30 กันยายน, 2568
รวมราชสกุลพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี ผู้รวมแผ่นดินให้กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง จะทรงครองราชย์เพียง 15 ปี แต่พระองค์ก็ทรงทำคุณประโยชน์มากมายมี พระราชโอรส 21 พระองค์ พระราชธิดา 9 พระองค์ รวมทั้งสิ้น 30 พระองค์ มีรายพระนาม ดังนี้
1. กรมพระราชวังหน้า สมเด็จพระมหาอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ (จุ้ย) ประสูติในสมเด็จพระอัครมเหสี กรมหลวงบาทบริจา พระราชโอรสที่ ๑ ในสมเด็จพระราชินี ดำรงตำแหน่งรัชทายาท (มีปรากฎในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๙ หน้า ๑๓๔) ถูกสำเร็จโทษเมื่อวันเสาร์เดือน ๖ แรม ๘ ค่ำ พ.ศ.๒๓๒๕ เป็นต้นราชสกุล “สินศุข” และ “อินทรโยธิน”
2. สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย พระราชโอรสที่ ๒ ประสูติในสมเด็จพระอัครมเหสี กรมหลวงบาทบริจาริกา ถูกสำเร็จโทษในรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2325
3.พระองค์เจ้าชายอัมพวัน  ประสูติในกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ (เจ้าหญิงฉิม หรือเรียกในราชสำนักนครศรีธรรมราชว่า ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงใหญ่ ราชธิดาของพระเจ้านครศรีธรรมราช) ในรัชกาลที่ ๒ เป็นพระพงษ์อำมรินทร์ (หรือเรียกอีกพระนามหนึ่งว่า พระพงษ์นรินทร์) เป็นต้นราชสกุล “พงษ์สิน”
4.สมเด็จเจ้าฟ้าชายนเรนทรราชกุมาร ประสูติในกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ ถึงรัชกาลที่ ๒ เป็นพระนเรนทรราชา ดำรงพระชนม์มาถึงรัชกาลที่ ๓ เป็นต้นราชสกุล “รุ่งไพโรจน์”
5.สมเด็จเจ้าฟ้าชายทัศไภย ประสูติในกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์  (เจ้าหญิงฉิม) ถึงราชกาลที่ ๒ เป็นพระอินทอำไพ (หรือเรียกอีกนามหนึ่งว่า พระอินทรอภัย) ถูกสำเร็จโทษในรัชกาลที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2358 ฐานเป็นชู้กับเจ้าจอมในวัง มีพระธิดาคือ เจ้าจอมมารดาน้อยในรัชกาลที่ 4 เป็นต้นราชสกุล นพวงศ์ และ สุประดิษฐ์
6.   สมเด็จเจ้าฟ้าสุพันธูวงศ์ (เจ้าฟ้าเหม็น) (บ้างก็ว่า พันธุวงศ์ บ้างก็ว่า พันธวงศ์) (HRH Prince Subandhuwong) พระองค์ท่านเป็นเจ้าของวังท่าพระ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระในปัจจุบัน...ในเจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ (พระราชธิดาในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ) ถึงรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์ เปลี่ยนพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ แล้วได้ทรงกรมเป็นกรมขุนกษัตรานุชิต ทรงสถาปนาวัดอภัยธาราม สามเสน เมื่อจะเริ่มรัชกาลที่ ๒ วันพุธ เดือน ๑๐ ขึ้น ๕ ค่ำ พ.ศ.๒๓๕๒ ถูกสำเร็จโทษ พร้อมกับเจ้าชายที่เป็นโอรสเล็ก ๆ อีก ๖ องค์
7.สมเด็จเจ้าฟ้าศิลา (ไม่ทราบนามพระมารดา) โปรดเกล้าฯลดพระยศ ได้เข้ารับราชการต่อมารัชสมัยรัชกาลที่ 3 ได้บรรดาศักดิ์เป็นที่ พระยาประชาชีพ ทรงเป็นต้นราชสกุล “ศิลานนท์”
8.สมเด็จเจ้าฟ้าสิงหรา (ไม่ทราบนามพระมารดา
9.สมเด็จเจ้าฟ้าชายเล็ก (ไม่ทราบนามพระมารดา)
10.พระองค์เจ้าชายอรนิกา ประสูติในเจ้าจอมมารดาอำพัน จันทโรจวงศ์ ธิดาเจ้าพระยาสุรินทราชา (จันทร์ จันทโรจวงศ์)อุปราชจันทร์ นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นต้นสกุลจันทโรจวงศ์ บรรพบุรุษแห่งสกุลรัตนภาณุที่ ๑  ถูกสำเร็จโทษเมื่อจะเริ่มรัชกาลที่ ๒ วันพุธ เดือน ๑๐ ขึ้น ๕ ค่ำ พ.ศ.๒๓๕๒ พร้อมสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต
11. พระองค์เจ้าชายอัมพวัน ประสูติในเจ้าจอมมารดาทิมหรือท้าวทรงกันดารทองมอญ (ธิดาท้าวทรงกันดาล ทองมอญ) พระญาติแห่งสกุล ศรีเพ็ญ
12.พระองค์เจ้าดำรง (บ้างก็ว่า พระองค์เจ้าชายธำรง) (ไม่ทราบนามพระมารดา)
13.พระองค์เจ้าละมั่ง (ไม่ทราบนามพระมารดา)ในรัชกาลที่ ๓ เป็นพระยาสมบัติบาล
14.พระองค์เจ้าคันธวงศ์(ไม่ทราบนามพระมารดา)
15. พระองค์เจ้าเมฆินทร์ บ้างก็เรียก พระองค์เจ้าชายเมฆิน (ไม่ทราบนามพระมารดา)
16. พระองค์เจ้าชายอิสินทร(ไม่ทราบนามพระมารดา)
17.พระองค์เจ้าชายบัว (ไม่ทราบนามพระมารดา)
18.พระองค์เจ้าชาย (ไม่ปรากฏพระนาม ไม่ทราบนามพระมารดา)
19.พระองค์เจ้าหนูแดง (ไม่ทราบนามพระมารดา)
20.เจ้าพระยานคร (น้อย) บ้างก็เรียก เจ้าน้อย  ประสูติในเจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปราง  (ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงเล็กของ นครศรีธรรมราช) พระธิดาของพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) (พระขนิษฐาในกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์(เจ้าหญิงฉิม) ถึงรัชกาลที่ ๒) ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ถูกลดพระอิสริยยศเป็น “เจ้าพระยานครน้อย” เป็นต้นราชสกุล “ณ นคร” “โกมารกุล ณ นคร” และ “จาตุรงคกุล” 
21.เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) (Chao Phraya Nakhonratchasima Thong In) ...ดูราชสกุลอินทรกำแหง, ณ ราชสีมา, มหาณรงค์, คชวงศ์ (คชวงษ์), อินทโสฬส, ชูกฤส (ชูกริส) , เนียมสุริยะ, เชิงธงไชย, อินทนุชิต, ศิริพร และนิลนานนท์ (นินนานนท์)  
พระราชธิดา ประกอบด้วย
๑.   สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงปัญจปาปี    ที่ ประสูติในกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์(เจ้าหญิงฉิม) เป็นพระชายาของสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้าเกศ กรมขุนอิศรานุรักษ์ ถึงรัชกาลที่ ๑ เป็นพระชายาเจ้าฟ้ากรมขุมอิศรานุรักษ์ ราชภาคิไนย (หลาน คือ ลูกของพี่สาวหรือน้องสาว) ของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ต้นราชสกุล อิศรางกูร
๒.   สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงโกมล(ไม่ทราบนามพระมารดา)
๓.   สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา (ไม่ทราบนามพระมารดา)
๔.   สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสำลีวรรณ  หรือ เจ้าจอมมารดาพระองค์เจ้าสำลีวรรณ ประสูตรในเจ้าจอมมารดาอำพัน (ธิดาเจ้าอุปราชจันทร์)เป็นพระชายาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์เจ้าสำลีวรรณเป็นพระราชชายากรมพระราชวังบวรรัชกาลที่ ๒ แล้วถูกสำเร็จโทษ  ด้วยข้อหากบฏ วันพุธเดือน ๑๑ ขึ้น ๕ ค่ำ พ.ศ.๒๓๕๒ พร้อมสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต๒  ดูราชสกุลอิศรเสนา 
๕.   พระองค์เจ้าประไพพักตร์ ประสูติใในจอมมารดาเงิน
๖.   พระองค์เจ้าสุมาลี (ไม่ทราบนามพระมารดา)
๗.   พระองค์เจ้าจามจุรี (ไม่ทราบนามพระมารดา)
๘.   พระองค์เจ้าสังวาลย์ บ้างก็เรียก พระองค์เจ้าหญิงสังวาล(ไม่ทราบนามพระมารดา)
๙.   พระองค์เจ้าสุดชาตรี (ไม่ทราบนามพระมารดา)
๒๕ ราชสกุลผู้เชื้อสายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ได้แก่
1.ราชสกุล สินสุข (สินศุข)
2.ราชสกุล จาตุรงคกุล
3.ราชสกุล รุ่งไพโรจน์
4.ราชสกุล อธินันทน์
5.ราชสกุล ณ ราชสีมา
6.ราชสกุล เมนะรุจิ
7.ราชสกุล รายณสุข
8.ราชสกุล กาญจนพิมาย
9.ราชสกุล พรหมนารท
10.ราชสกุล ศิลานนท์
11.ราชสกุล โกมารกุล ณ นคร
12.ราชสกุล ณ นคร
13.ราชสกุล อินทรโยธิน
14.ราชสกุล คชวงศ์ (คชวงษ์)
15.ราชสกุล มหาณรงค์
16.ราชสกุล อินทรกำแหง
17.ราชสกุล อินทโสฬส
18.ราชสกุล อินทนุชิต
19.ราชสกุล เชิญธงไชย
20.ราชสกุล เนียมสุริยะ
21.ราชสกุล นิลนานนท์ (นินนานนท์)
22.ราชสกุล พงษ์สิน
23.ราชสกุล ศิริพร
24.ราชสกุล ชูกริส (ชูกฤส)
25.ราชสกุล รัฐกิจวิจารณ์ ณ นคร
ที่มา
https://huexonline.com/knowledge/14/34/
https://www.atsadang.com/?p=4200
29 กันยายน, 2568
เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยรัตนโกสินทร์
การจัดการปกครองเมืองนครศรีธรรมราธในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและสถาปนากรุงเทพ ฯ เป็นราชธานีในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงพระราชดำริว่า "ที่พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงยกย่องเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเป็นเจ้าประเทศราชนั้นเป็นการเหลือเกินไป จึงไปรดให้ลดบรรดาศักดิ์ลงเป็นเจ้าพระยานครและให้ลดตำแหน่งเสนาบดีเมืองนครลงเป็นกรมการเหมือนหัวเมืองอื่นๆ" . . ."  
นครศรีธรรมราชจึงมีฐานะเป็นหัวเมือง เมืองชั้นเอก เช่นเดียวกับเมืองพิษณุโลกและเมืองนครราชสีมา ครั้นถึง พ.ศ.ศ. ๒๓๓๔ทางราชธานีได้ยกฐานเมืองสงชลาขึ้นเป็นหัวเมืองโทให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และโปรดให้เลื่อนบรรดาศักดิ์พระยาสงขลา (บุญฮุย) ขึ้นเป็นเข้าพระยาพร้อมทั้งให้กำกับหัวเมืองประเทศราช มลายู คือ ปัตตานี กลันตัน  และตรังกานู , ฐานของเมืองนครนครศรีธรรมราช จึงยิ่งตกต่ำลงไปอีก  ถึงแม้จะถูกลดอำนาจลงมามากก็ตาม  แต่นครศรีธรรมราชก็ยังเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของปักษ์ใต้อยู่เพราะต้องกำกับเมืองประเทศราชใทรบุรี     อันเป็นหัวเมืองใหญ่  อยู่ทางทะเลหน้านอก  และเป็นผู้ดูแลรักษาหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก   ตลอดจนปราบปรามจับกุมแขกสลัดและสืบข่าวความเคลื่อนไหวในพม่าภาคใต้ และในฐานะที่เป็นหัวเมืองเอก เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จะต้องจัดแต่งดอกไม้ทอง  เงิน เครื่องราชบรรณาการ  ส่งเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวายยังราชธานีปีละ 2ครั้ง 
	พระเจ้าขัตติยราชนิคม สมมติมไหสวรรค์ พระเจ้านครศรีธรรมราช เจ้าขัณฑสีมา พระนามเดิม หนู เป็นพระมหากษัตริย์นครศรีธรรมราช ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง และเป็นพระเจ้าประเทศราชนครศรีธรรมราช ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ประวัติพระยานครศรีธรรมราช(หนู) (๒๓๑๙-๒๓๒๕)
พระเจ้านครศรีธรรมราช เป็นเชื้อสายขุนนางกรุงศรีอยุธยา มีพี่ชายคนหนึ่งชื่อพระยาวิชิตณรงค์ ต่อมาได้รับราชการมีความชอบจนได้เป็น หลวงสิทธิ์นายเวร มหาดเล็ก ต่อมาพระยาราชสุภาวดีนครฯ (พระยาราชสุภาวดีละคร) ลงไปเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช หลวงสิทธิ์นายเวรจึงได้เป็นปลัดเมืองนครศรีธรรมราชในคราวนั้น หลวงสิทธิ์นายเวร (หนู) สมรสกับหม่อมทองเหนียว ซึ่งเป็นธิดาของจีนปาด ต่อมาเมื่อพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชถูกเรียกให้ยกทัพเข้าไปช่วยเหลือกรุงศรีอยุธยา ในการรุกรานของพม่าเมื่อพ.ศ. 2308 แล้วมีความผิดและถูกถอด พระปลัด (หนู) จึงรั้งตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชไว้อยู่
	ต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองใน พ.ศ. 2310 พระปลัด (หนู) ผู้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าที่เมืองนครศรีธรรมราช ชาวบ้านเรียกว่า เจ้านคร จัดตั้งชุมนุมนครศรีธรรมราชขึ้น มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองชุมพรจนถึงหัวเมืองมลายู เจ้าพระยานครฯ (หนู) แต่งตั้งหลวงฤทธิ์นายเวร (จันทร์) ซึ่งเป็นหลานเขยของตนเองและเป็นบุตรของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ (อู่) เป็นอุปราช แต่งตั้งนายวิเถียน ซึ่งเป็นญาติของตนเอง เป็นเจ้าเมืองสงขลา และแต่งตั้งให้หลานชายของตนเองไปเป็นพระยาพัทลุงเจ้าเมืองพัทลุง ต่อมา พ.ศ. 2312 หลานของเจ้าพระยานคร (หนู) ที่เป็นเจ้าเมืองพัทลุงได้เสียชีวิตลง เจ้าพระยานครฯ (หนู) จึงแต่งตั้งให้พระพิมล (ขัน) สามีของคุณหญิงจันเป็นเจ้าเมืองพัทลุงต่อมา
	เมื่อปี พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพไปปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช โดยมีเจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นแม่ทัพ และมีแม่ทัพอื่น ๆ ได้แก่ พระยายมราช พระยาเพชรบุรี และพระยาศรีพิพัฒน์ เจ้าพระยานคร (หนู) ส่งทัพเมืองนครฯ ไปรบกับทัพธนบุรีที่ท่าหมาก นำไปสู่การรบที่ท่าหมาก ซึ่งฝ่ายนครศรีธรรมราชได้รับชัยชนะ แม่ทัพธนบุรีพระยาเพชรบุรีและพระยาศรีพิพัฒน์ถูกสังหารในที่รบ
	สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จนำทัพเรือด้วยพระองค์เอง ทัพเรือหลวงจำนวน 10,000 คน ยกออกจากธนบุรีในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2312 พระยายมราชธนบุรีเข้าตีทัพฝ่ายเมืองนครฯที่ท่าหมากแตกพ่ายไป แล้วนำทัพธนบุรีเข้าโจมตีเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าพระยานครฯ (หนู) มอบหมายให้อุปราชจันทร์นำทัพเมืองนครฯออกต่อสู้ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งเจ้าขรัวเงินซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับอุปราชจันทร์ มาเจรจาเกลี้ยกล่อมให้อุปราชจันทร์ยอมสวามิภักดิ์ต่อธนบุรี อุปราชจันทร์พ่ายแพ้ให้แก่ทัพธนบุรีในการรบที่ท่าโพ ทางเหนือของเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเหตุให้เจ้าพระยานครฯ (หนู) ต้องพาครอบครัวรวมทั้งบุตรเขยคือเจ้าพัฒน์หลบหนีไปยังเมืองสงขลา สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จเข้ายึดเมืองนครศรีธรรมราชได้เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 10 (21 กันยายน พ.ศ. 2312) หลวงสงขลา (วิเถียน) นำเจ้าพระยานคร (หนู) พร้อมทั้งครอบครัว และพระยาพัทลุง (พระพิมลขัน) เดินทางหลบหนีไปยังเมืองปัตตานี
	สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) ยกทัพเรือติดตามเจ้าพระยานครฯ (หนู) และพระยาพิชัยราชายกทัพติดตามทางบก เจ้าพระยาจักรี (หมุด) มีหนังสือถึงสุลต่านมูฮาหมัดเจ้าเมืองปัตตานี ขอให้ส่งตัวเจ้าเมืองทั้งสามให้แก่ฝ่ายธนบุรี สุลต่านมูฮาหมัดเจ้าเมืองปัตตานี[6] จึงยินยอมส่งตัวเจ้าพระยานครฯ (หนู) เจ้าพัฒน์ หลวงสงขลา (วิเถียน) และพระยาพัทลุง (พระพิมลขัน) ให้แก่เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยานครฯ (หนู) จึงถูกจับกุมและนำตัวพร้อมครอบครัวไปยังเมืองนครศรีธรรมราช ขุนนางธนบุรีปรึกษาโทษให้ประหารชีวิตเจ้าพระยานคร (หนู) แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงไม่เห็นด้วย เนื่องจากเจ้าพระยานครฯ (หนู) ไม่ได้เป็นข้าฯของพระองค์มาก่อน ต่างคนต่างเป็นใหญ่ไม่ถือว่าเป็นกบฏ[1] ให้กลับไปพิจารณาความที่ธนบุรีใหม่อีกครั้ง[3] สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงแต่งตั้งพระเจ้าหลานเธอ เจ้านราสุริยวงศ์ เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชต่อมา โดยมีพระยาราชสุภาวดีนครฯ อดีตเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช และพระศรีไกรลาศ เป็นผู้กำกับราชการ[3] ชุมนุมนครศรีธรรมราชจึงสิ้นสุดลงและถูกผนวกรวมเข้ากับธนบุรีในที่สุด
	เจ้าพระยานครฯ (หนู) พร้อมครอบครัวถูกนำตัวไปยังกรุงธนบุรีในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2313 เจ้าพระยานครฯ (หนู) อาศัยอยู่ในกรุงธนบุรีเป็นเวลาเจ็ดปี โดยที่บุตรสาวคือท่านหญิงฉิมและท่านหญิงปรางได้ถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระเจ้าตากสิน ใน พ.ศ. 2319 เจ้านราสุริยวงศ์ถึงแก่พิราลัย สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าพระยานคร (หนู) อดีตผู้นำชุมนุมนครศรีธรรมราช ให้พระเจ้านครศรีธรรมราช กลับไปครองเมืองนครศรีธรรมราช ได้รับพระราชทานพระสุพรรณบัฏเป็น พระเจ้าขัตติยราชนิคม สมมติมไหสวรรค์ พระเจ้านครศรีธรรมราช เจ้าขัณฑสีมา ดำรงพระอิสริยยศที่พระเจ้าประเทศราช[7] รับสั่งเมื่อวันอังคารขึ้น 6 ค่ำ เดือน 11 (15 กันยายน พ.ศ. 2319)
ครั้งพระนครศรีอยุทธยาเสียแก่พม่าข้าศึกแต่ก่อน ฝ่ายกรมการพลเมือง เมืองนครหาที่พึ่งไม่ ยกปลัดเมืองขึ้นผ่านแผ่นดินเป็นเจ้าขัณฑสิมา ก็ได้พึ่งพาอาไศรยสัปยุทธชิงไชยชนะแขกข้าศึก ถ้าหาไม่ ขัณฑสิมาก็จะระส่ำระสายเป็นไป ความชอบมีอยู่กับแผ่นดิน ฝ่ายศักดิ กฤษฎานุภาพคงขัติยราชผู้หนึ่ง ครั้งนี้ ราชธิดาก็ได้ราชโอรส ฝ่ายพระยานครก็ได้ไปตามเสด็จพระราชดำเนินช่วยทำการยุทธชิงไชยเหมมันพม่าข้าศึก...ฝ่ายเจ้านราสุริวงษ์สวรรค์ครรไล ควรให้ไปบำรุงพระเกียรติยศสนองพระเดชพระคุณแทนเจ้านราสุริวงษ์สืบไป แลซึ่งจะบำรุงพระเกียรติยศนั้น ฝ่ายพระยานครเคยผ่านแผ่นดินเปนเจ้าขัณฑสิมาอยู่แล้ว ก็ให้ผ่านแผ่นดินเปนเจ้าขัณฑสิมาฝ่ายซึ่งผู้ผ่านแผ่นดินเปนเจ้าขัณฑสิมาสืบมาแต่ก่อนนั้นเหมือนกันกับพระยาประเทศราชประเวณีดุจเดียวกัน
	โดยมีเจ้าพัฒน์ผู้เป็นบุตรเขยเป็นที่อุปราช นอกจากนี้เจ้าจอมมารดาฉิมยังได้เลื่อนขึ้นเป็นกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ พระมเหสีฝ่ายซ้าย กรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ประสูติพระโอรสคือเจ้าฟ้าทัศพงษ์ เจ้าฟ้าทัศไพ เจ้าฟ้านเรนทรราชกุมาร และพระธิดาคือเจ้าฟ้าปัญจปาปี พระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ได้เกียรติยศอย่างเจ้าประเทศราชรับพระโองการ ส่วนหม่อมทองเหนียวเป็นพระมเหสีรับพระเสาวณีย์ มีขุนนางเสนาบดีจตุสดมภ์เป็นของตนเอง ที่ว่าราชการเรียกว่า ท้องพระโรง
	ใน พ.ศ. 2320 เจ้าพระยานครฯ (หนู) มีหนังสือกราบทูลฯ สมเด็จพระเจ้าตากสินขอให้ทรงแต่งทัพไปปราบหัวเมืองมลายู สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงตอบว่าราชการสงครามกับพม่ายังคงติดพันอยู่ ให้สงครามกับพม่าแล้วเสร็จเสียก่อนจึงจะให้เมืองนครศรีธรรมราชออกไปตีมลายู
	ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีพระราชดำริว่าเกียรติยศของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชนั้นมากเกินไป จึงมีพระราชโองการให้ลดยศของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชดังเดิม ทางกรุงเทพฯ ได้ส่งข้าหลวงมายังเมืองนครศรีธรรมราชทำการสักเลกปรากฏว่าสักได้น้อยกว่าแต่ก่อน อุปราชพัฒน์ผู้เป็นบุตรเขยของเจ้าพระยานครฯ (หนู) เดินทางไปที่กรุงเทพฯ ฟ้องร้องกล่าวโทษเจ้าพระยานครฯ (หนู) ว่าแก่ชราว่าราชการฟั่นเฟือนไป ทรงมีตราให้เจ้าพระยานครฯ (หนู) ไปเข้าเฝ้าที่กรุงเทพสองครั้ง เจ้าพระยานครฯ (หนู) ก็บิดพลิ้วเสียไม่ไปตามพระราชโองการ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯจึงทรงปลดเจ้าพระยานครฯ (หนู) ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชใน พ.ศ. 2327 โปรดฯ ให้เจ้าพระยานครฯ (หนู) เข้ามารับราชการที่กรุงเทพฯ และทรงแต่งตั้งอุปราชพัฒน์เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนใหม่
	พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้ามาผ่านพิภพ เสนามุขลูกขุนปฤกษาให้เจ้านครถอยยศลดเสนาบดีลงเสีย ฝ่ายเจ้านครก็หามีความชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อแผ่นดินไม่ แต่หากว่าทรงพระเมตตาเห็นว่า เปนผู้ใหญ่ ประหนึ่งจะมีความคิดเห็นผิดแลชอบ จะตั้งใจทำราชการแผ่นดินโดยสุจริต จึงให้คงว่าราชการรั้งเมืองครองเมืองสืบมา แล้วทรงพระกรุณาตรัสสั่งจำเภาะให้เจ้านครเกณฑ์เลขเข้ามาร่อนทอง เจ้านครมิได้จัดแจงกะเกณฑ์เลขให้ครบตามเกณฑ์ ให้ข้าหลวงไปสักเลขเมืองนคร ก็ได้เลขสักน้อยต่ำลงกว่าจำนวนสักแต่ก่อน แล้วมีตรารับสั่งให้หาเจ้านครเข้ามาคิดราชการถึงสองครั้ง ก็บิดพลิ้วมิได้เข้ามา เห็นว่า เจ้านครหาจงรักภักดีสวามิภักดิ์ขวนขวายทำราชการสนองพระเดชพระคุณไม่ ไม่เกรงกลัวพระราชอาญา เจ้านครผิด ประการหนึ่ง เจ้านครก็แก่ชราพฤฒิภาพ เกลือกมีการณรงค์สงครามทำมิได้จะเสียราชการไป จะให้เจ้านครคงว่าราชการเมืองนครสืบไปมิได้ ละไว้จะเปนเสี้ยนหนามต่อแผ่นดิน ให้ยกเจ้านครออกเสียจากเจ้านครศรีธรรมราช เอาตัวเข้ามาใช้ราชการณกรุง
	เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) รับราชราชในกรุงเทพได้ไม่นานก็ถึงแก่อสัญกรรม เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) บุตรเขยได้เข้าไปรับอัฐิทั้งของพระเจ้านครศรีธรรมราชและหม่อมทองเหนี่ยว ซึงถึงแก่กรรมในเวลาไล่เลี่ยกัน ออกไปก่อเจดีย์บรรจุไว้ที่วัดแจ้งวรวิหาร เมืองนครศรีธรรมราช
	ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปรับปรุงบรรดาศักดิ์เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช และทรงแต่งตั้งบุตรเขยของพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) นามว่า พัฒน์เป็น "เจ้าพระยานครศรีธรรมราช" (ซึ่งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) รับราชการจนถึงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ทั้งนี้โปรดเกล้าฯให้ลดดฐานะเมืองนครศรีธรรมราชจากเมืองประเทศราช มาเป็นหัวเมืองเอกเช่นเดียวกับพิษณุโลก และทรงแยกเมืองสงขลา ปัตตานี ไทรบุรีกลันตัน ตรังกานูมาขึ้นกับกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. ๒๓๓๕
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์)   ดำรงตำแหน่ง พ.ศ.2325–2357
	เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) หรือ เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ชาติเดโชชัย มไหสุริยาธิดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ หรือ เจ้าพระยานครพัฒน์ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์คนที่ 2 บุตรเขยในพระเจ้านครศรีธรรมราช กษัตริย์เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
ประวัติ
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) เป็นบุตรชายของปลัดไม่ปรากฏนาม (เอกสารบางแห่งเรียก ขุนปลัดเมืองคนก่อน) กับมารดาซึ่งเรียกว่า คุณหญิง (บ้างว่าชื่อหญิง)[1][2] มีพี่สาวคนหนึ่งชื่อ ชี[1] ประวัติตอนต้นนั้นไม่ปรากฏ ปรากฏแต่เพียงว่าเดิมได้บุตรสาวคนใหญ่ของเจ้านครศรีธรรมราชชื่อ คุณชุ่ม (ทางธนบุรีเรียกนวล) เป็นภรรยา[2] เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เจ้านครศรีธรรมราชตั้งตนขึ้นเป็นเจ้า ท่านพัฒน์จึงไปเป็นมหาอุปราช เรียกกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ ก็ต้องเข้ามาอยู่กรุงธนบุรีด้วย ต่อมาพระเจ้านครศรีธรรมราชได้กลับออกไปครองเมืองอีกครั้ง อุปราชพัฒน์ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้กลับออกไปเป็นวังหน้าตามเดิม
	พระมหาอุปราช (พัฒน์) นั้นคราวหนึ่งไปราชการทัพ คุณชุ่มหรือนวลถึงแก่กรรมลง ธิดาทั้งสองจึงเป็นกำพร้า ครั้นเสร็จราชการสงครามแล้ว อุปราชพัฒน์เข้ามาเฝ้าเมื่อ พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตรัสปลอบว่า "อย่าเสียใจนักเลย จะให้น้องสาวไปแทนที่จะได้เลี้ยงลูก" จึงพระบรมราชโองการให้ท้าวนางส่งตัวเจ้าจอมปรางไปพระราชทานเป็นภรรยาเจ้าพัฒน์ ท้าวนางกราบบังคมทูลว่า เจ้าจอมปรางขาดระดูมา 2 เดือนแล้ว มีพระราชดำรัสว่า "ได้ลั่นวาจายกให้แล้ว จงส่งตัวออกไปเถิด" เจ้าจอมปรางจำใจไปตามพระบรมราชโองการ และเจ้าพัฒน์ก็จำใจรับไว้เป็นศรีเมืองนครศรีธรรมราช
	พ.ศ. 2327 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าให้พระเจ้านครศรีธรรมราชพ้นจากตำแหน่งและมารับราชการในกรุงเทพ ทรงตั้งเจ้าพัฒน์เป็น เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ชาติเดโชชัย มไหสุริยาธิดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช และคืนเมืองสงขลาให้กลับไปขึ้นนครศรีธรรมราช
	ในปี พ.ศ. 2354 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าพระยานคร (พัฒน์) ขอกราบถวายบังคมลาออกจากราชการ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยานคร (พัฒน์) เป็น เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี ศรีโศกราชวงศ์ เชฏฐพงศ์ฤๅชัย อนุทัยธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ จางวางเมืองนครศรีธรรมราช แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเจ้าพระยานคร (น้อย) พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งขณะนั้นดำรงยศเป็นพระบริรักษ์ภูเบศร์ ปลัดเมืองนครขึ้นเป็น พระยาศรีธรรมาโศกราช ว่าราชการเมืองแทน
	เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) รับราชการในตำแหน่งจางวางเมืองนครศรีธรรมราชมาอีก 3 ปีก็ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ พ.ศ. 2357 อัฐิของท่านส่วนหนึ่งบรรจุอยู่ ณ พระปรางค์เบื้องหลังหอพระพุทธสิหิงค์ บริเวณหน้าศาลากลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นหอพระอัฐิและอัฐิสำคัญบรรพชนสกุล ณ นคร[5]
บุตรธิดา
เจ้าจอมมารดานุ้ยใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เจ้าจอมมารดานุ้ยเล็ก ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนที่ 3 (บุตรบุญธรรม)
พระยาภักดีภูธร (ฉิม) รับราชการฝ่ายกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ท่านผู้หญิงหนู ภริยาเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค)
นายจ่ายง (ขัน)
พระราชภักดี (ร้าย) ยกกระบัตรเมืองนครศรีธรรมราช
คุณใจ มหาดเล็ก
คุณเริก มหาดเล็ก
ช. คุณกุน
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย)
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช หรือ เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ชาติเดโชชัย มไหสุริยาธิบดี หรือ เจ้าพระยานครน้อย นามเดิม น้อย (27 สิงหาคม พ.ศ. 2319 – 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2382) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระราชโอรสองค์รองสุดท้ายในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี บุตรบุญธรรมของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) เป็นผู้มีบทบาทในการปราบกบฏเมืองไทรบุรี
ประวัติ
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าชุมนุมนครศรีธรรมราชหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง หนึ่งในธิดาของเจ้าพระยานครฯ (หนู) คือคุณหญิงชุ่มได้สมรสเป็นภรรยาของพระอุปราช (พัฒน์) แห่งเมืองนครฯ หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จมาปราบชุมนุมนครศรีธรรมราชได้ใน พ.ศ. 2312 ธิดาอีกคนของเจ้าพระยานครฯ (หนู) คือคุณหญิงปราง ได้ถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นเจ้าจอมปราง หลังจากที่ท่านผู้หญิงชุ่มภรรยาของพระอุปราช (พัฒน์) ถึงแก่อสัญกรรม ใน พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระดำริจะยกเจ้าจอมปรางให้เป็นภรรยาของพระอุปราช (พัฒน์) แต่ท้าวนางฝ่ายในได้กราบทูลว่าเจ้าจอมปรางขาดระดูได้สองเดือนแล้ว (หมายถึงกำลังจะมีพระครรภ์ให้แด่สมเด็จพระเจ้าตากสิน) พระเจ้าตากสินรับสั่งว่าตรัสแล้วไม่คืนคำต้องให้ออกไป พระอุปราช (พัฒน์) จึงจำต้องรับเจ้าจอมปรางมาไว้ที่เมืองนครฯ ตั้งขึ้นไว้เป็นนางเมืองไม่ได้เป็นภรรยา เจ้าจอมปรางให้กำเนิดบุตรชายที่เมืองนครศรีธรรมราชเมื่อวันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2319[1] ชื่อว่า น้อย ดังปรากฏในบันทึกในจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีว่า
	"เจ้าจอมมารดาปรางในพระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชทานแก่อุปราชพัฒน์ มีความชอบชนะศึกชายาถึงแก่กรรม รับสั่งว่าอย่าเสียใจนักเลยจะให้เลี้ยงหลาน ท้าวนางกราบทูลว่า เริ่มตั้งครรภ์ได้ ๒ เดือนแล้ว แต่รับสั่งตรัสแล้วไม่คืนคำ พระราชวิจารณ์รัชกาลที่ ๕ ว่าไม่ทรงทราบหรือเป็นราโชบายให้เชื้อสายไปครองเมืองให้กว้างขวางออกไป แนวเดียวกับให้กรมขุนอินทรพิทักษ์ไปครองเขมร เจ้าพัฒน์รับตั้งไว้เป็นนางเมือง มิได้เป็นภรรยาเป็นเรื่องเล่ากระซิบกันอย่างเปิดเผย บุตรติดครรภ์เป็นชายชื่อ น้อย เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช มีอำนาจวาสนากว่าเจ้านครทุกคน"
	เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เกิดที่เมืองนครศรีธรรมราช เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช[2] ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปราง และเป็นบุตรบุญธรรมของพระอุปราช (พัฒน์) ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ใน พ.ศ. 2329 เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนที่สองต่อจากเจ้าพระยานครฯ (หนู) เมื่อเจ้าพระยานครฯ (น้อย) เจริญวัยขึ้น เจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ผู้เป็นบิดาบุญธรรมได้นำเจ้าพระยานครฯ (น้อย) เข้าเฝ้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระราชทานตำแหน่งเป็นนายสรรพวิไชย มหาดเล็กหุ้มแพร ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นพระบริรักษ์ภูเบศร์ ตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราช โปรดเกล้าฯให้กลับไปรับราชการที่เมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลายพระหัตถเลขาเรียกชื่อเจ้าพระยานคร (น้อย) ตอนนี้ว่า "น้อยคืนเมือง"
	เมื่อพม่ายกทัพมาตีเมืองถลางและภูเก็ตใน พ.ศ. 2352 พระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ได้ติดตามบิดาบุญธรรมเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ไปตั้งทัพเรือขึ้นที่เมืองตรังเพื่อยกทัพเข้าต่อสู้กับพม่าที่ภูเก็ต ฝ่ายพม่าซึ่งเข้ายึดเมืองภูเก็ตไว้ได้ยินเสียงคลื่นลมเข้าใจว่าทัพเรือไทยยกมาจึงถอยออกจากภูเก็ต พระบริรักษ์ภูเบศร์จึงนำทัพเรือของเมืองนครฯ เข้ายึดเมืองภูเก็ตได้สำเร็จ
ใน พ.ศ. 2354 เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) กราบทูลต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า ตนเองมีความชราภาพขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยฯจึงโปรดฯ ให้ตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ขึ้นเป็นพระยานครศรีธรรมราช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเมื่ออายุได้สามสิบห้าปี เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และให้เลื่อนอดีตเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) เป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี จางวางเมืองนครศรีธรรมราช ขณะนั้นสุลต่านอาหมัดทัจอุดดินฮาลิมชาฮ์ (Ahmad Tajuddin Alim Shah) แห่งไทรบุรี หรือ "ตวนกูปะแงหรัน" (Tunku Pangeran) เกิดความขัดแย้งกับตนกูบิศนู (Tunku Bisnu) ผู้เป็นน้องชาย จนฝ่ายสยามต้องไกล่เกลี่ยด้วยการให้ตนกูพิศนุมาเป็นเจ้าเมืองสตูล ตนกูบิศนูเข้านอบน้อมต่อพระยานครฯ (น้อย) ต่อมาเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) ผู้เป็นบิดาบุญธรรมถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. 2357
	เดิมรัฐกลันตันเป็นเมืองขึ้นของรัฐตรังกานู สุลต่านมูฮัมหมัด (Muhammad) แห่งกลันตันมีความขัดแย้งกับสุลต่านแห่งตรังกานู จึงร้องขอเข้ามายังพระยาวิเศษภักดี (เถี้ยนจ๋ง) เจ้าเมืองสงขลา พระยาวิเศษภักดีไม่เห็นด้วย สุลต่านมูฮัมหมัดจึงร้องขอต่อเจ้าพระยานครฯ (น้อย) โดยตรงใน พ.ศ. 2358 ขอเป็นประเทศราชต่อกรุงเทพฯ โดยตรงไม่ผ่านตรังกานู จึงมีพระราชโองการให้เมืองกลันตันเป็นประเทศราชแยกต่างหากส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองแก่กรุงเทพฯ โดยตรงและขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช
กบฏไทรบุรีครั้งแรก
ใน พ.ศ. 2363 พระเจ้าจักกายแมงแห่งพม่ามีพระราชโองการให้เตรียมเกณฑ์ทัพจากเมืองมะริดและตะนาวศรีเข้ารุกรานไทย ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อทรงทราบข่าวทัพพม่าจึงมีพระราชโองการให้จัดเตรียมทัพไปตั้งรับ ในขณะนั้นพระยานครฯ (น้อย) ล้มป่วยลง จึงมีพระราชโองการให้พระวิชิตณรงค์ไปรักษาการณ์เมืองนครศรีธรรมราช และให้พระพงษ์นรินทร์ซึ่งเป็นหมอหลวงเดินทางมารักษาอาการป่วยของพระยานครฯ และมีตราว่าหากทัพพม่าบุกเข้ามาให้พระยานครฯเป็นแม่ทัพ พระวิชิตณรงค์เป็นปลัดทัพ และพระพงษ์นรินทร์เป็นยกกระบัตรทัพ แต่สุดท้ายแล้วทัพพม่าก็ไม่ได้ยกมารุกรานแต่อย่างใด
	ฝ่ายสุลต่านตวนกูปะแงหรันแห่งไทรบุรีเมื่อทราบข่าวว่าพม่าจะยกทัพมายังภาคใต้จึงติดต่อสัมพันธไมตรีกับฝ่ายพม่า ตนกูมอม (Tunku Mom) น้องชายของสุลต่านตวนกูปะแงหรันมาแจ้งความแก่พระยานครฯ (น้อย) ว่าตวนกูปะแงหรันลักลอบติดต่อกับพม่า นอกจากนี้พ่อค้าชาวจีนในทะเลอันดามันชื่อว่าลิมหอยพบสาส์นของพม่าถึงสุลต่านตวนกูปะแงหรัน ฝ่ายกรุงเทพฯ จึงมีตราเรียกเข้ามาพบสุลต่านไม่ไป พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงมีพระราชโองการให้พระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ยกทัพไปตีเมืองไทรบุรี พระยานครฯ (น้อย) ยกทัพเรือจากเมืองพัทลุงและสงขลาแสร้งว่าจะโจมตีมะริดและตะนาวศรี โดยพระยานครฯ (น้อย) แจ้งแก่ทางไทรบุรีว่าขอเสบียงสนับสนุน แม่ฝ่ายไทรบุรีไม่ได้ส่งเสบียงมาสนับสนุนตามที่ขอพระยานครฯ (น้อย) จึงยกทัพเรือไปยังเมืองอาโลร์เซอตาร์เมืองหลวงของไทรบุรี ฝ่ายเมืองไทรบุรียังไม่ทราบเจตนารมณ์ของพระยานครฯจึงให้การต้อนรับ เมื่อพระยานครฯเข้าไปอยู่ในเมืองอาโลร์เซอตาร์แล้วจึงเข้าโจมตี[3]และยึดเมืองได้สำเร็จในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2364 สุลต่านตวนกูปะแงหรันสามารถหลบหนีได้ทันไปยังเกาะปีนังหรือเกาะหมาก ซึ่งไทรบุรีได้ยกให้แก่อังกฤษให้เช่าตั้งแต่ พ.ศ. 2329 เมื่อยึดไทรบุรีได้แล้วพระยานครฯ (น้อย) จึงตั้งให้บุตรชายคือพระภักดีบริรักษ์ (แสง) เป็นเจ้าเมืองไทรบุรีแทน และให้บุตรชายอีกคนคือนายนุชมหาดเล็กเป็นปลัดเมืองไทรบุรี ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระภักดีบริรักษ์ (แสง) เป็นพระยาอภัยธิเบศร์เจ้าเมืองไทรบุรี และแต่งตั้งนายนุชมหาดเล็กเป็นพระเสนานุชิตปลัดเมืองไทรบุรี
เจรจากับอังกฤษ
เมื่อพระยานครฯ (น้อย) ยึดไทรบุรีแล้ว สยามจึงเข้าปกครองเมืองไทรบุรีโดยตรงโดยขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช มีข้าราชการกรมการฯสยามเข้าปกครองไม่มีการแต่งตั้งสุลต่าน อดีตสุลต่านตวนกูปะแงหรันพำนักอยู่ที่เกาะปีนังภายใต้ความคุ้มครองของอังกฤษ ฝ่ายอังกฤษที่เกาะปีนังเพื่อเห็นว่าสยามเข้าปกครองไทรบุรีโดยตรงเกรงว่าสยามจะส่งทัพมาโจมตีเกาะปีนัง มาร์เควสแห่งเฮสติงส์ (Marquess of Hastings) ผู้ปกครองบริติชอินเดีย ส่งนายจอห์น ครอว์เฟิร์ด (John Crawfurd) เป็นทูตมายังสยามเพื่อดูท่าที นายครอว์เฟิร์ตเดินทางถึงเกาะปีนังในเดือนธันวาคม พระยานครฯ (น้อย) จึงส่งสาส์นถึงนายครอว์เฟิร์ตที่เกาะปีนังว่าฝ่ายสยามไม่มีเจตนาที่จะยกทัพบุกเกาะปีนัง เมื่อนายครอว์เฟิร์ตเดินทางถึงกรุงเทพฯ ในเดือนเมษายนพ.ศ. 2365 ได้ยื่นหนังสือของตวนกูปะแงหรันให้แก่พระยาสุริยวงศ์โกษา (ดิศ) กล่าวโทษพระยานครฯ (น้อย) การเจรจาระหว่างสยามและอังกฤษครั้งนั้นยังไม่ประสบผล หลังจากการปราบกบฏไทรบุรีและการเจรจากับอังกฤษ พระยานครฯ (น้อย) จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช[4] ต่อมาใน พ.ศ. 2368 เจ้าพระยานครฯ (น้อย) จัดเตรียมทัพเรือเพื่อเข้าโจมตีรัฐเปรักและเซอลาโงร์ เนื่องจากรัฐเซอลาโงร์ได้เคยขัดขวางมิให้รัฐเปรักถวายบรรณาการให้แก่กรุงเทพฯ นายโรเบิร์ต ฟุลเลอร์ตัน (Robert Fullerton) เจ้าเมืองปีนัง แจ้งแก่เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ว่าถ้าฝ่ายสยามนำทัพเข้ารุกรานเปรักและเซอลาโงร์จะเป็นการละเมิดต่อสนธิสัญญาอังกฤษ-ฮอลันดา (Anglo-Dutch Treaty of 1824) และส่งเรือรบของอังกฤษมาปิดกั้นปากแม่น้ำตรัง[5] ซึงเป็นทางออกของทัพเรือของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) ไว้ การรุกรานรัฐเประก์และเซอลาโงร์จึงยุติ
ต่อมาเมื่อเดือนตุลาคมพ.ศ. 2368 ฝ่ายอังกฤษส่งนายเฮนรี เบอร์นี (Henry Burney) หรือ "หันตรีบารนี" เป็นตัวแทนของอังกฤษเข้ามาขอทำสนธิสัญญาทางการค้ากับสยาม นายเบอร์นีเดินทางถึงเมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) นำนายเบอร์นีเข้าไปยังกรุงเทพฯ นำไปสู่การตกลงสนธิสัญญาเบอร์นี (Burney Treaty) ในเดือนมิถุนายนพ.ศ. 2369 โดยมีผู้แทนฝ่ายสยามได้แก่กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) และเจ้าพระยานครฯ (น้อย) ฝ่ายอังกฤษยอมรับอำนาจของสยามเหนือไทรบุรีโดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าสยามงดการรุกรานรัฐเซอลาโงร์และอนุญาตให้มีการค้าขายระหว่างสยามและเกาะปีนัง[6]
ใน พ.ศ. 2369 กบฏเจ้าอนุวงศ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯมีตราให้เจ้าพระยานครฯ (น้อย) เกณฑ์พลหัวเมืองปักษ์ใต้ขึ้นไปรบกับลาว แต่เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ถวายรายงานว่าอังกฤษนำเรือมาไว้ที่เกาะปีนัง จึงให้พระเสน่หามนตรี (น้อยกลาง) บุตรชายยกทัพไปส่วนหนึ่งตามท้องตราไปแทน
กบฏไทรบุรีครั้งหลัง
ใน พ.ศ. 2375 ตนกูกูเด่น (Tunku Kudin) ผู้เป็นหลานของอดีตสุลต่านตวนกูปะแปหรันปลุกระดมชาวเมืองไทรบุรีให้ลุกฮือขึ้นและเข้ายึดเมืองไทรบุรีได้ พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) เจ้าเมืองไทรบุรีและพระเสนานุชิต (นุช) บุตรทั้งสองของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) หลบหนีไปยังเมืองพัทลุง เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่กรุงเทพมีคำสั่งให้พระสุรินทร์ซึ่งเป็นข้าหลวงในกรมพระราชวังบวรฯลงไปช่วงพระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) ในการเกณฑ์หัวเมืองปัตตานีมารบกับไทรบุรี และเจ้าพระยานครฯได้รีบรุดลงมายังเมืองนครฯ ฝ่ายบรรดาเจ้าเมืองปัตตานีห้าเมืองจากเจ็ดเมืองนำโดยพระยาตานี (ต่วนสุหลง) ทราบว่าต้องนำพลไปรบกับไทรบุรีจึงก่อการกบฏขึ้นบ้าง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ยกทัพลงมาช่วยเจ้าพระยานครฯ เจ้าพระยานครฯยกทัพเข้ายึดเมืองไทรบุรีคืนได้สำเร็จ ตนกูกูเด่นฆ่าตัวตาย
เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ยกทัพมาถึงเมืองสงขลาในเดือนมีนาคม พบว่าเจ้าพระยานครฯ (น้อย) เข้ายึดเมืองไทรบุรีได้แล้ว ทั้งเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) เจ้าพระยานครฯ (น้อย) และพระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋ง) ยกทัพเข้าตีเมืองปัตตานี พระยาตานี (ต่วนสุหลง) สู้ไม่ได้จึงหลบหนีไปยังกลันตัน ฝ่ายสยามยกตามไปต่อที่กลันตัน สุลต่านมูฮัมหมัดแห่งกลันตันผู้เป็นญาติของพระยาตานีไม่สู้รบขอเจรจาแต่โดยดีและมอบตัวพระยาตานีให้แก่ฝ่ายสยาม หลังจากปราบกบฎไทรบุรีลงได้แล้ว เจ้าพระยานครฯจึงให้พระยาอภัยธิเบศร์และพระเสนานุชิตบุตรทั้งสองครองเมืองไทรบุรีตามเดิม
ต่อมาใน พ.ศ. 2380 กรมสมเด็จพระศรีสุลาลัยสิ้นพระชนม์ เจ้าพระยานครฯ (น้อย) และข้าราชการกรมการของหัวเมืองปักษ์ใต้เดินทางไปยังกรุงเทพฯเพื่อร่วมพระราชพิธี ในหลานสองคนของตวนกูปะแงหรันได้แก่ตนกูมูฮาหมัดซาอัด (Tunku Muhammad Sa'ad) และตนกูมูฮาหมัดอากิบ (Tunku Muhammad Akib) ร่วมมือกับหวันหมาดหลีซึ่งเป็นโจรสลัดในทะเลอันดามัน นำทัพเรือเข้าบุกยึดเมืองไทรบุรีในเดือนกุมพาพันธ์พ.ศ. 2381 นำไปสู่กบฏหวันหมาดหลี พระยาอภัยธิเบศร์และพระเสนานุชิตหลบหนีไปตั้งมั่นที่เมืองพัทลุง ในขณะนั้นเจ้าพระยานครฯ (น้อย) ล้มป่วยอยู่ที่กรุงเทพจำต้องรีบรุดเดินทางลงมายังเมืองนครฯเพื่อปราบกบฏไทรบุรีอีกครั้งพร้อมกับพระวิชิตไกรสร เจ้าพระยานครฯล้มป่วยอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯโปรดให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา (ทัต) ยกทัพมาช่วยเจ้าพระยานครฯ พระยาอภัยธิเบศร์ พระเสนานุชิต และพระวิชิตไกรสรเข้ายึดเมืองไทรบุรีได้อีกในเดือนเดียวกันนั้นเอง
ถึงแก่อสัญกรรม
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมที่เมืองนครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2381 สิริอายุ 61 ปี 260 วัน [7] หลังจากที่เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว พระยาศรีพิพัฒน์ฯ (ทัต) จัดการปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้ใหม่ โดยยกตนกูอาหนุ่มซึ่งเป็นญาติของตวนกูปะแงหรันขึ้นเป็นสุลต่านแห่งไทรบุรี และให้ชาวมลายูเข้าปกครองเมืองไทรบุรีอีกครั้ง การปกครองไทรบุรีโดยตรงของเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาสิบแปดปีจึงสิ้นสุดลง ส่วนพระยาอภัยธิเบศร์และพระเสนานุชิตนั้น พระยาศรีพิพัฒน์ฯ (ทัต) ตั้งให้พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) เป็นเจ้าเมืองพังงา และให้พระเสนานุชิต (นุช) เป็นปลัดเมืองพังงา นอกจากนี้พระยาศรีพิพัฒน์ฯ (ทัต) ยังตั้งให้บุตรชายคนที่สองของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) คือ พระเสน่หามนตรี (น้อยกลาง) ขึ้นเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนที่สี่ ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นพระยานครศรีธรรมราช ส่วนบุตรชายคนโตของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) คือพระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) โปรดฯเข้าไปช่วยราชการที่กรุงเทพฯ เนื่องจาก"เป็นคนไม่ชอบกันกับพี่น้อง"
ครอบครัวและบุตรธิดา
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) สมรสกับท่านผู้หญิงอิน ซึ่งเป็นธิดาของพระยาพินาศอัคคี เจ้าพระยานครฯ (น้อย) มีบุตรธิดากับภรรยาต่างๆรวมกันทั้งสิ้น 34 คน อาทิ;
๑. คุณหญิงน้อยใหญ่ ได้เป็น เจ้าจอมมารดาน้อยใหญ่ พระสนมในรัชกาลที่ ๓ มีพระราชโอรถพระองค์เดียวคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมวงศ์ 
๒. คุณหญิงน้อยเล็ก ได้เป็น เจ้าจอมน้อยเล็ก พระสนมในรัชกาลที่ ๓
๓. คุณชายน้อยใหญ่ หรือ เมือง ได้เป็นเจ้าพระยามหาศิริธรรม (ต้นสกุล โกมารกุล ณ นคร)
๔. คุณชายน้อยกลาง ได้เป็น เจ้าพระยานครศรีธรรมราช
๕. คุณชายน้อยเอียด ได้เป็น พระยาเสน่หามนตรี (ต้นสกุล จาตุรงคกุล )
๖. คุณชายแสง ได้เป็น พระยาบริรักษ์ภูธร เจ้าเมืองไทรบุรี แล้วย้ายมาเป็นผู้รักษาเมืองพังงา
