16 มิถุนายน, 2567
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เมืองนคร"จากหน้าพระลานถึงห้วยเขามหาชัย"
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เมืองนครจากหน้าพระลานถึงห้วยเขามหาชัย ผู้เขียน : ผศ.ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์
นครศรีธรรมราชเป็นเมืองเก่าแก่ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูเคยมีอิทธิพลในจิตใจผู้คนในเมืองนี้มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11 (คือลาว 1500 ปีที่แล้ว) ความเชื่อและพิธีกรรมหลายอย่างในศาสนาดังกล่าวยังปรากฏร่องรอยอยู่ไม่น้อยแม้เวลาจะร่วงล่วงเลยมานานหลายศตวรรษแล้วก็ตาม ครั้นเมื่อพระพุทธศาสนาได้แผ่อิทธิพลเข้ามาแทนที่ศาสนาพราหมณ์ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13(หรือราว 1300 ปีที่แล้ว) แต่ความเชื่อดั้งเดิมในศาสนาพราหมณ์ก็ยังเข้ามาผสมผสานในวิถีชีวิตชาวเมืองอยู่ไม่น้อย ดังเช่น ความเชื่อเรื่องน้ำอภิเษกเป็นต้น
ผู้คนที่นับถือพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์มีความเชื่อตรงกันประการหนึ่งคือ เมื่อจะประกอบพิธีกรรมใดก็มักชายน้ำมาเป็นองค์ประกอบสำคัญ เพราะถือว่าน้ำเป็นทาสที่สร้างความอ่อนโยนและร่มเย็นแก่ผู้คน ดังนั้นจึงนิยมใช้น้ำเป็นหลัก เช่นน้ำพระพุทธมนต์ และน้ำอุทิศส่วนกุศลเป็นต้น น้ำที่นำมาใช้ในพิธีกรรมดังกล่าวจะต้องเป็นน้ำใสสะอาดปราศจากตะกอนและสารแขวนลอย ปราศจากกลิ่นและสี และตักมาจากแหล่งหรือชัยภูมิอันเหมาะสมเมื่อจะนำมาใช้ในพิธีกรรมใด ก็จะจะต้องมีพิธีการอันประกอบของกรรมดีสามประการ(องค์สาม) คือคนดี เจตนาดี และพิธีการดี จึงจะถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
แหล่งน้ำในเมืองนครศรีธรรมราชที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ มีคุณสมบัติครบองค์สามสามารถนำมาใช้ในพิธีกรรมอันเข้มแข็งได้นั้นมีหกแหล่งคือ บ่อน้ำวัดหน้าพระลาน บ่อน้ำวัดเสมา เมือง บ่อน้ำวัดเสมาชัย บ่อน้ำวัดประตูขาว ห้วยปากนาคราช และห้วยเขามหาชัย น้ำจากแหล่งข้างต้นชาวนครนิยมนำไปใช้ทั้งทางอาณาจักรและศาสนจักรได้แก่ น้ำพระพิพัฒน์สัตยา น้ำบรมราชาภิเษก น้ำมูรธาภิเษก
เฉพาะน้ำพระพิพัฒน์สัตยาหรือพิธีถือน้ำ สมัยโบราณ (ก่อนพ.ศ. 2475) กระทำการทุกครั้งที่มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินและผลัดเปลี่ยนเจ้าเมือง เพื่อให้ข้าราชการและกรมการเมืองได้ประกอบพิธีสาบานตนด้วยการดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ในพระวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นอกจากจะทำในโอกาสผลัดเปลี่ยนแผ่นดินและเจ้าเมืองแล้ว ยังถือปฏิบัติเป็นประจำทุกปี ปีละสองครั้ง คือในวันเดือนห้าขึ้นสามค่ำ(หรือวันตรุษ) ครั้งหนึ่ง และในวันเดือน 10 แรม 13 ค่ำ (วันจ่าย) ครั้งหนึ่ง
