08 กรกฎาคม, 2568
"พระพุทธสิหิงค์รุ่นแรกในประเทศไทย
เรื่อง "พระพุทธสิหิงค์" ยังคงมีผู้สนใจ และสงสัยอยู่เสมอ จึงเห็นว่าบัดนี้ถึงเวลาควรจะได้อธิบาย
ให้ความกระจ่างได้บ้างแล้ว ปัจจุบันมีพระพุทธสิหิงค์(หรือพระสิงห์) ๕ องค์คือ
๑. พระพุทธสิหิงค์นครศรีธรรมราช
ประดิษฐานอยู่ ณ หอพระพุทธสิหิงค์ ในบริเวณศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งวังของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เป็นพระพุทธรูปขนาดย่อม หน้าตักกว้าง ๓๒ เซนติเมตร สูง ๔๒เซนติเมตร ชาวเมืองมักเรียก "พระสีหยิง" และ "พระสิหึง" ก็มี ตามสำเนียงของท้องถิ่น
๒. พระพุทธสิหิงค์พระนคร
ประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ในวังหน้าของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครเป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักกว้าง ๖๓ เซนติเมตร สูง(รวมฐานบัว) ๘๖ เซนติเมตร ชาวพระนครเรียกว่า"พระสิหิงค์"
๓. พระพุทธสิหิงค์เชียงใหม่
ประดิษฐานอยู่ในซุ้ม ณ วิหารพระสิหิงค์เดิมในวัดพระสิงห์ (วัดชีเลี่ยงพระ) จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักกว้าง ๘๒.๕ เชนติเมตร สูง๙๖ เซนติเมตร ชาวพื้นเมืองนิยมเรียก "พระสิงห์"
ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวิหารลายคำ วัดพระสิงห์อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
๔. พระพุทธสิหิงค์เชียงราย
ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระสิงห์ อำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย ชาวพื้นเมืองก็นิยมเรียกว่า "พระสิงห์
๕. พระพุทธสิหิงค์แสนหวี
ประดิษฐานอยู่ ณ ตำหนักของเจ้าแสนหรี ไนรัฐไทยใหญ่ ประเทศพม่า ซึ่งชาวไทยใหญ่ปัจจุบัน
เรียกชื่อใหม่ว่า "พระก่อเมือง" นับว่าเป็นพระพุทธสิหิงค์ที่ถูกลักพาไปจากเชียงใหม่ เมื่อคราวบ้านเผือก
เป็นจลาจลเพราะเกิดสงครามกับพม่า
เดิมทีเดียวเราก็ไม่ทราบว่าในเมืองไทยมีพระพุทธสิหิงค์ เพิ่งจะทราบแน่ชัดว่ามีซ้ำกันถึงสามองค์ คือ
มีอยู่ที่นครศรีธรรมราช กรุงเทพมหานคร และเชียงใหม่ แล้วเกิดวิพากษ์วิจารณ์กัน ก็ประมาณสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ นี่เอง อันเป็นเหตุให้ต่างคนต่างก็คิดว่าพระพุทธสิหิงค์ที่อยู่ในเมืองของตนเป็นองค์จริงด้วยความเคารพนับถือกันมาแต่โบราณ เมื่อมีการถกเถียงกันมากเข้า ก็เลยมีคนแต่งนิทานแต่งเรื่องใหม่เสริมเข้ามาอีก เพื่อจะสนับสนุนความเชื่อด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะตีตำนานไม่แตก แยกไม่อออกว่าอะไรเป็นแก่นอะไรเป็นกระพี้ และไม่เข้าใจแบบอย่างสกุลช่างพระพุทธรูป ตลอดจนคติทางพุทธศาสนาที่นิยมเชื่อถือกันในยุคนั้น
ดังนั้นต่อไปนี้จะขอสรุปปัญหาแต่เพียงสั้นๆพอเข้าใจ
๑. ตำนานพระพุทธสิหิงค์ทางลังกา ไม่เคยมีกล่าวถึงเลย แม้จะเป็นต้นตำรับทางพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่ถ่ายทอดแบบอย่างให้แก่ไทยโดยตรง ในสมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้มีคณะราชทูตจากประเทศลังกาเข้ามาติดขอขอพระสงฆ์ไทยให้ไปอุปสมบทตั้งศาสนวงศ์ (สยามวงศ์) ในลังกาทวีป เมื่อพ.ศ.๒๒๙๙ ด้วยขณะนั้นพุทธศาสนาในลังกาอยู่ในภาวะเสื่อมโทรม และพระธรรมวินัยแห่งสงฆ์ฟั่นเฝือคณะทูตลังกาดังกล่าวยังได้มาบูชาพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งมีข้อความกล่าวไว้ในศุภอักษรตอบไปยังเมืองลังกว่าดังนี้
"อีกประการหนึ่ง ทูตานุทูต อำมาตย์ได้เห็นพระพุทธสิหิงค์ในมณฑปนำมโนรมย์ในวัดบรมพุทธาราม
