03 มิถุนายน, 2567
ผู้มีคุณูปการต่อศูนย์ศิลปวัฒนธรรม
จากฟ้ามาสู่ดิน
 
ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2531 โดยใช้ชื่อว่า “ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช” ภายในอาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช มีนิทรรศการว่าด้วยประวัติศาสตร์และวิถีวัฒนธรรมของชาวเมืองนครศรีธรรมราชและภาคใต้ นำเสนอประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองนครศรีธรรมราช ที่สามารถย้อนอดีตไปไกลถึง 1,500 ปีที่แล้ว หลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญที่ศูนย์ฯ ได้อ้างถึงประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมือง อาทิ ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 จัดแสดงหนังสือบุดที่สำคัญอันเป็นวรรณกรรมท้องถิ่น เครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้าน ประเพณีสำคัญ มหรสพพื้นบ้านอาทิ โนรา หนังตะลุง การละเล่นพื้นบ้าน พื้นที่ด้านนอกอาคารจัดแสดง ยังจัดสร้างกลุ่มเรือนไทยที่เป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นภาคใต้ไว้ให้ได้ชมกันด้วย
 
	ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช  ทำพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2531 โดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น  โดยใช้ชื่อว่า “ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้  วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช”   แต่เดิมนั้นสถานศึกษาแห่งนี้มีกำหนดมาจากโรงเรียนฝึกหัดครูที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2500  จากนั้นพัฒนาเป็นวิทยาลัยครู  สถาบันราชภัฏ และมหาวิทยาลัยราชภัฏในปัจจุบัน ภายในอาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช  
    
