16 มิถุนายน, 2567
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เมืองนคร"จากหน้าพระลานถึงห้วยเขามหาชัย"
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เมืองนครจากหน้าพระลานถึงห้วยเขามหาชัย ผู้เขียน : ผศ.ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์
นครศรีธรรมราชเป็นเมืองเก่าแก่ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูเคยมีอิทธิพลในจิตใจผู้คนในเมืองนี้มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11 (คือลาว 1500 ปีที่แล้ว) ความเชื่อและพิธีกรรมหลายอย่างในศาสนาดังกล่าวยังปรากฏร่องรอยอยู่ไม่น้อยแม้เวลาจะร่วงล่วงเลยมานานหลายศตวรรษแล้วก็ตาม  ครั้นเมื่อพระพุทธศาสนาได้แผ่อิทธิพลเข้ามาแทนที่ศาสนาพราหมณ์  ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13(หรือราว 1300 ปีที่แล้ว)  แต่ความเชื่อดั้งเดิมในศาสนาพราหมณ์ก็ยังเข้ามาผสมผสานในวิถีชีวิตชาวเมืองอยู่ไม่น้อย  ดังเช่น  ความเชื่อเรื่องน้ำอภิเษกเป็นต้น
     ผู้คนที่นับถือพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์มีความเชื่อตรงกันประการหนึ่งคือ  เมื่อจะประกอบพิธีกรรมใดก็มักชายน้ำมาเป็นองค์ประกอบสำคัญ  เพราะถือว่าน้ำเป็นทาสที่สร้างความอ่อนโยนและร่มเย็นแก่ผู้คน  ดังนั้นจึงนิยมใช้น้ำเป็นหลัก  เช่นน้ำพระพุทธมนต์  และน้ำอุทิศส่วนกุศลเป็นต้น  น้ำที่นำมาใช้ในพิธีกรรมดังกล่าวจะต้องเป็นน้ำใสสะอาดปราศจากตะกอนและสารแขวนลอย  ปราศจากกลิ่นและสี  และตักมาจากแหล่งหรือชัยภูมิอันเหมาะสมเมื่อจะนำมาใช้ในพิธีกรรมใด  ก็จะจะต้องมีพิธีการอันประกอบของกรรมดีสามประการ(องค์สาม)  คือคนดี  เจตนาดี  และพิธีการดี  จึงจะถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
แหล่งน้ำในเมืองนครศรีธรรมราชที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์  มีคุณสมบัติครบองค์สามสามารถนำมาใช้ในพิธีกรรมอันเข้มแข็งได้นั้นมีหกแหล่งคือ   บ่อน้ำวัดหน้าพระลาน  บ่อน้ำวัดเสมา เมือง  บ่อน้ำวัดเสมาชัย  บ่อน้ำวัดประตูขาว  ห้วยปากนาคราช  และห้วยเขามหาชัย  น้ำจากแหล่งข้างต้นชาวนครนิยมนำไปใช้ทั้งทางอาณาจักรและศาสนจักรได้แก่  น้ำพระพิพัฒน์สัตยา  น้ำบรมราชาภิเษก  น้ำมูรธาภิเษก  
    	เฉพาะน้ำพระพิพัฒน์สัตยาหรือพิธีถือน้ำ  สมัยโบราณ (ก่อนพ.ศ. 2475) กระทำการทุกครั้งที่มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินและผลัดเปลี่ยนเจ้าเมือง  เพื่อให้ข้าราชการและกรมการเมืองได้ประกอบพิธีสาบานตนด้วยการดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา  ในพระวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  นอกจากจะทำในโอกาสผลัดเปลี่ยนแผ่นดินและเจ้าเมืองแล้ว  ยังถือปฏิบัติเป็นประจำทุกปี  ปีละสองครั้ง  คือในวันเดือนห้าขึ้นสามค่ำ(หรือวันตรุษ)  ครั้งหนึ่ง  และในวันเดือน 10  แรม 13 ค่ำ (วันจ่าย) ครั้งหนึ่ง
