14 พฤษภาคม, 2567
ประเพณีลากพระ-แข่งเรือเพรียวปากพนัง
วิถีชีวิตคนไทยผูกพันกับสายนํ้ามาตลอด เริ่มตั้งแต่การสร้างบ้านแปงเมือง ที่มักจะเลือกทำเลติดแม่นํ้าลำคลอง เพื่อเป็นแหล่งนํ้าในการอุปโภคบริโภค การค้าขายคมนาคมขนส่ง ตลอดจนการทำการเกษตร “สายนํ้า” จึงเปรียบเสมือน “สายโลหิตของชีวิตคนไทย” มาแต่บรรพกาล คนไทยสมัยก่อนนิยมสัญจรกันทางนํ้า โดยมีเรือเป็นพาหนะหลัก เรือพาย จึงมีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของคนไทย เมื่อถึงฤดูนํ้าหลาก ว่างเว้นจากการเพาะปลูก ในราวเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม โดยเฉพาะช่วงเทศกาลงานบุญประเพณีออกพรรษา ชาวพุทธนิยมไปทำบุญตักบาตรเทโวกันที่วัด แล้วจึงมีการจัดขบวนแห่เรือตกแต่งอย่างสวยงามนำองค์กฐิน องค์ผ้าป่าไปทอดถวายยังวัดที่ตนศรัทธา มีการลากเรือพระ หรือชักพระ อาราธนาพระพุทธรูปลงเรือตกแต่งสวยงาม แล้วเห่แหนไปตามแม่นํ้าลำคลองชักชวนชาวพุทธทั้งหลายให้ออกมาร่วมทำบุญกัน
เมื่อเสร็จพิธีการทางศาสนาแล้ว เพื่อความสนุกสนานจึงมีการเล่นเรือเพลงตอบโต้สักวากัน เป็นโอกาสที่หนุ่มสาวได้พบปะเกี้ยวพาราสี ลงท้ายด้วยการพายเรือแข่งขัน เพื่อแสดงฝีไม้ลายมือและความพร้อมเพรียงของเหล่าฝีพายชายอกสามศอกสร้างบรรยากาศงานบุญให้ครึกครื้น เป็นการละเล่นหน้านํ้าหลากของคนไทย ควบคู่ไปกับงานบุญประเพณีนั้นเอง
การแข่งขันเรือยาวนี้มีมาแล้วเนิ่นนาน ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าตั้งแต่สมัยใด แต่ในสมัยกรุงสุโขทัย มีปรากฏหลักฐานการแข่งขันเรือหลวงพระที่นั่ง ในห้วงเดือน ๑๑ ของทุกปีเป็นพระราชพิธีประจำเดือน ๑๑ เรียกว่าพระราชพิธีอาสยุช (อาสยุช แปลว่า เดือนสิบเอ็ด) เพื่อเป็นการเสี่ยงทายความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง มีการแข่งเรือระหว่างเรือสมรรถไชยของพระเจ้าแผ่นดิน กับเรือไกรสรมุขของอัครมเหสี พระราชพิธีนี้มีสืบเนื่องมาจนถึงปลายกรุงศรีอยุธยาจึงค่อยๆ ร้างลาไป
ในสมัยอยุธยาแผ่นดินพระเอกาทศรถ โปรดให้มีการแข่งขันเรือของทหาร เพราะการปกป้องบ้านเมืองในอดีตนั้น เรือมีความสำคัญในการรักษาเอกราชของชาติ การยกทัพในเส้นทางแม่นํ้าลำคลองจะใช้เรือพายเป็นหลัก ยามไม่มีศึกสงครามจึงต้องมีการฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมฝีพายไว้ให้แกร่งกล้า การฝึกซ้อมฝีพายของทหารสร้างความฮึกเหิมให้กับราษฎร จึงขยายสู่การแข่งขันในระดับชาวบ้านจนแพร่หลาย ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ มีการกล่าวถึงการแข่งเรือของชาวบ้านว่าเป็นการละเล่นยอดนิยมซึ่งมักจะมีการพนันขันต่อร่วมอยู่ด้วยเสมอ
เรือเพรียวประเพณีจากอดีต-ปัจจุบัน
การแข่งขันเรือเพรียวประเพณี เป็นเสมือนกระจกเงาสะท้อนสภาพสังคมและชุมชน เป็นบทพิสูจน์ความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน โดยมีวัดริมแม่น้ำเป็นศูนย์กลางของการแข่งขัน เมื่อถึงฤดูนํ้าหลากผู้ชายในหมู่บ้านตั้งแต่เด็กหนุ่มไปจนถึงคนรุ่นปู่จะมาร่วมกันฝึกซ้อมพายเรือ เสียงหัวเราะรอยยิ้มของผองเพื่อนพี่น้องลูกหลาน เหมือนระฆังกังวานความสุขที่ดังขึ้นในทุกเทศกาลการแข่งขัน