ในครั้งโบราณนั้นเมื่อต้องการใช้น้ำไปประกอบพิธี เจ้าเมืองก็ให้ราชบุรุษไปพรีกรรม เพื่อเอาน้ำจากแหล่งต่างๆทั้งหกแหล่ง จะขาดแหล่งใดไปมิได้ เมื่อได้ครบทุกแหล่งแล้วก็นำไปเทรวมกันในหม้อ ซึ่งทำด้วยทองและเงินหรือในขันสาคร แล้วเริ่มประกอบพิธีอภิเษกในพระวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เหตุที่ใช้ที่นี่ก็เพราะเป็นอุโบสถที่กว้างใหญ่และเก่าแก่ ภายในพระวิหารมีโต๊ะหมู่เครื่องบูชาขนาดใหญ่หลงรักปิดทอง ประดิษฐานหน้าพระศากยมุนีศรีธรรมราช อันเป็นพระประธาน ภายในอุโบสถด้านเหนือจัดอาสนะบนเตียงสำหรับพระสงฆ์ 30 รูป เจริญพระพุทธมนต์ ด้านตะวันออกจัดอาสนะบนเตียงสำหรับพระสงฆ์สวดผ่านภาณวาร มีกระโจมเทียนชัยวางหน้าเตียงด้านใต้ จัดอาสนะสำหรับพระสงฆ์ตั้งปรก และด้านตะวันตกจัดที่นั่งสำหรับเจ้าเมืองและกรรมการเมืองเพื่อประกอบพิธีกรรมดังกล่าว
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์"บ่อน้ำวัดหน้าพระลาน"
วัดหน้าพระลานเป็นวัดเล็กๆ แต่มีอายุการก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอน อยู่ทางทิศใต้ของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ที่นี่มีบ่อน้ำใสสะอาด มีน้ำหนักมากกว่าบ่ออื่น เชื่อสืบกันมาว่าหากใครได้ดื่มกินจะมีปัญญาดี มีบุญวาสนาสูงและมีโอกาสได้เป็นขุนนาง
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นบวรรังสีสุริยพันธ์ เสด็จไปเมืองนครศรีธรรมราชเมื่อพ.ศ. 2407 ได้เสด็จไปยังวัดหน้าพระลาน เมื่อเสด็จกลับได้ทรงกล่าวถึงบ่อวัดหน้าพระลานไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง “ กลอนกลอนกาพย์เสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราช” ตอนหนึ่งว่า
“ อีกอย่างหนึ่งนั้น น้ำใช้น้ำฉัน
เหมือนน้ำธารเขา ไฟเย็นดีนัก
ไม่เหมือนบ้านเรา บ่อน้ำของเขา
ไม่เปื้อนโคลนเลน
กินน้ำใสสะอาด คนจึงฉลาด
ไม่โง่งมเถร ว่องไวไหวพริบ
งานการชัดเจน ทำใดไม่เถร
การช่างแปลกตา
พระนิพนธ์เรื่องนี้นับเป็นบันทึกประวัติศาสทางด้านสังคมของเมืองนครศรีธรรมราชเมื่อ 100 ปีเศษที่ผ่านมาอีกชิ้นหนึ่ง เพราะผู้นิพนธ์ได้กล่าวถึงสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่พบเห็นได้อย่างถ้วนถี่ รวมทั้งภาพบ่อน้ำวัดหน้าพระลาน แม้จะเป็นร้อยกรองประเภทกาพย์และกลอน แต่ก็หาทำเสียถ้อยกระทงความไม่
นอกจากนี้เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองนคร เมื่อวันอังคาร เดือน ขึ้นหกค่ำ ร.ศ 107(11 กันยายน 2431 ) ในสมัยเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนู พร้อม ) เป็นเจ้าเมืองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดหน้าพระลาน ทรงตักน้ำในบ่อนี้ด้วยภาชนะที่เรียกว่า ” หมาจาก“ มาเสวย แล้วส่งรับฟังถามพระครูรอง(สมภารศรีจันทร์) เจ้าอาวาสว่า ศิษย์วัดหน้าพระลานเมื่อได้ดื่มน้ำในบ่อนี้แล้วจะได้เป็นขุนน้ำขุนนางกันจริงหรือ เจ้าอาวาสก็ได้กราบทูลว่า ศิษย์วัดหน้าพระลานถ้าได้ดื่มน้ำในบ่อนี้แล้วอย่างเร็วก็สามารถที่จะคาดว่าวขึ้น แต่ต้องตักทางทิศอีสานของบ่อจึงจะถือว่าดีและได้ผล