     	ในครั้งโบราณนั้นเมื่อต้องการใช้น้ำไปประกอบพิธี  เจ้าเมืองก็ให้ราชบุรุษไปพรีกรรม  เพื่อเอาน้ำจากแหล่งต่างๆทั้งหกแหล่ง  จะขาดแหล่งใดไปมิได้  เมื่อได้ครบทุกแหล่งแล้วก็นำไปเทรวมกันในหม้อ  ซึ่งทำด้วยทองและเงินหรือในขันสาคร  แล้วเริ่มประกอบพิธีอภิเษกในพระวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  เหตุที่ใช้ที่นี่ก็เพราะเป็นอุโบสถที่กว้างใหญ่และเก่าแก่  ภายในพระวิหารมีโต๊ะหมู่เครื่องบูชาขนาดใหญ่หลงรักปิดทอง  ประดิษฐานหน้าพระศากยมุนีศรีธรรมราช  อันเป็นพระประธาน  ภายในอุโบสถด้านเหนือจัดอาสนะบนเตียงสำหรับพระสงฆ์ 30 รูป  เจริญพระพุทธมนต์  ด้านตะวันออกจัดอาสนะบนเตียงสำหรับพระสงฆ์สวดผ่านภาณวาร  มีกระโจมเทียนชัยวางหน้าเตียงด้านใต้  จัดอาสนะสำหรับพระสงฆ์ตั้งปรก  และด้านตะวันตกจัดที่นั่งสำหรับเจ้าเมืองและกรรมการเมืองเพื่อประกอบพิธีกรรมดังกล่าว
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์"บ่อน้ำวัดหน้าพระลาน"
วัดหน้าพระลานเป็นวัดเล็กๆ   แต่มีอายุการก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอน  อยู่ทางทิศใต้ของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  ในท้องที่ตำบลในเมือง  อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช  ที่นี่มีบ่อน้ำใสสะอาด มีน้ำหนักมากกว่าบ่ออื่น  เชื่อสืบกันมาว่าหากใครได้ดื่มกินจะมีปัญญาดี  มีบุญวาสนาสูงและมีโอกาสได้เป็นขุนนาง
   	 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์  เมื่อยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นบวรรังสีสุริยพันธ์  เสด็จไปเมืองนครศรีธรรมราชเมื่อพ.ศ. 2407  ได้เสด็จไปยังวัดหน้าพระลาน  เมื่อเสด็จกลับได้ทรงกล่าวถึงบ่อวัดหน้าพระลานไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง  “ กลอนกลอนกาพย์เสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราช”  ตอนหนึ่งว่า
      		     “ อีกอย่างหนึ่งนั้น   น้ำใช้น้ำฉัน
เหมือนน้ำธารเขา     ไฟเย็นดีนัก
ไม่เหมือนบ้านเรา    บ่อน้ำของเขา
ไม่เปื้อนโคลนเลน
      		      กินน้ำใสสะอาด   คนจึงฉลาด
		ไม่โง่งมเถร  ว่องไวไหวพริบ
งานการชัดเจน    ทำใดไม่เถร
การช่างแปลกตา
พระนิพนธ์เรื่องนี้นับเป็นบันทึกประวัติศาสทางด้านสังคมของเมืองนครศรีธรรมราชเมื่อ 100 ปีเศษที่ผ่านมาอีกชิ้นหนึ่ง  เพราะผู้นิพนธ์ได้กล่าวถึงสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่พบเห็นได้อย่างถ้วนถี่  รวมทั้งภาพบ่อน้ำวัดหน้าพระลาน  แม้จะเป็นร้อยกรองประเภทกาพย์และกลอน   แต่ก็หาทำเสียถ้อยกระทงความไม่
     	นอกจากนี้เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองนคร  เมื่อวันอังคาร  เดือน  ขึ้นหกค่ำ ร.ศ 107(11 กันยายน 2431 ) ในสมัยเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี  (หนู  พร้อม )  เป็นเจ้าเมืองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดหน้าพระลาน  ทรงตักน้ำในบ่อนี้ด้วยภาชนะที่เรียกว่า  ” หมาจาก“  มาเสวย  แล้วส่งรับฟังถามพระครูรอง(สมภารศรีจันทร์) เจ้าอาวาสว่า   ศิษย์วัดหน้าพระลานเมื่อได้ดื่มน้ำในบ่อนี้แล้วจะได้เป็นขุนน้ำขุนนางกันจริงหรือ  เจ้าอาวาสก็ได้กราบทูลว่า  ศิษย์วัดหน้าพระลานถ้าได้ดื่มน้ำในบ่อนี้แล้วอย่างเร็วก็สามารถที่จะคาดว่าวขึ้น  แต่ต้องตักทางทิศอีสานของบ่อจึงจะถือว่าดีและได้ผล
