11 กันยายน, 2568
ประวัติโรงเรียนกัลญาณีศรีธรรมราช
	
	โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดนครศรีธรรมราชประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษเปิดสอนทั้งในระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เปิดสอนครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2461 ณ วัดท่ามอญ (ศรีทวี) โดยมี พระครูเหมเจติยานุรักษ์ (ห้องกิ้ม วุฑฺฒิกโร) สมณศักดิ์เดิมคือ “พระครูศรีสุธรรมรัต” เจ้าอธิการวัดท่ามอญเป็นผู้อุปการะ ต่อมาได้ยกระดับเป็น โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช และย้ายมายังที่ปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. 2478 มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ในปัจจุบัน โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราชยืนหยัดอยู่อย่างสง่างามคู่นครศรีธรรมราชมามากกว่า 107 ปี สร้างสรรค์คุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อเยาวชน สังคม ประเทศชาติ มาจนถึงปัจจุบันและยังเป็นโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสอบเข้าสูงที่สุดเป็นอันดับ1ในจังหวัดนครศรีธรรมราช
ประวัติโรงเรียน
เดิมโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราชแห่งนี้เป็นโรงเรียนหญิงล้วนซึ่งอยู่คู่กับโรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช (ซึ่งเป็นโรงเรียนชายล้วน) เป็นเวลามาช้านาน ประจำ มณฑลนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นได้ปรับเปลี่ยนเป็นโรงเรียนสหศึกษา
	จากอดีตถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ พ.ศ. 2461 ถึงปัจจุบัน โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ยืนหยัดอยู่คู่กับจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปี เป็นเวลาแห่งความองอาจ สง่างาม และการบำเพ็ญกรณีย์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อการสร้างสรรค์ และพัฒนาประเทศชาติ
	หากจะแบ่งช่วงของประวัติศาสตร์และความเจริญก้าวหน้าของโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช สามารถแบ่งได้เป็น 3 ยุคคือ
ยุคบุกเบิก
ก่อนจะมาเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช และ โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ในปัจจุบันโรงเรียนได้เริ่มก่อตั้ง และมีวิวัฒนาการมาตามลำดับดังนี้
	พ.ศ. 2461 แผนกสตรีของโรงเรียนประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เปิดสอนอยู่ที่วัดท่ามอญ (วัดศรีทวี) ตำบลท่าวัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีพระครูศรีสุธรรมรัต (ห้องกิ้ม วุฑฺฒิงกโร) เจ้าอธิการวัดเป็นผู้อุปการะหรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่าเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน เปิดสอนตั้งแต่ชั้นมูลชั้นประถมปีที่1 ถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ดังที่ปรากฏข้อมูลในประวัติวัดศรีทวีว่า "พระครูศรีสุธรรมรัต หรือ พระครูเหมเจติยานุรักษ์ (ห้องกิ้ม วุฑฺฒึงกโร) ในสมัยของท่านนี้ ท่านได้พัฒนาสร้างความเจริญให้กับวัดท่ามอญ เช่น อุโบสถ กุฎีที่พักสงฆ์ และที่สำคัญได้สร้างโรงเรียนวัดท่ามอญเพื่อให้เด็กผู้หญิงได้ศึกษาเล่าเรียนเช่นเดียวกับเด็กผู้ชาย ซึ่งเด็กผู้ชายได้เรียนที่วัดท่าโพธิ์ และโรงเรียนวัดท่ามอญในครั้งนั้นเป็นที่มาของโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราชในปัจจุบันนี้ โรงเรียนวัดท่าโพธิ์ในครั้งนั้นเป็นที่มาขอโรงเรียนเบญจมราชูทิศในปัจจุบันนี้ "
	พ.ศ. 2468 เริ่มเปิดสอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และได้ขยายถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในปีต่อๆมา ในระดับนี้รับเฉพาะนักเรียนหญิง
