29 กันยายน, 2568

เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยรัตนโกสินทร์

การจัดการปกครองเมืองนครศรีธรรมราธในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและสถาปนากรุงเทพ ฯ เป็นราชธานีในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงพระราชดำริว่า "ที่พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงยกย่องเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเป็นเจ้าประเทศราชนั้นเป็นการเหลือเกินไป จึงไปรดให้ลดบรรดาศักดิ์ลงเป็นเจ้าพระยานครและให้ลดตำแหน่งเสนาบดีเมืองนครลงเป็นกรมการเหมือนหัวเมืองอื่นๆ" . . ." นครศรีธรรมราชจึงมีฐานะเป็นหัวเมือง เมืองชั้นเอก เช่นเดียวกับเมืองพิษณุโลกและเมืองนครราชสีมา ครั้นถึง พ.ศ.ศ. ๒๓๓๔ทางราชธานีได้ยกฐานเมืองสงชลาขึ้นเป็นหัวเมืองโทให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และโปรดให้เลื่อนบรรดาศักดิ์พระยาสงขลา (บุญฮุย) ขึ้นเป็นเข้าพระยาพร้อมทั้งให้กำกับหัวเมืองประเทศราช มลายู คือ ปัตตานี กลันตัน และตรังกานู , ฐานของเมืองนครนครศรีธรรมราช จึงยิ่งตกต่ำลงไปอีก ถึงแม้จะถูกลดอำนาจลงมามากก็ตาม แต่นครศรีธรรมราชก็ยังเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของปักษ์ใต้อยู่เพราะต้องกำกับเมืองประเทศราชใทรบุรี อันเป็นหัวเมืองใหญ่ อยู่ทางทะเลหน้านอก และเป็นผู้ดูแลรักษาหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก ตลอดจนปราบปรามจับกุมแขกสลัดและสืบข่าวความเคลื่อนไหวในพม่าภาคใต้ และในฐานะที่เป็นหัวเมืองเอก เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จะต้องจัดแต่งดอกไม้ทอง เงิน เครื่องราชบรรณาการ ส่งเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวายยังราชธานีปีละ 2ครั้ง พระเจ้าขัตติยราชนิคม สมมติมไหสวรรค์ พระเจ้านครศรีธรรมราช เจ้าขัณฑสีมา พระนามเดิม หนู เป็นพระมหากษัตริย์นครศรีธรรมราช ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง และเป็นพระเจ้าประเทศราชนครศรีธรรมราช ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ประวัติพระยานครศรีธรรมราช(หนู) (๒๓๑๙-๒๓๒๕) พระเจ้านครศรีธรรมราช เป็นเชื้อสายขุนนางกรุงศรีอยุธยา มีพี่ชายคนหนึ่งชื่อพระยาวิชิตณรงค์ ต่อมาได้รับราชการมีความชอบจนได้เป็น หลวงสิทธิ์นายเวร มหาดเล็ก ต่อมาพระยาราชสุภาวดีนครฯ (พระยาราชสุภาวดีละคร) ลงไปเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช หลวงสิทธิ์นายเวรจึงได้เป็นปลัดเมืองนครศรีธรรมราชในคราวนั้น หลวงสิทธิ์นายเวร (หนู) สมรสกับหม่อมทองเหนียว ซึ่งเป็นธิดาของจีนปาด ต่อมาเมื่อพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชถูกเรียกให้ยกทัพเข้าไปช่วยเหลือกรุงศรีอยุธยา ในการรุกรานของพม่าเมื่อพ.ศ. 2308 แล้วมีความผิดและถูกถอด พระปลัด (หนู) จึงรั้งตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชไว้อยู่ ต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองใน พ.ศ. 2310 พระปลัด (หนู) ผู้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าที่เมืองนครศรีธรรมราช ชาวบ้านเรียกว่า เจ้านคร จัดตั้งชุมนุมนครศรีธรรมราชขึ้น มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองชุมพรจนถึงหัวเมืองมลายู เจ้าพระยานครฯ (หนู) แต่งตั้งหลวงฤทธิ์นายเวร (จันทร์) ซึ่งเป็นหลานเขยของตนเองและเป็นบุตรของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ (อู่) เป็นอุปราช แต่งตั้งนายวิเถียน ซึ่งเป็นญาติของตนเอง เป็นเจ้าเมืองสงขลา และแต่งตั้งให้หลานชายของตนเองไปเป็นพระยาพัทลุงเจ้าเมืองพัทลุง ต่อมา พ.ศ. 2312 หลานของเจ้าพระยานคร (หนู) ที่เป็นเจ้าเมืองพัทลุงได้เสียชีวิตลง เจ้าพระยานครฯ (หนู) จึงแต่งตั้งให้พระพิมล (ขัน) สามีของคุณหญิงจันเป็นเจ้าเมืองพัทลุงต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพไปปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช โดยมีเจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นแม่ทัพ และมีแม่ทัพอื่น ๆ ได้แก่ พระยายมราช พระยาเพชรบุรี และพระยาศรีพิพัฒน์ เจ้าพระยานคร (หนู) ส่งทัพเมืองนครฯ ไปรบกับทัพธนบุรีที่ท่าหมาก นำไปสู่การรบที่ท่าหมาก ซึ่งฝ่ายนครศรีธรรมราชได้รับชัยชนะ แม่ทัพธนบุรีพระยาเพชรบุรีและพระยาศรีพิพัฒน์ถูกสังหารในที่รบ สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จนำทัพเรือด้วยพระองค์เอง ทัพเรือหลวงจำนวน 10,000 คน ยกออกจากธนบุรีในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2312 พระยายมราชธนบุรีเข้าตีทัพฝ่ายเมืองนครฯที่ท่าหมากแตกพ่ายไป แล้วนำทัพธนบุรีเข้าโจมตีเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าพระยานครฯ (หนู) มอบหมายให้อุปราชจันทร์นำทัพเมืองนครฯออกต่อสู้ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งเจ้าขรัวเงินซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับอุปราชจันทร์ มาเจรจาเกลี้ยกล่อมให้อุปราชจันทร์ยอมสวามิภักดิ์ต่อธนบุรี อุปราชจันทร์พ่ายแพ้ให้แก่ทัพธนบุรีในการรบที่ท่าโพ ทางเหนือของเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเหตุให้เจ้าพระยานครฯ (หนู) ต้องพาครอบครัวรวมทั้งบุตรเขยคือเจ้าพัฒน์หลบหนีไปยังเมืองสงขลา สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จเข้ายึดเมืองนครศรีธรรมราชได้เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 10 (21 กันยายน พ.