๗. คุณชายนุด ได้เป็น พระยาเสนานุชิต ผู้รักษาเมืองตะกั่วป่า
๘. คุณชายกล่อม ได้เป็น พระยาวิชิตสรไกร ปลัดเมืองนครศรีธรรมราช
๙. คุณชายพุ่ม ได้เป็น พระยากาญจนดิษฐ์บดี ผู้รักษาเมืองกาญจน์ดิษฐ์
๑๐. คุณชายม่วง ได้เป็น พระอุทัยธานี ผู้รักษาเมืองตรัง
๑๑. คุณชายหงส์ ได้เป็น พระวิชิตสรไกร  ปลัดเมืองนครศรีธรรมราช
๑๒. คุณชายฉิม ได้เป็น พระเจริญราชภักดี ผู้รักษาเกาะสมุย
๑๓. คุณชายพู่ ได้เป็น พระราชานุรักษ์ ผู้รักษาเมืองท่าทอง
๑๔. คุณชายเสม ได้เป็น พระศรีสุพรรณดิษฐ์ ปลัดเมืองกาญจนดิษฐ์
๑๕. คุณหญิงกลิ่น ได้เป็น ท้าวศรีสัจจา ท้าวนางฝ่ายใน
๑๖. คุณชายเถื่อน ได้เป็น มหาดเล็ก
๑๗. คุณชายจันทร์ ได้เป็น พระนิกรบริบาล ผู้ช่วยราชการเมืองพังงา
๑๘. คุณชายเดช ได้เป็นมหาดเล็ก
๑๙. คุณหญิงเหม
๒๐. คุณหญิงแย้ม ได้เป็นเจ้าจอมแย้ม พระสนมในรัชกาลที่ ๓
๒๑. คุณหญิงพัน ได้เป็นเจ้าจอมพัน พระสนมในรัชกาลที่ ๓
๒๒. คุณหญิงจับ ได้เป็นเจ้าจอมจับ พระสนมในรัชกาลที่ ๔ ต่อมาสถาปนาเป็น คุณท้าวฝ่ายใน
๒๓. คุณหญิงพุ่ม ได้เป็นเจ้าจอมพุ่ม พระสนมในรัชกาลที่ ๓
๒๔. คุณหญิงปลาง ได้เป็นเจ้าจอมปลาง พระสนมในรัชกาลที่ ๓
๒๕. คุณหญิงตลับ ได้เป็นเจ้าจอมตลับ พระสนมในรัชกาลที่ ๓
๒๖. คุณหญิงปริก ได้เป็นเจ้าจอมปริก พระสนมในรัชกาลที่ ๓
๒๗. คุณหญิงทับทิม ได้เป็นเจ้าจอมทับทิม พระสนมในรัชกาลที่ ๓
๒๘. คุณหญิงอิ่ม ได้เป็นเจ้าจอมอิ่ม พระสนมในรัชกาลที่ ๓
๒๙. คุณหญิงคล้าย ได้เป็นเจ้าจอมคล้าย พระสนมในพระบาทสมเด็จปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๔
๓๐. คุณหญิงบัว ได้เป็น เจ้าจอมมารดาบัว พระสนมในรัชกาลที่ ๔ มีพระราชโอรสพระราชธิดาดังนี้
-พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายศรีสิทธิธงไชย ทรงดำรงพระยศเป็น  "กรมขุนสิริธัชสังกาศ" ต้นราชสกุล ศรีธวัช ณ อยุธยา
-พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงอรไทยเทพกัญญา
-พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายวัฒนานุวงศ์ ทรงดำรงพระยศเป็น "กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์" ต้นราชสกุล วัฒนวงศ์ ณ อยุธยา
-พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายดำรงฤทธิ์ สิ้นพระชนม์ทรงพระเยาว์
๓๑. คุณหญิงเอม
๓๒. คุณหญิงเสม
๓๓. คุณชายนุ่น
๓๔. คุณหญิงเอียด
	ในพ.ศ. 2363 ตวนกูปะแงหรัน สุลต่านแห่งไทรบุรี แข็งเมืองเป็นอิสระจากกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชโองการให้เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ยกทัพไปยึดเมืองไทรบุรี เจ้าพระยานครฯ (น้อย) สามารถยึดเมืองไทรบุรีได้และเมืองนครศรีธรรมราชปกครองไทรบุรีโดยตรงเป็นเวลาสิบเจ็ดปีจนกระทั่งกบฏหวันหมาดหลีในสมัยของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เมืองนครศรีธรรมราชมีอำนาจมากในหัวเมืองปักษ์ใต้ เมื่อเจ้าพระยานครฯ (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมในพ.ศ. 2382 บุตรชายของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) คือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง ณ นคร) เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนต่อมา
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) พ.ศ.2382-2410
ในพ.ศ. 2401 ตำแหน่งเจ้าเมืองสงขลาได้รับการเลื่อนขึ้นมาให้มีศักดินา 10,000 ไร่ ทัดเทียมกับเมืองนครศรีธรรมราช ทำให้นครศรีธรรมราชไม่ใช่หัวเมืองใหญ่แห่งปักษ์ใต้เมืองเดียวอีกต่อไป[17] เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเมืองไทรบุรีซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพระยานครฯ แต่เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม ณ นคร) ไม่ได้ตามลงไปรับเสด็จด้วย เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเรียกตัวเจ้าพระยานครฯ (หนูพร้อม) ไปช่วยราชการที่กรุงเทพฯ[18] นับจากนั้นมาส่วนกลางจึงเข้ามามีอำนาจปกครองนครศรีธรรมราชโดยตรง การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชในพ.ศ. 2439 ทำให้ตำแหน่งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชสิ้นสุดลง พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงมณฑลนครศรีธรรมราชคนแรก มณฑลนครศรีธรรมราชมีอาณาเขตประกอบด้วยจังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสงขลา จากนั้นมีข้าหลวงดำรงตำแหน่งต่อมาได้แก่พระยาชลบุรานุรักษ์ (เจริญ จารุจินดา) พ.ศ. 2449-2452 และเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ พ.ศ. 2453 - 2468 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งมณฑลภาคในพ.ศ. 2458 นครศรีธรรมราชเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลภาคปักษ์ใต้ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อมีการตรา"พระราชบัญญัติการบริหารราชการส่วนภูมิภาค พุทธศักราช 2476" ขึ้น มณฑลเทศาภิบาลสิ้นสุดลงนำไปสู่การจัดตั้งจังหวัดนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด
16 พฤษภาคม 2440 ได้มีการรวมเกาะสมุย มณฑลนครศรีธรรมราช และเกาะพะงัน มณฑลชุมพร รวมขึ้นกับเมืองกาญจนดิษฐ์ มณฑลชุมพร (ปัจจุบัน คือ อำเภอเกาะสมุย และอำเภอดอนสัก (เฉพาะตำบลดอนสัก (บางส่วน) จังหวัดสุราษฎร์ธานี)
29 กรกฎาคม 2449 ได้มีการโอนอำเภอลำพูน อำเภอพนม และอำเภอพะแสง จากเมืองนครศรีธรรมราช มณฑลนครศรีธรรมราช มาขึ้นกับเมืองไชยา มณฑลชุมพร[20] (ปัจจุบัน คือ อำเภอเคียนซา, อำเภอชัยบุรี, อำเภอบ้านนาเดิม, อำเภอบ้านนาสาร, อำเภอพนม, อำเภอพระแสง, อำเภอเวียงสระ, อำเภอบ้านตาขุน (เฉพาะตำบลเขาวง) และอำเภอพุนพิน (เฉพาะตำบลกรูด และตำบลตะปาน) จังหวัดสุราษฎร์ธานี และอำเภอเขาพนม (เฉพาะตำบลเขาดิน, ตำบลพรุเตียว (บางส่วน) และตำบลหน้าเขา (บางส่วน)) และอำเภอปลายพระยา (เฉพาะตำบลปลายพระยา, ตำบลเขาเขน และตำบลคีรีวง) จังหวัดกระบี่)
17 สิงหาคม 2450 ได้มีการโอนตำบลทะเลน้อย ตำบลตะเครียะ ตำบลหัวป่า ตำบลบ้านพร้าว และตำบลสำโรง จากอำเภอพังไกร เมืองนครศรีธรรมราช มาขึ้นกับอำเภอทะเลน้อย เมืองพัทลุง[21] (ปัจจุบัน คือ อำเภอควนขนุน (เฉพาะตำบลทะเลน้อย และตำบลพนางตุง (บางส่วน)) จังหวัดพัทลุง และอำเภอระโนด (เฉพาะตำบลตะเครียะ และตำบลบ้านขาว) จังหวัดสงขลา)
27 พฤศจิกายน 2464 ได้มีการโอนตำบลคลองแดน อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับกิ่งอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา (ปัจจุบัน คือ อำเภอระโนด (เฉพาะตำบลคลองแดน และตำบลแดนสงวน) จังหวัดสงขลา)
14 เมษายน 2472 ได้มีการโอนตำบลไชยคราม และตำบลดอนสัก อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี[22] (ปัจจุบัน คือ อำเภอดอนสัก (เฉพาะตำบลไชยคราม ตำบลปากแพรก และตำบลดอนสัก) จังหวัดสุราษฎร์ธานี)
1 เมษายน 2480 ได้มีการโอนตำบลลำทับ กิ่งอำเภอท่ายาง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่[23] (ปัจจุบัน คือ อำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่)
20 พฤศจิกายน 2515 ได้มีการโอนหมู่ที่ 7 (บ้านนางกำ) ตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับตำบลดอนสัก อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี[24] (ปัจจุบัน คือ อำเภอดอนสัก (เฉพาะตำบลดอนสัก (บางส่วน) จังหวัดสุราษฎร์ธานี)
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี นามเดิม พร้อม ณ นคร อดีตจางวางเมืองนครศรีธรรมราช พ.ศ.2410-2450
ประวัติ
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี มีนามเดิมว่าหนู แต่มักรู้จักในชื่อพร้อม บางแห่งจึงระบุนามว่าหนูพร้อม เกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2385 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2386) เป็นบุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง ณ นคร) กับท่านผู้หญิงหญิง (ธิดาหม่อมเจ้าจันทร์ พระโอรสในสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศ) มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 6 คน ได้แก่
1.เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พร้อม ณ นคร) จางวางเมืองนครศรีธรรมราช
2.พระศิริธรรมบริรักษ์ (ถัด ณ นคร) ปลัดเมืองนครศรีธรรมราช
3.พระยาบริรักษ์ภูเบศร์ (เอี่ยม ณ นคร)
4.เจ้าจอมอิ่ม ในรัชกาลที่ 4
5.กลาง (หญิง)
6.เจ้าจอมสว่าง ในรัชกาลที่ 5
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระเสน่หามนตรี ถึงปี พ.ศ. 2410 เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง ณ นคร) ผู้เป็นบิดาของท่านถึงแก่อสัญญกรรม มีผู้ซึ่งเป็นเชื้อวงศ์ของเจ้าพระยานคร (น้อย) คิดปรารถนาจะเป็นพระยานครศรีธรรมราชหลายคน แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริจะโปรดฯ ให้ตั้งพระเสน่หามนตรีเป็นพระยานครศรีธรรมราช แต่เนื่องจากเวลานั้นพระเสน่หามนตรียังมิได้ผ่านการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จึงยังมิทรงตั้งพระยานครศรีธรรมราชในทันที ในปีนั้นพระเสน่หามนตรีได้อุปสมบทและจำพรรษา ณ วัดพิชัยญาติการาม คืนวันหนึ่งพระเสน่หามนตรีไหว้พระอยู่ในกุฏิ มีผู้ร้ายเอาปืนยิงเข้าไปทางช่องฝา บังเอิญปืนลั่นออกเมื่อขณะพระเสน่หามนตรีกราบพระ กระสุนปืนข้ามไปจึงไม่ถูก การไต่สวนต่อมาก็ไม่ได้ตัวผู้ร้ายพอพระเสน่หามนตรีลาสิกขาแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระเสน่หามนตรีเป็นพระยานครศรีธรรมราช ชาติเดโชไชย มไหสวริยาธิบดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช
	วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ พลับพลาเมืองนครศรีธรรมราช ได้พระราชทานสัญญาบัตรให้ท่านเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีศรีธรรมราช มาตยพงษ์สถาพร วรเดโชไชย อภัยพิริยบรมกรมพาหุ จางวางเมืองนครศรีธรรมราช ถือศักดินา 10000 ไร่
	เจ้าพระยาสุธรรมมนตรีป่วยเป็นโรคชรามานาน ถึงแก่อสัญกรรมวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2450 เวลา 20.30 น. สิริอายุได้ 64 ปี 246 วัน
เมืองนครศรีธรรมราชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นถึงสมัยจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล(๒๓๒๕-๒๔๓๙)
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู)           สมรส   หม่อมทองเหนียว
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์)	      สมรส  คุณหนูเล็กหรือปราง ธิดาเจ้าพระยานครฯ (หนู)กับหม่อมทองเหนียว
(บุตรเขยเจ้าพระยานครฯ (หนู) (ภายหลังเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี)
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย)	    สมรส   ท่านผู้หญิงอิน ธิดาพระยาพินาศอัคคี ราชินิกล ณ บางช้าง
(ภายหลังเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมโศกราช)
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง)  สมรส  ท่านผู้หญิง ม.ร.ว. หญิง ธิดาของหม่อมเจ้าจันทร์ (โอรสในเจ้ากรมหมื่น     นรินทร์รณเรศ)
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม) ภายหลังเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี(๒๔๑๐-๒๔๕๐)
ที่มา 
-นครศรีธรรมราชในอดีต  จังหวัดนครศรีธรรมราชจัดพิมพ์  เนื่องในโอกาสนิทรรศการงานสมโภชกรุงรัตนโกสิทร์ 200 ปี  ณ ศาลาประชาคม  อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ 6-10 เมษายน 2525 
	-ปกิณกศิลปวัฒนธรรม  เล่มที่ 22 นครศรีธรรมราช
https://th.wikipedia.org 
25 กันยายน, 2568
เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยา
เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยา
เมื่อกรุงตรีอยขยาสถาปนาขึ้นใน พ.ศ. ๑๘๘๔๓ จาการจัดสรรย์ในกลุ่มชนชั้นกลุ่มกำลุ่มนำลุ่มน้ำลุ่มน้ำ
เจ้าพระยาแล้ว อยุธยาก็มีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับด้วยฐานะรัฐที่ควบคุมและเป็นตัวกลางการค้า
ภาคพื้นทวีปกับการค้าทางทะเล พัฒนาการทางเศรษฐกิจและการทหารทำให้อยุธยามีอำนาจเหนือรัฐ
ข้างเคียงจำนวนมาก ประกอบกับเมืองนครศรีธรรมราชเองก็อ่อนกำลังลงด้วย ทำให้อำนาจของกรุง
ศรีอยุธยาสามารถปกแผ่มาถึง  ในช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา เมืองนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่
ทางกาศใต้นั้นอยู่ในฐานะมืองพระยามทานคร ๑ ใน ๘ ของอยุทธยา ที่ต้องถือน้ำพระพิทัฒน์สัตยาเมือง
นครศรีธรรมราช มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากหากควบคุมเมืองนครศรีธรรมราช
ได้ย่อมหมายความว่า เสถียรภาพของอยุธยา ในคาบสมุทรภาคใต้ แถบหัวเมืองมลาย จะมั่นคงไปด้วย
ดังนั้นกรุงศรีอยุธยาจึงพยายามควบคุมดูแลหัวเมืองแห่งนี้อย่างใกล้ชิด ช่วงต้นสมัยอยุธยามีการเกณฑ์
ประชาชนจากถิ่นอื่น เช่น จากภาคเหนือ มาอาศัยทำมาหากินที่นครศรีธรรมราชเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพ
และกำลังการผลิตไปในตัว
ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเปลี่ยนฐานะเมืองนครศรีธรรมราชจากเมืองพระยามหานครมาเป็นหัวเมืองเอก ใน พ.ศ. ๑๙๙๘ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เจ้าเมืองเป็น "เจ้าพระยาศรีธรรมราช" ถือศักดินา ๑๐,๐๐๐ นับเป็นบรรดาศักดิ์หัวเมืองที่มีตำแหน่งสูง แม้จะมีฐานะที่ลดลงจากการเป็นเมืองพระยามหานคร แต่พิธีการแต่งตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชยังคงดำรงรูปแบบเดียวกับการตั้งเจ้าประเทศราช กล่าวคือ ข้าหลวงเชิญสุพรรณบัฏและพระราชโองการออกไปให้เมือง จากการเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารราชการหัวเมืองครั้งนี้ยังผลให้ในบางคราว ส่วน
