13 กรกฎาคม, 2568
พระพุทธสิหิงค์นครศรีธรรมราช
พระพุทธสิหิงค์นครศรีธรรมราช
		ในประเทศไทยมี "พระพุทธสิหิงค์" อยู่หลายองค์ กระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ แต่ที่ถือกันเป็นรุ่นรุ่นแรกหรือดั้งเดิมแต่ครั้งโบราณมี ๓ องค์คือ พระพุทธสิหิงค์เชียงใหม่ พระพุทธสิหิงค์พระนคร และพระพุทธสิหิงค์นครศรีธรรมราช สมัยต่อมาแต่ละองค์มีการจำลองขึ้นด้วยความศรัทธาจำนวนมากรุ่น โดยเฉพาะพระพุทธสิหิงค์เชียงใหม่และพระพุทธสิหิงค์นครศรีธรรมราช จึงทำให้ปัจจุบันนี้มีพระพุทธสิหิงค์แพร่กระจายอยู่มากกว่าพระพุทธรูปใด ๆ
คำว่า "สิหิงค์" มาจากศัพท์ สีห+อิงค แปลว่าลักษณะท่าทางเหมือนราชสีห์ มีเค้ามาจากสิงหลทวีปจึงอีกชื่อหนึ่งว่า "สิหลปฏิมา" แปลว่าพระพุทธรูปหิงหล(พระพุทธรูปลังกา)
พระพุทธสิหิงค์นครศรีธรรมราช ที่รู้จักในภาษาถิ่นนครว่า"พระสีหึง" หรือ"พระสิหยิง"เป็นพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งของไทย ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองครศรีธรรมราชและเมืองไทยมาช้านานเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก เป็นที่สักการบูชาของชาวนครและพุทธศาสนิกชนทั่วไปแต่อดีตถึงปัจจุบัน
		คนไทยส่วนใหญ่ได้รับทราบกันว่ามีพระพุทธสิหิงค์เก่าแก่ขนานแท้ตั้งเดิมอยู่สามองค์คือ พระพุทธสิหิงค์พระนคร พระพุทธสิหิงค์เชียงใหม่ และพระพุทธสิหิงค์นครศรีธรรมราช ทั้งสามองค์นี้ต่างก็เป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่เป็นที่สักการบูชาของคนไทยมาช้านาน และยากแก่การที่จะสืบประวัติให้แน่ชัดได้ว่าองค์ไหนมีขึ้นก่อนและมีประวัติในตอนต้น ๆ มาอย่างไร  อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธสิหิงค์ มีผู้เขียนไว้หลายคน เช่น พระโพธิรังสี ปราชญ์ทางพุทธศาสนา
ชาวเชียงใหม่ได้แต่งไว้เป็นภาษามคธ (บาลี) เรียกว่า"สิหิงคนิทาน" ต่อมาพระปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละ
ลักษณ์) ได้แปลไว้เป็นภาษาไทยสำนวนหนึ่ง นอกจากนี้พลตรีหลวงวิจิตรวาทการแต่งไว้โดยสังเขปเล่มหนึ่งหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ได้แต่งเป็นตำนานย่อและเรียบเรียงข้อวิจารณ์ทางศิลปกรรมและโบราณคดีไว้อีกเล่มหนึ่ง เป็นต้น
ในบรรดาหนังสือเหล่านี้ "สิหิงคนิทาน"ของพระโพธิรังสีเป็นฉบับที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด และใช้อ้างอิงและสอบสวนประวัติพระพุทธสิหิงค์กันมากที่สุดแม้ไม่ได้ระบุวันเดือนปีที่แต่งไว้ แต่ก็มีผู้สันนิษฐานปีที่แต่งไว้หลายคน ซึ่งข้อนนิษฐานมักตกในเวลาที่ใกล้เคียงกัน ดังที่ ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ ได้กล่าวไว้ในเรื่อง "พระพุทธสิหิงค์" พิมพ์ในหนังสือ "รายงานการ
สัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งที่ ๒:ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของนครศรีธรรรมราช"ความว่า ธนิต อยู่โพธิ์ สันนิษฐานว่าแต่งประมาณ พ.ศ.๑๙๕๔-๑๙๘๕ ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน (หรือพระเจ้าวิไชยดิศ) ครองเมืองเชียงใหม่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า แต่งขึ้นระหว่างพ.ศ.๒๐๐๐-๒๐๗๐ และมีลางท่านเห็นว่าแต่งขึ้นระหว่างพ.ศ.๑๙๘๕-๒๐๖๘ เพราะระยะนั้นเป็นระยะที่วรรณกรรมบาลีกำลังเฟื่องฟูในล้านนา
	
		เนื้อหาใน "สิหิงคนิทาน" มีลักษณะเชิงตำนาน แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๘ ปริเฉท มีเนื้อความสรุปได้ว่า พระพุทธสิหิงค์สร้างขึ้นในประเทศลังกา โดยพระราชาชาวลังกาสามองค์พร้อมด้วยพระอรหันต์ ๒๐รูป ได้ร่วมกันสร้างขึ้นราว พ.ศ. ๗๐๐ เพื่อให้เป็นสักการะของทวยเทพ ท้าวพระยาและมหาชนโดยทั่วกัน  ก่อนสร้างได้ปรึกษาสอบสวนถึงพุทธลักษณ์อย่างถี่ถ้วนโดยหมายจะให้ได้รูปที่เหมือนองค์พระพุทธเจ้ามากที่สุดแต่ในที่สุดก็พญานาคตนหนึ่งซึ่งเคยเห็นองค์พระพุทธเจ้าได้นิรมิตให้เห็นเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าประทับสมาธิเหนือรัตนบัลลังก์ สมบูรณ์ด้วยพระมหาปุริสลักษณะ
สมัยสุโขทัยกษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามว่า "ไสยรงค์"ทรงทราบถึงลักษณะที่งดงามของพระพุทธสิหิงค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชแต่งทูตไปขอพระพุทธสิหิงค์จากพระเจ้ากรุงลังกา พระเจ้ากรุงลังกาก็ถวายมาตามพระราชประสงค์ พระเจ้าไสยรงค์ทางโสมนัสมาก จึงได้เสด็จไปรับพระพุทธสิหิงค์ถึงเมืองนครศรีธรรมราช แล้วอัญเชิญมาประดิษฐานที่สุโขทัยหลังจากนั้นกล่าวถึงการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานที่เมืองต่างๆ ตามลำดับคือ พิษณุโลก กรุงศรีอยุธยา กำแพงเพชร เชียงราย จนถึงไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ เรื่องราวพระพุทธสิหิงค์ที่พระโพธิรังสีแต่งไว้ก็จบลงเพียงเท่านี้
กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยทรงทราบถึงลักษณะอันงดงามของพระพุทธสิหิงค์ จึงขอให้กษัตริย์แห่ง
นครศรีธรรมราชแต่งทูตไปขอพระพุทธสิหิงค์จากพระเจ้ากรุงลังกา
		แต่พระพุทธสิหิงค์ยังมีเรื่องราวในพงศาวดารซึ่งมีผู้แต่งต่อเติมขยายความต่อมาอีกมากจึงยากแก่การสรุปว่าหมายถึงพระพุทธสิหิงค์องค์โดกันแน่ ในกลุ่มนักวิชาการเองก็ยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ไม่น้อยในเอกสารที่เขียนขึ้นชั้นหลัง ๆ ก็มักแต่งเสริมเรื่องลากเข้าตามความเชื่อของตน ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ ได้กล่าวไว้ในข้อเขียนที่อ้างถึงแล้วว่า "เดิมทีเดียวเราก็ไม่ทราบชัดว่าซ้ำกันถึงสามองค์คือ ที่นครศรีธรรมราช เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร แล้วได้เกิดวิพากษ์วิจารณ์
ประมาณสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ นี่เอง อันเป็นเหตุให้ต่างคน ต่างก็คิดว่าพระพุทธสิหิงค์ที่อยู่ในเมืองของตนเป็นองค์จริงด้วยความเคารพนับถือกันมาแต่โบราณ เมื่อการถกเถียงกันมากเข้าก็เลยมีคนคิดแต่งนิทานแต่งใหม่เสริมเข้ามาอีก เพื่อสนับสนุนความเชื่อและเอาฯกัน ทั้งนี้เพราะตีตำนานไม่แตก แยกตำนานไม่ออกว่าอะไรเป็นแก่น อะไรเป็นกระพี้ และไม่เข้าใจแบบอย่างสกุลช่างพระพุทธรูปตลอดจนคติทางพุทธศาสนาที่นิยมเชื่อถือกันในยุคนั้น"
ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ กล่าวว่า "ตำนานเรื่องพระพุทธสิหิงค์นี้ทางลังกาไม่เคยมีกล่าวถึงเลย แม้จะเป็นต้นตำรับทางพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่ถ่ายทอดแบบอย่างให้แก่ไทยโดยตรง ตำนานเรื่องพระพระพุทธสิหิงค์แต่งขึ้นในประเทศไทยเองตามคำบอกเล่า โดยอาจจะได้จากพระสงฆ์ลังกาที่เดินทางเข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนาลังกาวงศ์ในครั้งนั้นเป็นครู หรือเป็นผู้นำเอาตำนานและคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาของชาวลังกามาถ่ายทอดให้พระสงฆ์ไทย นโยบายที่อ้างความ
เก่าแก่โบราณซึ่งผู้ฟังผู้อ่านเกิดไม่ทันก็ดี อ้างย้อนหลังไปถึงครั้งอินเดียก็ดี ลังกาก็ดี ล้วนเป็นการสร้างความเคารพเชื่อถือ สร้างความสำคัญศักดิ์สิทธิ์ให้แก่สิ่งนั้น ๆนั่นเอง เพราะสมัยก่อนเราถืออินเดีย ลังกาเป็นบรมครูที่ตำนานอ้างว่าพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปที่หล่อขึ้นในลังกาทวีปจึงไม่เป็นความจริง แต่เราเพียงเอาคดิความเชื่อของลังกามาเท่านั้น แล้วนำมาคิดปรุงแต่งแบบอย่างขึ้นใหม่ โดยได้รับอิทธิพลแบบอย่างจากลังกาดังจะเห็นว่าพระพุทธสิหิงค์ไทยลักษณะลางอย่างคล้อยตามลังกา แต่โดยทั่วไปแล้วแทบไม่เหมือนลังกาเลย..."
		เมื่อตำนานยากแก่การวินิจฉัยชี้ชัดเช่นนี้ประกอบกับพระพุทธสิหิงค์ทั้งสามองค์ต่างก็มีความเก่าแก่และเป็นที่สักการบูชากันมาช้านาน จึงถือกันว่าเป็นพระพุทธสิหิงค์องค์แท้ทั้งสามองค์  ดังที่ เสนอ นิลเดช ได้กล่าวไว้ในเรื่อง "พระพุทธสิหิงค์" พิมพ์ในวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓ สิงหาคม-พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๖ ว่า "สรุปแล้วพระพุทธ
หิงค์ที่มีอยู่ในเมืองไทยแท้ทุกองค์ เพราะแต่ละองค์ก็มีตำนานปรากฏ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะคลาดเคลื่อนไปบ้างก็ยังดีเสียกว่าที่เราไม่มีอะไรเสียเลย"
พระพุทธสิหิงค์แบบขนมต้ม แม้ได้รับอิทธิพลศิลปะแบบลังกาและศิลปะปาละผสมกัน แต่ก็ถือเป็นสกุลช่างนครศรีธรรมราชที่นำศิลปะจากสองแหล่ง
		พระพุทธสิหิงค์นครศรีธรรมราช ประดิษฐานอยู่ที่ "หอพระพุทธสิหิงค์" ในบริเวณศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช (อยู่ระหว่างศาลากลางจังหวัดกับศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช) ซึ่งบริเวณนี้เดิมเป็นที่ตั้งวังของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช
พระพุทธสิหิงค์องค์นี้เป็นพระพุทธรูปสำริดประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย (เช่นเดียวกับองค์ที่เชียงใหม่) มีขนาดหน้าตักกว้าง ๓๒ เชนติเมตร สูง ๔๒ เซนติเมตร พระวรกายอ้วนกลมป้อม พระอุระนูนมาก พระเศียรและพระพักตร์กลมป้อม เส้นพระศกใหญ่ ไม่มีไรพระศก พระหนุ และพระนาสิกยื่นเล็กน้อย ชายสังฆาฏิสั้นแบบเขี้ยวตะขาบ แต่มีริ้วผ้าพับช้อนกันมาก ฐานเตี้ยและเรียบไม่มีบัวรอง ส่วนที่เป็นฐานบัวเพิ่งมาทำในสมัยรัชกาล ที่ ๕ จัดเป็นพระพุทธรูปสกุลช่างนครศรีธรรมราชที่เรียกกันว่า"แบบขนมต้ม" ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ ได้กล่าวไว้เรื่องที่อ้างแล้วข้างต้นว่า "...พระพุทธสิหิงค์ นับเป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพื้นเมืองนครศรีธรรมราชโดยแท้ เป็นเอกลักษณ์ของตนโดยเฉพาะ แม้จะได้รับอิทธิพลแบบอย่าง มาจากลังกาและศิลปะครั้งราชวงศ์ปาละจากอินเดียผสมกัน แต่นับได้ว่าเป็นพระพุทธรูปสกุลช่างที่สำคัญแบบหนึ่งของนครศรีธรรมราช
		มีข้อสังเกตประการหนึ่ง ผิวโลหะส่วนผสมที่หล่อพระพุทธสิหิงค์องค์แบบจะออกสีแดงเรื่อ ๆ คล้ายนาก ผิวโลหะสุกปลั่งเป็นมันแววอยู่เสมอเป็นพิเศษกว่าทุกองค์ กล่าวคือพระพุทธสิหิงค์แบบนครศรีธรรมราชรุ่นหลัง ๆ ซึ่งหล่อขึ้นในสมัยอยุธยามักจะมีส่วนผสมทองเหลืองอยู่มากจนเห็นชัด ดังนั้นน่าเชื่อว่าพระพุทธสิหิงค์องค์ต้นแบบในหอพระพุทธสิหิงค์มีอายุเก่ากว่าเพื่อน หรือหล่อขึ้นในสมัยสุโขทัยตามตำนาน คือในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ และเมื่อสร้างองค์ต้นแบบขึ้นแล้ว ก็คงไม่มีการปั้นหล่อพระพุทธสิหิงค์แบบเดียวกันอีก เพราะถือมั่นว่าพระพุทธรูปสำคัญ ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่บ้านจะต้องมีเพียงองค์เดียวเท่านั้น เพิ่งมาเลิกคติเดิมคิดเปลี่ยนแปลงทำเลียนแบบขึ้นในสมัยหลังเพื่อให้คนทั่วไปมีไว้บูชากราบไหว้ได้บ้าง ดังนั้นเราจึงพบว่าพระพุทธสิหิงค์รุ่นหลังมักหล่อขึ้นในสมัยอยุธยาเป็นต้นมา และฝีมือช่างแตกต่างกันไป"
		ทุกปีในวันมหาสงกรานต์ ชาวนครศรีธรรมราชจะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปสรงน้ำที่สนามหน้าเมือง
เรื่องที่มาของชื่อ "พระพุทธสิหิงค์" ว่าอาจมาได้ ๒ ทางคือ ทางหนึ่งมาจากการเปรียบลักษณะของพระพุทธรูปนี้ว่าสง่างามดั่งพญาราชสีห์ ความเชื่อนี้มีมาแต่ในตำนานเดิมของพระโพธิรังสี ซึ่งศาสตราจารย์แสง มนวิทูร แปลภาษาไทยไว้ในชื่อเรื่อง "นิทานพระพุทธสิหิงค์" ว่า "...มีลักษณะท่าทางเหมือนราชสีห์ จึงเรียกชื่อว่าพระสิหิงค์ อีกนัยหนึ่งลักษณะท่าทางของพระผู้มีพระภาค จึงเรียกชื่อว่า สิหิงค์ (สีหอิงค)" ส่วนอีกทางหนึ่งอาจมาจากการที่เราเรียกชาวลังกาอีกชื่อหนึ่งว่า "ชาวสิงหล" และด้วยที่เชื่อกันว่ามีประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องกับชาวลังกาดังกล่าวแล้ว ต่อมาจึงเรียกพระพุทธรูปนี้ว่า "พระสิงห์" หรือ "สีหฬปฏิมา" หรือ "พระพุทธสิหิงค์" ซึ่งก็คือพระพุทธรูปชาวสิงหลนั่นเอง
พระพุทธสิหิงค์นครศรีธรรมราชเป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพื้นเมืองมีเอกลักษณ์ที่รูปทรงเป็นแบบ "ขนมต้ม" ที่ได้รับอิทธิพลจากลังกาและอินเดียครั้งราชวงศ์ปาละ
