31 มีนาคม, 2567
ประเพณีทอดผ้าป่า
ความเป็นมาของประเพณีทอดผ้าป่า
ทอดผ้าป่าเป็นประเพณีและเป็นมรดกตกทอดมาแต่สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับผ้าจีวรจากคฤหัสถ์ ให้ใช้แต่ผ้าบังสุกุล (ผ้าเปื้อนฝุ่น)เท่านั้น ชาวบ้านมักเรียกว่า ผ้าป่า เนื่องจากเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของ ทิ้งอยู่ตามที่ต่างๆ ตามกองขยะ หรือพันห่อศพไว้และต้องนำมาซัก เย็บ ย้อมเป็นสบง จีวรหรือสังฆาฏิ ให้เสร็จภายในระยะเวลา ๑๐ วัน ถ้าเกินกำหนดต้องสละผ้านับเป็นความยากลำบากแก่ภิกษุสงฆ์อย่างยิ่ง นอกจากนี้ผ้าห่อศพมักจะหาได้ยากเพราะเป็นศพคนจน ผ้าที่จะพันห่อศพก็ไม่ค่อยมี ชาวบ้านที่มีผ้าป่าสามัคคีศรัทธาเห็นความยากลำบากของพระภิกษุจึงหาทางช่วย โดยนำผ้าไปทิ้งไว้ตามทางที่พระท่านเดินผ่านไปมาเป็นประจำ หรือทิ้งตามกองขยะ หรือนำไปห่อศพไว้ เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้พระภิกษุจะไม่ยอมรับผ้านั้น จึงมีผู้นิยมทำตามกันมาจนเป็นประเพณี จนกระทั่งพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุรับจีวรจากคฤหัสถ์ได้ แต่ยังทรงสรรเสริญพระสงฆ์ผู้ถือผ้าบังสุกุลอยู่ ทำให้พระภิกษุทั้งหลายประสงค์จะรับผ้าบังสุกุลจีวรอีก
การทำจีวรของพระภิกษุในสมัยพุทธกาลจึงค่อนข้างลำบากยุ่งยากและเป็นงานใหญ่ ภิกษุทั้งหลายจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันอย่างมาก เมื่อชาวบ้านทั้งหลายเห้นความยากลำบากของพระภิกษุสงฆ์ จึงต้องการนำผ้ามาถวาย แต่เมื่อยังไม่มีพุทธานุญาติโดยตรง จึงนำผ้าไปทอดทิ้งไว้ ณ ที่ต่างๆ เช่น ในป่า ตามป่าช้า หรือข้างทางเดิน เมื่อพระภิกษุสงฆ์มาพบ เห็นว่าเป็นผ้าที่ผู้เป็นเจ้าของทอดอาลัยแล้วคือ ไม่ต้องการ ก็จำนำผ้านั้นมาทำเป็นสบง จีวร พิธีการทอดผ้าป่าจึงมีขึ้นด้วยสาเหตุนี้
การทอดผ้าป่าจึงยังคงมีอยู่และเป็นมรดกตกทอดกันมาทุกวันนี้ แต่ได้เปลี่ยนแปลงไปดังที่เห็นในปัจจุบัน แม้จะมีผ้าไตรสำเร็จรูปขาย และชาวบ้านไม่ได้นำไปทิ้งไว้ตามป่าตามทางดังในสมัยพุทธกาล แต่ยังคงธรรมเนียมไว้บ้างโดยการนำกิ่งไม้มาปักในกระถางหรือภาชนะอื่น แล้วนำผ้าที่จะถวายผูกแขวนไว้ บางทีก็ทำเป็นโครงรูปต่างๆ ภายในใส่เครื่องบริขารหรือสิ่งที่ต้องการจะถวายพระ เช่น ทำเป็นรูปผี รูปศพต่างๆ เป็นต้น
ฤดูกาลของการทอดผ้าป่าไม่ได้กำหนดระยะเวลาลงไปจะทอดในฤดูไหน เดือนไหน สุดแต่ชาวบ้านจะศรัทธาเลื่อมใส ส่วนใหญ่มักจะทำในระยะจวนจะออกพรรษาหรือช่วงออกพรรษาแล้ว อีกอย่างหนึ่งนิยมทำรวมกันกับขบวนกฐิน คือ เมื่อทอดกฐินเสร็จแล้วก็ทอดผ้าป่าหรือทอดตามรายทางเป็นหลายสิบวัดก็ได้
วิธีการทอดผ้าป่านั้น เมื่อนำผ้าป่าไปถึงวัดแล้ว พึงตั้งใจถวายโดยไม่เฉพาะเจาะจง วางของไว้จะจุดธูปเทียนหรือไม่ก็ได้ ส่งอาณัติสัญญาณให้พระท่านรู้ว่ามีผ้าป่า หรือจะทำพิธีเงียบๆ เจ้าภาพจะรอดูจนกว่าพระท่านมาชักผ้าป่าหรือไม่ก็ได้ พึงถวายผ้าป่าโดยกล่าวคำถวาย ดังนี้
“อิมานิ มยํ ภนฺเต ปํสุกูลจีวรานิ สปฺปริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส
โอโณชยาม สาธุโน ภนฺเต ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ ปํสุกูลจีวรานิ
ปฏิคฺคณหาตุ อมหากํ ทีฆรตตํ หิตาย สุขาย.”