กลางจะแต่งตั้งข้าหลวงไปดำรงตำแหน่งเจ้ามือง แทนที่จะเป็นคนในพื้นที่ดังเช่นในอดีต เหตุผลส่วนหน่งหน้าจะเป็นเพราะทางกรุงศรีอยุธยาต้องการให้ผู้ที่ไว้วางใจได้และมีความสามารถสูงไปปกครองหัวเมืองที่เป็นศูนย์กลางอำนาจสำคัญในภาคใต้ เช่น ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงแต่งตั้งซุนอินทรเทพไปดำรงตำแหน่งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชใน พ.ศ.๒๐๗๒
อนึ่ง ความพยายามควบคุมหัวเมืองภาคใต้ผ่านเมืองนครศรีธรรมราชจะเห็นได้จากการที่เมืองนครศรีธรรมราช ได้รับมอบหมายให้ทำราชการสงครามอยู่บ่อยครั้งเช่น การปราบเมืองมะละกา ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นต้น นอกจากนี้ ในฝ่ายพุทธจักร  กรุงศรีอยุทธยาดำเนินการนโยบายจัดการให้เมืองนครศรีธรรมราช เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนา ของภูมิภาค เช่น มีการบูรณะพระบรมธาตุ ใน ปีพ.ศ. ๒๐๕๗ จัดระบบการปกครองและควบคุมคณะสงฆ์ ขึ้นใหม่ให้มีให้มีประมุขฝ่ายสงฆ์ คือสมเด็จพระสังฆราชที่กรุงศรีอยุธยา ส่วนพระสังฆราชาซึ่งดำรงตำแหน่งรองลงมาอยู่ที่เมืองนครศรศรีธรรมราช และตั้งพระครูสังฆนายก เจ้าคณะเมืองพัทลุง เป็นผู้ดูแลกิจคณะสงฆ์  นับเป็นการสร้างดุลอำนาจของคณะสงฆ์ อันควบคู่กับการควบคุมอำนาจทางการเมืองฝ่ายอาณาจักรอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดีในแง่หนึ่ง จากการที่เมืองนครศรีธรรมราชมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ และมีต้นทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของตนเองค่อนข้างมาก จึงมีความเป็นไปได้ที่เมื่อเจ้าเมืองไม่ลงรอยกับอำนาจศูนย์กลางที่อยุธยา จะเกิดการแข็งเมืองขึ้นเพื่อต่อต้าน ซึ่งในสมัยอยุธยา นครศรีธรรมีการแข็งเมืองหรือกบฏครั้งสำคัญอย่างน้อย ๒ ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๙๒ ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งมีสาเหตุมาจากความแตกแยกของข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาอันเกิดในช่วงผลัดแผ่นดิน  พระองค์ทรงมีพระราชดำริที่จะชจัดอำนาจการเมืองของของออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาชา)ในช่วงต้นสมัย  จึงทรงส่งออกญาเสนาภิมุขไปเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เนื่องจากเจ้าพระยานครศรีธรรมราชปฏิเสธที่จะมาเข้าพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์ที่กรุงศรีอยุธยาด้วยบ้านเมืองมีปัญหายุ่งยากภายใน การส่งออกญาเสนาภิมุขซึ่งได้รับการพิจารณาว่าเป็นขุนนางระดับสูงที่มีฝีมือดีไปปราบปรามและขึ้นเป็นเจ้าเมืองนั้น จึงเป็นอุบายทางการเมืองเพื่อให้ออกญาเสนาภิมุขเผชิญหน้ากับความยากลำบากเสียมากกว่า  เมื่อออกญาเสนาภิมุข ลงไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชได้ปราบและสั่งประหารข้าราชการท้องถิ่นผู้แข็งข้อหลายคน เมื่อควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ก็มีใบบอกมาถึงส่วนกลาง หลังจากนั้น ออกญาเสนาภิมุขยกทัพไปปราบาบฏเมืองปัตตานี แต่พลาดพลั้งได้รับบาดเจ็บ ต้องกลับมารักษาตัวที่เมืองนครศรีธรรมราช  แต่กลับถูกพระยามะริดซึ่งไปช่วยราชการอยู่นั้น  ใช้ม้าพันแผลอาบยาพิษปิดแผล จนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๑๙๓ ต่อมาเมืองนครศรีธรรรรมราชเกิดจลาจลอย่างหนักระหว่างชาวเมืองกับชาวญี่ปุ่นผู้โกรธแค้น  ครั้นเหตุการณ์จลาจลเริ่มคลี่คลาย ฝ่ายนครศรีธรรมราชซึ่งไม่เห็นด้วยกับการปราบดาภิเษกของพระเจ้าปราสาททองอยู่แล้วจึงตั้งตนเป็นอิสระ จนพระเจ้าปราสาททองต้องส่งออกพระศักดาพลฤทธิ์ และออกญาท้ายน้ำเป็นแม่ทัพไปปราบ เหตุการณ์แข็งเมืองสมัยพระเจ้าปราสาททองแสดงให้เห็นว่า อำนาจท้องถิ่นของนครศรีธรรมราชมีความเข้มแข็ง และการแทรกแชงจากส่วนกลางมิได้ทำได้โดยง่าย
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๒๒๗ นครศรีธรรมราชแข็งเมืองอีกครั้งหนึ่งในสมัยสมเด็จพระเพทราชา  เนื่องจากนครศรีธรรมราชไม่ยอมรับการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเพทราชา ซึ่งในช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ กลุ่มสมเด็จพระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์เข้ายึดอำนาจการปกครอง และปราบปรามกลุ่มอำนาจอื่นในหมู่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ กระทั่งปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์  ในที่สุด ฝ่ายเจ้าพระยารามเดโช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชพร้อมด้วยพระยายมราช (สังข์) เจ้าเมืองนครราชสีมาซึ่งพาพรรคพวกหนีมาเข้าร่วม ไม่ยอมเช้าถวายน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสร็จสิ้นจาการจัดระเบียนภายใน จึงได้ยกกองทัพลงไปปราบ ซึ่งต้องใช้เวลาถึง ๓ ปีกว่าเหตุการณ์จะสงบโดยสุดท้าย  เจ้าพระยารามเดโชได้หนีออกไปทางมลายู 
หลังจากการเป็นกบฏของเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยสมเด็จพระเพทราชา ทางอยุธยาเกิดความระแวงต่อนครศรีธรรมราช จึงปรับเปลี่ยนระบบการบริหารเมืองนครศรีธรรมราชเสียใหม่โดยลดฐานะเจ้าเมืองลงเป็นเพียง "ผู้รั้งเมือง" ซึ่งการเปลี่ยนบทบาทเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอำนาจท้องถิ่นด้วยทั้งในเชิงอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางเศรษฐกิจ" อีกนัยหนึ่ง การลดสถานะของเมืองทำให้นครศรีธรรมราชในฐานะหัวเมืองเอกมิอาจกำกับดูแลความสงบเรียบร้อยของภาคใต้ได้มีประสิทธิภาพดังเดิม ตราบจนสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงได้ยกฐานะเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นอีกครั้ง และยกฐานะเมืองขึ้นเป็น "เมืองพระยามหานคร" เนื่องจากตระหนักในความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของเมือง นครศรีธรรมราชในการเป็นหัวเมืองเอกของภาคใต้ และทำหน้าที่ควบคุมหัวเมืองใกล้เคียงในพระราชอาณาเขต และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ กำกับดูแลแลหัวเมืองมลายด้วย ทั้งนี้ ในช่วงปลายสมัยอยุธยา อำนาจ
การเมืองท้องถิ่นในนครศรีธรรมราชน่าจะเข้มแข็งอยู่พอสมควร เนื่องจากเมื่อกรุงศรีอยุธยาพ่ายต่อทัพพม่าแล้ว นครศรีธรรมราชก็ปลีกตัวออกจากศูนย์กลางอำนาจเดิม และตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่โดยการนำของอำนาจท้องถิ่นกลุ่มหนึ่ง
รัฐโบราณในดินแดนนครศรีธรรมราช
เอกสารโบราณที่เก่าที่สุดชิ้นหนึ่งซึ่งกล่าวถึงดินแดนที่เป็นเมืองนศรศรีรรมราชคือ คัมภีร์มหานิทเทศ ติสฺสฺเมตฺเตยฺยฺสูตร ซึ่งเป็นวรรณคดีโบราณแต่งขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๘ กล่าวถึงการเดินทางของนักแสวงโชคไปยังดินแดนห่างไกลนอกอินเดีย มีเนื้อความกล่าวถึงเมืองท่าที่สำคัญในอินเดีย ลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายเมือง ความตอนหนึ่งระบุว่า "...ไปชวา ไปกะมะลิง[ตะมะลิง] ไปวังกะ..." โดยกะมะลิงน่าจะเป็นนามของรัฐ "ตามพรลิงค์" (ตามรูปศัพท์หมายความว่าลิงค์ทองแดงไข่แดง หรือนิมิตทองแดง) ซึ่งมีสัมพันธ์พันธ์กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทศิลาจารึก ที่พบอายุอยู่ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๔ เช่น จารึกหลักที่ ๒๓ ภาษาสันสกฤต พบที่วัดเสมาเมือง จารึกหลักที่ ๒๗ พบที่วัดมหาธาตุ จารึกหลักที่ ๒๕ ภาษาทมิฬ พบที่วัดมหาธาตุ เป็นต้น  นอกจากนี้ ยังพบโบราณวัตถุที่สำคัญ คือ เทวรูปพระนารายณ์ สวมหมวกแซกศิลปะแบบอินเดียใต้ เหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเจริญรุ่งเรืองของรัฐตามพรลิงค์ในอดีต ทั้งนี้ นาม "ตามพรลิงค์" ปรากฏรูปคำและการออกเสียงแตกต่างไปตามสำเนียงภาษา ของกลุ่มชนที่เรียกซานกันในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่นตมพลิงคม (Tarnbalingarn) เป็นชื่อที่ปรับเปลี่ยนเสียงตามที่ปรากฎในคัมภีร์ มหานิทเทศ ติสสฺสเมตเตยยสูตร มัทธาลิงคม (Madarnalingan) เป็นภาษาทมิฬ ปรากฏในศิลาจารึกสมัยพระเจ้าราเชนทรโจฬะในอินเดียภาคใต้ ตันมาลิงหรือตั้งมาหลิ่ง (Tan-ma-ling) เป็นชื่อที่ปรากฏในหลักฐานจีน ตมลิงคาม (Tamalingama) ปรากฏในหลักฐานคัมภีร์ภาษาสิงหน โลแค็กหรือโลกัก (Locac) เป็นชื่อที่มาร์โคโปโลเรียก ส่วนในสมัยหลังต่อมา ชาวโปรตุเกสเรียกชานรัฐแถบนครศรีธรรมราชนี้ว่า ลิกอร์ (Ligor)รวมทั้งนาม สิริธรรมนคร ซึ่งปรากฏใน จามเทวีวงศ์ และ ศรีธรรมราช ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ (พ.ศ. ๑๗๗๓) วัดหัวเวียง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (พ.ศ.ศ. ๑๘๓๕) ที่เริ่มเรียกในหลักฐานไทยฝ่ายเหนือตั้งแต่พุทธศศวรรษที่ ๑๘ -๒๐ เป็นต้นไป ซึ่งน่าจะเป็นการเรียกขานตามอิสริยนามของวงศ์กษัตริย์พระเจ้าสิริธรรม (นคร) หรือพระเจ้าศรีธรรมราชนั่นเอง" อาจ  กล่าวโดยสรุป ได้ว่า เมืองหรือรัฐตามพรค์ เติบโตและพัฒนาขึ้นจาการเป็นชุมขน การค้าในระบบเครือข่ายการค้าโบราณ แถบอินเดีย ศรีลังกา และเอเชียตะวันอกเฉียงใต้ส่วนคาบสมุทรและหมู่เกาะ กระทั่งเริ่มทวีความสำคัญอย่างมากราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ เป็นต้นมจุจนถึงพุทธศศวรรษที่ ๑๖ ในฐานะรัฐที่ควบคุมเศรษฐกิจการค้า  มีอิทธิพลทางการเมืองในระบบมณฑล และยอมรับนับถือทั้งศาสสนาพุทธและพราหมณ์
นอกจากรัฐตามพรลิงค์ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนศรศรีธรรมราชปัจจุบัน ยังเชื่อว่า อาณาจักรศรีวิชัยก็เคยแผ่อำนาจเหนือดินแดนแถบนี้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓ -๑๖ ด้วย (บ้างสันนิษฐานว่า อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยคงอยู่ในนครศรีธรรมราชถึงราวปลายพุทธศวรรษที่ ๑๘) หากยังมีข้อถกเถียงกันมากถึงขอบเขตและศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย ทั้งนี้ ในแง่ขอบเขตน่าจะกินอาณาบริเวณตั้งแต่คาบสมุทรภาคใต้ของไทยรวมทั้งนครศรีธรรรมราชไปถึงชวาภาคกลาง   ส่วนในแง่ของศูนย์กลางอำนาจนั้นยังปรากฎข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง"มีการค้นพบโบราณวัตถุสมัยศรีวิชัยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชจำนวนมาก (บ้างพบปะปนกับโบราณวัตถุในวัฒนธรรมทวารวดี)เช่น พระพิมพ์ดินดิบพบในแถบอำเภอท่าศาลา พระพุทธรูปพบในเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น"  อย่างไรก็ดี โครงสร้างของอาณาจักรศรีวิชัยนั้นน่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบเครือรัฐที่เชื่อมโยงกันผ่านการค้า การเมือง คติความเชื่อ ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม ดังจะพบวัฒนธรรมร่วมกันระหว่างรัฐศรีวิชัยบริเวณคาบสมุทรและหมู่เกาะ แม้จะมีข้อเสนอว่า เมืองนครศรีธรรมราชได้เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง เช่นเดียวกับเมืองสุราษฎร์ธานี แต่ข้อเสนอดังกล่าวก็ยังไม่เป็นข้อยุติในวงวิชาการ ดังกล่าวไปแล้วตอนต้น
เมืองนครศรีธรรมราชมีพัฒนาการต่อเนื่องกระทั่งในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๙ ร่วมสมัยกับอาณาจักรสุโขทัย และเจริญรุ่งเรื่องขึ้นในฐานะศูนย์กลาง คาบสมุทรภาคใต้การปกครองของกษัตริย์ราชวงศ์ศรีธรรมโศกราช ปรากฎหลักฐานกล่าวว่า เมืองนครศรีธรรมรวชมีความเกรียงไกร ขนาดที่ส่งกองทัพไปมืองลังกาถึง  ๒ ครั้ง ทั้งนี้ ความสำเร็จในการจัดการปกครองสะท้อนออกมาในรูปหัวเมืองรอบเมืองนครศรีธรรมราช หรือเมือง ๑๒ นักษัตร" ตามที่ปรากฏหลักฐานใน ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช" คือ
๑. เมืองสายบุรี ตราหนู		๗. เมืองตรัง ตราม้า
๒. เมืองปัตตานี ตราวัว		๘. เมืองชุมพร ตราแพะ
๓. เมืองกลันตัน ตราเสือ		๙. เมืองปันทายสมอ(กระบี่) ตราลิง
๔. เมืองปาหัง ตรากระต่าย		๑๐. เมืองสระอุเลา (สงขลา) ตราไก่
๕. เมืองไทรบุรี ตรางูใหญ่		๑๑. เมืองตะกั่วป่า ถลาง ตราหมา
๖. เมืองพัทลุง ตรางูเล็ก		๑๒. เมืองกระบุรี ตราหมู
	ในด้านการเมือง กษัตริย์ราชวงศ์ศรีธรรมราชมีความสัมพันธ์กับรัฐทางตอนเหนือในลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมทั้งรัฐสุโขทัยด้วย (แม้จะมีข้อเสนอบางส่วนมองว่า สัมพันธ์กันในฐานะ "เมืองขึ้น")โดยส่วนหนึ่งผ่านระบบเครือข่ายด้วยการแต่งงาน โดยแต่ละรัฐไม่มีอำนาจสิทธิ์ในการควบคุมปกครอง เหนือกันและกัน ซึ่งความสัมพันธ์เช่นนี้ในทางอ้อมน่าจะทำให้เกิดความมันคงทางการเมือง ในแง่ว่าลดความขัดแย้งต่อกันในการแย่งชิงอาณาเขตหรือเมืองขึ้นในอีกทางหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐแบบนี้ยังทำให้เกิดการช่วยเหลือกันในด้านอื่น ๆ เช่น ตำนานที่กษัตริย์สุโขทัยขอให้นครศรีธรรมราชส่งฑูตไปขอพระพุทธสิหิงค์จากเมืองลังกา หรือการที่พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากเมืองนครศรศรีธรรมราช  ได้รับการเผยแผ่ในเมืองสุโขทัย อันเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนศรศรีธรรมราชในช่วงเวลาก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘
24 กันยายน, 2568
เมืองนครศรีธรรมราชสมัยก่อนประวัติศาสตร์
จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และสังคมสืบเนื่องมายาวนานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์อีกทั้งในระดับภูมิภาค นครศรีธรรมราชเป็นเมืองสำคัญในบริบททางประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประวัติศาสตร์โลกในช่วงเวลาหนึ่ง ปัจจุบัน จังหวัดนครศรีธรรมราชถือเป็นจังหวัดใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจการค้า สังคมวัฒนธรรม และการคมนาคมที่สำคัญยิ่ง