การแข่งเรือยาวในระยะแรกๆ แข่งกันแค่หมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อความสนุกสนาน รางวัลเป็นเพียงข้าวสาร อาหารแห้ง นํ้ามันก๊าด หรือผ้าแถบ ซึ่งเมื่อได้มาแล้วจะนำมาผูกไว้ที่โขนเรือ ชนะหลายเที่ยวก็จะได้มาหลายผืน เมื่อเลิกพายแล้วก็จะนำผ้าแถบเหล่านี้มาเย็บต่อกันเป็นผ้าม่านถวายวัด ต่อมาได้มีการพัฒนารางวัลมาเป็น ขันนํ้าพานรอง ถ้วยรางวัล เงินรางวัล จนถึงถ้วยพระราชทานกันไปเลย
ระยะหลังเมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอีกหลายหน่วยงานราชการได้เข้ามาร่วมจัดกิจกรรมเพื่อช่วยกันฟื้นฟูอนุรักษ์ ส่งเสริมประเพณีท้องถิ่น รูปแบบในการจัดงานก็เปลี่ยนแปลงไป มีพิธีการ ขั้นตอน และกติกาการแข่งขันที่พัฒนาไปตามปัจจัยทางสังคม จนการแข่งขันเริ่มขยายไปสู่วงกว้าง มีการเชิญหรือทาบทามเรือดังในแต่ละภูมิภาคมาแข่งขัน ซึ่งการนำเรือจากที่ไกลๆ มาเข้าแข่งขันนั้น มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทางคณะกรรมการจัดการแข่งขันจึงเสนองบประมาณค่าลากจูงตามสมควรแก่ระยะใกล้ไกลให้แก่เรือที่เข้าร่วมแข่งขัน ต่อมาเมื่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนไป การแข่งขันเรือยาวกลับปรับเปลี่ยนให้เป็นช่องทางการโฆษณาทางธุรกิจและการเมือง เมื่อนายทุนนักการเมืองสนใจอยากได้คะแนนเสียงจากชุมชน จึงสนับสนุนเงินทุนการแข่งขัน เป็นรางวัลและค่าตอบแทนแก่ทีมที่เข้าแข่ง การพายเรือจึงค่อยๆ กลายเป็นอาชีพ โดยนายทุนได้มอบอำนาจให้กับผู้จัดการเรือเป็นผู้ฝึกซ้อมดูแลพัฒนาทักษะของฝีพาย พัฒนากลยุทธ์ และพัฒนาตัวเรือ ซ่อมบำรุงเรือด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้พร้อมลงแข่งในสนามต่างๆ ที่เจ้าของเรือเห็นชอบ
ในการแข่งขันเรือเพรียวนั้น นอกจากทีมเรือของชาวบ้าน ก็ยังมีทีมเรือจากหน่วยราชการต่างๆ ตัวอย่างเช่น เรือเทศบาลเมืองตากใบ (จ.นราธิวาส) เรือฉลามเสือ ค่ายจุฬาภรณ์ สังกัด กรม ร.๓ พล.นย. เรือสันติวารี สังกัดสำนักงานชลประทานที่ ๑๗ ไม่เว้นแม้แต่หน่วยงานภาครัฐด้านความมั่นคง เช่น ทหาร ตำรวจ ก็มีการฝึกซ้อมกำลังพล ส่งฝีพายเข้าร่วมการแข่งขันกวาดรางวัลในแต่ละสนามด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะที่สังกัดกองทัพเรือ อย่างเรือ ยุทธการนาวา ฉายาราชาแห่งลำน้ำ สังกัดหน่วยมนุษย์กบจู่โจมทำลายใต้น้ำ หรือ หน่วยซีล ที่ใครๆ รู้จักก็คว้าถ้วยพระราชทานฯ ประเภท ๕๕ ฝีพายไปครองได้เกือบทุกสนาม ทำให้ฝีพายเรือทหารเหล่านี้กลายเป็นนักพายเรือทีมชาติไทยไปพายแข่งขันในระดับสากลหลายครั้งหลายหน
