30 ตุลาคม, 2568

ชุมชนจีนและอินเดียในนครศรีธรรมราช'

จีนและอินเดียถือเป็นชนชาติที่มีอารยธรรมสูงมาแต่อดีต พ่อค้า นักบวช และนักเดินสมุทร มีความสามารถที่จะเดินเรือไปยังที่ต่างๆ ในโลก ซึ่งหนึ่งในจุดหมายปลายทาง คือ ดินแดนสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะคาบสมุทรชายฝั่งทะเลทางภาคใต้ของไทย สิ่งที่น่าสนใจคือในปัจจุบันยังคงมีขารจีนจำนวนมากอาศัยยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่างจากชาวอินเดียที่ครั้งหนึ่งได้เดินทางนำเอาศาสนาพุทธและพราหมณ์เข้ามาประดิษฐาน มีการค้นพบ โบราณหลายแห่งที่บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองทางศาสนาที่รับจากอินเดียอย่างสูงสุดเมื่อราวพันกว่าปี ก่อน แต่เหตุใดในปัจจุบันจึงไม่มีชมชนชาวอินเดียเหลืออยู่ดังเช่นชาวจีน หรือแท้จริงแล้ว ชาวอินเดียได้ อพยพมายาวนานและมีจำนวนมากจนกลายเป็นชาวพื้นเมืองที่มีผิวดำแดง ผมหยิก ตาโต ซึ่งลักษณะ เหล่านี้ของชาวใต้มีความคล้ายคลึงอย่างยิ่งกับลักษณะทางกายภาพของชาวอินเดียใต้ราวกับเป็นคน เชื้อชาติเดียวกัน ส่วนชาวจีนนั้นได้เดินทางเข้ามาหลายรุ่นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้กลุ่มคนจีนที่เข้ามาใหม่ คือ เมื่อราวหนึ่งร้อยปีมานี้ยังคงรู้รากเหง้าและภาษาของตน และคงความเป็นจีนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น การศึกษาเรื่องราวของสองกลุ่มชนที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและสังคมของนครศรีธรรรมราช มาอย่างยาวนานนั้นจึงมีความน่าสนใจยิ่ง และจากการค้นคว้าทำให้ได้ข้อมูลที่จะกล่าวโดยสังเขป ดังนี้
ชาวจีนเมืองนครศรีธรรมราช ดินแดนชายฝั่งทะเล เป็นเสมือนเมืองท่าแห่งความหวังที่ชาวจีนหลายชั่วคนได้เสี่ยงชีวิต เพื่อล่องเรือมาบุกเบิกการค้า ชาวจีนรู้จักคาบสมุทรภาคใต้และติดต่อค้าขายทางทะเลมาช้านาน มีหลักฐานปรากฏเรื่องราวบันทึกของภิกษุจีน ที่เดินทางไปแสวงบุญยังชมพูทวีปกับเรือของต่างชาติแล้ว ได้ผ่านมาทางดินแดนคาบสมุทรภาคใต้ของไทย ในสมัยราชวงศ์เหลียง หรือราวพุทธศตรรษที่ ๗ -๘ ชาวจีนนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับชาวพื้นเมืองและราชสำนักของไทย จึงได้เข้ามาทำการค้า หางานทำ และมาตั้งรกรากอยู่อย่างถาวรหลายแห่งในประเทศไทย รวมถึงบริเวณชายฝั่งคาบสมุทรใต้หลายชุมชน เช่น ภูเก็ต พังงา สงขลา ปัตตานี และนครศรีธรรมราช เป็นต้น ชาวจีนที่อพยพมาอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้นได้อพยพเข้ามานานเท่าไหร่ ไม่ทราบแน่ชัด แต่มีการพบหลักฐานเงินตราแบบจีนในสมัยรัชกาลที่ ๓ - ๔ ที่พื้นที่นศรศรีธรรมราช" และน่าจะมีการอยู่อาศัยเป็นชุมชนใหญ่ เนื่องจากมีการสร้างเหรียญขึ้นมาเองด้วย
ชุมชนจีนดั้งเดิมในนครศรีธรรมราชหลายแห่งมักตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล เช่น ชุมชน จีนปากพนัง ท่าศาลา ขนอม สิชล ส่วนในตัวเมืองเป็นชุมชนชาวจีนขนาดใหญ่ ได้แก่ ชุมชนวัดสพ (วัดโพสพ) และชุมขนท่าวัง ส่วนใหญ่เป็นชาวฮกเกี้ยน และไหหลำ นอกจากนี้ยังมีชาวแต้จิ๋ว คุ้งตามลำดับ โดยปัจจุบันชาวจีนที่มาทำการค้าในตัวเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวจีนแต้จิ๋ว ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ตัวเมือง นครศรีธรรมราช มีศาลเจ้าแบบจีนที่เก่าแก่ และมีสถาปัตยกรรมจีนปรากฎให้เห็น อยู่ทั่วไป เนื่องจากมีชุมชนชาวจีนหลายชุมชนอาศัยอยู่มาช้านาน ความสำคัญของชาวจีนที่มีต่อชุมชน คือเรื่องเศรษฐกิจ เนื่องจากชาวจีนมักเข้ามาทำการค้าขายและมีทักษะในการค้าพาณิชย์เป็นอย่างดี เจ้าของกิจการส่วนใหญ่จึงเป็นชาวจีน และมีการรวมตัวกันตั้งสมาคมพาณิชย์จีนขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๗ โดยมีแนวคิดที่จะส่งเสริมการค้า สร้างความสามัคคีในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเล สร้างมิตรภาพกับไทย สนับสนุนช่วยเหลือ ให้สมาชิกมีความเป็นอยู่ที่ดี และช่วยส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และคุณธรรม นอกจากนี้ ยังเป็นการจัดตั้งสมาคมาคมเพื่อรวมสมัครพรรคพวกชาวจีนทุกกลุ่มภาษาที่ทำการค้าขายอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราชให้เป็นกลุ่มก้อน มีการแต่งตั้งนายกสมาคม และมีการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการค้าและเศรษฐกิจของชาวจีนในจังหวัด นอกจากสมาคมนี้แล้ว ยังมีการจัดตั้งสมาคมชาวจีนโดยแบ่งตามกลุ่มภาษาได้แก่ สมาคมไหหลำ สมาคมฮากกาและสมาคมแต้จิ๋ว เป็นต้น ซึ่งการรวบรวมชาวจีนตามกลุ่มภาษานี้ เป็นการจัดทำขึ้นโดยดำริของผู้อาวุโส ที่เห็นว่าแต่ละกลุ่มภาษานั้นล้วนมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ คือ ศาลเจ้า ซึ่งพี่น้องภาษาเดียวกัน ที่มีบรรพบุรุษมาจากบ้านเดียวกันล้วนนับถือเป็นศูนย์กลางและต่างมีวัฒนธรรมภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตน เหตุนี้จึงได้รวมกลุ่มชาวจีนที่พูดภาษาเดียวกันมาร่วมเป็นสมาชิกแต่ละสมาคม โดยมีการจัดกิจกรรมทางศาสนาที่ศาลเจ้า รวมถึงพบปะสังสรรค์เป็นประจำ นอกจากนี้ยังได้ช่วยกันส่งเสริมอนุรักษ์วัฒนธรรมจีน โดยแต่ละกลุ่มภาษาจะรวมตัวกันจัดกิจกรรมที่ศาลเจ้าที่บรรพบุรุษของตนนับถือ เช่น
สมาคมไหหลำนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ที่ศาลเจ้าแม่ทับทิม เล่าต่อกันมาว่าบรรพบุรุษชาวไหหลำเข้ามาที่เมืองท่า เช่น ปากพนัง เป็นที่แรก ๆ แล้วจึงย้ายไปยังอำเภออื่น ๆ โดยชาวไหหลำมักจะสร้างศาลเจ้าแม่ทับทิมไว้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน ดังนั้นจึงมีศาลเจ้าแม่ทับทิมอยู่ที่ปากพนังและอำเภอเมือง ชาวไหหลำที่เข้ามาในระยะแรกจะทำมาค้าขายอยู่ริมน้ำ บางส่วนมีญาติพี่น้องไปทำโรงไม้ตามที่ต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และทางภูมิภาคที่มีป้าไม้สมบูรณ์ ส่วนที่อยู่ในนครศรีธรรมราชนั้นส่วนใหญ่จะทำกิจการค้าขาย เช่น ขายเหล็ก หลายครอบครัวนิยมทำโรงแรมที่พักหรือบางครอบครัวหันมาทำการเกษตร เช่น ปลกส้มโอทับทิมสยามที่ล่มน้ำปากพนัง นอกจากนี้ชาวไหหลำยังนิยมทำอาหารขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ข้าวมันไก่ เพราะข้าวมันไก่สูตรไหหลำนับว่าเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อในหมู่ชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก ร้านอาหารของชาวไหหลำที่มีชื่อเสียงมากในเมืองนครศรีธรรมราช คือ ร้านโกปิ๊ ภาษาที่ชาวไหหลำยังคงใช้พูดกันอยู่บ้าง เช่นคำว่า เด แปลว่า พ่อ เหน่ แหนะ หรือ เน่ แปลว่า ย่า, ยาย ก๋ง แปลว่า ปู่, ตา เจี่ยบุ้ย แปลว่า ทานข้าว เจี่ยตุ่ย แปลว่า ดื่มน้ำ เป็นต้น หากแต่ปัจจุบันชาวจีนที่มีอิทธิพลด้านภาษาในประเทศไทยคือแต้จิ๋ว หลายครอบครัวจึงไม่ได้เรียกพ่อว่า เด แต่เรียกว่า ป๊า แทน บางครอบครัวส่งลูกหลานไปเรียนภาษาจีนกลาง (แมนดาริน)ลูกหลานจึงพูดได้เพียงภาษาจีนกลางทำให้คนพูดภาษาไหหลำได้นั้นเหลือในวงจำกัดคือในหมู่ผู้อาวุโสเป็นส่วนใหญ่
ปัจจุบันสมาคมใหหลำ มีการจัดงานประจำปี ที่ศาลเจ้าแม่ทับทับทิม ๒ ครั้ง คือ หลังตรุษจีน และ ช่วงเดือนมิถุนายนที่นับว่าเป็นการฉลองศาลเจ้าซึ่งใน พ.ศ.๒๕๕๙ นี้นับเป็นปีที่ ๕๑ ในการจัดกิจกรรม นอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมว่าหลังวันตรุษจีนสมาชิกสามารถยืมเงินจากศาลเจ้าไปเป็นขวัญถุงในการทำ มาค้าขายได้เป็นเวลา ๑ ปี จากนั้นต้องนำกลับมาคืนในปีถัดไปเป็นจำนวน ๒ เท่าจากที่ยืม โดยเชื่อว่า เงินขวัญถุงนี้จะนำสิริมงคลมาให้ และเมื่อนำดอกเบี้ยมาคืน ก็ถือว่าได้ทำบุญให้กับศาลเจ้าด้วย ในงานนี้ ขาวไหหลำจะจัดเลี้ยงสังสรรค์ ไหว้เจ้าร่วมกัน และจัดงิ้วไหหลำ ๓ คณะ สลับสับเปลี่ยนกันทุกปี สืบเนื่องมาจนทุกวันนี้
สมาคมฮากกานครศรีธรรมราช" เริ่มต้นจากการที่ชาวฮากกาหรือชาวจีนแคะรวมตัว กันขึ้นเป็นสมาคม บรรพบุรุษฮากกาเข้ามาอาศัยอยู่ที่นครศรีธรรรมราชเนิ่นนานหลายรุ่นแล้ว โดยช่วงแรก เข้ามาที่ริมชายฝั่งทะเลดังเช่นชาวจีนกลุ่มอื่นๆ ส่งผลให้มีชาวฮากกาอาศัยอยู่ที่อำเภอปากพนังและ อำเภอท่าศาลาจำนวนมาก ชาวฮากกาในนครศรีธรรมราชประกอบอาชีพหลากหลาย ส่วนใหญ่นิยม ขายสินค้าเบ็ดเตล็ด เช่น เสื้อผ้า ของใช้ ซึ่งมักขายที่แยกท่าวัง ต่างจากชาวฮากกาในกรุงเทพฯ ที่นิยม ทำรองเท้า นอกจากนี้อาหารที่ชาวฮากกาทำนั้นขึ้นชื่อหลายอย่างและมีเอกลักษณ์ เช่น จู้หมี่ฟุ่น (หมี่ขาวใส่ข้าวหมาก) ลูกชิ้นแคะ เต้าหู้ยัดไส้ ขนมหล่อฟัดหยั่น (เส้นใส่กุ้ง, ปลาหมึกเจียว) วู้หยั่น (เผือกทอด) เป็นต้น ภาษาที่ชาวฮากกายังสืบทอดมาจนปัจจุบัน คือคำที่ใช้เรียกลำดับญาติในครอบครัว และชื่ออาหาร เช่น อากุง แปลว่า ปู่ หรือ ตา / อาผ่อ หรือ อาโผ่ แปลว่า ย่า หรือ ยาย / โก แปลว่า พี่ชาย / ซึกฟ่าน แปลว่า ทานข้าว เป็นต้น
สมาคมชาวฮากกาเดิมตั้งอยู่ในตัวเมืองและมีการอัญเชิญเทพเจ้าท่ามกงเยี่ยมาจากจังหวัดตรัง (พี่ชาวฮากกานครศรีรรรรมราช เรียก ท่ามกุงหยา) มาประดิษฐานไว้ที่ด้านบนสมาคม แต่เนื่องด้วยสถานที่ไม่สะดวกต่อการต้อนรับประชาชนที่ต้องการเข้ามาสักการะ ทางสมาคมจึงได้ซื้อที่ดินตำบลปากพูน เพื่อเป็นที่ตั้งถาวรของสมาคมและเป็นศาลที่ประดิษฐานเทพเจ้าท่ามกุงหยาเพื่อดำเนินกิจกรรมของสมาคมและเป็นศูนย์รวมจิตใจให้กับชาวฮากกาสืบไป
สมาคมแต้จิ๋วนครศรีธรรมราช" ชาวแต้จิ๋วเป็นประชากรจีนกลุ่มใหญ่ที่สุดในบรรดาชาวจีนโพ้นทะเลที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ที่นครศรีธรรมราช ก็มีชาวแต้จิ๋วอาศัยอยู่จำนวนไม่น้อย เดิมนั้นชาวแต้จิ๋วจะอาศัยและทำการค้าอยู่ใกล้กับบริเวณศาลเจ้ากวนอูบริเวณท่าวัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวจีนโพ้นทะเลในสมัยนั้น ต่อมาได้รวมตัวกันก่อตั้งเป็นสมาคมแต้จิ๋ว ซึ่งชาวแต่จิ๋วนิยมประกอบอาชีพค้าขาย กิจการส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองโดยขายสินค้าหลากหลายประเภท เช่น ร้านขายทอง เป็นต้น ส่วนภาษาที่ชาวแต้จิ๋ว ยังสืบทอดอยู่ในปัจจุบัน เช่น คำเรียกลำดับญาติ นับว่าเป็นภาษาที่ใช้แพร่หลายที่สุดในการรับรู้ของชาวไทย เช่น อากง แปลว่า ปู่,ตา / อาม่า แปลว่า ย่า,ยาย / อาแปะ แปลว่า ลุง / อาอึม แปลว่าป้าสะใภ้/ อาเจ็ก แปลว่า อาผู้ชาย / อ1อี้ แปลว่า น้าผู้หญิง/ อาเฮีย แปลว่า พี่ชาย เป็นต้น ส่วนเทพเจ้าที่ชาวแต้จิ๋วนับถือนั้น คือ เทพเจ้ากวนอู และด้วยเหตุที่เทพเจ้ากวนอูเป็นถือในหมู่ชาวจีนในแต่ละปีจึงมีการจัดงานประเพณีไหว้เจ้าและเทศกาลเจร่วมกัน โดยชาวแต้จิวจะมีบทบาทในการจัดกิจกรรมหรือทำนุบำรุงศาลเจ้ากวนอูมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีชาวจีนกลุ่มภาษาอื่น ๆ ที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครศรีธรรมราชอีก เช่น ชาวฮกเกี้ยน ชาวกวางตุ้ง เป็นต้น ซึ่งซาวจีนทุกลุ่มภาษาคือนักเดินเรือที่มุ่งหน้าแสวงหาดินแดนใหม่ แต่ละที่จึงมีศาลเจ้าที่นับถือประดิษฐานไว้ นั่นคือ ศาลเจ้าหม่าโจ ซึ่งเป็นที่นับถือของขาวเดินเรือนั่นเอง ในภาพรวมนั้น ชาวจีนในนครศรีธรรมราชและในภาคใต้ถือว่ายังมีความใกล้ชิดกับวัฒนธรรมของบรรพบุรุษอยู่มาก ตัวอย่างเช่น การเรียกชื่ออาหารจีนของชาวนครศรีธรรมราช ยังคงใกล้เคียงกับคำจีนดั้งเดิม เช่น การเรียกปาท่องโก๋ว่า จาก๊วย ซึ่งในภาษากวางตุ้งนั้น เรียกปาท่องโก๋ว่า หย่าวจากวาย และเรียกแป้งทอดกลม ๆ ที่ชายคู่กันว่า ป๊าดทองโก๊ว ซึ่งชาวไทยในภาคกลางอาจสับสนเลยเรียกหย่าวจากวาย ว่า ปาท่องโก๋ ในขณะที่ชาวเมืองนครศรีธรรมราชและชาวใต้ในอีกหลายจังหวัดเรียกว่า จาก๊วย เหมือนคำจีนตั้งเดิม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความเข้มข้นของวัฒนธรรมภาษาจีนในดินแดนใต้นั้นยังคงถูกต้องตามต้นฉบับมากกว่าที่อื่นๆ ส่วนงานเทศกาลประเพณีสำคัญที่ขาวจีนร่วมกันกันจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี คือเทศกาลกินเจ เช่นเดียวกับชุมชนชาวจีนอื่น ๆ ทั่วประเทศไทย โดยจะจัดงานเฉลิมฉลองในตัวเมืองอย่างยิ่งใหญ่ สร้างความคึกคักให้กับจังหวัดอย่างมาก จะเห็นได้ว่าชุมชนชาวจีนที่นครศรีธรรมราชนั้นเป็นหนึ่งในชุมชนที่สามารถรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็ง และยังเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาให้จังหวัดนครศรีธรรมราช กลายเป็นเมืองที่มั่งคั่งทางเศรษฐกิจจวบจนทุกวันนี้
ชุมชนอินเดีย และพราหมณ์ - ฮินดู ในนครศรีธรรมราช หากย้อนไปในอดีต อาจสันนิษฐานได้ว่าเมืองท่าชายทะเลของนครศรีธรรมราชได้มีขาวอินเดียใต้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์อพยพเข้ามาเผยแผ่ศาสนาเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากมีการพบโบราณวัตถุและโบราณสถานที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์ เช่น ศิวลึงค์ทองคำ ที่ค้นพบในบริเวณถ้ำเขาพลีเมืองในพื้นที่อำเภอสิชล" แหล่งโบราณคดีโมคลาน อำเภอท่าศาลา เทวรูปพระวิษณุ ที่วัดเกาะ พระนารายณ์ อำเภอท่าศาลา เสาชิงช้า และศาสนสถาน ในอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น โบราณวัตถุสถาน รวมถึงตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราชที่เล่าสืบต่อกันมานั้น ทำให้เชื่อได้ว่าพราหมณ์เมืองนครฯ น่าจะเป็นพราหมณ์จากอินเดียใต้ที่เข้ามาเมื่อราวพุทธศตวรรษที่๘ – ๑๒ และส่งอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมความเชื่อรวมทั้งจารีตประเพณีในราชสำนักกรุงศรีอยุทธยา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งความสัมพันธ์ที่ปรากฏให้เห็นได้แก่ การสร้างหอพระอิศวร หอพระนารายณืและเสาชิงช้า ที่อยู่ในนครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร
ผู้สืบเชื่อสายพราหมณ์ในนครศรีธรรมราช ถือเป็นตระกูลพราหมณ์ที่มีบทบาทอยู่ในราชสำนักไทยและเรียกว่าเป็นพราหมณ์ในราชสำนักหรือพราหมณ์หลวง ส่วนชาวบ้านนั้น มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับการบอกเล่าจากบรรพบุรุษว่าตระกูลของตนสืบเชื้อสายมาจากพราหมณ์อินเดียแต่ไม่สามารถสืบสาแหรกได้ และส่วนใหญ่ได้หันมานับถือพุทธศาสนา จึงแทบไม่หลงเหลือความเป็นพราหมณ์อีกต่อไป ส่วนชาวฮินดูที่รู้จักในนครศรีธรรมราชในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ชาวฮินดูที่สืบเชื้อสายมาจากเมื่อพันกว่าปีก่อนแต่เป็นชาวฮินดูที่อพยพจากประเทศอินเดียเข้ามาค้าขายอยู่ในตัวเมืองนครศรีธรรมราชเมื่อครั้งที่มีการแบ่งฮินดูสถานออกเป็นอินเดียกับปากีสถาน ครอบครัวชาวอินเดียที่อพยพเข้ามาในครั้งนั้น ได้กลายเป็นพ่อค้าคนสำคัญของเมืองนครศรีธรรรมราช นั่นคือ ครอบครัวชาวาลา
ทายาทตระกูลชวาลาที่ทำการค้าในปัจจุบัน คือ นายจิมมี่ ขวาลา ทายาทรุ่นที่ ๓ ผู้ดูแลกิจการร้านชายผ้าในตัวเมือง นายจิมมีได้ลำดับความทรงจำให้ฟังว่า ทวดได้ย้ายเข้ามาเป็นรุ่นแรก เมื่อสมัยที่ชาวอินเดียอพยพเข้ามาช่วงที่อินเดียได้รับเอกราชแล้วเกิดการแบ่งแยกประเทศระหว่างอินเดียและปากีสถานในครั้งนั้นมีครอบครัวชาวฮินดูที่ย้ายมาอยู่รวมกันในเมืองนครศรีธรรมราชอยู่หลายครอบครัว เมื่อสมัยที่ตนยังเป็นเด็ก คือ เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๐๗ นั้น มีชาวฮินดูอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันประมาณ ๒๕ ครอบครัว จากนั้น เริ่มมีภัยจากคอมมิวนิสต์ ส่งผลให้หลายครอบครัวได้อพยพไปอยู่กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันในจำนวนชาวฮินดูที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากอยู่ที่อำเภอเมืองด้วยกันคงเหลือเพียงครอบครัวขวาลาและสืบทอดกิจการค้าผ้ามาจนทุกวันนี้" การที่นครศรีธรรมราชเคยเป็นชุมชนที่พราหมณ์มีบทบาทมายาวนาน แต่ประชากรปัจจุบันหันมานับถือพุทธศาสนา ส่งผลให้ครอบครัวฮินดู ที่อพยพเข้ามาทีหลังมีความคุ้นเคยกับชาวพุทธ และในความเชื่อของฮินดูนั้นนับถือว่าพุทธกับฮินดูมีรากเดียวกัน ทำให้ครอบครัวชวาลามีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาด้วย และได้กลายเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเพื่อบูรณะยอดพระธาตุ ณ วัดมหาธาตุนครศรีศรีธรรมราชเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา
ส่วนการปฏิบัติตามวิถีของฮินดูนั้นยังคงกระทำเป็นกิจวัตรภายในครอบครัว หรือเดินทางไปสักการะเทวสถานหรือโบราณสถานที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์ฮินดู เช่น ฐานพระสยม เป็นต้น เพียงแต่เวลามีพิธีกรรมหรือวันสำคัญเนื่องในศาสนาฮินดูนั้น ต้องเดินทางไปร่วมกิจกรรมทางศาสนากับพราหมณ์จากอินเดียที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากไม่มีพราหมณ์อินเดียในนครศรีธรรรมราชทำพิธีให้ ปัจจุบันนี้ เริ่มมีการฟื้นฟูประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับพิธีพราหมณ์ในอดีต เช่น ประเพณีแห่นางดาน มีการแสดงแสงสีเสียง มีการบูรณะเสาชิงข้า เพื่อเป็นการรำลึกว่านานมาแล้วดินแดนแถบนี้เคยมีพราหมณ์มาเผยแผ่ศาสนาจนรุ่งเรืองอยู่ระยะหนึ่ง และทิ้งร่อยรอยไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ค้นหาต่อไป จะเห็นได้ว่าชาวจีนและอินเดียที่อพยพเข้ามาอยู่อาศัยในนครศรีธรรมราชตั้งแต่อดีตนั้น เป็นผู้บุกเบิกดินแดนบางแห่ง เป็นผู้นำทางศาสนา วัฒนธรรม รวมทั้งสร้างอาชีพใหม่หลายอาชีพ จึงนับว่าเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของนครศรีธรรมราชมาอย่างช้านาน ปัจจุบันนี้ทุกคนล้วนเป็น "คนคอน" ที่มีหน้าที่ช่วยกันสืบสานวิถีวัฒนธรรมอันหลากหลายให้คงอยู่ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อพัฒนานครศรีธรรมราชให้เจริญรุ่งเรืองทั้งด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมสืบไป

27 ตุลาคม, 2568

วัดวิทยาลัยครูรังสรรค์

วัดวิทยาลัยครูรังสรรค์ หรือที่ชวนบ้านเรียกติดปากกันว่าวัดหน้าเขามหาชัยตั้งอยู่ที่บ้านเขามหาชัย เลขที่ ๑ หมู่ที่ ๗ ถนนนครศรี-นบพิตำตำบลท่างิ้ว อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ๘๐๒๘๐เป็นวัดราษฎร์ มหานิกาย ขึ้นทะเบียดวัดเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ รับวิสุงคามสีมา เมื่อ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ประวัติการสร้างวัด บ้านเขามหาชัย มีสถานศึกษาที่สำคัญ คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เดิมพ.ศ.2500 เป็นโรงเรียนฝึกหัดครู พ.ศ.2512 ยกฐานะเป็นวิทยาลัยครู พ.ศ.2535 พระราชทานนามสถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช จนกระทั่งพ.ศ.2547ในนามมหาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช ในยุคที่ยังเป็นโรงเรียนฝึกหัดครู
นายทวี ท่อแก้ว ผอ. รร.ฝึกหัดครูนครศรีธรรมราชในครั้งนั้น ร่วมกับคณาจารย์เจ้าหน้าที่และคนงาน และชาวบ้านเขามหาชัยในยุคที่ยังเป็นป่าเขา วัดนี้มีอุดมการณ์แนววัดป่าที่ร่มรื่นด้วยป่าแมกไม้น้อยใหญ่และร่มรื่นด้วยแก่นธรรมแห่งพุทธศาสนา ไม่มุ่งเน้นการก่อสร้างทางวัตถุ กุฏิที่พำนักสงฆ์ล้วนเรียบง่ายหลังเล็กๆรวมทั้งกุฏิสมภารเจ้าอาวาส เกือบทุกปีจะมีพระสงฆ์เดินทางมาจากใกล้ไกลเพื่อเข้าปริวาสกรรมเป็นเวลา๑๐วัน๑๐คืน และจะมีอุบาสกอุบาสิกามาบวชเนกขัมมะปฎิบัติธรรมด้วย ซึ่งจะมีพุทธศาสนิกชนจากใกล้ไกลมาร่วมทำบุญตักบาตรถวายภัตตาหารพระสงฆ์รวมทั้งร่วมฟังธรรมปฏิบัติธรรมในยุคที่ยังเป็นป่าเขา วัดนี้มีอุดมการณ์แนววัดป่าที่ร่มรื่นด้วยป่าแมกไม้น้อยใหญ่และร่มรื่นด้วยแก่นธรรมแห่งพุทธศาสนา ไม่มุ่งเน้นการก่อสร้างทางวัตถุ กุฏิที่พำนักสงฆ์ล้วนเรียบง่ายหลังเล็กๆรวมทั้งกุฏิสมภารเจ้าอาวาส เกือบทุกปีจะมีพระสงฆ์เดินทางมาจากใกล้ไกลเพื่อเข้าปริวาสกรรมเป็นเวลา๑๐วัน๑๐คืน และจะมีอุบาสกอุบาสิกามาบวชเนกขัมมะปฎิบัติธรรมด้วย ซึ่งจะมีพุทธศาสนิกชนจากใกล้ไกลมาร่วมทำบุญตักบาตรถวายภัตตาหารพระสงฆ์รวมทั้งร่วมฟังธรรมปฏิบัติธรรม ฝ่ายพระสงฆ์มีพระครูวุฒิธรรมสาร (สมปอง) เป็นต้น ได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นใกล้ๆ กับ โรงเรียนฝึกหัดครู ห่างกันประมาณ ๑ กม.ทางทิศเหนือ นการทำพิธีขอสถานที่สร้างวัด ได้นิมนต์พระครูพิศิษฐอรรถการ(พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์) มาทำพิธีให้ ในประมาณต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ( ปัจจุบันยังมีภาพถ่ายเป็นหลักฐาน) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ กระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้ประกาศตั้งวัดและให้ชื่อว่า "วัดวิทยาลัยครูรังสรรค์" เป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมาย พระครูวุฒิธรรมสาร (สมปอง) ได้เป็นผู้นำในการสร้างและพัฒนาวัดนี้มาตลอด จนกระทั่งท่านได้รับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอพรหมคีรี จึงได้ย้ายไปอยู่วัดพรหมโลก อำเภอ พรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนทางวัดวิทยาลัยครูรังสรรค์ ได้ให้พระนิตย์ วิสุทฺธสีโล เป็นผู้ดูแลรักษาวัด จนกระทั้ง วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ทางคณะสงฆ์จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ได้แต่งตั้ง พระครูโสภณพิทยาพรณ์ (พระมหาเจือ โสภโณ) ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส จนถึงปัจจุบัน
วัดวิทยาลัยครู ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 18 ไร่โฉนดที่ดิน เลขที่ 101 ภายในวัดประกอบด้วย อุโบสถ กว้าง 6 เมตร ยาว 18 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2546 ศาลาการเปรียญ กว้าง 12 เมตร ยาว 20 เมตร สร้างเมือ พ.ศ. 2514 กุฏิสงฆ์ จำนวน 9 หลัง เป็นอาคารไม้ 1 หลัง ครึ่งตึกครึ่งไม้ 1 หลัง ศาลาอเนกประสงค์ กว้าง 6 เมตร ยาว 16 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2535 ศาลาบำเพ็ญกุศล จำนวน 1 หลัง เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ นอกจากนี้มี ฌาปนสถาน โรงครัว และกุฏิเจ้าอาวาส ปูชนียะวัตถุ มีพระประประธานประจำอุโบสถ ปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง 78 นิ้ว สูง 90 นิ้ว สร้างเมือ พ.ศ. 2534 พระประธานประจำศาลา การเปรียญ ปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง 46 นิ้ว สูง 60 นิ้ว สร้างเมื่อ พ.ศ. 2520 ที่มาสืบค้นข้อมูล FPay-1Jyqj5jKjAQhOBG1h-hC-LkCykLYHrpYLNWbFbwYuu9A4p1TiQKdHA1H7RKKL/s400/490765033_2903682836477251_1440557803643869904_n.jpg"/>

พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบรมราชินีนาถใน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของพลเอก พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า “สิริกิติ์” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เป็นศรี แห่งกิติยากร” ทรงพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ที่บ้านพลเอก เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ผู้เป็นบิดาของหม่อมหลวงบัว ณ บ้านเลขที่ ๑๘๐๘ ถนนพระรามหก ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ขณะนั้นเป็นระยะที่ประเทศเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ก่อนหน้านั้นพระบิดาของพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก มียศเป็นพันเอก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลทรงออกจากราชการทหาร โดยรัฐบาลแต่งตั้งให้ไปรับราชการในตำแหน่งเลขานุการเอก ประจำสถานทูตสยาม ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอมริกา ส่วนหม่อมหลวงบัวซึ่งมีครรภ์แก่คงพำนักอยู่ในประเทศไทย จนให้กำเนิดหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์แล้วจึงเดินทางไปสมทบ มอบหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ให้อยู่ในความดูแลของเจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ และท้าววนิดาพิจาริณี ผู้เป็นบิดาและมารดาของหม่อมหลวงบัว หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ต้องอยู่ห่างไกลบิดามารดาตั้งแต่อายุยังน้อย บางคราวต้องระหกระเหินไปต่างจังหวัดตามเหตุการณ์ผันผวนทางการเมือง เช่น ในพุทธศักราช ๒๔๗๖ หม่อมเจ้าอัปษรสมาน กิติยากร พระมารดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ได้ทรงรับนัดดาตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปสงขลาด้วย ปลายพุทธศักราช ๒๔๗๗ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลทรงลาออกจากราชการกลับประเทศไทยพร้อมครอบครัว อันมีหม่อมหลวงบัว หม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์ บุตรคนโต และหม่อมราชวงศ์ บุษบา บุตรีคนเล็กผู้เกิดที่สหรัฐอเมริกา แล้วมารับหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ บุตรคนรอง กับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์จาก หม่อมเจ้าอัปษรสมาน กลับมาอยู่รวมกันที่ตำหนักซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนกรุงเกษม ปากคลองผดุงกรุงเกษม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เริ่มเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี ปากคลองตลาด ในพุทธศักราช ๒๔๗๙ แต่เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาลุกลามมาถึงประเทศไทย จังหวัดพระนครถูกโจมตีทางอากาศบ่อยครั้งทำให้การเดินทางไม่สะดวกและไม่ปลอดภัย ในพุทธศักราช ๒๔๘๓ จึงย้ายไปเรียนชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ถนนสามเสน เพราะอยู่ใกล้บ้านในระยะที่พอจะเดินไปโรงเรียนเองได้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เริ่มเรียนเปียโนที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ และในเวลาต่อมาได้ตั้งใจที่จะเป็นนักเปียโนผู้มีชื่อเสียง หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้เผชิญสภาพของสงครามโลกมาเช่นเดียวกับคนไทยทั้งหลาย หม่อมเจ้านักขัตรมงคลผู้ทรงเป็นทหารเป็นผู้ปลูกฝังให้บุตรและบุตรีรู้จักความมีวินัย ความอดทน ความกล้าหาญ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความเสียสละ โดยอาศัยสถานการณ์สงครามเป็นตัวอย่าง และสงครามโลกก็ทำให้คนไทยทั้งปวงต้องหันหน้าเข้าช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก สิ่งเหล่านี้จึงหล่อหลอมหม่อมราชวงศสิริกิติ์ให้มีความเมตตาต่อผู้อื่นและรักความมีระเบียบแบบแผนมาตั้งแต่เยาว์วัย หลังจากสงครามสงบแล้ว นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น คือนายควง อภัยวงศ์ ได้แต่งตั้งให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลเป็นอัครราชทูตประจำประเทศอังกฤษ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลจึงทรงพาครอบครัวทั้งหมดไปด้วยในกลางพุทธศักราช ๒๔๘๙ ขณะนั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๓ ของโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์แล้ว
ระหว่างที่อยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เรียนเปียโน ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสกับครูพิเศษ แต่อยู่ที่อังกฤษได้ไม่นาน พุทธศักราช ๒๔๙๐ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลก็ทรงย้ายไปเป็นอัครราชทูตประจำประเทศฝรั่งเศสและเดนมาร์ก ก่อนจะกลับมาเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างนี้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ยังคงตั้งใจเรียนเปียโนอย่างขะมักเขม้นเพื่อเตรียมสอบเข้าวิทยาลัยการดนตรีที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีส พุทธศักราช ๒๔๙๑ ขณะที่หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัวอยู่ในปารีส ได้รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งโปรดเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโรงงานทำรถยนต์ในกรุงปารีสอยู่เสมอ จนเป็นที่คุ้นเคยและต้องพระราชอัธยาศัย ฉะนั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุปัทวเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องประทับรักษาพระองค์ในสถานพยาบาล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมหลวงบัวพาบุตรี ทั้งสองคือหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์และหม่อมราชวงศ์บุษบาเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทเยี่ยมพระอาการเป็นประจำ จนพระอาการประชวรทุเลาลงและเสด็จกลับพระตำหนักได้ สมเด็จพระราชชนนีได้รับสั่งขอให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อยู่ศึกษาต่อที่เมืองโลซานน์ในโรงเรียนประจำชื่อโรงเรียน Riante Rive ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในการสอนวิชาพิเศษแก่กุลสตรี คือ ภาษา ศิลปะ ดนตรี ประวัติวรรณคดี และประวัติศาสตร์ ต่อมาอีก ๑ ปี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัวมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วสมเด็จพระราชชนนีรับสั่งขอหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ต่อหม่อมเจ้านักขัตรมงคลและทรงประกอบพิธีหมั้นเป็นการภายใน ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ ทรงใช้พระธำมรงค์ที่สมเด็จพระราชบิดาทรงหมั้นสมเด็จพระราชชนนีเป็นพระธำมรงค์หมั้น แล้วโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ศึกษาต่อไปจนถึงกำหนดตามเสด็จกลับมาถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในเดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ วันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ มีพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์และ เทพมนตร์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย และในวันนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ วันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับเฉลิมพระบรมนามาภิไธยว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และทรงเฉลิมพระยศ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี วันที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ ทั้งสองพระองค์เสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพราะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลแนะนำให้ทรงพักรักษาพระองค์อีกระยะหนึ่ง พุทธศักราช 2494 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี มีพระประสูติกาลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเจริญพระชันษาได้ ๗ เดือน ทั้งสามพระองค์จึงเสด็จนิวัติประเทศไทย ประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ ซึ่งปัจจุบันคือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศร ราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดาฯ ซึ่งปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดาฯ ปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิริธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ซึ่งปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ได้ประสูติต่อมาตามลำดับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน รวมพระราชโอรสและพระราชธิดา ๔ พระองค์
ปลายพุทธศักราช ๒๔๙๘ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ผู้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทยเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินีให้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาแทน เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ และในปีเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทรงพระผนวชตามโบราณราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ภายหลังเมื่อทรงลาผนวชแล้ว ได้ทรงสถาปนาพระราชอิสริยยศสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ อันมีความหมายว่าทรงเป็นที่พึ่งของประชาชน นับเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์ที่สองของไทยต่อจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงปฏิบัติราชการแทนพระองค์เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณีกิจน้อยใหญ่ทั้งในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีของไทย และในฐานะคู่พระราชหฤทัยแห่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กล่าวคือทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจทั้งหลายไปได้เป็นอันมาก ทั้งยังมีพระราชดำริเริ่มใหม่เพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศอย่างอเนกอนันต์ ซึ่งโครงการพระราชดำริเหล่านั้นได้ยังประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนสืบมาจนทุกวันนี้ วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ ทรงเจิมแล้วพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์และเครื่องอิสริยราชชูปโภค สำหรับตำแหน่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในงานพระราชพิธีฉัตรมงคล และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเชิญดอกพิกุลเงิน ดอกพิกุลทอง และเหรียญสลึง ถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อทรงโปรยพระราชทานแก่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายใน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จออกทรงผนวช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในภาพนี้ทรงปฏิญาณพระองค์ในรัฐสภา ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๙๙ วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ถวายเครื่องอัฐบริขารแด่พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ภูมิพโลภิกขุ) ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ที่มาสิบค้นข้อมูล www.royaloffice.th/25/10/2025/ประกาศสำนักพระราชวัง-24-10-2568/

