25 กันยายน, 2568

รัฐโบราณในดินแดนนครศรีธรรมราช

เอกสารโบราณที่เก่าที่สุดชิ้นหนึ่งซึ่งกล่าวถึงดินแดนที่เป็นเมืองนศรศรีรรมราชคือ คัมภีร์มหานิทเทศ ติสฺสฺเมตฺเตยฺยฺสูตร ซึ่งเป็นวรรณคดีโบราณแต่งขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๘ กล่าวถึงการเดินทางของนักแสวงโชคไปยังดินแดนห่างไกลนอกอินเดีย มีเนื้อความกล่าวถึงเมืองท่าที่สำคัญในอินเดีย ลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายเมือง ความตอนหนึ่งระบุว่า "...ไปชวา ไปกะมะลิง[ตะมะลิง] ไปวังกะ..." โดยกะมะลิงน่าจะเป็นนามของรัฐ "ตามพรลิงค์" (ตามรูปศัพท์หมายความว่าลิงค์ทองแดงไข่แดง หรือนิมิตทองแดง) ซึ่งมีสัมพันธ์พันธ์กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทศิลาจารึก ที่พบอายุอยู่ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๔ เช่น จารึกหลักที่ ๒๓ ภาษาสันสกฤต พบที่วัดเสมาเมือง จารึกหลักที่ ๒๗ พบที่วัดมหาธาตุ จารึกหลักที่ ๒๕ ภาษาทมิฬ พบที่วัดมหาธาตุ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังพบโบราณวัตถุที่สำคัญ คือ เทวรูปพระนารายณ์ สวมหมวกแซกศิลปะแบบอินเดียใต้ เหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเจริญรุ่งเรืองของรัฐตามพรลิงค์ในอดีต ทั้งนี้ นาม "ตามพรลิงค์" ปรากฏรูปคำและการออกเสียงแตกต่างไปตามสำเนียงภาษา ของกลุ่มชนที่เรียกซานกันในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่นตมพลิงคม (Tarnbalingarn) เป็นชื่อที่ปรับเปลี่ยนเสียงตามที่ปรากฎในคัมภีร์ มหานิทเทศ ติสสฺสเมตเตยยสูตร มัทธาลิงคม (Madarnalingan) เป็นภาษาทมิฬ ปรากฏในศิลาจารึกสมัยพระเจ้าราเชนทรโจฬะในอินเดียภาคใต้ ตันมาลิงหรือตั้งมาหลิ่ง (Tan-ma-ling) เป็นชื่อที่ปรากฏในหลักฐานจีน ตมลิงคาม (Tamalingama) ปรากฏในหลักฐานคัมภีร์ภาษาสิงหน โลแค็กหรือโลกัก (Locac) เป็นชื่อที่มาร์โคโปโลเรียก ส่วนในสมัยหลังต่อมา ชาวโปรตุเกสเรียกชานรัฐแถบนครศรีธรรมราชนี้ว่า ลิกอร์ (Ligor)รวมทั้งนาม สิริธรรมนคร ซึ่งปรากฏใน จามเทวีวงศ์ และ ศรีธรรมราช ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ (พ.ศ. ๑๗๗๓) วัดหัวเวียง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (พ.ศ.ศ. ๑๘๓๕) ที่เริ่มเรียกในหลักฐานไทยฝ่ายเหนือตั้งแต่พุทธศศวรรษที่ ๑๘ -๒๐ เป็นต้นไป ซึ่งน่าจะเป็นการเรียกขานตามอิสริยนามของวงศ์กษัตริย์พระเจ้าสิริธรรม (นคร) หรือพระเจ้าศรีธรรมราชนั่นเอง" อาจ กล่าวโดยสรุป ได้ว่า เมืองหรือรัฐตามพรค์ เติบโตและพัฒนาขึ้นจาการเป็นชุมขน การค้าในระบบเครือข่ายการค้าโบราณ แถบอินเดีย ศรีลังกา และเอเชียตะวันอกเฉียงใต้ส่วนคาบสมุทรและหมู่เกาะ กระทั่งเริ่มทวีความสำคัญอย่างมากราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ เป็นต้นมจุจนถึงพุทธศศวรรษที่ ๑๖ ในฐานะรัฐที่ควบคุมเศรษฐกิจการค้า มีอิทธิพลทางการเมืองในระบบมณฑล และยอมรับนับถือทั้งศาสสนาพุทธและพราหมณ์