เมื่อวงการเรือเพรียวเป็นที่นิยมมากขึ้น จึงก่อเกิดฝีพายมืออาชีพ ซึ่งพัฒนามาจากฝีพายทหารที่ปลดระวาง และมีโอกาสได้พายเรือไปกับหน่วยงานต้นสังกัด ก่อตัวเป็น “ทีมพายเรือ” ที่มีการพัฒนาเทคนิคและวิธีการแข่งขันอย่างเป็นระบบมากขึ้น มีการจ่ายค่าตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งแต่เดิม “เจ้าภาพหลัก” คือวัดและคณะกรรมการของชุมชน ต่อมาเมื่อหน่วยงานราชการต่างๆ ได้จัดงบประมาณสนับสนุนการจัดงาน เจ้าภาพจึงมีหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมกัน ก่อเกิดทีมงานในรูปแบบที่เรียกว่า “โปรโมเตอร์” มาเป็นกลไกสำคัญของการจัดงานแข่งเรือยาวประเพณี ซึ่งมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การประกวดขบวนแห่ การประกวดกองเชียร์ การแสดงทางวัฒนธรรม มหรสพ การออกร้านแบบงานวัด ตลาดย้อนยุค หรือการจำหน่ายสินค้า โอทอป ฯลฯ มีการประชาสัมพันธ์การแข่งขันผ่านสื่อต่างๆ ทั้งวิทยุโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ส่งผลให้เกิดการรับรู้วันเวลาและสถานที่จัดแข่งขันทั่วประเทศ มีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ก่อให้เกิดเว็บไซต์ของชุมชนคนรักเรือยาวขึ้้้้้นเกือบทุกจังหวัด
การแข่งเรือเพรียวประเพณีภาคใต้ เกิดขึ้นบนแม่นํ้าสำคัญของภาคใต้ คือแม่นํ้าหลังสวน ซึ่งมีความยาวถึง ๑๐๐ กม. แม่น้ำตาปี แม่นํ้าบางนรา แม่นํ้าปัตตานี และแม่นํ้าสายบุรี เป็นต้น การแข่งขันเรือยาวทางภาคใต้มีอัตลักษณที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ รายการที่สำคัญได้แก่ “งานประเพณีแห่พระแข่งเรือชิงโล่และถ้วยพระราชทาน ขึ้นโขนชิงธง มรดกทางวัฒนธรรมแห่งลุ่มนํ้าหลังสวน” ณ บริเวณวัดด่านประชากร แม่นํ้าหลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร การแข่งขันที่นี่มีความตื่นเต้นเร้าใจมาก เพราะการตัดสินแพ้ชนะคือการชิงธงกลางแม่นํ้า ซึ่งนอกจากจะมาจากความพร้อมเพรียงของฝีพายแล้ว ยังขึ้นกับความสามารถของนายหัวเรือและนายท้ายเรืออีกด้วย
แม่นํ้าตาปีจะมีการแข่งขันเรือยาวใน “งานประเพณีชักพระ-ทอดผ้าป่าและแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน” ริมแม่นํ้าตาปี อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีความสนุกสนานเร้าใจไม่แพ้สนามอื่น จัดเป็นเวลา ๙ วัน ๙ คืน มีขบวนแห่เรือพนมพระหรือชักพระทางนํ้า ล่องมาตามแม่นํ้าตาปี เพื่อให้ประชาชนริมฝั่งแม่นํ้าได้ร่วมนมัสการ ส่วนทางนครศรีธรรมราช มีการจัดการแข่งขันเรือเพรียว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นของชาวปากพนัง โดยงานมีขบวนลากพระทางนํ้า การประกวดขวัญใจชาวเรือ การแข่งขันซัดหลุด หรือขว้างโคลนใส่กันตามวิถีชาวบ้านโบราณ
ลงไปถึงปลายด้ามขวาน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมีการแข่งขันเรือกอและ เรือยอกอง และเรือคชสีห์นานาชาติ ชิงถ้วยพระราชทาน ควบคู่กันไปกับงานของดีเมืองนรา ณ บริเวณพลับพลาหาดนราทัศน์ เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ในคราวที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นรายการสำคัญที่สุด