20 ตุลาคม, 2568

วัดเขาปูน วัดเก่าแก่ในอ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช

วัดเขาปูน เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย (รหัสวัด05800201001) ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ ๘ ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราชมีเนื้อที่ประมาณ 12 ไร่ มีประวัติศาสตร์และความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมอย่างยาวนาน วัดเขาปูนตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. 2320 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2508 ที่ได้ชื่อว่าเขาปูน เป็นเพราะในบริเวณวัดมีภูเขาเล็กๆ ลักษณะเป็นภูเขาหินปูน จึงได้ชื่อว่า เขาปูน จุดเด่นของวัดคือ เจดีย์พระธาตุชัยมณีศรีฆะโลก ตั้งอยู่บนยอดเขา ทรงระฆังคว่ำสีขาว มีบันไดขึ้นไปถึงเจดีย์จำนวน 300 ขั้น ภายในเจดีย์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และมีพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ เช่น พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระปางไสยาสน์ และปางสมาธิ อีกทั้งยังมีภาพเขียนเล่าเรื่องประวัติการสร้างวัดและสังขาร "พ่อท่านแก้ว" บรรจุอยู่ในโลงแก้ว นอกจากนี้ บนยอดเขายังมีสำนักปฏิบัติธรรม พระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสิน พระนเรศวร พระปิยะมหาราช หอระฆัง และรูปของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
พระครูสังฆกิจพิมล (ชณศักดิ์ นนทามิตร) หรือท่านศักดิ์เจ้าอาวาสวัดเขาปูนเล่าว่า ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง สร้างมาในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชได้เสด็จหนีจากกรุงธนบุรีแล้วก็มาตั้งรกรากที่นครศรีธรรมราช แล้วก็มาพักที่วัดเขาปูนนี้อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะไปพักที่วัดเขาขุนพนมในโอกาสสุดท้ายของชีวิตของพระเจ้าตากสิน
ในยุคที่วัดเขาปูนมีความเจริญ ทุกคนรู้จักวัดเขาปูนว่ามีพระธาตุชัยมณีศรีฆะโลก สร้างโดยพระธุดงค์รูปหนึ่งชื่อว่าพระครูสมุห์แก้ว ปุญญภาโค หรือ พ่อท่านแก้ว ซึ่งเป็นพระที่ธุดงค์มาจากจังหวัดเชียงใหม่ ประวัติของพ่อท่านแก้ว เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2485 จบลงเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เท่านั้น เป็นชาว ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เดิม ชื่อแก้ว เมขลา ท่านบวช เป็นสามเณรในงานศพของบิดา และศีกษาพระธรรมวินัยจวบจนถึงอายุอุปสมบทโดยมีหลวงปู่แหวน สุจิณโณ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ติดตามหลวงปู่แหวนออกธุดงค์ในสถานที่ต่างๆ และเมื่อหลวงปู่แหวนหยุดธุดงค์ พ่อท่านแก้วก็ยังคงธุดงค์เพียงลำพัง ทั้งประเทศลาวกัมพูชา และจีน ก็ยังไม่ทำให้ท่านได้ค้นพบสิ่งที่หวังไม่ ท่านจึงตั้งใจออกธุดงค์มาทางภาคใต้
เมื่อพ่อท่านแก้วมาเจอวัดเขาปูน อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช และเชื่อว่า "เขาปูน"เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ "พ่อท่านแก้ว" ได้ธุดงค์มาปฏิบัติธรรม และเล่าว่า เมื่อพ.ศ.2528 ท่านเองก็ได้นิมิตเห็นเทพ 2 องค์มาบอกเรื่องการสร้างพระธาตุบนยอดเขาปูน แต่ความจริงอุปสรรคของการสร้างครั้งนี้ก็คือ ยอดเขาที่เต็มไปด้วยหินแหลมคมและหน้าผาอันสูงชัน ซ้ำด้วยยังมีต้นไม้อันหนาทึบ แต่ก็กลับมีนิมิตอันอัศจรรย์เกิดขึ้นคือ มีงูตัวใหญ่เลื้อยหายเข้าไป "พ่อท่านแก้ว" จึงได้พาคณะตามทางที่งูเลื้อยขึ้นไป ซึ่งเส้นทางดังกล่าวสามารถขึ้นไปสู่ยอดเขาปูนได้อย่างง่ายดาย หลังจากการสำรวจครั้งนั้นแล้วจึงเริ่มทำการก่อสร้าง ท่านได้นิมิตรเห็นเทพ 2 องค์ บอกให้สร้างเจดีย์บนยอดเขาปูน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก ด้วยภูเขาสูงชัน และงบประมาณในการก่อสร้างสูง ถึงแม้จะมีอุปสรรคในการจัดสร้างเพียงใด แต่แรงใจ แรงศรัทธาของศิษยานุศิษย์ทำให้ท่านทำสำเร็จได้ภายใน 3 ปี เริ่มสร้างพระธาตุชัยมณีศรีฆะโลก วัดเขาปูน อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2529 และเสร็จในวันที่ 9ส.ค. 2532
เมื่อข่าวการสร้างพระธาตุแพร่หลายออกไป ความคิดเห็นต่างๆของชาวบ้านก็เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ "พ่อท่านแก้ว" ก็ยังคงยืนยันเจตนาเดิมโดยการทำป้ายขนาดใหญ่ไว้ที่เชิงเขาปูนว่าจะทำการสร้างพระธาตุบนยอดเขาปูนมูลค่า 10 ล้านบาท เป็นการเชิญชวนผู้ศรัทธาร่วมสร้าง ข่าวความศรัทธาที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสายของผู้ที่มาช่วยงาน ด้วยเห็นความมุ่งมั่นของ"ท่านอาจารย์แก้ว" ที่นำคณะลงมือทำงานเองไม่ว่าจะเป็นการแบกถังปูน โบกถัง เป็นการสร้างกำลังใจอันยิ่งใหญ่ให้กับทุกคน ทำให้ช่วยกันทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ข่าวแพร่กระจายออกไปทำให้พลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนในละแวกชุมชนและอำเภอใกล้เคียง หลั่งไหลมาเป็นจำนวนมาก ต่างก็เดินทางมาช่วยเหลือทำบุญ สมทบทุนจนสร้างพระธาตุเสร็จใน พ.ศ.2530 และนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ มาก่อสร้างขึ้นมากมายดังที่พบเห็นในปัจจุบัน "พ่อท่านแก้ว" ยังได้คำนึงถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้าน โดยเฉพาะความเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งโรคมะเร็งก็ยังเป็นโรคร้ายแรงในขณะนั้น "พ่อท่านแก้ว" จึงได้มีความคิดจัดสร้างโรงพยาบาลที่รักษาโรคมะเร็งโดยเฉพาะ โดยท่านเองต้องการจะทำสิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนโดยทั่วไปอย่างใจจริง ซึ่งการรักษาในโรงพยาบาลแห่งนี้จะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ทำให้ชื่อเสียงของพ่อท่านแก้ว เป็นที่รู้จักและศรัทธามากขึ้นโดยไม่มีวันที่จะเสื่อมคลาย พ่อท่านแก้ว มรณะภาพในปี พ.ศ. 2550 ปัจจุบัน ร่างพ่อท่านแก้ว ยังคงอยู่ในโลงแก้ว ยังคงสภาพเดิม ประดิษฐานบนยอดเขา ปูน ร่างพ่อท่านแก้ว ยังคงอยู่สภาพเดิม(ไม่เน่าเปื่อย)
ท่านศักดิ์เจ้าอาวาสวัดเขาปูนรูปปัจจุบันยังเล่าอีกว่า พ่อท่านแก้ว ท่านมาในสมัยนั้นก็จะมาเทศน์สอนในเรื่องต่างๆทุกๆวัน ท่านเป็นพระที่มีความเพียรเป็นเลิศ เป็นพระนักเทศน์ที่คนศรัทธาเป็นอย่างมาก ท่านได้สร้างถาวรวัตถุบนภูเขามากมาย เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของคนบริเวณอำเภอพรหมคีรี ท่าศาลา เมือง ร่อนพิบูลย์ ผู้คนมาเที่ยววัดกันมากในสมัยนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ที่วัดเขาปูนมีมากมายเช่น พระดำ พระดำนี้เป็นพระที่พระเจ้าตากสินมหาราชทรงปั้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ในการปั้นครั้งนั้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเหล่าวิญญาณของคณะและวิญญาณของผู้ที่ติดตามท่านแล้วมาเสียชีวิตในถ้ำเขาปูนเนื่องจากว่าท่านได้ไปตีเขาขุนพนม เอาเด็กเอาผู้หญิงเอาคนแก่เข้าไว้ในถ้ำ กะระยะเวลาในการตีชิงเขาขุนพนมผิด เมื่อตีชิงชัยชนะได้แล้ว เมื่อกลับมาที่ถ้ำเขาปูน ปรากฏว่า คนในถ้ำเสียชีวิตหมดแล้ว จึงได้สร้างพระดำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเหล่าวิญญาณเหล่านั้น เรื่องเหล่านี้ไม่เคยมีใครที่เอาประวัติเข้ามาเผยแพร่ต่อสังคม เป็นความเชื่อของชุมชน แม่นางผมหอม แม่นางผมหอมพ่อท่านแก้วเคยเล่าให้ฟัง ในสมัยนั้นอาตมามีบ้านอยู่แถวนี้ก็ได้ฟังประวัติของแม่นางผมหอม คือเป็นในเรื่องของโชค เป็นในเรื่องของลาภ เป็นในเรื่องของการงาน และเป็นในเรื่องของเมตตามหานิยม
เทวดาสองพี่น้อง เทวดาสองพี่น้อง องค์พี่เป็นเสือ องค์น้องเป็นงู ซึ่งเทวดาสองพี่น้องประดิษฐานหน้าถ้ำเทวดาสองพี่น้องมาตั้งแต่สมัยที่พ่อท่านแก้ว ศาลาเทวดาสองพี่น้อง ตามตำนานเล่าว่า ชาวบ้านเขาปูนในสมัยนั้นได้ประสบภัยแล้งอย่างรุนแรง มีชายชาวจีนสองคนพี่น้อง คนพี่ชื่อว่าฮก คนน้องชื่อว่า เจ้าซี่ ได้มาช่วยกันขุดเหมืองส่งน้ำไปยังเขาปูนเพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้ง พี่ชายขุดจากห้วยหูนพ ปัจจุบันอยู่ที่กิโลเมตรที่ 2.5 เส้นทางน้ำตกพรหมโลก และมีศาลาเทวดาสองพี่น้องอยู่บริเวณเนินเขาด้านซ้ายมือ ทางขึ้นน้ำตก เพื่อเป็นสถานที่ประดิษฐานของเทวดาสองพี่น้อง มีการจัดสร้างพระพุทธรูป รูปปั้นงู เสือ อยู่ ณ ศาลาแห่งนี้ ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงเล่าว่า บางครั้งจะเห็นงูใหญ่เลี้ยงมาขวางถนนบริเวณศาลแล้วจากไป ซึ่งไม่เคยทำอันตรายผู้ใด ชาวบ้านเชื่อว่าเทวดาสองพี่น้องมาปรากฏให้เห็น ตำนานเทวดาสองพี่น้องที่วัดเขาปูน อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับเทพผู้พิทักษ์วัดแห่งนี้ ซึ่งเกี่ยวพันกับตำนานการสร้างเจดีย์บนยอดเขาปูนอย่างน่าสนใจ เทวดาสององค์ที่ปรากฏในนิมิตของพ่อท่านแก้วนี้เองที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเทวดาผู้พิทักษ์วัด ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "เทวดาสองพี่น้อง" และมีการสร้างรูปปั้นขนาดใหญ่เป็นรูปยักษ์ 2 ตน ชื่อ กุมภา กับ กุมภี ยืนเฝ้าบันไดทางขึ้นเจดีย์บนยอดเขา ซึ่งเชื่อว่าเป็นยักษ์ที่ช่วยเหลือในการสร้างวัดด้วย เทวดาสองพี่น้องวัดเขาปูน ไม่ได้เป็นเพียงรูปปั้น แต่เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธาและพลังแห่งการดลบันดาลที่ช่วยให้การสร้างเจดีย์สำเร็จลุล่วงไปได้ และกลายเป็นตำนานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านในท้องถิ่นจนถึงปัจจุบัน
บนยอดเขา มีสามกษัตริย์ที่พ่อท่านแก้ว ปุญญภาโค ซึ่งเป็นผู้สร้างเจดีย์พระธาตุชัยมณีศรีฆะโลกบนยอดเขาปูนแห่งนี้ ก็คือพระนเรศวรมหาราช พระเจ้าตากสินมหาราชและพระปิยะมหาราช องค์พระพรหม พระสีวลี และบริเวณด้านในเจดีย์ในปัจจุบันได้ประดิษฐานสรีระร่างของพ่อท่านแก้ว ท่านแก้ว มรณะภาพในปี พ.ศ. 2550 ปัจจุบัน ร่างพ่อท่านแก้ว ยังคงอยู่ในโลงแก้ว ยังคงสภาพเดิม (โดยสรีระร่างของพ่อท่านแก้วไม่เน่าเปื่อย)พ่อท่านแก้วได้สร้างความเจริญให้กับที่นี่อย่างมากมายมหาศาล วัดเขาปูนยังเป็นจุดชมวิว 360 องศาของที่นี่ซึ่งมีที่เดียวในอำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราชแห่งนี้เป็นที่เดียวที่สามารถชงวิวชมเมืองได้รอบ 360 องศาและมาทำบุญได้บุญด้วยสิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงส่วนประกอบของสถานที่อย่างนี้สิ่งที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของที่นี่ก็คือพระธาตุไชยมณีศรีฆะโลก คนจะมาขอพรกันเยอะช่วยกันขนทรายขึ้นภูเขาทำสิ่งปลูกสร้างต่างๆบนภูเขาในพ.ศ. 2550 มรณภาพทุกสิ่งทุกอย่างขาดการบริหารจัดการที่ถูกต้องขาดแรงสนับสนุนในการดูแลในการบูรณะให้คงอยู่ซึ่งความสวยงามก็ทรุดโทรมลงตามกาลเวลาระบบน้ำระบบไฟบนภูเขาเสียหายหมดตอนนี้จะได้รับการบูรณะต่อจากนี้ ชนในการบูรณะวัดก็เป็นในงานทอดกฐินซึ่งจะทอดกฐินในวันที่ 26 ตุลาคม 2568
จึงใคร่ขอบอกบุญบอกข่าวไปยังนักบุญทั้งหลายว่าถ้าอยากช่วยให้ที่นี่เป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองอาจ เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม เป็นศูนย์กลางศูนย์รวมทางจิตใจอีกครั้งก็มาร่วมร่วมกันทอดกฐินของวัดเขาปูน ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช เรามีแนวทางเรามีมุมที่จะทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มประเพณีอย่างจริงๆจังจังก็คือการตักบาตรหน้าล้อ เอารูปของเทวดาสองพี่น้องนำเสนอต่อสังคมในมุมกว้าง การทอดผ้าป่าการทอดกฐินและนำการงานจัดงานมหรสพเพื่อรวบรวมดึงคนเข้ามาให้นึกถึงความจำเก่าเก่าให้นึกถึง ความเจริญเก่าเก่าอีกครั้งให้กลับมาที่นี่ปัจจุบันเป็นลูกของสังคมโซเชียลเป็นโลกของความรวดเร็ว ในการประกอบกิจการต่างๆ จุดนี้สามารถที่จะดึงคนเข้ามาใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนาสามารถที่จะดึงคนเข้ามาใกล้ชิดกับวัด เพื่อจะได้เรียนรู้ธรรมซึ่งเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาจริงๆ อิงพระพุทธศาสนานำหน้าและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีตามหลัง เพื่อให้ควบคู่กันไป วัดแห่งนี้จะเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมพระพุทธศาสนาแห่งนี้จะเป็นศูนย์รวมของ คนยุคใหม่วัดแห่งนี้จะเป็นที่ที่รวบรวมกำลังจิตกำลังใจรวบรวมความเชื่อรวบรวมศรัทธาเพื่อให้เข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาจริงๆ
โบราณวัตถุที่พบบนยอดเขาปูน ได้แก่ เศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบตกแต่งผิวด้วยลายกดประทับลายเชือกทาบเป็นชิ้นส่วนขาของภาชนะที่มีลักษณะคล้ายเป็นหม้อสามขา เศษภาชนะดินเผาเคลือบเขียนลายสีน้ำเงินบนพื้นขาวและเขียนสีหลายสีบนพื้นขาวเป็นลักษณะของชาม (เครื่องถ้วยอันนัม) โบราณวัตถุที่ทำด้วยหินมีลักษณะคล้ายเป็นหินลับ 6 เหลี่ยมทำจากหินทราย โบราณวัตถุที่พบในถ้ำถ้วย ได้แก่ เศษภาชนะดินเผาเคลือบเขียนลายสีน้ำเงินบนพื้นขาวมีลักษณะเป็นจานเชิงและชาม สันนิษฐานว่าเป็นภาชนะเคลือบของอันนัม (เครื่องถ้วยเวียดนาม) และเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ชิง รายนามเจ้าอาวาสวัดเขาปูน 1. พ่อท่านทิ่น (ลาสิขา) 2. พระครูมงคลสิทธิ์ (พ่อท่านหวาน) ในช่วงสมัยพ่อท่านหวานเป็นเจ้าอาวาส พ่อท่านแก้ว ซึ่งเป็นพระธุดงค์ มาจำวัดที่วัดเขาปูนด้วย และได้สร้างเจดีย์พระธาตุชัยมณีศรีฆะโลก บนยอดเขาปูน 3. พ่อท่านทิ่น (มรณภาพ) 4. พระครูสังฆกิจพิมล (ชณศักดิ์ นนทามิตร) ท่านศักดิ์ เป็นเจ้าอาวาสปี 2560 – ปัจจุบัน แหล่งที่มา - พระครูสังฆกิจพิมล (ผู้ให้สัมภาษณ์),น.ส.ศุภิษฐฌาณ์ ราชเวช, (ผู้สัมภาษณ์), ณ วัดเขาปูน ต.พรหมโลก อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช วันที่ 6 มิถุนายน 2568 , -facebookพุทธาคม ปาฏิหาริย์อำนาจบุญ อริยะเหนือโลก -https://th.wikipedia.org/ -ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

