18 มีนาคม, 2567

ประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับงานศพไทย

ประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับงานศพไทย
ความเป็นมาและความสำคัญ พิธีศพของคนไทย สามารถเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในประเพณี หรือพิธีกรรมที่สืบทอดกันมานานหลายพันปีแล้ว จะเห็นได้ว่าทุกชนชาติ ทุกประเทศทั่วโลกจะมีพิธีกรรมการจัดงานศพเฉพาะเป็นของตนเอง บางประเทศอาจมีขั้นตอนที่คลายคลึงกัน เนื่องด้วยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศนั้น และนำมาผสมผสานกับประเพณี วัฒนธรรมของท้องถิ่นตนเอง จนเกิดเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีของแต่ละพื้นที่ขึ้นมา หรือบางพื้นที่อาจมีพิธีกรรมการจัดงานศพที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ อย่าง พิธีศพของชาวมอญ ที่จะมีประเพณีร้องไห้มอญ หรือการทำพิธีศพลอยฟ้า ของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นต้น สำหรับประเทศไทยนั้นก็มีประวัติความเป็นมา เกี่ยวกับการจัดพิธีศพมาอย่างยาวนาน จนพัฒนาการเป็นขั้นตอนการจัดงานศพอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน การจัดพิธีศพของคนไทยในสมัยอดีต มี ความเป็นมายาวนานกว่า 5,000 ปีแล้ว ในสมัยแรกๆนั้น ในชนชั้นผู้ที่มีอำนาจในยุคนั้น อย่างผู้นำหมู่บ้าน หากยามตายลงการจะจัดพิธีศพโดยการฝังลงร่างของผู้ตายลงดิน หากเป็นชาวบ้านทั่วไปจะนำศพไปทิ้งไว้กลางป่า เพื่อให้สัตว์ป่า แร้ง กา มาจิกกิน เป็นรูปแบบหนึ่งในการทำพิธีของยุคแรกๆ ต่อมาได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ จึงมีการทำพิธีปลงศพโดยการเผา แบบเดียวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในส่วนของการแต่งกายร่วมงานศพ ยุคแรกนั้นชุดแต่งกายไปงานศพจะมีสีสันที่ฉูดฉาด ไม่ได้เน้นแต่เพียง สีดำ อย่างในปัจจุบัน ซึ่งการแต่งชุดดำเพื่อไว้ทุกข์นั้นเริ่มมีมาตั้งแต่ สมัยของ รัชกาลที่ 5 ด้วยได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตก ช่วงแรกจะนิยมแต่งดำเพียงในกลุ่มของชั้นผู้ราชการ หรือชั้นเจ้านาย ก่อนค่อยๆแพร่กระจายออกไปยังชนชั้นต่างๆ จนกลายเป็นธรรมเนียมที่แต่งชุดดำไปงานศพ การจัดพิธีณาปนกิจ เรียกอีกอย่างว่า พิธีศพ ซึ่งเป็นพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่ง หรือเป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นธรรมเนียมประเพณีที่หากบ้านใดมีคนเสียชีวิต จะเป็นบุคคลในครอบครัว หรือญาติใกล้ชิด เป็นผู้จัดพิธีกรรมทางศาสนาให้ เพื่อส่งวิญญาณของผู้วายชนย์ไปสู่สรวงสวรรค์ อันสุขสงบ ในบางพื้นที่ของประเทศไทย การจัดงานศพนั้นอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง อาทิ บางพื้นที่จะมีการบรรเลงปี่พาทย์มอญ ภายในงานศพ เนื่องด้วยบทเพลงสำหรับใช้บรรเลงนั้นมีทำนองที่เยือกเย็น เศร้าระทม จึงเหมาะแก่การใช้บรรเลงภายในงานศพนั่นเอง แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่คู่มาทุกยุคทุกสมัยมาคือ ดอกไม้หน้าศพ ด้วยยุคแรกๆนั้น ใช้สำหรับกลบกลิ่นศพ ต่อมาในปัจจุบันดอกไม้ในงานศพนั้นนอกจากมีไว้เพื่อความสวยงามแล้ว ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่สำหรับแสดงความอาลัยรักครั้วสุดท้ายจากครอบครัว ซึ่งดอกไม้นั้นสามารถช่วยเยียวยาจิตใจของผู้พบเห็นได้ นอกจากจะเป็นสิ่งแสดงความอาลัยรักจากคนในครอบครัวแล้ว ในสมัยก่อนยังใช้สำหรับดับกลิ่นคนตายได้เช่นกัน เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีฟอร์มาลีนอย่างในปัจจุบัน ดอกไม้จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถดับกลิ่นได้ เมื่อเวลาผ่านไป จึงกลายเป็นธรรมเนียมที่เวลาจัดงานศพจะต้องมีดอกไม้หน้าศพนั่นเอง พิธีงานศพไทยถือเป็นประเพณีหรือพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่ผู้ใกล้ชิดอย่างคนในครอบครัว หรือญาติสนิทมิตรสหาย จะกระทำให้กับผู้ล่วงลับเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเป็นการให้เกียรติและระลึกถึงคุณงามความดีของผู้วายชนม์เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ วิธีการและขั้นตอนในการจัดพิธีศพมีความเชื่อ วิธีการ และขั้นตอนการปฏิบัติดังต่อไปนี้ วิธีการและลำดับขั้นตอนในการจัดพิธีงานศพไทย 1. การแจ้งตาย เมื่อมีผู้เสียชีวิต ลำดับแรกก่อนที่จะจัดพิธีงานศพไทยก็คือ “การแจ้งตาย” นั่นเอง