	พิพิธภัณฑ์ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชแห่งนี้ได้ใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2536 และสมเด็จพระเทพพระราชราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรมแห่งนี้  เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2537 ล่วงมาจนถึงปี พ.ศ. 2567เป็นเวลา 30 ปีมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช          ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมแห่งนี้ เห็นว่าควรจะได้รับการขยายคุณค่า  และความสำคัญของหนังสือบุด ให้เกิดคุณูปการแก่สังคมและชุมชนอย่างกว้างขวาง และยกระดับภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฎพุทธศักราช 2547 ด้านการทำนุบาลบำรุงศิลปะวัฒนะวัฒนธรรมให้โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์พิเศษและมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชโครงการพิพิธภัณฑ์หนังสือบุดจึงเริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547 โดยปรับปรุงอาคารศิลปวัฒนธรรมเป็นพิพิธภัณฑ์หนังสือบุด  นำเสนอประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองนครศรีธรรมราช ที่สามารถย้อนอดีตไปไกลถึง 1,500 ปีที่แล้ว อันเป็นที่ตั้งของนคร รัฐที่มีความสำคัญในภูมิภาค ในด้านการค้า การปกครอง ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม  โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามยุคสมัย อาทิ ตามพรลิงค์  ตั้งม่าหลิ่ง  เชี้ยะโท้ว  สิริธรรมนคร  ละคอน เป็นต้น หลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญที่ศูนย์ฯ ได้อ้างถึงประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมือง อาทิ ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย  ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 เป็นจารึกอุทิศบูชาพระศิวะ สันนิษฐานว่ากลุ่มชนผู้สร้างศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยขึ้นนี้ จะต้องเป็นกลุ่มชนที่ใช้ภาษาสันสกฤต  นับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวะนิกาย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งค้นคว้าด้านภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น  จัดแสดง “หนังสือบุด” อันเป็นวรรณกรรมที่เป็นลายลักษณ์ของวัฒนธรรมภาคใต้   เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาที่สำคัญ  ลักษณะเป็นแผ่นกระดาษยาวหน้าแคบ แผ่นกระดาษทำจากต้นข่อย  ในภูมิภาคอาจเรียกชื่อต่างกัน เช่น สมุดข่อย  สมุดไทย เป็นต้น นำเสนอมหรสพพื้นบ้านที่สำคัญ ได้แก่ โนรา อันเป็นมหรสพที่เน้นลีลาท่ารำ ประกอบบทร้อง ศิลปินต้องมีความสามารถในการร่ายรำ และการร้องเป็นอย่างดี ร่างกายทุกส่วนต้องอ่อนช้อยมีจังหวะตามท่วงทำนองของดนตรี   นอกจากนี้ยังจัดแสดงหนังตะลุง ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงที่สำคัญอีกแขนงหนึ่งของภาคใต้อีกด้วย นอกจากนี้ยังบอกเล่าผ่านภาพถ่ายเก่าวิถีชีวิตของผู้คนและประเพณีสำคัญ  อาทิ  ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ อันเป็นประเพณีสำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนครศรีธรรมราช  โดยผู้มีจิตศรัทธาพร้อมใจกันบริจาคเงินทอง เพื่อนำไปซื้อผ้ามาเย็บต่อกันเป็นผืนยาว  แล้วพากันแห่ไปพันรอบฐานองค์พระบรมธาตุเจดีย์  ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้าอันเป็นที่พึ่งทางจิตใจ เป็นประเพณีที่รวมเอาความศรัทธาของผู้คนเมืองนครและพื้นที่ใกล้เคียงไว้ด้วยกัน ทำสืบต่อกันมาหลายร้อยปี มักทำกันในช่วงวันสำคัญทางศาสนาได้แก่วันมาฆบูชาและวิสาขบูชา จัดแสดงวัตถุทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ อาทิ กรือโต๊ะ เป็นการละเล่นชนิดหนึ่งของชาวไทยมุสลิม กรือโต๊ะประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ตัวกรือโต๊ะ เด๊าว์หรือใบ และไม้ตีตัวกรือโต๊ะ   ตัวกรือโต๊ะทำจากไม้เนื้อแข็งที่เรียกว่า "ไม้ตาแป" จะเอาไม้ตาแปมาตากแดดให้แห้งสนิทแล้วนำมาตัดให้ได้ขนาดแล้วใช้สิวขุดให้เป็นหลุม ลักษณะของหลุมที่นิยมคือ หลุมปากแคบ และป่องตรงกลาง ภายนอกจะตกแต่งหรือกลึงอย่างสวยงามมีการทาสี สีที่นิยมทากันคือ สีฟ้า สีขาว สีเหลือง หรือทาน้ำมันชักเงาให้สวยงาม  เด๊าว์ หรือ เรียกว่า ใบ หรือลิ้นเสียง จะทำจากไม้ตาแปที่แห้งสนิทดีเช่นเดียวกับกรือโต๊ะ กรือโต๊ะใบหนึ่งๆ มีเด๊าว์ 3 อัน คือทำเป็นเสียงต่ำ เสียงกลาง และเสียงสูง อย่างละอัน ขนาดของเด๊าว์ยาวประมาณ 2 - 3 ฟุต กว้างประมาณ 6 - 8 นิ้ว ส่วนความยาวตามความชำนาญของผู้ใช้เล่น  ส่วนไม้ตี ทำจากไม้เนื้อแข็ง ขนาดของไม้พอจับถือได้ถนัด ยาวประมาณ 1 ฟุต ปลายด้ามที่ใช้ตี จะพันด้วยเส้นยางพาราเป็นหัวกลมขนาดโตกว่ากำปั้นเล็กน้อย   วิธีการเล่นกรือโต๊ะ จะมีการตีกรือโต๊ะแข่งขันกันว่ากรือโต๊ะของใครจะมีเสียงดังกว่ากัน และมีเสียงที่นิ่มนวลกลมกลืนกันและมีความพร้อมเพรียงกันในการตีกรือโต๊ะ เครื่องจักสานท้องถิ่น อาทิ  ครุ หรือที่ภาษาถิ่นเรียกว่า  “โตร๊ะ”  เป็น ภาชนะจักสาน มีหูหิ้ว สำหรับใส่ไม้คานหาม ทำจากไม้ไผ่สาน  ชาวบ้านนิยมใส่ผลไม้ขนย้ายจากภูเขาหรือที่สูง  ใช้มากที่อำเภอลานสกา นครศรีธรรมราช กระเชอใหญ่ หรือชาวบ้านเรียกเชอใหญ่  เป็นเครื่องจักสานที่ทำด้วยไม้ไผ่ สำหรับใส่ข้าวเปลีอก  มีขนาดใหญ่มาก เมื่อใส่ข้าวเปลือกแล้ว ต้องใช้ผู้แบกหาม 2-3 คนพื้นที่ด้านนอกอาคารจัดแสดง ยังจัดสร้างกลุ่มเรือนไทยที่เป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นภาคใต้ไว้ให้ได้ชมกันด้วย 
บุคคลสำคัญในด้านงานทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม  ของมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชที่ ทำให้ก่อเกิดได้เกิดพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นมา  ซึ่งจากสาระสำคัญก็ประจักษ์ชัดว่า  มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชเป็นสถาบันอุดมอุดมศึกษาที่สนใจแล้วก็ตระหนักในคุณค่าความสำคัญ  ต่อพันธกิจด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม  ตั้งแต่คร้านยังเป็นฐานะเป็นวิทยาลัยครู  และได้อนุรักษ์ศึกษาสร้างสรรค์ สืบสาน วิจัย ส่งเสริม  เผยแพร่  ตามวัตถุประสงค์ต่างๆ  มาอย่างต่อเนื่อง  จนเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีความโดดเด่นทางด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม  สามารถเป็นที่พึ่งทางวิชาการแก่ชุมชนและสังคมได้ทั้งใน ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ  ความสำเร็จอันงดงามดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นได้ด้วยการได้รับความแรงร่วมใจในกุศลเจตนากุศลศรัทธาและกุศลจริยาของบรรดา คณะสงฆ์ พี่น้องประชาชน ครูอาจารย์ นักศึกษา เจ้าหน้า  ที่ซึ่งร่วมร่วมกันเป็นพลังบูรณาการ ประสานภารกิจ  ตามยถาพลัง มหาวิทยาลัย ซาบซึ้งใจในคุณูปการเหล่านี้เป็นนิรันดร์  เมื่อได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของงานทำรูปบำรุงศิลปวัฒนธรรม  ของมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชอย่างถ่องแท้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว  พบว่ามหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช  ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู  ในการนี้ทั้งจากฟ้ารัฐบาล ผู้อุทิศตนปรนนิบัติราชการและกัลยาณมิตรที่ยั่งยืน
  