		ชาวนครศรีธรรมราชและชาวไทยโดยทั่วไป มีความเชื่อกันมาแต่ครั้งโบราณว่าพระพุทธสิหิงค์มีความศักดิ์สิทธิ์มากจึงสักการบูชาและถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมานาน ในตำนานและประวัติพระพุทธสิหิงค์จะเห็นชัดว่ากษัตริย์หรือผู้ครองเมืองต่างก็พยายามที่จะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปไว้ยังเมืองตนเองตลอดเวลา พระโพธิรังสีได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "พระ
พุทธสิหิงค์หาชีวิตมิได้ก็จริง แต่มีอิทธานุภาพด้วยเหตุ ๓ ประการคือ อรหันตพล ของอรหันต์ อธิษฐานพลของพระเจ้าลังกาหลายองค์ และศาสนพลของพระพุทธเจ้า"และกล่าวว่า "พระพุทธสิหิงค์ เมื่อเสด็จประทับอยู่ในที่ใด ๆ ย่อมทรงทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองดังดวงประทีป เหมือนหนึ่งว่าพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่"
		ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งพระศรีมโหสถแต่งโครงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ได้พรรณนาถึงความสำคัญของพระพุทธสิหิงค์ ไว้เป็นคำโคลงบทหนึ่ง พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ผู้แต่งตำนานพระพุทธสิหิงค์อีกท่านหนึ่ง ได้แสดงความเชื่อมั่นในอานุภาพของพระพุทธสิหิงค์ไว้ว่า "ข้าพเจ้าผู้เขียนตำนานย่อฉบับนี้มีความเชื่อมั่นในอานุภาพของพระพุทธสิหิงค์ออยู่มาก อย่างน้อยก็สามารถบำบัดความทุกข์ร้อนในใจให้เหือดหาย ผู้ใดมีความทุกข์ร้อนในใจท้อถอยหมดมานะด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ข้าพเจ้าขอแนะนำให้มาจุดธูปเทียนบูชาและนั่งนิ่ง ๆ มองดูพระองค์สัก ๑๐ นาที หิงค์อยู่มาก อย่างน้อยก็สามารถบำบัดความทุกข์ร้อนในใจให้เหือดหาย ผู้ใดมีความทุกข์ร้อนในใจ ท้อถอยเกียจคร้านจะกลับขยัน ผู้ที่หมดหวังจะกลับมีหวัง... "
จังหวัดนครศรีธรรมราชมีพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน  ชาวนครและจังหวัดใกล้เคียงจึงรู้สึกภาคภูมิใจและนับถือพระพุทธรูปองค์นี้เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อมาระยะหลังได้เพิ่มกิจกรรมอันแสดงถึงความศรัทธาของชาวเมืองมากขึ้นอีก เช่นการอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้เพื่อให้ประชาชนสรงน้ำที่สนามหน้าเมืองในวันสงกรานต์ (๑๓ เมษายน) นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนชาวนครและวัดต่าง ๆ ทุกอำเภอต่างพากันสร้างพุทธสิหิงค์จำลองขึ้นเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่บ้าง และขนาดเล็กบ้าง โดยเฉพาะการสร้าง "พระพุทธสิหิงค์มิ่งมหาชัย" ขึ้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕๕ เป็นพระพุทธสิหิงค์ปูนปั้นขนาดใหญ่ ซึ่งมีหน้าตักกว้าง ๙,๘๔ เมตร ถือเป็นการประกาศความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อพระพุทธสิหิงค์ให้ประจักษ์แก่สายตาชาวไทยและชาวพุทธทั่วโลกอย่างชัดเจน
เขียนโดย ดร.พรศักดิ์ พรหนแก้ว จากหนังสือพระพุทธสิหิงห์มิ่งมหาชัย หน้า51-55 พิมพ์ครั้งแรก มกราคม 2560