    	 อนึ่ง  หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับไปไม่นาน  ก็มีข่าวมาว่าพระยาสุธรรมมนตรีสั่งให้ถมบ่อดังกล่าวนี้แล้วสร้างหอไตรทับไว้  เพราะเห็นว่าชาวบ้านไปอาบกินน้ำบ่อนี้กันมาก  เกรงจะมีผู้มีปัญญาหรือมีบุญวาสนาขึ้น  อันอาจเป็นภัยต่อการปกครอง  แต่คุณเทคดี(กลอน  มัลลิกะมาส)  ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในบทความเรื่อง  ” น้ำศักดิ์สิทธิ์ในจังหวัดนครศรีธรรมราช“ ซึ่งลงพิมพ์ในหนังสือ ” จุฬาฯ นครศรีธรรมราช 23 ตุลาคม 2514 ว่า 
        “ เมื่อประมาณ 50 กว่าปีมานี้  ข้าพเจ้าได้ไปดูหอไตรที่วัดหน้าพระลาน  เห็นฮอไรที่ว่านั้นมีอยู่จริง   อยู่ทางทิศอีสานของวัด  แต่ชำรุดสุดโทรมด้วยความเก่าแก่คร่ำคร่า  คงมีแต่ฐานกับเสาอิฐปูนหักๆ  ส่วนเรื่องที่เล่าลือกันไม่ปรากฏว่ามีใครเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังนัก  เพราะยังมีชาวบ้านชาวเมืองไปอาจกินลูบตัวลูกหน้า  พระพรหมศีรษะด้วยความนิยมนับถือกันอยู่  ครั้นเมื่อประมาณ 10 ปีมานี้  พระครูการาม(ดี  สุวณโณ) เจ้าอาวาส  ได้ขุดรื้อฐานหัวรายนี้ออก  โดยต้องการที่จะสร้างกุฎิสำหรับ ภิกษุสงฆ์  ข้าพเจ้าได้เรียนถามถึงการถมบ่อ  ท่านบอกว่า  ท่านก็ได้ขุดค้นหาซากบ่อน้ำเพื่อพิสูจน์ความจริงกัน  แต่ก็ไม่พบร่องรอยเลย  ท่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสีทับถมกันมากกว่า  และบัดนี้ท่านได้ก่อปากบ่อให้สูงขึ้น  ทำ กำแพงล้อม  ถมพื้นเทคอนกรีตข้างๆบ่อ   บำรุงรักษาทำความสะอาดอย่างดีแล้ว  บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ทางทิศตะวันออกพระอุโบสถ”
ปัจจุบันชาวเมืองก็ยังเชื่อถือกันว่า  บ่อน้ำวัดหน้าพระลานศักดิ์สิทธิ์นัก  ใครมีโอกาสเข้าไปในเมือง  เป็นต้องไปตักน้ำบ่อนี้กลับบ้าน  เพื่อใช้เป็นน้ำมนต์แก้อาถรรพ์คุณไสยได้ และยังเล่าลือกันต่ออีกว่า  เมื่อครั้งพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชสร้างเมือง ก็ได้ฝังกฤติยาคุณ ว๊ายบนคือประตูไชยศักดิ์  (ประตูชัยใต้) ไม่ว่าผู้ใดจะมีวิทยาคุณเพียงใด  เมื่อรอดประตูเมืองนคร  วิทยาคุณเป็นต้องเสื่อมหมด  หากจะแก้ความเสื่อมของวิทยาคุณ  ต้องอาศัยน้ำบ่อวัดหน้าพระลานมาดื่ม  ชาวนครโบราณจึงนิยมนำน้ำบ่อนี้ติดบ้านไว้มิได้ขาด
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ “ บ่อน้ำวัดเสมาเมือง”
    	วัดเสมาเมืองเป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่ง  อายุการสร้างใกล้เคียงกับ พระบรมธาตุเจดีย์  นครศรีธรรมราช  พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช  ทรงสร้างเพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองคณะสงฆ์ของเมืองนคร  เมื่อเราพุทธศตวรรษที่ 18  และนิมนต์พระสงฆ์ฝ่ายหินยาน  จำพรรษาเป็นแห่งแรก  วัดนี้จึงเป็นวัดรุ่นแรกของพระสงฆ์นิกายลังกาวงศ์ในตัวเมืองนคร  นอกจากนี้ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์  และโบราณคดีของภาคใต้  เพราะมีศิลาจารึกหลักหนึ่งยังอยู่ในวัดนี้  คือจารึกหลักที่ 23(จารึกวัดเสมาเมือง) ซึ่งสลักบนหินทรายเป็นรูปใบเสมา สูง 1.04 เมตร  ส่วนฐานกว้าง  40 เซนติเมตร  และส่วนยอดกว้าง  50 เซนติเมตร  จารึกด้วยอักษรปัลลวะ เมื่อพ.ศ. 1713  