19 ตุลาคม, 2568

วัดขุนโขลง โบราณสถานทางประวัติศาสตร์

1. ซากเจดีย์โบราณ ขนาด 6X6 เมตร สูงราว ๓ เมตร มีแนวอิฐเจดีย์โผล่ให้เห็นได้ชัดเจนบริเวณส่วนฐาน องค์เจดีย์ก่ออิฐสอดิน กลางเนินด้านบนมีร่องรอยการลักลอบขุดหาโบราณวัตถุ จากลักษณะที่ปรากฏอาจกำหนดอายุเจดีย์องค์นี้ไว้ในสมัยอยุธยา 2.พระพุทธรูปแกะสลักจากหินทรายแดง ขนาดหน้าตักราว 40 นิ้ว 2 องค์ เดิมพบในบริเวณใกล้ฐานเจดีย์องค์ใหญ่ กำหนดอายุไว้ในสมัยอยุธยาตอนกลาง ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ๒๓ พระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์นี้ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่สำนักสงฆ์ถ้ำหลอด กิ่งอำเภอนพพิตำ เป็นเวลาเกือบ ๓๐ ปี ในยุคปัจจุบันได้กลับคืนมาประดิษฐาน ณ โบราณสถานวัดขุนโขลง โดยชาวบ้านสร้างศาลาไว้เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดังกล่าว 3. เจดีย์องค์เล็กชาวบ้านเรียกเจดีย์พ่อท่านทิศ หรือบัวบรรจุอัฐิพ่อท่านทิด อดีตเจ้าอาวาสวัดขุนโขลง(ประมาณพ.ศ.2263) มีลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนฐานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง ส่วนฐานกว้างด้านละ ๓ เมตร ประกอบด้วยฐานบัวท้องไม้สูง ๒ ชั้น วางอยู่บนฐานเขียงเตี้ยๆ ๓ ชั้น ที่ฐานบัวชั้นที่ ๑ ด้านทิศตะวันออกตรงส่วนบัวคว่ำมีรูปบุคคล อาจเป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง ไม่ทราบว่าแสดงปางใดเนื่องจากส่วนพระกรหักหาย ที่ฐานบัวชั้นที่ ๒ มีร่องรอยของปูนฉาบเหลืออยู่มีการตกแต่งลายปูนปั้นเป็นรูปดอกไม้ประกอบลวดลายกระจังและลายกนก ตรงเหลี่ยมย่อมุมท่าเป็นลายประจำยาม องค์ระฆังย่อมุมไม้สิบสองรับกับส่วนฐาน ยอดเจดีย์นั้นหักพังลงมาหมดและเนื่องจากบางส่วนขององค์เจดีย์ แตกหักอยู่บนพื้น ทำให้สันนิษฐานได้ว่า เดิมน่าจะเป็นยอดแบบบัวกลุ่มเถารูปแบบศิลปกรรมสามารถกำหนดอายุได้ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
4.กำแพงแก้ว อยู่ห่างจากฐานเจดีย์องค์ใหญ่ไปทางทิศตะวันออกราว ๒๐ เมตร แนวกำแพงที่พบมีลักษณะคล้ายคันนา แต่เมื่อขุดตรวจลงไปราว ๑๐ เมตร ก็จะพบแนวอิฐของกำแพงดังกล่าว ในปัจจุบันแนวอิฐนี้ถูกทำลายไปมากแล้ว เนื่องจากปรับพื้นที่สำหรับทำนา นอกเหนือไปจากโบราณสถาน-โบราณวัตถุ ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญของวัดแล้ว ยังมีสระโบราณ ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของอาณาเขตวัดภายหลังสระมีสภาพแห้งแล้ง ตื้นเขิน จึงได้ขุดลอกสระขึ้นใหม่ สำหรับใช้งาน รวมถึงแนวก้อนอิฐโบราณ จำนวนหนึ่ง ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2537 โดยสำนักศิลปากร นครศรีธรรมราช วัดขุนโขลง อยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มากนัก โบราณสถานบ้านขุนโขลง ตามคำบอกเล่าในพื้นที่ แต่เดิมเชื่อกันว่า เป็นหมู่บ้านด่านหน้าเมืองนคร ผู้ที่เดินทางผ่านวัดขุนโขลง ไม่ว่าจะทางบกหรือทางเรือ จะต้องทำการบูชาต่อดวงจิตที่สถิตรักษาวัด อันประกอบด้วยพ่อท่านทิด แม่ชีนมเหล็ก แม่ชีผมหอม ทวดโขลงทอง เจ้านายขี้เหล็ก เจ้านายหวันตก หากเป็นคนทั่วไป หรือขบวนค้าขายเดินทางผ่าน ต้องวางหมากพลู ดอกไม้ เอ่ยชื่อบูชาทั้ง 6 ท่าน หากเป็นคณะหนังตลุง มโนรา หรือคณะศิลปะพื้นบ้าน จะต้องตีเครื่องถวาย มิฉะนั้นจะเกิดอาถรรพ์กับผู้สัญจรผ่าน เช่น เกิดเจ็บป่วยกะทันหัน หรือเกิดอุปสรรคทำให้เดินทางผ่านไม่ได้ จนกว่าจะเข้ามาบอก ไหว้ขอขมา
วัดขุนโขลง เป็นยุทธภูมิชุมนุมนักรบเพื่อป้องกันบ้านเมืองสมัยโบราณ และช่วงหนึ่งเคยถูกใช้เป็นป่าช้าสำหรับฝังศพ โบราณสถานวัดขุนโขลง มีพระพุทธรูปโบราณ ซากพระเจดีย์ บัวพ่อท่านทิศ และทวดขุนโขลง กับ เจ้านายขี้เหล็ก เป็นที่เคารพนับถือและเป็นที่สักการะยึดเหนี่ยวจิตใจของคนชุมชน โดยเปรียบเสมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอกปกป้องดูแลชุมชนเสมอมา วัดขุนโขลงได้ซบเซาลงหลังจากพ่อท่านทิดมรณภาพ และไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระรูปใดมาเป็นเจ้าอาวาสต่อจากท่าน ตามคำบอกเล่ามีเพียงแม่ชีสองพี่น้องเป็นผู้ดูแลวัด จยกระทั่งแม่ชีถึงแก่กรรม วัดขุนโขลงก็ร้างลง และเพื่อไม่ให้สมบัติของวัดถูกโจรกรรม กำนันหวาน ซึ่งเป็นกำนันหัวตะพานในสมัยนั้น จึงทำการยกเสนาสนะต่างๆ ไปฝากวัดใกล้เคียงไว้ เช่น พระหินทรายแดงคู่ทั้ง 2 องค์ ถูกเชิญไปไว้วัดสระประดิษฐ์ ภายหลังอีกองค์ถูกเชิญไปไว้ถ้ำแห่งหนึ่งในอำเภอนพพิตำ พระลาก ตำราหนังสือบุด รวมถึงถ้วยชามต่างๆของวัด ชาวบ้านได้นำไปฝากไว้ที่วัดสโมสร ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร ส่วนกุฏิพ่อท่านทิดเจ้าอาวาส และกุฏิอื่นๆที่ยังคงสภาพดี ชาวบ้านได้ช่วยกันชักลากกุฏิไปยังวัดสระประดิษฐ์
เมื่อวัดขุนโขลงร้าง พื้นที่ของวัดได้กลายเป็นสุสาน ป่าช้าของตำบลเพราะ ไม่ว่าศพจะตายจากสาเหตุอะไร มักนำมาฝังหรือเผาที่วัดขุนโขลง และเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชาวบ้านไม่ยอมไปวัดขุนโขลงหากไม่จำเป็น นอกจากไปแก้บนบานสานกล่าวต่อดวงจิตพ่อท่านทิดและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด ก็จะไม่มีใครกล้าเข้าไป
ประวัติวัดขุนโขลงจากข้อมูลพระอาจารย์มณฑลขันติสโร เจ้าอาวาสวัดขุนโขลงรูปปัจจุบัน เล่าว่าท่านเป็นชาวบ้านขุนโขลงมาตั้งตั้งแต่กำเนิด อาศัยอยู่ใกล้กับวัดขุนโขลงมาก่อนยุคที่จะพัฒนา มีการเล่าสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณย่านวัดขุนโขลงมาอย่างยาวนานหลาย 10 ปี ตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน ความเป็นมาของคำว่า”ขุนโขลง” และพื้นที่ตำบลหัวตะพาน ตามตำนานเล่าว่า ในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์คราวที่พระเจ้าประดุงแห่งอาณาจักรอังวะ ยกกองทัพใหญ่เก้าทัพเ ข้าโจมตีอาณาจักรสยามนั้น กองทัพสายที่หนึ่งได้ยกทัพตีหัวเมืองทางตอนใต้ของสยาม โดยกองทัพอังวะหลังจากที่หัวเมืองทางตอนบนได้หมด จึงยกทัพเข้าเมืองนครศรีธรรมราช เนื่องจากการยกทัพมาของพม่า รู้เข้าถึงหูของเจ้าพระยานครฯ ฝ่ายเจ้าพระยาจึงส่งกองทัพออกสกัดทัพพม่า ที่บ้าน”หน้าทัพ” โดยได้แบ่งกองทัพส่วนหนึ่งไปที่วัดขุนโขลง เนื่องจากกองทัพที่มาตั้งยังบ้านขุนโขลง มีกองช้างมาด้วย กองช้างเหล่านั้น ได้ทำอู่สำหรับอาบน้ำ ที่ริมคลองชุมขลิง ทางทิศตะวันตกของวัดชุมโขลงในปัจจุบัน จึงขนานนามว่าขุนโขลง นับแต่นั้นมา เมื่อกองทัพอังวะพบกับกองทัพเมืองนครฯ ในจุดบริเวณไม่ห่างจากวัดขุนโขลงนัก ก็เกิดการต่อสู้ตะลุมบอนกัน ทำให้มีแต่ซากศพเกลื่อนสนามรบ ต่อมาชาวบ้านเรียกขานสมรภูมิรบว่า “บ้านหัวพ่าน” หมายถึงจำนวนศพนอนตายกันมากมาย หันไปทางไหนพบเจอแต่หัวของศพ ปัจจุบันคำว่า”หัวพ่าน” ได้กลายมาเป็นคำว่า “หัวตะพาน” คือชื่อตำบลหัวตะพานในปัจจุบัน เมื่อศพมีจำนวนมากเกินกว่าจะฌาปนกิจหมด ศพที่เน่าเหม็นก็มีน้ำเลือดน้ำหนองไหลลงไปยังหนองน้ำไกลๆสมรภูมิ เรียก กันว่า “หนองน้ำเน่า” ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น”หนองน้ำขาว”
วัดขุนโขลงสันนิษฐานจากศิลปะของโบราณสถานและโบราณวัตถุคงไม่เกินช่วงยุคราชวงศ์บ้านพลูหลวง หรือกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย วัดขุนโขลงจะก่อตั้งโดยใครนั้นประวัติไม่ปรากฏแต่ต้น มาปรากฏเรื่องราวของวัดในในช่วงสงครามเก้าทัพ และปรากฏเรื่องราวการดำรงสังขารของพ่อท่านทิด อดีตเจ้าอาวาสวัดขุนโขลงซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในยุคที่วัดขุนโขลงรุ่งเรือง ก่อนที่วัดจะร้างลงภายหลัง จากการมรณภาพของพ่อท่านทิด วัดขุนโขลงมีการผูกลายแทงเอาไว้เพื่อรักษาสมบัติของพระศาสนาหรืออีกนัยหนึ่งคือเพื่อบอกอาณาเขตและความเป็นมาของวัดโดยมีกลอนผูกไว้ “ขุนโขลง มีโหมง โพรงวัว สาวน้อย ไม่มีผัว นั่งชุมหัว ร้องไห้ วัดเข้า ๓ ศอก วัดออก ๓ วา ถ้าใคร แก้ไม่ออก ให้ไป บอกรอก บอกกา ถ้าใคร แก้ได้ ให้ไปทาง ไม่รู้มา” นายผิน ชาญมัจฉา ได้ขยายความของแต่ละข้อความเอาไว้ ดังนี้ 1.วัดขุนโขลง มีต้นโหมรงโพรงวัว ในอดีตวัดขุนโขลง เคยมีต้นโหมรง (ภาษาทางการเรียก ต้นสำโรง งอกอยู่ทางทิศเหนือของวัด เป็นตอตันโหมรงขนาดใหญ่ มีโพรงที่วัวสามารถลอดเข้าไปได้ ภายหลังตอต้นมรงดังกล่าวได้ถูกขุด ออกไปช่วงวาตภัยปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เพราะได้รับผลกระทบจนชำรุดหมด 2. สาวน้อยหม้ายผัว (ไม่มีผัว) นั่งซุมหัวร้องให้ สาวน้อยไม่มีผัวในคำทายท่อนนี้ สามารถแปลได้สองทาง ทางแรก หมายถึง บรรดาแม่หม้ายที่สามีตายในสงคราม มานั่งร้องให้เมื่อการรบสิ้นสุดแล้ว ส่วนทางที่สอง คือ แม่ซีนมเหล็ก และ แม่ขีผมหอม ที่ต้องเสียใจเพราะไม่อาจทำให้วัดเจริญรุ่งเรืองได้ 3. วัดเข้าสามศอก วัดออกสามวา ในค่าทายข้อนี้ นายผินให้ข้อสังเกดว่า คงหมาย ถึงแนวอิฐที่เป็นกำแพงแก้วของวัด ซึ่งแนวอิฐดังกล่าว ปัจจุบันฤกถมอยู่ใต้ดิน ไม่มีการขดเพื่อส่ารวจอีก หลังจากปี พ.ศ. ๒๕๓๗ 4. ถ้าไม่รู้ ให้ไปถามรอกกับถามกา ในค่าทายส่วนนี้ ไม่ได้หมายถึงสัตว์ นายผิน บอกว่าทางเข้าวัดเดิม ทางซ้ายมือ จะมีตันลูกกา (ภาษาทางการเรียก ต้นมะกา ส่วนทางขวามือ จะมีต้นท้อนรอก (ภาษาทางการเรียก ต้นสะท้อนรอก) 5. ถ้าใครแก้ได้ ให้ไปทางไม่รู้มา ใจเส่วนนี้นายผิน ยังสันนิฐานได้ไม่แน่ชัด อาจเป็นไปได้ที่เป็นทางเข้าวัดเดิม หรือ เป็นสระน้ำประจำวัด
ความเป็นมาของแม่ขึ้นมเหล็ก - แม่ขี้ผมหอม ประวัติของแม่ชั้นมเหล็ก และ แม่ขี้ผมหอม ในฉบับมุขปาฐะของชาวบ้านขุนโขลงและบริเวณโดยรอบ ได้เล่าแตกต่างจากเรื่องราวของแม่ชีนมเหล็กส่านวนด่านานพระพวย โดยเรื่องราวได้เกิดขึ้นสมัยที่พ่อท่านทิดยังคงมีชีวิตอยู่ พื้นที่บ้านหัวพ่าน ในยุดนั้น ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านหัวตะพาน มีขุนหัวดะพานเป็นกำนันประจำาตำบล ขุนหัวตะพานมีบุตรสาว ๒ คน คือแม่ขึ้นมเหล็ก และ แม่ชีผมหอม ตอนบุตรสาวของขุนหัวตะพานยังเด็ก มักจะเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอ ขุนหัวตะพานจึงพาบุตรสาวไปถวายเป็นบุตรบุญธรรมของพ่อท่านทิด และได้บนบานสานกล่าวว่า หากบุตรสาวทั้งสองหายจากอาการเจ็บไขได้ป่วยแล้ว เมื่อบุตรสาวทั้งสองเจริญวัยจะให้บวชชี้เป็นลูกศิษย์พ่อท่านทิด เมื่อบุตรสาวของขุนหัวตะพานเจริญวัย ปรากฏว่าตัวกำนันและบุตรสาวได้ลืมในสิ่งที่บนบานไว้ ท่าให้เจ็บไข่ได้ป่วยอีกครั้ง เมื่อกำนันนึกถึงเรื่องที่บนบานได้ จึงนำบุตรสาวไปหาพ่อท่านทิดเพื่อบวชีขี้แก้บน พ่อท่านทิดจึงให้แม่ขึ้นมเหล็กพี่สาวบวชเป็นชีพราหมณ์ (บวชชีถือศีลไว้ผมได้), ส่วนแม่ชีผมหอม ได้ขออนุญาต บิดาบวชเป็นชีพราหมณ์อีกคน เพื่อป้องกันค่ำครหาของชาวบ้าน พ่อท่านทิด จึงบวชให้บุตรบุญธรรมทั้งสอง โดยแม่ชีสองพี่น้อง มีกฏิอยู่ที่ริมสระน้ำทางตะวันตกของวัด แม่ชีนมเหล็ก แม่ขีผมหอม ได้ประพฤติดนอยู่ในศีลอุโบสถ ( ศีล ๘ ) อย่างแรงกล้า กระทั่งพ่อท่านทิดใกล้มรณภาพ พ่อท่านทิดจึงสั่งเสียแก่แม่ชีนมเหล็ก และ แม่ชีผมหอม หลังจากท่านมรณภาพแล้ว ให้ช่วยอยู่รักษาวัด คอยดูแลอย่าได้ละทิ้งวัดแม่ชีทั้งสองรับปาก เมื่อเสร็จจากการปลงศพและบรรจุอัฐิพ่อท่านทิดเข้าบัวแล้ว แม่ชีนมเหล็ก และแม่ชีผมหอมถึงแก่กรรม เมื่อฌาปณกิจเสร็จแล้วพบว่าขึ้นเนื้อส่วนทรวงอกทั้งสองด้านกลับไม่ใหม่ไฟ ชาวบ้านจึงเรียกแม่ข็ผ้พี่ว่า " แม่ขึ้นมเหล็ก " ภายหลังเมื่อวัดซบเซาลง แม่ชีผมหอมและชาวบ้านจึงเอาชิ้นส่วนที่ทรวงอกที่แข็งเป็นหินนำไปฝังซ่อนไว้ภายในบริเวณวัด ผ่านไป่หลายปี แม่ชีผมหอม หรือ แม่ชีผู้น้องที่ดูแลวัดได้ถึงแก่กรรมลง ชาวบ้านได้ช่วยกันฌาปนกิจ ปรากฏว่าผมบนหัวแม่ชี้ผู้น้องทั้งหมด กลับไม่ใหม่ไฟ ซ้ำยังมีกลิ่นหอมเหมือนดอกพิกล ชาวบ้านจึงเรียกแม่ชีผู้น้องว่า" แม่ขี้ผมผมหอม" และได้รักษาผมที่ไม่ใหม่ไฟทั้งหมดให้อยู่คู่กับวัด แต่ภายหลังก็ได้มีการนำเส้นผมของแม่ชี้ผมหอมไปซ่อนอีก จนปัจจุบันยังไม่มีผู้คนพบชิ้นส่วนของแม่ชีนมเหล็ก และ แม่ชีผมหอม แต่เป็นที่รับรู้กันว่า แม่ขืนมเหล็ก และแม่ชีผมหอม เป็นอารักษ์ที่คอยดูแลวัดขุนโขลงยาโดยดลดอด เมื่อมีการประกอบพิธีใดๆ ภายในวัด จะต้องเอ่ยชื่อแม่ชีนมเหล็ก และแม่ชีผมหอม มารับ เครื่องบูชาด้วยเสมอ เมื่อปีพ.ศ.2561 ได้มีการพัฒนาวัดขึ้นมาอีกครั้งโดยมีพระมาจำพรรษา ใช้ชื่อว่าสำนักสงฆ์โบราณสถานวัดขุนโขลง ประเภทสำนักสงฆ์ ตั้งอยู่ ตำบลหัวตะพาน อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้นมาอีกครั้ง วันที่ 27 ต.ค 67 มีการทอดกฐินสามัคคี เพื่อนำเงินมาสร้างเมรุ เมื่อวันพุธที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ นางพัทยา ทองเสภี ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรีธรรมราช มอบหมายให้นางสาวณิชาภัทร งามสง่า นักวิชาการศาสนาชำนาญการ พร้อมด้วยบุคลากรในสังกัด ร่วมกับเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ และกองพุทธศาสนสถาน สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจสภาพวัดร้าง เพื่อยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ณ วัดขุนโขลง(ร้าง) และวัดประดู่(ร้าง) อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งความเห็นของผู้ตรวจสภาพวัด มีความเห็นสมควรยกวัดร้างทั้งสองแห่ง ขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปัจจุบันวัดขุนโขลง (ร้าง) จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับการพิจารณา ยกขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ ปัจจุบันมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ๕ รูป และมีอาคารเสนาสนะ เช่น กุฏิสงฆ์ ๕ หลัง, พระธาตุเจดีย์, สถูปเก่า, มณฑป ๒ ชั้น, ศาลาการเปรียญ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการบูรณะหรือพัฒนาสถานที่ให้พร้อมสำหรับการจำพรรษามาอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะได้รับการพิจารณายกวัดร้างขึ้นเป็นวัด มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ปัจจุบัน พระอธิการมณฑล ขนฺติสโร เป็นเจ้าอาวาส ที่มาสืบค้นข้อมูล http://www.ข่าวความมั่นคงออนไลน์ .com https://www.youtube.com/watch?v=e8_aNPNYG6k บุคลานุกรม-นายสุวัฒน์ สัณฐมิตร 16 ตุลาคม2568 https://www.nakhononline.com/3970/ www.huatapan.go.th

