25 กันยายน, 2568

เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยา

เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยา
เมื่อกรุงตรีอยขยาสถาปนาขึ้นใน พ.ศ. ๑๘๘๔๓ จาการจัดสรรย์ในกลุ่มชนชั้นกลุ่มกำลุ่มนำลุ่มน้ำลุ่มน้ำ เจ้าพระยาแล้ว อยุธยาก็มีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับด้วยฐานะรัฐที่ควบคุมและเป็นตัวกลางการค้า ภาคพื้นทวีปกับการค้าทางทะเล พัฒนาการทางเศรษฐกิจและการทหารทำให้อยุธยามีอำนาจเหนือรัฐ ข้างเคียงจำนวนมาก ประกอบกับเมืองนครศรีธรรมราชเองก็อ่อนกำลังลงด้วย ทำให้อำนาจของกรุง ศรีอยุธยาสามารถปกแผ่มาถึง ในช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา เมืองนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ ทางกาศใต้นั้นอยู่ในฐานะมืองพระยามทานคร ๑ ใน ๘ ของอยุทธยา ที่ต้องถือน้ำพระพิทัฒน์สัตยาเมือง นครศรีธรรมราช มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากหากควบคุมเมืองนครศรีธรรมราช ได้ย่อมหมายความว่า เสถียรภาพของอยุธยา ในคาบสมุทรภาคใต้ แถบหัวเมืองมลาย จะมั่นคงไปด้วย ดังนั้นกรุงศรีอยุธยาจึงพยายามควบคุมดูแลหัวเมืองแห่งนี้อย่างใกล้ชิด ช่วงต้นสมัยอยุธยามีการเกณฑ์ ประชาชนจากถิ่นอื่น เช่น จากภาคเหนือ มาอาศัยทำมาหากินที่นครศรีธรรมราชเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพ และกำลังการผลิตไปในตัว
ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเปลี่ยนฐานะเมืองนครศรีธรรมราชจากเมืองพระยามหานครมาเป็นหัวเมืองเอก ใน พ.ศ. ๑๙๙๘ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เจ้าเมืองเป็น "เจ้าพระยาศรีธรรมราช" ถือศักดินา ๑๐,๐๐๐ นับเป็นบรรดาศักดิ์หัวเมืองที่มีตำแหน่งสูง แม้จะมีฐานะที่ลดลงจากการเป็นเมืองพระยามหานคร แต่พิธีการแต่งตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชยังคงดำรงรูปแบบเดียวกับการตั้งเจ้าประเทศราช กล่าวคือ ข้าหลวงเชิญสุพรรณบัฏและพระราชโองการออกไปให้เมือง จากการเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารราชการหัวเมืองครั้งนี้ยังผลให้ในบางคราว ส่วน กลางจะแต่งตั้งข้าหลวงไปดำรงตำแหน่งเจ้ามือง แทนที่จะเป็นคนในพื้นที่ดังเช่นในอดีต เหตุผลส่วนหน่งหน้าจะเป็นเพราะทางกรุงศรีอยุธยาต้องการให้ผู้ที่ไว้วางใจได้และมีความสามารถสูงไปปกครองหัวเมืองที่เป็นศูนย์กลางอำนาจสำคัญในภาคใต้ เช่น ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงแต่งตั้งซุนอินทรเทพไปดำรงตำแหน่งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชใน พ.ศ.๒๐๗๒ อนึ่ง ความพยายามควบคุมหัวเมืองภาคใต้ผ่านเมืองนครศรีธรรมราชจะเห็นได้จากการที่เมืองนครศรีธรรมราช ได้รับมอบหมายให้ทำราชการสงครามอยู่บ่อยครั้งเช่น การปราบเมืองมะละกา ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นต้น นอกจากนี้ ในฝ่ายพุทธจักร กรุงศรีอยุทธยาดำเนินการนโยบายจัดการให้เมืองนครศรีธรรมราช เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนา ของภูมิภาค เช่น มีการบูรณะพระบรมธาตุ ใน ปีพ.ศ. ๒๐๕๗ จัดระบบการปกครองและควบคุมคณะสงฆ์ ขึ้นใหม่ให้มีให้มีประมุขฝ่ายสงฆ์ คือสมเด็จพระสังฆราชที่กรุงศรีอยุธยา ส่วนพระสังฆราชาซึ่งดำรงตำแหน่งรองลงมาอยู่ที่เมืองนครศรศรีธรรมราช และตั้งพระครูสังฆนายก เจ้าคณะเมืองพัทลุง เป็นผู้ดูแลกิจคณะสงฆ์ นับเป็นการสร้างดุลอำนาจของคณะสงฆ์ อันควบคู่กับการควบคุมอำนาจทางการเมืองฝ่ายอาณาจักรอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดีในแง่หนึ่ง จากการที่เมืองนครศรีธรรมราชมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ และมีต้นทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของตนเองค่อนข้างมาก จึงมีความเป็นไปได้ที่เมื่อเจ้าเมืองไม่ลงรอยกับอำนาจศูนย์กลางที่อยุธยา จะเกิดการแข็งเมืองขึ้นเพื่อต่อต้าน ซึ่งในสมัยอยุธยา นครศรีธรรมีการแข็งเมืองหรือกบฏครั้งสำคัญอย่างน้อย ๒ ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๙๒ ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งมีสาเหตุมาจากความแตกแยกของข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาอันเกิดในช่วงผลัดแผ่นดิน