    	จารึกนี้ศาสตราจารย์ยอร์จ  เซเดส์  นักอักษรโบราณชาวฝรั่งเศส  ที่เข้ามารับราชการในกรมศิลปากร  ในสมัยรัชกาลที่ 6-7  ได้อ่านและแปล  มีใจความว่า  “ พระเจ้าศรีวิชัยผู้ประกอบด้วยคุณความดี  และเป็นเจ้าแห่งพระราชาทั้งหลายในโลกทั้งปวง  ได้ทรงสร้างปราสาทอิฐทั้งสามนี้  เป็นที่บูชาพระโพธิสัตว์เจ้าผู้ถือดอกบัว(คือประทุมปาณี) พระผู้ผจญพญามาร(คือพระพุทธองค์) และพระโพธิสัตว์เจ้าเจ้าผู้ถือวัชระ(คือวัชรปาณี) ปราสาททั้งสามนี้เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงบนภูเขาอันเป็นมลทินแห่งโลกทั้งปวงและเปญที่บังเกิดความรุ่งเรืองแห่งไตรโลก  พระองค์ได้ถวายปราสาททั้งสามนี้แก่บรรดาพระชินราชอันประเสริฐสุดซึ่งสถิตอยู่ในทศทิศ”
      	ในวัดนี้เป็นที่เก็บจารึกหลักสำคัญของเมืองแล้วยังมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า  “ หลวงพ่อทวด(ซึ่งมีนามเดิมว่า  ปู) เมื่อครั้งที่บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดกุฏีหลวง วัดดีหลวง) อำเภออำเภอสทิงพระจังหวัดสงขลา กับพระอาจารย์แล้ว ได้มาศึกษาต่อที่วัดวัดเสมาเมือง  เมื่อครั้งพระครูกาเดิมเป็นเจ้าอาวาส คือในเราพ.ศ. 2144  ครั้งอายุครบอุปสมบท  ตาขุนลก เจ้ากรมนา เมืองนครศรีธรรมราชก็รับเอาเจ้าเณรปู  ไปสู่สำนักพระมหาเถร ปิยทสสี  เพื่อบวชเจ้าเณรเป็นภิกษุ  แต่พระมหาเถรปราชญ์ ในอารามวัดเสมาเมืองขณะนั้นพัทธสีมาและอุทก สีมาหามิได้  จึง ให้ตาขนลก  จัดหาเรือมาดตะเคียน ลำหนึ่ง  มาดพลอยลำหนึ่ง    มาด ยางลำหนึ่ง  เอามาขนาน  ณ คลองท่าแพ  ตาขุนลก และญาติพี่น้องจึงแต่งสบงจีวรและธูปเทียน นิมนต์พระมหาเถรปิยทสสี เป็นพระอุปฌาจารย์  และพระมหาเถรพุทธสาคร เป็นกรรมวาจา  พระมหาเถรศรีรัตน เป็นพระอนุ   ทำการบวชเจ้าเณรปู่เป็นภิกขุ  จึงพระมหาเถรปิยทสสี ก็ให้นามชื่อ ” เจ้าสามิราม“  เมื่ออุปสมบทอุปสมบทแล้วก็จำพรรษาที่วัดนี้เป็นเวลาสองปีจึงเดินทางกลับไปจำพรรษาที่วัดบ้านเกิดของตนที่อำเภออำเภอสทิงพระจังหวัดสงขลาแล้วขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา
บ่อน้ำวัดเสมาเมืองอยู่ทางทิศเหนือโรงธรรมศาลาของวัดเสมาเมือง  เป็นบ่อน้ำที่มีน้ำใสสะอาด  ทั้งพระภิกษุ  เด็กวัด  และพุทธศาสนิกชน  ใช้ดื่มกิน  ด้วยความเชื่อว่า  เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด  เมื่อใดมีการใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์  เมื่อนั้นก็จะมีการตักน้ำที่บ่อนี้ไปใช้ประกอบพิธีเสมอ
    	ล่วงมาถึงปลายปีพุทธศักราช 2544  เทศบาลนครศรีธรรมราช มีดำริจะพัฒนาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเมืองนคร  ตามโครงการฟื้นฟูอดีตสู่ความยิ่งใหญ่ของเมืองเมืองนครศรีธรรมราช  จึงได้บูรณะฟื้นฟูบ่อน้ำทั้งสี่ในตัวเมือง  รวมทั้งวัดเสมาเมือง  โดยสร้างหลังคาทรงปั้นหยาแปลง  มุมกระเบื้องดินเผาครอบหลังคาไว้  และประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่เก้ามกราคม 2545 บ่อน้ำวัดเสมาเมืองที่ถูกทอดทิ้งไประยะหนึ่ง  ได้รับการดูแลเอาใจใส่มากขึ้น  ทั้งจากวัด จากเทศบาล  และจากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมิได้ขาด  ทำให้บ่อน้ำวัดเสมาเมืองกลายเป็นสถานที่สำคัญที่มีผู้สนใจมากขึ้นโดยลำดับ