	หลักฐานการตั้งถิ่นฐานและร่องรอยการอยู่อาศัยของบรรพชนในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมีมาเป็นเวลายาวนาน บริเวณที่พบการอยู่อาศัยของมนุษย์มักเป็นบริเวณถ้ำและเพิงผา ซึ่งเชื่อมต่อกับที่ราบและใกล้แหล่งน้ำ จากหลักฐานทางโบราณคดีเชื่อได้ว่า ดินแดนนครศรีธรรมราชมีผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคหินกลางหรือราว ๑,๐๐๐ - ๘,๓๕๐ ปีมาแล้ว หลักฐานที่พบได้แก่เครื่องมือหินลักษณะเป็นขวานหินกะเทาะ (บ้างเชื่อว่าเป็นระนาดหิน) ที่ถ้ำตาหมื่นยม แถบตำบลข้างกลาง อำเภออวาง ลักษณะคล้ายขวานหินแบบสั้น แบบเดียวกับเครื่องมือหินที่พบที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนที่ถ้ำเขาหลัก (หมายเลข๑)ตำบลสิชล อำเภอสิชล พบเครืองมือหินกะเทาะแบบสองหน้า ลักษณะเป็นขวานหินแบบสั้น และพบภาชนะดินเผาประเภทหม้อกลม ๑ ชิ้น หม้อกันแบน ๓ ชิ้น อย่างไรก็ดี จากการกำหนดอายุเปรียบเทียบกับแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์แหล่งอื่นในภาคใต้เช่น ถ้ำเบื้องแบบอำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถ้ำขี้ชัน และถ้ำปากกอม อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดวัดสุราษฏร์ธานี เครื่องมือหินลักษณะเดียวกับที่พบในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งกำหนดอายุอยู่ในราว๔,๒๐๐ ปีโดยการตีความแบบนี้จะพบว่าโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดนครศรีธรรมราชเริ่มพบมากในสมัยหินใหม่ "
ยุคหินใหม่ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชกำหนดอายุในช่วง ๔,๐๐๐ - ๖,๐๐๐ ปีมาแล้วพบแหล่งโบราณคดีในจังหวัดนครศรีธรรมราชเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากบ่งชี้ว่า มีการขยายอยู่อาศัยขอนมนุษย์ในช่วงหล่านั้นมากขึ้น ส่วนใหญ่ผู้คนอาศัยตามเพิงผาหรือถ้ำ ทั้งโบราณวัตถุ ที่จะเห็นที่พบก็มีหลากหลายชนิดมากขึ้นด้วย เช่น ขวานหินชัดทั้งแบบมีบ่าและไม่มีบ่า ภาชนะดินเผาประเภทหม้อสามชา ภาพระดินเชือกทาบ ลายกคประทับ รวมทั้งลูกปัดทำมาจากเปลือกหอยและกระดูกเป็นต้น แหล่งโบราณคดีที่สำคัญสมัยหินใหม่ได้แก่ ถ้ำข้างในเขาสำโรง อำเภอทุ่งสง ถ้ำเขาโพรงเสือ และเขาปูน อำเภอพรหมคีรี ถ้ำเทวดางวงช้าง บริเวณหุบเขาลานสกาใน ห้วยครกเบือ และเขาต่อ อำเภอลานสกา ถ้ำเขาหินตก อำเภอร่อนพิบูลย์ ถ้ำเขาแดง อำเภอนบพิตำ คลองกลาย อำเภอท่าศาลา เชิงเขาคา อำเภอสิชล คลองท่าเรือ และวัดหัวมีนา (ร้าง) อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เหล่านี้เป็นต้น "
 ในยุคโลหะซึ่งมีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑ - ๓ ดินแดนแถบนครศรีธรรมราชเริ่มได้รับ อิทธิพลจากภายนอก สังคมบ้านเมืองมีพัฒนาการที่ชับช้อนขึ้นโดยพิจารณาได้จากแบบแผนการตั้งชุมชนโบราณวัตถุประเกทเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ หลักฐานทางโบราณคดีสำคัญที่พบคือ กลองมโหระทึกสำริด (ในวัฒนธรรมดองชอน) ๔ ใบ ที่บ้านเกียกกาย อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช บ้านนากะซะ และบริเวณลองคุดด้วน อำเภอฉวาง สุดท้ายที่คลองท่าทน อำเภอสิชล ทั้งนี้ แหล่งโบราณคดีกลุ่มคลองท่าเรือ
	อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งประกอบด้วย แหล่งโบราณคดีบ้านพังสิงห์และบ้านเกียกกาย แสดงถึง
การดื่มตั้งถิ่นฐานยุคลิ้มต้นประวัติศาสตว์ในเขตจังหวัดนศรศรีธรรมราชอย่างชัดเจน”
ในสมัยแห่งกรสร้างบ้านเปกเมืองหรือการก่อทั้งรัฐดูดเริ่มแทรากาว ๓,๕๐๐ ทั้งนี้มีข้อเสนอว่า ยุคประวัติศาสตร์ของนครศรีธรรมราชเริ่มตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ เนื่องจากพิจารณาจารึกอักษรโบราณที่พบเป็นเกณฑ์เทียบวัด โดยจารึกรุ่นแรกเป็นจารึกอักษรบัลลวะซึ่งใช้กันแพร่หลายแถบอินเดียภาคใต้ มีทั้งหมด ๓ หลักคือ ๑. จารึกหุบเขาช่องคอย พบที่ตำบลดวนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์จารึกเป็นอักษรปัลลวะะ ภาษาสันสกฤต เป็นจารึกในศาสนาพรารมณ์ ลัทธิ์ไศวนิกาย จารักวัดมเหยงคณ์ พบที่วันมเหยงคณ์ อำเภอมืเองนดรศรีธรรมราช จารึกเป็นภาษาปัลลวะ ภาษาสันสกฤต  กล่าวถึงรายละเอียดของการปฏิบัติศาสนกิจ และ ๓.จารึกวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร พบที่ พระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมืองนครศรีธรธรรมราช จารึกเป็นอักษรปัลลวะ ภาษามอญโบราณ์  จารึกทั้ง ๓ หลักนี้ บ่งชี้ถึงสภาพสังคมที่มีพลวัต และการติดต่อสัมพันธ์กับดินแดนหรือ อารยธรรมภายนอก 
หากพิจารณาจากหลักฐานจะพบว่า  การสร้างบ้านแปงเมืองใน ยุคแรกของนครศรีธรรมราชได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดีย ค่อนข้างสูง ขาวอินเดียทั้งพ่อค้าและนักบวช น่าจะออกเดินทางมาดินแดนแถบนี้ นำเอาวิทยาการ คติความเชื่อ รวมทั้งศาสนามาเผยแผ่ กระทั่งคลี่คลายผสมผสานกับความเชื่อ รสนิยม และศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นในเวลาต่อมาบรรพชนผู้อยู่อาศัยในนครศรีธรรมราที่เลือกชัยกชัยรูมีในการสร้างซุมชนได้ดีย่ง คือ สันทรายชายฝั่งทะเลอ่าวไทยซึ่งมีความยาวกว่า ๑๐๐ กิโลเมตรซึ่งนักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ ๖,๐๐๐ ปีก่อน" มีศูนย์กลางอยู่ที่ "หาดทรายแก้ว" ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองดังกล่าว พบหลักฐานโบราณวัตถุและโบราณสถานภายใต้อิทธิพลอารยธรรมอินเดียจำนวนไม่น้อย จากอำเภอสิชล และอำเภอท่าศาลา เช่น ศาสนสถานอิฐผสมศิลา บ่อน้ำโบราณ ศิวลีงค์ โยนิโทรณะเทวรูปในศาสนาพราหมณ์ พระพุทธรูปแบบ อมราวดี และแบบคุปตะ เป็นต้น หลักฐานโบราณวัตถุที่สำคัญ เป็นกลุ่มเทวรูปพระนารายณ์รุ่นแรกในประเทศไทย มีเทวรูปพระนารายณ์ที่สำคัญจำนวน ๒ องค์  พบในอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช (ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช)
เทวรูปกลุ่มนี้มีอายุในช่วงพุทธศตวรรษ ที่๙ - ๑๐ ปรากฏอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบมถุราและอมราวดีตอนปลาย หลักฐานดังกล่าวแสดงถึงความสัมพันธ์ทางการค้าและศาสนาระหว่างเมืองนครศรศรีธรรมราชกับรัฐภายนอกโดยอพาะอินเพื่อในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๒ เริ่มพบพระพุทธศาสนาเข้ามา มีบทบาทต่อผู้คนในดินแดนแถบนี้ ดังพบโบราณวัตถุเศียรพระพุทธรูปศิลาขนาดเล็กที่อำเภอสิชล  อย่างไรก็ดี ศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามาก่อนนั้น ยังคงเป็นความเชื่อที่ส่งอิทธิพลต่อผู้คนจำนวนมากดังจะเห็นได้ว่า ชุมชนโบราณสิชลซึ่งตั้งอยู่บนแนวสันทรายที่ทอดตัวตามแนวเหนือ - ใต้นั้น คันพบโบราณสถานและโบราณวัตถุเนื่องในศาสนาพราหมณ์มากมาย โดยนัยนี้ ตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๐- ๑๒ สังคมวัฒนธรรมของนครศรีธรรมราชเริ่มมีการผสมผสานของคติความเชื่อระหว่างพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์อยู่ร่วมกัน
ด้วยสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมของนครศรีธรรมราชที่มีความอุดมสมบูรณ์มีทรัพยากรทางธรรมชาติ รองรับการขยายตัวของชุมชน รวมทั้งการเข้ามาพำนักอาศัยของผู้คนจากภายนอก การเป็นที่ราบที่ค่อนข้างกว้างขวางโดยเปรียบเทีย(กับพื้นที่อื่นของคาบสมุทรภาคใต้ส่งผลดีต่อการทำการเกษตร นอกจากนี้ พื้นที่ที่ติดกับทะเลยังเอื้ออำนวยอย่างมากต่อการเป็นเมืองท่าการค้า  นักวิชาการหลายท่านจึงมองว่า คาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทยในส่วนเมืองนครศรีธรรมราชเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญอย่างยิ่งระหว่างตะวันตกและตะวันออก สามารถเชื่อมโยง ๒ มหาสมุทรใหญ่คือ มหาสมุทรอินเดียผ่านทะเลอันดามัน และมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านทะเลอ่าวไทย การเป็นเมืองท่าย่อมทำให้สังคมนครศรีธรรมราชเกิดการปะทะสังสรรค์ทางการค้า วิทยาการ วัฒนธรรม และศาสนา ส่งผลให้เมืองเกิดพัฒนาการกลายเป็นรัฐขนาดใหญ่เหนือหัวเมืองรายรอบริเวณนั้น
ที่มา : หนังสือปกิณกศิลปวัฒนธรรมเล่มที่ 22 จังหวัดนครศรีธรรมราช.กรมศิลปากร พิมเผยแพร่พุทธสักราช ๒๕๕๙
วัดแจ้งวรวิหาร
วัดแจ้งรรวิหาร เป็นพระอารามหลวง ขั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งหที่ ๒๓ ถนนราชดำเป็น ตำบลท่าวัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช" สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เป็นวัดโบราณมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ นับเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกของคณะมหานิกายเมืองนครศรีธรรมราช ดังประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๓ ตอนที่ ๑๐๒ ลงวันที่ ๑๗,มิถุนายน ๒๕๒๙
พื้นที่และอาณาเขต
วัดแจ้งวรวิหารมีเนื้อที่ตามโฉนดที่ดิน เลขที่ ๙๘๓๓ เล่ม ๙๙ ๙ หน้า ๓๓ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ประมาณ ๑๗ ไร่ ๕.๑๐ คารางวา มีกำแพงล้อมรอบบริเวณตูทางเข้าวัดมี ๒ ด้าน คือด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นหน้าวัด และด้านทิศเหนือ มีอาณา
ทิศเหนือ ติดถนนพัฒนาการ - วิทยาลัยเทคนิคนครศรีธรรมราช
ทิศตะวันออก ติดถนนพัฒนาการ
ทิศใต้ ติดวัดประดู่พัฒนาราม
ทิศตะวันตก ติดถนนราชดำเนิน (ทางหลวงแผ่นดินสายนครศรีธรรมราช - ท่าแพ)
วัดแจ้งวรวิหารมีเนื้อที่ตามโฉนดที่ดิน เลขที่ ๙๘๓๓ เล่ม ๙๙ ๙ หน้า ๓๓ อำเภอเมือง
นครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ประมาณ ๑๗ ไร่ ๕.๑๐ คารางวา มีกำแพงล้อมรอบบริเวณ
ตูทางเข้าวัดมี ๒ ด้าน คือด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นหน้าวัด และด้านทิศเหนือ มีอาณา
ทิศเหนือ ติดถนนพัฒนาการ - วิทยาลัยเทคนิคนครศรีธรรมราช
ทิศตะวันออก ติดถนนพัฒนาการ
ทิศใต้ ติดวัดประดู่พัฒนาราม
ทิศตะวันตก ติดถนนราชดำเนิน (ทางหลวงแผ่นดินสายนครศรีธรรมราช - ท่าแพ)
นามพระอาราม
พระอาทามแห่งนี้มีนานเรียกกันเป็น อย่างได้แก่ วัดแจ้งรรรวิหาร วัดแจ้ง พระอารามหลาง
และวัดแจ้ง
"วัดแจ้งวรวิหาร" เป็นชื่อที่วัดเรียก ปรากฏหลักฐานที่ซุ้มประตูทางเข้าวัดด้านถนนราชดำเนิน ซึ่งเป็นประตูทางเข้าหลักของวัด" รวมทั้งในเอกสารที่วัดจัดพิมพ์เผยแพร่ เช่น หนังสือที่ระลึกสิริอายุวัฒนมงคล ๘๔ ปี พระเทพปัญญาสุธี Lพร้อม โกวิโท) รองอธิการบดี มหหาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช แต่ในส่วนที่ ๑ มุทิตาพจน์ "เถรของพระธรรมวิมลโมลี เจ้าคณะภาค ๑๖ วัดไตรธรรมาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในหนังสือเล่มวเรียกนามพระอารามแห่งนี้ว่า "วัดแจ้ง พระอารามหลวง" เช่นเดียวกับในเอกสารทางราชการส่วนใหญ่ เช่น
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ในวโรกาสพระลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓๓ ความว่า "...พระราชวิสุทธิมุนี เป็นพระสุธี ศรีธรรมานุนายก ตรีปิฎกวิภษิต มหาคณิศสร บวรคามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดแจ้งอารามหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช..." รวมทั้งในใบแต่งตั้งสมณศักดิ์ ก็ใช้คำว่าพระอารามหลวง" เช่นเดียวกันหนังสือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต ๑ ที่ ศธ๐๔๐๖๙/๕๔๙๔ เรื่อง ขออนุญาตจัดตั้งโรงเรียนในระบบ ประเภทสามัญศึกษา ลงวันที่ ๖ พศษจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งในหนังสือฉบับดังกล่าว นมัสการมายังเจ้าอาวาสวัดแจ้ง พระอารามหลวง อีกทั้งยังยังถึง"หนังสือวัดแจ้ง พระอารามหลวง ที่ ๐๓๙/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๕๘" อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในประกาศนายทะเป็นภูนิธิ จังหวังหวัดหวีรรรรมราช เรียง จดทะเป็นแก้ไขข้อบังคับของ "มูลนิธิวิทยาลัยสงฆ์ภาคทักษิณ" ใช้คำว่า "วัดแจ้งวรวิหาร”
อนึ่ง ในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีวัดที่มีชื่อว่า วัดแจ้ง จำนวน ๓ วัด คือ วัดแจ้ง พระอารามหลวง ตำบลท่าวัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช วัดแจ้ง ตำบลท่างิ้ว อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช และวัดแจ้ง ตำบลบ้านเพิ่ง อำเภอปากพนัง
ประวัติและความสำคัญของวัด
วัดแจ้งวรวิหาร เป็นวัดเก่า ทั้งอยู่บอกกำแพพเมืองกางห้านทิศทหนือของคลอของท่าวัง ปรมวัติ
ความเป็นมาในการสร้างวัดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๕ ของ
กรมการศาสนา และหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๒๓ ของสำนักงานพระพุทธศาสนาระบุว่า
"..สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย ราว พ.ศ. ๑๘๒๓ ตามประวัติที่เล่าสืบกับกับกัน
มาว่าสร้างพร้อม ๆ กับวัดประดู่พัฒนาราม โดยมีพระมหาเถรอนุรุทธและคณะ
ซึ่งย้ายมาจากเมืองคโสทร หรือจังหวัดยโสธรในปัจจุบัน มาดำเนินการให้วัด
มีความเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ...."
ต่อมาเมื่อมีการจัดพิมพ์ในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๒๓ ของสำนักงานพระพุทธ
ศาสนาแห่งชาติ ได้ระบุปีสร้างวัดแจ้งอย่างแน่ชัด พร้อมทั้งได้เพิ่มเติมข้อมูลการได้รับพระราชทาน
วิสุงคามสีมา ความว่า
“...ตั้งเมื่อพศ ๑๘๖๓...............นวิสุหามสีมาเมื่อ พ.ศ.๑๘๒๕
เขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร..."
นอกจากนี้ ข้อความในซุ้มประตูทางทิศตะวันตกทางเข้าวัดด้านนอกระบุนามวัดว่า "วัดแจ้งวรวิหาร" ส่วนด้านในระบุข้อความว่า "สร้าง พ.ศ. ๓๘๒๓"
ผู้เขียนได้ตรวจสอบเอกสารชั้นต้นที่กล่าวถึงประวัติการก่อสร้างวัดแจ้งแต่ยังไม่พบหลักฐาน
โดยตรง พบแต่ข้อความตอนหนึ่งในตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราช ซึ่งผู้เขียนสันนิษฐานว่า อาจจะ
เป็นที่มาของประวัติวัดแจ้งในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรเล่ม ๕ ความว่า
"..เมื่อศักราช ๑๒๐๐ ปีพระญาจันทภานุเปนเจ้าเมือง พระญาพงษา
สุราเปนพระญาจันทภานุเปนเจ้าเมือง พระญาพงษาสุราเปนพระญาจันทภานุ
ตั้งฝ่ายทักษิณพระมหาธาตุเปนเมืองพระเวียง อยู่มาท้าวศรีธรรรมโศกถึงแก่กรรม
พระยาจันทรภานุผู้น้องเป็นเจ้าเมือง.......
...พระมหาเถรอนุรุทธ์ รื้อญาติโยมมาแต่ยศโสทร สร้างวัดประดู่..""