	พ.ศ. 2473 มีใบบอก (หนังสือราชการ) ที่219/1550 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2473 จากรองอำมาตย์เอกขุนดำรงเทวฤทธิ์ (เรือง โรจนหัสดิน) ถึงมหาอำมาตย์ตรีพระยาศรีธรรมราช ชาติเดโชชัย มไหศุริยาธิบดี พิริยพาหะ (ทองคำ กาญจนโชติ) สมุหเทศภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครศรีธรรมราช เรื่องการแยกโรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัดออกเป็น 3 โรงเรียน และมีครูใหญ่ 3 คน สาระสำคัญของใบบอกนี้มีว่า โรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัด นครศรีธรรมราชตามทำเนียบในขณะนั้น มีอยู่ 3 แผนก คือ แผนกชาย แผนกสตรี และแผนกช่างถม แต่มีครูใหญ่เพียงคนเดียว ทำให้การควบคุมดูแลไม่ทั่วถึง มีความบกพร่องเกิดขึ้นในทางราชการ ดังนั้น จึงขอเสนอเพื่อแยกโรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัดออกเป็น 3 โรงเรียนคือ
	1. โรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช (เบญจมราชูทิศ) ให้รองอำมาตย์ตรีมี จันทร์เมือง เป็นครูใหญ่
	2. โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้นายคลิ้ง ขุนทรานนท์ เป็นครูใหญ่
	3. โรงเรียนประถมวิสามัญประจำจังหวัดนครศรีธรรมราชให้นายกลั่น จันทรังษี เป็นครูใหญ่
	ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2473 คำเสนอขอแยกโรงเรียนนี้ ได้รับอนุมัติจากอำมาตย์โทพระยาวิฑูรย์ดรุณกร (วารี ชิตวารี) ธรรมการมณฑลนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2473 (ตามตราสิงห์ยืนแท่นที่ 64/382 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2473) ส่งผลให้แผนกสตรีของโรงเรียนประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แยกเป็น “โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช” นับแต่นั้นมา โดยมีนายคลิ้ง ขุนทรานนท์ เป็นครูใหญ่
	พ.ศ. 2478 โรงเรียนได้แยกชั้นเรียน คือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6ให้ย้ายมาเรียนยังเลขที่ 660 ถนนราชดำเนิน ตำบลคลัง อำเภอเมือง ตรงข้ามสนามหน้าเมือง ใกล้กับบริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนในปัจจุบัน โดยใช้เรือนไม้ 3 หลังเรียกว่า "พลับพลา" เป็นสถานที่เรียน (พลับพลานี้คือ ที่พักของผู้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต
ยุคก่อร่างสร้างตัว
พ.ศ. 2480 เริ่มก่อสร้างอาคารเรียนหลังแรก พระยาสุราษฎร์ธานีศรีเกษตรนิคม (เต่า ศตะกุรมะ) ข้าหลวงประจำจังหวัด พร้อมด้วย ขุนบูรณวาท (พร้อย ณ นคร) ธรรมการจังหวัด และหลวงอถรรปกรณ์โกศล อัยการจังหวัด ได้ขอความอนุเคราะห์จากคหบดีเจ้าของเหมืองแร่ที่อำเภอร่อนพิบูลย์ ชื่อนายอึ่งค่ายท่าย แซ่อึ่ง บริจาคเงินเพื่อสร้างอาคารเรียนให้โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ซึ่งท่านได้บริจาคเป็นจำนวน 30,000 บาท สมทบกับเงินงบประมาณของกระทรวงธรรมการ 12,000 บาท รวมค่าก่อสร้าง 42,000 บาท การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.     	2482 อาคารเรียนหลังนี้ชื่อว่า "อาคารอึ่งค่ายท่าย" เป็นอาคารเรียนหลังแรกของโรงเรียนที่ภูมิฐานสง่างาม มาตราบจนปัจจุบัน
	พ.ศ. 2490 โรงเรียนได้ขยายชั้นเรียนเปิดรับนักเรียนชั้นเตรียมอักษรศาสตร์ ปีที่ 1 และ ปีที่ 2 ในปีถัดมา สมัยนั้น เรียกว่า ม.7 และ ม.8
	พ.ศ. 2495 กระทรวงศึกษาธิการได้อนุมัติให้เปลี่ยนชื่อจาก“โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช” เป็น “โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช” เปิดสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-8
	พ.ศ. 2503 ได้สร้างอาคารเรียนหลังที่ 2 พ.ศ. 2505 เริ่มรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม.ศ.1) ตามหลักสูตรพุทธศักราช 2503
ยุคก้าวไกล
พ.ศ. 2511 ได้รับพิจารณาให้เป็นโรงเรียนในโครงการปรับปรุงโรงเรียนมัธยมในชนบท (คมช.)