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์” บ่อน้ำวัดเสมาไชย“
 	 วัดเสมาชัยเป็นวัดคู่แฝดกับวัดเสมาเมือง  อยู่ทางทิศเหนือวัดเสมาเมือง  เคยเป็นวัดสำคัญของเมืองนครศรีธรรมราช  ที่มีอายุการสร้างสมัยเดียวกันกับวัดเสมาเงิน  วัดเสมาทอง  และวัดเสมาเมือง  วัดเสมาชัยกลายเป็นวัดร้าง  ด้วยสาเหตุใดเมื่อใดไม่ทราบแน่ชัด  แต่ในพ.ศ. 2400  ตรงกับสมัยรัชกาลที่สี่   แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  วัดนี้เป็นวัดร้างไปแล้ว  คงเหลืออยู่เฉพาะซากโบราณสถาน ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์  วิหาร และพระพุทธรูปชำรุดจำนวนหนึ่ง  รวมทั้งพระพุทธรูปเสมาชัยและแม่อ่างทอง  ซึ่งตัวอาคารชำรุดปลัดหักพังลงไป(ผู้มีจิตศรัทธาได้บูรณะทั้งพระพุทธรูปและตัวศาลาขึ้นมาใหม่ เมื่อเราพ.ศ. 2503)
     	ล่วงมาถึงพ.ศ. 2480  กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้เทศบาลต่างๆ  ขยายการศึกษาในเขตรับผิดชอบ  พระคณาศัยสุนทร(สา สุวรรณสาร) นายกเทศมนตรีเมืองนครศรีธรรมราชสมัยนั้น  จึงได้กำหนดให้จัดตั้งโรงเรียนเทศบาลขึ้นในวัดเสมาเมืองโดยใช้โรงธรรมศาลาเป็นสถานที่เรียน มีครูสามคน โดยมีพระครูวัตตปราโมช (ชุม  นาคะปราโมช)  เจ้าอาวาสเป็นผู้อุปการะและเป็นผู้สอน  มีนายคลาด  เทพสุข ช่วยเป็นครูใหญ่ใหญ่
    	 โรงเรียนเทศบาลวัดเสมาเมืองเปิดสอนในวัดเสมาเมืองได้ 18 ปี   ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องพื้นที่สำหรับขยายชั้นเรียน  เพราะพื้นที่วัดคับแคบ  พระครูวัตตปราโมช  จึงเสนอขอใช้พื้นที่วัดเสมาชัยร้าง เป็นที่ตั้งโรงเรียน  ต่อมาในปีพ.ศ. 2499  กรมการศาสนาได้อนุญาตให้ใช้สถานที่วัดเสมาไชย ซึ่งมีเนื้อที่ห้าไร่สองงาน  เป็นที่ดินตั้งโรงเรียนหลังใหม่  ในการนี้เทศบาลได้จัดสรรงบเงิน กศส. จำนวน 100,000 บาทจากรัฐบาลเพื่อมาสร้างอาคารไม้สองชั้น(หกห้องเรียน) และต่อมาในพ.ศ. 2503  ได้รับงบประมาณจากเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราชและงบสมทบจากกระทรวงศึกษาธิการอีกจำนวน 120,000 บาท  สร้างอาคารไม้สองชั้น 6 ห้องเรียน)  เพิ่มอีกหลังหนึ่ง  อาคารหลังใหม่นี้อยู่ใกล้กับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดเสมาไชย ที่เคยใช้เป็นน้ำอภิเษก
       	บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดเสมาไชย  แต่เดิมเป็นบ่อน้ำขนาดเล็กรูปสี่เหลี่ยม  ผนังบ่อแต่ละด้านก่อด้วยอิฐซีเมนต์  มีต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้นอยู่ข้างบ่อ  น้ำในบ่อน้ำนี้ถือว่าความสะอาดและศักดิ์สิทธิ์  ใช้ประกอบพิธีที่สำคัญเช่นเดียวกับน้ำบ่อวัดเสมาเมือง  เช่นเมื่อมีศึกสงครามก็ใช้น้ำในบ่อนี้มาทำน้ำพุทธมนต์ สำหรับพระพรหมแก่ทหารเพื่อเป็นสวัสดิมงคล  เมื่อมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก  หรือพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาก็ใช้น้ำบ่อนี้  และเมื่อมีพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์  สำหรับพิธีหลวงและพิธีราษฏร์  ก็ใช้น้ำบ่อนี้เช่นกัน