จึงขอบันทึกไว้ในความทรงจำดังนี้จากฟ้า สู่สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช   สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี  เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดศูนย์ศิลปวัฒนธรรม  สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราชและ เสวยพระกระยาหารกลางวัน  ณ  สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช  ในวันที่ 5 ตุลาคม 2537 ซึ่งเป็นสิริมงคลการและก่อให้เกิดพลังสร้างสรรค์งานศิลปวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่  แก่ชาวสถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราชในขณะนั้น  สืบมาจวบจนปัจจุบันจากรัฐบาลสู่วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช   พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี  คนที่ 16 ของประเทศไทย  เมื่อปีพพ.ศ. 2529 วันที่ 9 มีนาคม พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี  มาเยี่ยมศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้   วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช  และลงนามไว้ในสมุดเยี่ยม  ณ ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้  ในการเยี่ยมชมวิทยาลัยนครศรีธรรมราช   เมื่อวันที่ 9 มีนาคมพุทธศักราช 2529  ในปีพ.ศ. 2531 วันที่ 29 มกราคม  ฯพณฯท่าน พลเอกเปรม ติณสูลานนท์  นายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์  อาคารศูนย์วัฒนธรรมวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช
    
นายสัมพันธ์   ทองสมัคร  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ. 2529 ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ได้มอบหมายและสนับสนุนให้  ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช  ศึกษาประวัติ ท่านพลเอก  พลเอกเปรม ติณสูลานนท์   นายกรัฐมนตรีและตีพิมพ์หนังสือเกิดถิ่นใต้และต้นตระกูล  ติณสูลานนท์   เผยแพร่สู่สาธารณะชน   เมื่อเดือนธันวาคม 2529 ปีพ.ศ. 2530 ได้ประสานงานสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล  ผ่านทางกรมการฝึกหัดครู  เพื่อก่อสร้างอาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรมหลังใหม่  ของวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช  พ.ศ. 2531 ได้ประสานงานกราบเรียนเชิญ  พลเอกเปรม ติณสูลานนท์    นายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์  อาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรม  วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช  ปีพ.ศ. 2537   ได้ประสานงานกับบังคมทูลขอพระราชทาน  อัญเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดศูนย์ศิลปวัฒนธรรมสถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช  เสวยพระกระยาหารกลางวัน  ณสถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช
กล่าวโดยสรุปอาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรม  สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช   เกิดขึ้นได้และสามารถขยายภารกิจการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม  สู่ชุมชนและสังคมอย่างกว้างขวาง  สืบต่อมาจวบจนปัจจุบัน   ก็เพราะความเพียรพยายามสนับสนุนเกื้อกูลด้วยกุศลเจตนาอันมั่นคง   ของนายสัมพันธ์  ทองสมัคร  ผู้เป็นศิษย์เก่ามหาชัย  และประธานนักเรียนในโรงเรียนฝึกหัดครูนครศรีธรรมราชปี 2507 โดยแท้   ผู้สนับสนุนตนปรนนิบัติราชการ  คำว่าปรนนิบัติราชการในที่นี้  ใช้คำอธิบายของอาจารย์อาวุโส  ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการศึกษาศิลปวัฒนธรรม  อย่างกว้างขวางว่าหมายถึง  ผู้มานะตั้งใจทำงานเห็นแก่นิดเหนื่อยทำได้ตลอดทั้งเจ็ดวันโดยไม่คำนึงถึงวันหยุดราชการ   ค่าตอบแทนและสินจ้างรางวัล  ผู้ที่ตนปฏิบัติราชการตามนัยยะความหมายข้างต้นในที่นี้  ขอนำการบันทึกจารึกไว้ในความทรงจำรวมสี่ท่านซึ่งเกษียณราชการไปแล้วตามลำดับเวลาการทำหน้าที่หัวหน้างานทำบำรุงศิลปวัฒนธรรมที่เรียกว่าผู้อำนวยการคือ 
 