อนึ่ง หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับไปไม่นาน ก็มีข่าวมาว่าพระยาสุธรรมมนตรีสั่งให้ถมบ่อดังกล่าวนี้แล้วสร้างหอไตรทับไว้ เพราะเห็นว่าชาวบ้านไปอาบกินน้ำบ่อนี้กันมาก เกรงจะมีผู้มีปัญญาหรือมีบุญวาสนาขึ้น อันอาจเป็นภัยต่อการปกครอง แต่คุณเทคดี(กลอน มัลลิกะมาส) ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในบทความเรื่อง ” น้ำศักดิ์สิทธิ์ในจังหวัดนครศรีธรรมราช“ ซึ่งลงพิมพ์ในหนังสือ ” จุฬาฯ นครศรีธรรมราช 23 ตุลาคม 2514 ว่า
“ เมื่อประมาณ 50 กว่าปีมานี้ ข้าพเจ้าได้ไปดูหอไตรที่วัดหน้าพระลาน เห็นฮอไรที่ว่านั้นมีอยู่จริง อยู่ทางทิศอีสานของวัด แต่ชำรุดสุดโทรมด้วยความเก่าแก่คร่ำคร่า คงมีแต่ฐานกับเสาอิฐปูนหักๆ ส่วนเรื่องที่เล่าลือกันไม่ปรากฏว่ามีใครเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังนัก เพราะยังมีชาวบ้านชาวเมืองไปอาจกินลูบตัวลูกหน้า พระพรหมศีรษะด้วยความนิยมนับถือกันอยู่ ครั้นเมื่อประมาณ 10 ปีมานี้ พระครูการาม(ดี สุวณโณ) เจ้าอาวาส ได้ขุดรื้อฐานหัวรายนี้ออก โดยต้องการที่จะสร้างกุฎิสำหรับ ภิกษุสงฆ์ ข้าพเจ้าได้เรียนถามถึงการถมบ่อ ท่านบอกว่า ท่านก็ได้ขุดค้นหาซากบ่อน้ำเพื่อพิสูจน์ความจริงกัน แต่ก็ไม่พบร่องรอยเลย ท่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสีทับถมกันมากกว่า และบัดนี้ท่านได้ก่อปากบ่อให้สูงขึ้น ทำ กำแพงล้อม ถมพื้นเทคอนกรีตข้างๆบ่อ บำรุงรักษาทำความสะอาดอย่างดีแล้ว บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ทางทิศตะวันออกพระอุโบสถ”
ปัจจุบันชาวเมืองก็ยังเชื่อถือกันว่า บ่อน้ำวัดหน้าพระลานศักดิ์สิทธิ์นัก ใครมีโอกาสเข้าไปในเมือง เป็นต้องไปตักน้ำบ่อนี้กลับบ้าน เพื่อใช้เป็นน้ำมนต์แก้อาถรรพ์คุณไสยได้ และยังเล่าลือกันต่ออีกว่า เมื่อครั้งพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชสร้างเมือง ก็ได้ฝังกฤติยาคุณ ว๊ายบนคือประตูไชยศักดิ์ (ประตูชัยใต้) ไม่ว่าผู้ใดจะมีวิทยาคุณเพียงใด เมื่อรอดประตูเมืองนคร วิทยาคุณเป็นต้องเสื่อมหมด หากจะแก้ความเสื่อมของวิทยาคุณ ต้องอาศัยน้ำบ่อวัดหน้าพระลานมาดื่ม ชาวนครโบราณจึงนิยมนำน้ำบ่อนี้ติดบ้านไว้มิได้ขาด
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ “ บ่อน้ำวัดเสมาเมือง”
วัดเสมาเมืองเป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่ง อายุการสร้างใกล้เคียงกับ พระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ทรงสร้างเพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองคณะสงฆ์ของเมืองนคร เมื่อเราพุทธศตวรรษที่ 18 และนิมนต์พระสงฆ์ฝ่ายหินยาน จำพรรษาเป็นแห่งแรก วัดนี้จึงเป็นวัดรุ่นแรกของพระสงฆ์นิกายลังกาวงศ์ในตัวเมืองนคร นอกจากนี้ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีของภาคใต้ เพราะมีศิลาจารึกหลักหนึ่งยังอยู่ในวัดนี้ คือจารึกหลักที่ 23(จารึกวัดเสมาเมือง) ซึ่งสลักบนหินทรายเป็นรูปใบเสมา สูง 1.04 เมตร ส่วนฐานกว้าง 40 เซนติเมตร และส่วนยอดกว้าง 50 เซนติเมตร จารึกด้วยอักษรปัลลวะ เมื่อพ.ศ. 1713