หลังปีพุทธศักราช 2475  พิธีหลวงว่าด้วยการถือน้ำพิพัฒน์สัตยาได้ยกเลิกไป  ทำให้บ่อน้ำวัดเสมาไชย  ลดความสำคัญลง  พิธีการตักน้ำที่เคยกระทำกันทุกปีในอดีตการ ก็ค่อยเลือนหายไป  ทำให้บ่อน้ำนี้ขาดการดูแลรักษา  ต้นโพธิ์ใหญ่ข้างบ่อก็เติบโตขึ้นทุกวัน  รากโพธิ์ได้ชอนไชจนผนังบ่อแตกร้าว  กลายเป็นบ่อน้ำชำรุดที่กำลังสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์  
     	จนกระทั่งเมื่อพ.ศ. 2530  รัฐบาลได้กำหนดให้จัดพิธีอภิเษกน้ำเนื่องในมหามงคล วโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมพรรษา ห้ารอบ (60 พรรษา)  โดยให้นำน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญในจังหวัดเก่าแก่เข้าพิธีอภิเษก ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) กรุงเทพมหานคร  ในครั้งนั้นจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเรือตรีสุกรี  รักษ์สีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช  ได้ประกอบพิธีตักน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญหกแหล่งในจังหวัด  เฉพาะบ่อน้ำวัดเสมาไชย ได้มอบหมายให้สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช(ชื่อสมัยนั้น) เป็นผู้ดำเนินการประกอบพิธีตักน้ำเพื่อไปรวมที่พระวิหารหลวง  วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  ในครั้งนั้นจึงได้มีการบูรณะบ่อน้ำวัดเสมาไชย  เพื่อให้บริเวณบ่อมีความสะอาดเรียบร้อย ตามควรแก่สถานะ
ครั้งล่าสุดเทศบาลนครนครศรีธรรมราชได้ปฏิสังขรณ์บ่อน้ำวัดเสมาไชย ขึ้นอีกครั้งตามโครงการฟื้นฟูโบราณสถานในเขตเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราช  โดยการเปลี่ยนแปลงจากบ่อเหลี่ยมมาเป็นบ่อกลม แล้วสร้างศาลาหลังคากระเบื้องดินเผาครอบบ่อไว้  เพื่อให้ใบไม้ร่วงหล่นลงไปในบ่อ  มีการเทพื้นคอนกรีตรอบบ่อ  กั้นรั้วให้เป็นขอบเขตปริมณฑล  และประกอบพิธีเปิดบ่อน้ำนี้  เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2545  เช่นเดียวกับบ่อน้ำที่วัดเสมาเมือง
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์” บ่อน้ำวัดประตูขาว“
         ” วัดประตูขาว“ เป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งในตัวเมืองนครศรีธรรมราชอยู่ในท้องที่ตำบลคลัง  จากหลักฐานเอกสารเก่าและคำบอกเล่าของคนเก่าแก่   ทราบว่าวัดนี้ตั้งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง  เรารัชสมัยพระเอกกาทศรถ   ปัจจุบันเป็นวัดร้าง  กรมการศาสนาอนุญาตให้ใช้พื้นที่เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนอนุบาลจังหวัดนครศรีธรรมราช( ณ นครอุทิศ)
    	ในวัดนี้แต่เดิมมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง  น้ำใสสะอาดและเย็นทุกฤดูกาล   เล่าสืบกันมาว่าเจ้าอาวาสวัดนี้เป็นพระสงฆ์ที่มีอาคม  มีความสันทัดชัดเจนทางไสยศาสตร์  อยู่ข้างจะมีอิทธิฤทธิ์ในบางคราว  ในสมัยที่มีศึกพม่าสงครามเก้าทัพมาตีเมืองนคร  เจ้าอาวาสรูปนี้เคยตักน้ำจากบ่อวัดประตูขาวไปปลุกเสกเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ประพรมแก่เหล่าทหารหาญก่อนออกรบ   ไหนว่าบังเกิดกำลังใจแรงฮึกเหิมกว่าน้ำมนต์วัดอื่นๆ  ด้วยเหตุนี้เมื่อมีพิธีกรรมอภิเษกน้ำทั้งในด้านพุทธจักรและอาณาจักร  แหล่งน้ำบ่อน้ำวัดประตูขาว  จึงกลายเป็นแหล่งสำคัญที่ทุกคนมักระลึกถึงเป็นลำดับต้นๆ