แปลว่า “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าบังสุกุลจีวร กับทั้งเครื่องอันเป็นบริวารเหล่านี้เเก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าบังสุกุลจีวรกับทั้งเครื่องอันเป็นบริวารเหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลายเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสิ้นกาลนาน เทอญฯ”
อย่างไรก็ตามการถวายผ้าป่าโดยมากมักจะมีผ้าสำหรับพระสงฆ์อยู่ด้วยผืนหนึ่งหรือมากกว่า บางครั้งจะเห็นมีแต่เครื่องบริขารซึ่งมักมีผ้าเช็ดหน้าทำเป็นรูปชะนีแขวนอยู่ด้วย คงจะให้มีลักษณะเป็นป่า แต่เมื่อนำไปทอดมักจะหาซื้อผ้าสำหรับพระสงฆ์ด้วยเสมอ
ผ้าป่ามีหลายชนิด มักเรียกตามลักษณะของผ้าป่า เช่น ผ้าป่าหางกฐิน คือ การทอดผ้าป่าหลังทอดกฐิน ผ้าป่าสามัคคี ร่วมกันเป็นหมู่คณะ หรือทำขึ้นเพื่อรวมทุนจัดสร้างถาวรวัตถุในวัด ผ้าป่าโยง มีเจ้าภาพเดียว หรือหลายเจ้าภาพ ส่วนมากบรรทุกเรือแห่ไปทางนํ้าทอดตามวัดวาอารามต่างๆ เป็นต้น ในปัจจุบันงานศพบางแห่งนิยมถวายผ้าบังสุกุลวางไว้บนหีบศพ พระสงฆ์ขึ้นมาสวดคำบาลีสั้นๆ แล้วชักผ้าไป กรรมวิธีนี้เรียกว่า ชักผ้าบังสุกุลหรือชักผ้าป่า จัดรวมเข้าในการทอดผ้าป่าตามปรกติ มีวิธีการทอดผ้าป่าที่พิเศษอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า ทอดผ้าป่าผีตาย คือ แทนที่จะเอาผ้าไตรวางไว้บนหีบศพ แต่กลับให้ศพเป็นผู้ถือผ้าไตร โดยวิธีเอาศพผูกไว้กับกระดานหก แล้วนิมนต์พระมาเหยียบกระดานหก ศพก็จะยืนขึ้นหรือลุกขึ้นนั่งก็แล้วแต่การจัดศพให้นั่งหรือยืน พระสงฆ์จะรับผ้าจากมือศพ กรรมวิธีนี้ต้องทำในป่าช้าและต้องให้พระเข้าไปรับผ้าไตรทีละรูป ส่วนญาติพี่น้องดูอยู่ห่างๆ เพื่อป้องกันคนมาขโมยผ้าไปเท่านั้น ดูน่ากลัวอยู่สักหน่อย บางแห่งไม่ใช้ศพจริงๆ แต่ทำเป็นรูปร่างให้เหมือนศพจริงๆ ซึ่งก็น่ากลัวเช่นกัน การทอดผ้าป่าแบบนี้ถือว่าได้บุญกุศลมากทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามการทอดผ้าป่าแบบผีตายนี้ถูกยกเลิกไป เนื่องจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงห้ามเพราะมีคนกลั่นแกล้งพระทำให้ตกใจสุดขีดจนถึงมรณภาพ ในปัจจุบันการทอดผ้าป่ามักจะเป็นการชักชวนกันเพื่อรวบรวมทุนทรัพย์สร้างสิ่งต่างๆ ได้แก่ ถาวรวัตถุในวัด ถนน โรงเรียน โรงพยาบาล และอื่นๆ เสียมากกว่า