โดยญาติหรือผู้พบศพจะต้องแจ้งตายที่สำนักทะเบียนท้องถิ่นภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่เวลาเสียชีวิตหรือพบศพ เพื่อขอรับใบมรณบัตร และเมื่อได้รับใบมรณบัตรแล้ว ควรถ่ายสำเนาเอกสารแล้วให้เจ้าหน้าที่รับรองสำเนาเอกสารไว้ด้วยค่ะ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนใบมรณบัตรฉบับจริงจะต้องนำไปแจ้งต่อสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่ผู้เสียชีวิตมีภูมิลำเนาอยู่ พร้อมนำทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านไปด้วย เพื่อให้เจ้าหน้าที่จำหน่ายได้ว่าเสียชีวิตเมื่อใด โดยต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบภายในเวลา 15 วัน 2. การนำศพไปวัด ลำดับถัดมาก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่พิธีงานศพไทยก็คือ “การนำศพไปวัด” เมื่อแจ้งตายกับสำนักทะเบียนท้องถิ่นแล้วให้ติดต่อวัดที่จะนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศล หรือบางพื้นที่ก็จะตั้งศพที่บ้าน แต่ถ้าผู้เสียชีวิตนั้นเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ก็สามารถแจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล เพื่อขอให้จัดรถส่งศพให้ จากนั้นให้นิมนต์พระสงฆ์ ๑ รูปมาชักศพที่จะเคลื่อนไปสู่วัด หรือบ้าน ที่นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศล ทั้งนี้ก่อนที่จะนำศพไปวัด ควรจัดเตรียมเสื้อผ้าจากโรงพยาบาลหรือทางบ้านให้เรียบร้อยก่อน พร้อมกับจัดเตรียมผ้าแพรสำหรับคลุมศพและรูปภาพที่จะตั้งหน้าศพ แต่ถ้าผู้เสียชีวิตนั้นเป็นผู้ที่อยู่ในเกณฑ์สมควรได้รับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ให้แจ้งไปยังต้นสังกัดของผู้นั้นแล้วเดินเรื่องไปยังกองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง เพื่อขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพและเครื่องประกอบเกียรติศพต่อไป 3. การอาบน้ำศพและการรดน้ำศพ “การอาบน้ำศพ” หรือที่เรียกว่า “พิธีรดน้ำศพ” ถือเป็นขั้นตอนแรกของพิธีงานศพไทยก่อนที่จะนำศพใส่โลง ทางญาติของผู้เสียชีวิตจะทำการอาบน้ำหรือชำระร่างกายของศพให้สะอาด เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผู้ล่วงลับเดินทางไปสู่ภพภูมิอื่นได้อย่างสะอาดบริสุทธิ์ค่ะ โดยบุตร ธิดา หรือญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตจะทำหน้าที่อาบน้ำศพเท่านั้น ไม่นิยมเชิญคนภายนอก เนื่องจากถือว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ซึ่งการอาบน้ำศพนี้จะอาบด้วยน้ำอุ่นก่อนแล้วล้างด้วยน้ำเย็น และฟอกสบู่ขัดถูร่างกายศพให้สะอาด ทั้งนี้จะมีการใช้สำลีอุดจมูกศพ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเหลืองไหลออกและแมลงไต่ตอมค่ะ เมื่ออาบน้ำศพเสร็จแล้วก็นำขมิ้นมาทาทั่วร่างกายศพ รวมไปถึงฝ่ามือฝ่าเท้า แล้วจึงประพรมด้วยน้ำหอม แต่หากเป็นศพที่ตนเคารพนับถือ เช่น บิดา มารดา ฯลฯ ก็จะใช้ผ้าขาวหรือผ้าเช็ดหน้ามาซับใบหน้า และฝ่ามือฝ่าเท้า เพื่อเก็บไว้กราบไหว้บูชา หรือใช้เป็นผ้าประเจียด จากนั้นจึงจะแต่งตัวศพตามฐานะของผู้เสียชีวิต โดยให้ใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและใหม่ที่สุดเท่าที่มีอยู่ แต่หากเป็นข้าราชการก็ให้แต่งเครื่องแบบชุดขาวเต็มยศ ไม่ต้องมีผ้าคลุมใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่อแต่งตัวศพเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะนำศพขึ้นนอนบนเตียงสำหรับรอการรดน้ำศพต่อไป “พิธีรดน้ำศพ”ในพิธีรดน้ำศพนั้น ส่วนมากจะนิยมตั้งเตียงไว้ทางด้านซ้ายของโต๊ะหมู่บูชาพระรัตนตรัย โดยให้ตั้งโต๊ะหมู่บูชาไว้ด้านบนศีรษะของศพ จากนั้นจึงค่อยจัดร่างศพให้นอนหงายเหยียดยาว หันด้านขวามือของศพ หรือด้านปลายเท้าของศพให้มาอยู่ทางแขกผู้ที่มาร่วมเคารพศพ พร้อมกับจัดมือขวาให้เหยียดออกห่างจากตัวศพเล็กน้อยและแบมือเหยียดออก เพื่อคอยรับการรดน้ำศพ และใช้ผ้าใหม่ๆ หรือผ้าแพรคลุมตลอดร่างศพนั้น แต่จะเปิดเฉพาะหน้าและมือขวาของศพเท่านั้น แต่หากเป็นศพที่ประสบอุบัติเหตุ อวัยวะฉีกขาดในสภาพที่ไม่น่าดูล่ะก็… ให้โยงสายสิญจน์จากร่างหรือหีบศพไปยังภาชนะรองรับการรดน้ำศพแล้วประกอบพิธีรดน้ำที่สายสิญจน์นั้น โดยไม่ต้องเปิดผ้าคลุมศพเมื่อประกอบพิธี ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีได้แก่ ขันน้ำพานรองขนาดใหญ่สำหรับตั้งไว้คอยรองรับน้ำที่รดมือศพแล้ว, น้ำมนต์ผสมน้ำสะอาด โรยด้วยดอกไม้หอมหรืออาจจะใช้น้ำอบ น้ำหอมผสมด้วย และขันเล็ก ๆ สำหรับตักน้ำยื่นให้แก่ผู้ที่มารดน้ำศพ ก่อนเริ่มพิธีรดน้ำศพนั้น ส่วนมากจะนิยมให้เจ้าภาพหรือเชิญผู้มีอาวุโสมาเป็นประธานในพิธี เพื่อจุดเครื่องบูชาพระรัตนตรัย แล้วจุดเครื่องทองน้อยหรือธูปเทียนทางด้านศีรษะของศพ จากนั้นจึงเริ่มพิธีต่อไป โดยทั่วไปแล้วพิธีนี้จะนิยมเริ่มในเวลา 16.00 – 17.00 น. ซึ่งเจ้าภาพ ลูกหลาน ญาติพี่น้องของผู้ล่วงลับจะทำการรดน้ำศพเสียก่อน จากนั้นจึงจะเชิญแขกผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ ที่เป็นคนใกล้ชิด ญาติสนิทมิตรสหาย บุคคลที่เคารพนับถือ หรือคนรู้จัก โดยลูกหลานหรือบุคคลใกล้ชิดกับผู้ล่วงลับจะทำหน้าที่รับ-ส่งภาชนะรดน้ำศพให้กับแขกผู้ร่วมงานศพค่ะ สำหรับแขกที่มารดน้ำศพนั้นให้ทักทายและแสดงความเสียใจต่อเจ้าภาพ แล้วจึงนั่งรอในที่จัดเตรียมไว้ เมื่อเจ้าภาพเชิญให้ไปรดน้ำยังบริเวณที่ตั้งศพ ควรทำความเคารพศพก่อนแล้วจึงรดน้ำลงบนฝ่ามือขวาของศพที่ยื่นออกมา พร้อมทั้งกล่าวคำอาลัยหรืออโหสิกรรมให้กับผู้ล่วงลับ 4. การจัดงานบำเพ็ญกุศลและการสวดอภิธรรม ขั้นตอนลำดับถัดมาของการจัดพิธีงานศพไทยก็คือ “การจัดงานบำเพ็ญกุศล” หรือ “พิธีสวดอภิธรรม” นั่นเองค่ะ ซึ่งพิธีสวดอภิธรรมนี้จะเริ่มสวดตั้งแต่วันตั้งศพเป็นต้นไปประจำทุกคืน ส่วนมากจะนิยมสวด ๑ วัน, ๓วัน, ๕ วัน หรือ ๗ วัน แต่ในบางรายอาจสวดพระอภิธรรมศพจนครบ๑๐๐ วัน หรือจนถึงวันฌาปนกิจศพ โดยเจ้าภาพจะนิมนต์พระสงฆ์๔ รูปมาสวดพระอภิธรรมศพจำนวน ๔ จบ และเมื่อสวดพระอภิธรรมศพ เจ้าภาพจึงถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ทั้งนี้พิธีสวดอภิธรรมมีจุดประสงค์เพื่อให้ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตายเป็นสำคัญและเป็นการให้เจ้าภาพ ญาติมิตร และแขกผู้มาร่วมงานแสดงออกถึงความเคารพนับถือและความกตัญญูต่อผู้ล่วงลับอีกด้วย “การจัดงานบำเพ็ญกุศล” หรือ “พิธีสวดอภิธรรม” นั้นถือว่าเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่มีจุดประสงค์เพื่อให้เจ้าภาพ ครอบครัว และเครือญาติได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิต อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงความเคารพนับถือและความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ล่วงลับด้วยค่ะ วันนี้หรีดมาลาจะมาอธิบายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีสวดอภิธรรมศพและขั้นตอนการปฏิบัติของพิธีนี้ให้ทุกคนได้ทราบ “พิธีสวดอภิธรรม” ตามประเพณีไทยแล้ว ก่อนที่จะทำการฌาปนกิจศพก็จะมีการจัดงานบำเพ็ญกุศลหรือ “พิธีสวดอภิธรรม” ซึ่งพิธีนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สวดหน้าศพ” และนิยมจัดขึ้นตั้งแต่วันตั้งศพเป็นวันแรกและสวดประจำทุกคืน ส่วนมากจะนิยมสวด ๑ คืน, ๓ คืน, ๕ คืน หรือ ๗ คืน แต่ในบางกรณีอาจมีการสวดพระอภิธรรมศพจนครบ ๑๐๐ วัน หรือจนกว่าจะถึงวันฌาปนกิจศพ ส่วนสาเหตุที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยนำเอาคัมภีร์พระอภิธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องกับพิธีนี้ก็คือ ๑. สอนให้ผู้ฟังและผู้ร่วมงานนั้นพิจารณาและเห็นสัจธรรมหรือความจริงของชีวิตที่ว่า “ไม่มีใครหลีกหนีความตายได้พ้น” ได้โดยง่าย ๒. เป็นการสวด เพื่อให้บุญหรืออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับ เป็นการแสดงออกถึงความรัก ความเคารพนับถือ และความกตัญญูกตเวทีต่อผู้วายชนม์ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ๓. เป็นการตอบแทนหรือสนองบุญคุณแก่บิดา มารดา ถึงแก่กรรมลง ตามแบบพระจริยวัตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จขึ้นไปทรงแสดงพระอภิธรรมเทศนาแด่พุทธมารดาที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือถึงแม้ว่าผู้ล่วงลับจะไม่ใช่บิดา มารดาก็ตาม แต่การนำพระอภิธรรมมาแสดงธรรมเทศนาในงานศพก็ถือเป็นประเพณีไปแล้ว ๔. พระอภิธรรมเป็นคำสอนขั้นสูงที่มีเนื้อหาละเอียดลึกซึ้ง หากนำมาแสดงธรรมเทศนาในงานบำเพ็ญกุศลให้กับผู้ล่วงลับแล้ว ผู้ล่วงลับจะได้รับบุญมาก ซึ่งการสวดอภิธรรมนี้คือการนำคำบาลีขึ้นต้นสั้น ๆ ในแต่ละคัมภีร์ของพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์มาเรียงต่อกัน บางทีเราเรียกการสวดพระอภิธรรมนี้ว่า “การสวดมาติกา” แต่ถ้าเป็นงานพระศพของบุคคลสำคัญในราชวงศ์จะเรียกว่า “พิธีสดับปกรณ์” ที่เพี้ยนมาจากคำว่า “สัตตปกรณ์” หมายถึง “พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์” ขั้นตอนการปฏิบัติของพิธีสวดอภิธรรม ๑. ก่อนเริ่มพิธีสวดอภิธรรมศพ เจ้าภาพจะต้องเตรียมเครื่องไทยธรรมพร้อมผ้าสบง เพื่อถวายแด่พระสงฆ์ และผ้าบังสุกุลที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ ซึ่งในปัจจุบันทางวัดหรือฌาปนสถานมีบริการจัดหาให้ นอกจากนั้นยังมีปัจจัยถวายพระ ๔ รูป ตามแต่ศรัทธา และอาหารว่างเลี้ยงแขกผู้ร่วมงานที่มาฟังสวดทุกคืน ๒. เจ้าภาพนิมนต์พระสงฆ์สวดอภิธรรม ๔ รูป มาสวด ๔ จบ ส่วนมากจะนิยมสวดตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๐ น. ๓. สำหรับแขกผู้ร่วมงาน เมื่อเข้ามาในศาลาที่ตั้งศพแล้วควรกราบพระก่อนด้วยเบญจางคประดิษฐ์ จากนั้นจึงจุดธูป ๑ ดอก เพื่อไหว้เคารพตามความเหมาะสม เช่น – หากผู้ล่วงลับเป็นผู้สูงอายุ ให้กราบ ๑ ครั้งแบบไม่แบมือ – หากผู้ล่วงลับเป็นพระภิกษุสงฆ์ ให้กราบเบญจางคประดิษฐ์ – หากผู้ล่วงลับอยู่ในวัยเดียวกัน ให้ยืนคำนับหรือนั่งไหว้ – หากผู้ล่วงลับอายุน้อยกว่า ให้ยืนหรือนั่งในท่าที่สงบ ๔. เจ้าภาพหรือประธาน/ผู้แทนในพิธีสวดอภิธรรมประจำคืน จุดธูปเทียน เพื่อบูชาพระรัตนตรัยและพระธรรม จากนั้นจึงจุดเครื่องทองน้อยหน้าศพตามลำดับ ๕. ศาสนพิธีกรอาราธนาศีล ทุกคนรับศีล ๖. พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม ๗. เมื่อพระสงฆ์สวดอภิธรรมครบทั้ง ๔ จบ เจ้าภาพหรือประธาน/ผู้แทนในพิธีจึงถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ จากนั้นก็จะเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่จากไปด้วยพิธีทอดผ้าบังสุกุล และถวายของจตุปัจจัยให้แก่พระสงฆ์ แล้วจึงกรวดน้ำให้แก่ผู้ล่วงลับ เป็นอันเสร็จสิ้น หลังจากที่ได้ทราบถึงเรื่องราวน่ารู้และขั้นตอนของ “พิธีสวดอภิธรรม” ไปแล้ว จะเห็นได้ว่าพิธีนี้เป็นการสวดเพื่อให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเห็นความเป็นจริงของชีวิตว่าไม่มีใครหลบหนีความตายได้พ้น ฉะนั้นให้รีบเร่งทำแต่ความดีเสียตั้งแต่วันนี้ แล้วครั้งหน้าหรีดมาลาจะมาอธิบายถึงเรื่องราวของและลำดับขั้นตอนของ “พิธีฌาปนกิจ” ๕. การบรรจุเก็บศพ ในการจัดพิธีงานศพไทย ก่อนเข้าสู่ขั้นตอน “การฌาปนกิจศพ” ก็จะเป็น “การบรรจุเก็บศพ” นั่นเอง ซึ่งการบรรจุเก็บศพนี้จะกระทำหลังจากการสวดพระอภิธรรมในคืนสุดท้ายเสร็จสิ้นลงแล้ว โดยจะนำศพไปเก็บที่สุสานหรือศาลา เพื่อรอให้ญาติหรือโอกาสที่เหมาะสมก่อนจะทำการฌาปนกิจหรือฝังศพในสุสานต่อไป ๖. การฌาปนกิจศพ “พิธีฌาปนกิจ” ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในพิธีงานศพไทย เนื่องจากเป็นพิธีกล่าวอำลาและแสดงความอาลัยแก่ผู้ล่วงลับในครั้งสุดท้าย นอกจากนั้นยังเป็นวันสุดท้ายของศพที่จะเข้าสู่เชิงตะกอนอีกด้วย ซึ่งพิธีฌาปนกิจนี้เป็นพิธีกรรมที่ทำให้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ได้มีโอกาสระลึกถึงผู้ล่วงลับและตระหนักถึงสัจธรรมของชีวิตเกี่ยวกับความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งที่ว่า “สิ่งใดในโลกล้วนอนิจจัง” ฉะนั้นให้รีบหมั่นทำความดีและสร้างบุญกุศลมากขึ้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยจะมีการเวียนศพไปทางด้านซ้ายหรือทวนเข็มนาฬิกาทั้งหมด ๓ รอบ เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่ผู้ล่วงลับและเป็นปริศนาธรรมเกี่ยวกับกฎไตรลักษณ์ อันได้แก่ “อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา” หรือ “การเวียนว่ายตายเกิด” จากนั้นจึงจะเชิญศพขึ้นสู่เมรุ เจ้าภาพอ่านคำและยืนไว้อาลัยแล้วต่อด้วยเชิญแขกผู้ใหญ่ทอดผ้าบังสุกุล และตามด้วยประธานในพิธีทอดผ้าบังสุกุลหน้าหีบศพ และสุดท้ายจึงจะเชิญแขกผู้ร่วมงานขึ้นประชุมเพลิง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ต้องมีในพิธีงานศพไทย ก่อนเริ่มทำ “พิธีฌาปนกิจ” หรือ “เผาศพ” นั้น เจ้าภาพที่เป็นบุคคลในครอบครัว หรือญาติพี่น้องของผู้ล่วงลับจะต้องทำ มีดังต่อไปนี้คือ ๑. กำหนดวันที่จะทำการฌาปนกิจศพที่แน่นอน แล้วจึงทำความตกลงกับเจ้าหน้าที่ของวัดหรือฌาปนสถานก่อน เพื่อเป็นการเลือกจองวันและเวลาที่ต้องการ ๒. ในกรณีที่มีการบรรจุเก็บศพไว้ก่อนจะทำการฌาปนกิจ จะต้องนำศพมาตั้งสวดพระอภิธรรมอีกวาระหนึ่ง ด้วยการสวดก่อน ๑ คืน แล้ววันรุ่งขึ้นจึงจะทำพิธีฌาปนกิจ หรือไม่ต้องมีพิธีสวดอภิธรรมอีกก็ได้ เพียงแค่ยกศพขึ้นตั้ง โดยในตอนเช้าให้เลี้ยงเพลพระและนิมนต์พระสงฆ์ขึ้นเทศน์พระธรรมเทศนาในตอนบ่าย