     	 ต่อมาเมื่อทางราชการได้ก่อสร้างอาคารถาวรสองชั้น  ขึ้นเป็นโรงเรียนอนุบาลจังหวัดนครศรีธรรมราช  จำเป็นต้องใช้พื้นที่บริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ก่อสร้าง  จึงได้ถมบ่อน้ำดังกล่าว  ทำให้แหล่งน้ำสำคัญในตัวเมืองนครศรีธรรมราช ลดลงไปเสียบ่อหนึ่ง  ท่ามกลางความเสียหายของผู้คนที่ล่วงรู้ประวัติและสรรพคุณของบ่อน้ำนี้เป็นอันมาก
    	อย่างไรก็ดี  เมื่อมีเสียงเรียกร้องจากผู้คนชาวนครในปัจจุบันมากขึ้น  โรงเรียนจึงได้ตัดสินใจขุดบ่อน้ำขึ้นใหม่ใหม่  บริเวณบริเวณรั้วด้านหน้าโรงเรียน  อยู่ติดกับสนามเด็กเล่นในปัจจุบัน  และได้ใช้น้ำบ่อนี้ทดแทนบ่อเดิมที่ถูกถมไปเพราะการก่อสร้างอาคาร  บ่อใหม่นี้มีความลึกเราสาม เป็นบ่อกลมมีผนังบ่อเป็นปล้องคอนกรีต  ปากบ่อได้ฉาบด้วยหินล้างไว้ให้ดูสวยงาม  มีฝาคอนกรีตเป็นแผ่นกลมแบนปิดอยู่(ไหนว่าป้องกันเด็กอนุบาลลงไป) และเหตุที่เคยเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเมือง  โรงเรียนและเทศบาลนครนครศรีธรรมราชจึงได้ปรับปรุงและตกแต่งบริเวณบ่อให้สวยงาม  โดยการปลูกอาคารปั้นหยาหลังคามุงกระเบื้องดินเผา เช่นเดียวกับบ่อน้ำเสมาเมืองและบ่อน้ำวัดเสมาไชย
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์” ห้วยเขามหาชัย”
   	“ ห้วยเขามหาชัย”  เป็นลำธารห้วยเล็กๆไหลจากเชิงเขามหาชัย  อันเป็นภูเขาลูกหนึ่งในเทือกเขานครศรีธรรมราช ในท้องที่หมู่ที่สี่ตำบลท่างิ้วอำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช  อยู่ห่างจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช  ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4016 ไปทางตะวันตกร 13 กิโลเมตร  และห่างจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช ราว 500 เมตร  เป็นลำห้วยที่มีน้ำใสสะอาดไหลรินลงมาตามซอกหินและแมกไม้ตลอดทั้งปี
      	เขามหาชัยเป็นภูเขาที่มีรูปแปลกตา  มอง จากทิศตะวันออกจะมีลักษณะคล้ายคล้ายฝาชีหรือภูเขาไฟ  มองจากด้านทิศเหนือจะมีลักษณะคล้ายโหนกกวัดังนั้นจึงมีชาวบ้านเรียกภูเขานี้ว่า  “ เขาโหนกวัว” หรือเขาหนอกวัว“ อยู่บ้างเหมือนกัน
    	 ชื่อ” มหาชัย“ เป็นชื่อมงคลนามที่มีประวัติความเป็นมายาวนานและน่าภูมิใจ  กล่าวคือเราพ.ศ. 2000 เศษ  เมืองนครศรีธรรมราชต้องเผชิญกับศึกชวา  โดยสลัดชวากลุ่มหนึ่งเข้ามาปล้นเมืองได้สำเร็จ  ทุกปีสลัดชวาจะมาเก็บส่วยไข่เป็ด   ทำให้ชาวนครตกอยู่ในภาวะจำยอมมาหลายปี  อยู่มาวันหนึ่งมีชายคนหนึ่งมาจากตำบลไชยมนตรี  ชื่อว่า ” พังพการ) มาทันอาสาสู้รบกับสลัดชวา  เจ้าเมืองนครนครศรีธรรมราชพิจารณาข้อเสนอและแผนการสู้รบแล้ว  จึงเห็นชอบและมอบหมายให้สู้รบได้  เมื่อสลัดชวายกกองทัพมา  พังพการ  จึงนำกำลังเข้าไปหลอกล่อและต่อสู้จนได้ชัยชนะ  ที่บริเวณภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมือง เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจึงปูนบำเหน็จ แก่พังพการ  โดยยกที่ดินบริเวณหมู่บ้านเดิมของพังพการ ให้เป็นเขตปกครองพังพการ เรียกว่า  “ ตำบลไชยมนตรี” และขนานนามภูเขาที่เป็นจุดชัยชนะนั้นว่า“ ภูเขามหาชัย”