ศ. 2312) หลวงสงขลา (วิเถียน) นำเจ้าพระยานคร (หนู) พร้อมทั้งครอบครัว และพระยาพัทลุง (พระพิมลขัน) เดินทางหลบหนีไปยังเมืองปัตตานี สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) ยกทัพเรือติดตามเจ้าพระยานครฯ (หนู) และพระยาพิชัยราชายกทัพติดตามทางบก เจ้าพระยาจักรี (หมุด) มีหนังสือถึงสุลต่านมูฮาหมัดเจ้าเมืองปัตตานี ขอให้ส่งตัวเจ้าเมืองทั้งสามให้แก่ฝ่ายธนบุรี สุลต่านมูฮาหมัดเจ้าเมืองปัตตานี[6] จึงยินยอมส่งตัวเจ้าพระยานครฯ (หนู) เจ้าพัฒน์ หลวงสงขลา (วิเถียน) และพระยาพัทลุง (พระพิมลขัน) ให้แก่เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยานครฯ (หนู) จึงถูกจับกุมและนำตัวพร้อมครอบครัวไปยังเมืองนครศรีธรรมราช ขุนนางธนบุรีปรึกษาโทษให้ประหารชีวิตเจ้าพระยานคร (หนู) แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงไม่เห็นด้วย เนื่องจากเจ้าพระยานครฯ (หนู) ไม่ได้เป็นข้าฯของพระองค์มาก่อน ต่างคนต่างเป็นใหญ่ไม่ถือว่าเป็นกบฏ[1] ให้กลับไปพิจารณาความที่ธนบุรีใหม่อีกครั้ง[3] สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงแต่งตั้งพระเจ้าหลานเธอ เจ้านราสุริยวงศ์ เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชต่อมา โดยมีพระยาราชสุภาวดีนครฯ อดีตเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช และพระศรีไกรลาศ เป็นผู้กำกับราชการ[3] ชุมนุมนครศรีธรรมราชจึงสิ้นสุดลงและถูกผนวกรวมเข้ากับธนบุรีในที่สุด เจ้าพระยานครฯ (หนู) พร้อมครอบครัวถูกนำตัวไปยังกรุงธนบุรีในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2313 เจ้าพระยานครฯ (หนู) อาศัยอยู่ในกรุงธนบุรีเป็นเวลาเจ็ดปี โดยที่บุตรสาวคือท่านหญิงฉิมและท่านหญิงปรางได้ถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระเจ้าตากสิน ใน พ.ศ. 2319 เจ้านราสุริยวงศ์ถึงแก่พิราลัย สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าพระยานคร (หนู) อดีตผู้นำชุมนุมนครศรีธรรมราช ให้พระเจ้านครศรีธรรมราช กลับไปครองเมืองนครศรีธรรมราช ได้รับพระราชทานพระสุพรรณบัฏเป็น พระเจ้าขัตติยราชนิคม สมมติมไหสวรรค์ พระเจ้านครศรีธรรมราช เจ้าขัณฑสีมา ดำรงพระอิสริยยศที่พระเจ้าประเทศราช[7] รับสั่งเมื่อวันอังคารขึ้น 6 ค่ำ เดือน 11 (15 กันยายน พ.ศ. 2319) ครั้งพระนครศรีอยุทธยาเสียแก่พม่าข้าศึกแต่ก่อน ฝ่ายกรมการพลเมือง เมืองนครหาที่พึ่งไม่ ยกปลัดเมืองขึ้นผ่านแผ่นดินเป็นเจ้าขัณฑสิมา ก็ได้พึ่งพาอาไศรยสัปยุทธชิงไชยชนะแขกข้าศึก ถ้าหาไม่ ขัณฑสิมาก็จะระส่ำระสายเป็นไป ความชอบมีอยู่กับแผ่นดิน ฝ่ายศักดิ กฤษฎานุภาพคงขัติยราชผู้หนึ่ง ครั้งนี้ ราชธิดาก็ได้ราชโอรส ฝ่ายพระยานครก็ได้ไปตามเสด็จพระราชดำเนินช่วยทำการยุทธชิงไชยเหมมันพม่าข้าศึก...ฝ่ายเจ้านราสุริวงษ์สวรรค์ครรไล ควรให้ไปบำรุงพระเกียรติยศสนองพระเดชพระคุณแทนเจ้านราสุริวงษ์สืบไป แลซึ่งจะบำรุงพระเกียรติยศนั้น ฝ่ายพระยานครเคยผ่านแผ่นดินเปนเจ้าขัณฑสิมาอยู่แล้ว ก็ให้ผ่านแผ่นดินเปนเจ้าขัณฑสิมาฝ่ายซึ่งผู้ผ่านแผ่นดินเปนเจ้าขัณฑสิมาสืบมาแต่ก่อนนั้นเหมือนกันกับพระยาประเทศราชประเวณีดุจเดียวกัน โดยมีเจ้าพัฒน์ผู้เป็นบุตรเขยเป็นที่อุปราช นอกจากนี้เจ้าจอมมารดาฉิมยังได้เลื่อนขึ้นเป็นกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ พระมเหสีฝ่ายซ้าย กรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ประสูติพระโอรสคือเจ้าฟ้าทัศพงษ์ เจ้าฟ้าทัศไพ เจ้าฟ้านเรนทรราชกุมาร และพระธิดาคือเจ้าฟ้าปัญจปาปี พระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ได้เกียรติยศอย่างเจ้าประเทศราชรับพระโองการ ส่วนหม่อมทองเหนียวเป็นพระมเหสีรับพระเสาวณีย์ มีขุนนางเสนาบดีจตุสดมภ์เป็นของตนเอง ที่ว่าราชการเรียกว่า ท้องพระโรง ใน พ.ศ. 2320 เจ้าพระยานครฯ (หนู) มีหนังสือกราบทูลฯ สมเด็จพระเจ้าตากสินขอให้ทรงแต่งทัพไปปราบหัวเมืองมลายู สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงตอบว่าราชการสงครามกับพม่ายังคงติดพันอยู่ ให้สงครามกับพม่าแล้วเสร็จเสียก่อนจึงจะให้เมืองนครศรีธรรมราชออกไปตีมลายู ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีพระราชดำริว่าเกียรติยศของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชนั้นมากเกินไป จึงมีพระราชโองการให้ลดยศของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชดังเดิม ทางกรุงเทพฯ ได้ส่งข้าหลวงมายังเมืองนครศรีธรรมราชทำการสักเลกปรากฏว่าสักได้น้อยกว่าแต่ก่อน อุปราชพัฒน์ผู้เป็นบุตรเขยของเจ้าพระยานครฯ (หนู) เดินทางไปที่กรุงเทพฯ ฟ้องร้องกล่าวโทษเจ้าพระยานครฯ (หนู) ว่าแก่ชราว่าราชการฟั่นเฟือนไป ทรงมีตราให้เจ้าพระยานครฯ (หนู) ไปเข้าเฝ้าที่กรุงเทพสองครั้ง เจ้าพระยานครฯ (หนู) ก็บิดพลิ้วเสียไม่ไปตามพระราชโองการ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯจึงทรงปลดเจ้าพระยานครฯ (หนู) ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชใน พ.ศ. 2327 โปรดฯ ให้เจ้าพระยานครฯ (หนู) เข้ามารับราชการที่กรุงเทพฯ และทรงแต่งตั้งอุปราชพัฒน์เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนใหม่ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้ามาผ่านพิภพ เสนามุขลูกขุนปฤกษาให้เจ้านครถอยยศลดเสนาบดีลงเสีย ฝ่ายเจ้านครก็หามีความชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อแผ่นดินไม่ แต่หากว่าทรงพระเมตตาเห็นว่า เปนผู้ใหญ่ ประหนึ่งจะมีความคิดเห็นผิดแลชอบ จะตั้งใจทำราชการแผ่นดินโดยสุจริต จึงให้คงว่าราชการรั้งเมืองครองเมืองสืบมา แล้วทรงพระกรุณาตรัสสั่งจำเภาะให้เจ้านครเกณฑ์เลขเข้ามาร่อนทอง เจ้านครมิได้จัดแจงกะเกณฑ์เลขให้ครบตามเกณฑ์ ให้ข้าหลวงไปสักเลขเมืองนคร ก็ได้เลขสักน้อยต่ำลงกว่าจำนวนสักแต่ก่อน แล้วมีตรารับสั่งให้หาเจ้านครเข้ามาคิดราชการถึงสองครั้ง ก็บิดพลิ้วมิได้เข้ามา