31 กรกฎาคม, 2568
นครศรีธรรมราช" กับหลักฐานประวัติศาสตร์ที่ปรากฏ
          นครศรีธรรมราธดินแดนบ้านเกิดของพวกเรามีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน นับได้ไม่น้อย
กว่า ๑.๕๐๐ ปี จะพูดว่าเก่าแก่ที่สุดบนดาบสมุทรภาคใต้ และตลอดแหลมทองของไทยก็ว่าได้ ตัวหนังสือ
หรือตัวอักษร ที่มีอายุเก่าที่สุดก็ถูกค้นพบที่หุบเขาช่องคอย ในท้องที่ตำบลควนเกย อำเภอจุฬาภรณ์ ที่เรียก
ว่าอักษรปัลลวะ ซึ่งเข้ามาจากอินเดียใต้ ก็มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ หรือราว พ.ศ. ๑๑๐๐ ซึ่ง
เป็นเงื่อนไขให้พูดได้ว่า คนนครศรีธรรมราชรู้จักการใช้ตัวอักษรสื่อความหมาย พูดง่าย ๆ ก็คือรู้จักอ่านหนังสือ
ได้ เป็นพวกแรกของดินแดนขวานทองนั่นเองนักประวัติศาสตร์เขาถือว่าถ้ากลุ่มชนใด รู้จักการใช้ตัวอักษรสื่อความหมายเมื่อใดก็แสดงว่ากลุ่มชนนั้นเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ตั้งแต่บัดนั้น ส่วนก่อนหน้านั้นเขาถือว่าเป็นกลุ่มชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้นการค้นพบข้อความจารึกที่หุบเขาช่องคอย ที่นครศรีธรรมราช จึงถือว่า กลุ่มขนในเอเซียอาคเนย์ได้พัฒนาตนจากยุคก่อนประวัติศาสตร์เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์แล้วตั้งแต่บัดนั้น
ผู้เขียนในฐานะเป็นคนนครศรีธรรมราชโดยกำเนิดก็ย่อมมีความภาคภูมิใจ ว่าเราเกิดมาในดินแดน
ที่เป็นอารยะไม่ใช่เกิดในบ้านป้าเมืองเถื่อนแต่อย่างใดชาวนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่ก็ควรจะได้ภูมิใจในจุดนี้
ร่วมกันในบรรดาเมืองสำคัญๆ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนั้น เขาได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองกันเอิกเกริกมา
แล้ว เช่น นครพิงค์เชียงใหม่ ฉลองอายุ ๘๐๐๐ ไปแล้วสุโขทัยอดีตราชธานีไทยฉลอง ๗๐๐๐ ปี ลายสือไทยผ่านมา
ที่อยุธยาของเมืองหลวงเก่าของเราก็ได้มรดกโลกในฐานะเคยเจริญรุ่งเรืองมาเมื่อ ๔๐๐ กว่าปีแล้วที่นคา
ศรีธรรมราชซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันยันถึงความเป็นชาติบ้านเมืองที่มีร่องรอยอารยธรรมสร้างลม
มายาวนานนั้น ไม่น้อยกว่า ๑.๕๐๐ ปีปี จากหลักฐานการรู้จักใช้ตัวหนังสือเป็นแห่งแรก ซึ่งบ่งบอกถึงการมี
ศาสนา มีอารยธรรมและขนบประเพณีที่ยังสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้แต่ยังไม่ได้มีการจัดเฉลิมฉลองความ
เป็นเมืองแหล่งอารยธรรมโบราณที่ยาวนานถึง ๑.๕๐๐ปีแต่อย่างใด พวกเราธาวนครศรีธรรมราชก็ควรจะให้
ความสนใจในเรื่องนี้
ผู้เขียนได้เคยปรารถนากับท่านศาสตราจารย์คุณหญิงแม้นมาศ ชวลิต ท่านผู้อาวุโสทั้งคุณวุฒิ และ
วัยวุฒิ ซึ่งเป็นชาวนครศรีธรรมราชที่มีหน้าที่การงานและมีบทบาทสามารถสื่อสารสัมพันธ์กับองค์การสห