แม้ประเพณีลากพระของเมืองปากพนังจะมีมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏชัด แต่เชื่อได้ว่าสืบทอดประเพณีดังกล่าวมาจากเมืองปากพนังซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่าในปี พ.ศ.1272 ได้มีประเพณีลากพระอยู่แล้วในเมืองนครศรีธรรมราช อย่างไรก็ตามการลากพระของเมืองปากพนังเพิ่งมาจัดยิ่งใหญ่เมื่อไม่กี่สิบปีนี่เอง โดยสมัยก่อนการลากพระจะทำในแม่น้ำปากพนัง ซึ่งจะเริ่มด้วยการ “คาดเรือพระ” หมายถึงนำเรือมาเทียบเคียงกันเข้า 2 หรือ 3 ลำ แล้วยึดเรือโยงกันให้มั่นคงแข็งแรง จากนั้นจึงเริ่มสร้าง "บุษบก" หรือที่ชาวใต้เรียกว่า “นมพระ” (นม คือ พนม) โดยจะมีการตกแต่งแข่งขันกันเพื่อความสวยงามก่อนจะอันเชิญ “พระลาก” (พระพุทธรูป) ลงประดิษฐานบนบุษบกกลางลำเรือ พอถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ก็จะใช้เรือแจว เรือพายหลายๆ ลำ มาช่วยกันลากเรือพระในช่วงที่พระภิกษุเสร็จจากฉันเช้าแล้ว จากนั้นจะมีการประชุมเรือกันที่ “บ้านบางนาว” เพื่อถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงค์ที่ไปกับเรือพระ ตกบ่ายก็จะช่วยกันลากพระกลับมาไว้หน้าวัด
ส่วนวันแรม 2 ค่ำ เดือน 11 ก็จะมีการลากพระอีกครั้งหลังพระฉันเช้า โดยจะลากเรือตามน้ำไปทางปากน้ำและทอดสมออยู่ในอ่าว ในวันนี้จะมีเรือแจวและเรือพายเป็นจำนวนมากที่จะพากันมาร่วม “ซัดหลุด” (การขุดเอาขี้โคลนในอ่าวมาใส่เรือแล้วไล่ปากัน) ซึ่งเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่สนุกสนานมาก และพอตกบ่ายชาวบ้านก็จะลากเรือพระกลับวัดแล้วรื้อเครื่องประกอบเรือขึ้นเก็บไว้ใช้ในปีต่อไป อย่างไรก็ตามประเพณีนี้ยังอาจทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันถึงขั้นฆ่าแกงกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะการใช้ไม้พายที่ใช้พายเรือตีกัน ดังนั้นจึงมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้าไม่อยากให้คนตีกันในวันลากพระ ให้ใช้ "ลิ่มอัดตีนพระ” (ลิ่มหนุนพระบาทของพระพุทธรูปในเรือพระ) มาแทนฝีพาย
นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมอื่นๆ เข้าไปแทน เช่น การละเล่นโบราณ ส่วนประเพณีซัดหลุดก็ไม่ปรากฏในประเพณีลากพระอีกต่อไป และมีประเพณี "การแข่งขันเรือเพรียว (เรือยาว)" ซึ่งจัดได้ดี ดูสนุก ตื่นเต้น จนมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาดูมากขึ้นทุกปี จุดเริ่มต้นของการแข่งขันเรือเพรียวที่ปากพนังเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2526 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยรางวัลจำนวน 3 ถ้วย เพื่อเป็นรางวัลชนะเลิศแก่เรือเพรียวรุ่นเล็ก รุ่นกลาง รุ่นใหญ่
ที่มา
http://article.culture.go.th/
https://www.komchadluek.net/news
"กฤษณะ ทิวัตถ์สิริกุล"