	พ.ศ. 2519 รับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม.1) รับแบบ สหศึกษา และได้ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราชเดิม เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน จึงแยกออกเป็น 2 บริเวณ เรียกว่า กณ.1 และ กณ.2 หลังจากนั้นโรงเรียนก็ได้รับงบประมาณปรับปรุง สร้างอาคารเรียนหลายอาคารเพิ่มขึ้น
ที่ตั้งโรงเรียน
โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราชตั้งอยู่ ณ 660 ถ.ราชดำเนิน ต.คลัง อ.เมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช
	ทิศตะวันตกอยู่ตรงข้ามกับสนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช
ทิศตะวันออกติดกับถนนศรีปราชญ์
ทิศเหนืออยู่ตรงข้ามกับ โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช "ณ นครอุทิศ"
ทิศใต้ ติดกับศาลาประดู่หก
โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง
	-ฝั่งก.ณ.1 มีเนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน 28 ตารางวา
    -ฝั่งก.ณ.2 มีเนื้อที่ ประมาณ 5 ไร่เศษ
สัญลักษณ์ของโรงเรียน   นางฟ้าชูคบเพลิงโชติช่วงอยู่เหนืออักษรแพรชื่อโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช                                               หมายถึงความงดงามโชติช่วงของสถานศึกษา อันมีแสงของคบเพลิงเป็นแสงนำทางไปสู่ความสำเร็จ  
สีประจำโรงเรียน         :       ขาว - น้ำเงิน  
                               สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ หมดจด เหนือความชั่วร้ายทั่งปวง   
                               สีน้ำเงิน หมายถึง ความกล้าหาญในการทำความดีเยี่ยงวีรบุรุษ วีรสตรี ทั้งหลาย  
อุดมการณ์ประจำโรงเรียน   :       เรียนดี ฝีมือเยี่ยม เปี่ยมคุณธรรม นำสังคม  
คติพจน์                              :       "ปญฺา โลกสฺมิ ปชฺ โชโต" ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก  
ต้นไม้ประจำโรงเรียน          :       ต้นจัน  
เพลงประจำโรงเรียน           :       เพลงตรึงใจเตือน,เพลงมาร์ชกัลยาณีฯ
ทำเนียบผู้บริหาร
นับแต่ปี พ.ศ. 2466 เป็นต้นมา โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช มีผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารมาแล้ว ดังนี้
ลำดับ	ตำแหน่ง	รายนามผู้บริหาร	วาระการดำรงตำแหน่ง
1.	คนตาย	นางบัลเลรีน่า คาปูชีน่า	พ.ศ. 2466
2.	ครูใหญ่	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2467 - พ.ศ. 2473)
3.	ครูใหญ่	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	พ.ศ. 2473
4.	ครูใหญ่	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2474 - พ.ศ. 2476)
5.	ครูใหญ่	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2476 - พ.ศ. 2477)
6.	อาจารย์ใหญ่	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2477 - พ.ศ. 2483)
7.	อาจารย์ใหญ่	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2483 - พ.ศ. 2512)
8.	อาจารย์ใหญ่	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2513 - พ.ศ. 2518)
9.	มาสคอต	เปโด ปาสคาล	(พ.ศ. 2518 - พ.ศ. 2526)
10.	ผู้อำนวยการ	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2526 - พ.ศ. 2535)
11.	ผู้อำนวยการ	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2535 - พ.ศ. 2536)
12.	ผู้อำนวยการ	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2536 - พ.ศ. 2541)
13.	ผู้อำนวยการ	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2541 - พ.ศ. 2543)