แล้วจึงทำการฌาปนกิจศพในตอนเย็น การกระทำเช่นนี้มักเรียกกันว่า “ตั้งเช้า เผาเย็น” แต่หากศพนั้นเป็นบุพการี (พ่อแม่), สามี หรือภรรยา เราควรตั้งสวดพระอภิธรรมอีกหนึ่งคืนก่อน เพื่อให้เกียรติและรำลึกถึงผู้เสียชีวิต อีกทั้งยังเป็นการบำเพ็ญกุศลเพิ่มเติมให้อีก ๓. บำเพ็ญกุศลอุทิศให้ผู้ล่วงลับก่อน ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ทำพิธี “บวชหน้าไฟ” ให้แก่ลูกหลาน, นิมนต์พระสงฆ์ ๑๐ รูป เพื่อสวดพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหารเพล, จัดให้มีเทศนาธรรม ๑ กัณฑ์, นิมนต์พระสงฆ์สวดมาติกา-บังสุกุล (พระสงฆ์จำนวน ๑๐ รูป หรือเท่าอายุผู้ล่วงลับ หรือตามศรัทธา) และถวายเครื่องไทยธรรมและกรวดน้ำ ๔. เตรียมอุปกรณ์หลักที่ต้องใช้ใน พิธีฌาปนกิจ ได้แก่… – เครื่องไทยธรรม ผ้าสบงถวายพระสวดมนต์ฉันเพล – เครื่องไทยธรรมผ้าไตร และเครื่องติดกัณฑ์เทศน์ถวายพระเทศน์ – ผ้าไตรประธานเพื่อทอดบังสุกุล และมหาบังสุกุลก่อนทำการฌาปนกิจ – ผ้าสบงถวายพระสวดมาติกา-บังสุกุลตามจำนวนพระสวด – ดอกไม้จันทน์สำหรับประธานในพิธี และดอกไม้จันทน์ให้กับแขกผู้ร่วมงาน ๕. หลังจากบำเพ็ญกุศลอุทิศให้ผู้ล่วงลับแล้ว ก่อนจะเคลื่อนศพไปตั้งที่เมรุนั้น ให้ลูกหลาน ญาติพี่น้อง หรือคนใกล้ชิดกับผู้ล่วงลับได้ทำพิธีขอขมาศพ เพื่อเป็นการอภัยโทษและอโหสิกรรมที่เคยล่วงเกินต่อกัน ด้วยการตั้งจิตหรือกล่าวคำขอขมาต่อศพนั้น วันพิธีฌาปนกิจ ในช่วงเช้าของพิธีฌาปนกิจ เจ้าภาพจะต้องนิมนต์พระสงฆ์ ๑ รูป เป็นผู้นำในขบวนแห่ศพเวียนรอบเมรุ และมีคนถือเครื่องทองน้อยหรือกระถางธูปนำหน้าศพ แต่ถ้าศพนั้นมีรูปถ่ายของผู้ล่วงลับที่ต้องนำไปไว้ในที่บำเพ็ญกุศล ก็ต้องมีคนถือรูปถ่ายนำหน้าศพ จากนั้นจึงตามด้วยเจ้าภาพ ลูกหลาน และเครือญาติของผู้ล่วงลับช่วยกันแห่ศพเวียนเมรุทั้งหมด 3 รอบ โดยลำดับการแห่ศพถือหลักดังนี้คือ “พระสงฆ์-กระถางธูป-รูปภาพ-ศพ-ญาติมิตร” ซึ่งการแห่ศพเวียนเมรุนี้จะต้องเริ่มจากบันไดหน้าเมรุและเดินเวียนซ้าย (เมรุอยู่ทางด้านซ้ายมือของผู้เดิน) ทั้งหมด ๓ รอบ เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ล่วงลับ และเป็นปริศนาเกี่ยวกับกฎไตรลักษณ์ที่ว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” หรือการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งสามภพ คือ ในโลก นรก และสวรรค์ และเมื่อแห่ศพเวียนเมรุครบทั้ง ๓ รอบแล้ว เจ้าหน้าที่จึงนำศพขึ้นตั้งบนเมรุ เมื่อถึงช่วงเย็นของพิธีพิธีฌาปนกิจ ก่อนจะทำการฌาปนกิจก็จะมีการกล่าวชีวประวัติของผู้ล่วงลับ เพื่อรำลึกถึงคุณความดีต่าง ๆ ที่ผู้ล่วงลับเคยกระทำไว้ และให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ตระหนักถึงสัจธรรมของชีวิตแล้วจึงทอดผ้าบังสุกุล จากนั้นเจ้าภาพจึงจะเชิญแขกผู้ร่วมงานนำดอกไม้จันทน์และธูปเทียนสำหรับขอขมาศพขึ้นเมรุเพื่อประชุมเพลิง โดยนำดอกไม้จันทน์วางไว้ที่ใต้เชิงตะกอนสำหรับจุดไฟ หรือวางหน้าพานศพ อาจไหว้เคารพหรือกล่าวขอขมาในใจก่อนแล้วค่อยวางดอกไม้จันทน์และธูปเทียนลงแล้วจึงเดินลงบันไดอีกข้างหนึ่ง เพราะหากเดินย้อนกลับไปทางขึ้นจะทำให้ขวางทางเดินของผู้อื่น หลังพิธีฌาปนกิจ หลังเสร็จสิ้นพิธีฌาปนกิจแล้ว เจ้าภาพ ลูกหลาน หรือเครือญาติของผู้ล่วงลับสามารถเก็บอัฐิได้หลังจากเผาศพในวันนั้นเลย หรือจะทำในเช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้ค่ะ โดยเจ้าภาพจะนิมนต์พระสงฆ์มาพิจารณา “บังสุกุลอัฐิ” หรือที่เรียกว่า “แปรรูป” หรือ “แปรธาตุ” เมื่อทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพจะเก็บอัฐิใส่โกศ โดยเลือกเก็บอัฐิจากร่างกายทั้ง ๖ แห่ง คือ กะโหลกศีรษะ ๑ ชิ้น, แขนทั้งสอง, ขาทั้งสอง และซี่โครงหน้าอก ๑ ชิ้น ส่วนอัฐิที่เหลือ รวมทั้งขี้เถ้าจากการเผาศพจะนำไปทำ “พิธีลอยอังคาร” ๗. การเก็บอัฐิ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีฌาปนกิจของพิธีงานศพไทยแล้วก็มาถึงขั้นตอน “การเก็บอัฐิ” ซึ่งเจ้าภาพอาจจะทำพิธีเก็บอัฐิหลังจากเผาศพ เพื่อรวบรัดขั้นตอนให้เสร็จภายในวันนั้นเลย หรือจะทำในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยพิธีนี้จะเริ่มจากนิมนต์พระสงฆ์มาพิจารณา “บังสุกุลอัฐิ” หรือที่เรียกกันว่า “แปรรูป / แปรธาตุ” ที่มีลักษณะเป็นการนำอัฐิของผู้ล่วงลับที่เผาแล้วมาวางเป็นรูปร่างคน เมื่อทำพิธีเก็บอัฐิเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพจึงจะเก็บอัฐิใส่โกศด้วยการเลือกเก็บอัฐิจากร่างกายทั้ง ๖ แห่ง ได้แก่ กะโหลกศีรษะ ๑ ชิ้น, แขนทั้งสอง, ขาทั้งสอง และซี่โครงหน้าอก ๑ชิ้น ส่วนอัฐิที่เหลือ รวมไปถึงขี้เถ้านั้นจะนำไปลอยอังคาร ๘. การลอยอังคาร “พิธีลอยอังคาร” นี้ถือเป็นขั้นตอนที่ผู้ยังมีชีวิตจะกระทำให้กับผู้ล่วงลับเป็นครั้งสุดท้าย สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับคตินิยมมาจากประเทศอินเดีย เนื่องจากคนอินเดียถือว่าแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์และชำระบาปได้ จึงนิยมนำเผาศพที่ริมแม่น้ำคงคา เพื่อจะได้นำกระดูกและเถ้าถ่านทิ้งลงแม่น้ำแห่งนี้ แต่ถ้าหากไม่ได้สัมผัสกับน้ำในแม่น้ำคงคาก็จะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ หรือไม่หมดบาป แต่สำหรับประเทศไทยนั้นได้รับเอาวัฒนธรรมของพิธีนี้มาจากทั้งสองทางนั่นคือศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ซึ่งพิธีการลอยอังคารนี้จะเป็นการนำเถ้าถ่านที่เหลือจากการเผาศพไปลอยในน้ำ ส่วนมากจะนิยมนำไปลอยในแม่น้ำหรือทะเล สาเหตุที่คนส่วนใหญ่นิยมลอยอังคารฌาปนกิจศพแล้ว เพราะเชื่อกันว่าจะเป็นการส่งดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับไปสู่สุคติหรือภพภูมิที่ดี มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข เปรียบเสมือนสายน้ำที่มีความชุ่มเย็น ขั้นตอนการปฏิบัติของพิธีลอยอังคาร พิธีลอยอังคารมีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้คือ… ๑. บูชาแม่ย่านางเรือ คณะญาติมิตรของผู้ล่วงลับนำอังคาร (เถ้าถ่านของศพที่เผาแล้ว) ไปสู่ท่าเทียบเรือ จากนั้นพิธีกรนำประธานในพิธี หรือญาติอาวุโสลงเรือก่อน ส่วนคนอื่น ๆ ให้รอบนท่าเทียบเรือ เมื่อประธานในพิธีลงเรือแล้วจึงนำดอกไม้สดและธูปเทียนที่ใส่รวมไว้ในพานจุดบูชาแม่ย่านางที่หัวเรือ เพื่อกล่าวบูชาและขออนุญาตแม่ย่านางเรือ โดยประธานกล่าวเองหรือพิธีกรกล่าวนำ เมื่อทำพิธีบูชาแม่ย่านางเรือเสร็จแล้ว คณะญาติมิตรของผู้ล่วงลับจึงนำอังคารลงเรือและออกเรือไปยังจุดที่จะลอยอังคาร ๒. ไหว้อังคารบนเรือก่อนทำพิธีลอยน้ำ เมื่อเรือแล่นมาถึงจุดที่จะทำพิธีลอยอังคารแล้วให้หยุดเรือลอยลำ จากนั้นพิธีกรจึงเปิดลุ้ง/ภาชนะดินปั้นที่ใส่อังคารเพื่อจัดเครื่องไหว้ให้ประธานในพิธี ประธานจุดธูปเทียนไหว้อังคารและสรงด้วยน้ำอบไทย โรยดอกมะลิ กลีบกุหลาบ และดอกไม้อื่น ๆ เมื่อทุกคนไหว้อังคารเสร็จแล้ว พิธีกรจึงห่อลุ้งอังคารด้วยผ้าขาวที่มีขนาดความยาวและกว้างประมาณครึ่งเมตรแล้วรวบด้วยสายสิญจน์ทำเป็นจุกข้างบนและสอดพวงมาลัยเข้าไป และแจกดอกกุหลาบให้กับคณะญาติมิตรคนละ ๑ ดอก ๓. บูชาเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดร พิธีกรจัดเครื่องบูชาเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดรให้แก่ประธาน จากนั้นประธานจึงจุดเทียน ๑ เล่ม และธูป ๗ ดอกที่กระทงดอกไม้ ๗ สี แล้วจึงกล่าวบูชาและฝากอังคารกับเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดรค่ะ ๔. เริ่มพิธีลอยอังคาร เมื่อประธานหรือพิธีกรกล่าวบูชา/กล่าวฝากอังคารกับเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดรเสร็จแล้ว พิธีกรจึงเชิญทุกคนยืนไว้อาลัยประมาณ ๑ นาที จากนั้นประธานจึงโยนเหรียญลงทะเล เพื่อซื้อที่ตามธรรมเนียมแล้วลงบันไดเรือทางกาบซ้าย เพื่อลอยกระทงดอกไม้เจ็ดสี โดยใช้มือประคองค่อย ๆ วางบนผิวน้ำแล้วจึงอุ้มประคองลุ้งอังคารค่อย ๆ วางบนผิวน้ำ โดยให้ผู้ร่วมพิธีทุกคนถือสายสิญจน์ไปด้วย แต่หากกาบเรืออยู่สูงจากผิวน้ำมากเกินไปและไม่มีบันไดลงเรือ ให้ใช้สายสิญจน์ทำเป็นสาแหรก ๔ สาย โดยใส่กระทงดอกไม้เจ็ดสี ๑ สาแหรก และใส่ห่อลุ้งอังคาร 1 สาแหรก ค่อยๆ หย่อนลงไปบนผิวน้ำ (ห้ามโยนลงไปเด็ดขาดค่ะ) และเมื่อห่อลุ้งอังคารลงสู่ผิวน้ำแล้วให้โรยกลีบกุหลาบ ธูปเทียนตามลงไป รวมไปถึงสิ่งของที่เหลือจากการไหว้บูชา ทั้งหมดก็ให้โรยตามลงไปด้วย จากนั้นก็ให้แล่นเรือวนซ้ายทั้งหมด ๓ รอบ เป็นอันเสร็จพิธี ๙. การทำบุญครบรอบวันตายของผู้ล่วงลับ ในการจัดพิธีงานศพไทย “พิธีทำบุญครอบรอบวันตาย” ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะเป็นการทำบุญครั้งใหญ่ที่ญาติของผู้ล่วงลับพึงจะกระทำ เพื่อให้วิญญาณของผู้ล่วงลับได้รับผลบุญและไปสู่สุคติภูมิ ส่วนมากมักจะนิยมทำบุญครบรอบ ๗ วัน, ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วัน