     	ด้วยเหตุนี้ที่เป็นน้ำใสเย็นและสะอาดปราศจากมลภาวะประกอบกับมีชื่อลำห้วยอันเป็นมงคลนาม  ดังนั้นเมื่อมีพิธีการอภิเษกน้ำ  เพื่อใช้ในพิธีกรรมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์พระราชวงศ์  เจ้าผู้ครองนคร และพระพุทธศาสนา  จึงนิยมตักน้ำจากห้วยเขามหาชัยไปใช้ในพิธีกรรมดังกล่าวทุกครั้ง
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์“ ห้วยปากนาคราช”
	“ ห้วยปากนาคราช” หรือห้วยเทวดานาคราช   เป็นลำห้วยเล็กๆที่ไหลจากภูเขาลูกหนึ่งในเทือกเขานครศรีธรรมราช  ในท้องที่หมู่ที่สี่ตำบลเขาแก้วอำเภอลานสกา (แต่เดิมขึ้นกับอำเภอเมือง) อยู่ห่างจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4015  ประมาณ 50 เมตร  และห่างจากโรงเรียนบ้านร่อนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 400 เมตร  ถือเป็นแหล่งน้ำแหล่งที่หกของนครศรีธรรมราช
   	เหตุที่ได้ชื่อว่าห้วยปากนาคราช    ก็เพราะเป็นลำห้วยที่มีน้ำไหลออกมาจากแง่หิน  ที่มีลักษณะคล้ายพญานาคราช  และมีน้ำใสไหลรินตลอดปี  จุดที่นิยมตากไปใช้ประกอบพิธี  คือแอ่งน้ำซึ่งมีสายน้ำเล็กๆ  สามสายไหลมารวมกัน  น้ำแอ่งนี้จึงถือเป็นน้ำซึ่งอยู่ในชัยภูมิอันดี  เปรียบดังน้ำจากปากพญานาคสามตัวพ่นลงอ่างทองทองคำพร้อมกัน  น่าจะศักดิ์สิทธิ์และควรค่าแห่งการนำไปใช้ในพิธีเป็นอย่างยิ่ง
  	ด้วยเหตุที่เป็นน้ำใสเย็นสะอาดปราศจากมลภาวะประกอบกับมีชื่อแอ่งน้ำเป็นชื่อพญานาค  ซึ่งคนไทยโบราณถือเป็นพาหนะของพระพิรุณอันเป็นเทพแห่งฝน  นับเป็นมงคลน้ำยิ่ง  ดังนั้นเมื่อมีพิธีการอภิเษกน้ำเพื่อใช้ในพิธีกรรมสำคัญ  ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ เจ้าผู้ครองนคร และพระพุทธศาสนา จึงนิยมตักน้ำจากห้วยปากนาคราช ไปใช้ในพิธีกรรมดังกล่าวทุกครั้ง
      	บริเวณแอ่งน้ำแต่เดิมมีต้นไม้อยู่สาม คือต้นใบเร็ดกอหนึ่ง  กอไผ่ลำเล็กกอ หนึ่ง  และหวายกอ หนึ่ง  สมัยโบราณเจ้าเมืองนครให้จัดคนให้เฝ้ามิให้ใครตัดต้นไม้ทั้งสามชนิด  ทั้งนี้เพื่อจะได้ใช้งานเมื่อเวลาต้องการตักน้ำไปใช้ในพิธีอภิเษก  ในพิธีตักน้ำจากห้วยนี้แต่เดิมประธานในพิธีจะตัดไผ่มาทำกระบอกใส่น้ำตัดใบแร็ด ทำจุก  ปิดปากกระบอก  และตัดมัดกระบอกเข้าด้วยกัน  แล้วให้ราชบุรุษนำน้ำที่ตักได้นั้นไปเข้าพิธีอภิเษกที่พระวิหารหลวง  วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร 
    	 หลังพ.ศ. 2475  พิธีการอภิเษกนี้ลดความสำคัญลง  ทำให้บริเวณห้วยปากนาคราชถูกทอดทิ้งไประยะหนึ่ง  จนกระทั่งเมื่อปีพ.ศ. 2540  ชาวบ้านละแวกบ้านร่อน  ร่วมกับชาวบ้านในอำเภอลานสกา  โดยมีนายสุธรรม ชยันต์เกียรติ  จากชมรมรักบ้านเกิดเป็นผู้ประสานงานบูรณะแหล่งน้ำนี้ให้มีสภาพสวยงามแตะตรานักท่องเที่ยวมากขึ้น
    	เรื่องราวของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเมืองนครศรีธรรมราชทั้งหกแหล่งข้างต้นนั้นเป็นเครื่องยืนยันความเชื่อ  ความศรัทธา  อันควรแก่ความปิติภูมิใจ  ในความเป็นแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์  ของเมืองนครศรีธรรมราช  ควรที่ทุกส่วนจะต้องช่วยกันดูแลรักษา  ทำนุบำรุงให้เจริญรุ่งเรืองและคง  “ความศักดิ์สิทธิ์”ไว้ตลอดไป