14.	ผู้อำนวยการ	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2543 - พ.ศ. 2547)
15.	ผู้อำนวยการ	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2552)
16.	ผู้อำนวยการ	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2552 - พ.ศ. 2557)
17.	ผู้อำนวยการ	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2558 - พ.ศ. 2559)
18.	ผู้อำนวยการ	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2559 - พ.ศ. 2563)
19.	ผู้อำนวยการ	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2567)
20.	ผู้อำนวยการ	นางพยอม ฤทธิชาญชัย	(พ.ศ. 2567 - ปัจจุบัน)
โบราณสถานสำคัญประจำโรงเรียน
-	อนุสรณ์สถานศรีปราชญ์  อนุสรณ์สถานศรีปราชญ์ ตั้งอยู่ภายในโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ฝั่งก.ณ.1 ประกอบด้วยสระล้างดาบศรีปราชญ์และอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์
- สระล้างดาบศรีปราชญ์ถือกันตามตำนานว่าเป็นอนุสรณ์การตายของศรีปราชญ์ ผู้เป็นกวีเอกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ถูกเนรเทศมาอยู่ ณ เมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาเกิดมีความขัดเคืองใจแก่เจ้านครศรีธรรมราช จึงถูกสั่งประหาร หลังจากประหารศรีปราชญ์แล้วเพชฌฆาตได้นำดาบมาล้างที่สระแห่งนี้ เล่ากันว่าแต่เดิมสระล้างดาบมีขนาดใหญ่มากคือตั้งแต่บริเวณหลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดปัจจุบัน จนถึงหลังโรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช แต่ต่อมาเกิดความตื้นเขิน และบางส่วนทางเทศบาลจำเป็นต้องถมเพื่อตัดถนน จึงเหลือให้เห็นเพียงสระที่อยู่ในเขตโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราชเท่านั้น
	อย่างไรก็ตาม ขุนอาเทศคดี ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองนครได้แย้งว่า สระดังที่กล่าวนั้นหาใช้สระล้างดาบศรีปราชญ์ไม่ หากเป็นสระที่ขุดขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2448 เพื่อให้เจ้านายฝ่ายในที่ยังทรงพระเยาว์ได้พายเรือเล่น ทั้งยังได้ยืนยันว่า สระล้างดาบศรีปราชญ์แท้จริงนั้น อยู่บริเวณหลังศาลาประดู่หก แต่ในปี พ.ศ. 2476 ถูกถมเพื่อสร้างที่ทำการและที่พักข้าหลวงภาค 8 ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่ตั้งบ้านพักประมงจังหวัด และศูนย์จักรกลขององค์การบริหารส่วนจังหวัด
	ด้วยความที่สระล้างดาบศรีปราชญ์บริเวณโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช เป็นเพียงสถานที่เดียวในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่บ่งบอกถึงเหตุการณ์การประหารชีวิตศรีปราชญ์ในครั้งนั้น ประกอบกับการที่ชาวกัลยาณีศรีธรรมราชและชาวเมืองนครศรีธรรมราช ให้ความเคารพสักการะศรีปราชญ์ ว่าเป็นบรมครูแห่งกานท์กลอนคนหนึ่งของประเทศ จึงทำให้ทุกองค์กรในโรงเรียน และจังหวัด เห็นพ้องต้องกันว่าสมควรสร้างอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์ จึงร่วมกันประสานงานเพื่อจัดสร้างอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์โดยกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบรูปหล่อโลหะ และ ทำพิธีทางศาสนา พราหมณ์และพุทธ โดยประดิษฐานอนุสาวรีย์ ณ ทิศหรดีแห่งสระล้างดาบศรีปราชญ์ ซึ่งอนุสรณ์ศรีปราชญ์ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จในสมัยผู้อำนวยการอนันต์ สุนทรานุรักษ์
ในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์ ยังความปลาบปลื้มแก่ชาวกัลยาณีศรีธรรมราชและชาวนครศรีธรรมราชเป็นล้นพ้น