เห็นว่า เจ้านครหาจงรักภักดีสวามิภักดิ์ขวนขวายทำราชการสนองพระเดชพระคุณไม่ ไม่เกรงกลัวพระราชอาญา เจ้านครผิด ประการหนึ่ง เจ้านครก็แก่ชราพฤฒิภาพ เกลือกมีการณรงค์สงครามทำมิได้จะเสียราชการไป จะให้เจ้านครคงว่าราชการเมืองนครสืบไปมิได้ ละไว้จะเปนเสี้ยนหนามต่อแผ่นดิน ให้ยกเจ้านครออกเสียจากเจ้านครศรีธรรมราช เอาตัวเข้ามาใช้ราชการณกรุง เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) รับราชราชในกรุงเทพได้ไม่นานก็ถึงแก่อสัญกรรม เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) บุตรเขยได้เข้าไปรับอัฐิทั้งของพระเจ้านครศรีธรรมราชและหม่อมทองเหนี่ยว ซึงถึงแก่กรรมในเวลาไล่เลี่ยกัน ออกไปก่อเจดีย์บรรจุไว้ที่วัดแจ้งวรวิหาร เมืองนครศรีธรรมราช ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปรับปรุงบรรดาศักดิ์เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช และทรงแต่งตั้งบุตรเขยของพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) นามว่า พัฒน์เป็น "เจ้าพระยานครศรีธรรมราช" (ซึ่งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) รับราชการจนถึงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ทั้งนี้โปรดเกล้าฯให้ลดดฐานะเมืองนครศรีธรรมราชจากเมืองประเทศราช มาเป็นหัวเมืองเอกเช่นเดียวกับพิษณุโลก และทรงแยกเมืองสงขลา ปัตตานี ไทรบุรีกลันตัน ตรังกานูมาขึ้นกับกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. ๒๓๓๕
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ดำรงตำแหน่ง พ.ศ.2325–2357 เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) หรือ เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ชาติเดโชชัย มไหสุริยาธิดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ หรือ เจ้าพระยานครพัฒน์ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์คนที่ 2 บุตรเขยในพระเจ้านครศรีธรรมราช กษัตริย์เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ประวัติ เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) เป็นบุตรชายของปลัดไม่ปรากฏนาม (เอกสารบางแห่งเรียก ขุนปลัดเมืองคนก่อน) กับมารดาซึ่งเรียกว่า คุณหญิง (บ้างว่าชื่อหญิง)[1][2] มีพี่สาวคนหนึ่งชื่อ ชี[1] ประวัติตอนต้นนั้นไม่ปรากฏ ปรากฏแต่เพียงว่าเดิมได้บุตรสาวคนใหญ่ของเจ้านครศรีธรรมราชชื่อ คุณชุ่ม (ทางธนบุรีเรียกนวล) เป็นภรรยา[2] เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เจ้านครศรีธรรมราชตั้งตนขึ้นเป็นเจ้า ท่านพัฒน์จึงไปเป็นมหาอุปราช เรียกกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ ก็ต้องเข้ามาอยู่กรุงธนบุรีด้วย ต่อมาพระเจ้านครศรีธรรมราชได้กลับออกไปครองเมืองอีกครั้ง อุปราชพัฒน์ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้กลับออกไปเป็นวังหน้าตามเดิม พระมหาอุปราช (พัฒน์) นั้นคราวหนึ่งไปราชการทัพ คุณชุ่มหรือนวลถึงแก่กรรมลง ธิดาทั้งสองจึงเป็นกำพร้า ครั้นเสร็จราชการสงครามแล้ว อุปราชพัฒน์เข้ามาเฝ้าเมื่อ พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตรัสปลอบว่า "อย่าเสียใจนักเลย จะให้น้องสาวไปแทนที่จะได้เลี้ยงลูก" จึงพระบรมราชโองการให้ท้าวนางส่งตัวเจ้าจอมปรางไปพระราชทานเป็นภรรยาเจ้าพัฒน์ ท้าวนางกราบบังคมทูลว่า เจ้าจอมปรางขาดระดูมา 2 เดือนแล้ว มีพระราชดำรัสว่า "ได้ลั่นวาจายกให้แล้ว จงส่งตัวออกไปเถิด" เจ้าจอมปรางจำใจไปตามพระบรมราชโองการ และเจ้าพัฒน์ก็จำใจรับไว้เป็นศรีเมืองนครศรีธรรมราช พ.ศ. 2327 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าให้พระเจ้านครศรีธรรมราชพ้นจากตำแหน่งและมารับราชการในกรุงเทพ ทรงตั้งเจ้าพัฒน์เป็น เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ชาติเดโชชัย มไหสุริยาธิดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช และคืนเมืองสงขลาให้กลับไปขึ้นนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ. 2354 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าพระยานคร (พัฒน์) ขอกราบถวายบังคมลาออกจากราชการ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยานคร (พัฒน์) เป็น เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี ศรีโศกราชวงศ์ เชฏฐพงศ์ฤๅชัย อนุทัยธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ จางวางเมืองนครศรีธรรมราช แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเจ้าพระยานคร (น้อย) พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งขณะนั้นดำรงยศเป็นพระบริรักษ์ภูเบศร์ ปลัดเมืองนครขึ้นเป็น พระยาศรีธรรมาโศกราช ว่าราชการเมืองแทน เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) รับราชการในตำแหน่งจางวางเมืองนครศรีธรรมราชมาอีก 3 ปีก็ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ พ.ศ. 2357 อัฐิของท่านส่วนหนึ่งบรรจุอยู่ ณ พระปรางค์เบื้องหลังหอพระพุทธสิหิงค์ บริเวณหน้าศาลากลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นหอพระอัฐิและอัฐิสำคัญบรรพชนสกุล ณ นคร[5] บุตรธิดา เจ้าจอมมารดานุ้ยใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เจ้าจอมมารดานุ้ยเล็ก ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนที่ 3 (บุตรบุญธรรม) พระยาภักดีภูธร (ฉิม) รับราชการฝ่ายกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ท่านผู้หญิงหนู ภริยาเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) นายจ่ายง (ขัน) พระราชภักดี (ร้าย) ยกกระบัตรเมืองนครศรีธรรมราช คุณใจ มหาดเล็ก คุณเริก มหาดเล็ก ช. คุณกุน