นอกจากรัฐตามพรลิงค์ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนศรศรีธรรมราชปัจจุบัน ยังเชื่อว่า อาณาจักรศรีวิชัยก็เคยแผ่อำนาจเหนือดินแดนแถบนี้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓ -๑๖ ด้วย (บ้างสันนิษฐานว่า อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยคงอยู่ในนครศรีธรรมราชถึงราวปลายพุทธศวรรษที่ ๑๘) หากยังมีข้อถกเถียงกันมากถึงขอบเขตและศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย ทั้งนี้ ในแง่ขอบเขตน่าจะกินอาณาบริเวณตั้งแต่คาบสมุทรภาคใต้ของไทยรวมทั้งนครศรีธรรรมราชไปถึงชวาภาคกลาง ส่วนในแง่ของศูนย์กลางอำนาจนั้นยังปรากฎข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง"มีการค้นพบโบราณวัตถุสมัยศรีวิชัยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชจำนวนมาก (บ้างพบปะปนกับโบราณวัตถุในวัฒนธรรมทวารวดี)เช่น พระพิมพ์ดินดิบพบในแถบอำเภอท่าศาลา พระพุทธรูปพบในเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น" อย่างไรก็ดี โครงสร้างของอาณาจักรศรีวิชัยนั้นน่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบเครือรัฐที่เชื่อมโยงกันผ่านการค้า การเมือง คติความเชื่อ ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม ดังจะพบวัฒนธรรมร่วมกันระหว่างรัฐศรีวิชัยบริเวณคาบสมุทรและหมู่เกาะ แม้จะมีข้อเสนอว่า เมืองนครศรีธรรมราชได้เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง เช่นเดียวกับเมืองสุราษฎร์ธานี แต่ข้อเสนอดังกล่าวก็ยังไม่เป็นข้อยุติในวงวิชาการ ดังกล่าวไปแล้วตอนต้น
เมืองนครศรีธรรมราชมีพัฒนาการต่อเนื่องกระทั่งในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๙ ร่วมสมัยกับอาณาจักรสุโขทัย และเจริญรุ่งเรื่องขึ้นในฐานะศูนย์กลาง คาบสมุทรภาคใต้การปกครองของกษัตริย์ราชวงศ์ศรีธรรมโศกราช ปรากฎหลักฐานกล่าวว่า เมืองนครศรีธรรมรวชมีความเกรียงไกร ขนาดที่ส่งกองทัพไปมืองลังกาถึง ๒ ครั้ง ทั้งนี้ ความสำเร็จในการจัดการปกครองสะท้อนออกมาในรูปหัวเมืองรอบเมืองนครศรีธรรมราช หรือเมือง ๑๒ นักษัตร" ตามที่ปรากฏหลักฐานใน ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช" คือ ๑. เมืองสายบุรี ตราหนู ๗. เมืองตรัง ตราม้า ๒. เมืองปัตตานี ตราวัว ๘. เมืองชุมพร ตราแพะ ๓. เมืองกลันตัน ตราเสือ ๙. เมืองปันทายสมอ(กระบี่) ตราลิง ๔. เมืองปาหัง ตรากระต่าย ๑๐. เมืองสระอุเลา (สงขลา) ตราไก่ ๕. เมืองไทรบุรี ตรางูใหญ่ ๑๑. เมืองตะกั่วป่า ถลาง ตราหมา ๖. เมืองพัทลุง ตรางูเล็ก ๑๒. เมืองกระบุรี ตราหมู
ในด้านการเมือง กษัตริย์ราชวงศ์ศรีธรรมราชมีความสัมพันธ์กับรัฐทางตอนเหนือในลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมทั้งรัฐสุโขทัยด้วย (แม้จะมีข้อเสนอบางส่วนมองว่า สัมพันธ์กันในฐานะ "เมืองขึ้น")โดยส่วนหนึ่งผ่านระบบเครือข่ายด้วยการแต่งงาน โดยแต่ละรัฐไม่มีอำนาจสิทธิ์ในการควบคุมปกครอง เหนือกันและกัน ซึ่งความสัมพันธ์เช่นนี้ในทางอ้อมน่าจะทำให้เกิดความมันคงทางการเมือง ในแง่ว่าลดความขัดแย้งต่อกันในการแย่งชิงอาณาเขตหรือเมืองขึ้นในอีกทางหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐแบบนี้ยังทำให้เกิดการช่วยเหลือกันในด้านอื่น ๆ เช่น ตำนานที่กษัตริย์สุโขทัยขอให้นครศรีธรรมราชส่งฑูตไปขอพระพุทธสิหิงค์จากเมืองลังกา หรือการที่พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากเมืองนครศรศรีธรรมราช ได้รับการเผยแผ่ในเมืองสุโขทัย อันเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนศรศรีธรรมราชในช่วงเวลาก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