วิหาร ประดับทองเงินรัตนงามวิจิตร จึงพากันเจรจาเหตุที่ไม่ทราบเรื่องนั้นให้กันฟัง ราชบุรุษจึงนำเรื่องนั้นมาเล่าให้ทูตานุทูตนั้นทราบชัด ทูตานุทูตอำมาตย์ทั้งหลายต่างพากันพูดว่า ตำนานสิหิงค์นิทานนี้ ในกรุงศิริรัตนนครไม่มี เราจึงให้ราชบุรุษจารึกตำนานพระพุทธสิหิงค์นิทานส่งมาให้ ขอท่านอัครเสนาบดีได้นำตำนานสิหิงค์นิทานนี้ ทูลพระเจ้ากรุงศิริวัฒนแล้วทูลว่าขอให้ทรงหวงแหนพระตำนานนี้ไว้ในกรุงศิริวัฒนบุรีด้วย
๒. ตำนานเรื่องพระพุทธสิหิงค์แต่งขึ้นใน
ประเทศสยามเองตามคำบอกเล่า โดยอาจจะได้พระสงฆ์ชาวลังกาที่เดินทางเข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนา
ลังกาวงศ์ในครั้งนั้นเป็นครูหรือเป็นผู้นำเอาตำนานนิทาน และคติความเชื่อทางพุทธศาสนาของชาวลังกามาบอกเล่าถ่ายทอดให้พระสงฆ์ไทยฟัง ตลอดทั้งเรื่องมหาวงศ์พงศาวดารลังกา พวกพระสงฆ์ไทยคงต้องทราบเป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากนิทานตำนานทั้งหลายล้วนได้อิทธิพลเรื่องราวแนวความคิดมาจากแขกลังกาทั้งสิ้น ตำนานลางเรื่องก็แทบจะลอกเอาของลังกามาเลยทีเดียว ในตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชได้มีกล่าวถึงเรื่องการนำพระพุทธสิหิงค์มาจากลังกา กล่าวถึงเรื่องปาฏิหาริย์และเรือแตกต้องนำพระพุทธสิหิงค์มาขึ้นฝั่งที่จังหวัดตรัง ตำนานพระพุทธสิหิงค์ทางเมืองนครศรีธรรมราชมีแต่งเล่าไว้สั้นๆเพียงแห่งสองแห่งเท่านั้น แต่กล่าวความพิสดาร และมีกล่าวถึงไว้หลายแห่งก็เป็นตำนานต่าง ๆ ที่คิดแต่งขึ้นในล้านนาไทย และทางนครศรีธรรมราชก็คงไม่รู้ว่าทาง
เมืองเหนือแต่งเรื่องไว้อย่างไรด้วย เพราะเป็นแต่เพียงประตูทางผ่าน และไม่ได้เป็นฝ้ายรับความเจริญทางพุทธศาสนาจากเมืองเหนือ
๓. วิธีแต่งตำนานของคนโบราณ มักอ้างความเก่าแก่หลายร้อยหลายพันปี ยกอิทธิปาฏิหาริย์มาตั้ง อ้าง
เทพยดาฟ้าดิน พระอินทร์ พระพรหม หรือกล่าวว่ามีอิทธิฤทธิ์มีเดชานุภาพผิดธรรมดาต่าง ๆ แสดงความพิสดารเหนือธรรมชาติมนุษย์นานาและกล่าวถึงอำนาจบุญญาธิการ มีความวิเศษ มีอานุภาพต่างๆ เหล่านี้เป็นกุศโลบายชองคนแต่ก่อนที่จะให้สิ่งนั้น ๆ เกิดความศักดิ์สิทธิ์ มีคุณค่าความสำคัญอันจะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อและเคารพเลื่อมใสขึ้น เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์การแสดงปาฏิหาริย์เป็นเรื่องอำนาจลึกลับยากที่จะพิสูจน์แต่ห้ามถาม ห้ามพิสูจน์ เหมือนกับการอ้างพระผู้เป็นเจ้าจากสวรรค์ ถึงไม่เชื่อก็ต้องเชื่อมิฉะนั้นเราก็ร่วมสังคมเขาไม่ได้และไม่ยุติ ไม่เกิดศรัทธา นโยบายที่อ้างความเก่าแก่โบราณที่ผู้ฟังผู้อ่านเกิดไม่ทันก็ดี อ้างย้อนหลังไปถึงครั้งอินเดีย ลังกาก็ดี ล้วนเป็นการสร้างความเคารพเชื่อถือ สร้างความสำคัญศักดิ์สิทธิ์ให้แก่สิ่งนั้น ๆ นั่นเอง เพราะสมัยก่อนเราถืออินเดีย ลังกาเป็น"บรมครู" จะทำอะไรให้คนเชื่อก็ต้องอ้างถึงเสมอเหมือนอย่างทุกวันนี้ถ้าเราจะพูดอะไรให้คนเห็นคล้อยตาม ก็ต้องอ้างอเมริกา ยุโรปจึงจะดี เพราะเรายึดถือเอาฝรั่งอเมริกาและยุโรปเป็น "บรมครู" เฉกเช่นเดียวกับคนสมัยก่อนนั่นเอง
	การสร้างตำนานของคนแต่ก่อนมักมีสองอย่าง
อย่างแรก ตัวโบราณวัตถุสถานเกิดขึ้นก่อนหรือมีอยู่แล้ว ภายหลังจึงแต่งเรื่องตำนานนิทานประกอบขึ้น โดยพยายามให้สอดคล้องต้องกันกับสิ่งแวดล้อมและเนื้อหาอย่างน่าฟัง มีเหตุมีผลอย่างชาญฉลาด ซึ่งเรามักจะพบเห็นอยู่เป็นอันมาก