จารึกนี้ศาสตราจารย์ยอร์จ เซเดส์ นักอักษรโบราณชาวฝรั่งเศส ที่เข้ามารับราชการในกรมศิลปากร ในสมัยรัชกาลที่ 6-7 ได้อ่านและแปล มีใจความว่า “ พระเจ้าศรีวิชัยผู้ประกอบด้วยคุณความดี และเป็นเจ้าแห่งพระราชาทั้งหลายในโลกทั้งปวง ได้ทรงสร้างปราสาทอิฐทั้งสามนี้ เป็นที่บูชาพระโพธิสัตว์เจ้าผู้ถือดอกบัว(คือประทุมปาณี) พระผู้ผจญพญามาร(คือพระพุทธองค์) และพระโพธิสัตว์เจ้าเจ้าผู้ถือวัชระ(คือวัชรปาณี) ปราสาททั้งสามนี้เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงบนภูเขาอันเป็นมลทินแห่งโลกทั้งปวงและเปญที่บังเกิดความรุ่งเรืองแห่งไตรโลก พระองค์ได้ถวายปราสาททั้งสามนี้แก่บรรดาพระชินราชอันประเสริฐสุดซึ่งสถิตอยู่ในทศทิศ”
ในวัดนี้เป็นที่เก็บจารึกหลักสำคัญของเมืองแล้วยังมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า “ หลวงพ่อทวด(ซึ่งมีนามเดิมว่า ปู) เมื่อครั้งที่บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดกุฏีหลวง วัดดีหลวง) อำเภออำเภอสทิงพระจังหวัดสงขลา กับพระอาจารย์แล้ว ได้มาศึกษาต่อที่วัดวัดเสมาเมือง เมื่อครั้งพระครูกาเดิมเป็นเจ้าอาวาส คือในเราพ.ศ. 2144 ครั้งอายุครบอุปสมบท ตาขุนลก เจ้ากรมนา เมืองนครศรีธรรมราชก็รับเอาเจ้าเณรปู ไปสู่สำนักพระมหาเถร ปิยทสสี เพื่อบวชเจ้าเณรเป็นภิกษุ แต่พระมหาเถรปราชญ์ ในอารามวัดเสมาเมืองขณะนั้นพัทธสีมาและอุทก สีมาหามิได้ จึง ให้ตาขนลก จัดหาเรือมาดตะเคียน ลำหนึ่ง มาดพลอยลำหนึ่ง มาด ยางลำหนึ่ง เอามาขนาน ณ คลองท่าแพ ตาขุนลก และญาติพี่น้องจึงแต่งสบงจีวรและธูปเทียน นิมนต์พระมหาเถรปิยทสสี เป็นพระอุปฌาจารย์ และพระมหาเถรพุทธสาคร เป็นกรรมวาจา พระมหาเถรศรีรัตน เป็นพระอนุ ทำการบวชเจ้าเณรปู่เป็นภิกขุ จึงพระมหาเถรปิยทสสี ก็ให้นามชื่อ ” เจ้าสามิราม“ เมื่ออุปสมบทอุปสมบทแล้วก็จำพรรษาที่วัดนี้เป็นเวลาสองปีจึงเดินทางกลับไปจำพรรษาที่วัดบ้านเกิดของตนที่อำเภออำเภอสทิงพระจังหวัดสงขลาแล้วขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา
บ่อน้ำวัดเสมาเมืองอยู่ทางทิศเหนือโรงธรรมศาลาของวัดเสมาเมือง เป็นบ่อน้ำที่มีน้ำใสสะอาด ทั้งพระภิกษุ เด็กวัด และพุทธศาสนิกชน ใช้ดื่มกิน ด้วยความเชื่อว่า เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด เมื่อใดมีการใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนั้นก็จะมีการตักน้ำที่บ่อนี้ไปใช้ประกอบพิธีเสมอ
ล่วงมาถึงปลายปีพุทธศักราช 2544 เทศบาลนครศรีธรรมราช มีดำริจะพัฒนาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเมืองนคร ตามโครงการฟื้นฟูอดีตสู่ความยิ่งใหญ่ของเมืองเมืองนครศรีธรรมราช จึงได้บูรณะฟื้นฟูบ่อน้ำทั้งสี่ในตัวเมือง รวมทั้งวัดเสมาเมือง โดยสร้างหลังคาทรงปั้นหยาแปลง มุมกระเบื้องดินเผาครอบหลังคาไว้ และประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่เก้ามกราคม 2545 บ่อน้ำวัดเสมาเมืองที่ถูกทอดทิ้งไประยะหนึ่ง ได้รับการดูแลเอาใจใส่มากขึ้น ทั้งจากวัด จากเทศบาล และจากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมิได้ขาด ทำให้บ่อน้ำวัดเสมาเมืองกลายเป็นสถานที่สำคัญที่มีผู้สนใจมากขึ้นโดยลำดับ
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์” บ่อน้ำวัดเสมาไชย“