อาจารย์วิเชียร ณ นคร ในช่วงปีพ.ศ. 2521 – 2533
     
อาจารย์สมพุทธ ธุระเจน  ปีพ.ศ. 2533 -2538
    
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ฉัตรชัย  ศุกระกาญจน์  ปีพ.ศ. 2538  - 2542
 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์แอบ  ชามทอง ปี พ.ศ. 2542 - 2552
 
ช่วงเวลาเกือบสี่ทศวรรษนี้ภารกิจการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม  มีความโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์แก่ชุมชนและสังคมดังนี้   อาจารย์วิเชียร  ณ  นคร   เป็นช่วงเวลาที่ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช   มีผลงานโดดเด่นที่สุดทั้งในภารกิจการ  เก็บรวบรวม  การดูแลรักษา และการพิมพ์เผยแพร่หนังสือบุด  การสัมมนาประวัติศาสตร์ นครศรีธรรมราชการ  จัดนิทรรศการทางวัฒนธรรม  การจัดหอวัฒนธรรมและการส่งเสริมเผยแพร่วัฒนธรรมในรูปแบบต่างๆ   หากจะสรุปภาพรวมของช่วงเวลานี้ว่าเป็นยุคทองของการสะสมมรดกทางวัฒนธรรม และการริเริ่มแสวงหาองค์ความรู้ท้องถิ่น   ศึกษาจากคลังข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น  ก็คงจะไม่ห่างไกลความเป็นจริงแม้แต่น้อย
	อาจารย์สมพุทธ  ธุระเจน   ในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้  เป็นช่วงเวลาที่ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช และศูนย์ศิลปวัฒนธรรมสถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช  มีผลงานโดดเด่นที่สุดใน3 ลักษณะสำคัญคือ  การจัดกิจกรรมมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติก  ารจัดแสดงแข่งขัน โนรา เพลงบอก และกลอนสด ในนามของจังหวัดนครศรีธรรมราชการ  เป็นบรรณาธิการศิลปะวัฒนะธรรมและหัวหน้ากองบรรณาธิการสารนครศรีธรรมราชภาพรวมของช่วงเวลานี้  เป็นยุคทองของการนำเสนอมรดกทางวัฒนธรรม  องค์ความรู้ทางวัฒนธรรม  เผยแพร่สู่ชุมชนและสังคมในวงกว้าง   ทางงานมหกรรมวัฒนธรรมสารนครนครศรีธรรมราช  และส่งเสริมกิจกรรมทางวัฒนธรรม แก่เยาวชนศิลปินพื้นบ้าน  ในโอกาสจัดงานประเพณีสำคัญของบ้านเมืองงานสำคัญและยิ่งใหญ่อีกงานหนึ่ง   ภายในสถาบันช่วงเวลานี้ก็คือการย้ายสถานที่ทำงานศูนย์วัฒนธรรม  จากอาคาร  9  มาสู่อาคารศูนย์วัฒนธรรมหลังใหม่  และเป็นกองเลขานุการงานรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตยราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดศูนย์ศิลปวัดวัฒนธรรมสถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช   เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2537  แม้ปัจจุบันนี้  ท่านอาจารย์สมพุทธ  ธุระเจน  จะจากไปแต่ความดีและคุณูปการต่างๆยังคงจารึกให้ชาวศิลปวัฒนธรรม  มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชและชาวนครศรีธรรมราชยังคงจดจำอยู่
	อีกท่านที่เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้  คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ฉัตรชัย    
ศุกระกาญจน์   ในช่วงปีพ.ศ. 2538 -2542  ช่วงเวลานี้ศูนย์วัฒนธรรมมีงานโดดเด่นใหม่เพิ่มขึ้นอีก2ลักษณะคือ  การพิมพ์หนังสือโครงการนครศรีธรรมราชคดีศึกษา   เผยแพร่สู่เยาวชนและความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดนครศรีธรรมราช  และภาคใต้ศึกษาและจัดพิมพ์หนังสือชุดวัฒนธรรมเขาขุนพนม  และวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้  เผยแพร่สู่สาธารณะชนซึ่งหลายคนก็เคยซึ่งหลายท่านก็คงจะเคยอ่านหนังสือที่ท่านได้ประพันธ์กันเอาไว้  อย่างเช่น หนังสือโบราณสถาณเขาขุนพนม  หนังสือเขาขุนพนมชีวิตและวัฒน วัฒนธรรม  หนังสือพันธุกรรมพืชเขาขุนพนม  อุทยานการศึกษาเขาขุนพนม  หนังสือตามพรลิงสู่นครศรีธรรมราช  หรือจะเป็นหนังสือวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้   ล้วนแล้วแต่เป็นช่วงเวลาที่ท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ฉัตรชัย 
ศุกระกาญจน์  ดูแลในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้   และอีกท่านช่วงเวลาที่ศูนย์วัฒนธรรมสถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราชมีผลงานโดดเด่นสืบต่อมานั่นก็คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์แอบ  ชามทอง  ท่านดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ในช่วงปีพ.ศ. 2542 -2552  ช่วงนี้มีผลงานโดดเด่นสืบต่อมา2 ลักษณะ นั่นก็คือการจัดประกวดแข่งขันโนราเพลงบอกและกลอนสด กับการจัดพิมพ์หนังสือตามโครงการนครศรีธรรมราชคดีศึกษา และมีงานโดดเด่นใหม่เพิ่มขึ้นอีก2ลักษณะคือการจัดพิมพ์หนังสือชุดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมเผยแพร่สู่สาธารณะชน และตอบสนองนโยบายสำคัญของมหาวิทยาลัยและจังหวัดนครศรีธรรมราชอย่างแข็งขัน2เรื่อง ที่โดดเด่นคือโครงการจัดสร้างพระพุทธสิหิงค์มิ่งมหาชัยและโครงการนำเสนอพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชขึ้นบัญชีมรดกโลกค่ะ
	นอกจากนั้นแล้วผู้ที่มีผลงานโดดเด่นด้านทักษิณคดีศึกษาเป็นที่ยกย่องเชิดชูว่าเป็นผู้มีผู้การอันยิ่งใหญ่อีกท่านหนึ่งนั่นก็คือ ศาสตราจารย์สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ ซึ่งในวงการศิลปวัฒนธรรมและวรรณกรรมท้องถิ่น  มีรางวัลสำคัญเป็นเครื่องประกันคุณภาพอย่างหลากหลาย อย่างเช่นรางวัลพระเกี้ยวทองคำ  รางวัลโล่และเข็มเกียรติคุณรางวัลพระสิทธธาดาทองคำรางวัลสงขลานครินทร์  อนุสรณ์รางวัลเหล่านี้  ล้วนแต่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีทั้งสิ้น ผู้มีคุณูปการท่านนี้ คือศาสตราจารย์สุทธิวงศ์  พงษ์ไพบูลย์  ท่านคือกัลยาณมิตรที่ยั่งยืน ของอาจารย์วิเชียร  ณ นครและอาจารย์สมพุทธ  ธุระเจน มาตั้งแต่ท่านเป็นครูภาษาไทยแห่ง วิทยาลัยครูสงขลา   เป็นผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรมภาคใต้  ผู้อำนวยการสถาบันทักษิณคดีศึกษา  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒสงขลา และเมธีวิจัยอาวุโส  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ไม่ว่าท่านจะดำรงตำแหน่งหรือฐานะใด  ท่านก็ได้มีการให้การสนับสนุนส่งเสริมภารกิจการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ของวิทยาลัยครู  สถาบันราชภัฎ และมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช  อย่างสม่ำเสมอ  ไม่ว่าจะในรูปลักษณ์ต่างๆ  เช่นติดต่อประสานงาน  ให้มูลนิธิโตโตโยต้าแห่งประเทศญี่ปุ่น  สนับสนุนทุนโครงการสำรวจเก็บรวบรวมและศึกษาหนังสือบุด  ในนครศรีธรรมราช  แก่ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช  เป็นวิทยากรหลักโครงการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช  เปิดโอกาสและสนับสนุนให้บุคลากร  ของวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช  สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช และ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช   เข้าร่วมโครงการสำคัญและโดดเด่นของท่าน   เช่นโครงการสารานุกรม วัฒนธรรมภาคใต้  โครงการพจนานุกรมภาษาถิ่นใต้   โครงการโครงสร้างและพลวัตวัฒนธรรมภาคใต้  กับการพัฒนาโครงการภูมิปัญญาทักษิณ  จากวรรณกรรมและพฤติกรรม  ซึ่งศาสตราจารย์สุทธิพงศ์  พงษ์ไพบูลย์  เป็นเมธีวิจัยอาวุโสค่ะ









