24 กันยายน, 2568

เมืองนครศรีธรรมราชสมัยก่อนประวัติศาสตร์

จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และสังคมสืบเนื่องมายาวนานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์อีกทั้งในระดับภูมิภาค นครศรีธรรมราชเป็นเมืองสำคัญในบริบททางประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประวัติศาสตร์โลกในช่วงเวลาหนึ่ง ปัจจุบัน จังหวัดนครศรีธรรมราชถือเป็นจังหวัดใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจการค้า สังคมวัฒนธรรม และการคมนาคมที่สำคัญยิ่ง หลักฐานการตั้งถิ่นฐานและร่องรอยการอยู่อาศัยของบรรพชนในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมีมาเป็นเวลายาวนาน บริเวณที่พบการอยู่อาศัยของมนุษย์มักเป็นบริเวณถ้ำและเพิงผา ซึ่งเชื่อมต่อกับที่ราบและใกล้แหล่งน้ำ จากหลักฐานทางโบราณคดีเชื่อได้ว่า ดินแดนนครศรีธรรมราชมีผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคหินกลางหรือราว ๑,๐๐๐ - ๘,๓๕๐ ปีมาแล้ว หลักฐานที่พบได้แก่เครื่องมือหินลักษณะเป็นขวานหินกะเทาะ (บ้างเชื่อว่าเป็นระนาดหิน) ที่ถ้ำตาหมื่นยม แถบตำบลข้างกลาง อำเภออวาง ลักษณะคล้ายขวานหินแบบสั้น แบบเดียวกับเครื่องมือหินที่พบที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนที่ถ้ำเขาหลัก (หมายเลข๑)ตำบลสิชล อำเภอสิชล พบเครืองมือหินกะเทาะแบบสองหน้า ลักษณะเป็นขวานหินแบบสั้น และพบภาชนะดินเผาประเภทหม้อกลม ๑ ชิ้น หม้อกันแบน ๓ ชิ้น อย่างไรก็ดี จากการกำหนดอายุเปรียบเทียบกับแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์แหล่งอื่นในภาคใต้เช่น ถ้ำเบื้องแบบอำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถ้ำขี้ชัน และถ้ำปากกอม อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดวัดสุราษฏร์ธานี เครื่องมือหินลักษณะเดียวกับที่พบในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งกำหนดอายุอยู่ในราว๔,๒๐๐ ปีโดยการตีความแบบนี้จะพบว่าโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดนครศรีธรรมราชเริ่มพบมากในสมัยหินใหม่ "
ยุคหินใหม่ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชกำหนดอายุในช่วง ๔,๐๐๐ - ๖,๐๐๐ ปีมาแล้วพบแหล่งโบราณคดีในจังหวัดนครศรีธรรมราชเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากบ่งชี้ว่า มีการขยายอยู่อาศัยขอนมนุษย์ในช่วงหล่านั้นมากขึ้น ส่วนใหญ่ผู้คนอาศัยตามเพิงผาหรือถ้ำ ทั้งโบราณวัตถุ ที่จะเห็นที่พบก็มีหลากหลายชนิดมากขึ้นด้วย เช่น ขวานหินชัดทั้งแบบมีบ่าและไม่มีบ่า ภาชนะดินเผาประเภทหม้อสามชา ภาพระดินเชือกทาบ ลายกคประทับ รวมทั้งลูกปัดทำมาจากเปลือกหอยและกระดูกเป็นต้น แหล่งโบราณคดีที่สำคัญสมัยหินใหม่ได้แก่ ถ้ำข้างในเขาสำโรง อำเภอทุ่งสง ถ้ำเขาโพรงเสือ และเขาปูน อำเภอพรหมคีรี ถ้ำเทวดางวงช้าง บริเวณหุบเขาลานสกาใน ห้วยครกเบือ และเขาต่อ อำเภอลานสกา ถ้ำเขาหินตก อำเภอร่อนพิบูลย์ ถ้ำเขาแดง อำเภอนบพิตำ คลองกลาย อำเภอท่าศาลา เชิงเขาคา อำเภอสิชล คลองท่าเรือ และวัดหัวมีนา (ร้าง) อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เหล่านี้เป็นต้น "
