04 กันยายน, 2568

ตำนานทวดกลาย

ตำนานทวดกลายตามคำบอกเล่าของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชและของผู้เฒ่าผู้แก่หลายท่าน พร้อมทั้งได้สอบค้นเค้าเงื่อนจากเอกสารประวัติศาสตร์ประกอบด้วย จึงเห็นจะพอฟังกันได้ว่า จะไม่ผิดจากความเป็นจริงมากนัก สมัยพระเพทราชาและหลวงสรศักดิ์คบคิดกันจับพระบรมวงศานุวงศ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสำเร็จโทษชิงราชบัลลังก์ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ในกรุงศรีอยุธยานั้น พระยายมราช (สังข์) เจ้าเมืองนครราชสีมา และพระยารามเดโช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ข้าหลวงเดิมของสมเด็จพระนารายณ์แข็งเมืองไม่ยอมอ่อนน้อม ทางกรุงจึงส่งกองทัพออกปราบ ขั้นแรกก็ปราบเมืองนครราชสีมาก่อน พระยายมราช สู้ทัพกรุงไม่ได้ จึงพาลูกเมียและไพร่พลจำนวนหนึ่งหนีเล็ดลอดมาสมทบกับพระยารามเดโช และได้รับมอบหมายจากเจ้าเมืองนครฯ ให้คุมไพร่พลตั้งเป็นเมืองหน้าด่านอยู่ที่ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ปัจจุบัน ต่อมาทางกรุงยกทัพบกทัพเรือติดตามลงมา กองทัพเรือกรุงนั้นมุ่งเข้าประชิดเมืองนครศรีธรรมราชทางแม่น้ำปากพญาทีเดียว ส่วนทัพบกแวะเกณฑ์คนเมืองชุมพร เมืองไชยาสมทบมาด้วยเป็นจำนวนมาก และเมื่อมาถึงท่าข้ามก็เข้าล้อมตะลุมบอนกองทัพด่านเมืองนครฯ ของพระยายมราช โดยพระยายมราชก็ตายในที่รบครั้งนั้นเอง จากนั้นกองทัพบกกรุงก็เร่งยกรุดมาสมทบกับกอบทัพเรือเข้าล้อมเมืองนครศรีธรรมราช . การศึกครั้งนั้น แม้ไพร่พลเมืองนครจะน้อยตัวกว่ากองทัพกรุงอย่างเทียบกันไม่ได้ พระยารามเดโชเจ้าเมืองก็ควบคุมไพร่พลสู้รบต้นทานอยู่ได้ถึงสามปีจึงอ่อนแอลง ทั้งนี้เพราะขาดเสบียงอาหาร เนื่องจากทัพกรุงปิดล้อมโดยรอบ ชาวเมืองไม่มีโอกาสออกไปทำนาซึ่งทำเลอยู่นอกเมืองทั้งหมด พระยารามเดโชสงสารชาวเมืองที่มาพลอยแร้นแค้นอดอยากโดยความผิดตนแต่ผู้เดียว จึงตัดสินใจตีหักแหกวงล้อมหนี แต่ก่อนที่จะตีหักกองทัพกรุงออกไป พระยารามเดโชได้ประกาศแก่ทัพกรุงอย่างทระนงว่า เมืองนครฯ ไม่ได้แพ้ฝีมือ แต่แพ้เสบียงอาหารจำเป็นต้องตีหักวงล้อมกรุง ขอให้กองทัพกรุงระแวดระวังจงดี พระยารามเดโช นั้น เดิมชื่อหวาน เป็นลูกเจ้าเมืองไทรบุรี ถือธรรมเนียมอิสลามเคร่งครัด เมื่อจะทิ้งเมืองหนีก็จำเป็นจะต้องฆ่าลูกเมียญาติวงศ์ให้หมดสิ้นตามจารีตที่เคยถือปฏิบัติกันมา เพื่อมิให้ตกเป็นเชลยข้าศึก ดังนั้น พอถึงฤกษ์งามยามดีคืนวันหนึ่ง