ประชาชาติ หรือยูเนสโก เกี่ยวกับเรื่องการพิจารณาเมืองต่าง ๆ เพื่อยกขึ้นเป็นมรดกโลก และให้การสนับ
สนุน ดังตัวอย่างของ เมืองเชียงใหม่ สุโขทัย และอยุธยา ดังที่กล่าวมา หากพวกเรามีการนำเสนอไปตาม
กระบวนการเพื่อให้เกิดการจัดงาน ฉลอง ๑.๕๐๐ ปีประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราชขึ้นมา ท่านก็พอจะมีบท
บาทสนับสนุนในเรื่องนี้และยินดีจะร่วมมืออย่างเต็มที่ในฐานะผู้มีประสบการณ์ สมาคมชาวนครศรีธรรมราช
กรุงเทพมหานคร ก็น่าที่จะมีบทบาทในส่วนนี้ได้เช่นเดียวกัน
การที่จะได้รับการพิจารณายกเมืองใดเมืองหนึ่งขึ้นมาเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ จากองค์กค์กร
นานาชาติได้นั้นย่อมขึ้นอยู่กับหลักฐานสนับสนุนที่น่าเชื่อถือได้เป็นสำคัญ หากมีข้อมูลหลักฐานอ่อนไม่นำ
เชื่อถือหรือข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ไม่เป็นที่ยอมรับที่เป็นสากลก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่เมืองนั้นจะได้รับการพิจารณา
สำหรับนครศรีธรรมราชนั้นมีข้อมูลหลักฐานแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาการทางศิลปวัฒนธรรม ขนบธธรรม
เนียมประเพณี ศาสนาและวิถีชีวิต ที่ปรากฎเป็นประวัติศาสตร์ที่เด่นชัดมีหลักฐานที่มา สามารถพิสูจน์ได้มากมาย
นับตั้งแต่การรู้จักใช้ตัวหนังสือเป็นครั้งแรก จากข้อความศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยเป็นภาษาสันสกฤต กล่าว
สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ และยกย่องผู้ที่เป็นคนดีว่าไปอยู่ในบ้านใด เมืองใด บ้านเมืองนั้น
ย่อมมีสง่าราศี ซึ่งต่างกับคนอัปรีย์ ในปัจจุบันตกไปอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นย่อมเกิดภัย พิบัติวุ่นวาย ดังเหตุ
การณ์ในเมืองไทยของเราที่เป็นอยู่เช่นในขณะนี้ ผู้เขียนขอแปลความหมายให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย ๆ จากจารึก
ดังกล่าวซึ่งพูดเป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งนักอ่านจารึกและนักแปลภาษาโบราณผู้ชำนาญ ท่านได้อ่านและแปลไว้
จนเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว การจะรู้ว่าตัวจารึกนั้นเก่าหรือมีอายุอยู่ราวสมัยใด นักประวัติศาสตร์ต้องอาศัยนักอ่านจารึกที่ได้ศึกษาถึงวิวัฒนาการของการเกิดและพัฒนาของตัวอักษรมาเป็นเกณฑ์ ไม่ใช่ใครจะมานั่งเขียนขึ้นเอง แล้วอ่านเอาเอง แปลออกมาเอง ดังกรณีตัวอย่างของหลักฐานประวัติศาสตร์ที่ถือว่าเป็นเรื่องราวของนครศรีธรรมราชแต่ในอดีต แล้วนำมาเผยแพร่อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่ในขณะนี้ทำให้ผู้ที่ไม่เคยรู้เคยทราบหลงเชื่อว่าเป็นข้อมูลของจริง ทำให้เข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาของนครศรีธรรมราชที่ผิดไป