วัดเสมาชัยเป็นวัดคู่แฝดกับวัดเสมาเมือง อยู่ทางทิศเหนือวัดเสมาเมือง เคยเป็นวัดสำคัญของเมืองนครศรีธรรมราช ที่มีอายุการสร้างสมัยเดียวกันกับวัดเสมาเงิน วัดเสมาทอง และวัดเสมาเมือง วัดเสมาชัยกลายเป็นวัดร้าง ด้วยสาเหตุใดเมื่อใดไม่ทราบแน่ชัด แต่ในพ.ศ. 2400 ตรงกับสมัยรัชกาลที่สี่ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดนี้เป็นวัดร้างไปแล้ว คงเหลืออยู่เฉพาะซากโบราณสถาน ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์ วิหาร และพระพุทธรูปชำรุดจำนวนหนึ่ง รวมทั้งพระพุทธรูปเสมาชัยและแม่อ่างทอง ซึ่งตัวอาคารชำรุดปลัดหักพังลงไป(ผู้มีจิตศรัทธาได้บูรณะทั้งพระพุทธรูปและตัวศาลาขึ้นมาใหม่ เมื่อเราพ.ศ. 2503)
ล่วงมาถึงพ.ศ. 2480 กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้เทศบาลต่างๆ ขยายการศึกษาในเขตรับผิดชอบ พระคณาศัยสุนทร(สา สุวรรณสาร) นายกเทศมนตรีเมืองนครศรีธรรมราชสมัยนั้น จึงได้กำหนดให้จัดตั้งโรงเรียนเทศบาลขึ้นในวัดเสมาเมืองโดยใช้โรงธรรมศาลาเป็นสถานที่เรียน มีครูสามคน โดยมีพระครูวัตตปราโมช (ชุม นาคะปราโมช) เจ้าอาวาสเป็นผู้อุปการะและเป็นผู้สอน มีนายคลาด เทพสุข ช่วยเป็นครูใหญ่ใหญ่
โรงเรียนเทศบาลวัดเสมาเมืองเปิดสอนในวัดเสมาเมืองได้ 18 ปี ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องพื้นที่สำหรับขยายชั้นเรียน เพราะพื้นที่วัดคับแคบ พระครูวัตตปราโมช จึงเสนอขอใช้พื้นที่วัดเสมาชัยร้าง เป็นที่ตั้งโรงเรียน ต่อมาในปีพ.ศ. 2499 กรมการศาสนาได้อนุญาตให้ใช้สถานที่วัดเสมาไชย ซึ่งมีเนื้อที่ห้าไร่สองงาน เป็นที่ดินตั้งโรงเรียนหลังใหม่ ในการนี้เทศบาลได้จัดสรรงบเงิน กศส. จำนวน 100,000 บาทจากรัฐบาลเพื่อมาสร้างอาคารไม้สองชั้น(หกห้องเรียน) และต่อมาในพ.ศ. 2503 ได้รับงบประมาณจากเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราชและงบสมทบจากกระทรวงศึกษาธิการอีกจำนวน 120,000 บาท สร้างอาคารไม้สองชั้น 6 ห้องเรียน) เพิ่มอีกหลังหนึ่ง อาคารหลังใหม่นี้อยู่ใกล้กับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดเสมาไชย ที่เคยใช้เป็นน้ำอภิเษก
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดเสมาไชย แต่เดิมเป็นบ่อน้ำขนาดเล็กรูปสี่เหลี่ยม ผนังบ่อแต่ละด้านก่อด้วยอิฐซีเมนต์ มีต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้นอยู่ข้างบ่อ น้ำในบ่อน้ำนี้ถือว่าความสะอาดและศักดิ์สิทธิ์ ใช้ประกอบพิธีที่สำคัญเช่นเดียวกับน้ำบ่อวัดเสมาเมือง เช่นเมื่อมีศึกสงครามก็ใช้น้ำในบ่อนี้มาทำน้ำพุทธมนต์ สำหรับพระพรหมแก่ทหารเพื่อเป็นสวัสดิมงคล เมื่อมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก หรือพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาก็ใช้น้ำบ่อนี้ และเมื่อมีพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ สำหรับพิธีหลวงและพิธีราษฏร์ ก็ใช้น้ำบ่อนี้เช่นกัน
หลังปีพุทธศักราช 2475 พิธีหลวงว่าด้วยการถือน้ำพิพัฒน์สัตยาได้ยกเลิกไป ทำให้บ่อน้ำวัดเสมาไชย ลดความสำคัญลง พิธีการตักน้ำที่เคยกระทำกันทุกปีในอดีตการ ก็ค่อยเลือนหายไป ทำให้บ่อน้ำนี้ขาดการดูแลรักษา ต้นโพธิ์ใหญ่ข้างบ่อก็เติบโตขึ้นทุกวัน รากโพธิ์ได้ชอนไชจนผนังบ่อแตกร้าว กลายเป็นบ่อน้ำชำรุดที่กำลังสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์