ศักราช ๑๒๐๐ ในตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราช ดังกล่าวนี้ ถ้าเป็นมหาศักราช ตรงกับ
พุทธศักราช ๑๘๒๑ ซึ่งในเนื้อความของตำนานที่กล่าวถึง "พระมหาเถรอนุรุทธ์ รือญาติโยมมาแต่
ยศโสทร สร้างวัดประดู่" ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศักราชในข้างต้น เป็นเพียงแต่เรื่องรวที่อยู่ต่อเนื่องกัน
เท่านั้น ซึ่งสันนิษฐานว่า ผู้เขียนประวัติการสร้างวัดแจ้งบุคคลแรก อาจจะนำเรื่องราวในตำนานพระธาตุ
นครศรีธรรมราชข้างต้นมาใช้ แต่เข้าใจคลวดเคลื่อน จึงระบุว่า วัดแจ้งสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๓ โดย
พระมหาอนุรุทธ์ จากเมือง"ยศโสทร" จังหวัดยโสธรในปัจจุบัน ซึ่งความจริงแล้ว "ยศโสทร" ในตำนาน
พระธาตุนครศรีธรรมราชนั้น หมายถึง เมืองเขมร
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า ประวัติวัดประดู่พัฒนาราม ซึ่งอยู่ติดกับวัดแจ้ง ในหนังสือ
ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๒๓ กลับระบุแต่เพียงสั้น ๆ ว่า ".ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๑๕๕ ได้รับพระราชทาน
วิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๐..." ซึ่งยังยังจสอบที่มาของศักราชดังกล่าวไม่พบเช่นเดียวกัน
ประวัติวัดแจ้งวรวิหารเท่าที่สามารถสืบค้นได้เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตระกูล ณ นคร
ดังปรากฏ ในพงศาวดารเมืองนครศรีธรรมราช ของหลวงอนุสรสิทธิกรรม (บัว ณ นคร) ความว่า
"..คุณซุ่มได้เป็นกรรยาเจ้าพัฒน์ เจ้าพัฒน์นี้เป็นบุตรปลัด มีพี่สาวคน
๑ ชื่อคุณซี คุณฑ์ไม่มีสามี มารดานั้นเรียกว่า คุณหญิง ๆ สร้างวัดประคู่ คุณชี
สร้างวัดแจ้ง ที่อยู่ตำบลท่าวังเดี๋ยวนี้... "
อีกทั้งยังมีเรื่องเล่าว่า บริเวณที่สร้างวัดเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช
มาแต่เดิม ภายหลังเมื่อได้ย้ายไปตั้งบ้านเมืองในเขตกำแพงเมือง จึงยกที่ดินให้เป็นที่สร้างวัดเหมือนกับ
ที่เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ยกวังให้เป็นที่สร้างวัดท่าโพธิ์ (ใหม่) "
ส่วนในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรเล่ม ๕ กล่าวว่า ครั้นถึง พ.ศ. ๒๙๓๐ วัดแจ้งได้
ทรุดโทรมลงเพราะชาดการบำรุง คุณชีซึ่งเป็นพี่สาวของเจ้าพระยานครพัฒน์ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
จึงได้ปฏิสังชรณ์วัดแจ้ง และคุณหญิงมารดาของเจ้าพระยานครพัฒน์ ได้ปฏิสังชรณ์วัดประดู่พัฒนาราม
จึงกล่าวได้ว่า วัดแจ้งและวัดประคู่นั้นเป็นวัดแม่วัดลูกกัน ทั้งยังถือว่าเป็นวัดสำหรับวงศ์ตระกูล ณ นคร
ได้บำรุงเป็นอย่างดีตลอดมา" เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๒ เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) ได้ปฏิสังขรขรณ์
วัดแจ้ง และวัดประดู่ " และที่วัดแจ้งนี้ ยังเป็นที่เก็บอัฐิของสายตระกูล ณ นคร นับตั้งแต่อัฐิของ
พระเจ้าขัดติยราชนิคม สมมติมไหสวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) และหม่อมทองเหนี่ยว รวมทั้ง
สายตระกูล ณ นครในสมัยต่อมา อีกด้วย
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วัดแจ้งเป็นวัดสำคัญรองจากวัดพระบรมธาตุ (พระมหาธาตุ)
มัยนั้นวัดพระบรมธๆๆเป็นเขตพุทธาวาส ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา โดยมีพระครูกาเป็
พระธาตุทั้ง ๔ ทิศ ได้แก่ พระครูกาเดิมด้านทิศเหนือ พระครูกาแก้วด้านทิศตะวันออก พระครูการามด้าน
ทิศใต้ และพระครูกาชาดด้านทิศตะวันตก ส่วนวัดท่าโพธิ์ก็ยังไม่มีบทบาทความสำคัญเหมือนเช่นทุกวันนี้
วัดแจ้งจึงเป็นวัดที่มีบทบาทสำคัญในสังคมเมืองนครศรีธรรมราชในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน "วัดแจ้ง อำเภอเมือง
ตำบลท่าวัง" เป็นโบราณสถานสำหรับชาติ แต่มีได้กำหนดขอบเขตที่ดินโบราณสถาน " ต่อมาใน พ.ศ.ศ.
๒๕๔๗ จึงได้ประกาศพื้นที่โบราณสถานประมาณ ๑ งาน ๕๕ ตารางวา โบราณสถาน คือ เก๋งจีน"
โบราณสถาน สถานที่ และสิ่งสำคัญภายในวัด
เมื่อครั้งพระเทพปัญญาสุธี (พร้อม โกวิโท) มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดแจ้ง วัดอยู่ในสภาพ
ชำรุดทรุดโทรม อาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในวัดในปัจจุบันส่วนใหญ่ก่อสร้างขึ้นใหม่ มีเพียงแต่เก๋ง
จีนเท่านั้นที่สร้างมาตั้งแต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ส่วนพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิเจ้าอาวาส
หอกลองและหอระฆัง สร้างขึ้นในช่วงที่พระเทพปัญญาสุธี (พร้อม โกวิโท) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส
ดังมีรายละเอียดดังนี้
เก๋งจีน เก๋งจีนเป็นอาคารก่ออิฐอีกปูนมุงกระเบื้อง หันหน้าไปทางทิด้ หน้าต่างหรือ
ช่องระบายอากาศเป็นรูปวงกลม ภายในวงกลมทำเป็นซี่กรง ประตูทางเข้าเป็นเครื่องไม้แกะลายฉลุ
เป็นลายจีนส่งมาจากเมืองจีน ด้านหน้าเก๋งมีซุ้มลายปูนปั้น ๒ ซุ้ม
ภายในเก๋งจีนมี "บัว"" ลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ๒ องค์ โดยบัวองค์ตะวันออกเป็นที่บรรจุอัฐิของพระเจ้าขัตติยราชนิคม สมมติมไหสวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) และบัวองค์ตะวันตกบรรจุอัฐิหม่อมทองเหนี่ยว ชายาเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) ซึ่งบัวบรรจุอัฐิฐินี้สร้างโดยเจ้าพระยานครพัฒน์ บุตรเขย และคุณหญิงชุ่ม บุตรี ดังปรากฏในพงศาวดารเมืองนครศรีธรรมราชของหลวงอนุสรสิทธิกรรม (บัว ณ นคร) ความว่า
"...เจ้านครก็ถึงอนิจกรรมที่กรุงเทพฯ เจ้าพระยานครพัฒน์ กับ
 	คุณหญิงชุ่มได้เก็บอัฐิเจ้านครกับอัฐิหม่อมทองเหนี่ยวมาก่อเจดีย์ทำดีย์กบรรงให้
วัดแจ้งเมืองนคร..." **
บัวทั้งสององค์นี้ เป็นบัวที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ลักษณะบัว เป็นฐาน ๓ ชั้น
ย่อมุมไม้สิบสอง สูงประมาณ ๒ เมตรเศษ บัวก่ออิฐถือปูน โดยใช้ปูนขาวผสมน้ำอ้อย เรียกว่า ปูนเพชร
ตกแต่งผิวนอกปูนฉาบด้วยลายปูนปั้นเป็นรูปกระจัง ติดกระจกสี การปิดทองลาย ปิดลงบนเนื้อปูน ไม่ได้
ลงรักก่อน จึงไม่ค่อยคงทนเท่าที่ควร พื้นทาสีแดงชาด ส่วนยอดเป็นรูปดอกบัวตูมมีก้านดอก สีแดงกลีบ
ดอกบัวปิดทองและประดับกระจกสี เพื่อให้เป็นที่สังเกตระหว่างบัวบรรจุฐิของผู้ชายกับบัวบรรจุอัติ
ง โดยบัวบรรจุอัฐิของผู้ชายทำเป็นเจดีย์ทรงระฆังย่อมุมไม้สิบสอง เครื่องยอดเป็นบัวกลุ่มเถาและเครื่องยอดส่วนบัวบรรจุอัฐิผู้หญิงยอดทำเป็นรูปดอกบัว
	ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๕ กฎมศิลปากรได้จัดงบประมาณ ๗๐,๐๐๐.- บาท ให้แก่หน่วยศิลปากรที่
นครศรีธรรมราช เพื่อบูรณะโบราณสถาน เก๋งจีนวัดแจ้ง ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนศรศรีธรธรรมราช
หวัดนครศรีธรรมราช แล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๕๑๖
อนึ่ง ในบริเวณเก๋งจีน เป็นที่ตั้งของเจดีย์บรรจุอัฐิของสายตระกูลที่มีความเกี่ยวข้องกับ
วัดแจ้ง เช่น ตระกูล ณ นคร ตระกูลภู่รัตนโอภาและสายสัมพันธ์ ตระกูลปานเผาะและสายสัมพันธ์ ตระกูล
ธนาวุฒิและสายสัมพันธ์ ตระกูลนิชานนท์ ตระกูลเลาหวณิช เป็นต้น
พระอุโบสถ ตั้งอยู่บริเวณด้านทิศตะวันออกเลือเหนือของวัด สร้างเมื่อ พ.640
เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ๖ ห้อง มีกำแพงแก้วล้อมรอบ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีหน้าต่าง
ด้านช้างด้านละ ๖ บาน โดยด้านในปิดกระจก ส่วนด้านนอกเป็นเหล็กดัดรูปจักร ซุ้มหน้าต่างเป็นซุ้ม
รูปมงกุฎ พระเทพปัญญาสุธี (พร้อม โกวิโท) ให้ข้อมูลว่า พระอุโบสถหลังใหม่นี้สร้างบนพระอุโบสถ
หลังเก่าซึ่งเป็นมหาอุด
หลังคาพระอุโบสผงเป็นหลังคาช้อน ๒ ขั้น มุงกระเบื้องสีต้ม ประดับต่อพัา ใบระกา และ
หางหงส์ หน้าบันพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย ประดับด้วยลายก้านขด ถัดลงมา
ทำเป็นปูนปั้นนูนสูงรูปเทวดาเหาะ ๒ องค์ มือข้างหนึ่งถือดอกบัว จากนั้นลงมาจึงทำเป็นบัวหัวเสา
และเป็นผนังอาคารแบ่งออกเป็น ๓ ช่อง โดย ๒ ช่องด้านข้างเป็นประตูทางเข้าพระอุโบสถ ส่วน
ช่องกลางมีขนาดใหญ่กว่าช่องประตูทางเข้า ๒ เท่า ซุ้มประตูทางเข้าพระอุโบสเป็นรูปราหูอมจันทร์
บริเวณช่องกลางเจาะช่องเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปลีลา อยู่ภายได้ซุ้มรูปมงกุฎ ถัดออกไปทางด้าน
ทั้งสองของซุ้มพระพุทธรูปลีลา เป็นประตูทางเข้าพระอุโบสถ ซึ่งมี ๒ ประตู พระอุโบสถมีประตูทางเข้า
เฉพาะต้านหน้า ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระอุโบสถ ลักษณะเป็นประตูด้านข้าง ๒ ประตู ส่วนด้วนด้าน
หลังของพระอุโบสถไม่มีประตู แต่ไม่ได้ก่อเป็นผนังทึบ โดยทำเป็นช่องหน้าต่างเหล็กตัดเป็นรูปเทพนม
๒ ช่อง ซึ่งอยู่ด้านหลังพระประธาน
ใบเสมา  ตั้งอยู่บนฐานบัว ถัดขึ้นไปทำเป็นรูปดอกบัวบาน  ใบเสมา เป็นเสมาคู่  ประดิษฐานอยู่ภายในดอกบัว
ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธสิหิงค์เป็นพระประธาน ประดิษฐานอยู่ภายใต้ฉัตร ๓ ชั้น
ส่วนผนังหุ้มกลอง ด้านตรงข้ามพระประธานทำเป็นแจกันครึ่งใบขนาดใหญ่ภายในมีดอกบัว ๙ ดอก
มีข้อความผู้สร้างว่า "ขออุทิศส่วนบุญให้ ภ.ญ..ภัทรพร ตันตยาภรณ์ จาก สุวีนย์ ตันตยาภรณ์, ญาติพี่น้อง
๖ สิงหาคม ๒๕๑๗ " ซึ่ง พ.ศ. ๒๕๕๑๗ ในจารึกนี้ เป็นปีที่ ภ.ญ. ภัทรพร ตันตยาภรณ์ เสียชีวิต ไม่ใช่
ปีสร้างแจกัน ส่วนบนเพดานทำเป็นดาวเพดานดวงใหญ่ล้อมรอบด้วยดวงเล็ก ๘ ดวง
ศาลาการเปรียญ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเอียงได้ของวัด เป็นอาทอนกร็ตเสร็มเหล็ก
6 ชั้น หันหน้าไปทางทิศเหนือ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ โดยพันตรี จวง ปานจินดา เพื่ออุทิศให้บุตรชาย
ชื่อนายจุมพล ซึ่งสือชีวิตจากตุบัติเหตุก่อนที่จะอุประอุประยทั้งชื่อศากาการาปยบา"
หลังคาทรงไทยประยุกต์ มีบันไดทางขึ้น ๒ ข้าง จากด้านนอกบริเวณด้านหน้าอาคาร โดยทำเป็นมุข
ยื่นออกมาตรงกลางของศาลา ชั้นล่างใช้สวดมนด์ และทำบุญญในวันพระ
หอฉัน เป็นศาลาอเนกประสงค์ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงได้ขอะวัด เป็นอาคาร
มเหล็ก ๒ ชั้น หันหน้าไปทางทิศตะวันตก สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓ หลังควทรงไทยบ
ฟ้า ใบระกา และหางหงส์ มีบันไดทางขึ้นจากด้านนอกอาคารบริเวณด้านหน้าทั้ง ๒ ด้าน
กุฏิหั้ว อุดมพันธ์ บ.ม. ตั้งอยู่ติดกับพอฉัน เป็นอาคอนกรีดเทิมเหล็ก ๒ ชั้น ทันหน้า
ทางทิศตะวันตก หลังคาทรงไทยประยุกต์ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๙ เคยใช้เป็นสำนักงานเจ้าคณะภาค
กุฏิเจ้าธาวาส ตั้งอยู่ในแนวเดียวกับทอฉัน เป็นอาคาหอนกร็มเหล็ก ๒ ชั้น ทันหน้า
ทางทิศตะวันตก หลังคาทรงไทยประยุกต์ มีเฉลียงล้อมรอบ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓
กุฏศรีธีรพงศ์ ตั้งอยู่ด้านหลังโรเรียนสามัญวัดแจ้ง คิดกันกันพงท้วนหนือของวัด เป็นอาคาคาร
คอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้น หันหน้าไปทางทิศตะวันออก สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ โดยพระครูสิริรัตน
วราภรณ์ (พิษณุ ป.ธ. ๔, น.ธ. เอก, พธ.บ.)