ทำให้เป็นผลเสียต่อบ้านเกิดมากกว่าเป็นผลดี แม้ผู้คิดทำและเผยแพร่จะมีเจตนาและปรารถนาดีในมาตุภูมิ แต่ด้วยข้อมูลที่ผิดเพี้ยน ผู้รู้ย่อมติเตียน จะหยิบยกหลักฐานเท็จขึ้นมาขอเป็นมรดกโลก ๑,๕๐๐ ปี เห็นทีจะยากลำบากแน่ แต่ถ้าได้ยกเอาข้อมูลที่ถูกต้องน่าเชื่อถือได้ ขึ้นมาอ้างซึ่งมีอยู่มากมาย ทั้งข้อมูลหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ศิลาจารึกหลักที ๒๔ คือ จารึกวัดเสมาเมือง ซึ่งแม้จะสับสนกับศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ คือ จารึกที่พบที่วัดหัวเวียง อำเภอไขยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีก็ตามทีแต่พระนามของกษัตริย์แห่งนครศรีธรรมราช คือ
พญาจันทรภาณุนั้นเป็นที่ทราบและยอมรับกันว่าเป็นพระราชาแห่งตามพรลิงค์ คือ นครศรีธรรมราชผู้ทรง
มีพระเดธานุภาพเกรียงไกร สามารถยกกองทัพเรือลัดอ่าวเบงกอลไปตีถึงอินเดียใต้และศรีลังกามาแล้วในอดีต
และแม้แต่ความสัมพันธ์กับอาณาจักรสุโขทัยในเรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์ ก็ยังถือได้ว่าเป็นหลักฐานประเภท
ตำนาน พงศาวดาร ซึ่งแม้จะเป็นหลักฐานชิ้นรองก็ยังมีความน่าเชื่อถือได้อยู่มากกว่าไม่ได้มีหลักฐานอะไร
แล้วมานั่งโมเมเขียนขึ้นเอง พระนามของกษัตริย์แห่งนครศรีธรรมราชจึงปรากฏอยู่ว่ามีนามพญาศรีธรรมโศก
ราช พญาจันทรภานุ หาได้มีชื่อพระราชวงศ์องค์โดนามว่าเจ้าชาย ชวด , ฉลู. ขาล, เถาะดังที่ผู้เขียนเคยอ่าน
เจอในหน้าบทความที่อ้างว่าเป็นประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราชไม่
ความจริงในเรื่องของวิวัฒนาการของตัวอักษรนั้น มีที่ไปที่มาค่อนข้างจะแน่นอนเป็นระบบที่พอจะเชื่อ
ถือได้อยู่แล้ว เพราะวิวัฒนาการของตัวอักษรในโลกนี้ก็มี ๒ ลักษณะคือ ที่เป็นอักษรสัญลักษณ์กับที่เป็น
อักษรรูป อักษรที่เป็นอักษรรูป เช่น อักษรของอียิปต์โบราณและอักษรของจีนเป็นต้น ส่วนอักษรที่เป็นสัญ
ลักษณ์นั้นที่มีอายุเก่าที่สุดเท่าที่จะสืบได้ คือ อักษรฟินีเชีย แล้วเป็นอักษรส่วนที่พบที่เมโสโปเตเมีย นั่นคือ
อักษรลืมหรืออักษรดูนิฟอร์มของพระเจ้าฮัมมูราปี แล้วก็มาพบอักษรประเภทนี้ที่เก่าแก่ในอินเดียอายุประมาณ
๕.๐๐๐ ปี ได้ที่อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ที่เมืองโมเฮนโจคาโร และฮารรัปปาร์แม้จะยังไม่มีใครอ่านออก แต่
รูปแบบก็บ่งบอกว่าเป็นอักษรสัญลักษณ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง ส่วนอักษรในอินเดียที่สามารถอำนออกเขียน
ได้กันโดยทั่วไป คือ อักษรพรหมของพระเจ้าอโศกมหารารากที่ทรงโปรดให้สลักจารึกไว้ตามเสาศิลา เป็นพัน ๆ ต้นทั่วทั้งชมพูทวีปเมื่อราวพุทธศตวรรรษที่ ๓ หรือราว พ.ศ. ๓๐๐ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระองค์ รูปแบบตัวอักษรในสมัยนั้นค่อย ๆ มีวิวัฒนาการเรื่อยมาเมื่อลงไปปรากฏอินเดียใต้ ราว ๆ พุทธศตวรรษที่ ๙ กลายเป็นอักษรปลลวะ