ในยุคโลหะซึ่งมีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑ - ๓ ดินแดนแถบนครศรีธรรมราชเริ่มได้รับ อิทธิพลจากภายนอก สังคมบ้านเมืองมีพัฒนาการที่ชับช้อนขึ้นโดยพิจารณาได้จากแบบแผนการตั้งชุมชนโบราณวัตถุประเกทเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ หลักฐานทางโบราณคดีสำคัญที่พบคือ กลองมโหระทึกสำริด (ในวัฒนธรรมดองชอน) ๔ ใบ ที่บ้านเกียกกาย อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช บ้านนากะซะ และบริเวณลองคุดด้วน อำเภอฉวาง สุดท้ายที่คลองท่าทน อำเภอสิชล ทั้งนี้ แหล่งโบราณคดีกลุ่มคลองท่าเรือ
อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งประกอบด้วย แหล่งโบราณคดีบ้านพังสิงห์และบ้านเกียกกาย แสดงถึง การดื่มตั้งถิ่นฐานยุคลิ้มต้นประวัติศาสตว์ในเขตจังหวัดนศรศรีธรรมราชอย่างชัดเจน” ในสมัยแห่งกรสร้างบ้านเปกเมืองหรือการก่อทั้งรัฐดูดเริ่มแทรากาว ๓,๕๐๐ ทั้งนี้มีข้อเสนอว่า ยุคประวัติศาสตร์ของนครศรีธรรมราชเริ่มตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ เนื่องจากพิจารณาจารึกอักษรโบราณที่พบเป็นเกณฑ์เทียบวัด โดยจารึกรุ่นแรกเป็นจารึกอักษรบัลลวะซึ่งใช้กันแพร่หลายแถบอินเดียภาคใต้ มีทั้งหมด ๓ หลักคือ ๑. จารึกหุบเขาช่องคอย พบที่ตำบลดวนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์จารึกเป็นอักษรปัลลวะะ ภาษาสันสกฤต เป็นจารึกในศาสนาพรารมณ์ ลัทธิ์ไศวนิกาย จารักวัดมเหยงคณ์ พบที่วันมเหยงคณ์ อำเภอมืเองนดรศรีธรรมราช จารึกเป็นภาษาปัลลวะ ภาษาสันสกฤต กล่าวถึงรายละเอียดของการปฏิบัติศาสนกิจ และ ๓.จารึกวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร พบที่ พระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมืองนครศรีธรธรรมราช จารึกเป็นอักษรปัลลวะ ภาษามอญโบราณ์ จารึกทั้ง ๓ หลักนี้ บ่งชี้ถึงสภาพสังคมที่มีพลวัต และการติดต่อสัมพันธ์กับดินแดนหรือ อารยธรรมภายนอก
หากพิจารณาจากหลักฐานจะพบว่า การสร้างบ้านแปงเมืองใน ยุคแรกของนครศรีธรรมราชได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดีย ค่อนข้างสูง ขาวอินเดียทั้งพ่อค้าและนักบวช น่าจะออกเดินทางมาดินแดนแถบนี้ นำเอาวิทยาการ คติความเชื่อ รวมทั้งศาสนามาเผยแผ่ กระทั่งคลี่คลายผสมผสานกับความเชื่อ รสนิยม และศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นในเวลาต่อมาบรรพชนผู้อยู่อาศัยในนครศรีธรรมราที่เลือกชัยกชัยรูมีในการสร้างซุมชนได้ดีย่ง คือ สันทรายชายฝั่งทะเลอ่าวไทยซึ่งมีความยาวกว่า ๑๐๐ กิโลเมตรซึ่งนักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ ๖,๐๐๐ ปีก่อน" มีศูนย์กลางอยู่ที่ "หาดทรายแก้ว" ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองดังกล่าว พบหลักฐานโบราณวัตถุและโบราณสถานภายใต้อิทธิพลอารยธรรมอินเดียจำนวนไม่น้อย จากอำเภอสิชล และอำเภอท่าศาลา เช่น ศาสนสถานอิฐผสมศิลา บ่อน้ำโบราณ ศิวลีงค์ โยนิโทรณะเทวรูปในศาสนาพราหมณ์ พระพุทธรูปแบบ อมราวดี และแบบคุปตะ เป็นต้น หลักฐานโบราณวัตถุที่สำคัญ เป็นกลุ่มเทวรูปพระนารายณ์รุ่นแรกในประเทศไทย มีเทวรูปพระนารายณ์ที่สำคัญจำนวน ๒ องค์ พบในอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช (ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช)
เทวรูปกลุ่มนี้มีอายุในช่วงพุทธศตวรรษ ที่๙ - ๑๐ ปรากฏอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบมถุราและอมราวดีตอนปลาย หลักฐานดังกล่าวแสดงถึงความสัมพันธ์ทางการค้าและศาสนาระหว่างเมืองนครศรศรีธรรมราชกับรัฐภายนอกโดยอพาะอินเพื่อในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๒ เริ่มพบพระพุทธศาสนาเข้ามา มีบทบาทต่อผู้คนในดินแดนแถบนี้ ดังพบโบราณวัตถุเศียรพระพุทธรูปศิลาขนาดเล็กที่อำเภอสิชล อย่างไรก็ดี ศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามาก่อนนั้น ยังคงเป็นความเชื่อที่ส่งอิทธิพลต่อผู้คนจำนวนมากดังจะเห็นได้ว่า ชุมชนโบราณสิชลซึ่งตั้งอยู่บนแนวสันทรายที่ทอดตัวตามแนวเหนือ - ใต้นั้น คันพบโบราณสถานและโบราณวัตถุเนื่องในศาสนาพราหมณ์มากมาย โดยนัยนี้ ตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๐- ๑๒ สังคมวัฒนธรรมของนครศรีธรรมราชเริ่มมีการผสมผสานของคติความเชื่อระหว่างพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์อยู่ร่วมกัน
ด้วยสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมของนครศรีธรรมราชที่มีความอุดมสมบูรณ์มีทรัพยากรทางธรรมชาติ รองรับการขยายตัวของชุมชน รวมทั้งการเข้ามาพำนักอาศัยของผู้คนจากภายนอก การเป็นที่ราบที่ค่อนข้างกว้างขวางโดยเปรียบเทีย(กับพื้นที่อื่นของคาบสมุทรภาคใต้ส่งผลดีต่อการทำการเกษตร นอกจากนี้ พื้นที่ที่ติดกับทะเลยังเอื้ออำนวยอย่างมากต่อการเป็นเมืองท่าการค้า นักวิชาการหลายท่านจึงมองว่า คาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทยในส่วนเมืองนครศรีธรรมราชเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญอย่างยิ่งระหว่างตะวันตกและตะวันออก สามารถเชื่อมโยง ๒ มหาสมุทรใหญ่คือ มหาสมุทรอินเดียผ่านทะเลอันดามัน และมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านทะเลอ่าวไทย การเป็นเมืองท่าย่อมทำให้สังคมนครศรีธรรมราชเกิดการปะทะสังสรรค์ทางการค้า วิทยาการ วัฒนธรรม และศาสนา ส่งผลให้เมืองเกิดพัฒนาการกลายเป็นรัฐขนาดใหญ่เหนือหัวเมืองรายรอบริเวณนั้น ที่มา : หนังสือปกิณกศิลปวัฒนธรรมเล่มที่ 22 จังหวัดนครศรีธรรมราช.กรมศิลปากร พิมเผยแพร่พุทธสักราช ๒๕๕๙