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เจ้าพระยานครศรีธรรมราช หรือ เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ชาติเดโชชัย มไหสุริยาธิบดี หรือ เจ้าพระยานครน้อย นามเดิม น้อย (27 สิงหาคม พ.ศ. 2319 – 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2382) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระราชโอรสองค์รองสุดท้ายในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี บุตรบุญธรรมของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) เป็นผู้มีบทบาทในการปราบกบฏเมืองไทรบุรี ประวัติ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าชุมนุมนครศรีธรรมราชหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง หนึ่งในธิดาของเจ้าพระยานครฯ (หนู) คือคุณหญิงชุ่มได้สมรสเป็นภรรยาของพระอุปราช (พัฒน์) แห่งเมืองนครฯ หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จมาปราบชุมนุมนครศรีธรรมราชได้ใน พ.ศ. 2312 ธิดาอีกคนของเจ้าพระยานครฯ (หนู) คือคุณหญิงปราง ได้ถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นเจ้าจอมปราง หลังจากที่ท่านผู้หญิงชุ่มภรรยาของพระอุปราช (พัฒน์) ถึงแก่อสัญกรรม ใน พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระดำริจะยกเจ้าจอมปรางให้เป็นภรรยาของพระอุปราช (พัฒน์) แต่ท้าวนางฝ่ายในได้กราบทูลว่าเจ้าจอมปรางขาดระดูได้สองเดือนแล้ว (หมายถึงกำลังจะมีพระครรภ์ให้แด่สมเด็จพระเจ้าตากสิน) พระเจ้าตากสินรับสั่งว่าตรัสแล้วไม่คืนคำต้องให้ออกไป พระอุปราช (พัฒน์) จึงจำต้องรับเจ้าจอมปรางมาไว้ที่เมืองนครฯ ตั้งขึ้นไว้เป็นนางเมืองไม่ได้เป็นภรรยา เจ้าจอมปรางให้กำเนิดบุตรชายที่เมืองนครศรีธรรมราชเมื่อวันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2319[1] ชื่อว่า น้อย ดังปรากฏในบันทึกในจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีว่า "เจ้าจอมมารดาปรางในพระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชทานแก่อุปราชพัฒน์ มีความชอบชนะศึกชายาถึงแก่กรรม รับสั่งว่าอย่าเสียใจนักเลยจะให้เลี้ยงหลาน ท้าวนางกราบทูลว่า เริ่มตั้งครรภ์ได้ ๒ เดือนแล้ว แต่รับสั่งตรัสแล้วไม่คืนคำ พระราชวิจารณ์รัชกาลที่ ๕ ว่าไม่ทรงทราบหรือเป็นราโชบายให้เชื้อสายไปครองเมืองให้กว้างขวางออกไป แนวเดียวกับให้กรมขุนอินทรพิทักษ์ไปครองเขมร เจ้าพัฒน์รับตั้งไว้เป็นนางเมือง มิได้เป็นภรรยาเป็นเรื่องเล่ากระซิบกันอย่างเปิดเผย บุตรติดครรภ์เป็นชายชื่อ น้อย เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช มีอำนาจวาสนากว่าเจ้านครทุกคน" เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เกิดที่เมืองนครศรีธรรมราช เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช[2] ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปราง และเป็นบุตรบุญธรรมของพระอุปราช (พัฒน์) ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ใน พ.ศ. 2329 เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนที่สองต่อจากเจ้าพระยานครฯ (หนู) เมื่อเจ้าพระยานครฯ (น้อย) เจริญวัยขึ้น เจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ผู้เป็นบิดาบุญธรรมได้นำเจ้าพระยานครฯ (น้อย) เข้าเฝ้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระราชทานตำแหน่งเป็นนายสรรพวิไชย มหาดเล็กหุ้มแพร ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นพระบริรักษ์ภูเบศร์ ตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราช โปรดเกล้าฯให้กลับไปรับราชการที่เมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลายพระหัตถเลขาเรียกชื่อเจ้าพระยานคร (น้อย) ตอนนี้ว่า "น้อยคืนเมือง" เมื่อพม่ายกทัพมาตีเมืองถลางและภูเก็ตใน พ.ศ. 2352 พระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ได้ติดตามบิดาบุญธรรมเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ไปตั้งทัพเรือขึ้นที่เมืองตรังเพื่อยกทัพเข้าต่อสู้กับพม่าที่ภูเก็ต ฝ่ายพม่าซึ่งเข้ายึดเมืองภูเก็ตไว้ได้ยินเสียงคลื่นลมเข้าใจว่าทัพเรือไทยยกมาจึงถอยออกจากภูเก็ต พระบริรักษ์ภูเบศร์จึงนำทัพเรือของเมืองนครฯ เข้ายึดเมืองภูเก็ตได้สำเร็จ ใน พ.ศ. 2354 เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) กราบทูลต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า ตนเองมีความชราภาพขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยฯจึงโปรดฯ ให้ตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ขึ้นเป็นพระยานครศรีธรรมราช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเมื่ออายุได้สามสิบห้าปี เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และให้เลื่อนอดีตเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) เป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี จางวางเมืองนครศรีธรรมราช ขณะนั้นสุลต่านอาหมัดทัจอุดดินฮาลิมชาฮ์ (Ahmad Tajuddin Alim Shah) แห่งไทรบุรี หรือ "ตวนกูปะแงหรัน" (Tunku Pangeran) เกิดความขัดแย้งกับตนกูบิศนู (Tunku Bisnu) ผู้เป็นน้องชาย จนฝ่ายสยามต้องไกล่เกลี่ยด้วยการให้ตนกูพิศนุมาเป็นเจ้าเมืองสตูล ตนกูบิศนูเข้านอบน้อมต่อพระยานครฯ (น้อย) ต่อมาเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) ผู้เป็นบิดาบุญธรรมถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. 2357 เดิมรัฐกลันตันเป็นเมืองขึ้นของรัฐตรังกานู สุลต่านมูฮัมหมัด (Muhammad) แห่งกลันตันมีความขัดแย้งกับสุลต่านแห่งตรังกานู จึงร้องขอเข้ามายังพระยาวิเศษภักดี (เถี้ยนจ๋ง) เจ้าเมืองสงขลา พระยาวิเศษภักดีไม่เห็นด้วย สุลต่านมูฮัมหมัดจึงร้องขอต่อเจ้าพระยานครฯ (น้อย) โดยตรงใน พ.ศ. 2358 ขอเป็นประเทศราชต่อกรุงเทพฯ โดยตรงไม่ผ่านตรังกานู จึงมีพระราชโองการให้เมืองกลันตันเป็นประเทศราชแยกต่างหากส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองแก่กรุงเทพฯ โดยตรงและขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช
กบฏไทรบุรีครั้งแรก ใน พ.ศ. 2363 พระเจ้าจักกายแมงแห่งพม่ามีพระราชโองการให้เตรียมเกณฑ์ทัพจากเมืองมะริดและตะนาวศรีเข้ารุกรานไทย ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อทรงทราบข่าวทัพพม่าจึงมีพระราชโองการให้จัดเตรียมทัพไปตั้งรับ ในขณะนั้นพระยานครฯ (น้อย) ล้มป่วยลง จึงมีพระราชโองการให้พระวิชิตณรงค์ไปรักษาการณ์เมืองนครศรีธรรมราช และให้พระพงษ์นรินทร์ซึ่งเป็นหมอหลวงเดินทางมารักษาอาการป่วยของพระยานครฯ และมีตราว่าหากทัพพม่าบุกเข้ามาให้พระยานครฯเป็นแม่ทัพ พระวิชิตณรงค์เป็นปลัดทัพ และพระพงษ์นรินทร์เป็นยกกระบัตรทัพ แต่สุดท้ายแล้วทัพพม่าก็ไม่ได้ยกมารุกรานแต่อย่างใด ฝ่ายสุลต่านตวนกูปะแงหรันแห่งไทรบุรีเมื่อทราบข่าวว่าพม่าจะยกทัพมายังภาคใต้จึงติดต่อสัมพันธไมตรีกับฝ่ายพม่า ตนกูมอม (Tunku Mom) น้องชายของสุลต่านตวนกูปะแงหรันมาแจ้งความแก่พระยานครฯ (น้อย) ว่าตวนกูปะแงหรันลักลอบติดต่อกับพม่า นอกจากนี้พ่อค้าชาวจีนในทะเลอันดามันชื่อว่าลิมหอยพบสาส์นของพม่าถึงสุลต่านตวนกูปะแงหรัน ฝ่ายกรุงเทพฯ จึงมีตราเรียกเข้ามาพบสุลต่านไม่ไป พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงมีพระราชโองการให้พระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ยกทัพไปตีเมืองไทรบุรี พระยานครฯ (น้อย) ยกทัพเรือจากเมืองพัทลุงและสงขลาแสร้งว่าจะโจมตีมะริดและตะนาวศรี โดยพระยานครฯ (น้อย) แจ้งแก่ทางไทรบุรีว่าขอเสบียงสนับสนุน แม่ฝ่ายไทรบุรีไม่ได้ส่งเสบียงมาสนับสนุนตามที่ขอพระยานครฯ (น้อย) จึงยกทัพเรือไปยังเมืองอาโลร์เซอตาร์เมืองหลวงของไทรบุรี ฝ่ายเมืองไทรบุรียังไม่ทราบเจตนารมณ์ของพระยานครฯจึงให้การต้อนรับ เมื่อพระยานครฯเข้าไปอยู่ในเมืองอาโลร์เซอตาร์แล้วจึงเข้าโจมตี[3]และยึดเมืองได้สำเร็จในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2364 สุลต่านตวนกูปะแงหรันสามารถหลบหนีได้ทันไปยังเกาะปีนังหรือเกาะหมาก ซึ่งไทรบุรีได้ยกให้แก่อังกฤษให้เช่าตั้งแต่ พ.ศ. 2329 เมื่อยึดไทรบุรีได้แล้วพระยานครฯ (น้อย) จึงตั้งให้บุตรชายคือพระภักดีบริรักษ์ (แสง) เป็นเจ้าเมืองไทรบุรีแทน และให้บุตรชายอีกคนคือนายนุชมหาดเล็กเป็นปลัดเมืองไทรบุรี ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระภักดีบริรักษ์ (แสง) เป็นพระยาอภัยธิเบศร์เจ้าเมืองไทรบุรี และแต่งตั้งนายนุชมหาดเล็กเป็นพระเสนานุชิตปลัดเมืองไทรบุรี เจรจากับอังกฤษ เมื่อพระยานครฯ (น้อย) ยึดไทรบุรีแล้ว สยามจึงเข้าปกครองเมืองไทรบุรีโดยตรงโดยขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช มีข้าราชการกรมการฯสยามเข้าปกครองไม่มีการแต่งตั้งสุลต่าน อดีตสุลต่านตวนกูปะแงหรันพำนักอยู่ที่เกาะปีนังภายใต้ความคุ้มครองของอังกฤษ ฝ่ายอังกฤษที่เกาะปีนังเพื่อเห็นว่าสยามเข้าปกครองไทรบุรีโดยตรงเกรงว่าสยามจะส่งทัพมาโจมตีเกาะปีนัง มาร์เควสแห่งเฮสติงส์ (Marquess of Hastings) ผู้ปกครองบริติชอินเดีย ส่งนายจอห์น ครอว์เฟิร์ด (John Crawfurd) เป็นทูตมายังสยามเพื่อดูท่าที นายครอว์เฟิร์ตเดินทางถึงเกาะปีนังในเดือนธันวาคม พระยานครฯ (น้อย) จึงส่งสาส์นถึงนายครอว์เฟิร์ตที่เกาะปีนังว่าฝ่ายสยามไม่มีเจตนาที่จะยกทัพบุกเกาะปีนัง เมื่อนายครอว์เฟิร์ตเดินทางถึงกรุงเทพฯ ในเดือนเมษายนพ.ศ. 2365 ได้ยื่นหนังสือของตวนกูปะแงหรันให้แก่พระยาสุริยวงศ์โกษา (ดิศ) กล่าวโทษพระยานครฯ (น้อย) การเจรจาระหว่างสยามและอังกฤษครั้งนั้นยังไม่ประสบผล หลังจากการปราบกบฏไทรบุรีและการเจรจากับอังกฤษ พระยานครฯ (น้อย) จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช[4] ต่อมาใน พ.ศ. 2368 เจ้าพระยานครฯ (น้อย) จัดเตรียมทัพเรือเพื่อเข้าโจมตีรัฐเปรักและเซอลาโงร์ เนื่องจากรัฐเซอลาโงร์ได้เคยขัดขวางมิให้รัฐเปรักถวายบรรณาการให้แก่กรุงเทพฯ นายโรเบิร์ต ฟุลเลอร์ตัน (Robert Fullerton) เจ้าเมืองปีนัง แจ้งแก่เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ว่าถ้าฝ่ายสยามนำทัพเข้ารุกรานเปรักและเซอลาโงร์จะเป็นการละเมิดต่อสนธิสัญญาอังกฤษ-ฮอลันดา (Anglo-Dutch Treaty of 1824) และส่งเรือรบของอังกฤษมาปิดกั้นปากแม่น้ำตรัง[5] ซึงเป็นทางออกของทัพเรือของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) ไว้ การรุกรานรัฐเประก์และเซอลาโงร์จึงยุติ ต่อมาเมื่อเดือนตุลาคมพ.ศ. 2368 ฝ่ายอังกฤษส่งนายเฮนรี เบอร์นี (Henry Burney) หรือ "หันตรีบารนี" เป็นตัวแทนของอังกฤษเข้ามาขอทำสนธิสัญญาทางการค้ากับสยาม นายเบอร์นีเดินทางถึงเมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) นำนายเบอร์นีเข้าไปยังกรุงเทพฯ นำไปสู่การตกลงสนธิสัญญาเบอร์นี (Burney Treaty) ในเดือนมิถุนายนพ.ศ. 2369 โดยมีผู้แทนฝ่ายสยามได้แก่กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) และเจ้าพระยานครฯ (น้อย) ฝ่ายอังกฤษยอมรับอำนาจของสยามเหนือไทรบุรีโดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าสยามงดการรุกรานรัฐเซอลาโงร์และอนุญาตให้มีการค้าขายระหว่างสยามและเกาะปีนัง[6] ใน พ.ศ. 2369 กบฏเจ้าอนุวงศ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯมีตราให้เจ้าพระยานครฯ (น้อย) เกณฑ์พลหัวเมืองปักษ์ใต้ขึ้นไปรบกับลาว แต่เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ถวายรายงานว่าอังกฤษนำเรือมาไว้ที่เกาะปีนัง จึงให้พระเสน่หามนตรี (น้อยกลาง) บุตรชายยกทัพไปส่วนหนึ่งตามท้องตราไปแทน