พระองค์ทรงมีพระราชดำริที่จะชจัดอำนาจการเมืองของของออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาชา)ในช่วงต้นสมัย จึงทรงส่งออกญาเสนาภิมุขไปเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เนื่องจากเจ้าพระยานครศรีธรรมราชปฏิเสธที่จะมาเข้าพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์ที่กรุงศรีอยุธยาด้วยบ้านเมืองมีปัญหายุ่งยากภายใน การส่งออกญาเสนาภิมุขซึ่งได้รับการพิจารณาว่าเป็นขุนนางระดับสูงที่มีฝีมือดีไปปราบปรามและขึ้นเป็นเจ้าเมืองนั้น จึงเป็นอุบายทางการเมืองเพื่อให้ออกญาเสนาภิมุขเผชิญหน้ากับความยากลำบากเสียมากกว่า เมื่อออกญาเสนาภิมุข ลงไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชได้ปราบและสั่งประหารข้าราชการท้องถิ่นผู้แข็งข้อหลายคน เมื่อควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ก็มีใบบอกมาถึงส่วนกลาง หลังจากนั้น ออกญาเสนาภิมุขยกทัพไปปราบาบฏเมืองปัตตานี แต่พลาดพลั้งได้รับบาดเจ็บ ต้องกลับมารักษาตัวที่เมืองนครศรีธรรมราช แต่กลับถูกพระยามะริดซึ่งไปช่วยราชการอยู่นั้น ใช้ม้าพันแผลอาบยาพิษปิดแผล จนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๑๙๓ ต่อมาเมืองนครศรีธรรรรมราชเกิดจลาจลอย่างหนักระหว่างชาวเมืองกับชาวญี่ปุ่นผู้โกรธแค้น ครั้นเหตุการณ์จลาจลเริ่มคลี่คลาย ฝ่ายนครศรีธรรมราชซึ่งไม่เห็นด้วยกับการปราบดาภิเษกของพระเจ้าปราสาททองอยู่แล้วจึงตั้งตนเป็นอิสระ จนพระเจ้าปราสาททองต้องส่งออกพระศักดาพลฤทธิ์ และออกญาท้ายน้ำเป็นแม่ทัพไปปราบ เหตุการณ์แข็งเมืองสมัยพระเจ้าปราสาททองแสดงให้เห็นว่า อำนาจท้องถิ่นของนครศรีธรรมราชมีความเข้มแข็ง และการแทรกแชงจากส่วนกลางมิได้ทำได้โดยง่าย
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๒๒๗ นครศรีธรรมราชแข็งเมืองอีกครั้งหนึ่งในสมัยสมเด็จพระเพทราชา เนื่องจากนครศรีธรรมราชไม่ยอมรับการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเพทราชา ซึ่งในช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ กลุ่มสมเด็จพระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์เข้ายึดอำนาจการปกครอง และปราบปรามกลุ่มอำนาจอื่นในหมู่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ กระทั่งปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ในที่สุด ฝ่ายเจ้าพระยารามเดโช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชพร้อมด้วยพระยายมราช (สังข์) เจ้าเมืองนครราชสีมาซึ่งพาพรรคพวกหนีมาเข้าร่วม ไม่ยอมเช้าถวายน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสร็จสิ้นจาการจัดระเบียนภายใน จึงได้ยกกองทัพลงไปปราบ ซึ่งต้องใช้เวลาถึง ๓ ปีกว่าเหตุการณ์จะสงบโดยสุดท้าย เจ้าพระยารามเดโชได้หนีออกไปทางมลายู หลังจากการเป็นกบฏของเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยสมเด็จพระเพทราชา ทางอยุธยาเกิดความระแวงต่อนครศรีธรรมราช จึงปรับเปลี่ยนระบบการบริหารเมืองนครศรีธรรมราชเสียใหม่โดยลดฐานะเจ้าเมืองลงเป็นเพียง "ผู้รั้งเมือง" ซึ่งการเปลี่ยนบทบาทเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอำนาจท้องถิ่นด้วยทั้งในเชิงอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางเศรษฐกิจ" อีกนัยหนึ่ง การลดสถานะของเมืองทำให้นครศรีธรรมราชในฐานะหัวเมืองเอกมิอาจกำกับดูแลความสงบเรียบร้อยของภาคใต้ได้มีประสิทธิภาพดังเดิม ตราบจนสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงได้ยกฐานะเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นอีกครั้ง และยกฐานะเมืองขึ้นเป็น "เมืองพระยามหานคร" เนื่องจากตระหนักในความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของเมือง นครศรีธรรมราชในการเป็นหัวเมืองเอกของภาคใต้ และทำหน้าที่ควบคุมหัวเมืองใกล้เคียงในพระราชอาณาเขต และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ กำกับดูแลแลหัวเมืองมลายด้วย ทั้งนี้ ในช่วงปลายสมัยอยุธยา อำนาจ การเมืองท้องถิ่นในนครศรีธรรมราชน่าจะเข้มแข็งอยู่พอสมควร เนื่องจากเมื่อกรุงศรีอยุธยาพ่ายต่อทัพพม่าแล้ว นครศรีธรรมราชก็ปลีกตัวออกจากศูนย์กลางอำนาจเดิม และตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่โดยการนำของอำนาจท้องถิ่นกลุ่มหนึ่ง