาศัยอยู่ใกล้กับวัดขุนโขลงมาก่อนยุคที่จะพัฒนา มีการเล่าสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณย่านวัดขุนโขลงมาอย่างยาวนานหลาย 10 ปี ตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน ความเป็นมาของคำว่า”ขุนโขลง” และพื้นที่ตำบลหัวตะพาน ตามตำนานเล่าว่า ในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์คราวที่พระเจ้าประดุงแห่งอาณาจักรอังวะ ยกกองทัพใหญ่เก้าทัพเ ข้าโจมตีอาณาจักรสยามนั้น กองทัพสายที่หนึ่งได้ยกทัพตีหัวเมืองทางตอนใต้ของสยาม โดยกองทัพอังวะหลังจากที่หัวเมืองทางตอนบนได้หมด จึงยกทัพเข้าเมืองนครศรีธรรมราช เนื่องจากการยกทัพมาของพม่า รู้เข้าถึงหูของเจ้าพระยานครฯ ฝ่ายเจ้าพระยาจึงส่งกองทัพออกสกัดทัพพม่า ที่บ้าน”หน้าทัพ” โดยได้แบ่งกองทัพส่วนหนึ่งไปที่วัดขุนโขลง เนื่องจากกองทัพที่มาตั้งยังบ้านขุนโขลง มีกองช้างมาด้วย กองช้างเหล่านั้น ได้ทำอู่สำหรับอาบน้ำ ที่ริมคลองชุมขลิง ทางทิศตะวันตกของวัดชุมโขลงในปัจจุบัน จึงขนานนามว่าขุนโขลง นับแต่นั้นมา เมื่อกองทัพอังวะพบกับกองทัพเมืองนครฯ ในจุดบริเวณไม่ห่างจากวัดขุนโขลงนัก ก็เกิดการต่อสู้ตะลุมบอนกัน ทำให้มีแต่ซากศพเกลื่อนสนามรบ ต่อมาชาวบ้านเรียกขานสมรภูมิรบว่า “บ้านหัวพ่าน” หมายถึงจำนวนศพนอนตายกันมากมาย หันไปทางไหนพบเจอแต่หัวของศพ ปัจจุบันคำว่า”หัวพ่าน” ได้กลายมาเป็นคำว่า “หัวตะพาน” คือชื่อตำบลหัวตะพานในปัจจุบัน เมื่อศพมีจำนวนมากเกินกว่าจะฌาปนกิจหมด ศพที่เน่าเหม็นก็มีน้ำเลือดน้ำหนองไหลลงไปยังหนองน้ำไกลๆสมรภูมิ เรียก กันว่า “หนองน้ำเน่า” ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น”หนองน้ำขาว”
วัดขุนโขลงสันนิษฐานจากศิลปะของโบราณสถานและโบราณวัตถุคงไม่เกินช่วงยุคราชวงศ์บ้านพลูหลวง หรือกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย วัดขุนโขลงจะก่อตั้งโดยใครนั้นประวัติไม่ปรากฏแต่ต้น มาปรากฏเรื่องราวของวัดในในช่วงสงครามเก้าทัพ และปรากฏเรื่องราวการดำรงสังขารของพ่อท่านทิด อดีตเจ้าอาวาสวัดขุนโขลงซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในยุคที่วัดขุนโขลงรุ่งเรือง ก่อนที่วัดจะร้างลงภายหลัง จากการมรณภาพของพ่อท่านทิด วัดขุนโขลงมีการผูกลายแทงเอาไว้เพื่อรักษาสมบัติของพระศาสนาหรืออีกนัยหนึ่งคือเพื่อบอกอาณาเขตและความเป็นมาของวัดโดยมีกลอนผูกไว้ “ขุนโขลง มีโหมง โพรงวัว สาวน้อย ไม่มีผัว นั่งชุมหัว ร้องไห้ วัดเข้า ๓ ศอก วัดออก ๓ วา ถ้าใคร แก้ไม่ออก ให้ไป บอกรอก บอกกา ถ้าใคร แก้ได้ ให้ไปทาง ไม่รู้มา” นายผิน ชาญมัจฉา ได้ขยายความของแต่ละข้อความเอาไว้ ดังนี้ 1.