อย่างที่สอง แต่งเรื่องตำนานนิทานขึ้นพร้อมกับการก่อสร้างโบราณวัตถุสถานหรือการค้นพบวัตถุสถานนั้น ๆ โดยอ้างต้นเหตุความเป็นมาถึงสมัยโบราณก่อนหน้านั้นนำมาประกอบเรื่องด้วย ลางทีนอกจาก
พรรณนาเหตุการณ์เรื่องราวในขณะนั้นแล้ว ยังได้พยากรณ์หรือกล่าวถึงเรื่องในอนาคตด้วย
๔. ที่ในตำนานอ้างว่า พระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปที่หล่อขึ้นในลังกาทวีปนั้นไม่เป็นความจริงเพราะเราเพียงเอาคติความเชื่อของลังกามาเท่านั้น แล้วนำมาคิดปรุงแต่งแบบอย่างขึ้นใหม่โดยรับอิทธิพลแบบอย่างลังกา ดังจะเห็นว่าพระพุทธสิหิงค์ของไทยลักษณะลางอย่างคล้อยตามลังกา แต่โดยทั่วไปแล้วแทบไม่เหมือนลังกาเลย เพราะว่าลังกานิยมสร้างพระพุทธรูปสำริดขนาดย่อมมากกว่าขนาดใหญ่ อีกทั้งเนื้อโลหะวัตถุที่ผสม เทคนิคการหล่อก็ต่างกัน พวกพระสงฆ์ลังกาที่เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาและพระสงฆ์ไทยที่ไปศึกษาพุทธศาสนาในลังกากลับมาเมืองไทยในสมัยนั้น คงจะได้แบบอย่างพระพุทธรูปลังกาเข้ามาเคารพบูชาบ้าง แต่คงเป็นองค์เล็ก ๆ พอติดตัวอุ้มเดินทางรอนแรมมาได้ ที่เป็นพระพุทธรูปองค์ขนาดใหญ่ ราคาต้นทุนการหล่อการสร้างสูง และยิ่งเป็นพระพุทธรูปสวยงามคู่บ้านคู่เมืองมีชื่อเสียงลือนามเป็นอย่างพระพุทธรูปวิสามัญ ไฉนใครเลยเขาจะให้มาง่ายๆ
อีกทั้งการเคลื่อนย้ายนำมาคงทำได้ไม่สะดวกนัก
๕. คติความเชื่อถือที่เป็นหลักในเรื่องนี้ หรือหัวใจของเรื่องการสร้างพระพุทธสิหิงค์ คงจะเกิดจาก
ตำนานคัมภีร์มหาวงศ์อันเป็นหนังสือพงศาวดาร"ลังกา ซึ่งในตอนแรกได้กล่าวถึงกำเนิดชาติลังกาสิงหล
ว่า พระเจ้าวังคราชผู้ครองวังคนครเป็นราชธานีอยู่ทางเหนือแคว้นกลิงคราษฎร์ ได้ราชธิดาของพระเจ้ากลิงห
ราษฎร์เป็นมเหสี มีราชธิดาชื่อนางสุปา นางผู้นี้นี้มักมากในกามกิเลส จึงถูกขับไล่ออกจากเมืองไปได้พระยา
ราชสีห์เป็นสามี นางสุปาคลอดบุตรออกมาชื่อ "สีหหากุมาร" พระกุมารนี้เป็นเชื้อราชสีห์ มีกำลังวังวังชามาก
เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจึงพามารดาหนีพระยาราชสีห์กลับเข้ามาอยู่กับมนุษย์ ฝ่ายพระยาราชสีห์มีความอาลัยออก
ติดตามบุตรภรรยา เที่ยวขบกัดผู้คนเมืองในวังคนครล้มตายเป็นอันมาก จนพระเจ้าวังคราชต้องประกาศป่าว
ร้องหาผู้อาสาฆ่าพระยาราชสีห์นั้น สีหฬาหุกุมารรับอาสา ฆ่าพระยาราชสีห์ตาย เพราะเหตุนี้จึงปรากฎนามว่า "สีหฬกุมาร" ต่อมาได้ครองเมืองวังคนคร แต่ไม่ปรารถนาจะตั้งเมืองอยู่วังคนคร จึงมอบเมืองนั้นให้อำมาตย์ผู้เป็นสามีใหม่ของมารดา แล้วไปสร้างราชธานีใหม่ชื่อ สีหบุรี มีราชบุตร ๓๐ องค์ องค์ใหญ่ชื่อ "วิชัยราชกุมาร" แต่ประพฤติเป็นพาล จึงถูกพระราชบิดาขับไล่ออกจากเมือง วิชัยราชกุมารจึงเตร็ดเตร่ข้ามมายังเกาะลังกา ได้นางยักษ์ชื่อ "กุเวณา" เป็นภรรยา และได้ตั้งเมืองครอบครองอยู่บนเกาะลังกา เป็นบรรพบุรุษของพวกชาวลังกาสิงหฬสืบมาแต่บัดนั้น ดังนั้นพวกลังกาจึงเชื่อถือกันมาว่าพวกตนสืบเชื้อมาจากราชสีห์
ตามความดังกล่าวจะเห็นว่าประวัติมาแต่คำว่า "สิงหฬ" หรือ "สิงหมะ" อันเป็นชื่อเรียกชนชาติลังกา หรือเรียกพระพุทธรูปนั้นว่าเป็น พระพุทธรูปสิงหฬ" นั่นเอง แต่เนื่องจากหนังสือตำนานที่กล่าวถึงพระพุทธรูปนั้นแต่งเป็นภาษามคธ ครั้นจะเรียกว่าสิ่งหนปฏิมากรก็ดูจะธรรมดาไป ไม่เข้าใจภาษามคธ และไม่ตรงกับต้นเรื่องกำเนิดชาวลังกาที่ว่าสืบมาแต่ราชสีห์ จึงใช้นามว่า "สิหิงค์" และเชื่อได้ว่าเดิมเห็นจะเรียกชื่อ "พระสิงห์" ก่อนที่จะมาเรียกกันว่า "สิหิงค์" เพราะดังได้กล่าวมาแล้วว่าคำ "พระสิงห์" "จากคำ "สิงหม" พูดง่ายๆ ว่าถ้าเพิ่มตัว "ฬ" การันต์ลงข้างท้ายนามพระสิงห์ก็จะเป็น "พระสิหฬ" ทันทีดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประทานอธิบายไว้ อีกประการหนึ่ง ถ้าเราพูดคำศัพท์ภาษามคร  ที่ท่านโพธิรังสีผูกศัพท์ไว้ก็จะเข้าใจชัดเช่นเดียวกัน คือในหนังสือตำนานพระพุทธสิหิงค์อธิบายว่า เนื่องจากพระพุทธรูปองค์ที่ปั้นหล่อขึ้นใหม่นั้น "มีลักษณะท่าทางเหมือนราชสีห์ จึงเรียกชื่อว่าพระสิหิงค์ อีกนัยหนึ่งลักษณะท่าทางของราชสีห์เหมือนลักษณะท่าทางของพระผู้มีพระภาค จึงเรียกชื่อว่า สิหิงค์" (สีห+อิงค)
๖. พระพุทธสิหิงค์ปั้นหล่อขึ้นในสมัยสุโขทัยโดยเทียบอายุเวลาเอาได้แน่นอน จากศักราชที่แต่งหนังสือสิหิงคนิทาน คุณธนิต อยู่โพธิ์เห็นว่าพระโพธิรังสีพระเถระชาวเชียงใหม่แต่งไว้เป็นภาษาบาลี เมื่อประมาณระหว่าง พ.ศ.๑๙๔๕-๑๙๘๕ ในรัชกาลพระเจ้าสามฝั่งแกนหรือพระเจ้าวิไชยดิส ครองราชย์ในนครเชียงใหม่ ดังข้อความที่ได้บรรยายไว้ในตัวหนังสือตำนานพระพุทธสิหิงค์นั้นแล้ว ส่วนสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า แต่งขึ้นในระหว่างปีพ.ศ.๒๐๐๐-๒๐๗๐ และมีลางท่านเห็นว่าน่าจะแต่งขึ้นในระหว่าง พ.ศ.๑๙๘๕-๒๐๖๘ เพราะระยะนั้นเป็นระยะเวลาที่วรรณกรรมบาลีกำลังเฟื่องฟูในล้านนาไทย
ตำนานพระพุทธสิหิงค์แต่งขึ้นประกอบองค์พระพุทธปฏิมาภายหลัง ดังนั้นจึงสามารถเทียบศักราช
ตามเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ซึ่งปรากฏเรื่องในพงศาวดารอันเป็นต้นเค้าความจริงย้อนหลังได้ดังกล่าวแล้ว
	หลักฐานที่ปรากฏให้สืบได้ตามที่กล่าวมา ก็พอประมาณได้ว่า พระพุทธสิหิงค์น่าจะสร้างขึ้นในสมัย
สุโขทัย ระหว่างรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงกับพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) และถ้าตำนานกล่าวถูกต้องที่เราได้ติดต่อรับพุทธศาสนาจากลังกาทำให้ลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระพุทธ
สิหิงค์ก็น่าจะสร้างขึ้นในสมัยนั้น แต่ก็เป็นปัญหาน่าสงสัยไม่น้อยในข้อที่ว่า ปลายนิ้วพระหัตถ์ของพระพุทธ
สิหิงค์ทำยาวเท่ากันหมด เนื่องจากเดิมเราเชื่อกันว่าพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) เป็นผู้คิดท่าปลายนิ้วพระ
หัตถ์พระพุทธรูปให้เท่ากัน โดยอาจจะเริ่มทำในครั้งหล่อพระพุทธชินราชเป็นต้นมา ด้วยพระองค์เป็นพระ
เจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ได้สอบสวนคัมภีร์มหาปุริสลักษณะ ลงเนื้อเห็นว่าปลายนิ้วพระหัตถ์เท่ากัน อาจจะมีมาก่อน
สมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลีไท) ก็เป็นได้ ถ้าเราเชื่อว่าเรื่องในตำนานตรงกับรัชสมัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
และจัดเอาพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปสุโขทัยรุ่นแรกอันเป็นลักษณะศิลปะไทยปนลังกา และมีข้อสังเกต
ประการหนึ่งว่าการสร้างพระพุทธรูปสำคัญในยุคนั้นมักมีชื่อเรียกและ มีตำนานเล่าประกอบไว้ แต่พระพุทธ
สิหิงค์กลับไม่ปรากฏมีตำนานทางสุโขทัย แต่กลับมีที่นครศรีธรรมราชและเชียงใหม่
๗. พระพุทธรูปทุกองค์ที่มีชื่อเรียกว่า "พระพุทธสิหิงค์" เป็นองค์แท้ทุกองค์ (ยกเว้นพระพุทธสิหิงค์
องค์ที่กล่าวถึงในพงศาวดาร ซึ่งหมายถึงองค์ที่ประดิษฐานอยู่ในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ กรุงเทพฯ)เพราะว่าต่างก็เป็นพระพุทธรูปที่ได้รับอิทธิพลแบบอย่างและคติความเชื่อทางพุทธศาสนามาจากลังกาด้วยกันหรือมาจากครูต้นเดียวกัน คือเป็นพระพุทธรูปแบบสิงหฬดังได้กล่าวแล้ว เมื่อต่างคนต่างได้รับ จึงต่างนำความคิดแบบอย่างนั้นสร้างขึ้นเองต่างกรรมต่างวาระกัน