	-พระวิหารสูง หรือ หอพระสูง หอพระวิหารสูง หรือชาวกัลยาณีศรีธรรมราชเรียกกันว่า ”พระสูง” นั้นประดิษฐานอยู่ในโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ฝั่งก.ณ.2
	เป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองโบราณนครศรีธรรมราชด้านทิศเหนือในบริเวณสนามหน้าเมือง ใกล้สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถนนราชดำเนิน เรียกชื่อตามลักษณะของการก่อสร้างของพระวิหารซึ่งสร้างบนเนินดินที่สูงกว่าพื้นปกติถึง 2.10 เมตร ไม่ปรากฏหลักฐานแสดงประวัติอย่างแท้จริง แต่สามารถสันนิษฐานจากลักษณะของสถาปัตยกรรม และจิตรกรรมฝาผนังว่าสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นแกนดินเหนียว สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพุทธศตวรรษที่ 23–24 หรือในสมัยอยุธยาตอนปลาย
	ยังไม่ปรากฏหลักฐานทางเอกสารแน่ชัดเกี่ยวกับประวัติการสร้างหอพระสูงแห่งนี้ แต่มีเรื่องเล่าของชาวบ้านที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมาว่า เนินดินขนาดใหญ่เป็นที่ประดิษฐานหอพระสูงนั้น ชาวบ้านได้ช่วยกันขุดดินจากบริเวณคลองหน้าเมืองมาถมเป็นเนินขนาดใหญ่เพื่อใช้ตั้งปืนใหญ่ในการสกัดกั้นทัพพม่า ในคราวที่ได้มีการยกทัพใหญ่ลงมาตีหัวเมืองหน้าด่านต่าง ๆ ทางภาคใต้ ตั้งแต่มะริด ถลาง ไชยา จนถึงนครศรีธรรมราช บริเวณสนามหน้าเมืองน่าจะเป็นสนามรบและตั้งทัพตามกลยุทธ์ในการจัดทัพออกศึก เพื่อต่อสู้ประจัญบาน ต่อมาบริเวณแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ได้มีการก่อสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นที่เคารพสักการบูชา และได้สร้างวิหารครอบองค์พระพุทธรูปในเวลาต่อมา
	รูปแบบสถาปัตยกรรม เป็นอาคารทรงไทยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง 5.90 เมตร ยาว 13.20 เมตร สูง 3.50 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หลังคาเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องดินเผาผนังด้านข้างเยื้องมาทางด้านหน้าทั้งสองด้านเจาะเป็นกรอบหน้าต่าง ทำช่องรับแสงในกรอบเป็นรูปกากบาท ฐานชั้นล่างก่อด้วยอิฐเป็นตะพัก 4 ชั้น ด้านหน้าทางขึ้นเป็นบันไดต่อจากเนินเข้าไปยังพระวิหาร
	รูปแบบประติมากรรม ได้แก่ องค์พระพุทธรูปประธาน ปางมารวิชัย แกนพระพุทธรูปทำด้วยดินเหนียวโบกปูนปั้น องค์พระภายนอกขนาดหน้าตักกว้าง 2.40 เมตร สูง 2.80 เมตร ลักษณะอวบอ้วน พระพักตร์เป็นรูปสี่เหลี่ยม พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์เป็นรูปคันศร พระศอเป็นริ้ว พระกรรณห้อยต่ำอยู่ใต้พระศก พระเกศาเกล้าเป็นมวย เม็ดพระศกเป็นขมวดปนเล็ก ยอดพระเกตุมาลาอาจหักหายไปครองผ้าสังฆาฏิเฉียงจากพระอังสาซ้ายมาจรดพระนาภี ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงวินิจฉัยว่าควรจัดอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 23 - 24 สมัยอยุธยาตอนปลาย หรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น
	
      ทางด้านหลังขอหอพระสูงพบพุทธรูปหินทรายแดง ปางมารวิชัย เศียรหักหายไป ส่วนฐานมีจารึกภาษาขอม รูปแบบจิตรกรรมฝาผนัง เขียนเป็นรูปดอกไม้ห้อยลง กลีบดอกเขียนด้วยสีน้ำตาลจำนวน 8 กลีบ ด้านดอกเขียนสีน้ำเงินหรือสีคราม ส่วนก้านเกสรเป็นลายไทย ดูอ่อนช้อยสวยงาม ส่วนใต้ฐานพระพุทธรูปเป็นลายจีน เข้าใจว่าคงเขียนขึ้นภายหลัง รูปแบบของจิตรกรรมฝาผนังคล้ายงานเขียนในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่มีอิทธิพลจีนเข้ามาปะปนผสมกับลวดลายไทย