ดังที่ได้เผยแพร่เข้ามาปรากฏที่หุบเขาช่องคอย นครศรีธรรมราย ในพุทธศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๑ ดังกล่าวแล้วรูปแบบของตัวอักษรก็ค่อย ๆ มีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆจนกลายมาเป็นรูปแบบของตัวอักษรมอญโบราณในประเทศไทยราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เช่น ที่พบจารึกบ้างในสมัยทวารดีที่สลักไว้ตามใบเสมา เมืองฟ้าแดดสงยาง และเสาศิลา ๘ เหลี่ยมที่ลพบุรี เป็นต้น ตัวอักษรสัญลักษณ์เหล่านี้ก็ยังมีวิวัฒนาการต่อมาตามวัสดุและอุปกรณ์ในการเขียน เช่น จากเขียนบนแผ่นศิลาก็มาเขียนลงบนใบไม้ เส้นจากตรง ๆ ก็โค้ง ตัวอักษรก็ดูป้อม ๆ ไปเป็นต้น จากอักษรมอญ โบราณก็วิวัฒนาการมาเป็นอักษรขอมโบราณอีกในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕แล้วจึงได้กลายมาเป็นอักษรไทยสมัยสุโขทัยเมื่อพ่อซุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ขึ้น โดยพระองค์ได้ทรงดูต้นแบบจากอักษรขอม มอญ และอินเดียใต้ แล้วทรงประดิษฐ์ดัดแปลงจนกลายเป็นอักษรไทยสมัยของพระองค์ดังปรากฏอยู่ในศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ หรือราว พ.ศ. ๑๘๒๖ เป็นตัวอย่าง แล้วค่อยวิวัฒนาการมาเป็นอักษรไทยสมัย
อยุธยา และรัตนโกสินทร์ตามลำดับจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นได้ว่ารูปแบบความเป็นมาของตัวอักษรนั้นมีวิวัฒนา
การดังได้กล่าวมาแล้วหาใช่จะเขียนเส้นคด ๆ โค้ง ๆเป็นไส้เดือนมาแล้วมาอ่านเอาเองเป็นตุเป็นตะ แต่ง
เป็นตำราขึ้นมาให้คนอื่นอ่านตามและเชื่อตามหาได้ไม่เพราะอย่างไรเสียก็ไม่สามารถสอบผ่านนักอ่านจารึก
โบราณที่ท่านได้ร่ำเรียนมาโดยตรงไปได้ 
เขียนมาถึงตรงนี้ผู้เขียนก็อดกังวลใจไม่ได้กับหลักฐานประวัติศาสตร์ของนครศรีธรรมราชที่อยู่ของ
ลายเขียนบนกระเบื้องดินเผาที่ถูกนำมาเผยแพร่ ไม่ทราบว่าเป็นของจริงของแท้สักแค่ไหนก็ขอให้ชาวนคร
ศรีธรรมราชที่พอมีความรู้ทางด้านนี้ช่วยกันศึกษานำมาพิจารณาดู ทั้งนี้เพื่อให้ประวัติศาสตร์บ้านเกิดของพวก
เราได้เป็นไปตามข้อมูลที่เชื่อถือได้ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลาจารึก ตำนาน พง
ศาวดาร และแม้แต่คำบอกเล่าที่เรียกว่ามุขปาถะขออย่างเดียวว่าให้เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ที่เป็นที่ยอม
รับได้ตามหลักสากล พอที่จะผลักดันให้นครศรีธรรมราชบ้านเกิดของพวกเราได้มีโอกาสฉลอง ๑,๕๐๐ ปี กับ
เขาสักทีนะครับท่านพี่น้อง
ที่มา :เขียนโดยว่าที่ ร.ต.กฤษณศักดิ์ กัณฐสุทธิ์ สารนครศรีธรรมราช ฉบับพิเศษ เดือนสิบ’52  