กบฏไทรบุรีครั้งหลัง ใน พ.ศ. 2375 ตนกูกูเด่น (Tunku Kudin) ผู้เป็นหลานของอดีตสุลต่านตวนกูปะแปหรันปลุกระดมชาวเมืองไทรบุรีให้ลุกฮือขึ้นและเข้ายึดเมืองไทรบุรีได้ พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) เจ้าเมืองไทรบุรีและพระเสนานุชิต (นุช) บุตรทั้งสองของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) หลบหนีไปยังเมืองพัทลุง เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่กรุงเทพมีคำสั่งให้พระสุรินทร์ซึ่งเป็นข้าหลวงในกรมพระราชวังบวรฯลงไปช่วงพระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) ในการเกณฑ์หัวเมืองปัตตานีมารบกับไทรบุรี และเจ้าพระยานครฯได้รีบรุดลงมายังเมืองนครฯ ฝ่ายบรรดาเจ้าเมืองปัตตานีห้าเมืองจากเจ็ดเมืองนำโดยพระยาตานี (ต่วนสุหลง) ทราบว่าต้องนำพลไปรบกับไทรบุรีจึงก่อการกบฏขึ้นบ้าง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ยกทัพลงมาช่วยเจ้าพระยานครฯ เจ้าพระยานครฯยกทัพเข้ายึดเมืองไทรบุรีคืนได้สำเร็จ ตนกูกูเด่นฆ่าตัวตาย เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ยกทัพมาถึงเมืองสงขลาในเดือนมีนาคม พบว่าเจ้าพระยานครฯ (น้อย) เข้ายึดเมืองไทรบุรีได้แล้ว ทั้งเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) เจ้าพระยานครฯ (น้อย) และพระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋ง) ยกทัพเข้าตีเมืองปัตตานี พระยาตานี (ต่วนสุหลง) สู้ไม่ได้จึงหลบหนีไปยังกลันตัน ฝ่ายสยามยกตามไปต่อที่กลันตัน สุลต่านมูฮัมหมัดแห่งกลันตันผู้เป็นญาติของพระยาตานีไม่สู้รบขอเจรจาแต่โดยดีและมอบตัวพระยาตานีให้แก่ฝ่ายสยาม หลังจากปราบกบฎไทรบุรีลงได้แล้ว เจ้าพระยานครฯจึงให้พระยาอภัยธิเบศร์และพระเสนานุชิตบุตรทั้งสองครองเมืองไทรบุรีตามเดิม ต่อมาใน พ.ศ. 2380 กรมสมเด็จพระศรีสุลาลัยสิ้นพระชนม์ เจ้าพระยานครฯ (น้อย) และข้าราชการกรมการของหัวเมืองปักษ์ใต้เดินทางไปยังกรุงเทพฯเพื่อร่วมพระราชพิธี ในหลานสองคนของตวนกูปะแงหรันได้แก่ตนกูมูฮาหมัดซาอัด (Tunku Muhammad Sa'ad) และตนกูมูฮาหมัดอากิบ (Tunku Muhammad Akib) ร่วมมือกับหวันหมาดหลีซึ่งเป็นโจรสลัดในทะเลอันดามัน นำทัพเรือเข้าบุกยึดเมืองไทรบุรีในเดือนกุมพาพันธ์พ.ศ. 2381 นำไปสู่กบฏหวันหมาดหลี พระยาอภัยธิเบศร์และพระเสนานุชิตหลบหนีไปตั้งมั่นที่เมืองพัทลุง ในขณะนั้นเจ้าพระยานครฯ (น้อย) ล้มป่วยอยู่ที่กรุงเทพจำต้องรีบรุดเดินทางลงมายังเมืองนครฯเพื่อปราบกบฏไทรบุรีอีกครั้งพร้อมกับพระวิชิตไกรสร เจ้าพระยานครฯล้มป่วยอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯโปรดให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา (ทัต) ยกทัพมาช่วยเจ้าพระยานครฯ พระยาอภัยธิเบศร์ พระเสนานุชิต และพระวิชิตไกรสรเข้ายึดเมืองไทรบุรีได้อีกในเดือนเดียวกันนั้นเอง ถึงแก่อสัญกรรม เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมที่เมืองนครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2381 สิริอายุ 61 ปี 260 วัน [7] หลังจากที่เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว พระยาศรีพิพัฒน์ฯ (ทัต) จัดการปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้ใหม่ โดยยกตนกูอาหนุ่มซึ่งเป็นญาติของตวนกูปะแงหรันขึ้นเป็นสุลต่านแห่งไทรบุรี และให้ชาวมลายูเข้าปกครองเมืองไทรบุรีอีกครั้ง การปกครองไทรบุรีโดยตรงของเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาสิบแปดปีจึงสิ้นสุดลง ส่วนพระยาอภัยธิเบศร์และพระเสนานุชิตนั้น พระยาศรีพิพัฒน์ฯ (ทัต) ตั้งให้พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) เป็นเจ้าเมืองพังงา และให้พระเสนานุชิต (นุช) เป็นปลัดเมืองพังงา นอกจากนี้พระยาศรีพิพัฒน์ฯ (ทัต) ยังตั้งให้บุตรชายคนที่สองของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) คือ พระเสน่หามนตรี (น้อยกลาง) ขึ้นเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนที่สี่ ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นพระยานครศรีธรรมราช ส่วนบุตรชายคนโตของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) คือพระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) โปรดฯเข้าไปช่วยราชการที่กรุงเทพฯ เนื่องจาก"เป็นคนไม่ชอบกันกับพี่น้อง"
ครอบครัวและบุตรธิดา เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) สมรสกับท่านผู้หญิงอิน ซึ่งเป็นธิดาของพระยาพินาศอัคคี เจ้าพระยานครฯ (น้อย) มีบุตรธิดากับภรรยาต่างๆรวมกันทั้งสิ้น 34 คน อาทิ; ๑. คุณหญิงน้อยใหญ่ ได้เป็น เจ้าจอมมารดาน้อยใหญ่ พระสนมในรัชกาลที่ ๓ มีพระราชโอรถพระองค์เดียวคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมวงศ์ ๒. คุณหญิงน้อยเล็ก ได้เป็น เจ้าจอมน้อยเล็ก พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ๓. คุณชายน้อยใหญ่ หรือ เมือง ได้เป็นเจ้าพระยามหาศิริธรรม (ต้นสกุล โกมารกุล ณ นคร) ๔. คุณชายน้อยกลาง ได้เป็น เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ๕. คุณชายน้อยเอียด ได้เป็น พระยาเสน่หามนตรี (ต้นสกุล จาตุรงคกุล ) ๖. คุณชายแสง ได้เป็น พระยาบริรักษ์ภูธร เจ้าเมืองไทรบุรี แล้วย้ายมาเป็นผู้รักษาเมืองพังงา ๗. คุณชายนุด ได้เป็น พระยาเสนานุชิต ผู้รักษาเมืองตะกั่วป่า ๘. คุณชายกล่อม ได้เป็น พระยาวิชิตสรไกร ปลัดเมืองนครศรีธรรมราช ๙. คุณชายพุ่ม ได้เป็น พระยากาญจนดิษฐ์บดี ผู้รักษาเมืองกาญจน์ดิษฐ์ ๑๐. คุณชายม่วง ได้เป็น พระอุทัยธานี ผู้รักษาเมืองตรัง ๑๑. คุณชายหงส์ ได้เป็น