พระยารามเดโชกับทหารดาบสองมือกลุ่มหนึ่งประมาณ ๕๐ คนก็ฆ่าลูกเมียญาติวงศ์หมดสิ้น แล้วตีหักกองทัพกรุงออกทางตะวันออก มุ่งเข้าหากองทัพเรือและยึดเรือหนีออกทะเลไปได้ในที่สุด ในเวลาเดียวกัน ญาติห่างๆ ของพระยารามเดโชสามคนพี่น้อง ชื่อนายนาก นายกลาย และน้องหญิงอีกคนหนึ่ง ตำนานเรียก “เจ้านายหน้านอก” ซึ่งตามว่ารอดจากการถูกพระยารามเดโชฆ่าด้วยการขอร้องวิงวอนประกอบกับสามพี่น้องมีฝีมือเป็นที่เชื่อถือของพระยารามเดโชว่าจะเอาตัวรอดได้ สามพี่น้องได้รวบรวมญาติวงศ์และสมัครพรรคพวกที่มีฝีมือด้วยกันตีแหวกวงล้อมกองทัพกรุงออกทางตะวันตกหลุดรอดไปได้พร้อมๆ กับพระยารามเดโช
ต่อมา เมื่อเหตุการณ์ทางเมืองนครสงบลง ทางกรุงแต่งตั้งผู้รั้งเมืองใหม่และทัพกรุงยกกลับไปแล้ว สามพี่น้องก็ได้ตั้งรกรากลงที่บ้านจันพอ เวลานั้น บ้านจันพอยังเป็นที่ดอน ไม่มีคลองน้ำไหลผ่าน ข้าทาสพวกบ้านจันพอต้องต้นวัวควายช้างม้ามากินอาบในคลองนอกท่า ที่ทำนบไทรบ้านเกาะ และขนน้ำจากที่นี่ไปกินไปใช้ ต่อมาเกิดเป็นปากเสียงทะเลาะวิวาทกันขึ้นกับพวกเจ้าของถิ่น ซึ่งมีเศรษฐีใหญ่คนหนึ่งไม่ปรากฏชื่อเป็นหัวหน้า ฝ่ายพวกจันพอคิดเห็นว่าจะเกิดเรื่องลุกลามเป็นภัยขึ้นแก่พวกตน นายนากหัวหน้าจึงนำผู้คนขึ้นไปขุดคลองแยกจากคลองไอ้เขียวเดิมที่บ้านโปน ผ่านลงมาทางบ้านนาสร้าง หญ้าปล้อง ยางโพรง จันพอ ตีนคลอง สากเหล็ก ไปออกคลองโดน คลองนี้ เมื่อขุดใหม่ๆ เรียกกันว่าคลองทวด แต่ตกมาปัจจุบันชาวบ้านเรียกคลองไอ้เขียวตามชื่อเดิมกันส่วนมาก คลองขุดนี้ น้ำไหลไปออกปากพะยิงอยู่จนเดี๋ยวนี้ส่วนคลองเดิมนั้น ไหลจากบ้านโปนไปรวมกับคลองนอกท่าที่นบขี้อ้น เหนือวัดบ้านนาหน่อยหนึ่ง เวลานี้ตื้นเขินไม่มีน้ำไหลเสียแล้ว แต่ก็ยังมีรอยทางน้ำปรากฏให้เห็นอยู่ . ข้าฝ่ายพวกนบไทรนั้น ตั้งแต่เกิดเรื่องปะทะกับพวกบ้านจันพอเรื่องน้ำแล้ว ก็ผูกใจอาฆาตอยู่เสมอ ภายหลังเมื่อสืบทราบว่าพวกบ้านจันพอเป็นพวกพระยารามเดโชหนีราชภัยมาจากในเมืองก็ฟ้องลับๆ เข้าไป ทางบ้านเมืองพอทราบเรื่องก็ส่งกำลังออกมาปราบปราบพวกบ้านจันพอเกิดสู้รบกันขึ้น ในที่สุดพวกบ้านจันพอก็แตกพ่าย นายนากถึงตาย นายกลายและเจ้านายหน้านอกหนีเตลิดไปทางทิศเหนือ แต่กำลังของบ้านเมืองก็ตามไปทันที่ริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งตอนนั้นจะเรียกชื่อว่าอย่างไรไม่ปรากฏ ใกล้หมู่บ้านเจ้าเหล็กหรือโรงเหล็ก นายกลายคุมบริวารเข้าต้านทานจนตัวตายลง ณ ที่นั่น เหลือแต่เจ้านายหน้านอกน้องหญิงถูกคุมตัวเข้าไปในเมือง
ภายหลังเมื่อกำลังของบ้านเมืองยกกลับไปแล้ว พวกลูกหลานข้าทาสที่หลบหนีเอาชีวิตรอดไปได้ ก็หวนกลับมาจัดการฝังศพนายนากไว้ที่ต้นตะเคียนในป่าช้าวัดจันพอ คือต้นตะเคียนทวดที่นกดอกบัวไม่กล้าทำรังออกไข่ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นเอง ส่วนศพนายกลายก็ฝังไว้ที่ฝั่งแม่น้ำใกล้บ้านเจ้าเหล็ก วิญญาณของคนสองคนนี้เป็นที่เคารพนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาจนถึงทุกวันนี้ นายนากถูกยกย่องเป็น “ทวดจันพอ” หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เท(ว)ดาหน้าศพ” ส่วนนายกลายก็คือที่เรียก “ทวดกลาย” (ปัจจุบันเรียก “พ่อท่านกลาย”) ทรัพย์สมบัติของทวดจันพอและทวดกลาย เช่นแก้วแหวนเงินทองและเสื้อผ้าเครื่องใช้ กันว่าบริวารข้าทาสที่เหลือตายได้พาหลบหนีไปได้ขณะสู้รบกันถึงขั้นตะลุมบอน และในที่สุดทรัพย์สมบัติพวกนี้ก็ถูกนำไปเก็บซุกซ่อนไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งทางต้นแม่น้ำกลาย เนื่องจากต้นแม่น้ำเป็นที่ซุกซ่อนสมบัติของทวดกลาย และทวดกลายก็ตายลงที่ฝั่งแม่น้ำตอนหนึ่งศพถูกฝังอยู่ที่นั่น แม่น้ำ หรือที่ชาวนครเรียกติดปากว่าคลองกลายก็เลยได้ชื่อว่าแม่น้ำกลายหรือคลองกลายด้วยประการฉะนี้ พวกพระยารามเดโชซึ่งแตกซ่านไปจากบ้านจันพอครั้งนี้ ภายหลังได้สมทบกันตั้งบ้านเรือนเป็นหลักฐานอยู่ที่บ้าน “ปากลง” สืบเชื้อสายมาจนบัดนี้ ฝ่ายเจ้านายนอกนั้น เมื่อถูกคุมตัวส่งเข้าไปในเมือง เจ้าเมืองก็เลี้ยงดูเป็นภรรยาและได้รับความกรุณาให้มีข้า ทาส รักษาบ้านเมืองเรือกสวนที่จันพอ และมีครรภ์จวนคลอด ก็ขอไปคลอดที่บ้านจันพออันถือเป็นบ้านเดิมของตน แต่บังเอิญให้ถึงกาลสิ้นอายุขัย จึงตายเสียขณะคลอดทั้งแม่และลูก พวกญาติได้นำศพฝังไว้ที่ต้นประดู่ที่เรียกกันว่า “ต้นประดู่แก้บน” นั้นเอง ประดู่ตนนี้ ปัจจุบันยังเป็นที่นับถือกันอยู่มาก ชาวบ้านยังเลื่อมใสบนบานกันอยู่เสมอ ซึ่งส่วนมากเป็นพวกหญิง บนให้คลอดลูกง่าย คลอดแล้วก็ไปแก้บนที่ต้นประดู่นั้น ต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จันพอมีฐานะเป็นแขวง สวนหมากสวนพลูซึ่งตำนานเมืองนครเรียก “ที่พกหมาก” ของเจ้าพระยานครศรีธรรมราชตั้งอยู่ที่นี่ ที่พกหมากจันพออยู่ในความดูแลของเจ้ากรมสรรพากรสมัยนั้น บรรดาศักดิ์ หลวงวิจารณ์ภักดีศรีสวภาค -- ข้อมูลจากสารนครศรีธรรมราช ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๕ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๔