ศาลาพระครูสิริรัตนวราภรณ์ (พิษณุ ป.ธ. ๔ , น.ธ. เอก, พธ.บ.) ตั้งอยู่ด้านหลังโรงเรียน
สามัญวัดแจ้ง เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕๕ หันหน้าไปทางทิศ
ตะวันออก อยู่ด้านหลังมหาวิทยาลัยสงฆ์ภาคทักษิณ ข้างในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ที่หน้าบันเป็นรูปพระพรหม ใต้รูปพระพรหมเป็นชื่อ "ศาลาพระครูสิริรัตนวราภรณ์ (พิษณุ ป.ธ. ๔,
น.ธ. เอก, พธ.บ.) สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕"
หอระฆัง อยู่ในกลุ่มเจดีย์ที่บรรจุฐี สร้างเมื่อ พ.ศ.ศ. ๒๙๗ เป็นอาคาร ชั้น ชั้นล่าง
แรวนกระดึงสำรัด ส่วนชั้นขนมชานกรหลัง มีอันโดเหล็กใช้สำหรับขึ้นลงลากขึ้นล่างขึ้นชั้นมีชัดทาย
"สกุลอรรถวิภาคย์โพศาล อุทิศให้กูเมือง ย่าหุ่น พ่อแจ้ง แม่เจิ้ม เมษายน ๒๕๑๗
อนุสาวรีย์พระราชธรรมเวที (เรือง วุตฺฌิมาณแตร) ตั้งอยู่ด้านหน้าหยรรนัง เป็นผู้ก่ดตั้ง
วิทยาลัยสงฆ์ภาคทักษิณ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาศม พ.ศ.ศ. ๒๕๑๓
ซุ้มประตูหน้าวัด ด้านบนซุ้มทำเป็นทรงไทยประยุกต์ ประกอบด้วยช่อฟ้า ใบระกา และ
หางหงส์ ภายในช้มด้านหน้า ด้านบนเป็นรูปธรรมจักร และด้านล่างมีข้อความว่า "วัดแจ้งวรวิหาร"
ส่วนหน้าบันด้านในมีข้อความ "สร้าง พ.ศ. ๑๘๒๓"
ซุ้มประตูทางด้านทิศเหนือ ชื่อประตูพระวิษณุ ภายในซุ้มประตูทำเป็นรูปราหูอมจันทร์
ถัดลงมามีข้อความ "ประตูวิษณุ" และถัดลงมามีข้อความว่า "วัดแจ้ง" บรรทัดล่างต่อมา ระบุชื่อผู้ออก
ทุนทรัพย์ในการก่อสร้างคือ "นายบู้ชุ-นางสมทรง สร้าง พ.ศ. ๒๕๓๐" (ด้านนอก)
	นอกจากนี้ กายในบริเวนวัด ยังฎีของพระภิกษุสงษสงฆ์ สมแยกจำนวนหนึ่ง ซึ่งคนึ่ง ซึ่งคย์รังเ
มื่อครั้งเป็นที่ตั้งวิทยาลัยสงฆ์ภาคทักษิณ ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตนครศรีธรรมราช ยังตั้งอยู่ที่วัดแจ้งวรวิหาร ต่อมาเมื่อมหาวิทยาลัยสงฆ์ๆ ได้ย้ายไปตั้งอยู่ที่
หมู่ที่ ๕ ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อาคารเหล่านี้ส่วนหนึ่งจึงไม่ได้ใช้งาน อยู่ใน
สภาพชำรุดทรุดโทรม ได้แก่แก่ อาคารติดแนวกำแพงวัดด้วนทิศตะวันออก ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังกุฏิเจ้าอาวาส
ลำดับเจ้าอาวาส
เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเจ้าอาวาสวัดแจ้งวรวิหาร พระอารามหลวง ได้จากคำสัมภาษณ์
จากพระเทพปัญญาสุธี (พร้อม โกวิโท) ทราบแค่เพียงว่า ก่อน พ.ศ.๒๕๐๐๐ มีพ่อท่านคล้าย เป็นเจ้าอาวาส
ซึ่งท่านมีความรู้เรื่องยารักษาโรค หลังจากนั้นจึงเป็นเป็นพ่อท่านมุย และพ่อท่านวัน หรือพระสมุห์วัน
ภายหลังได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดอื่น วัดแจ้งจึงไม่มีเจ้าอาวาส จนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๕๒๓ พระมหวพร้อม
โกวิโท จึงได้มาจำพรรษาที่วัดแจ้ง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดแจ้ง ต่อมาได้รับ
การแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสในปีเดียวกัน และได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดแจ้งจงจนถึงปัจจุบัน
ประวัติเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
พระเทพปัญญางปี นามเติม พร้อม แก้อง เกิดเมื่อวันจันท์ที่ ๔ ขึ้น ๔ ค่ำเดือน ๗ ปิ
มะมีย ครรกับวันที่ ๖๖๕ พฤษภาคน พเศ. ๒และ อน บ้านเศรที่ บ้านควรนครับ หมู่ที่ ๔ ๙เศฤทธิ์ที่ง
อักเภรชะอาด จังหวัคนครที่ธรรรมราร โฮมบิดาชื่อ สิน แก้วทอง โยมมาชื่อ เล่น มกัน มห็น
เศษช่วย อาชีพทำนา มีพี่น้อง ๘ คน ท่านเป็นคนที่ ๕
บรรพชาและอุปสมบท
บรรพราเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พบศ. ๒๕๘๒๐ พระครูสุทิศรรรรรสสรขาบ สุริคโค) เจ็คนะ
ตำบลบ้านเนิน อำนภอเชื่อใหญ่ จังหวัดนควศรีรรรราธ เป็นพระไามาย์ บรรพระที่วัหายเ
(ควนยาว) สมัยนั้นพระครูสุวรณธรรมรังสี อดีตเจ้าคณะอำเภอชะอวด เป็นเจ้าอาวาส หลังจากนั้น
เดินทางกลับไปเรียนภาษาบาลีที่วัดดูหาฮวรรค์ อำเภอเมืองทัพลุง จังหวัดทัทลุง
เมื่ออายุ ๒๓ ปี ครบอุปอุปลบท ตามเมาพร้อม แก้วทอง กลับจากพัทรูปอุปอุปชมบท ผ
วัดควนยาว วัดเดิมที่บรรพชา เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๔๔๔๕ โดยมี พระศรีธรรมราชมุนี (หมุ่น อิสสโร)
อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช และอดีตเจ้าอาวาสวัดหน้าพระบรมธาตุ เป็นพระอุปัชฌาย์ และ
พระมหาผล จนทโชโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ มีฉายาว่า "โกวิโท" หมายถึง ผู้ฉลาด หรือ ผู้มีความรู้
วิทยฐานะ
หลังจากเด็กขายพร้อม แก้วทอง จบการศึกษาระดับดับประโรคประระรมแล้ว พรรมหางางเจนท.จโล
ได้จักชวนไปเรียนการพระาดีที่วัดดูหาสารรค์ จับหรัศทัศทัทลุง พลลองเรียนภาษาษาเวษาบาฏิเวลมาา
๓ เดือน เป็นที่พอใจของคนเองและครูอาจารย์จึงได้ตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรที่บ้านเกิด และได้
ศึกษาตามลำดับดังนี้
พ.ศ. ๒๔๙๐ สอบได้นักธรรมชั้นตรี
พ.ศ. ๒๔๙๑ สอบได้นักธรรมชั้นโท
พ.ศ.๒๔๙๒ สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค (ป.ธ.๓)
พ.ศ. ๒๔๙๓ สอบได้นักธรรมชั้นเอก
สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค (ป.ธ. ๔)
พ.ศ.๖๔๙๔ สอบได้เปรียฎธรรรม ๕ ประโยค (ป.5. ๕)(ขนะเป็นสามเสามแนว)
พ.ศ. ๒๔๙๕ สอบได้เปรียญธรรม ๖ประโยค (ป.ธ. ๖) สำนักเรียนวัดดูหาสวรรรค์ จังหวัดพัทลุง
พ.ศ.๒๔๙๖ สอบได้เปรียญธรรม ๗ ประโยค (ป.ธ. ๗) สำนักเรียนวัดประยุรวงศาวาส
พ.ศ.๒๔๙๗ สอบได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค (ป.ธ. ๘) สำนักเรียนวัดประยุรวงศาวาส
พ.ศ.๒๕๐๐ สอบได้มั้ธยมศึกษาตอนปลาย (ม. ๘)
พ.ศ.๒๕๐๒ สอบได้ประกาศนียบัตรประโยคครูพิเศษมูล(พ)
พ.ศ. ๒๕๐๓ สอบได้ประกาศนียบัตรประโยคครูพิเศษประถม (พ.ป.)
พ.ศ. ๒๕๐๕ จบปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) มหาจุหารุหารนรารราราชายาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
พ.ศ. ๒๕๐๗ สอบได้ประกาศนียบัตรประโยครูพิเศษมัธยม (พ.ม.)"
พ.ศ. ๒๕๑๑ สำเร็จกาศกษาษาเริญญาศิลปศารมหาบัณฑิต (Waster of of Ats)
สาชา ศาสนาและปรัชญาอินเตีย (Indan Philosophy & Religion)
มหาวิทยาลัยบาณารัส ฮินดู (BANARAS HINDU UNIVERSITY)
เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย
ผลงานสำคัญ
นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นต้นเมา เมื่อพระเทพปัญญาตุปี (พร้อม โกวีไห) ให้มาจำพรรษา พรรษา เเเเ
วัดแจ้ง และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส จากวัดที่เคยรกร้าง วัดแจ้งได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่การปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ภายในวัด และก่อสร้างอาคารเสนาสนะต่างๆ พัฒนาการศึกษาของสงฆ์
ฐานเป็นไทยาเขตขอมหาทิทยาเขมเหาอหกรมราช้าข้าภัย ค่อมาใช้ใช้ที่ต้องไปยังเป็นมาลให้เ
ปัจจุบัน แต่วัดแจ้งก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในด้านการศึกษา โดยเป็นผู้ใด้รับอนุญาตให้จัดตั้ง
การกุศลของวัด คือโรงเรียนสามัญศึกษาวัดแจ้ง ผลงานของพระเทพปัญญาสุธี (พร้อม โกวีโท) แบ่ง
ออกได้ดังนี้
งานการปกครอง
พ.ศ.๒๕๕๑๒ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส กรุงเทหมหานคร
พ.ศ. ๒๕๑๓ เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดแจ้ง
อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
๒๕๑๓ เป็นเจ้าอาวาสวัดแจ้งอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศ
พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช
พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นรองเจ้าคณะภาค ๑๖
พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๕๒๙ เป็นเจ้าอาวาสวัดแจ้ง พระอารามหลวง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช
จังหวัดนครศรีธรรมราช
พ.ศ. ๒๕๓๐ - ๒๕๓๓ เป็นเจ้าคณะภาค ๑๖
งานการศึกษา
พ.ศ.๒๔๔๙๓ เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม วัดราษฎร์บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงชลา
พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็นครูสอนในสำนักคูหาสวรรค์ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัดพัทลุง
พ.ศ.๒๔๔๙๖ ครูสอนพระปริย์ติธรรม วัดประธุรวงศาวาส กรุงเทพมหามคร
เป็นกรรมการตรวจประโยคนักธรรมสนามหลวง และประโยคบาลีสนามหลวง
พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นกรรมการจัดตั้ง สอน-อบรมศีลรรม โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (แห่งแรกในประเทศไทย)
พ.ศ. ๒๕๐๒ เป็นอาจารย์ใหญ่สำนักเรียน วัดประยุรวงศาวาส กรุงเทพมหานคร
๒๕๐๓ เป็นกรรมการอบรมศีลธรรมแก่เด็กและเยาวชน กองจริยศึกษา กรมการ
กระทรวงศึกษาธิการ
ฟศ.๒๕๐๔ เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลการณราชวิทยาสัย
พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นกรรมการ และสอนบาลีภาศพิเศษสำหรับประชาชน มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นกรรมการหน่วยวิจัยทางพระพุทธศาสนา กรมการศาสนา
กระทรวงศึกษาธิการ
พ.ศ. ๒๕๑๐ เป็นพระธรรมทูตสายที่ ๘ เป็นวิทยากร มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ ๒๕๑๑ เป็นหัวหน้ากองเผยแผ่ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ. ๒๕๑๓ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตศึกษาวิทยาลัยสงฆ์ภาคทักษิณ อำเภอเมือง
      นครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
พ.ศ.๒๕๑๓ เป็นครูสอนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ วัดหน้าพระบรมธาตุ อำเภอเมือง
นครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผลงานด้านการศึกษาของพระทพปัญญาสุรี (พร้อม โกวีโทวีโท) เป็นที่ประจักษ์ชัดของสังคม
พระคุณเจ้าได้รับรางวัลต่างๆ เป็นจำนวนมาก เช่น กระหรวงศึกษาธิการถวายเกียรติบัตรใน
ที่เป็นครู่ใหญ่โรงเรียนผู้ใหญ่(ภิกษุสามเณร) ที่จัดการได้ดีเด่น  ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๕ สมเด็จพระสังฆราช
มอบประกาศนียบัตรยกย่องในฐานะเจ้าสำนักเรียนคณะจังหวัดนครศรีธรรมราชว่าเป็นสำนักเรียน
ตัวอย่าง ตั้งแต่วันที่ ๒ กรกฎกคน พบศ. จะtยะ กอรทุนครระทันขนขนมอบโสงทรงาวสันทรที่นาน่างาง
ผู้อำนวยการโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๗
ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
หลังจากการฝึกเทศน์จากสำนักวัตประยุรวงศาวาส และสภาธรรมกถึก วัดห
วิมลมังคลารามพอสมควรแล้ว พระเทพปัญญาสุธี (พร้อม โกวิโท)ได้แสดงธรรมแก่พุทธบริษัท ข้าราชการ
นักเรียน นิสิตและนักศึกษาโดยลำดับ โดยเฉพาะชาวนครศรีธรรมราชและพุทธศาสนิกชนทั่วไปศรัทธา
เชื่อถือในธรรมกถาของพระเดขพระคุณกันทั่วถ้วนในเทศกาลและวันสำคัญๆ พระเดชพระคุณจะได้รับ
อาราธนาให้บรรยายธรรมทางวิทยุและโทรทัศน์เป็นประจำในตำแหน่งหัวหน้าสถานศึกษาของของสงฆ์
ท่านเจ้าคุณพระเทพปัญญาสุธี (พร้อม โกวิโท) มีโครงการให้นิสิตและนักเรียนออกแสดงธรรมทุกวัด
ในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยพระคุณเจ้าเป็นประธานโครงการ
นอกจากนี้ เกือบทุกปักษ์ของแต่ละเดือนคณะสงฆ์และทางราชการอาราธนาให้พระเทพ
ปัญญาสุธี (พร้อม โกวิโท)ไปบรรยายให้พระสงฆ์ ข้าราชการและพ่อค้าประชาชนรับฟังอยู่เป็นประจำ
งานด้านสาธารณูปการ
สภาพวัดแจ้งวรวิหารในช่วงที่พระเทพปัญญาสุธี (พร้อมโกวิโท) ได้รับการแต่งตั้งให้รัก
เจ้าอาวาสอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม อยู่ในสภาพเกือบรกร้าง อาคารเสนาสนะภายในวัดที่เห็นอยู่ใน
ปัจจุบันแข็นเป็นของใหม่ทั้งหมด นับตั้งแต่พระอโบสถ ศาลาการเปรียญ ๒ ชั้น ๑ หลัง กฏิเจ้าอาวาส ๒ ชั้น
๑ หลังกุฎิสำนักงานเจ้าคณะภาค ๑๖ สองชั้น ๑ หลัง กุฏิสำนักงานเลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๖ สองชั้น
๑ หลัง กฏิแถว ๒ ขั้น จำนวน ๘๐ หลัง และอาคารเรียน ๓ ชั้น ๓๐ ห้องเรียน ๓ หลัง กับหอกลอง
หอระฆัง หอกระจายข่าว อย่างละ ๑ หอ
สมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๕๑๕ ทรงพระกรุณภูโปรดพระราพทานสัญญาบัครทั้งนั้วรมที่ในในโอกากพราชทธรรราชพิธี
ฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๕ ให้เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระศรีธีรพงศ์"
นับว่าเป็นพระราชาคณะรูปแรกของวัดแจ้ง คนทั้งหลายมักเรียกท่านเจ้าคุณพระศรีธีรพงศ์ใ
"ท่านเจ้าคุณวัดแจ้ง"
พ.ศ. ๒๕๒๔ ทรงพระกรุณกโประระรารพานสัญญาบัตรทั้งนั้นธนที่ใบโบโอการธกพหพราทราชทรี
เฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๔ ให้เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชวิสุทธิมุนี""
พ.ศ. ๒๕๓๓ ทรงพระกรุณภูโปรดพระรารพานสัญญาบัตรทั้งทั้งสมคนในโลการพระระกะระรายพิธี
เฉริมพระชนมพรรษา วันที่ ๕ ธันวาคน ๒๕๓ ให้รับพระราชาคณะชั้นเทพที่ "พระเทพปัญญาสุธี""
การศึกษาภายในวัด
ภายในวัดแจ้งรรวิหารป็นที่ตั้งของโรเรียนหนัญศึกษกษกชวัง ชื่อรุ่บวิตระวัดทางทิตะวันตา
เฉียงเหนือของวัด มีพื้นที่ ๓ ไร่ ๑ งาน ๒๑ ตารางวา อาคารเรียนเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ๓ ชั้น
เดิมเป็นที่ตั้งของ "วิทยามัยลาคาหรือรรมราย" ก่อดี้โดยหรือรรรณราชานี  เถิง วุพลัฐานเทขา"
เปิดเรียนเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ จนกระทั่งพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย วิทยาเขตนศรศรีธรรมราชในปัจจุบัน
โรงเรียนสามัญศึกษาวัดแจ้งจัดการเรียนการสอนในลักษณะโรงเรียนการกุศลของวัด สังกัด
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน เปิดจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับมัยยมศึกษาตอนต้น และ
มัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีพระเทพปัญญาสุธี (พร้อม โกวิโท) เจ้าอาวาสวัดแจ้ง พระอารามหลวง
ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ภาศทักษิณ "
โรงเรียนแห่งนี้มีประวัติดวณเป็นมายาวนานกว่า ๔๐ ปี นับทั้งแต่ พเศ. ๒๕ พระเทพ
ปัญญาสซี (พร้อม โกโท) มื่อครั้งป็นทรมหาพร้อม โทโทวีไท ล้าหกทารให โค้รอกรรมาทการมาาทาาา
กระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งโรงเรียนพระบริย์ติธรรมแผนกสามัญ และได้รับอนุญาตตามใบอนุญาต
กรมการศาสนาที่ ๘/๒๕๑๕ ภายใต้ชื่อว่า "โรงเรียนสาธิดศึกษา วิทยาลัยสงฆ์ภาคทักษิณ" โดยมี
พระมหาพร้อม โกวิโท เป็นผู้จัดการและครูใหญ่ ซึ่งพระคุณเจ้าเป็นผู้บริหารโรงเรียนมาจนถึงปัจจุบัน"
	ปัจจุบันวัดแจ้งวรวิหาร ได้เปิดการจัดการศึกษาโดยไม่คิดมูลค่าให้กับพระภิกษุ สามเณร และ
นักเรียนชาย หญิง มีครู ๑๗ รูป/คน นักสียมทั้งสิ้น ๑๕๖ รูป/คน ประกอบด้วยหลักสูตร
๑. ระดับมั้ธยมศึกษาปีที่ ๑ - ๖ ตามหลัครมกนกลากาการศึกษาขึ้นขึ้นขึ้นฐาน พ.ศ.๒๕๕๑
๒. ระดับธรรมศึกษะขั้นตรีถึงขั้นเอก ของนักถือนชายหญิง คานหลักสูตรธรรมสนามหลวง
๓. แผนกบาลี ขั้นบาลีโวยากรณ์ ถึง ป.ธ. ๙ ตามหลักสูตรธรรมสนามหลาง
๔. ระดับธรรมศึกษาขั้นตรี ถึงชั้นเอก ของพระภิกษุ สามเณร ตามหลักสูตรธรรมสนามหลวง
นอกจากนี้ วัดแจ้งยังมีโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์อีกด้วย
ฌาปนสถาน
ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันตกเฉียงใต้ภายในบริเวณวัด อาคารฌาปนกิจหลังปัจจุบัน ได้แก่ เมรุ
พร้อมศาลาประกอบพิธี ซึ่งพระเทพปัญญาสุธี (พร้อม โกวิโท) เป็นผู้สร้างค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง
๙,๐๐๐,๐๐๐.- บาท
เทศกาลและงานประเพณีของวัด
ปัจจุบัน วัดแจ้งวรวิหารเป็นศูนย์กลางชุมที่สำที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองนศรศรีรรมราช
ทางวัดได้จัดพิธีกรรมในวันสำคัญ หรือเทศกาลตามประเพณีนิยมที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ได้แก่
วันธรรมสวนะ (วันพระ)วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูขาวันเข้าพรรษาเทศกาลสารทเตือน ๑๐
วันออกพรรษา เทศกาลทอดกฐิน รวมทั้งในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ
พระเทพปัญญาสุธี (พร้อม โกวิโท) ร่วมกันจัดงานเพื่อแสดงมุทิตาจิตแต่ท่านเจ้าคุณเป็นประจำทุกปิ
นอกจากนี้ สายตระกูล ณ นคร ได้จัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ
เป็นประจำสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)















