พระวิชิตสรไกร ปลัดเมืองนครศรีธรรมราช ๑๒. คุณชายฉิม ได้เป็น พระเจริญราชภักดี ผู้รักษาเกาะสมุย ๑๓. คุณชายพู่ ได้เป็น พระราชานุรักษ์ ผู้รักษาเมืองท่าทอง ๑๔. คุณชายเสม ได้เป็น พระศรีสุพรรณดิษฐ์ ปลัดเมืองกาญจนดิษฐ์ ๑๕. คุณหญิงกลิ่น ได้เป็น ท้าวศรีสัจจา ท้าวนางฝ่ายใน ๑๖. คุณชายเถื่อน ได้เป็น มหาดเล็ก ๑๗. คุณชายจันทร์ ได้เป็น พระนิกรบริบาล ผู้ช่วยราชการเมืองพังงา ๑๘. คุณชายเดช ได้เป็นมหาดเล็ก ๑๙. คุณหญิงเหม ๒๐. คุณหญิงแย้ม ได้เป็นเจ้าจอมแย้ม พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ๒๑. คุณหญิงพัน ได้เป็นเจ้าจอมพัน พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ๒๒. คุณหญิงจับ ได้เป็นเจ้าจอมจับ พระสนมในรัชกาลที่ ๔ ต่อมาสถาปนาเป็น คุณท้าวฝ่ายใน ๒๓. คุณหญิงพุ่ม ได้เป็นเจ้าจอมพุ่ม พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ๒๔. คุณหญิงปลาง ได้เป็นเจ้าจอมปลาง พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ๒๕. คุณหญิงตลับ ได้เป็นเจ้าจอมตลับ พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ๒๖. คุณหญิงปริก ได้เป็นเจ้าจอมปริก พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ๒๗. คุณหญิงทับทิม ได้เป็นเจ้าจอมทับทิม พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ๒๘. คุณหญิงอิ่ม ได้เป็นเจ้าจอมอิ่ม พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ๒๙. คุณหญิงคล้าย ได้เป็นเจ้าจอมคล้าย พระสนมในพระบาทสมเด็จปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๔ ๓๐. คุณหญิงบัว ได้เป็น เจ้าจอมมารดาบัว พระสนมในรัชกาลที่ ๔ มีพระราชโอรสพระราชธิดาดังนี้ -พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายศรีสิทธิธงไชย ทรงดำรงพระยศเป็น "กรมขุนสิริธัชสังกาศ" ต้นราชสกุล ศรีธวัช ณ อยุธยา -พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงอรไทยเทพกัญญา -พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายวัฒนานุวงศ์ ทรงดำรงพระยศเป็น "กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์" ต้นราชสกุล วัฒนวงศ์ ณ อยุธยา -พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายดำรงฤทธิ์ สิ้นพระชนม์ทรงพระเยาว์ ๓๑. คุณหญิงเอม ๓๒. คุณหญิงเสม ๓๓. คุณชายนุ่น ๓๔. คุณหญิงเอียด ในพ.ศ. 2363 ตวนกูปะแงหรัน สุลต่านแห่งไทรบุรี แข็งเมืองเป็นอิสระจากกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชโองการให้เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ยกทัพไปยึดเมืองไทรบุรี เจ้าพระยานครฯ (น้อย) สามารถยึดเมืองไทรบุรีได้และเมืองนครศรีธรรมราชปกครองไทรบุรีโดยตรงเป็นเวลาสิบเจ็ดปีจนกระทั่งกบฏหวันหมาดหลีในสมัยของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เมืองนครศรีธรรมราชมีอำนาจมากในหัวเมืองปักษ์ใต้ เมื่อเจ้าพระยานครฯ (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมในพ.ศ. 2382 บุตรชายของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) คือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง ณ นคร) เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนต่อมา
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) พ.ศ.2382-2410 ในพ.ศ. 2401 ตำแหน่งเจ้าเมืองสงขลาได้รับการเลื่อนขึ้นมาให้มีศักดินา 10,000 ไร่ ทัดเทียมกับเมืองนครศรีธรรมราช ทำให้นครศรีธรรมราชไม่ใช่หัวเมืองใหญ่แห่งปักษ์ใต้เมืองเดียวอีกต่อไป[17] เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเมืองไทรบุรีซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพระยานครฯ แต่เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม ณ นคร) ไม่ได้ตามลงไปรับเสด็จด้วย เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเรียกตัวเจ้าพระยานครฯ (หนูพร้อม) ไปช่วยราชการที่กรุงเทพฯ[18] นับจากนั้นมาส่วนกลางจึงเข้ามามีอำนาจปกครองนครศรีธรรมราชโดยตรง การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชในพ.ศ. 2439 ทำให้ตำแหน่งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชสิ้นสุดลง พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงมณฑลนครศรีธรรมราชคนแรก มณฑลนครศรีธรรมราชมีอาณาเขตประกอบด้วยจังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสงขลา จากนั้นมีข้าหลวงดำรงตำแหน่งต่อมาได้แก่พระยาชลบุรานุรักษ์ (เจริญ จารุจินดา) พ.ศ. 2449-2452 และเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ พ.ศ. 2453 - 2468 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งมณฑลภาคในพ.ศ. 2458 นครศรีธรรมราชเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลภาคปักษ์ใต้ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อมีการตรา"พระราชบัญญัติการบริหารราชการส่วนภูมิภาค พุทธศักราช 2476" ขึ้น มณฑลเทศาภิบาลสิ้นสุดลงนำไปสู่การจัดตั้งจังหวัดนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด 16 พฤษภาคม 2440 ได้มีการรวมเกาะสมุย มณฑลนครศรีธรรมราช และเกาะพะงัน มณฑลชุมพร รวมขึ้นกับเมืองกาญจนดิษฐ์ มณฑลชุมพร (ปัจจุบัน คือ อำเภอเกาะสมุย และอำเภอดอนสัก (เฉพาะตำบลดอนสัก (บางส่วน) จังหวัดสุราษฎร์ธานี) 29 กรกฎาคม 2449 ได้มีการโอนอำเภอลำพูน อำเภอพนม และอำเภอพะแสง จากเมืองนครศรีธรรมราช มณฑลนครศรีธรรมราช มาขึ้นกับเมืองไชยา มณฑลชุมพร[20] (ปัจจุบัน คือ อำเภอเคียนซา, อำเภอชัยบุรี, อำเภอบ้านนาเดิม, อำเภอบ้านนาสาร, อำเภอพนม, อำเภอพระแสง, อำเภอเวียงสระ, อำเภอบ้านตาขุน (เฉพาะตำบลเขาวง) และอำเภอพุนพิน (เฉพาะตำบลกรูด