เพื่อผู้เสียชีวิตจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลและเดินทางไปสู่สุคติภูมิ โดยเจ้าภาพและญาติของผู้ล่วงลับจะมีการจัดพิธีทำบุญครบรอบวันตายด้วยการนิมนต์พระสงฆ์ ๕ รูป, ๗ รูป หรือ ๙ รูป เพื่อสวดเจริญพระพุทธมนต์ และเลี้ยงอาหารพระตอนเช้าหรือตอนเพล (เวลาประมาณ ๑๑ โมง – ไม่เกินเที่ยง) ระหว่างนี้เจ้าภาพหรือญาติของผู้เสียชีวิตสามารถจัดให้มีการจัดแสดงธรรมเทศนาด้วยก็ได้ วิธีนับวันเสียชีวิตของผู้ล่วงลับ เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลนั้นจะเริ่มนับตั้งแต่วันเสียชีวิตเป็นวันที่ ๑ เช่น ถ้าเสียชีวิตวันจันทร์ ก็จะนับวันจันทร์เป็นวันที่ ๑ และนับวันอื่นไปเรื่อย ๆ จนถึงวันอาทิตย์เป็นวันที่ ๗ ดังนั้นการทำบุญครบรอบ ๗ วันของผู้ล่วงลับจึงต้องกำหนดเป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ หรือบางความเชื่ออาจถือเอาวันที่ ๘ เป็นวันทำบุญครบรอบ ๗ วัน โดยพิธีทำบุญครบรอบวันตายของผู้ล่วงลับในช่วง ๗ วัน, ๕๐ วัน และ ๑๐๐วันนั้นมีความสำคัญที่แตกต่างกันดังนี้ – การทำบุญครบรอบ ๗ วัน คือ ช่วงที่ผู้ล่วงลับยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ สามารถทำบุญได้ในขณะตั้งบำเพ็ญสวดอภิธรรมที่วัด- การทำบุญครบรอบ ๗ วัน คือ ช่วงที่ผู้ล่วงลับยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ สามารถทำบุญได้ในขณะตั้งบำเพ็ญสวดอภิธรรมที่วัด – การทำบุญครบรอบ ๕๐ วัน คือ ช่วงที่ผู้ล่วงลับกำลังรอคอยการพิพากษาจากพญายมราชในยมโลก สามารถทำได้ด้วยการนิมนต์พระมาสวดธรรมนิยามที่ผู้ล่วงลับเคยอาศัยอยู่ – การทำบุญครบรอบ ๑๐๐ วัน คือ ช่วงระหว่าง 50 วัน – 100 วัน คือ ช่วงที่ได้รับการพิพากษาว่าจะส่งไปเกิดเป็นอะไร เช่น ไปรับโทษในนรก, เกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน, เกิดเป็นมนุษย์, เกิดเป็นเทวดา นางฟ้า เป็นต้น พิธีงานศพในศาสนาต่าง ๆ พิธีงานศพในศาสนาต่าง ๆ นั้นถือเป็นพิธีกรรมหลังความตายที่บุคคลในครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหายพึงกระทำให้แก่ผู้วายชนม์เป็นครั้งสุดท้าย โดยในประเทศไทยนั้นมีความเชื่อและขั้นตอนการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปในแต่ละศาสนา ได้แก่ พิธีศพแบบชาวพุทธ, พิธีศพแบบคริสต์ศาสนา และพิธีศพของศาสนาอิสลาม 1. พิธีงานศพแบบชาวพุทธ “พิธีงานศพแบบชาวพุทธ” ถือเป็นพิธีกรรมที่ชาวไทยพุทธรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดีเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งชาวไทยพุทธมีความเชื่อเกี่ยวกับความตายว่าเป็นการดับของขันธ์ 5 อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับ “การเวียนว่ายตายเกิด” ทำให้ชาวไทยพุทธเน้นไปที่การประกอบพิธีกรรมมากกว่า เพราะเชื่อว่าการจัดพิธีงานศพให้แก่ผู้วายชนม์นั้นจะช่วยให้วิญญาณของผู้ล่วงลับไปสู่สุคติภูมิค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นการจัดพิธีงานศพอย่างพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีสวดอภิธรรมศพเป็นเวลาหลายวันเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยประคับประคองและเยียวยาความรู้สึกของบุคคลในครอบครัวหรือญาติสนิทมิตรสหายที่ยังมีชีวิตอยู่ให้คลายความโศกเศร้าจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักลงได้บ้าง และยังทำให้ได้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสังขารอีกด้วยค่ะ ส่วนขั้นตอนการประกอบพิธีงานศพแบบชาวไทยพุทธแบ่งออกเป็น ๔ ขั้นตอนใหญ่ ๆ ได้แก่ ขั้นตอนการอาบน้ำศพ, ขั้นตอนการบำเพ็ญกุศลและการสวดอภิธรรมศพ, ขั้นตอนการฌาปนกิจ และขั้นตอนการเก็บอัฐิ ซึ่งแต่ละขั้นตอนของพิธีงานศพล้วนแต่แฝงสัจธรรมแห่งชีวิต ๒. พิธีงานศพแบบคริสต์ศาสนา “พิธีงานศพแบบคริสต์ศาสนา” ชาวคริสต์มีความเชื่อเกี่ยวกับความตายในแต่ละนิกายที่แตกต่างกันไปค่ะ อย่างเช่น นิกายคาทอลิกเชื่อว่าเป็นภาวะที่ร่างกายและวิญญาณแยกออกจากกัน เมื่อเสียชีวิต ร่างกายที่เป็นสสารจะกลายเป็นธุลีตามเดิม ขณะที่วิญญาณที่แยกออกจากร่างกายจะถูกนำไปพิพากษาตามบาปบุญ ส่วนนิกายโปรเตสแตนต์เชื่อว่าเมื่อมนุษย์สิ้นชีวิตลงจะได้กลับไปมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ นั่นคือกลับไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์อันเป็นที่อยู่อย่างถาวร ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ผู้ที่มีความเชื่อและศรัทธาในพระองค์ สำหรับขั้นตอนในการจัดพิธีงานศพแบบคริสต์ศาสนามี ๔ ขั้นตอนด้วยกันคือ ขั้นตอนการสวดศพทางคริสต์ศาสนา, ขั้นตอนการนำร่างผู้เสียชีวิตลงโลงศพ, ขั้นตอนพิธีมิสสา และขั้นตอนพิธีฝังศพที่สุสาน ๓. พิธีงานศพแบบศาสนาอิสลาม สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับ “ความตาย” นั้น ชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นการกลับสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าหรือพระอัลเลาะฮ์ ซึ่งเรียกว่า “อายัล” ดังนั้นจึงถือว่าไม่ใช่การดับสูญหรือการสูญเสีย แต่เป็นการเคลื่อนย้ายสถานที่จากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง นอกจากนั้นยังถือว่าเนื้อแท้ของมนุษย์เป็นเพียง “วิญญาณ (รูห์)” ที่ยังคงสภาพอยู่ ไม่ใช่เรือนร่างอันเป็นวัตถุ และเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนย้ายไปสู่ชีวิตใหม่อีกด้วยค่ะ สำหรับขั้นตอนของ “พิธีงานศพแบบอิสลาม” มีขั้นตอนคร่าว ๆ ดังนี้คือ เมื่อมีผู้ล่วงลับ ชาวมุสลิมจะทำหน้าที่ในการอาบน้ำทำความสะอาดศพและห่อผ้าขาว พร้อมสวดวิงวอนอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ และนำไปฝังที่สุสานหรือ “กุโบร์” ภายใน 24 ชั่วโมง หรือฝังให้เร็วที่สุด โดยฝังในท่านอนตะแคงส่วนศีรษะและใบหน้าหันไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่ตั้งของวิหารกะบะฮ์ที่ตั้งอยู่ในนครเมกกะ อาหารในงานศพ ในการเลี้ยงอาหารของเเขกผู้มาร่วมงานศพ ซึ่งถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นการขอบคุณและให้เกียตริ การมาร่วมงานศพ ซึ่งแขกบางท่านก็มาช่วยงานตั้งเเต่เช้า และมาร่วมพิธีการตลอดจนเย็นก็มี และที่สำคัญอาหารจะแบ่งเป็นสองประเภท ไม่ว่าจะเป็น อาหารคาวหมู , เนื้อ , แกง , ผัด ต่างๆ จัดเตรียมตามศาสนาที่นับถือ ซึ่งอาหารบางอย่างก็เคร่งครัด และมีอาหารหวาน เช่น โอวัลติน , ไมโล , น้ำเต้าหู้ , น้ำส้ม , ลอดช่อง , เฉาก๊วย ไอศครีม หรือสั่งมาในชุดขนม เป็นต้น แต่ในปัจจุบันมีความสะดวกสบายมากขึ้น เนื่องจากมีการจัดใส่กล่องเป็นรูปแบบที่พกพาง่าย ซึ่งมีการสั่งทำจากร้านข้างนอกมานั้นเอง มีข้อดีโดยที่เจ้าภาพไม่ต้องจัดเตรียมสิ่งของที่จะต้องให้แม่ครัวทำอาหารให้ยุ่งยาก และมีข้อเสียก็คือมีราคาแพง หากเมื่อเทียบกับการซื้อของมาทำเองนั้นจะถูกกว่า คิดดูว่าจัดงานศพ ๓ วัน ๕ วัน ๗วัน นั้นจะตกอยู่ที่เท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ และอาหารในงานศพ หลักๆที่นิยมทำกันมากที่สุดนั้นก็คือ ข้าวต้ม ไม่ว่าจะ ข้าวต้มหมู ข้าวต้มปลา ข้าวต้มไก่ ข้าวต้มกุ้ง และรองลงมานั้นก็คือ กระเพาะปลา และที่สำคัญตามหลักความเชื่อของคนโบราณที่จัดงานมงคล พิธีการจัดงานศพ หรือประเพณีงานศพ นั้น จะไม่นิยมทำอาหารที่เป็นเส้นต่างๆ เนื่องจากเชื่อกันว่าจะทำให้ผู้ตาย และญาติที่อยู่หลังไม่ยอมตัดขาดจากกัน หรือยังมีสายใยต่อกัน จนอาจส่งให้วิญญาณไม่ยอมไปเกิดใหม่เพราะยังผูกพันธ์กับครอบครัวเก่าอยู่นั่นเอง เเต่ในสมัยนี้บางเจ้าภาพบางท่านก็ไม่เคร่งครัดเหมือนเมื่อก่อนเเล้ว เพราะอาจจะมีปัจจัยหลายๆอย่างที่ทำให้ไม่เหมือนสมัยก่อนนั้น และก็คงถือได้ว่าเเล้วเเต่ความเชื่อส่วนตัวของบุคคล การจัดอาหารงานศพนั้นเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทางเจ้าภาพต้องใส่ใจ และให้ความสำคัญ เนื่องจากอาหารที่เลี้ยงในงานศพนั้นเปรียบเสมือนการให้เกียรติผู้ตาย และยังเป็นเสมือนการที่ผู้ตายได้ดูแลผู้ที่มาร่วมงานเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งวิธีการจัดอาหารงานศพก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นถิ่น รวมถึงมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละศาสนา ซึ่งในบทความนี้จะมาแนะนำถึงวิธีการจัดอาหารงานศพที่ถูกต้องเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่มาร่วมงาน วัฒนธรรมการจัดอาหารงานศพสำหรับชาวพุทธในประเทศไทยนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ โดยอาหารงานศพที่จัดเลี้ยงในพิธีสวดพระอภิธรรมนั้นจะเป็นการจัดอาหารเบาๆ ซึ่งจะเป็นอาหารคาว หรืออาหารหวานก็ได้ เนื่องจากเป็นการสวดในช่วงเย็น หรือหัวค่ำ ซึ่งผู้ที่มาร่วมงานส่วนมากจะยังไม่ได้ทานอาหารเย็น เจ้าภาพจึงจำเป็นที่จะต้องจัดอาหารสำหรับรับรองผู้ที่มาร่วมงานให้มีอาหารรองท้องไม่เกิดความหิวเพราะว่ายังไม่ได้ทานข้าวมื้อเย็น
ที่มา https://www.wreathmala.com https://www.panthachok.co.th/article/9130/