	เหตุนี้พระพุทธรูปแต่ละองค์จึงมีรูปทรงที่ต่างกัน ทั้งฝีมือช่างพื้นเมือง ขนาดหน้าตัก และอายุ(แต่อยู่ในยุคเดียวกัน) ความจริงข้อนี้ถ้าเราเข้าใจ "หลักเรื่องตำนาน" หรือ "หัวใจของเรื่องตำนาน" ได้แล้ว ก็ไม่น่าสับสน กล่าวคือเรื่องในตำนานพระพุทธสิหิงค์มีเพียงว่า ไทยเราติดต่อรับพุทธศาสนาจากลังกา โดยในชั้นแรกพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ได้เข้ามาเจริญรุ่งเรืองในเมืองนครศรีธรรมราชก่อน ต่อมาจึงแพร่ขึ้นไปสู่สุโขทัยและล้านนาไทยตามลำดับ ไทยเราได้ขอพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธปฏิมา คัมภีร์ทางศาสนา และอื่น ๆ มาจากลังกา เช่นเดียวกับพวกมอญหงสาวดีแต่งสำเภาให้พระสงฆ์ราชาคณะผู้ใหญ่ ชื่อพระพุทธโฆษาจารย์พร้อมด้วยพระภิกษุที่ชำนาญในจิตรกรรมรูปภาพเลขาเดินทางไปลังกาทวีป เพื่อขอเขียนภาพจำลองอย่างไพชยนต์มหาปราสาทพระพุทธทวลัญชร พระวิหารเพื่อนำมาสร้างในกรุงหงสาวดี เป็นที่บำรุงพระราชศรัทธาและพระพุทธศาสนาสืบไป เหล่านี้เป็นตัวอย่าง
ตำนานพระพุทธสิหิงค์ก็อธิบายความเรื่องว่าครั้งหนึ่งไทยเราส่งทูตไปขอพระพุทธรูปสิงหมายังประเทศสยาม เพื่อเป็นแบบอย่างทางช่างและนมัสการกราบไหว้เคารพบูชาแก่ชาวเมืองเท่านั้น และเรามาเรียกพระพุทธรูปนี้ว่า พระสิงห (ฬ) เอาเอง ซึ่งพระพุทธรูปลังกาสิงหฬองค์จริงๆ ที่ได้มาอาจจะมีก็ได้ แต่อาจเป็นองค์ขนาดเล็ก และไม่รู้ว่าเวลานี้อยู่ที่ไหนแล้วก็เป็นได้
ปัญหาอยู่ที่เราต้องรู้ว่า "คติ" ความเชื่อทางศาสนาในยุคนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไรเท่านั้น อะไรที่เกินเหตุผล เกินหลักฐานความเป็นจริงต้องตัดออกไปให้หมด อะไรที่เป็นสาระความจริงแฝงไว้ก็ค่อยนำมาวิเคราะห์ อย่างเช่นในตำนานพุทธสิหิงค์กล่าวไว้ว่า"ทั้งยังมีเทพเจ้า ๔ องค์คือ สุมนเทพ รามเทพลักษณาเทพ กามเทพ ผู้มีฤทธิ์รักษาพระรูปนั้นทุกเมื่อ"
ข้อความตามตำนานที่ว่ามีเทวดา ๔ องค์ คอยดูแลรักษาองค์พระพุทธสิหิงค์ดังกล่าวข้างต้นนี้ ที่แท้ก็
คือท่านพระโพธิรังสีท่านแปลงเอาเรื่องธรรมเนียมคณะสงฆ์ ๔ เหล่า หรือพระครู "กา" ทั้ง ๔ ตำแหน่งที่กำหนดหน้าที่คอยดูแลรักษาเจดีย์พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชองค์ละด้านมาแต่ครั้งโบราณนั่นเองมาเปรียบเทียบใส่ไว้ในตำนาน ตำแหน่งพระครูกา ๔ รูป(หรือพระครู "ลังกา" ๔ เหล่า) คือ
พระครูกาแก้ว (หรือสุมนเทพ) คือ ลังกาป่าแก้ว หรือคณะนิกายสงฆ์ลังกา ซึ่งอุปสมบทมาจาก
พระวันรัตนมหาเถร
พระครูการาม (หรือรามเทพ) คือ พวกลังกาวงศ์ที่แปลงมาจากเมืองรามัญ
พระครูกาชาด (หรือลักษณาเทพ) คือ พวกพระสงฆ์ที่เป็นชาวลังกาแท้ๆ (โดยชาติกำเนิด)
พระครูกาเดิม (หรือกามเทพ) คือ พวกพระสงฆ์ที่ไปบวชแปลงจากลังกาซึ่งมาอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราชก่อนพระนิกายลังกาอื่น จึงเรียกลังกาเดิม
เมื่อทำความเข้าใจได้แล้ว เราก็พอจะมองเห็นเค้าความจริงในเรื่องต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยไล่ไปตามลำดับทีละอย่าง ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า เมืองนครศรีธรรมราชให้อิทธิพลแบบอย่างอะไรแก่สุโขทัยและล้านนาไทยบ้าง
๘. พระพุทธสิหิงค์มี ๓ แบบ ดังนี้
๘.๑ แบบนครศรีธรรมราช