และตำบลตะปาน) จังหวัดสุราษฎร์ธานี และอำเภอเขาพนม (เฉพาะตำบลเขาดิน, ตำบลพรุเตียว (บางส่วน) และตำบลหน้าเขา (บางส่วน)) และอำเภอปลายพระยา (เฉพาะตำบลปลายพระยา, ตำบลเขาเขน และตำบลคีรีวง) จังหวัดกระบี่) 17 สิงหาคม 2450 ได้มีการโอนตำบลทะเลน้อย ตำบลตะเครียะ ตำบลหัวป่า ตำบลบ้านพร้าว และตำบลสำโรง จากอำเภอพังไกร เมืองนครศรีธรรมราช มาขึ้นกับอำเภอทะเลน้อย เมืองพัทลุง[21] (ปัจจุบัน คือ อำเภอควนขนุน (เฉพาะตำบลทะเลน้อย และตำบลพนางตุง (บางส่วน)) จังหวัดพัทลุง และอำเภอระโนด (เฉพาะตำบลตะเครียะ และตำบลบ้านขาว) จังหวัดสงขลา) 27 พฤศจิกายน 2464 ได้มีการโอนตำบลคลองแดน อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับกิ่งอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา (ปัจจุบัน คือ อำเภอระโนด (เฉพาะตำบลคลองแดน และตำบลแดนสงวน) จังหวัดสงขลา) 14 เมษายน 2472 ได้มีการโอนตำบลไชยคราม และตำบลดอนสัก อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี[22] (ปัจจุบัน คือ อำเภอดอนสัก (เฉพาะตำบลไชยคราม ตำบลปากแพรก และตำบลดอนสัก) จังหวัดสุราษฎร์ธานี) 1 เมษายน 2480 ได้มีการโอนตำบลลำทับ กิ่งอำเภอท่ายาง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่[23] (ปัจจุบัน คือ อำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่) 20 พฤศจิกายน 2515 ได้มีการโอนหมู่ที่ 7 (บ้านนางกำ) ตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับตำบลดอนสัก อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี[24] (ปัจจุบัน คือ อำเภอดอนสัก (เฉพาะตำบลดอนสัก (บางส่วน) จังหวัดสุราษฎร์ธานี)
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี นามเดิม พร้อม ณ นคร อดีตจางวางเมืองนครศรีธรรมราช พ.ศ.2410-2450 ประวัติ เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี มีนามเดิมว่าหนู แต่มักรู้จักในชื่อพร้อม บางแห่งจึงระบุนามว่าหนูพร้อม เกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2385 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2386) เป็นบุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง ณ นคร) กับท่านผู้หญิงหญิง (ธิดาหม่อมเจ้าจันทร์ พระโอรสในสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศ) มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 6 คน ได้แก่ 1.เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พร้อม ณ นคร) จางวางเมืองนครศรีธรรมราช 2.พระศิริธรรมบริรักษ์ (ถัด ณ นคร) ปลัดเมืองนครศรีธรรมราช 3.พระยาบริรักษ์ภูเบศร์ (เอี่ยม ณ นคร) 4.เจ้าจอมอิ่ม ในรัชกาลที่ 4 5.กลาง (หญิง) 6.เจ้าจอมสว่าง ในรัชกาลที่ 5
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระเสน่หามนตรี ถึงปี พ.ศ. 2410 เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง ณ นคร) ผู้เป็นบิดาของท่านถึงแก่อสัญญกรรม มีผู้ซึ่งเป็นเชื้อวงศ์ของเจ้าพระยานคร (น้อย) คิดปรารถนาจะเป็นพระยานครศรีธรรมราชหลายคน แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริจะโปรดฯ ให้ตั้งพระเสน่หามนตรีเป็นพระยานครศรีธรรมราช แต่เนื่องจากเวลานั้นพระเสน่หามนตรียังมิได้ผ่านการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จึงยังมิทรงตั้งพระยานครศรีธรรมราชในทันที ในปีนั้นพระเสน่หามนตรีได้อุปสมบทและจำพรรษา ณ วัดพิชัยญาติการาม คืนวันหนึ่งพระเสน่หามนตรีไหว้พระอยู่ในกุฏิ มีผู้ร้ายเอาปืนยิงเข้าไปทางช่องฝา บังเอิญปืนลั่นออกเมื่อขณะพระเสน่หามนตรีกราบพระ กระสุนปืนข้ามไปจึงไม่ถูก การไต่สวนต่อมาก็ไม่ได้ตัวผู้ร้ายพอพระเสน่หามนตรีลาสิกขาแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระเสน่หามนตรีเป็นพระยานครศรีธรรมราช ชาติเดโชไชย มไหสวริยาธิบดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ พลับพลาเมืองนครศรีธรรมราช ได้พระราชทานสัญญาบัตรให้ท่านเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีศรีธรรมราช มาตยพงษ์สถาพร วรเดโชไชย อภัยพิริยบรมกรมพาหุ จางวางเมืองนครศรีธรรมราช ถือศักดินา 10000 ไร่
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรีป่วยเป็นโรคชรามานาน ถึงแก่อสัญกรรมวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2450 เวลา 20.30 น. สิริอายุได้ 64 ปี 246 วัน เมืองนครศรีธรรมราชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นถึงสมัยจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล(๒๓๒๕-๒๔๓๙) เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) สมรส หม่อมทองเหนียว เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) สมรส คุณหนูเล็กหรือปราง ธิดาเจ้าพระยานครฯ (หนู)กับหม่อมทองเหนียว (บุตรเขยเจ้าพระยานครฯ (หนู) (ภายหลังเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี) เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) สมรส ท่านผู้หญิงอิน ธิดาพระยาพินาศอัคคี ราชินิกล ณ บางช้าง (ภายหลังเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมโศกราช) เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) สมรส ท่านผู้หญิง ม.ร.ว. หญิง ธิดาของหม่อมเจ้าจันทร์ (โอรสในเจ้ากรมหมื่น นรินทร์รณเรศ) เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี(๒๔๑๐-๒๔๕๐) ที่มา -นครศรีธรรมราชในอดีต จังหวัดนครศรีธรรมราชจัดพิมพ์ เนื่องในโอกาสนิทรรศการงานสมโภชกรุงรัตนโกสิทร์ 200 ปี ณ ศาลาประชาคม อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ 6-10 เมษายน 2525 -ปกิณกศิลปวัฒนธรรม เล่มที่ 22 นครศรีธรรมราช https://th.wikipedia.org