วัดขุนโขลง มีต้นโหมรงโพรงวัว ในอดีตวัดขุนโขลง เคยมีต้นโหมรง (ภาษาทางการเรียก ต้นสำโรง งอกอยู่ทางทิศเหนือของวัด เป็นตอตันโหมรงขนาดใหญ่ มีโพรงที่วัวสามารถลอดเข้าไปได้ ภายหลังตอต้นมรงดังกล่าวได้ถูกขุด ออกไปช่วงวาตภัยปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เพราะได้รับผลกระทบจนชำรุดหมด 2. สาวน้อยหม้ายผัว (ไม่มีผัว) นั่งซุมหัวร้องให้ สาวน้อยไม่มีผัวในคำทายท่อนนี้ สามารถแปลได้สองทาง ทางแรก หมายถึง บรรดาแม่หม้ายที่สามีตายในสงคราม มานั่งร้องให้เมื่อการรบสิ้นสุดแล้ว ส่วนทางที่สอง คือ แม่ซีนมเหล็ก และ แม่ขีผมหอม ที่ต้องเสียใจเพราะไม่อาจทำให้วัดเจริญรุ่งเรืองได้ 3. วัดเข้าสามศอก วัดออกสามวา ในค่าทายข้อนี้ นายผินให้ข้อสังเกดว่า คงหมาย ถึงแนวอิฐที่เป็นกำแพงแก้วของวัด ซึ่งแนวอิฐดังกล่าว ปัจจุบันฤกถมอยู่ใต้ดิน ไม่มีการขดเพื่อส่ารวจอีก หลังจากปี พ.ศ. ๒๕๓๗ 4. ถ้าไม่รู้ ให้ไปถามรอกกับถามกา ในค่าทายส่วนนี้ ไม่ได้หมายถึงสัตว์ นายผิน บอกว่าทางเข้าวัดเดิม ทางซ้ายมือ จะมีตันลูกกา (ภาษาทางการเรียก ต้นมะกา ส่วนทางขวามือ จะมีต้นท้อนรอก (ภาษาทางการเรียก ต้นสะท้อนรอก) 5. ถ้าใครแก้ได้ ให้ไปทางไม่รู้มา ใจเส่วนนี้นายผิน ยังสันนิฐานได้ไม่แน่ชัด อาจเป็นไปได้ที่เป็นทางเข้าวัดเดิม หรือ เป็นสระน้ำประจำวัด
ความเป็นมาของแม่ขึ้นมเหล็ก - แม่ขี้ผมหอม ประวัติของแม่ชั้นมเหล็ก และ แม่ขี้ผมหอม ในฉบับมุขปาฐะของชาวบ้านขุนโขลงและบริเวณโดยรอบ ได้เล่าแตกต่างจากเรื่องราวของแม่ชีนมเหล็กส่านวนด่านานพระพวย โดยเรื่องราวได้เกิดขึ้นสมัยที่พ่อท่านทิดยังคงมีชีวิตอยู่ พื้นที่บ้านหัวพ่าน ในยุดนั้น ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านหัวตะพาน มีขุนหัวดะพานเป็นกำนันประจำาตำบล ขุนหัวตะพานมีบุตรสาว ๒ คน คือแม่ขึ้นมเหล็ก และ แม่ชีผมหอม ตอนบุตรสาวของขุนหัวตะพานยังเด็ก มักจะเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอ ขุนหัวตะพานจึงพาบุตรสาวไปถวายเป็นบุตรบุญธรรมของพ่อท่านทิด และได้บนบานสานกล่าวว่า หากบุตรสาวทั้งสองหายจากอาการเจ็บไขได้ป่วยแล้ว เมื่อบุตรสาวทั้งสองเจริญวัยจะให้บวชชี้เป็นลูกศิษย์พ่อท่านทิด เมื่อบุตรสาวของขุนหัวตะพานเจริญวัย ปรากฏว่าตัวกำนันและบุตรสาวได้ลืมในสิ่งที่บนบานไว้ ท่าให้เจ็บไข่ได้ป่วยอีกครั้ง เมื่อกำนันนึกถึงเรื่องที่บนบานได้ จึงนำบุตรสาวไปหาพ่อท่านทิดเพื่อบวชีขี้แก้บน พ่อท่านทิดจึงให้แม่ขึ้นมเหล็กพี่สาวบวชเป็นชีพราหมณ์ (บวชชีถือศีลไว้ผมได้), ส่วนแม่ชีผมหอม ได้ขออนุญาต บิดาบวชเป็นชีพราหมณ์อีกคน เพื่อป้องกันค่ำครหาของชาวบ้าน พ่อท่านทิด จึงบวชให้บุตรบุญธรรมทั้งสอง โดยแม่ชีสองพี่น้อง มีกฏิอยู่ที่ริมสระน้ำทางตะวันตกของวัด แม่ชีนมเหล็ก แม่ขีผมหอม ได้ประพฤติดนอยู่ในศีลอุโบสถ ( ศีล ๘ ) อย่างแรงกล้า กระทั่งพ่อท่านทิดใกล้มรณภาพ พ่อท่านทิดจึงสั่งเสียแก่แม่ชีนมเหล็ก และ แม่ชีผมหอม หลังจากท่านมรณภาพแล้ว ให้ช่วยอยู่รักษาวัด คอยดูแลอย่าได้ละทิ้งวัดแม่ชีทั้งสองรับปาก เมื่อเสร็จจากการปลงศพและบรรจุอัฐิพ่อท่านทิดเข้าบัวแล้ว แม่ชีนมเหล็ก และแม่ชีผมหอมถึงแก่กรรม เมื่อฌาปณกิจเสร็จแล้วพบว่าขึ้นเนื้อส่วนทรวงอกทั้งสองด้านกลับไม่ใหม่ไฟ ชาวบ้านจึงเรียกแม่ข็ผ้พี่ว่า " แม่ขึ้นมเหล็ก " ภายหลังเมื่อวัดซบเซาลง แม่ชีผมหอมและชาวบ้านจึงเอาชิ้นส่วนที่ทรวงอกที่แข็งเป็นหินนำไปฝังซ่อนไว้ภายในบริเวณวัด ผ่านไป่หลายปี แม่ชีผมหอม หรือ แม่ชีผู้น้องที่ดูแลวัดได้ถึงแก่กรรมลง ชาวบ้านได้ช่วยกันฌาปนกิจ ปรากฏว่าผมบนหัวแม่ชี้ผู้น้องทั้งหมด กลับไม่ใหม่ไฟ ซ้ำยังมีกลิ่นหอมเหมือนดอกพิกล ชาวบ้านจึงเรียกแม่ชีผู้น้องว่า" แม่ขี้ผมผมหอม" และได้รักษาผมที่ไม่ใหม่ไฟทั้งหมดให้อยู่คู่กับวัด แต่ภายหลังก็ได้มีการนำเส้นผมของแม่ชี้ผมหอมไปซ่อนอีก จนปัจจุบันยังไม่มีผู้คนพบชิ้นส่วนของแม่ชีนมเหล็ก และ แม่ชีผมหอม แต่เป็นที่รับรู้กันว่า แม่ขืนมเหล็ก และแม่ชีผมหอม เป็นอารักษ์ที่คอยดูแลวัดขุนโขลงยาโดยดลดอด เมื่อมีการประกอบพิธีใดๆ ภายในวัด จะต้องเอ่ยชื่อแม่ชีนมเหล็ก และแม่ชีผมหอม มารับ เครื่องบูชาด้วยเสมอ เมื่อปีพ.ศ.2561 ได้มีการพัฒนาวัดขึ้นมาอีกครั้งโดยมีพระมาจำพรรษา ใช้ชื่อว่าสำนักสงฆ์โบราณสถานวัดขุนโขลง ประเภทสำนักสงฆ์ ตั้งอยู่ ตำบลหัวตะพาน อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้นมาอีกครั้ง วันที่ 27 ต.ค 67 มีการทอดกฐินสามัคคี เพื่อนำเงินมาสร้างเมรุ เมื่อวันพุธที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ นางพัทยา ทองเสภี ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรีธรรมราช มอบหมายให้นางสาวณิชาภัทร งามสง่า นักวิชาการศาสนาชำนาญการ พร้อมด้วยบุคลากรในสังกัด ร่วมกับเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ และกองพุทธศาสนสถาน สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจสภาพวัดร้าง เพื่อยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ณ วัดขุนโขลง(ร้าง) และวัดประดู่(ร้าง) อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งความเห็นของผู้ตรวจสภาพวัด มีความเห็นสมควรยกวัดร้างทั้งสองแห่ง ขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปัจจุบันวัดขุนโขลง (ร้าง) จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับการพิจารณา ยกขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ ปัจจุบันมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ๕ รูป และมีอาคารเสนาสนะ เช่น กุฏิสงฆ์ ๕ หลัง, พระธาตุเจดีย์, สถูปเก่า, มณฑป ๒ ชั้น, ศาลาการเปรียญ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการบูรณะหรือพัฒนาสถานที่ให้พร้อมสำหรับการจำพรรษามาอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะได้รับการพิจารณายกวัดร้างขึ้นเป็นวัด มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ปัจจุบัน พระอธิการมณฑล ขนฺติสโร เป็นเจ้าอาวาส ที่มาสืบค้นข้อมูล http://www.ข่าวความมั่นคงออนไลน์ .com https://www.youtube.com/watch?v=e8_aNPNYG6k บุคลานุกรม-นายสุวัฒน์ สัณฐมิตร 16 ตุลาคม2568 https://www.nakhononline.com/3970/ www.huatapan.go.th