พระพุทธสิหิงค์แบบนครศรีธรรมราชโดยมากมักจะมีขนาดย่อมองค์ต้นฉบับก็มีขนาดหน้าตักประมาณ ๓๒ เชนติเมตร สูง ๔๒ เชนติเมตรเท่านั้น(ฐานล่างสุดกว้าง ๕๑ ช.ม. ตัวฐานสูง ๒๓ ช.ม. รวมทั้งฐานและองค์พระสูง ๖๕ ช.ม.) มีบ้างลางองค์ที่สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลายซึ่งเป็นขนาดใหญ่ เท่าที่พบพระพุทธสิหิงค์องค์งามๆ มักจะเป็นองค์ขนาดใกล้เคียงกับองค์ต้นแบบ และพระพุทธรูปแบบพระพุทธสิหิงค์ นครศรีธรรมราชมีปางเดียว คือ ปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ลักษณะคล้ายกับพระพุทธสิหิงค์แบบล้านนาไทยนิ้วพระหัตถ์ (ดรรชนี) โก่งงอ ปลายนิ้วชี้ลงข้างล่างอ้างพระธรณีเป็นพยานโดยเหตุนี้ลักษณะของพระพุทธสิหิงค์นครศรีธรรมราช สร้างขึ้นตามพุทธลักษณะในตำนานจึงมีลักษณะใกล้เคียงกับที่ระบุในตำนานมากที่สุดกล่าวคือ เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะท่าทางเหมือนราชสีห์ นั่งขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย พระวรกายล่ำสัน กลมป้อม พระอุระนูน พระเศียรและพระพักกลมป้อม พระหนุและนาสิกยื่นเล็กน้อย เส้นพระศกใหญ่ ไม่มีไรพระศก รัศมีเป็นบัวตูม ชายสังฆาฏิสั้นปลายเป็นกลีบแฉกซ้อนกับหลายชั้นอยู่เหนือพระถัน(มักเป็น ๓ แฉก) ฐานเตี้ยและเรียบ (ฐานบัวเพิ่งทำใหม่รัชกาลที่ ๕) ไม่มีบัวรอง
กล่าวโดยทั่วไปจะมีลักษณะกลมป้อม อ้วนล่ำ กล้ามเป็นมัด คล้ายคนเกร็งกล้ามเนื้อ ด้วยเหตุนี้นักเลงพระจึงเรียกกันว่า "พระขนมต้ม"เพราะรูปทรงล่ำเป็นมัดอย่างขนมต้มมัด แต่องค์ต้นแบบ (คือพระพุทธสิหิงค์องค์ที่ประดิษฐานอยู่ในหอพระพุทธสิหิงค์) ยังมีความอ่อนหวาน มีความสมบูรณ์และสมส่วนสวยงามกว่าองค์อื่น ๆ ซึ่งลางองค์ถ้ามองดูด้านข้างจะคล้ายกับสิงห์ตามตำนานจริง ๆเหตุดังนี้จึงย่อมจะจัดได้ว่าเป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพื้นเมืองนครศรีธรรมราชโดยแท้ มีเอกลักษณ์ของตนเองโดยเฉพาะ แม้จะได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจากลังกาและศิลปะครั้งราชวงศ์ปาละจากอินเดียผสมกันถือเป็นสกุลช่างที่สำคัญสกุลหนึ่งของนครศรีธรรมราชพระพุทธรูปลางองค์มีศักราชจารึกบอกไว้ด้วย ทำให้ทราบวิวัฒนาการของสกุลช่างได้มีข้อสังเกตประการหนึ่ง โลหะส่วนผสมที่หล่อพระพุทธสิหิงค์องค์ต้นแบบ จะออกสีแดงเรื่อ ๆ คล้ายนาก ผิวโลหะสุกปลั่งเป็นมันแววอยู่เสมอ เป็นพิเศษ
กว่าทุกองค์ กล่าวคือโลหะที่ใช้หล่อพระพุทธสิหิงค์แบบนครศรีธรรมราชรุ่นหลัง ๆ ซึ่งหล่อขึ้นในสมัยอยุธยามักจะมีส่วนผสมทองเหลืองอยู่มากจนเห็นชัด ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่าพระพุทธสิหิงค์องค์ต้นแบบในหอพระพุทธสิหิงค์มีอายุเก่ากว่าเพื่อน หรือหล่อขึ้นในสมัยสุโขทัยตามตำนาน คือมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐และเมื่อสร้างองค์ต้นแบบขึ้นแล้วก็คงไม่มีการปั้นหล่อพระพุทธสิหิงค์แบบเดียวกันนั้นขึ้นอีกเลย ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเหตุที่คนแต่ก่อนถือกันว่า พระพุทธรูปสำคัญศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองจะต้องมีเพียงองค์เดียวเท่านั้นเพิ่งมาเลิกคติเดิมคิดเปลี่ยนแปลงทำเลียนแบบขึ้นใจสมัยหลังเพื่อให้คนทั่วไปมีไว้บูชากราบไหว้ได้บ้างดังนั้นเราจึงพบว่าพระพุทธสิหิงค์รุ่นหลังมักหล่อขึ้นในสมัยอยุธยาเป็นส่วนมาก และฝีมือช่างแตกต่างกันไป
๘.๒ แบบสุโขทัย
พระพุทธสิหิงค์แบบสุโขทัย แท้จริงก็คือพระพุทธสิหิงค์องค์ที่ประดิษฐานอยู่ในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครในปัจจุบัน ขนาดหน้าตักกว้าง ๖๓ เซนติเมตร สูง ๘๖เซนติเมตร (สูงรวมฐานบัวซึ่งติดกับองค์พระและแยกต่างหากจากฐานซุกซี) เป็นพระพุทธรูปสำริด กะไหล่ทองคำ อาจเรียกได้ว่าเป็นแบบพิเศษ ไม่ค่อยพบในสกุลช่างสุโขทัย