การทอดผ้าป่า คือ ประเพณีบุญของชาวไทยพุทธที่มีความสำคัญและสืบทอดกันมายาวนาน เป็นการทำบุญใหญ่ ที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านทั่วไปได้ร่วมบริจาคสิ่งของ เครื่องใช้ และจตุปัจจัย เพื่อเสริมสร้างความเป็นอยู่ของพระภิกษุสงฆ์และพัฒนาวัดวาอาราม มาทำความรู้จักความหมาย กำหนดเวลา รวมถึงประโยชน์ของการทอดผ้าป่ากันให้มากขึ้น
ทอดผ้าป่าเป็นการทำบุญรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับการทอดกฐิน คือ การนำผ้าไตรจีวรหรือสิ่งของจำเป็นไปถวายวัด แต่พิธีทอดผ้าป่านั้นเรียบง่ายกว่า และสามารถจัดได้โดยไม่จำกัดฤดูกาลหรือจำนวนครั้งต่อปี คำว่า “ป่า” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงป่าไม้ แต่หมายถึงการนำจีวรไปวางพาดไว้บนกิ่งไม้เพื่อให้พระสงฆ์มาหยิบไปใช้ตามอัธยาศัยนั่นเอง
ประเพณีทอดผ้าป่านิยมจัดขึ้นตลอดทั้งปี ไม่ได้จำกัดอยู่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเหมือนกับการทอดกฐิน วัดต่างๆ สามารถจัดพิธีทอดผ้าป่าได้หลายครั้งตามความเหมาะสม เนื่องจากเป็นการทำบุญที่เปิดกว้างให้พุทธศาสนิกชนทั่วไปได้มีส่วนร่วมได้อย่างง่ายดายนั่นเอง ความสำคัญและวัตถุประสงค์ของการทอดผ้าป่า ส่งเสริมพระพุทธศาสนา: การร่วมทอดผ้าป่าช่วยถวายสิ่งจำเป็นและสนับสนุนกิจของสงฆ์ ทำให้พุทธศาสนาสืบสานและเจริญรุ่งเรืองต่อไป พัฒนาวัด: รายได้จากการทอดผ้าป่ามักนำไปสร้างหรือบูรณะพัฒนาสิ่งก่อสร้างในวัดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พระสงฆ์และชุมชน สร้างความสมัครสมาน: เป็นโอกาสให้คนในชุมชนได้ร่วมทำบุญ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมวัด สร้างความสามัคคีและความเข้มแข็ง ประเภทของการทอดผ้าป่า ผ้าป่าสามัคคี: รูปแบบยอดนิยมที่มีการเชิญชวนทำบุญจากทั่วทุกสารทิศ กองผ้าป่าแต่ละกองนำมารวมเป็นกองใหญ่ จัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่เข้าสู่วัด ผ้าป่าหางกฐิน: พิธีที่ต่อเนื่องมาจากการทอดกฐิน คือหลังเสร็จสิ้นพิธีทอดกฐินแล้วจะมีการทอดผ้าป่าตามมาด้วย วิธีร่วมบุญทอดผ้าป่าอย่างถูกต้อง ทำจิตใจให้ผ่องใส: การทำบุญควรเริ่มจากเจตนาบริสุทธิ์ มีความเลื่อมใสและศรัทธาในการทำความดี เตรียมปัจจัยหรือสิ่งของ: ร่วมบริจาคปัจจัย หรือสิ่งของต่างๆ ตามความศรัทธา ที่สำคัญคือควรเป็นของใหม่และอยู่ในสภาพที่ดี เข้าร่วมพิธีที่วัด: ในวันงานบุญผ้าป่า จะมีพิธีถวายผ้าป่า และกิจกรรมทำบุญร่วมกันที่วัด อานิสงส์ของการทอดผ้าป่า อานิสงส์ของการทอดผ้าป่า มีมากมาย ดังนี้ 1. ส่งเสริมความสามัคคี การทอดผ้าป่าเป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนในชุมชน เป็นการกระตุ้นให้คนในชุมชนได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 2. สืบสานประเพณีไทย การทอดผ้าป่าเป็นประเพณีไทยที่สืบทอดมายาวนาน เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และช่วยรักษาประเพณีอันดีงามของไทยไว้ให้คงอยู่ 3. บุญกุศลสูง การทอดผ้าป่าเป็นการทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นผู้ทรงศีล เป็นการทำบุญที่ได้อานิสงส์มาก 4. ช่วยให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง เชื่อกันว่าการทอดผ้าป่าจะช่วยให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีโภคทรัพย์สมบัติอุดมสมบูรณ์ 5. ส่งผลดีต่อภพชาติหน้า เชื่อกันว่าการทอดผ้าป่าจะส่งผลดีต่อภพชาติหน้า ช่วยให้เกิดในภพภูมิที่ดี มีความสุข สรุป การทอดผ้าป่าถือเป็นประเพณีที่สะท้อนความศรัทธาของชาวพุทธไทยที่มีต่อพระพุทธศาสนา รวมถึงเป็นการปลูกฝังค่านิยมในการทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อีกทั้งยังเป็นวัฒนธรรมประเพณีไทยสร้างความสามัคคีในชุมชนอีกด้วย
การทอดผ้าป่ามีอยู่อย่างเดียว คือ การนำผ้าไปทิ้งไว้ดังที่กล่าวมา แต่ในปัจจุบันนิยมทำกันในรูปแบบต่างๆ แตกต่างกันไป จึงมีชื่อเรียกเป็น 3 อย่าง คือ
1.ผ้าป่าหางกฐิน หรือผ้าป่าแถมกฐิน ผ้าป่าหางกฐิน ได้แก่ ผ้าป่าชนิดที่เจ้าภาพจัดให้มีขึ้นต่อจากการทอดกฐิน คือเมื่อทำพิธีทอดกฐินเสร็จแล้ว ก็ให้มีการทอดผ้าป่าด้วยเลย จึงเรียกว่า ผ้าป่าหางกฐิน หรือผ้าป่าแถมกฐิน
2.ผ้าป่าโยง ผ้าป่าโยง ได้แก่ ผ้าป่าที่จัดทำรวมๆกันหลายกอง นำบรรทุกเรือแห่ไปทอดกันตามวัดต่างๆที่อยู่ริมแม่น้ำ จึงเรียกว่า ผ้าป่าโยง จะมีเจ้าภาพเดียวหรือหลายเจ้าภาพก็ได้
3.ผ้าป่าสามัคคี ซึ่งในแต่ละชนิดมีรายละเอียดดังนี้ ผ้าป่าสามัคคี คือ ผ้าป่าที่มีการแจกฎีกาบอกบุญไปตามบุคคล สถานที่ต่างๆ ให้ร่วมกันทำบุญแล้วแต่ศรัทธา โดยจัดเป็นกองผ้าป่ามารวมกัน จะเป็นกี่กองก็ได้ เมื่อถึงวันทอดจะมีขบวนแห่ผ้าป่ามารวมกันที่วัดอย่างสนุกสนาน บางทีจุดประสงค์ก็เพื่อร่วมกันหาเงินเพื่อนำไปสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ในปัจจุบันการจัดทำการทอดผ้าป่าชนิดนี้จะเห็นว่าเป็นที่นิยมทำกันมาก เพื่อรวมเงินสร้างสิ่งก่อสร้าง หรือจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น อาคารที่พักคนป่วยในโรงพยาบาล อาคารเรียน อุปกรณ์ทางการศึกษา อุปกรณ์ทางการแพทย์
ที่มา:กรมศิลปากร
https://www.silpathai.net