จนกระทั่งเมื่อพ.ศ. 2530 รัฐบาลได้กำหนดให้จัดพิธีอภิเษกน้ำเนื่องในมหามงคล วโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมพรรษา ห้ารอบ (60 พรรษา) โดยให้นำน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญในจังหวัดเก่าแก่เข้าพิธีอภิเษก ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) กรุงเทพมหานคร ในครั้งนั้นจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเรือตรีสุกรี รักษ์สีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ประกอบพิธีตักน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญหกแหล่งในจังหวัด เฉพาะบ่อน้ำวัดเสมาไชย ได้มอบหมายให้สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช(ชื่อสมัยนั้น) เป็นผู้ดำเนินการประกอบพิธีตักน้ำเพื่อไปรวมที่พระวิหารหลวง วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในครั้งนั้นจึงได้มีการบูรณะบ่อน้ำวัดเสมาไชย เพื่อให้บริเวณบ่อมีความสะอาดเรียบร้อย ตามควรแก่สถานะ
ครั้งล่าสุดเทศบาลนครนครศรีธรรมราชได้ปฏิสังขรณ์บ่อน้ำวัดเสมาไชย ขึ้นอีกครั้งตามโครงการฟื้นฟูโบราณสถานในเขตเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราช โดยการเปลี่ยนแปลงจากบ่อเหลี่ยมมาเป็นบ่อกลม แล้วสร้างศาลาหลังคากระเบื้องดินเผาครอบบ่อไว้ เพื่อให้ใบไม้ร่วงหล่นลงไปในบ่อ มีการเทพื้นคอนกรีตรอบบ่อ กั้นรั้วให้เป็นขอบเขตปริมณฑล และประกอบพิธีเปิดบ่อน้ำนี้ เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2545 เช่นเดียวกับบ่อน้ำที่วัดเสมาเมือง
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์” บ่อน้ำวัดประตูขาว“
” วัดประตูขาว“ เป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งในตัวเมืองนครศรีธรรมราชอยู่ในท้องที่ตำบลคลัง จากหลักฐานเอกสารเก่าและคำบอกเล่าของคนเก่าแก่ ทราบว่าวัดนี้ตั้งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง เรารัชสมัยพระเอกกาทศรถ ปัจจุบันเป็นวัดร้าง กรมการศาสนาอนุญาตให้ใช้พื้นที่เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนอนุบาลจังหวัดนครศรีธรรมราช( ณ นครอุทิศ)
ในวัดนี้แต่เดิมมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง น้ำใสสะอาดและเย็นทุกฤดูกาล เล่าสืบกันมาว่าเจ้าอาวาสวัดนี้เป็นพระสงฆ์ที่มีอาคม มีความสันทัดชัดเจนทางไสยศาสตร์ อยู่ข้างจะมีอิทธิฤทธิ์ในบางคราว ในสมัยที่มีศึกพม่าสงครามเก้าทัพมาตีเมืองนคร เจ้าอาวาสรูปนี้เคยตักน้ำจากบ่อวัดประตูขาวไปปลุกเสกเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ประพรมแก่เหล่าทหารหาญก่อนออกรบ ไหนว่าบังเกิดกำลังใจแรงฮึกเหิมกว่าน้ำมนต์วัดอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เมื่อมีพิธีกรรมอภิเษกน้ำทั้งในด้านพุทธจักรและอาณาจักร แหล่งน้ำบ่อน้ำวัดประตูขาว จึงกลายเป็นแหล่งสำคัญที่ทุกคนมักระลึกถึงเป็นลำดับต้นๆ