อนึ่งพระพุทธสิหิงค์องค์นี้มีลักษณะแบบอย่างใกล้เคียงกับพระพุทธรูปของลังกาไม่น้อย
กล่าวคือลักษณะพระพุทธรูปประทับนั่งฝีมือช่างลังกาทุกรุ่นมีลักษณะคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ๔ อย่างคือ
๑. พระหัตถ์เป็นปางสมาธิ
๒. ขัดสมาธิราบ
๓. ชายสังฆาฏิยาว
๔. ลำพระองค์ไม่สู้อวบอ้วน
ส่วนพระพุทธสิหิงค์แบบสุโขทัย มีลักษณะดังนี้
๑. พระหัตถ์เป็นปางสมาธิ โดยวางพระหัตถ์ซ้อนทับกัน (ขวาทับซ้าย)
๒. ขัดสมาธิราบ (เอาแข้งซ้อนแข้ง)อยู่บนฐานบัวหวาย สูงได้สัดส่วน
๓. ชายสังฆาฏิยาวลงมาจดพระนาภีและยาวลงไปเกือบถึงขอบผ้านุ่ง แต่เป็นที่น่าสังเกตผ้า
สังฆาฏิแบนใหญ่กว่าปกติอีกด้วย
๔. ลำพระองค์ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ไม่ถึงกับอวบอ้วน โดยเฉพาะลำแขนเห็นชัดว่าอวบ พระ
อุระไม่นูนมาก
๕. ปลายพระหัตถ์ทั้งสี่นิ้วยาวเสมอกัน
๖.พระเศียรใหญ่ดูค่อนข้างจะกลม(พระพุทธรูปสุโขทัยโดยทั่วไปจะยาว) พระรัศมีเป็นเปลว
๗. วงพระพักตร์ค่อนข้างกลมแป้นพระนาสิกไม่ค่อยโด่งและปลายไม่งุ้ม
จะเห็นว่าพระพุทธสิหิงค์แบบสุโขทัย ได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจากลังกาโดยตรง แต่ด้วยฝีมือช่าง
กรุงสุโขทัยสูงยิ่ง ถึงแม้จะได้รับรูปแบบตัวอย่างมาจากพระพุทธรูปลังกาสิงหฬ ช่างก็ได้แก้ไขทรวดทรง
โครงสร้างให้เป็นพระพุทธรูปแบบสุโขทัยได้อย่างคงามปั้นหล่อขึ้นตามอุดมคติของตนเอง จนแทบจะจำไม่ได้
ว่าได้รับอิทธิพลมาจากลังกา ถ้าไม่มีตำนานบอกไว้และเทียบรูปแบบดั้งเดิมกันจริง ๆ เป็นธรรมดาอยู่เองเมื่อ
ฝีมือช่างกรุงสุโขทัยอยู่แล้ว ต้นแบบหรือตำนานที่ได้รับมาไม่งาม ถ้าสร้างตามต้นฉบับก็จะหาความงามไม่ได้
มากนัก ดังเช่นพระพุทธสิหิงค์แบบนครศรีธรรมราชพยายามสร้างให้มีพุทธลักษณะตรงตามตำนานมากที่สุด
คือ มีลักษณะท่าทางเหมือนพระยาราชสีห์ ผลก็จึงออกมาอ้วนล่ำกล้ามเกร็งเป็นมัด ช่างกรุงสุโขทัยฝีมือ
เจริญถึงขั้นสุดยอด (Classic) แล้ว ย่อมจะต้องแก้ไขปรับปรุงให้งดงามตามความรู้และความรู้สึกนึกคิดของ
ตนเป็นอิสระ และได้สัดส่วนความงามด้วย ดังจะเห็นว่าพระพุทธสิหิงค์ดูทำท่าคล้ายจะอวบอ้วน พระเศียร
และพระพักตร์อยู่ในรูปลักษณะกลม (เป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธสิหิงค์ทั้ง ๓ แบบ) แต่ก็แก้ไขทำพระหนุเสี้ยม ทำพระเมาฟีเป็นเปลวสูงก็ช่วยทำให้พระพักตร์ดูยาวได้ส่วนงามขึ้น เป็นต้นนอกจากนี้เห็นว่าเราควรพิจารณากันด้วยว่าการที่พระพุทธสิหิงค์ทำปลายนิ้วพระหัตถ์ยาวเท่ากัน (คล้ายพระพุทธชินราช) เช่นนี้ จะเป็นเครื่องชี้ช่วยกำหนดอายุได้หรือไม่ และที่เราเชื่อกันว่าการสร้างพระพุทธรูปแบบนิ้วพระหัตถ์ยาวเท่ากันเริ่มทำในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) นั้นเป็นจริงหรือไม่
๘.๓ แบบล้านนาไทย
พระพุทธสิหิงค์แบบล้านนาไทย องค์ที่ชาวพื้นเมืองเชื่อกันว่า เป็นพระพุทธสิหิงค์ตามตำนานนั้น คือพระพุทธรูปขนาดใหญ่สวยงามองค์หนึ่งที่อยู่ที่วัดพระสิงห์ (ในวิหารลายคำ) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ เคยถูกคนร้ายลักลอบตัดเอาพระเศียรไป พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จเยือนเชียงใหม่ ทรงทราบเรื่องจึงสั่งให้ช่างหลวงดำเนินการปั้นหล่อพระเศียรใหม่ให้เหมือนของเดิมจากกรุงเทพฯ แล้วซ่อมต่อขึ้นใหม่ให้สมบูรณ์อย่างเก่า มีขนาดหน้าตัก ๘๒.๕ เขนติเมตร สูง ๙๖ เซนติเมตรความสูงรวมฐาน ๑๖๒ เซนติเมตร (เฉพาะฐานสูง ๒๖เซนติเมตร ฐานล่างสุดกว้าง ๑๑๐ เซนติเมตร)