15 ตุลาคม, 2568

การทอดกฐินในประเทศไทย

กฐิน (บาลี: กฐิน) เป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ โดยคำว่าการทอดกฐิน หรือการกรานกฐิน จัดเป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลา คือพระสงฆ์สามารถกระทำสังฆกรรมนี้ได้นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ และอนุเคราะห์ภิกษุผู้ทรงคุณที่มีจีวรชำรุด1 ดังนั้นกฐินจึงจัดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังฆกรรมของพระสงฆ์โดยจำเพาะ ซึ่งนอกจากในพระวินัยฝ่ายเถรวาทแล้ว กฐินยังมีในฝ่ายมหายานบางนิกายอีกด้วย แต่จะมีข้อกำหนดแตกต่างจากพระวินัยเถรวาท
กฐิน มีทั้งหมด 4 ประเภท 1. กฐินหลวง หมายถึง เป็นพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพุทธมามกะและเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินด้วยพระองค์เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระราชินี พระราชโอรส พระราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ รวมทั้งพระกฐินที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ราชสกุล องคมนตรี หรือผู้ที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควรให้เสด็จฯ แทนพระองค์นำไปถวายยังพระอารามหลวงสำคัญ 18 พระอาราม ที่สงวนไว้ไม่ให้มีการขอพระราชทาน ได้แก่ กฐินหลวงในปัจจุบันมีเพียง 18 วัดเท่านั้น ได้แก่ ในกรุงเทพมหานคร วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร วัดโสมนัสราชวรวิหาร ต่างจังหวัด วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร
2. กฐินต้น หมายถึง กฐินที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินวัดที่ไม่ได้เป็นวัดหลวง และไม่ได้เสด็จไปอย่างเป็นทางการ หรืออย่างเป็นพระราชพิธี แต่เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลส่วนพระองค์เอง
3. กฐินพระราชทาน เป็นพระกฐินที่มี ผ้าพระกฐิน บริขาร และบริวารกฐิน เป็นของหลวง แต่เปิดโอกาสให้ส่วนราชการ องค์กร หรือบุคคลที่สมควร ขอรับพระราชทานอัญเชิญไปถวายยังพระอารามหลวงต่างๆ นอกจากพระอารามหลวงสำคัญ 16 แห่งข้างต้น พระอารามดังกล่าวรัฐบาลโดยกรมการศาสนาเป็นผู้จัดหาผ้าพระกฐิน และบริวารพระกฐิน (ปัจจุบันมีจำนวน 265 พระอาราม มีรายชื่อตามบัญชีพระอารามหลวง) ซึ่งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สมาคม บริษัทห้างร้าน และบุคคลทั่วไป จะต้องยื่นความจำนงขอพระราชทานผ่านไปยังกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม และเมื่อถึงกำหนดกฐินกาลก็ติดต่อขอรับ ผ้าพระกฐินและบริวารพระกฐินจาก กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา เพื่อนำไปทอดกฐิน ณ พระอารามที่ขอรับพระราชทานไว้ เมื่อทอดถวายเรียบร้อยแล้วผู้ขอรับพระราชทานจะต้องจัดทำบัญชีรายงานถวายพระราชกุศลในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ส่งไปยัง กรมการศาสนา เพื่อจะได้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ขอรับพระราชทานผ้าพระกฐิน ส่งไปยัง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งให้สำนักราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายพระราชกุศลในการที่หน่วยงาน องค์กร หรือบุคคลทั่วไป อัญเชิญผ้าพระกฐินไปถวาย ณ อารามนั้น
4 กฐินราษฎร์ คือกฐินที่ราษฏรหรือประชาชนทั่วไปที่มีจิตศรัทธาจัดถวายผ้ากฐิน และเครื่องกฐินไปถวายยังวัดราษฎร์ต่าง ๆ โดยอาจแบ่งออกเป็นจุลกฐิน และมหากฐิน (กฐินสามัคคี) ในปัจจุบันกฐินราษฎร์ จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ มีเจ้าภาพแค่คนเดียว และมีเจ้าภาพร่วมกันหลายคนหรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "กฐินสามัคคี" ผู้เป็นประธานหรือเจ้าภาพในการทอดกฐินจะให้ความสำคัญกับการรวบรวม (เรี่ยไร) เงินและสิ่งของเพื่อเข้าประกอบเป็นบริวารกฐินมากกว่า เพราะวัดสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาได้ และเนื่องจากการถวายผ้ากฐินเป็นกาลทาน จึงทำให้ประเพณีการทอดกฐินเป็นงานสำคัญประจำปีของวัดต่าง ๆ โดยทั่วไปในประเทศไทย ในกรณีที่เป็นกฐินสามัคคี เนื่องจากกฐินสามัคคีเป็นกฐินที่มีเจ้าภาพร่วมกันหลายคน หลายวัดจึงใช้วิธีผาติกรรมผ้าไตรของวัดผืนหนึ่ง โดยจะตกลงกำหนดให้ผ้าผืนนี้เท่านั้นเป็นผ้าที่ใช้ทอดกฐิน โดยบริวารกฐินทั้งหมด จะเป็นราคาของผ้าผืนนี้ ให้ผู้ทำบุญทุกคนเป็นเจ้าของผ้าผืนนี้ร่วมกัน บริวารกฐินทั้งหมดก็จะนำเข้าเป็นของวัดต่อไป โดยหลายวัดมักจะแจ้งล่วงหน้าว่าบริวารกฐินที่ได้มาทางวัดจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร โดยปกติจะนำไป สร้าง ซ่อมแซม ต่อเติม เสนาสนะสิ่งก่อสร้างภายในวัด เพื่อให้เป็นวิหารทานซึ่งเป็นสังฆทาน เป็นการสร้างกุศลให้แก่ผู้ทำบุญในเทศกาลกฐินเพิ่มขึ้นอีกต่อหนึ่ง นอกจากถวายผ้ากฐิน อีกทั้งกฐินสามัคคีจัดเป็นปัตตานุโมทนามัย คือบุญที่เกิดจากการแบ่งส่วนบุญและชักชวนกันทำบุญร่วมบุญกัน ย่อมได้อานิสงส์คือมีกัลยาณมิตรและบริวารที่จริงใจมากมาย ส่วนในกรณีที่มีเจ้าภาพคนเดียว ไม่ใช่กฐินสามัคคี นิยมให้เเจ้งวัตถุประสงค์ว่าบริวารกฐินจะถวายเข้าวัดเท่าใด ถวายพระเท่าใด ถวายสามเณรเท่าใด เนื่องจากถ้าเจ้าภาพไม่แจ้งอย่างชัดเจน จะถือว่าบริวารกฐินจะตกแก่สงฆ์และสงฆ์จะแบ่งบริวารกฐินเท่าๆกันตามจำนวนพระภิกษุที่อยู่จำพรรษาในวัดนั้นนั่นเอง ซึ่งพระภิกษุที่ได้รับแต่ล่ะรูปจะเก็บบริวารกฐินไว้เอง หรือตกลงมอบให้แก่วัดก็ได้ ตามความสมัครใจ หรือตามมติที่ได้ตกลงกันไว้ในที่ประชุมสงฆ์ ซึ่งกฐินพระราชทาน มักจะใช้ธรรมเนียมนี้เช่นกัน คือจะแจ้งอย่างชัดเจน ก่อนการทอดผ้า ที่มาสืบค้นข้อมูล : https://th.wikipedia.org www.dmcr.go.th www.m-culture.go.th

14 ตุลาคม, 2568

ประวัติวัดชุมโขลง(ชุมโลง)ครูหมอช้าง อ.ท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช

วัดชุมโขลง(ชุมโลง) ตั้งอยู่บ้านชุมโลง หมู่ที่ 1 ต.สระเเก้ว อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย วัดก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2476 เดิมชื่อวัดตลิ่งสูง เพราะมีตลิ่งติดกับคลองกลายบริเวณทิศเหนือ ปรากฏชัดในการสลักชื่อพระลากสร้างถวายวัดเมื่อปี พ.ศ. 2511 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ. 2517 ชื่อเดิมของวัด คือ วัดตลิ่งสูง มาจากที่ตั้งของวัดซึ่งมีตลิ่งสูงอยู่ติดกับคลองกลาย และเคยเป็นท่าเทียบเรือสำเภาในสมัยโบราณ ต่อมาใช้ชื่อวัดว่า วัดชุมโลง และเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดชุมโขลง" ในภายหลัง เนื่องจากพื้นที่นี้ในอดีตเคยเป็นที่ที่มีช้างป่าลงมาเล่นน้ำ และเป็นที่ชุมนุมของช้าง
ความหมายของชื่อ: "ชุมโขลง" มาจากภาษาใต้ท้องถิ่น โดย "ชุม" หมายถึงการรวมตัวกัน และ "โขลง" หมายถึงช้างจำนวนมาก ที่มีหลายเชือก ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ จากผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเล่าต่อๆกันมาว่า การเป็นอยู่สมัยก่อน ชาวบ้านในพิ้นที่ ต้องอยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ต้องคอยระวังเมื่อสัตว์ป่าลงมาที่แอ่งน้ำ เพราะโดยนิสัยของสัตว์ป่า มีความดุร้าย ใช้ความรุนแรงเมื่อชาวบ้านเข้าใกล้หรือเข้าไปยังบริเวณพื้นที่ของมัน ชาวบ้านต้องอยู่อย่างระมัดระวัง เมื่อช้างป่าลงมาในพื้นที่ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ต้องคอยให้ช้างป่ากลับขึ้นไปก่อน ถึงจะได้พื้นที่แอ่งน้ำในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นปัญหาที่ชาวบ้านยังคงแก้ไขไม่ได้ มีบ่อยครั้งที่ช้างป่า เกิดอาการตกมันขณะลงมายังบริเวณพิ้นที่แบบไม่ทราบสาเหตุ ทำลายข้าวของชาวบ้านในพื้นที่ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ชาวบ้านบางคนต้องออกจากพื้นที่ไปอยู่ที่อื่น เพราะทนกับเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำๆไม่ไหว บางคนยังคงอยู่ในพื้นที่ต่อไป เพราะดั้งเดิมเป็นคนที่นี่ ไม่อยากย้ายหนีสัตว์ป่าไปอยู่พื้นที่ไกลบ้าน มีการทำบริเวณกั้นบ้าง ทำรั้วกั้นแนวบ้าง แต่ด้วยนิสัยของช้างป่า ประกอบด้วยแรงกำลังของช้างที่ตัวใหญ่ก็ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้
ชาวบ้านที่ยังคงอยู่ในพื้นที่ก็ยังคงมาใช้น้ำในแอ่งน้ำเป็นปกติอยู่ทุกๆวันจนวันหนึ่งมีช่างป่าลงมาพอเห็นชาวบ้านอยู่ในพื้นที่แอ่งน้ำด้วยความที่มันมีนิสัยดุก้าวร้าวตามประสาสัตว์ป่าหรือเป็นเพราะมันกลัวคนจะทำร้ายมันก็ไม่ทราบแน่ชัดมันได้แสดงอาการร้องขู่ทำลายสิ่งของบริเวณรอบรอบทำกิริยาแสดงออกในท่าทางที่จะไล่คนออกไปจากพื้นที่ตรงนั้นลักษณะอาการคล้ายๆกับการตกมัน ช้างป่าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาหาชาวบ้านแสดงพฤติกรรมเหมือนจะเข้ามาทำร้ายแต่ยังไม่ทันถึงตัวมีผู้เฒ่าในพื้นที่ซึ่งเคยเป็นคนเลี้ยงช้างมาก่อนมาใช้แอ่งน้ำในขณะนั้นอยู่พอดีซึ่งมาทราบภายหลังว่าเป็นครูหมอเท่าที่มีวิชาอาคมด้านคุรุคชศาสตร์ ได้หยิบของสิ่งหนึ่งจากย่ามที่พกมาลักษณะเป็นไม้ขนาดข้อมือมีเหล็กงอที่ปลายด้ามด้านบน มาทราบภายหลังว่าคือตะขอช้าง หรือคชกุศ ยกชูขึ้นไปชี้ไปทางช้างที่วิ่งเข้ามาหาชาวบ้าน แล้วเกิดเหตุการณ์ที่ชาวบ้านต่างอึ้งไปต่ำตามกัน คือช้างหยุดก้าวร้าวทันทีเมื่อได้เห็นตะขอช้าง หรือคชกุศ ที่ชี้ไปทางมัน อาการดุอาการก้าวร้าวของช้างป่าได้หยุดลงทันที และเมื่อครูหมอเฒ่าได้ยกตะขอช้างเหวี่ยงขึ้นลงลักษณะเหมือนสะบัดมือไล่ช้างตาได้กลับขึ้นไปในที่ของมันอย่างเชื่อฟัง เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหลังจากนั้นชาวบ้านในพื้นที่ก็ได้ความรู้จักครูหมอเฒ่า พร้อมทั้งสอบถามถึงที่มาของการไล่ช้างป่าซึ่งเป็นที่สนใจของชาวบ้านในขณะนั้นเป็นอย่างมาก
ในอดีต พื้นที่ตั้งวัดเดิมเป็นชุมชน "ครูหมอช้าง" และคอกช้างเก่าสมัยอยุธยา ซึ่งใช้เป็นสถานที่ฝึกและคัดเลือกช้างสำหรับสงครามและใช้งาน มีการทำพิธีกรรมเกี่ยวกับช้างและการฝึกช้าง ในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เลยมีช้างป่าลงมาจากเทือกเขาเพื่อหาอาหารในบริเวณหมู่บ้าน โดยมีหลุมช้างหรือแอ่งอาบน้ำของช้างป่า (บันทึกอ้างอิงจากหนังสือท่าศาลา100ปี) ในอดีตมีศาลครูหมอช้างและเสาตะลุง (เสาสำหรับฝึกช้าง) เป็นที่สักการะของผู้คนในพื้นที่และคนเลี้ยงช้าง ปัจจุบัน วัดได้สร้างรูปปั้น "ตาหมอเฒ่า" เพื่อเป็นสัญลักษณ์และที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบ้าน จึงเป็นที่มาของบ้าน*ชุมโขลง*หรือ*ชุมโลง*ในปัจจุบัน.
ปัจจุบันพระปลัดกิตติธัช สีลานุโลโม(ท่านบิว) เจ้าอาวาสวัดชุมโขลง ซึ่งท่านได้สืบทอดเชื้อสายจากบรรพบุรุษ(คุณทวด)เป็นผู้ที่เคยเลี้ยงช้างในสถานที่แห่งนี้มาก่อน จึงได้ร่วมกับชาวบ้านที่มีความศรัทธาในบารมี*ตาหมอเฒ่า*(ผู้ประกอบพิธีกรรมในการจับช้างในอดีตกาล)จึงได้ร่วมกันสร้างรูปหล่อ..*ตาหมอเฒ่า* เพื่อเป็นสัญลักษณ์และระลึกถึงคุณงามความดี รวมทั้งเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบ้านในพื้นที่..ตามวิถีบุรุษครั้งสมัยอดีต ที่มาสืบค้นข้อมูล Facebook วัดชุมโลง ครูหมอช้าง จังหวัดนครศรีธรรมราช https://online.anyflip.com/gkvzk/njjv/mobile/index.html

13 ตุลาคม, 2568

วัดเบิก ต.ฉลอง โบสถ์ไม้แห่งเดียวของ อำเภอ สิชล

ประวัติวัดเบิก (โดยสังเขป) ตั้งวัดเมื่อ ก่อน พ.ศ. ๒๔๐๐ ตั้งอยู่ที่บ้านดอนมวง เลขที่ ๔๔ หมู่ที่ ๔ ถนน ต้นเหรียง บ้านยาน ตำบลฉลอง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช วัดเบิกอยู่ไม่ไกลจากวัดเจดีย์ (วัดไอ้ไข่) โดยมีระยะห่างเพียงประมาณ 500 เมตร ทำให้เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธาสามารถแวะเยี่ยมชมได้ แม้ว่าจะมีแนวคิดที่จะพัฒนาวัดให้ทันสมัย แต่ทางวัดก็ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์โบราณสถานและศิลปะดั้งเดิมไว้ เพื่อไม่ให้สิ่งมีค่าทางประวัติศาสตร์สูญหายไป นอกจากอุโบสถไม้แล้ว วัดยังมีโบราณวัตถุอื่น ๆ เช่น เจดีย์โบราณ แผ่นธรณีประตู และพระประธาน
คำว่า "วัดเบิก" วัดเบิกเป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยา เดิมชื่อวัดสำเภาคืน และเปลี่ยนมาเป็นวัดเบิก ตามพิธีเบิกเนตรพระลากวัดเขาน้อย พระพุทธรูปคู่เมืองฉลอง จึงจัดขึ้นที่วัดแห่งนี้ เป็นชื่อที่เรียกกันตามคำบอกกล่าวของคนรุ่นเก่า ว่าได้มีพระพุทธรูปทองคำลอยน้ำมาทางคลองท่าน้อยผ่านหน้าวัด ชาวบ้านจึงได้นำพระพุทธรูปทองคำองค์นี้มาประดิษฐานไว้ที่วัดเมื่อก่อนเรียกกันว่า "วัดสำเภาคืน" สาเหตุที่เรียก มีเรือสำเภาเข้ามายัง เมืองฉลอง แล้วเรือก็ได้ล่มที่หน้าวัด หลังจากนั้น ก็ได้ทำพิธีเบิกเนตรพระพุทธรูปทองคำขึ้น แล้วชาวบ้านก็พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อจากกวัดสำเภาคืนมาเป็น "วัดเบิกเนตร" เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นมาคงเป็นเพราะความกร่อนของภาษา จึงทำให้คำว่าเนตรหายไป คงเหลือเพียงคำว่า "วัดเบิก" จึงเรียกอย่างนี้ตลอดมา ส่วนพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ ก็ไม่สามารถที่จะประดิษฐานที่วัดเบิกได้ เพราะจะต้องล้มทุกครั้งแล้วผินเศียรไปทางทิศตะวันตกทุกครั้ง ชาวบ้านจึงเข้าใจกันว่าพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ต้องการจะไปประดิษฐานยังวัดที่อยู่เหนือสุดของแม่น้ำสายนี้คือวัดเข้าน้อย ชาวบ้านจึงทำพิธีอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดเข้าน้อย ก็สามารถที่จะประดิษฐานได้โดยไม่ล้ม ปัจจุบันก็ยังอยู่ที่วัดเขาน้อย เป็นที่สักการะบูชาของศาสนิกชนทั่วไป ที่มาเยี่ยมวัดเขาน้อยได้กราบไหว้ ส่วนคลองท่าน้อยนั้น เป็นคลองสำคัญที่ใช้เป็นเส้นทางที่วัดเบิก เดิมชื่อวัด “สำเภาคืน” ตามตำนานซึ่งพอจะค้นคว้าได้และดูตามลักษณะพระพุทธรูปในพระอุโบสถ สันนิษฐานได้ว่า สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีหลักฐานที่ปรากฏชื่อวัดเบิก อยู่ในทำเนียบข้าราชการเมืองนครศรีธรรมราช สมัยรัชกาลที่ ๒ ทรงมีพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบริรักษ์ภูเบศรเป็นพระยาศรีธรรมโศกราชเดโช เมื่อเดือน ๑๒ ขึ้น ๕ ค่ำ ตรงกับปี พ.ศ.๒๓๕๔ ในพระบรมราชโองการฉบับนี้ ได้ปรากฏชื่อของหมื่นพรหมบุรี (สมุห์บัญชีของขุนอินทรพิชัย) มีศักดินา ๒๐๐ หมื่นคชบุรีสมุห์บัญชีอีกท่านหนึ่ง ศักดินา ๒๐๐ มีวัดถ้ำตีมัน ๑ วัดเบิก ๑ วัดกลาง ๑วัดถ้ำเทียนถวาย ๑ เป็นเลฑุบาทอยู่ที่ อลอง (อลอง อ่านตามโบราณว่า “หลอง” ปัจจุบันวัดเบิกได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมทุกปี สภาพพื้นที่จึงไม่สวยงาม มีพระครูวิศาลธรรมจารี เป็นเจ้าอาวาส

ตำนานและที่มาของ อำเภอต่างๆ 23 อำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช

ขนอม ชื่ออำเภอนี้มาจากชื่อเมืองตระนอมที่ปรากฏในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช บ้างว่ามาจากชื่อ “บ้านเขาล้อม” แล้วเปลี่ยนเสียงเป็นขนอม ขนอม เคยเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอสิชล ยกฐานะเป็น อำเภอเมื่อ พ.ศ.2502 จุฬาภรณ์ ชื่ออำเภอนี้ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้พระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ อัครราชกุมารี เป็นชื่ออำเภอเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2537 อำเภอจุฬาภรณ์เคยเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอ ร่อนพิบูลย์ เรียกว่าตำบล “สามตำบล” ซึ่งชาวบ้าน หมายถึง “สามวัง” คือวังไสวังฆ้องและวังนา หมอบุญ เล่ากันว่าวังทั้งสามนี้เคยเป็นที่ประทับของ ขุนนางสมัยกรุงศรีอยุธยาครั้งเสียกรุงแก่พม่า พ.ศ.2310 ต่อมายกฐานะบ้าน “สามวัง” เป็น ตำบล “สามตำบล” เดิมอยู่ในเขตอำเภอชะอวด และรวมกับบางตำบลในเขตอำเภอร่อนพิบูลย์จัดตั้ง เป็นอำเภอจุฬาภรณ์ ฉวาง ฉวางมาจาก “ เมืองขวาง ” ปรากฏในทำเนียบขุนนางเมืองนครศรีธรรมราชว่า “ขุนราช เมืองขวาง” การเรียกชื่อเมืองนี้มักเรียกคู่กับเมือง สระ เลยมีชื่อในเอกสารโบราณว่า “เมืองขวางเมือง สระ” ชุมชนบนฝั่งแม่น้ำตาปี (แม่น้ำตาปีเกิดจากเทือกเขาหลวงในนครศรีธรรมราช ) ข้ามฝั่งจากตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออกโดยใช้ภูเขาขวางเป็นเครื่องหมายสำคัญจึงเรียกชุมชนตรงนั้นว่า “เมือง ขวาง” ต่อมาเพี้ยนเสียงเป็นฉวาง ฉวางยกฐานะ เป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ.2443 เฉลิมพระเกียรติ อำเภอนี้เกิดจากการรวมตำบลเชียรเขา ตำบล ดอนตรงและตำบลสวนหลวง ของอำเภอเชียรใหญ่ ผนวกกับตำบลทางพูนอำเภอร่อนพิบูลย์จัดตั้งเป็นอำเภอเฉลิมพระเกียรติเมื่อพ.ศ.2539ชื่ออำเภอนี้แสดงถึงพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชซึ่งราษฎรชาวนครศรีธรรมราชล้วนยกย่องเทิดทูน ชะอวด ชื่อนี้มาจากคำว่าเชือกอวด หรือย่านอวด (ย่านหมายถึงเถาวัลย์)ย่านอวดเป็นชื่อเถาวัลย์ชนิดหนึ่งบริเวณนั้นคงมีพันธุ์เถาไม้นี้ชุกชุมชาวบ้านนิยมนำมาผูกมัดสิ่งของแทนเชือกหวาย เพราะ มีความเหนียวแน่นและคงทน ต่อมาคำว่าเชือกอวด เสียงหน้ากร่อนเป็นชะอวด ชะอวดจัดตั้งเป็นอำเภอ เมื่อ พ.ศ.2496 เชียรใหญ่ ชื่อนี้มาจากคำว่าต้นเคียนใหญ่หรือตะเคียนใหญ่ซึ่ออยู่ที่บ้านหม่อมรามตำบลบ้านกลางที่ภายหลังเป็นชื่อ “บ้านตะเคียนใหญ่” ที่บ้านหม่อมรามยังสันนิฐานกันว่าเป็นที่ตั้งเมืองพิเชียรเลยเรียกรวมกับบ้านตะเคียนใหญ่กลายเป็น”บ้านพิเชียรตะเคียนใหญ่” ต่อมาเรียกสั้นๆ ว่า “เชียรใหญ่” และเป็นชื่อกิ่งอำเภอเมื่อ พ.ศ.2480 และยกฐานะ เป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ.2490 ถ้ำพรรณรา เป็นชื่อถ้ำในภูเขาลูกหนึ่ง สันนิษฐานว่ากร่อน เสียงมาจากถ้ำทองพรรณราย ซึ่งแปลว่าถ้ำมีทองคำ เป็นประกายแพรวพราวสวยงาม ถ้ำพรรณราเคยมี ฐานะเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอฉวาง ต่อมาจัดตั้งเป็น กิ่งอำเภอเมื่อ พ.ศ.2533 และอำเภอเมื่อ พ.ศ.2538 ท่าศาลา เป็นอำเภอเก่าแก่ตั้งแต่ พ.ศ.2441 เดิมชื่อ อำเภอกลายเคยตั้งที่ว่าการอำเภอตรงชายทะเลคือปากน้ำท่าสูงที่วัดเตาหม้อและหมู่บ้านศาลาตามลำดับ ชื่อท่าศาลาเพราะริมคลองเล็กๆ สายหนึ่งซึ่งแยกจากคลองท่าสูง ชาวบ้านจึงได้สร้าง ศาลท่าน้ำสำหรับพักร้อนและเป็นที่จอดเรือ เลย เรียกที่ตรงนั้นว่าท่าศาลา หรือเรียกภาษาถิ่นใต้ว่า “ท่าหลา” ทุ่งสง เอกสารโบราณภาคใต้บางฉบับเขียนทุ่งสงเป็น ทุ่งสรง ทำนองเป็นทุ่งมีสระสำหรับอาบน้ำ โดย ทั่วไปเข้าใจว่าทุ่งสงมาจากทุ่งส่งของ (คำว่าส่งชาวใต้ออกเสียงเป็นสง) เพราะบริเวณนั้นมีคลองและ ท่าน้ำใช้เรือส่งสินค้าไปยังตัวเมืองนครศรีธรรมราช ด้านตะวันออก รวมทั้งหัวเมืองฝั่งตะวันตก เช่น ตรังและกระบี่ ฯลฯ ปัจจุบันทุ่งสงเป็นเมืองชุมทาง สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ ทุ่งสงยกฐานะเป็นอำเภอ ตั้งแต่ พ.ศ.2440 ทุ่งใหญ่ เดิมเป็นกิ่งอำเภอกุแหระขึ้นกับอำเภอทุ่งสง ต่อมาย้ายที่ว่าการอำเภอไปอยู่ที่ตำบลท่ายางจึงเป็นกิ่งอำเภอท่ายาง ภายหลังทางราชการ เห็นว่าชื่อไปพ้องกับอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี จึงเปลี่ยนเป็นกิ่งอำเภอทุ่งใหญ่เพราะพื้นที่เป็นท้อง ทุ่งกว้างใหญ่ และยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ.2504 นาบอน ชื่อนี้ปรากฏในทำเนียบข้าราชการเมืองนคร ศรีธรรมราชสมัยรัชกาลที่ 2 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ เรียกว่า “ที่นาบอน” ต่อมาที่นาบอนเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอทุ่งสงทางราชการได้รวมพื้นที่ตำบล นาบอนแลตำบลทุ่งสงขึ้นเป็นกิ่งอำเภอและอำเภอ นาบอนตามลำดับ คำว่า “นาบอน” หมายถึงบริเวณที่นาเต็มไปด้วยต้นบอนซึ่งเห็นเด่นชัดของชาวบ้านที่มาตั้งถิ่นฐาน จึงเรียกท้องที่นั้นว่า “นาบอน” นาบอน จัดตั้งเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ.2524 บางขัน เดิมเป็นชื่อตำบลของอำเภอทุ่งสง พ.ศ.2527 มีการจัดตั้งกิ่งอำเภอบางขัน โดยการรวมตำบลบาง ขัน ตำบลลำนาว และตำบลวังหิน และยกฐานะขึ้น เป็นอำเภอบางขัน พ.ศ.2535 คำว่า “บางขัน” เป็นชื่อลำห้วยสายหนึ่งที่ไหลผ่านหมู่บ้าน และมีต้นขันขึ้นชุกชุมในบริเวณนั้น ปากพนัง บางท่านบอกว่าพนังเป็นชื่อแม่น้ำ คือแม่น้ำ พนัง ชุมชนที่ตั้งอยู่ที่ปากน้ำจึงเรียกว่า “ปากพนัง” หรือ “ปากน้ำพนัง” ชื่อนี้ใช้มาตั้งแต่เดิมจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บางท่านบอกว่า ชุมชนท่าเรือแห่งนี้อยู่ที่ปาก แม่น้ำ มีแหลมตะลุมพุกเป็นพนังหรือเป็นที่กั้นน้ำ จึงชื่อว่าปากพนัง ปากพนังเดิมชื่ออำเภอ “เบี้ยซัด” ตั้งอยู่บน ฝั่งปากน้ำพนัง คำว่าเบี้ยซัด หมายถึงที่คลื่นซัดเอาเปลือกหอยหรือเบี้ยหอยจากท้างทะเลขึ้นสู่หาด เบี้ยหอยสมัยโบราณใช้เป็นเงินตราแลกเปลี่ยน ที่ฝั่ง เบี้ยซัดนี้มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเก็บเบี้ยหอยส่งเมือง หลวงโดยมี “นายที่เบี้ยซัด” ถือศักดินา 800 เป็น หัวหน้าควบคุม ปัจจุบันมีผู้ใช้นามสกุล “วงศ์เบี้ย สัจจ์” คงมาจากกลุ่มผู้ตั้งรกรากเดิมที่ปากพนังและ เกี่ยวข้องกับเบี้ยซัดดังกล่าว อำเภอเบี้ยซัดรวมแขวงหรือหัวเมืองสี่แห่งเข้า ด้วยกันคือ เมืองพนัง เมืองพิเชียร ที่เบี้ยซัดและที่ตรงรวมตั้งชื่อเป็นอำเภอขึ้นเมื่อ พ ศ 2440 c]tเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอปากพนังเมื่อ พ.ศ.2445 เพื่อให้ ตรงกับชื่อที่ตั้งตัวอำเภอ อำเภอปากพะนังมีแหลมตะลุมพุก เคยโดนวาตภัยครั้งใหญ่ พ.ศ.2505 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,000 คน คำว่าตะลุมพุกเป็นชื่อปลาน้ำเค็มวางไข่ ในน้ำจืด ชาวบ้านเรียก “ปลาหลุมพุก” เนื่องจาก บริเวณแหลมแห่งนี้มีปลาตะลุมพุกชุม ชาวบ้านเลย เรียกว่า “แหลมชุมพุก” ต่อมากลายเป็นชื่อแหลม ตะลุมพุก อีกประการหนึ่งปลายแหลมมีลักษณะงอ งุ้ม คล้ายไม้ท่อนขนาดใหญ่ เรียกไม้ตะลุมพุก มักใช้ ตำข้าว จึงชื่อแหลมตะลุมพุก พรหมคีรี เกิดขึ้นจากการรวมท้องที่ 3 ตำบล ทางทิศตะวันตกของอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช คือ ตำบลพรหมโลก ตำบลอินคีรี และตำบลเกาะ โดยตั้งชื่อว่ากิ่งอำเภอพรหมคีรี เมื่อ พ.ศ.2517 และ เป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ.2524 พรหมคีรีมาจากคำแรก ของชื่อตำบลพรหมโลก รวมกับคำสุดท้ายของชื่อ ตำบลอินคีรี พรหมคีรี หมายถึงภูเขาในแดนพรหม หรือภูเขาสูงจรดแดนพรหม พระพรหม เดิมมีฐานะเป็นตำบลทางใต้ของอำเภอเมืองชื่อนครศรีธรรมราช โดยการรวมตำบลนาพรุ ตำบลนา สาร ตำบลท้ายสำเภา และตำบลช้างซ้ายขึ้นเป็นกิ่ง อำเภอพระพรหม พ.ศ.2517 และเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ.2540 ชื่อพระพรหมเป็นชื่อวัดเก่าแก่มีอายุกว่า 500 ปี นี้มีโบราณวัตถุมากมายเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์ที่สำคัญคือเทวรูปพระพรหม ชาวบ้านมี ความภูมิใจถึงกับนำมาเป็นชื่อวัดและเป็นชื่ออำเภอ ดังกล่าว พิปูน เคยเป็นหัวเมืองใหญ่ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เรียกว่า “หัวเมืองพิปูน” ต่อมาเป็นตำบลในเขต การปกครองของอำเภอฉวาง จากนั้นรวมตำบล พิปูนและตำบลกะทูนเพื่อยกฐานะเป็นอำเภอพิปูน เมื่อ พ.ศ.2515 คำว่า พิปูน มาจาก ทุ่งปูน หรือ ที่ปูนหมายถึงทุ่งที่ทำปูนขาว โดยการนำหินปูนมาเผาให้สุกเมื่อเย็นลงก็ได้ปูนขาวมาใช้ในการก่อสร้าง ส่วนชื่อตำบลกะทูนเล่ากันว่าสมัยก่อน ชาวบ้านตำบลนี้นิยมทูนของบนศีรษะ ต่อมาเติมคำ ว่า กะ นำหน้า เมื่อ พ.ศ.2440 พระยาสุขุมนัยวินิต ข้าหลวงเทศาภิบาล มณฑลนครศรีธรรมราชออก คำสั่งไว้ในรายงานสำมะโนครัวราษฎรนครศรีธรรมราช คือห้ามชาวกะทูน ทูนของเข้าไปในบริเวณชุมชน เพราะบางคนทำให้พื้นถนนสกปรกจากสิ่งของตกหล่น ชาวกะทูนเลยเลิกหรือไม่นิยมทูนของมา ตั้งแต่บัดนั้น ร่อนพิบูลย์ เดิมมีฐานะเป็นหมู่บ้านชื่อ “บ้านร่อน”หมายถึงชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพร่อนเร่ สินแร่ สำคัญคือ ดีบุก วุลแฟรม และพลวง เป็นต้น ต่อมา ตั้งเป็นตำบลชื่อ “ที่ร่อน” และยกฐานะเป็นอำเภอ (พ.ศ.2447) ชื่อ “ร่อนพิบูลย์” หมายถึงท้องถิ่นมี การร่อนแร่ได้ผลอุดมสมบูรณ์ ลานสกา เกิดขึ้นจากการรวมตำบลลานสกา ตำบลขุน ทะเล ตำบลท่าดี และตำบลเขาแก้ว ตั้งขึ้น เป็น กิ่งอำเภอเขาแก้ว ต่อมามีการยุบตำบลเขาแก้วรวม กับตำบลลานสกา จากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็นกิ่งอำเภอ ลานสกา เมื่อ พ.ศ.2454 และยกฐานะเป็นอำเภอ ลานสกาเมื่อ พ.ศ.2500 คำว่าลานสกา บางท่านบอกว่า หมายถึงลาน ที่มีฝูงกามารวมพวกกันเป็นประจำ และเล่าต่อไปถึง สมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราชมาสร้างเมืองที่หาดทรายแก้ว ช่วงนั้นเกิดโรคห่า ผู้คนอพยพมาตั้งเมือง ชั่วคราวในเขตลานสกา ซึ่งบริเวณใกล้เคียงกันนั้นมี ฝูงกาบินมากินศพที่เกิดจากโรคห่า เดิมเรียกที่ตรง นั้นว่า “ลานกา” แล้วเพี้ยนเสียงเป็น “ลานสกา” สิชล ตำนานนครศรีธรรมราชกล่าวถึงพระพนมวัง มาเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมกับรับสั่งให้ หลานชายชื่อเชียงแสนออกถางป่าเป็นทุ่งนา และ เรียกว่า “นาตระชล” และ “นากลาง” เพื่อเป็นที่ สะสมเสบียงแก่กองทัพนครศรีธรรมราช ต่อมาทุ่งนา ดังกล่าวกลายเป็นชุมชนเรียกรวมกันว่า “ที่สิชล” จนกระทั่ง พ.ศ.2440 เปลี่ยนเป็นอำเภอสิชล บางท่านอธิบายว่า “สิชล” น่าจะมาจากคำว่า “ศรีชล” หมายถึงน้ำใสสะอาดเพราะเป็นน้ำมาจาก พื้นทราย และบางท่านอธิบายว่า “สิชล” น่าจะมา จาก “สุชน” หมายถึงคนดี หัวไทร เดิมมีฐานะเป็นตำบลชื่อ“ ที่เขาพังไกร ” ต่อมายกฐานะเป็นอำเภอเขาพังไกร ภายหลังย้ายที่ ว่าการอำเภอมาอยู่ที่ตำบลหัวไทร และเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอหัวไทร เมื่อ พ.ศ.2467 ต่อมาลดฐานะเป็น กิ่งอำเภอขึ้นกับอำเภอปากพนัง จนกระทั่ง พ.ศ. 2481 ได้ยกฐานะเป็นอำเภอมาจนทุกวันนี้ คำว่า “หัวไทร” หมายถึงบริเวณต้นน้ำ หรือ เหนือท่าน้ำมต้นไทรใหญ่เป็นที่หมายสำคัญ นบพิตำ เดิมเป็นชื่อหมู่บ้านและตำบลริมเทือกเขาหลวงหรือเทือกเขานครศรีธรรมราช ต่อมาได้รวมตำบลนพพิตำ ตำบล กรุงชิง ตำบลกะหรอ และ ตำบลนาเหรง ของเขตอำเภอท่าศาลา รวมเป็นกิ่ง อำเภอนบพิตำและจัดตั้งเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ.2538 คำว่านบพิตำ หมายถึงทำนบกั้นน้ำอยู่ในที่ ต่ำ บางท่านอธิบายคำนบพิตำ มาจากภาษาทมิฬว่า “ทำนบติรำ” คือทำนบ หมายถึงที่กั้นน้ำ ติรำหมาย ถึงฝั่งน้ำ ช้างกลาง เดิมเป็นตำบลของอำเภอฉวาง ต่อมาทาง ราชการเห็นว่าตำบลนี้อยู่ห่างไกลตัวอำเภอจึงรวม ตำบลช้างกลาง ตำบลหลักช้าง และตำบลสวนขันขึ้นเป็นกิ่งอำเภอช้างกลาง ใน พ.ศ.2539 คำว่าช้างกลางเป็นแหล่งเตรียมจัดช้างให้แก่ กองทัพยามศึกสงคราม ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรม คือ กรมช้างกลาง กรมช้างขวา และกรมช้างซ้าย ที่ตั้ง ของกรมช้างกลางของนครศรีธรรมราชอยู่ที่บริเวณ กิ่งอำเภอช้างกลางนี่เอง ที่ตั้งกรมช้างขวาอยู่ที่บ้าน ช้างขวา อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และกรมช้างซ้ายอยู่ที่บ้านช้างซ้าย อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนจบชื่อบ้านนามเมืองของนครศรีธรรมราช ผู้เขียนขอยกตัวอย่างชื่อตำบลหรือหมู่บ้านในเขต อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ดังนี้ บ้านศาลามีชัย เป็นที่ตั้งศาลาสำหรับฉลอง ชัยชนะครั้งเจ้าพระยานคร (น้อย) ยกทัพไปรบกับ มุสลิมที่ไทรบุรี หรือรัฐเคดาห์ บ้านหัวอิฐ เคยเป็นที่ตั้งเตาเผาอิฐเพื่อสร้าง กำแพงเมืองนครศรีธรรมราชตรงบริเวณสะพาน นครน้อยปัจจุบัน บ้านหัวอิฐวันนี้เป็นตลาดกลาง ผลิตผลการเกษตรแห่งภาคใต้