ต่อมาเมื่อทางราชการได้ก่อสร้างอาคารถาวรสองชั้น ขึ้นเป็นโรงเรียนอนุบาลจังหวัดนครศรีธรรมราช จำเป็นต้องใช้พื้นที่บริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ก่อสร้าง จึงได้ถมบ่อน้ำดังกล่าว ทำให้แหล่งน้ำสำคัญในตัวเมืองนครศรีธรรมราช ลดลงไปเสียบ่อหนึ่ง ท่ามกลางความเสียหายของผู้คนที่ล่วงรู้ประวัติและสรรพคุณของบ่อน้ำนี้เป็นอันมาก
อย่างไรก็ดี เมื่อมีเสียงเรียกร้องจากผู้คนชาวนครในปัจจุบันมากขึ้น โรงเรียนจึงได้ตัดสินใจขุดบ่อน้ำขึ้นใหม่ใหม่ บริเวณบริเวณรั้วด้านหน้าโรงเรียน อยู่ติดกับสนามเด็กเล่นในปัจจุบัน และได้ใช้น้ำบ่อนี้ทดแทนบ่อเดิมที่ถูกถมไปเพราะการก่อสร้างอาคาร บ่อใหม่นี้มีความลึกเราสาม เป็นบ่อกลมมีผนังบ่อเป็นปล้องคอนกรีต ปากบ่อได้ฉาบด้วยหินล้างไว้ให้ดูสวยงาม มีฝาคอนกรีตเป็นแผ่นกลมแบนปิดอยู่(ไหนว่าป้องกันเด็กอนุบาลลงไป) และเหตุที่เคยเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเมือง โรงเรียนและเทศบาลนครนครศรีธรรมราชจึงได้ปรับปรุงและตกแต่งบริเวณบ่อให้สวยงาม โดยการปลูกอาคารปั้นหยาหลังคามุงกระเบื้องดินเผา เช่นเดียวกับบ่อน้ำเสมาเมืองและบ่อน้ำวัดเสมาไชย
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์” ห้วยเขามหาชัย”
“ ห้วยเขามหาชัย” เป็นลำธารห้วยเล็กๆไหลจากเชิงเขามหาชัย อันเป็นภูเขาลูกหนึ่งในเทือกเขานครศรีธรรมราช ในท้องที่หมู่ที่สี่ตำบลท่างิ้วอำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ห่างจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4016 ไปทางตะวันตกร 13 กิโลเมตร และห่างจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช ราว 500 เมตร เป็นลำห้วยที่มีน้ำใสสะอาดไหลรินลงมาตามซอกหินและแมกไม้ตลอดทั้งปี
เขามหาชัยเป็นภูเขาที่มีรูปแปลกตา มอง จากทิศตะวันออกจะมีลักษณะคล้ายคล้ายฝาชีหรือภูเขาไฟ มองจากด้านทิศเหนือจะมีลักษณะคล้ายโหนกกวัดังนั้นจึงมีชาวบ้านเรียกภูเขานี้ว่า “ เขาโหนกวัว” หรือเขาหนอกวัว“ อยู่บ้างเหมือนกัน
ชื่อ” มหาชัย“ เป็นชื่อมงคลนามที่มีประวัติความเป็นมายาวนานและน่าภูมิใจ กล่าวคือเราพ.ศ. 2000 เศษ เมืองนครศรีธรรมราชต้องเผชิญกับศึกชวา โดยสลัดชวากลุ่มหนึ่งเข้ามาปล้นเมืองได้สำเร็จ ทุกปีสลัดชวาจะมาเก็บส่วยไข่เป็ด ทำให้ชาวนครตกอยู่ในภาวะจำยอมมาหลายปี อยู่มาวันหนึ่งมีชายคนหนึ่งมาจากตำบลไชยมนตรี ชื่อว่า ” พังพการ) มาทันอาสาสู้รบกับสลัดชวา เจ้าเมืองนครนครศรีธรรมราชพิจารณาข้อเสนอและแผนการสู้รบแล้ว จึงเห็นชอบและมอบหมายให้สู้รบได้ เมื่อสลัดชวายกกองทัพมา พังพการ จึงนำกำลังเข้าไปหลอกล่อและต่อสู้จนได้ชัยชนะ ที่บริเวณภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมือง เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจึงปูนบำเหน็จ แก่พังพการ โดยยกที่ดินบริเวณหมู่บ้านเดิมของพังพการ ให้เป็นเขตปกครองพังพการ เรียกว่า “ ตำบลไชยมนตรี” และขนานนามภูเขาที่เป็นจุดชัยชนะนั้นว่า“ ภูเขามหาชัย”
ด้วยเหตุนี้ที่เป็นน้ำใสเย็นและสะอาดปราศจากมลภาวะประกอบกับมีชื่อลำห้วยอันเป็นมงคลนาม ดังนั้นเมื่อมีพิธีการอภิเษกน้ำ เพื่อใช้ในพิธีกรรมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์พระราชวงศ์ เจ้าผู้ครองนคร และพระพุทธศาสนา จึงนิยมตักน้ำจากห้วยเขามหาชัยไปใช้ในพิธีกรรมดังกล่าวทุกครั้ง
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์“ ห้วยปากนาคราช”
“ ห้วยปากนาคราช” หรือห้วยเทวดานาคราช เป็นลำห้วยเล็กๆที่ไหลจากภูเขาลูกหนึ่งในเทือกเขานครศรีธรรมราช ในท้องที่หมู่ที่สี่ตำบลเขาแก้วอำเภอลานสกา (แต่เดิมขึ้นกับอำเภอเมือง) อยู่ห่างจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4015 ประมาณ 50 เมตร และห่างจากโรงเรียนบ้านร่อนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 400 เมตร ถือเป็นแหล่งน้ำแหล่งที่หกของนครศรีธรรมราช
เหตุที่ได้ชื่อว่าห้วยปากนาคราช ก็เพราะเป็นลำห้วยที่มีน้ำไหลออกมาจากแง่หิน ที่มีลักษณะคล้ายพญานาคราช และมีน้ำใสไหลรินตลอดปี จุดที่นิยมตากไปใช้ประกอบพิธี คือแอ่งน้ำซึ่งมีสายน้ำเล็กๆ สามสายไหลมารวมกัน น้ำแอ่งนี้จึงถือเป็นน้ำซึ่งอยู่ในชัยภูมิอันดี เปรียบดังน้ำจากปากพญานาคสามตัวพ่นลงอ่างทองทองคำพร้อมกัน น่าจะศักดิ์สิทธิ์และควรค่าแห่งการนำไปใช้ในพิธีเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุที่เป็นน้ำใสเย็นสะอาดปราศจากมลภาวะประกอบกับมีชื่อแอ่งน้ำเป็นชื่อพญานาค ซึ่งคนไทยโบราณถือเป็นพาหนะของพระพิรุณอันเป็นเทพแห่งฝน นับเป็นมงคลน้ำยิ่ง ดังนั้นเมื่อมีพิธีการอภิเษกน้ำเพื่อใช้ในพิธีกรรมสำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ เจ้าผู้ครองนคร และพระพุทธศาสนา จึงนิยมตักน้ำจากห้วยปากนาคราช ไปใช้ในพิธีกรรมดังกล่าวทุกครั้ง
บริเวณแอ่งน้ำแต่เดิมมีต้นไม้อยู่สาม คือต้นใบเร็ดกอหนึ่ง กอไผ่ลำเล็กกอ หนึ่ง และหวายกอ หนึ่ง สมัยโบราณเจ้าเมืองนครให้จัดคนให้เฝ้ามิให้ใครตัดต้นไม้ทั้งสามชนิด ทั้งนี้เพื่อจะได้ใช้งานเมื่อเวลาต้องการตักน้ำไปใช้ในพิธีอภิเษก ในพิธีตักน้ำจากห้วยนี้แต่เดิมประธานในพิธีจะตัดไผ่มาทำกระบอกใส่น้ำตัดใบแร็ด ทำจุก ปิดปากกระบอก และตัดมัดกระบอกเข้าด้วยกัน แล้วให้ราชบุรุษนำน้ำที่ตักได้นั้นไปเข้าพิธีอภิเษกที่พระวิหารหลวง วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
หลังพ.ศ. 2475 พิธีการอภิเษกนี้ลดความสำคัญลง ทำให้บริเวณห้วยปากนาคราชถูกทอดทิ้งไประยะหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อปีพ.ศ. 2540 ชาวบ้านละแวกบ้านร่อน ร่วมกับชาวบ้านในอำเภอลานสกา โดยมีนายสุธรรม ชยันต์เกียรติ จากชมรมรักบ้านเกิดเป็นผู้ประสานงานบูรณะแหล่งน้ำนี้ให้มีสภาพสวยงามแตะตรานักท่องเที่ยวมากขึ้น
เรื่องราวของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเมืองนครศรีธรรมราชทั้งหกแหล่งข้างต้นนั้นเป็นเครื่องยืนยันความเชื่อ ความศรัทธา อันควรแก่ความปิติภูมิใจ ในความเป็นแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ ของเมืองนครศรีธรรมราช ควรที่ทุกส่วนจะต้องช่วยกันดูแลรักษา ทำนุบำรุงให้เจริญรุ่งเรืองและคง “ความศักดิ์สิทธิ์”ไว้ตลอดไป