พระพุทธรูปแบบพระพุทธสิหิงค์ของล้านนาไทย เป็นพระพุทธรูปแบบหนึ่งที่นิยมสร้างแพร่หลายมากที่สุดในภาคพายัพ และสร้างโดยช่างพื้นเมืองจนกลายเป็นสกุลช่างท้องถิ่น มีเอกลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง แม้โดยรูปแบบจะคล้ายกับพระพุทธสิหิงค์แบบนครศรีธรรมราช แต่รูปทางโดยทั่วไปแล้วก็ต่างกันเห็นชัด เรานิยมเรียกพระพุทธรูปแบบพระพุทธสิหิงค์ของล้านนาไทยว่า "แบบสิงห์" หรือแบบ "พระสิงห์"ซึ่งพระพุทธรูปแบบนี้ทุกองค์จะมีลักษณะดังนี้ เป็นพระพุทธรูปปาฆารวิชัย ขัดสมาธิเพชร พระองค์อวบอ้วนพระอุระนูน ชายสังฆาฏิสั้นอยู่เหนือพระถัน นิ้วพระหัตถ์สั้นยาวอย่างมือคน วงพระพักตร์สั้นกลม พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์เล็ก พระหนูเป็นปม เส้นพระศกใหญ่ ไม่มีไรพระศก พระเมาฟีเป็นต่อมคล้ายดอกบัวตูม ฐานเป็นบัวหงาย มีกลีบน้อยแชมตอนข้างบน และมีเกสร
พระพุทธรูปแบบนี้มีหลายรุ่นหรืออายุไม่เท่ากัน และทุกรุ่นน่าจะมีอายุไม่เก่าไปกว่าพระพุทธรูปบบสุโขทัย องค์ที่จารึกบอกไว้ยิ่งแสดงว่ามีอายุหลังสุโขทัยเสียอีก (หล่อขึ้นระหว่าง พ.ศ.๒๐๑๓-๒๐๘)แม้พระพุทธรูปลางองค์ที่จัดว่าฝีมือสูงสวยงามที่สุด ไม่มีจารีกระบุอายุไว้จะเชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปรุ่นเก่าหรือรุ่นแรก ถึงแม้ถ้าเป็นความจริงก็คิดว่าคงไม่เก่าถึงอายุทางประวัติศาสตร์ของเมืองโยนกเชียงแสน (พ.ศ.๑๖๐๐-๑๘๐๐) เป็นแน่ เพราะเมืองเชียงใหม่เชียงราย มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมืองสุโขทัย ส่วนเมืองเชียงแสนนั้นที่เชื่อกันว่าเก่ากว่าสุโขทัยก็โดยทางตำนาน แต่หลักฐานทางโบราณวัตถุสถานไม่มียืนยันเพียงพอ จึงต้องยกไปก่อน
ความจริงหลักฐานทางตำนานหลายฉบับก็อกเป็นเค้าไว้ให้เห็นว่า พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้าาสู่ดินแดนล้านนาไทยหลังสุโขทัย คือ ถ้าจากลังทวีปเข้ามาทางนครศรีธรรมราช ก็ยังต้องผ่านมายังกรงสุโขทัยเสียก่อนจึงจะสืบต่อไปยังล้านนาไทย ตามสภามเป็นจริงทางภูมิศาสตร์และการเมือง แต่ถ้าเข้ามาทางเมืองมอญก็สามารถเข้าสุโขทัยและล้านนาไทยพร้อมกันได้ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์บอกไว้แน่ชัดเช่นนี้ และเท่าที่เราทราบ พระพุทธรูปแบบพระสิหิงค์ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็หล่อขึ้นที่เชียงใหม่ ลางองค์ก็หล่อขึ้นที่สุโขทัย และด้วยเหตุที่เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางความเจริญทางพระพุทธศาสนาด้วย จึงย่อมกล่าวได้ว่า พระพุทธรูปแบบพระสิหิงค์คงมีอายุไม่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ส่วนใหญ่จะมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ และคงจะได้รับอิทธิพล
แบบอย่างไปจากสุโขทัยบ้าง ส่วนลักษณะประติมาณวิทยา เราเห็นกันว่าคงจะได้รับอิทธิพลทางศิลปะจากราชวงศ์ปาละของอินเดีย และช่างพื้นเมืองได้พัฒนารูปแบบขึ้น จนกลายเป็นลักษณะท้องถิ่นของตนไปในที่สุด
กล่าวโดยสรุปพระพุทธสิหิงค์แต่ละองค์มีความงามสูงสุด แตกต่างกันไปตามสกุลช่าง โดยเฉพาะพระ
พุทธสิหิงค์แบบสุโขทัย สามารถจัดได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพระสิริลักษณะงดงามอย่างยิ่งองค์หนึ่ง
ที่มา ประทุม  ชุ่มเพ็งพันธุ์  พิมพ์ครั้งแรกใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งที่ ๒ วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช








