31 มีนาคม, 2567

ประเพณีทอดผ้าป่า

ความเป็นมาของประเพณีทอดผ้าป่า ทอดผ้าป่าเป็นประเพณีและเป็นมรดกตกทอดมาแต่สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับผ้าจีวรจากคฤหัสถ์ ให้ใช้แต่ผ้าบังสุกุล (ผ้าเปื้อนฝุ่น)เท่านั้น ชาวบ้านมักเรียกว่า ผ้าป่า เนื่องจากเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของ ทิ้งอยู่ตามที่ต่างๆ ตามกองขยะ หรือพันห่อศพไว้และต้องนำมาซัก เย็บ ย้อมเป็นสบง จีวรหรือสังฆาฏิ ให้เสร็จภายในระยะเวลา ๑๐ วัน ถ้าเกินกำหนดต้องสละผ้านับเป็นความยากลำบากแก่ภิกษุสงฆ์อย่างยิ่ง นอกจากนี้ผ้าห่อศพมักจะหาได้ยากเพราะเป็นศพคนจน ผ้าที่จะพันห่อศพก็ไม่ค่อยมี ชาวบ้านที่มีผ้าป่าสามัคคีศรัทธาเห็นความยากลำบากของพระภิกษุจึงหาทางช่วย โดยนำผ้าไปทิ้งไว้ตามทางที่พระท่านเดินผ่านไปมาเป็นประจำ หรือทิ้งตามกองขยะ หรือนำไปห่อศพไว้ เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้พระภิกษุจะไม่ยอมรับผ้านั้น จึงมีผู้นิยมทำตามกันมาจนเป็นประเพณี จนกระทั่งพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุรับจีวรจากคฤหัสถ์ได้ แต่ยังทรงสรรเสริญพระสงฆ์ผู้ถือผ้าบังสุกุลอยู่ ทำให้พระภิกษุทั้งหลายประสงค์จะรับผ้าบังสุกุลจีวรอีก การทำจีวรของพระภิกษุในสมัยพุทธกาลจึงค่อนข้างลำบากยุ่งยากและเป็นงานใหญ่ ภิกษุทั้งหลายจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันอย่างมาก เมื่อชาวบ้านทั้งหลายเห้นความยากลำบากของพระภิกษุสงฆ์ จึงต้องการนำผ้ามาถวาย แต่เมื่อยังไม่มีพุทธานุญาติโดยตรง จึงนำผ้าไปทอดทิ้งไว้ ณ ที่ต่างๆ เช่น ในป่า ตามป่าช้า หรือข้างทางเดิน เมื่อพระภิกษุสงฆ์มาพบ เห็นว่าเป็นผ้าที่ผู้เป็นเจ้าของทอดอาลัยแล้วคือ ไม่ต้องการ ก็จำนำผ้านั้นมาทำเป็นสบง จีวร พิธีการทอดผ้าป่าจึงมีขึ้นด้วยสาเหตุนี้ การทอดผ้าป่าจึงยังคงมีอยู่และเป็นมรดกตกทอดกันมาทุกวันนี้ แต่ได้เปลี่ยนแปลงไปดังที่เห็นในปัจจุบัน แม้จะมีผ้าไตรสำเร็จรูปขาย และชาวบ้านไม่ได้นำไปทิ้งไว้ตามป่าตามทางดังในสมัยพุทธกาล แต่ยังคงธรรมเนียมไว้บ้างโดยการนำกิ่งไม้มาปักในกระถางหรือภาชนะอื่น แล้วนำผ้าที่จะถวายผูกแขวนไว้ บางทีก็ทำเป็นโครงรูปต่างๆ ภายในใส่เครื่องบริขารหรือสิ่งที่ต้องการจะถวายพระ เช่น ทำเป็นรูปผี รูปศพต่างๆ เป็นต้น ฤดูกาลของการทอดผ้าป่าไม่ได้กำหนดระยะเวลาลงไปจะทอดในฤดูไหน เดือนไหน สุดแต่ชาวบ้านจะศรัทธาเลื่อมใส ส่วนใหญ่มักจะทำในระยะจวนจะออกพรรษาหรือช่วงออกพรรษาแล้ว อีกอย่างหนึ่งนิยมทำรวมกันกับขบวนกฐิน คือ เมื่อทอดกฐินเสร็จแล้วก็ทอดผ้าป่าหรือทอดตามรายทางเป็นหลายสิบวัดก็ได้ วิธีการทอดผ้าป่านั้น เมื่อนำผ้าป่าไปถึงวัดแล้ว พึงตั้งใจถวายโดยไม่เฉพาะเจาะจง วางของไว้จะจุดธูปเทียนหรือไม่ก็ได้ ส่งอาณัติสัญญาณให้พระท่านรู้ว่ามีผ้าป่า หรือจะทำพิธีเงียบๆ เจ้าภาพจะรอดูจนกว่าพระท่านมาชักผ้าป่าหรือไม่ก็ได้ พึงถวายผ้าป่าโดยกล่าวคำถวาย ดังนี้ “อิมานิ มยํ ภนฺเต ปํสุกูลจีวรานิ สปฺปริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม สาธุโน ภนฺเต ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ ปํสุกูลจีวรานิ ปฏิคฺคณหาตุ อมหากํ ทีฆรตตํ หิตาย สุขาย.” แปลว่า “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าบังสุกุลจีวร กับทั้งเครื่องอันเป็นบริวารเหล่านี้เเก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าบังสุกุลจีวรกับทั้งเครื่องอันเป็นบริวารเหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลายเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสิ้นกาลนาน เทอญฯ” อย่างไรก็ตามการถวายผ้าป่าโดยมากมักจะมีผ้าสำหรับพระสงฆ์อยู่ด้วยผืนหนึ่งหรือมากกว่า บางครั้งจะเห็นมีแต่เครื่องบริขารซึ่งมักมีผ้าเช็ดหน้าทำเป็นรูปชะนีแขวนอยู่ด้วย คงจะให้มีลักษณะเป็นป่า แต่เมื่อนำไปทอดมักจะหาซื้อผ้าสำหรับพระสงฆ์ด้วยเสมอ ผ้าป่ามีหลายชนิด มักเรียกตามลักษณะของผ้าป่า เช่น ผ้าป่าหางกฐิน คือ การทอดผ้าป่าหลังทอดกฐิน ผ้าป่าสามัคคี ร่วมกันเป็นหมู่คณะ หรือทำขึ้นเพื่อรวมทุนจัดสร้างถาวรวัตถุในวัด ผ้าป่าโยง มีเจ้าภาพเดียว หรือหลายเจ้าภาพ ส่วนมากบรรทุกเรือแห่ไปทางนํ้าทอดตามวัดวาอารามต่างๆ เป็นต้น ในปัจจุบันงานศพบางแห่งนิยมถวายผ้าบังสุกุลวางไว้บนหีบศพ พระสงฆ์ขึ้นมาสวดคำบาลีสั้นๆ แล้วชักผ้าไป กรรมวิธีนี้เรียกว่า ชักผ้าบังสุกุลหรือชักผ้าป่า จัดรวมเข้าในการทอดผ้าป่าตามปรกติ มีวิธีการทอดผ้าป่าที่พิเศษอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า ทอดผ้าป่าผีตาย คือ แทนที่จะเอาผ้าไตรวางไว้บนหีบศพ แต่กลับให้ศพเป็นผู้ถือผ้าไตร โดยวิธีเอาศพผูกไว้กับกระดานหก แล้วนิมนต์พระมาเหยียบกระดานหก ศพก็จะยืนขึ้นหรือลุกขึ้นนั่งก็แล้วแต่การจัดศพให้นั่งหรือยืน พระสงฆ์จะรับผ้าจากมือศพ กรรมวิธีนี้ต้องทำในป่าช้าและต้องให้พระเข้าไปรับผ้าไตรทีละรูป ส่วนญาติพี่น้องดูอยู่ห่างๆ เพื่อป้องกันคนมาขโมยผ้าไปเท่านั้น ดูน่ากลัวอยู่สักหน่อย บางแห่งไม่ใช้ศพจริงๆ แต่ทำเป็นรูปร่างให้เหมือนศพจริงๆ ซึ่งก็น่ากลัวเช่นกัน การทอดผ้าป่าแบบนี้ถือว่าได้บุญกุศลมากทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามการทอดผ้าป่าแบบผีตายนี้ถูกยกเลิกไป เนื่องจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงห้ามเพราะมีคนกลั่นแกล้งพระทำให้ตกใจสุดขีดจนถึงมรณภาพ ในปัจจุบันการทอดผ้าป่ามักจะเป็นการชักชวนกันเพื่อรวบรวมทุนทรัพย์สร้างสิ่งต่างๆ ได้แก่ ถาวรวัตถุในวัด ถนน โรงเรียน โรงพยาบาล และอื่นๆ เสียมากกว่า การทอดผ้าป่า คือ ประเพณีบุญของชาวไทยพุทธที่มีความสำคัญและสืบทอดกันมายาวนาน เป็นการทำบุญใหญ่ ที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านทั่วไปได้ร่วมบริจาคสิ่งของ เครื่องใช้ และจตุปัจจัย เพื่อเสริมสร้างความเป็นอยู่ของพระภิกษุสงฆ์และพัฒนาวัดวาอาราม มาทำความรู้จักความหมาย กำหนดเวลา รวมถึงประโยชน์ของการทอดผ้าป่ากันให้มากขึ้น ทอดผ้าป่าเป็นการทำบุญรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับการทอดกฐิน คือ การนำผ้าไตรจีวรหรือสิ่งของจำเป็นไปถวายวัด แต่พิธีทอดผ้าป่านั้นเรียบง่ายกว่า และสามารถจัดได้โดยไม่จำกัดฤดูกาลหรือจำนวนครั้งต่อปี คำว่า “ป่า” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงป่าไม้ แต่หมายถึงการนำจีวรไปวางพาดไว้บนกิ่งไม้เพื่อให้พระสงฆ์มาหยิบไปใช้ตามอัธยาศัยนั่นเอง ประเพณีทอดผ้าป่านิยมจัดขึ้นตลอดทั้งปี ไม่ได้จำกัดอยู่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเหมือนกับการทอดกฐิน วัดต่างๆ สามารถจัดพิธีทอดผ้าป่าได้หลายครั้งตามความเหมาะสม เนื่องจากเป็นการทำบุญที่เปิดกว้างให้พุทธศาสนิกชนทั่วไปได้มีส่วนร่วมได้อย่างง่ายดายนั่นเอง ความสำคัญและวัตถุประสงค์ของการทอดผ้าป่า ส่งเสริมพระพุทธศาสนา: การร่วมทอดผ้าป่าช่วยถวายสิ่งจำเป็นและสนับสนุนกิจของสงฆ์ ทำให้พุทธศาสนาสืบสานและเจริญรุ่งเรืองต่อไป พัฒนาวัด: รายได้จากการทอดผ้าป่ามักนำไปสร้างหรือบูรณะพัฒนาสิ่งก่อสร้างในวัดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พระสงฆ์และชุมชน สร้างความสมัครสมาน: เป็นโอกาสให้คนในชุมชนได้ร่วมทำบุญ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมวัด สร้างความสามัคคีและความเข้มแข็ง ประเภทของการทอดผ้าป่า ผ้าป่าสามัคคี: รูปแบบยอดนิยมที่มีการเชิญชวนทำบุญจากทั่วทุกสารทิศ กองผ้าป่าแต่ละกองนำมารวมเป็นกองใหญ่ จัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่เข้าสู่วัด ผ้าป่าหางกฐิน: พิธีที่ต่อเนื่องมาจากการทอดกฐิน คือหลังเสร็จสิ้นพิธีทอดกฐินแล้วจะมีการทอดผ้าป่าตามมาด้วย วิธีร่วมบุญทอดผ้าป่าอย่างถูกต้อง ทำจิตใจให้ผ่องใส: การทำบุญควรเริ่มจากเจตนาบริสุทธิ์ มีความเลื่อมใสและศรัทธาในการทำความดี เตรียมปัจจัยหรือสิ่งของ: ร่วมบริจาคปัจจัย หรือสิ่งของต่างๆ ตามความศรัทธา ที่สำคัญคือควรเป็นของใหม่และอยู่ในสภาพที่ดี เข้าร่วมพิธีที่วัด: ในวันงานบุญผ้าป่า จะมีพิธีถวายผ้าป่า และกิจกรรมทำบุญร่วมกันที่วัด อานิสงส์ของการทอดผ้าป่า อานิสงส์ของการทอดผ้าป่า มีมากมาย ดังนี้ 1. ส่งเสริมความสามัคคี การทอดผ้าป่าเป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนในชุมชน เป็นการกระตุ้นให้คนในชุมชนได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 2. สืบสานประเพณีไทย การทอดผ้าป่าเป็นประเพณีไทยที่สืบทอดมายาวนาน เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และช่วยรักษาประเพณีอันดีงามของไทยไว้ให้คงอยู่ 3. บุญกุศลสูง การทอดผ้าป่าเป็นการทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นผู้ทรงศีล เป็นการทำบุญที่ได้อานิสงส์มาก 4. ช่วยให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง เชื่อกันว่าการทอดผ้าป่าจะช่วยให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีโภคทรัพย์สมบัติอุดมสมบูรณ์ 5. ส่งผลดีต่อภพชาติหน้า เชื่อกันว่าการทอดผ้าป่าจะส่งผลดีต่อภพชาติหน้า ช่วยให้เกิดในภพภูมิที่ดี มีความสุข สรุป การทอดผ้าป่าถือเป็นประเพณีที่สะท้อนความศรัทธาของชาวพุทธไทยที่มีต่อพระพุทธศาสนา รวมถึงเป็นการปลูกฝังค่านิยมในการทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อีกทั้งยังเป็นวัฒนธรรมประเพณีไทยสร้างความสามัคคีในชุมชนอีกด้วย การทอดผ้าป่ามีอยู่อย่างเดียว คือ การนำผ้าไปทิ้งไว้ดังที่กล่าวมา แต่ในปัจจุบันนิยมทำกันในรูปแบบต่างๆ แตกต่างกันไป จึงมีชื่อเรียกเป็น 3 อย่าง คือ 1.ผ้าป่าหางกฐิน หรือผ้าป่าแถมกฐิน ผ้าป่าหางกฐิน ได้แก่ ผ้าป่าชนิดที่เจ้าภาพจัดให้มีขึ้นต่อจากการทอดกฐิน คือเมื่อทำพิธีทอดกฐินเสร็จแล้ว ก็ให้มีการทอดผ้าป่าด้วยเลย จึงเรียกว่า ผ้าป่าหางกฐิน หรือผ้าป่าแถมกฐิน 2.ผ้าป่าโยง ผ้าป่าโยง ได้แก่ ผ้าป่าที่จัดทำรวมๆกันหลายกอง นำบรรทุกเรือแห่ไปทอดกันตามวัดต่างๆที่อยู่ริมแม่น้ำ จึงเรียกว่า ผ้าป่าโยง จะมีเจ้าภาพเดียวหรือหลายเจ้าภาพก็ได้ 3.ผ้าป่าสามัคคี ซึ่งในแต่ละชนิดมีรายละเอียดดังนี้ ผ้าป่าสามัคคี คือ ผ้าป่าที่มีการแจกฎีกาบอกบุญไปตามบุคคล สถานที่ต่างๆ ให้ร่วมกันทำบุญแล้วแต่ศรัทธา โดยจัดเป็นกองผ้าป่ามารวมกัน จะเป็นกี่กองก็ได้ เมื่อถึงวันทอดจะมีขบวนแห่ผ้าป่ามารวมกันที่วัดอย่างสนุกสนาน บางทีจุดประสงค์ก็เพื่อร่วมกันหาเงินเพื่อนำไปสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ในปัจจุบันการจัดทำการทอดผ้าป่าชนิดนี้จะเห็นว่าเป็นที่นิยมทำกันมาก เพื่อรวมเงินสร้างสิ่งก่อสร้าง หรือจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น อาคารที่พักคนป่วยในโรงพยาบาล อาคารเรียน อุปกรณ์ทางการศึกษา อุปกรณ์ทางการแพทย์
ที่มา:กรมศิลปากร https://www.silpathai.net

26 มีนาคม, 2567

ประเพณีสงกรานต์

ความเป็นมาของวันสงกรานต์
วันสงกรานต์ ถือเป็นประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาแต่โบราณ เป็นประเพณีที่งดงาม อ่อนโยน เอื้ออาทร และเต็มไปด้วยบรรยากาศของความกตัญญู ความสนุกสนาน ความอบอุ่น และการให้เกียรติเคารพซึ่งกันและกัน สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของความเป็นไทยได้อย่างเด่นชัด โดยใช้น้ำเป็นสื่อในการเชื่อมสัมพันธไมตรี ปัจจุบันแม้ไทยเราจะนับวันที่ 1 มกราคมของทุกปี เป็นวันขึ้นปีใหม่แบบสากลนิยม แต่ในอดีต ประเทศสยามใช้วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ทางการจนกระทั่ง พ.ศ. 2431 จึงประกาศให้วันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 เมษายน จากนั้นใน พ.ศ. 2484 จึงเปลี่ยนเป็น 1 มกราคม ในขณะที่วันสงกรานต์กลายเป็นเทศกาลทั่วประเทศแต่ลักษณะพิเศษและกิจกรรมที่คนในชุมชนได้ถือปฏิบัติสืบเนื่องมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญทำทาน การอุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ การสรงน้ำพระ การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ การเล่นสาดน้ำ และการละเล่นรื่นเริงต่าง ๆ ล้วนทำให้ชาวไทยส่วนใหญ่ยังถือประเพณีสงกรานต์เป็นปีใหม่แบบไทย ๆ ที่เทศกาลแห่งความเอื้ออาทร เกื้อกูลผูกพันซึ่งกันและกัน และยูเนสโก (UNESCO) ยกให้ประเพณีวันสงกรานต์ในไทยขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโลก เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ช่วงเทศกาลสงกรานต์จะตรงกับวันที่ 13, 14 และ 15 เมษายนของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ อย่างไรก็ตาม ประกาศสงกรานต์อย่างเป็นทางการจะคำนวณตามหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งแต่โบราณมา กำหนดให้วันแรกของเทศกาลเป็นวันที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา" (ภาษาเขมร แปลว่า "อยู่ ") และวันสุดท้าย เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า "วันเถลิงศก" ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการต่อเนื่องกัน เพื่อให้ประชาชนที่ทำงานในต่างท้องที่ได้กลับไปยังถิ่นฐานของตน เพื่อไปร่วมทำบุญ เยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ บุพการี และเล่นสนุกสนานกับครอบครัว เพื่อนฝูง ประเพณีสงกรานต์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ และเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่งดงามฝังลึกอยู่ในชีวิตของคนคำว่า "สงกรานต์" มาจากภาษาสันสฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้าย หมายถึง การเคลื่อนไทยมาช้านาน การ ย้ายของพระอาทิตย์เข้าไปจักรราศีใดราศีหนึ่ง จะเป็นราศีใดก็ได้ แต่ความหมายที่คนไทยทั่วไปใช้ หมายเฉพาะวันและเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายน เท่านั้น"สงกรานต์" เป็นคำภาษาสันสกฤต แปลว่า "ผ่าน" หรือ "เคลื่อนย้ายเข้าไป" ในที่นี้หมายถึงเป็นวันที่พระอาทิตย์ ผ่านหรือเคลื่อนย้าย จากราศีมีน เข้าสู่ ราศีเมษ ในเดือนเมษายน ถือเป็นช่วงสงกรานต์หากพระอาทิตย์เคลื่อนย้าย ในช่วงเดือนอื่น ๆ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายธรรมดา ตามปกตินั้น พระอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน หรือจะเรียกว่าเป็นการย้ายจากกลุ่มดาวหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่ง ตามหลักโหราศาสตร์หรือภาษาโหร เรียกว่า"ยกขึ้นสู่" ตัวอย่างเช่น พระอาทิตย์ขึ้นสู่ราศีเมษ ก็คือการที่พระอาทิตย์ย้ายจากกลุ่มดาวราศีมีนไปสู่กลุ่มดาวราศีเมษ ซึ่งเป็นราศีถัดไปนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เมื่อ สงกรานต์ แปลว่า ผ่าน หรือ เคลื่อนย้ายเข้าไป วันสงกรานต์ จึงต้องมีอยู่ประจำทุกเดือน เพราะดวงอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่ง ไปสู่อีกราศีหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปเดือนละ 1 ครั้ง เสมอ แต่ในวันและเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ (ตามภาษาโหร) หรือเคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าไปสู่ราศีเมษ ในเดือน เมษายน (ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5) เราถือเป็นกรณีพิเศษ เรียกว่าวันมหาสงกรานต์ด้วยถือกันว่าเป็นวันและแวลาที่ตั้งต้นสู่ปีใหม่ เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ตามการคำนวณของโหรผู้รู้ทางโหราศาสตร์ เพราะในสมัยโบราณเรานับถือเดือนเมษายนเป็นเดือนแรกของปี สมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ.2432 ได้กำหนดให้ใช้ วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ และได้ใช้เรื่อยมา สาเหตุก็เพราะสอดคล้องกับธรรมเนียมโบราณ เนื่องจาก หากนับทางจันทรคติ จะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งก็คือวันสงกรานต์ หรือวันที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนไปสู่ราศีเมษนั่นเอง และได้มีการใช้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันปีใหม่ของไทยแต่นั้นเรื่อย มาแม้ว่าในปีต่อไปจะไม่ตรงกับวันสงกรานต์ (หมายถึงวันที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีน ไปสู่ราศีเมษ) ทั้งนี้เพื่อให้มีการกำหนดวันทางสุริยคติที่แน่นอนตายตัวลงไป ต่อมาในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2483 คณะรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ได้ประกาศให้ใช้วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484 เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับประเทศอื่น ๆ เป็นสากลทั่วโลกและใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นเรายังถือเอาวันที่ 14 เมษายนเป็นวันครอบครัว อีกด้วย นอกจากไทยแล้ว หลาย ๆ ประเทศอย่างมอญ พม่า เขมร ลาว รวมถึงชนชาติไทย เชื้อสายต่าง ๆ ในจีน อินเดีย ต่างก็ถือตรุษสงกรานต์เป็นประเพณีฉลองปีใหม่เช่นเดียวกับเรา เพียงแต่ในประเทศไทยได้มีการสืบสานและวิวัฒนาการประเพณีสงกรานต์จนมีเอกลักษณ์อันโดดเด่นกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่มีความพิเศษ จนแม้แต่ชาวต่างชาติก็ยังให้ความสนใจ และรู้จักประเพณีนี้เป็นอย่างดี สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยประเพณีหนึ่งที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณคู่กับประเพณีตรุษจีน หรือที่เรียกกันรวม ๆ ว่าประเพณีตรุษสงกรานต์ ซึ่งหมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของไทย ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนมาใช้ในวันที่ 31 ธันวาคมเป็นวันส่งท้ายปีเก่า และวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2483 เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ในสมัยโบราณ ไทยเราถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งคนสมัยก่อนจะถือว่าฤดูเหมันต์ (ฤดูหนาว) เป็นการเริ่มต้นปี ซึ่งจะตกอยู่ราวปลายเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคม ต่อมาก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการสังเกตธรรมชาติ และฤดูการผลิต วันขึ้นปีใหม่จึงเปลี่ยนเป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 หรือประมาณเดือนเมษายน ซึ่งเป็นการนับปีใหม่ตามเกณฑ์จุลศักราช โดยถือเอาวันมหาสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ ครั้นในปี พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้กำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นการนับทางสุริยคติแทน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2483 รัฐบาลไทยในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ได้ประกาศให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ อันเป็นการนับปีใหม่แบบสากลนิยม ดังนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา ประเทศไทยเราจึงมีวันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันที่ 1 มกราคม และใช้กันมาจนปัจจุบัน คำว่า “ตรุษ” เป็นภาษาทมิฬ ใช้ในชนเผ่าหนึ่งทางอินเดียตอนใต้ แปลว่า ตัด หรือขาด คือ ตัดปี หรือขาดปี หมายถึงการสิ้นปีนั่นเอง ตามปกติการกำหนดวันตรุษ หรือวันสิ้นปีจะถือหลักทางจันทรคติ (วิธีนับวันและเดือนถือเอาการเดินของดวงจันทร์เป็นหลัก) คือ วันแรม 15 ค่ำ เดือน 4 ส่วนคำว่า “สงกรานต์” เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า ก้าวขึ้น ผ่าน หรือเคลื่อนที่ ย้ายที่ หมายถึง เวลาที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่งทุก ๆ เดือน เรียกว่า สงกรานต์เดือน ยกเว้นเมื่อพระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ เมื่อใดก็ตามจะเป็นสงกรานต์ปี และเรียกชื่อพิเศษว่า “มหาสงกรานต์” ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามคติพราหมณ์ โดยเป็นการนับทางสุริยคติ วิธีนับวันและเดือนโดยถือกำหนดตำแหน่งดวงอาทิตย์เป็นหลัก) ดังนั้น การกำหนดนับวันสงกรานต์จึงตกอยู่ในระหว่างวันที่ 13, 14 และ 15 เมษายน ซึ่งทั้ง 3 วัน จะมีชื่อเรียกเฉพาะดังนี้ คือ -วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า มหาสงกรานต์ หมายถึง วันที่ดวงอาทิตย์ก้าวขึ้นสู่ราศีเมษ อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ผ่านการเข้าสู่ราศีอื่น ๆ แล้วจนครบ 12 เดือน -วันที่ 14 เมษายน เรียกว่า วันเนา หมายถึง วันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนเข้าอยู่ราศีเมษ ประจำที่เรียบร้อยแล้ว -วันที่ 15 เมษายน เรียกว่า วันเถลิงศก หรือวันขึ้นศก คือวันที่เริ่มเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ การกำหนดให้อยู่ในวันนี้นั้นเพื่อให้แน่ใจได้ว่าดวงอาทิตย์โคจรขาดจากราศีมีนขึ้นอยู่ราศีเมษแน่นอนแล้วอย่างน้อย 1 องศา ทั้งสามวันนี้ ถ้าหากดูตามประกาศสงกรานต์ อันเป็นการคำนวณตามหลักโหราศาสตร์จริงแล้ว ก็จะมีการคลาดเคลื่อนไม่ตรงกันบ้าง เช่น วันมหาสงกรานต์ อาจจะเป็นวันที่ 14 เมษายน แทนที่จะเป็นวันที่ 13 เมษายน แต่เพื่อให้จดจำได้ง่ายและไม่สับสน จึงกำหนดเรียกตามที่กล่าวข้างต้นดังได้กล่าวแล้วว่า สงกรานต์เป็นประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งได้ยึดถือปฏิบัติมาเนิ่นนาน บรรพบุรุษของเราได้กำหนดธรรมเนียมปฏิบัติมาอย่างชัดเจนสืบทอดต่อกันมาจนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ เป็นความงดงาม ซึ่งบ่งบอกถึงคุณลักษณะของความเป็นไทยอย่างแท้จริง เช่น ความกตัญญู ความโอบอ้อมอารี ความเอื้ออาทรทั้งต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ความสนุกสนานรื่นเริง เป็นต้น วันที่ 13 เมษายนของทุกปี นอกจากจะเป็นวันมหาสงกรานต์แล้ว รัฐบาลยังกำหนดให้เป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติอีกด้วย เพื่อให้ลูกหลานได้เล็งเห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นบุพการี ผู้อาวุโสหรือผู้ใหญ่ในชุมชนที่เคยทำคุณประโยชน์แก่สังคมนั้น ๆ มาแล้ว ส่วนวันที่ 14 เมษายนของทุกปี รัฐบาลก็ได้กำหนดให้เป็น “วันครอบครัว” เพราะเห็นว่าช่วงดังกล่าว เป็นระยะเวลาที่ประชาชนส่วนใหญ่จะเดินทางกลับไปหาครอบครัวอยู่แล้ว จึงเป็นช่วงเวลาแห่งความรักความอบอุ่น ที่จะได้พบกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา และทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เราได้ถือปฏิบัติสืบต่อ ๆ กันมานั้น มีความมุ่งหมายให้เกิดความสงบสุขแก่จิตใจ ครอบครัว และสังคมเป็นสำคัญ กิจกรรมที่ทำก็มีอย่างหลากหลาย และมีเหตุผลในการกระทำดังกล่าวทั้งสิ้น ซึ่งสามารถประมวลกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดังต่อไปนี้ ก่อนวันสงกรานต์ เป็นการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล และ ต้อนรับชีวิตใหม่ที่จะเริ่มต้นในวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง กิจกรรมที่ทำได้แก่ - การทำความสะอาดบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ข้าวของต่าง ๆ รวมทั้งสถานที่สาธารณะต่าง ๆ เช่น วัด ศาลา บริเวณชุมชน เป็น - การเตรียมเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ไปทำบุญ รวมทั้งเครื่องประดับตกแต่งต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีผ้าสำหรับไปไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรดน้ำขอพรด้วย - การเตรียมอาหารในการไปทำบุญ ทั้งของคาว ของหวานที่พิเศษ ได้แก่ การเตรียมขนมที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของวันตรุษและวันสงกรานต์ นั่นคือ ข้าวเหนียวแดงสำหรับวันตรุษ และ ขนมกวนหรือกาละแมสำหรับวันสงกรานต์ ช่วงวันสงกรานต์ เมื่อถึงวันสงกรานต์ก็จะเป็นเวลาที่ทุกคนจะยิ้มแย้มแจ่มใส ทำใจให้เบิกบาน เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีดังต่อไปนี้ - การทำบุญตักบาตรตอนเช้า หรือนำอาหารไปถวายพระที่วัด การทำบุญอัฐิ อาจจะทำตอนไหนก็ได้ เช่น หลังจากพระภิกษุ-สามเณร ฉันเพลแล้ว หรือจะนิมนต์พระมาสวดมนต์ ฉันเพลที่บ้าน แล้วบังสุกุลก็ได้ การทำบุญอัฐิ อาจจะนิมนต์พระไปยังสถานที่เก็บหรือบรรจุอัฐิ หากไม่มีให้เขียนชื่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วลงในกระดาษแผ่นนั้นเสีย เช่นเดียวกับการเผาศพ การสรงน้ำพระ มี 2 แบบ คือ การสรงน้ำพระภิกษุสามเณร และการสรงน้ำพระพุทธรูป 1) การสรงน้ำพระภิกษุสามเณร จะใช้แบบเดียวกับอาบน้ำ คือ การใช้ขันตักรดที่ตัวท่าน หรือที่ฝ่ามือก็ได้ แล้วแต่ความนิยม หากเป็นการสรงน้ำแบบอาบน้ำพระจะมีการถวายผ้าสบง หรือถวายผ้าไตรตามแต่ศรัทธาด้วย 2) การสรงน้ำพระพุทธรูป อาจจะจัดเป็นขบวนแห่หรือเชิญมาประดิษฐานในที่เหมาะสม การสรงน้ำจะใช้น้ำอบ น้ำหอม หรือน้ำที่ผสมด้วยน้ำอบ น้ำหอมประพรมที่องค์พระ การก่อพระเจดีย์ทราย โดยทั่วไปประเพณีการก่อพระเจดีย์ทรายจะทำในวันใดวันหนึ่งระหว่างวันที่ 13 - 15 เมษายน โดยการขนทรายมาก่อเป็นรูปเจดีย์ขนาดต่างๆในบริเวณวัด ปักธงหลากสี มีธูป เทียนและดอกไม้เป็นเครื่องบูชาพระ เพื่อใช้หนี้ธรณีสงฆ์ที่ทรายติดมือติดเท้าเวลาเราไปวัด ทรายที่ก่อพระเจดีย์นำไปใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ต่างๆ หรือถมพื้นต่อไป ถือเป็นการทำบุญอีกลักษณะหนึ่งที่ได้ทั้งบุญความสนุกสนานและความสามัคคี การปล่อยนกปล่อยปลา เป็นการทำบุญทำทานอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะ การปล่อยนกปล่อยปลาที่ติดกับดัก บ่วงให้สู่อิสระ หรือปลาที่อยู่ในน้ำตื้น ๆ ซึ่งอาจจะตายได้ หากปล่อยให้อยู่ในสภาพแบบเดิม การรดน้ำผู้ใหญ่หรือการรดน้ำขอพร เป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ของครอบครัว หรือผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ การรดน้ำผู้ใหญ่อาจจะรดน้ำหรือรดเฉพาะที่ฝ่ามือก็ได้ ดังนั้น จึงควรมีผ้านุ่งห่มไปมอบให้ด้วย เพื่อจะได้ผลัดเปลี่ยนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้ว การจัดพิธีรดน้ำขอพร การจัดรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ในบ้าน - จัดสถานที่และที่นั่งให้เหมาะสม เช่น ในบ้านหรือบริเวณลานบ้าน โดยจะให้ ท่านนั่งบนเก้าอี้ หรือนั่งกับพื้นก็ดูความสะดวกของท่าน - จัดน้ำผสมน้ำอบหรือน้ำหอม (อาจลอยดอกไม้เพิ่ม เช่น กลีบกุหลาบ มะลิ) ใส่ขัน หรือภาชนะที่เหมาะสมไว้สำหรับรดน้ำพร้อมภาชนะรองรับ - การรดน้ำขอพร ให้รดน้ำที่ฝ่ามือทั้งสองของท่าน โดยผู้ใหญ่แบมือ ไม่ต้องประนม เมื่อลูกหลานมารดน้ำ ผู้ใหญ่ก็จะให้ศีลให้พรหรืออาจจะเอาน้ำที่รดให้ลูบศีรษะผู้มารด เมื่อรดน้ำเสร็จแล้วบางครั้งก็อาจจะอาบน้ำจริง คือ รดแบบทั้งตัว แล้วนำผ้าใหม่มาให้ผู้ใหญ่เปลี่ยนก็ได้ จัดแบบไม่เป็นทางการ ส่วนใหญ่จะใช้ห้องของผู้ใหญ่/ผู้บังคับบัญชาเอง หรือห้องที่เห็นว่าเหมาะสม แล้วจัดน้ำสำหรับรดและภาชนะรองรับเตรียมไว้ให้พร้อม จากนั้นเชิญท่านมานั่งในบริเวณที่จัดไว้พร้อมเชิญทุกคนมาร่วมรดน้ำขอพร เมื่อแล้วเสร็จท่านอาจจะกล่าวให้พรอีกครั้ง ตัวแทนก็มอบของที่ระลึก อาจจะเป็นผ้าหรือของกินของใช้ ตามแต่จะเห็นสมควร จัดแบบพิธีการ มักจะมีการจัดโต๊ะสรงน้ำพระพุทธรูป พร้อมจัดตกแต่งสถานที่อย่างเป็นระเบียบสวยงาม เมื่อเริ่มพิธี จะมีพิธีกรกล่าวแนะนำและเชิญผู้ใหญ่ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนไปนั่งยังสถานที่ที่จัดไว้ เมื่อรดน้ำเสร็จผู้ใหญ่ก็จะกล่าวอวยพร และเป็นตัวแทนมอบของขวัญแก่ท่าน การเล่นรดน้ำ หลังจากเสร็จพิธีการต่าง ๆ แล้ว เป็นการเล่นรดน้ำเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างญาติมิตร โดยการใช้น้ำสะอาดผสมน้ำอบหรือน้ำหอม หรือจะใช้น้ำอบก็ได้ รดกันเบา ๆ ด้วยความสุภาพ การเล่นรื่นเริงหรือมหรสพต่าง ๆ เป็นการเชื่อมความสามัคคีและเพื่อความสนุกสนาน รวมทั้งยังเป็นการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป เช่น ลิเก ลำตัด โปงลาง หมอลำ หนังตะลุง นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว บางแห่งยังมีการทรงเจ้าเข้าผีเพื่อความสนุกสนาน เช่น การเข้าทรงแม่ศรี การละเล่นสะบ้า เล่นลูกข่าง เล่นเพลงพิษฐาน (อธิษฐาน) สุดแล้วแต่ความนิยมของท้องถิ่นนั้น ๆ ประเพณีปฏิบัติเหล่านี้อาจจะมีความแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ละท้องถิ่น การยึดถือปฏิบัติอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และความต้องการของชุมชนเป็นสำคัญ ปัจจุบันแม้ประเพณีสงกรานต์ในหลายท้องที่จะมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกันมากขึ้น โดยเฉพาะตามจังหวัดใหญ่ ๆ อย่างไรก็ดีในแต่ละภูมิภาคก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่น่าสนใจ คือ ภาคเหนือ หรือที่เรียกว่า ล้านนา เขาจะเรียกวันที่ 13 เมษายน ว่า “วันสงกรานต์ล่อง” (อ่นาสังขานล่อง) หมายถึง วันที่ปีเก่าผ่านไป หรือวันที่สังขารร่างกายแก่ไปอีกปี วันนี้ตอนเช้าจะมีการยิงปืน หรือจุดประทัดเพื่อขับไล่เสนียดจัญไร จากนั้นก็จะมีการทำความสะอาดบ้านเรือน ชำระล้างร่างกาย รวมทั้งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่พื่อต้อนรับปีใหม่ วันที่ 14 เมษายน เรียก “วันเนา” หรือ “วันดา” จะเป็นวันเตรียมงานต่าง ๆ เช่น เครื่องสังฆทาน อาหารที่จะไปทำบุญและแจกญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน วันนี้บางทีเรียกว่า “วันเน่า” เพราะถือว่าเป็นวันห้ามพูดจาหยาบคาย เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปากเน่า ไม่เจริญ วันที่ 15 เมษายน เรียก “วันพญาวัน” หรือ “วันเถลิงศก” ถือเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่เป็นวันที่ชาวบ้านจะทำบุญประกอบกุศล เลี้ยงพระ ฟังธรรม อุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ สรงน้ำพระพุทธรูปและพระสงฆ์ นำไม้ไปค้ำต้นโพธิ์ รดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ สงกรานต์ภาคใต้ ภาคใต้ จะเรียก “วันสงกรานต์” ว่า “ประเพณีวันว่าง” ถือว่าเป็น วันละวางกายและใจ จากภารกิจปกติ ซึ่งตามประเพณีจะจัดกิจกรรม 3 วัน คือ วันที่ 13, 14 และ 15 เมษายนของทุกปี วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า “วันเจ้าเมืองเก่า” หรือ “วันส่งเจ้าเมืองเก่า” เพราะเชื่อว่าเทวดารักษาบ้านเมืองกลับไปชุมนุมกันบนสวรรค์ ในวันนี้มักจะเป็นวันทำความสะอาดบ้านเรือน และเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ รวมทั้งทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ที่เรียกว่า ลอยเคราะห์ หรือลอยแพ เพื่อให้เคราะห์กรรมต่าง ๆ ลอยตามไปกับเจ้าเมืองเก่าไป และมักจะมีการสรงน้ำพระพุทธรูปสำคัญในวันนี้ วันที่ 14 เมษายน เรียกว่า “วันว่าง” คือ วันที่ปราศจากเทวดาที่รักษาเมือง ดังนั้น ชาวบ้านก็จะงดงานอาชีพต่าง ๆ แล้วไปทำบุญที่วัด และรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ วันที่ 15 เมษายน เรียกว่า “วันรับเจ้าเมืองใหม่” คือ วันรับเทวดาองค์ใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลเมืองแทนองค์เดิม วันนี้ชาวเมืองมักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับใหม่ แล้วนำอาหารไปทำบุญที่วัด นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว ชาวใต้ยังมีการปล่อยนกปล่อยปลา การก่อเจดีย์ทราย และการเล่นสาดน้ำเช่นเดียวกับภาคอื่น ๆ และในสมัยก่อนแต่ละหมู่บ้านจะมีคระเพลงบอกออกไปตระเวนร้องตามชุมชนหรือหมู่บ้าน โดยมีการร้องเป็นตำนานสงกรานต์ หรือเพลงอื่น ๆ ตามที่เจ้าของบ้านร้องขอด้วย วันสงกรานต์เป็นวันแห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยหันกลับมามองตนเอง หรือสำรวจตนเองว่าในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เราได้กระทำสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัวต่อคนรอบข้าง และต่อสังคมแล้วหรือยัง เราใสใจกับสุขภาพร่างกายของตนเองมากน้อยแค่ไหน บางคนมัวแต่ทำงานจนลืมดูแลตัวเอง ลืมเอาใจใส่ครอบครัว บุพการี เรามีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่หรือไม่ และนับจากนี้ไปเราควรจะทำอย่างไรเพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความสุข หลาย ๆ คนจึงถือเอาวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่นี้เป็นวันเริ่มต้นในการดำเนินชีวิตใหม่ วันสงกรานต์เป็นวันแห่งความรักผูกพันในครอบครัวอย่างแท้จริง พ่อแม่จะเตรียมเสื้อผ้าใหม่พร้อมเครื่องประดับให้ลูกหลานไปทำบุญ ลูกหลานก็จะเตรียมเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มให้ผู้ใหญ่ได้สวมใส่หลังการรดน้ำขอพร เมื่อถึงวันสงกรานต์ทุกคนจะหาโอกาสกลับบ้านไปหาพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ รดน้ำขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นปีใหม่ และเป็นกำลังใจซึ่งกันและกันในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไป วันสงกรานต์เป็นวันแห่งการแสดงความกตัญญู โดยการปรนิบัติต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณที่มีชีวิตอยู่ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว วันสงกรานต์เป็นวันที่ก่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในชุมชน เช่น ได้ พบปะสังสรรค์ ได้ทำบุญร่วมกัน และได้เล่นสนุกสนานรื่นเริงกันในยามบ่ายหลังจากการทำบุญ โดยการเล่นรดน้ำในหมู่เพื่อนฝูงและคนรู้จัก และการละเล่นตามประเพณีท้องถิ่น เป็นต้น สงกรานต์เป็นประเพณีที่ก่อให้เกิดความเอื้ออาทรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะ ก่อนวันสงกรานต์ทุกคนจะช่วยกันทำความสะอาดบ้านเรือนสิ่งของเครื่องใช้ทุกอย่างให้สะอาดหมดจด เพื่อจะได้ต้อนรับปีใหม่ด้วยความแจ่มใส เบิกบาน นอกจากนี้ควรช่วยกันทำความสะอาดวัดวาอาราม ที่สาธารณะ และอาคารสถานที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย วันสงกรานต์เป็นวันทำบุญครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของพุทธศาสนิกชน โดยการทำบุญตักบาตร เลี้ยงพระ ฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม และสรงน้ำพระ การศรัทธาในการทำบุญทำทาน ถือเป็นการเกื้อกูลสูงสุดของมนุษยชาติ และการถือศีลปฏิบัติธรรมเป็นเหตุแห่งความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต และสามารถสืบทอดพระพุทธศาสนามาได้จนถึงปัจจุบัน เพื่อดำรงไว้ซึ่งความหมาย สาระ และคุณค่าของวันสงกรานต์ดังกล่าว ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเราจึงควรเลือกประพฤติปฏิบัติกิจกรรมที่เป็นแก่นแท้ หรือที่เป็นเนื้อหาสาระของประเพณีสงกรานต์อย่างแท้จริง กิจกรรมใดที่หลงเหลือแต่เพียงรูปแบบแต่ขาดซึ่งความหมายที่แท้จริง เช่น การก่อพระเจดีย์ทราย ซึ่งปัจจุบันมิได้ทำเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้พระภิกษุสงฆ์ได้นำทรายไปใช้ในการก่อสร้างวัด หรือการปล่อยนกปล่อยปลา ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจเพื่อซื้อ – ขาย ก็อาจจะมีความจำเป็นต้องยกเลิกไปหรือปรับปรุงเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสมกับยุคสมัยหากจำเป็น ประวัติวันสงกรานต์ กำเนิดวันสงกรานต์ มีเรื่องเล่าสืบ ๆ กันมา น่าจดจำไว้ดังข้อความจารึกวัดเชตุพน ฯ ได้กล่าวไว้ประดับความรู้ของสาธุชนทั้งหลายดังต่อไปนี้ "เมื่อต้นภัทรกัลป์ มีเศรษฐีคนหนึ่ง มั่งมีทรัพย์มาก แต่ไม่มีบุตร บ้านอยู่ใกล้นักเลงสุรา นักเลงสุรานั้นมีบุตร ๒ คน ผิวเนื้อดุจทอง วันหนึ่งนักเลงสุราเข้าไปในบ้านของเศรษฐี แล้วด่าเศรษฐี ด้วยถ้อยคำหยาบคายต่าง ๆ เศรษฐีได้ฟังจึงถามว่า พวกเจ้ามาพูดหยาบคายดูหมิ่นเราผู้เป็นเศรษฐีเพราะ เหตุใด พวกนักเลงสุราจึงตอบว่า ท่านมีสมบัติมากมายแต่หามีบุตรไม่ เมื่อท่านตายไปสมบัติก็จะ อันตรธานไปหมด หาประโยชน์อันใดมิได้ เพราะขาดทายาทผู้ปกครอง ข้าพเจ้ามีบุตรถึง ๒ คน และ รูปร่างงดงามเสียด้วย ข้าพเจ้าจึงดีกว่าท่าน เศรษฐีครั้นได้ฟังก็เห็นจริงด้วย จึงมีความละอายต่อนักเลง สุรายิ่งนัก จึงนึกใคร่อยากได้บุตรบ้าง จึงทำการบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อขอให้มีบุตร อยู่ถึง ๓ ปี ก็มิได้มีบุตรสมดังปรารถนา เมื่อขอบุตรจากพระอาทิตย์และพระจันทร์มิได้ดังปรารถนาแล้วอยู่มาวันหนึ่ง ถึงฤดูคิมหันต์ จิตรมาส ( เดือน ๕ ) โลกสมมุติว่าเป็นวันมหาสงกรานต์ คือ พระอาทิตย์ยกจากราศีมีนประเวสสู่ราศีเมษ คนทั้งหลายพากันเล่นนักขัตฤกษ์เป็นการรื่นเริงขึ้นปีใหม่ทั่วชมพูทวีป ขณะนั้นเศรษฐีจึงพาข้าทาสบริวาร ไปยังต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำอันเป็นที่อยู่แห่งปักษีชาติทั้งหลาย เอาข้าวสารซาวน้ำ ๗ ครั้ง แล้วหุงบูชา รุกขพระไทรพร้อมด้วยสูปพยัญชนะอันประณีต และประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีต่าง ๆ ตั้งจิตอธิษฐาน ขอบุตรจากรุกขพระไทร รุกขพระไทรมีความกรุณา เหาะไปขอบุตรกับพระอินทร์ให้กับเศรษฐี พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลเทวบุตร ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ บิดามารดาขนานนามว่า ธรรมบาลกุมาร แล้วจึงปลูกปราสาทขึ้น ให้กุมารอยู่ใต้ต้นไทรริมสระฝั่งแม่น้ำนั้น ครั้นกุมารเจริญขึ้น ก็รู้ภาษานกแล้วเรียนจบไตรเพทเมื่ออายุได้ ๘ ขวบ และได้เป็นอาจารย์บอกมงคลการต่าง ๆ แก่มนุษย์ ชาวชมพูทวีปทั้งปวงซึ่งขณะนั้นโลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหม และกบิลพรหมองค์หนึ่งได้แสดง มงคลการแก่มนุษย์ทั้งปวง เมื่อกบิลพรหมแจ้งเหตุที่ธรรมกุมารเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นที่นับถือของมนุษย์ชาวโลกทั้งหลาย จึงลงมาถามปัญหาแก่ธรรมกุมาร ๓ ข้อ ความว่า เวลาเช้า สิริคือราศีอยู่ที่ไหน เวลาเที่ยง สิริคือราศีอยู่ที่ไหน เวลาเย็น สิริราศีอยู่ที่ไหน และสัญญาว่า ถ้าท่านแก้ปัญหา ๓ ข้อนี้ได้เราจะตัดศีรษะเราบูชาท่าน ถ้าท่านแก้ไม่ได้ เราจะตัดศีรษะของท่านเสีย ธรรมกุมารรับสัญญา แต่ผลัดแก้ปัญหาไป ๗ วัน กบิลพรหมก็กลับไปยัง พรหมโลก ฝ่ายธรรมบาลกุมารพิจารณาปัญหานั้นล่วงไปได้ ๖ วันแล้วยังไม่เห็นอุบายที่จะตอบปัญหาได้ จึงคิดว่าพรุ่งนี้แล้วสิหนอ เราจะต้องตายด้วยอาญาของท้าวกบิลพรหม เราหาต้องการไม่ จำจะหนีไป ซุกซ่อนตนเสียดีกว่า คิดแล้วลงจากปราสาทเที่ยวไปนอนที่ต้นตาล ๒ ต้น ซึ่งมีนกอินทรี ๒ ตนผัวเมีย ทำรังอยู่บนต้นตาลนั้น ขณะที่ธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นตาลนั้น ได้ยินเสียงนางนกอินทรีถามผัวว่า พรุ่งนี้เรา จะไปหาอาหารที่ไหน นกอินทรีผู้ผัวตอบว่า พรุ่งนี้ครบ ๗ วันที่ท้าวกบิลพรหม ถามปัญหาแก่ธรรมบาล กุมาร แต่ธรรมบาลกุมารแก้ไม่ได้ ท้าวกบิลพรหมจะตัดศีรษะเสียตามสัญญา เราทั้ง ๒ จะได้กินเนื้อมนุษย์ คือ ธรรมบาลกุมารเป็นอาหาร นางนกอินทรีจึงถามว่าท่านรู้ปัญหาหรือ ? ผู้ผัวตอบว่ารู้แล้วก็เล่าให้นาง นกอินทรีฟังตั้งแต่ต้นจนปลายว่า เวลาเช้าราศีอยู่ที่ หน้า คนทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีอยู่ที่ อก คนทั้งหลายจึงเอาน้ำและแป้งกระแจะจันทร์ลูบไล้ที่อก เวลาเย็นราศีอยู่ที่ เท้า คนทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า ธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นไม้ได้ยินการสนทนาของทั้งสองก็จำได้ จึงมีความโสมนัส ปีติยินดีเป็นอันมาก แล้วจึงกลับมาสู่ปราสาทของตน ครั้นถึงวาระเป็นคำรบ ๗ ตามสัญญา ท้าวกบิลพรหมก็ลงมาถามปัญหาทั้ง ๓ข้อตามที่นัด หมายกันไว้ ธรรมบาลกุมารก็วิสัชนาแก้ปัญหาทั้ง ๓ ข้อตามที่ได้ฟังมาจากนกอินทรีนั้น ท้าวกบิลพรหม ยอมรับว่าถูกต้องและยอมแพ้แก่ธรรมบาลกุมาร และจำต้องตัดศีรษะของตนบูชาตามที่สัญญาไว้ แต่ก่อนที่ จะตัดศีรษะ ได้ตัดเรียกธิดาทั้ง ๗ อันเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์ คือ นางทุงษะเทวี นางรากษเทวี นางโคราคเทวี นางกิริณีเทวี นางมณฑาเทวี นางกิมิทาเทวี นางมโหธรเทวี ชื่อนางสงกรานต์ ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ธิดาท้าวกบิลพรหมมีอยู่ด้วยกัน ๗ นาง ถ้าปีใดนางสงกรานต์ตรงกับ อะไรใน ๗ วัน นางทั้ง ๗ ก็ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมารับเศียรของบิดาตนเพื่อมิให้ตกลงสู่แผ่นดิน เพราะ จะเกิดฝนแล้งไฟไหม้โลก นางทั้ง ๗ มีชื่อต่างๆ กันและแต่งกายก็แตกต่างกันออกไป ประกอบกับอาวุธ ที่ถือก็แตกต่างกันด้วย ดังนี้ วันอาทิตย์ นางสงกรานต์ชื่อ ทุงษะ ทัดดอกทับทิม เครื่องประดับปัทมราช ( แก้วทับทิม ) ภักษาหาร อุทุมพร ( ผลมะเดื่อ ) อาวุธขวาจักร ซ้ายสังข์ พาหนะครุฑ วันจันทร์ นางสงกรานต์ชื่อ โคราคะ ทัดดอกปีบ เครื่องประดับมุกดา ภักษาหารเตละ (น้ำมัน) อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายไม้เท้า พาหนะพยัคฆ์ ( เสือ ) วันอังคาร นางสงกรานต์ชื่อ รากษก ทัดดอกบัวหลวง เครื่องประดับแก้วโมรา ภักษาหาร โลหิต ( เลือด ) อาวุธขวาตรีศูล ( หลาว ๓ ง่าม ) ซ้ายธนู พาหนะวราหะ ( หมู ) วันพุธ นางสงกรานต์ชื่อ มณฑา ทัดดอกจำปา เครื่องประดับไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย อาวุธขวาเข็ม ซ้ายไม้เท้า พาหนะคัทรภา ( ลา ) วันพฤหัสบดี นางสงกรานต์ชื่อ กิริณี ทัดดอกมณฑา เครื่องประดับมรกต ภักษาหารถั่วงา อาวุธขวาขอ ซ้ายปืน พาหนะคช (ช้าง) วั นศุกร์ นางสงกรานต์ชื่อ กิทิมา ทัดดอกจงกลณี เครื่องประดับบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายพิณ พาหนะมหิงส์ ( ควาย ) วันเสาร์ นางสงกรานต์ชื่อ มโหธร ทัดดอกสามหาว เครื่องประดับนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย อาวุธขวาจักร ซ้ายตรี พาหนะมยุรา ( นกยูง ) นอกจากนามของนางสงกรานต์แต่ละนามข้างต้น จะเป็นการบอกให้ทราบว่า “วัน มหาสงกรานต์” หรือวันขึ้นปีใหม่ของปีนั้นตรงกับวันใดแล้ว ท่าหรืออิริยาบถที่นางสงกรานต์นั่ง/นอน/ยืน บนพาหนะ ยังเป็นการบอกว่าช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งแต่ละปีจะไม่เหมือนกันด้วย เพราะสมัยก่อนเขามิได้นับว่าหลังเที่ยงคืน (ที่ปัจจุบันนิยมเคาน์ดาวน์) จะเป็นเวลาขึ้นปีใหม่ทันที แต่เขาจะนับจากช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีน มาอยู่ในราศีเมษ ซึ่งอาจจะเป็นเวลาเช้า สาย บ่าย เย็น หรือค่ำก็ได้ ดังนั้น อิริยาบถของนางสงกรานต์ที่ขี่พาหนะมาจึงเป็นการบอกให้ทราบถึงช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งมีด้วยกัน 4 ท่า คือ 1. ถ้าพระอาทิตย์ยกสู่ราศีเมษ ในระหว่างเวลารุ่งเช้าจนถึงเที่ยง นางสงกรานต์จะยืนบนพาหนะ 2. ถ้าพระอาทิตย์ยกสู่ราศีเมษ ในระหว่างเที่ยงจนถึงค่ำ นางสงกรานต์จะนั่งบนพาหนะ 3. ถ้าพระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ ระหว่างค่ำไปจนถึงเที่ยงคืน นางสงกรานต์จะนอนลืมตาบนพาหนะ 4. ถ้าพระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ ระหว่างเที่ยงคืนไปจนถึงรุ่งเช้า นางสงกรานต์จะนอนหลับตามบนพาหนะ ตำนานนางสงกรานต์ อันโลกสมมุติว่าเป็นองค์มหาสงกรานต์ กับทั้งเทพบรรษัทมาพร้อมกัน แล้วจึงบอกเรื่องราว ให้ทราบและตรัสว่าพระเศียรของเรานี้ ถ้าตั้งไว้บนแผ่นดินก็จะเกิดไฟไหม้ไปทั่วโลกธาตุ ถ้าจะโยนขึ้น ไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง เจ้าทั้ง ๗ จงเอาพานมารองรับเศียรของบิดาไว้เถิด ครั้นแล้วท้าวกบิลพรหม ก็ตัดพระเศียรแค่พระศอส่งให้นางทุงษะเทวีธิดาองค์ใหญ่ในขณะนั้น โลกธาตุก็เกิดโกลาหลอลเวงยิ่งนัก เมื่อนางทุงษะมหาสงกรานต์เอาพานรองรับพระเศียรของท้าวกบิลพรหมแล้วก็ ให้เทพบรรษัท แห่ประทักษิณ เวียนรอบเขาพระสุเมรุราช ๖๐ นาทีแล้วจึงเชิญเข้าประดิษฐานไว้ในมณฑป ณ ถ้ำคันธธุลี เขาไกรลาศ กระทำบูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ พระวิษณุกรรมเทพบุตรก็เนรมิตโลงแก้ว อันแล้วไปด้วย แก้ว ๗ ประการ ชื่อภัควดีให้เทพธิดาและนางฟ้าแล้ว เทพยดาทั้งหลายก็นำมาซึ่งเถาฉมุนาตลงล้างน้ำ ในสระอโนดาต ๗ ครั้ง แล้วแจกกันสังเวยทั่วทุกๆ พระองค์ ครั้นได้วาระกำหนดครบ ๓๖๕ วัน โลกสมมุติว่าปีหนึ่งเป็นวันสงกรานต์นางเทพธิดาทั้ง ๗ ก็ทรงเทพพาหนะต่างๆ ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมา เชิญพระเศียรกบิลพรหมออกแห่พร้อมด้วยเทพบรรษัทแสนโกฏิ ประทักษิณเวียนรอบเขาพระสุเมรุ ราชบรรษัท ทุกๆ ปีแล้วกลับไปยังเทวโลก" นอกจากความหมาย สาระ คุณค่า และแนวทางในการปฏิบัติเนื่องในเทศกาลสงกรานต์แล้ว หลายคนคงสงสัยว่าแล้ว “นางสงกรานต์” มาเกี่ยวข้องกับประเพณีสงกรานต์ตรงไหน เรื่องนางสงกรานต์นี้เป็นคติความเชื่ออยู่ใน “ตำนานสงกรานต์” ซึ่งรัชกาลที่ 3 ให้จารึกลงในแผ่นศิลาติดไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) เป็นเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของประเพณีดังกล่าว พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษและถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามสุริยคติ โดยสมมุติผ่านนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดเทียบกับแต่ละวันในสัปดาห์ โดยเรื่องเล่าว่า มีเศรษฐีคนหนึ่งไม่มีบุตร จึงถูกนักเลงสุราข้างบ้านซึ่งมีบุตรสองคนกล่าวคำหยาบคายดูหมิ่นในทำนองว่าถึงจะร่ำรวยเงินทอง แต่ก็ไม่มีบุตรสืบสกุล ตายไป สมบัติก็สูญเปล่า สู้ตนผู้มีบุตรก็ไม่ได้ เศรษฐีได้ฟังแล้วเกิดความละอาย จึงไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ แต่ผ่านไปสามปีก็ยังไม่มีบุตร อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ จึงได้ไปอธิฐานขอบุตรจากพระไทร พระไทรสงสารจึงไปขอพระอินทร์ ท่านจึงได้ส่งธรรมบาลเทวบุตรจุติมาเกิดเป็นลูกเศรษฐี มีชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร ซึ่งเมื่อเจริญวัยขึ้นก็รู้ภาษานก และเรียนไตรเพทจบเมื่ออายุเพียงเจ็ดปี ต่อมาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลการต่าง ๆ แก่มนุษย์ แต่ขณะนั้นท้าวกบิลพรหมเป็นผู้ทำหน้าที่แสดงมงคลทั้งปวงแก่มนุษย์อยู่ก่อนแล้ว จึงเกิดความไม่พอใจ ไปท้าธรรมบาลกุมารให้ตอบปริศนาสามข้อ โดยมีข้อแม้ว่าหากธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้จะต้องตัดศีรษะบูชาตน หากตอบได้ตนก็จะตัดศีรษะบูชาธรรมบาลกุมารแทน ปริศนาดังกล่าวมีอยู่ว่า ข้อที่ 1 ราศี อยู่ที่ใด (ราศี หมายถึง ความอิ่มเอิบ ความภาคภูมิ) ข้อที่ 2 เที่ยง ราศี อยู่ที่ไหน ข้อที่ 3 ค่ำ ราศีอยู่ที่ใด ธรรมบาลกุมารขอผัดไปเจ็ดวัน ปรากฏว่าเวลาล่วงถึงวันที่หก ก็ยังคิดหาคำตอบไม่ได้ จึงไปนอนอยู่ใต้ต้นตาล บังเอิญขณะนั้นได้ยินเสียงนกอินทรีย์สองผัวเมียคุยกันว่า วันรุ่งขึ้นจะได้กินศพธรรมบาลกุมาร เพราะตอบปริศนาไม่ได้ พร้อมกันนั้นนกตัวผู้ก็ได้เฉลยคำตอบแก่นกตัวเมียว่า เช้า ราศีอยู่ที่หน้ามนุษย์จึงเอาน้ำล้างหน้า เที่ยง ราศีอยู่ที่อกมนุษย์จึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ค่ำ ราศีอยู่ที่เท้ามนุษย์จึงเอาน้ำล้างเท้า ธรรมบาลกุมารได้ยินก็สามารถตอบปริศนาได้ ดังนั้น ท้าวกบิลพรหม จึงต้องตัดศีรษะบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ก่อนจะตัดศีรษะ ท้าวกบิลพรหมก็ได้เรียกธิดาทั้งเจ็ดของตนที่เป็นบาทบริจาริกา (แปลว่านางบำเรอแทบเท้าหรือสนม) ของพระอินทร์มาสั่งเสียว่าในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง ดังนั้น จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับศีรษะที่ถูกตัด แล้วนำไปแห่รอบเขาพระสุเมรุ จากนั้นก็อัญเชิญประดิษฐานที่มณฑปถ้ำคันธุลีเขาไกรลาส ครั้นถึงกำหนด 365 วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นปีหนึ่งเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้งเจ็ดก็จะทรงพาหนะต่าง ๆ ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของบิดาออกแห่ โดยที่เทพธิดาทั้งเจ็ดนี้ปรากฎในวันมหาสงกรานต์เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า “นางสงกรานต์” ส่วนท้าวกบิลพรหม ซึ่งมีอีกชื่อว่า ท้าวมหาสงกรานต์นั้น โดยนัยก็คือ พระอาทิตย์ นั่นเอง เพราะ กบิล แปลว่า สีแดง ความเชื่อเกี่ยวกับนางสงกรานต์และวันสงกรานต์ คนสมัยก่อนรู้หนังสือกันน้อย อีกทั้งยังไม่มีสื่อที่จะบอกเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศ รวมถึงวันสำคัญต่าง ๆ ล่วงหน้าเช่นปัจจุบัน ดังนั้น ประกาศสงกรานต์ของทางราชการจึงมีสาระที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของราษฎรที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพกสิกรรม ซื่งนอกจากจะมีเนื้อหาข้างต้นแล้วประชาชนส่วนใหญ่ก็จะรอดูรูปนางสงกรานต์ของแต่ละปีด้วย เนื่องจากรูปนางสงกรานต์จะเป็นเครื่องบอกเหตุการณ์ หรือเป็นการทำนายอนาคตล่วงหน้า อันเป็นความเชื่อของคนสมัยนั้น ซึ่งจะมีทั้งการพยากรณ์เกี่ยวกับอิริยบถของนางสงกรานต์ว่า นางใดมาอิริยบทไหน จะเกิดเหตุเช่นไร รวมไปถึงการทำนายวันมหาสงกรานต์ วันเนา และวันเถลิงศกด้วยว่า หากวันเหล่านี้ตกวันใด จะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น สำหรับความเชื่อในเรื่องอิริยบทของนางสงกรานต์ เชื่อกันว่า 1. ถ้านางสงกรานต์ยืนมา จะเกิดความเดือดร้อนเจ็บไข้ 2. ถ้านางสงกรานต์นั่งมา จะเกิดความเจ็บไข้ ผู้คนล้มตาย และเกิดเหตุเภทภัยต่าง ๆ 3. ถ้านางสงกรานต์นอนลืมตา พระมหากษัตริย์จะเจริญรุ่งเรืองดี 4. ถ้านางสงกรานต์นอนหลับตา พระมหากษัตริย์จะเจริญร่งุเรืองดี ส่วนคำทำนายเกี่ยวกับวันมหาสงกรานต์ วันเนา และวันเถลิงศก ก็มีว่า ถ้าวันอาทิตย์ เป็นวันมหาสงกรานต์ ปีนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่สู้จะงอกงามนัก ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันเนา ข้าวจะตายฝอย คนต่างด้าวจะเข้าเมืองยาก ท้าวพระยาจะร้อนใจ ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันเถลิงศก พระมหากษัตรย์จะมีพระบรมเดชานุภาพ ปราบศัตรูได้ทั่วทุกทิศ ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนคุณหญิง คุณนาย ทั้งหลายจะเรืองอำนาจ ถ้าวันจันทร์เป็นวันเนา มักเกิดความไข้ต่าง ๆ และเกลือจะแพง นางพญาจะร้อนใจ ถ้าวันจันทร์เป็นวันเถลิงศก พระราชินีและท้าวนางฝ่ายในจะมีความสุขสำราญ ถ้าวันอังคาร เป็นวันมหาสงกรานต์ โจรผู้ร้ายจะชุกชุม จะเกิดการเจ็บไข้ร้ายแรง แต่ถ้าวันอังคารเป็นวันเนา ผลหมากรากไม้จะแพง ถ้าวันอังคารเป็นวันเถลิงศก ข้าราชการทุกหมู่เหล่าจะมีความสุข มีชัยชนะแก่ศัตรูหมู่พาล ถ้าวันพุธ เป็นวันมหาสงกรานต์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะได้รับการยกย่องจากต่างประเทศ ถ้าวันพุธเป็นวันเนา ข้าวปลาอาหารจะแพง แม่หม้ายจะพลัดที่อยู่ ถ้าวันพุธเป็นวันเถลิงศก บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจะมีความสุขสำราญ ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ ผู้น้อยจะแพ้ผู้เป็นใหญ่ และเจ้านาย ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันเนา ผลไม้จะแพง ราชตระกูลจะมีความร้อนใจ ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันเถลิงศก สมณชีพราหมณ์จะปฏิบัติกรณียกิจอันดีงาม ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ พืชพันธุ์ธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์ ฝนชุก พายุพัดแรงผู้คนจะเป็นโรคตาและเจ็บไข้กันมาก ถ้าวันศุกร์เป็นวันเนา พริกจะแพง แร้งกาจะเป็นโรค สัตว์ป่าจะเป็นอันตราย แม่หม้ายจะมีลาภ ถ้าวันศุกร์เป็นวันเถลิงศก พ่อค้าคหบดีจะทำมาค้าขึ้น มีผลกำไรมาก ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ โจรผู้ร้ายจะชุกชุม จะเกิดการเจ็บไข้ร้ายแรง ถ้าวันเสาร์เป็นวันเนา ข้าวปลาจะแพง ข้าวจะได้น้อย ผลไม้จะแพง น้ำน้อย จะเกิดเพลิงกลางเมือง ขุนนางจะต้องโษ ถ้าวันเสาร์เป็นวันเถลิงศก บรรดาทหารทั้งปวงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู การพยากรณ์ข้างต้น ก็เช่นเดียวกับทำนายดวงเมืองในปัจจุบัน อันเป็นการคำนวณทางโหรศาสตร์ที่เป็นสถิติชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่เกิดเหตุการณ์นั้น ๆ ขึ้นก็ได้ แต่คำทำนายเหล่านี้ก็เป็นเสมือนคำเตือนล่วงหน้าให้ทุกคนดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท และรู้จักเตรียมวิธีป้องกันหรือแก้ไขไว้ล่วงหน้า
ที่มา https://www.baanjomyut.com/library/songkran/ https://www.dmc.tv/pages https://www.sanook.com/campus/948044/ th.wikipedia.org › wiki

18 มีนาคม, 2567

ประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับงานศพไทย

ประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับงานศพไทย
ความเป็นมาและความสำคัญ พิธีศพของคนไทย สามารถเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในประเพณี หรือพิธีกรรมที่สืบทอดกันมานานหลายพันปีแล้ว จะเห็นได้ว่าทุกชนชาติ ทุกประเทศทั่วโลกจะมีพิธีกรรมการจัดงานศพเฉพาะเป็นของตนเอง บางประเทศอาจมีขั้นตอนที่คลายคลึงกัน เนื่องด้วยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศนั้น และนำมาผสมผสานกับประเพณี วัฒนธรรมของท้องถิ่นตนเอง จนเกิดเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีของแต่ละพื้นที่ขึ้นมา หรือบางพื้นที่อาจมีพิธีกรรมการจัดงานศพที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ อย่าง พิธีศพของชาวมอญ ที่จะมีประเพณีร้องไห้มอญ หรือการทำพิธีศพลอยฟ้า ของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นต้น สำหรับประเทศไทยนั้นก็มีประวัติความเป็นมา เกี่ยวกับการจัดพิธีศพมาอย่างยาวนาน จนพัฒนาการเป็นขั้นตอนการจัดงานศพอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน การจัดพิธีศพของคนไทยในสมัยอดีต มี ความเป็นมายาวนานกว่า 5,000 ปีแล้ว ในสมัยแรกๆนั้น ในชนชั้นผู้ที่มีอำนาจในยุคนั้น อย่างผู้นำหมู่บ้าน หากยามตายลงการจะจัดพิธีศพโดยการฝังลงร่างของผู้ตายลงดิน หากเป็นชาวบ้านทั่วไปจะนำศพไปทิ้งไว้กลางป่า เพื่อให้สัตว์ป่า แร้ง กา มาจิกกิน เป็นรูปแบบหนึ่งในการทำพิธีของยุคแรกๆ ต่อมาได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ จึงมีการทำพิธีปลงศพโดยการเผา แบบเดียวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในส่วนของการแต่งกายร่วมงานศพ ยุคแรกนั้นชุดแต่งกายไปงานศพจะมีสีสันที่ฉูดฉาด ไม่ได้เน้นแต่เพียง สีดำ อย่างในปัจจุบัน ซึ่งการแต่งชุดดำเพื่อไว้ทุกข์นั้นเริ่มมีมาตั้งแต่ สมัยของ รัชกาลที่ 5 ด้วยได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตก ช่วงแรกจะนิยมแต่งดำเพียงในกลุ่มของชั้นผู้ราชการ หรือชั้นเจ้านาย ก่อนค่อยๆแพร่กระจายออกไปยังชนชั้นต่างๆ จนกลายเป็นธรรมเนียมที่แต่งชุดดำไปงานศพ การจัดพิธีณาปนกิจ เรียกอีกอย่างว่า พิธีศพ ซึ่งเป็นพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่ง หรือเป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นธรรมเนียมประเพณีที่หากบ้านใดมีคนเสียชีวิต จะเป็นบุคคลในครอบครัว หรือญาติใกล้ชิด เป็นผู้จัดพิธีกรรมทางศาสนาให้ เพื่อส่งวิญญาณของผู้วายชนย์ไปสู่สรวงสวรรค์ อันสุขสงบ ในบางพื้นที่ของประเทศไทย การจัดงานศพนั้นอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง อาทิ บางพื้นที่จะมีการบรรเลงปี่พาทย์มอญ ภายในงานศพ เนื่องด้วยบทเพลงสำหรับใช้บรรเลงนั้นมีทำนองที่เยือกเย็น เศร้าระทม จึงเหมาะแก่การใช้บรรเลงภายในงานศพนั่นเอง แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่คู่มาทุกยุคทุกสมัยมาคือ ดอกไม้หน้าศพ ด้วยยุคแรกๆนั้น ใช้สำหรับกลบกลิ่นศพ ต่อมาในปัจจุบันดอกไม้ในงานศพนั้นนอกจากมีไว้เพื่อความสวยงามแล้ว ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่สำหรับแสดงความอาลัยรักครั้วสุดท้ายจากครอบครัว ซึ่งดอกไม้นั้นสามารถช่วยเยียวยาจิตใจของผู้พบเห็นได้ นอกจากจะเป็นสิ่งแสดงความอาลัยรักจากคนในครอบครัวแล้ว ในสมัยก่อนยังใช้สำหรับดับกลิ่นคนตายได้เช่นกัน เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีฟอร์มาลีนอย่างในปัจจุบัน ดอกไม้จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถดับกลิ่นได้ เมื่อเวลาผ่านไป จึงกลายเป็นธรรมเนียมที่เวลาจัดงานศพจะต้องมีดอกไม้หน้าศพนั่นเอง พิธีงานศพไทยถือเป็นประเพณีหรือพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่ผู้ใกล้ชิดอย่างคนในครอบครัว หรือญาติสนิทมิตรสหาย จะกระทำให้กับผู้ล่วงลับเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเป็นการให้เกียรติและระลึกถึงคุณงามความดีของผู้วายชนม์เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ วิธีการและขั้นตอนในการจัดพิธีศพมีความเชื่อ วิธีการ และขั้นตอนการปฏิบัติดังต่อไปนี้ วิธีการและลำดับขั้นตอนในการจัดพิธีงานศพไทย 1. การแจ้งตาย เมื่อมีผู้เสียชีวิต ลำดับแรกก่อนที่จะจัดพิธีงานศพไทยก็คือ “การแจ้งตาย” นั่นเอง โดยญาติหรือผู้พบศพจะต้องแจ้งตายที่สำนักทะเบียนท้องถิ่นภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่เวลาเสียชีวิตหรือพบศพ เพื่อขอรับใบมรณบัตร และเมื่อได้รับใบมรณบัตรแล้ว ควรถ่ายสำเนาเอกสารแล้วให้เจ้าหน้าที่รับรองสำเนาเอกสารไว้ด้วยค่ะ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนใบมรณบัตรฉบับจริงจะต้องนำไปแจ้งต่อสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่ผู้เสียชีวิตมีภูมิลำเนาอยู่ พร้อมนำทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านไปด้วย เพื่อให้เจ้าหน้าที่จำหน่ายได้ว่าเสียชีวิตเมื่อใด โดยต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบภายในเวลา 15 วัน 2. การนำศพไปวัด ลำดับถัดมาก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่พิธีงานศพไทยก็คือ “การนำศพไปวัด” เมื่อแจ้งตายกับสำนักทะเบียนท้องถิ่นแล้วให้ติดต่อวัดที่จะนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศล หรือบางพื้นที่ก็จะตั้งศพที่บ้าน แต่ถ้าผู้เสียชีวิตนั้นเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ก็สามารถแจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล เพื่อขอให้จัดรถส่งศพให้ จากนั้นให้นิมนต์พระสงฆ์ ๑ รูปมาชักศพที่จะเคลื่อนไปสู่วัด หรือบ้าน ที่นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศล ทั้งนี้ก่อนที่จะนำศพไปวัด ควรจัดเตรียมเสื้อผ้าจากโรงพยาบาลหรือทางบ้านให้เรียบร้อยก่อน พร้อมกับจัดเตรียมผ้าแพรสำหรับคลุมศพและรูปภาพที่จะตั้งหน้าศพ แต่ถ้าผู้เสียชีวิตนั้นเป็นผู้ที่อยู่ในเกณฑ์สมควรได้รับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ให้แจ้งไปยังต้นสังกัดของผู้นั้นแล้วเดินเรื่องไปยังกองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง เพื่อขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพและเครื่องประกอบเกียรติศพต่อไป 3. การอาบน้ำศพและการรดน้ำศพ “การอาบน้ำศพ” หรือที่เรียกว่า “พิธีรดน้ำศพ” ถือเป็นขั้นตอนแรกของพิธีงานศพไทยก่อนที่จะนำศพใส่โลง ทางญาติของผู้เสียชีวิตจะทำการอาบน้ำหรือชำระร่างกายของศพให้สะอาด เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผู้ล่วงลับเดินทางไปสู่ภพภูมิอื่นได้อย่างสะอาดบริสุทธิ์ค่ะ โดยบุตร ธิดา หรือญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตจะทำหน้าที่อาบน้ำศพเท่านั้น ไม่นิยมเชิญคนภายนอก เนื่องจากถือว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ซึ่งการอาบน้ำศพนี้จะอาบด้วยน้ำอุ่นก่อนแล้วล้างด้วยน้ำเย็น และฟอกสบู่ขัดถูร่างกายศพให้สะอาด ทั้งนี้จะมีการใช้สำลีอุดจมูกศพ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเหลืองไหลออกและแมลงไต่ตอมค่ะ เมื่ออาบน้ำศพเสร็จแล้วก็นำขมิ้นมาทาทั่วร่างกายศพ รวมไปถึงฝ่ามือฝ่าเท้า แล้วจึงประพรมด้วยน้ำหอม แต่หากเป็นศพที่ตนเคารพนับถือ เช่น บิดา มารดา ฯลฯ ก็จะใช้ผ้าขาวหรือผ้าเช็ดหน้ามาซับใบหน้า และฝ่ามือฝ่าเท้า เพื่อเก็บไว้กราบไหว้บูชา หรือใช้เป็นผ้าประเจียด จากนั้นจึงจะแต่งตัวศพตามฐานะของผู้เสียชีวิต โดยให้ใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและใหม่ที่สุดเท่าที่มีอยู่ แต่หากเป็นข้าราชการก็ให้แต่งเครื่องแบบชุดขาวเต็มยศ ไม่ต้องมีผ้าคลุมใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่อแต่งตัวศพเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะนำศพขึ้นนอนบนเตียงสำหรับรอการรดน้ำศพต่อไป “พิธีรดน้ำศพ”ในพิธีรดน้ำศพนั้น ส่วนมากจะนิยมตั้งเตียงไว้ทางด้านซ้ายของโต๊ะหมู่บูชาพระรัตนตรัย โดยให้ตั้งโต๊ะหมู่บูชาไว้ด้านบนศีรษะของศพ จากนั้นจึงค่อยจัดร่างศพให้นอนหงายเหยียดยาว หันด้านขวามือของศพ หรือด้านปลายเท้าของศพให้มาอยู่ทางแขกผู้ที่มาร่วมเคารพศพ พร้อมกับจัดมือขวาให้เหยียดออกห่างจากตัวศพเล็กน้อยและแบมือเหยียดออก เพื่อคอยรับการรดน้ำศพ และใช้ผ้าใหม่ๆ หรือผ้าแพรคลุมตลอดร่างศพนั้น แต่จะเปิดเฉพาะหน้าและมือขวาของศพเท่านั้น แต่หากเป็นศพที่ประสบอุบัติเหตุ อวัยวะฉีกขาดในสภาพที่ไม่น่าดูล่ะก็… ให้โยงสายสิญจน์จากร่างหรือหีบศพไปยังภาชนะรองรับการรดน้ำศพแล้วประกอบพิธีรดน้ำที่สายสิญจน์นั้น โดยไม่ต้องเปิดผ้าคลุมศพเมื่อประกอบพิธี ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีได้แก่ ขันน้ำพานรองขนาดใหญ่สำหรับตั้งไว้คอยรองรับน้ำที่รดมือศพแล้ว, น้ำมนต์ผสมน้ำสะอาด โรยด้วยดอกไม้หอมหรืออาจจะใช้น้ำอบ น้ำหอมผสมด้วย และขันเล็ก ๆ สำหรับตักน้ำยื่นให้แก่ผู้ที่มารดน้ำศพ ก่อนเริ่มพิธีรดน้ำศพนั้น ส่วนมากจะนิยมให้เจ้าภาพหรือเชิญผู้มีอาวุโสมาเป็นประธานในพิธี เพื่อจุดเครื่องบูชาพระรัตนตรัย แล้วจุดเครื่องทองน้อยหรือธูปเทียนทางด้านศีรษะของศพ จากนั้นจึงเริ่มพิธีต่อไป โดยทั่วไปแล้วพิธีนี้จะนิยมเริ่มในเวลา 16.00 – 17.00 น. ซึ่งเจ้าภาพ ลูกหลาน ญาติพี่น้องของผู้ล่วงลับจะทำการรดน้ำศพเสียก่อน จากนั้นจึงจะเชิญแขกผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ ที่เป็นคนใกล้ชิด ญาติสนิทมิตรสหาย บุคคลที่เคารพนับถือ หรือคนรู้จัก โดยลูกหลานหรือบุคคลใกล้ชิดกับผู้ล่วงลับจะทำหน้าที่รับ-ส่งภาชนะรดน้ำศพให้กับแขกผู้ร่วมงานศพค่ะ สำหรับแขกที่มารดน้ำศพนั้นให้ทักทายและแสดงความเสียใจต่อเจ้าภาพ แล้วจึงนั่งรอในที่จัดเตรียมไว้ เมื่อเจ้าภาพเชิญให้ไปรดน้ำยังบริเวณที่ตั้งศพ ควรทำความเคารพศพก่อนแล้วจึงรดน้ำลงบนฝ่ามือขวาของศพที่ยื่นออกมา พร้อมทั้งกล่าวคำอาลัยหรืออโหสิกรรมให้กับผู้ล่วงลับ 4. การจัดงานบำเพ็ญกุศลและการสวดอภิธรรม ขั้นตอนลำดับถัดมาของการจัดพิธีงานศพไทยก็คือ “การจัดงานบำเพ็ญกุศล” หรือ “พิธีสวดอภิธรรม” นั่นเองค่ะ ซึ่งพิธีสวดอภิธรรมนี้จะเริ่มสวดตั้งแต่วันตั้งศพเป็นต้นไปประจำทุกคืน ส่วนมากจะนิยมสวด ๑ วัน, ๓วัน, ๕ วัน หรือ ๗ วัน แต่ในบางรายอาจสวดพระอภิธรรมศพจนครบ๑๐๐ วัน หรือจนถึงวันฌาปนกิจศพ โดยเจ้าภาพจะนิมนต์พระสงฆ์๔ รูปมาสวดพระอภิธรรมศพจำนวน ๔ จบ และเมื่อสวดพระอภิธรรมศพ เจ้าภาพจึงถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ทั้งนี้พิธีสวดอภิธรรมมีจุดประสงค์เพื่อให้ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตายเป็นสำคัญและเป็นการให้เจ้าภาพ ญาติมิตร และแขกผู้มาร่วมงานแสดงออกถึงความเคารพนับถือและความกตัญญูต่อผู้ล่วงลับอีกด้วย “การจัดงานบำเพ็ญกุศล” หรือ “พิธีสวดอภิธรรม” นั้นถือว่าเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่มีจุดประสงค์เพื่อให้เจ้าภาพ ครอบครัว และเครือญาติได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิต อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงความเคารพนับถือและความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ล่วงลับด้วยค่ะ วันนี้หรีดมาลาจะมาอธิบายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีสวดอภิธรรมศพและขั้นตอนการปฏิบัติของพิธีนี้ให้ทุกคนได้ทราบ “พิธีสวดอภิธรรม” ตามประเพณีไทยแล้ว ก่อนที่จะทำการฌาปนกิจศพก็จะมีการจัดงานบำเพ็ญกุศลหรือ “พิธีสวดอภิธรรม” ซึ่งพิธีนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สวดหน้าศพ” และนิยมจัดขึ้นตั้งแต่วันตั้งศพเป็นวันแรกและสวดประจำทุกคืน ส่วนมากจะนิยมสวด ๑ คืน, ๓ คืน, ๕ คืน หรือ ๗ คืน แต่ในบางกรณีอาจมีการสวดพระอภิธรรมศพจนครบ ๑๐๐ วัน หรือจนกว่าจะถึงวันฌาปนกิจศพ ส่วนสาเหตุที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยนำเอาคัมภีร์พระอภิธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องกับพิธีนี้ก็คือ ๑. สอนให้ผู้ฟังและผู้ร่วมงานนั้นพิจารณาและเห็นสัจธรรมหรือความจริงของชีวิตที่ว่า “ไม่มีใครหลีกหนีความตายได้พ้น” ได้โดยง่าย ๒. เป็นการสวด เพื่อให้บุญหรืออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับ เป็นการแสดงออกถึงความรัก ความเคารพนับถือ และความกตัญญูกตเวทีต่อผู้วายชนม์ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ๓. เป็นการตอบแทนหรือสนองบุญคุณแก่บิดา มารดา ถึงแก่กรรมลง ตามแบบพระจริยวัตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จขึ้นไปทรงแสดงพระอภิธรรมเทศนาแด่พุทธมารดาที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือถึงแม้ว่าผู้ล่วงลับจะไม่ใช่บิดา มารดาก็ตาม แต่การนำพระอภิธรรมมาแสดงธรรมเทศนาในงานศพก็ถือเป็นประเพณีไปแล้ว ๔. พระอภิธรรมเป็นคำสอนขั้นสูงที่มีเนื้อหาละเอียดลึกซึ้ง หากนำมาแสดงธรรมเทศนาในงานบำเพ็ญกุศลให้กับผู้ล่วงลับแล้ว ผู้ล่วงลับจะได้รับบุญมาก ซึ่งการสวดอภิธรรมนี้คือการนำคำบาลีขึ้นต้นสั้น ๆ ในแต่ละคัมภีร์ของพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์มาเรียงต่อกัน บางทีเราเรียกการสวดพระอภิธรรมนี้ว่า “การสวดมาติกา” แต่ถ้าเป็นงานพระศพของบุคคลสำคัญในราชวงศ์จะเรียกว่า “พิธีสดับปกรณ์” ที่เพี้ยนมาจากคำว่า “สัตตปกรณ์” หมายถึง “พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์” ขั้นตอนการปฏิบัติของพิธีสวดอภิธรรม ๑. ก่อนเริ่มพิธีสวดอภิธรรมศพ เจ้าภาพจะต้องเตรียมเครื่องไทยธรรมพร้อมผ้าสบง เพื่อถวายแด่พระสงฆ์ และผ้าบังสุกุลที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ ซึ่งในปัจจุบันทางวัดหรือฌาปนสถานมีบริการจัดหาให้ นอกจากนั้นยังมีปัจจัยถวายพระ ๔ รูป ตามแต่ศรัทธา และอาหารว่างเลี้ยงแขกผู้ร่วมงานที่มาฟังสวดทุกคืน ๒. เจ้าภาพนิมนต์พระสงฆ์สวดอภิธรรม ๔ รูป มาสวด ๔ จบ ส่วนมากจะนิยมสวดตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๐ น. ๓. สำหรับแขกผู้ร่วมงาน เมื่อเข้ามาในศาลาที่ตั้งศพแล้วควรกราบพระก่อนด้วยเบญจางคประดิษฐ์ จากนั้นจึงจุดธูป ๑ ดอก เพื่อไหว้เคารพตามความเหมาะสม เช่น – หากผู้ล่วงลับเป็นผู้สูงอายุ ให้กราบ ๑ ครั้งแบบไม่แบมือ – หากผู้ล่วงลับเป็นพระภิกษุสงฆ์ ให้กราบเบญจางคประดิษฐ์ – หากผู้ล่วงลับอยู่ในวัยเดียวกัน ให้ยืนคำนับหรือนั่งไหว้ – หากผู้ล่วงลับอายุน้อยกว่า ให้ยืนหรือนั่งในท่าที่สงบ ๔. เจ้าภาพหรือประธาน/ผู้แทนในพิธีสวดอภิธรรมประจำคืน จุดธูปเทียน เพื่อบูชาพระรัตนตรัยและพระธรรม จากนั้นจึงจุดเครื่องทองน้อยหน้าศพตามลำดับ ๕. ศาสนพิธีกรอาราธนาศีล ทุกคนรับศีล ๖. พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม ๗. เมื่อพระสงฆ์สวดอภิธรรมครบทั้ง ๔ จบ เจ้าภาพหรือประธาน/ผู้แทนในพิธีจึงถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ จากนั้นก็จะเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่จากไปด้วยพิธีทอดผ้าบังสุกุล และถวายของจตุปัจจัยให้แก่พระสงฆ์ แล้วจึงกรวดน้ำให้แก่ผู้ล่วงลับ เป็นอันเสร็จสิ้น หลังจากที่ได้ทราบถึงเรื่องราวน่ารู้และขั้นตอนของ “พิธีสวดอภิธรรม” ไปแล้ว จะเห็นได้ว่าพิธีนี้เป็นการสวดเพื่อให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเห็นความเป็นจริงของชีวิตว่าไม่มีใครหลบหนีความตายได้พ้น ฉะนั้นให้รีบเร่งทำแต่ความดีเสียตั้งแต่วันนี้ แล้วครั้งหน้าหรีดมาลาจะมาอธิบายถึงเรื่องราวของและลำดับขั้นตอนของ “พิธีฌาปนกิจ” ๕. การบรรจุเก็บศพ ในการจัดพิธีงานศพไทย ก่อนเข้าสู่ขั้นตอน “การฌาปนกิจศพ” ก็จะเป็น “การบรรจุเก็บศพ” นั่นเอง ซึ่งการบรรจุเก็บศพนี้จะกระทำหลังจากการสวดพระอภิธรรมในคืนสุดท้ายเสร็จสิ้นลงแล้ว โดยจะนำศพไปเก็บที่สุสานหรือศาลา เพื่อรอให้ญาติหรือโอกาสที่เหมาะสมก่อนจะทำการฌาปนกิจหรือฝังศพในสุสานต่อไป ๖. การฌาปนกิจศพ “พิธีฌาปนกิจ” ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในพิธีงานศพไทย เนื่องจากเป็นพิธีกล่าวอำลาและแสดงความอาลัยแก่ผู้ล่วงลับในครั้งสุดท้าย นอกจากนั้นยังเป็นวันสุดท้ายของศพที่จะเข้าสู่เชิงตะกอนอีกด้วย ซึ่งพิธีฌาปนกิจนี้เป็นพิธีกรรมที่ทำให้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ได้มีโอกาสระลึกถึงผู้ล่วงลับและตระหนักถึงสัจธรรมของชีวิตเกี่ยวกับความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งที่ว่า “สิ่งใดในโลกล้วนอนิจจัง” ฉะนั้นให้รีบหมั่นทำความดีและสร้างบุญกุศลมากขึ้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยจะมีการเวียนศพไปทางด้านซ้ายหรือทวนเข็มนาฬิกาทั้งหมด ๓ รอบ เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่ผู้ล่วงลับและเป็นปริศนาธรรมเกี่ยวกับกฎไตรลักษณ์ อันได้แก่ “อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา” หรือ “การเวียนว่ายตายเกิด” จากนั้นจึงจะเชิญศพขึ้นสู่เมรุ เจ้าภาพอ่านคำและยืนไว้อาลัยแล้วต่อด้วยเชิญแขกผู้ใหญ่ทอดผ้าบังสุกุล และตามด้วยประธานในพิธีทอดผ้าบังสุกุลหน้าหีบศพ และสุดท้ายจึงจะเชิญแขกผู้ร่วมงานขึ้นประชุมเพลิง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ต้องมีในพิธีงานศพไทย ก่อนเริ่มทำ “พิธีฌาปนกิจ” หรือ “เผาศพ” นั้น เจ้าภาพที่เป็นบุคคลในครอบครัว หรือญาติพี่น้องของผู้ล่วงลับจะต้องทำ มีดังต่อไปนี้คือ ๑. กำหนดวันที่จะทำการฌาปนกิจศพที่แน่นอน แล้วจึงทำความตกลงกับเจ้าหน้าที่ของวัดหรือฌาปนสถานก่อน เพื่อเป็นการเลือกจองวันและเวลาที่ต้องการ ๒. ในกรณีที่มีการบรรจุเก็บศพไว้ก่อนจะทำการฌาปนกิจ จะต้องนำศพมาตั้งสวดพระอภิธรรมอีกวาระหนึ่ง ด้วยการสวดก่อน ๑ คืน แล้ววันรุ่งขึ้นจึงจะทำพิธีฌาปนกิจ หรือไม่ต้องมีพิธีสวดอภิธรรมอีกก็ได้ เพียงแค่ยกศพขึ้นตั้ง โดยในตอนเช้าให้เลี้ยงเพลพระและนิมนต์พระสงฆ์ขึ้นเทศน์พระธรรมเทศนาในตอนบ่าย แล้วจึงทำการฌาปนกิจศพในตอนเย็น การกระทำเช่นนี้มักเรียกกันว่า “ตั้งเช้า เผาเย็น” แต่หากศพนั้นเป็นบุพการี (พ่อแม่), สามี หรือภรรยา เราควรตั้งสวดพระอภิธรรมอีกหนึ่งคืนก่อน เพื่อให้เกียรติและรำลึกถึงผู้เสียชีวิต อีกทั้งยังเป็นการบำเพ็ญกุศลเพิ่มเติมให้อีก ๓. บำเพ็ญกุศลอุทิศให้ผู้ล่วงลับก่อน ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ทำพิธี “บวชหน้าไฟ” ให้แก่ลูกหลาน, นิมนต์พระสงฆ์ ๑๐ รูป เพื่อสวดพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหารเพล, จัดให้มีเทศนาธรรม ๑ กัณฑ์, นิมนต์พระสงฆ์สวดมาติกา-บังสุกุล (พระสงฆ์จำนวน ๑๐ รูป หรือเท่าอายุผู้ล่วงลับ หรือตามศรัทธา) และถวายเครื่องไทยธรรมและกรวดน้ำ ๔. เตรียมอุปกรณ์หลักที่ต้องใช้ใน พิธีฌาปนกิจ ได้แก่… – เครื่องไทยธรรม ผ้าสบงถวายพระสวดมนต์ฉันเพล – เครื่องไทยธรรมผ้าไตร และเครื่องติดกัณฑ์เทศน์ถวายพระเทศน์ – ผ้าไตรประธานเพื่อทอดบังสุกุล และมหาบังสุกุลก่อนทำการฌาปนกิจ – ผ้าสบงถวายพระสวดมาติกา-บังสุกุลตามจำนวนพระสวด – ดอกไม้จันทน์สำหรับประธานในพิธี และดอกไม้จันทน์ให้กับแขกผู้ร่วมงาน ๕. หลังจากบำเพ็ญกุศลอุทิศให้ผู้ล่วงลับแล้ว ก่อนจะเคลื่อนศพไปตั้งที่เมรุนั้น ให้ลูกหลาน ญาติพี่น้อง หรือคนใกล้ชิดกับผู้ล่วงลับได้ทำพิธีขอขมาศพ เพื่อเป็นการอภัยโทษและอโหสิกรรมที่เคยล่วงเกินต่อกัน ด้วยการตั้งจิตหรือกล่าวคำขอขมาต่อศพนั้น วันพิธีฌาปนกิจ ในช่วงเช้าของพิธีฌาปนกิจ เจ้าภาพจะต้องนิมนต์พระสงฆ์ ๑ รูป เป็นผู้นำในขบวนแห่ศพเวียนรอบเมรุ และมีคนถือเครื่องทองน้อยหรือกระถางธูปนำหน้าศพ แต่ถ้าศพนั้นมีรูปถ่ายของผู้ล่วงลับที่ต้องนำไปไว้ในที่บำเพ็ญกุศล ก็ต้องมีคนถือรูปถ่ายนำหน้าศพ จากนั้นจึงตามด้วยเจ้าภาพ ลูกหลาน และเครือญาติของผู้ล่วงลับช่วยกันแห่ศพเวียนเมรุทั้งหมด 3 รอบ โดยลำดับการแห่ศพถือหลักดังนี้คือ “พระสงฆ์-กระถางธูป-รูปภาพ-ศพ-ญาติมิตร” ซึ่งการแห่ศพเวียนเมรุนี้จะต้องเริ่มจากบันไดหน้าเมรุและเดินเวียนซ้าย (เมรุอยู่ทางด้านซ้ายมือของผู้เดิน) ทั้งหมด ๓ รอบ เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ล่วงลับ และเป็นปริศนาเกี่ยวกับกฎไตรลักษณ์ที่ว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” หรือการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งสามภพ คือ ในโลก นรก และสวรรค์ และเมื่อแห่ศพเวียนเมรุครบทั้ง ๓ รอบแล้ว เจ้าหน้าที่จึงนำศพขึ้นตั้งบนเมรุ เมื่อถึงช่วงเย็นของพิธีพิธีฌาปนกิจ ก่อนจะทำการฌาปนกิจก็จะมีการกล่าวชีวประวัติของผู้ล่วงลับ เพื่อรำลึกถึงคุณความดีต่าง ๆ ที่ผู้ล่วงลับเคยกระทำไว้ และให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ตระหนักถึงสัจธรรมของชีวิตแล้วจึงทอดผ้าบังสุกุล จากนั้นเจ้าภาพจึงจะเชิญแขกผู้ร่วมงานนำดอกไม้จันทน์และธูปเทียนสำหรับขอขมาศพขึ้นเมรุเพื่อประชุมเพลิง โดยนำดอกไม้จันทน์วางไว้ที่ใต้เชิงตะกอนสำหรับจุดไฟ หรือวางหน้าพานศพ อาจไหว้เคารพหรือกล่าวขอขมาในใจก่อนแล้วค่อยวางดอกไม้จันทน์และธูปเทียนลงแล้วจึงเดินลงบันไดอีกข้างหนึ่ง เพราะหากเดินย้อนกลับไปทางขึ้นจะทำให้ขวางทางเดินของผู้อื่น หลังพิธีฌาปนกิจ หลังเสร็จสิ้นพิธีฌาปนกิจแล้ว เจ้าภาพ ลูกหลาน หรือเครือญาติของผู้ล่วงลับสามารถเก็บอัฐิได้หลังจากเผาศพในวันนั้นเลย หรือจะทำในเช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้ค่ะ โดยเจ้าภาพจะนิมนต์พระสงฆ์มาพิจารณา “บังสุกุลอัฐิ” หรือที่เรียกว่า “แปรรูป” หรือ “แปรธาตุ” เมื่อทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพจะเก็บอัฐิใส่โกศ โดยเลือกเก็บอัฐิจากร่างกายทั้ง ๖ แห่ง คือ กะโหลกศีรษะ ๑ ชิ้น, แขนทั้งสอง, ขาทั้งสอง และซี่โครงหน้าอก ๑ ชิ้น ส่วนอัฐิที่เหลือ รวมทั้งขี้เถ้าจากการเผาศพจะนำไปทำ “พิธีลอยอังคาร” ๗. การเก็บอัฐิ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีฌาปนกิจของพิธีงานศพไทยแล้วก็มาถึงขั้นตอน “การเก็บอัฐิ” ซึ่งเจ้าภาพอาจจะทำพิธีเก็บอัฐิหลังจากเผาศพ เพื่อรวบรัดขั้นตอนให้เสร็จภายในวันนั้นเลย หรือจะทำในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยพิธีนี้จะเริ่มจากนิมนต์พระสงฆ์มาพิจารณา “บังสุกุลอัฐิ” หรือที่เรียกกันว่า “แปรรูป / แปรธาตุ” ที่มีลักษณะเป็นการนำอัฐิของผู้ล่วงลับที่เผาแล้วมาวางเป็นรูปร่างคน เมื่อทำพิธีเก็บอัฐิเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพจึงจะเก็บอัฐิใส่โกศด้วยการเลือกเก็บอัฐิจากร่างกายทั้ง ๖ แห่ง ได้แก่ กะโหลกศีรษะ ๑ ชิ้น, แขนทั้งสอง, ขาทั้งสอง และซี่โครงหน้าอก ๑ชิ้น ส่วนอัฐิที่เหลือ รวมไปถึงขี้เถ้านั้นจะนำไปลอยอังคาร ๘. การลอยอังคาร “พิธีลอยอังคาร” นี้ถือเป็นขั้นตอนที่ผู้ยังมีชีวิตจะกระทำให้กับผู้ล่วงลับเป็นครั้งสุดท้าย สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับคตินิยมมาจากประเทศอินเดีย เนื่องจากคนอินเดียถือว่าแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์และชำระบาปได้ จึงนิยมนำเผาศพที่ริมแม่น้ำคงคา เพื่อจะได้นำกระดูกและเถ้าถ่านทิ้งลงแม่น้ำแห่งนี้ แต่ถ้าหากไม่ได้สัมผัสกับน้ำในแม่น้ำคงคาก็จะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ หรือไม่หมดบาป แต่สำหรับประเทศไทยนั้นได้รับเอาวัฒนธรรมของพิธีนี้มาจากทั้งสองทางนั่นคือศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ซึ่งพิธีการลอยอังคารนี้จะเป็นการนำเถ้าถ่านที่เหลือจากการเผาศพไปลอยในน้ำ ส่วนมากจะนิยมนำไปลอยในแม่น้ำหรือทะเล สาเหตุที่คนส่วนใหญ่นิยมลอยอังคารฌาปนกิจศพแล้ว เพราะเชื่อกันว่าจะเป็นการส่งดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับไปสู่สุคติหรือภพภูมิที่ดี มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข เปรียบเสมือนสายน้ำที่มีความชุ่มเย็น ขั้นตอนการปฏิบัติของพิธีลอยอังคาร พิธีลอยอังคารมีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้คือ… ๑. บูชาแม่ย่านางเรือ คณะญาติมิตรของผู้ล่วงลับนำอังคาร (เถ้าถ่านของศพที่เผาแล้ว) ไปสู่ท่าเทียบเรือ จากนั้นพิธีกรนำประธานในพิธี หรือญาติอาวุโสลงเรือก่อน ส่วนคนอื่น ๆ ให้รอบนท่าเทียบเรือ เมื่อประธานในพิธีลงเรือแล้วจึงนำดอกไม้สดและธูปเทียนที่ใส่รวมไว้ในพานจุดบูชาแม่ย่านางที่หัวเรือ เพื่อกล่าวบูชาและขออนุญาตแม่ย่านางเรือ โดยประธานกล่าวเองหรือพิธีกรกล่าวนำ เมื่อทำพิธีบูชาแม่ย่านางเรือเสร็จแล้ว คณะญาติมิตรของผู้ล่วงลับจึงนำอังคารลงเรือและออกเรือไปยังจุดที่จะลอยอังคาร ๒. ไหว้อังคารบนเรือก่อนทำพิธีลอยน้ำ เมื่อเรือแล่นมาถึงจุดที่จะทำพิธีลอยอังคารแล้วให้หยุดเรือลอยลำ จากนั้นพิธีกรจึงเปิดลุ้ง/ภาชนะดินปั้นที่ใส่อังคารเพื่อจัดเครื่องไหว้ให้ประธานในพิธี ประธานจุดธูปเทียนไหว้อังคารและสรงด้วยน้ำอบไทย โรยดอกมะลิ กลีบกุหลาบ และดอกไม้อื่น ๆ เมื่อทุกคนไหว้อังคารเสร็จแล้ว พิธีกรจึงห่อลุ้งอังคารด้วยผ้าขาวที่มีขนาดความยาวและกว้างประมาณครึ่งเมตรแล้วรวบด้วยสายสิญจน์ทำเป็นจุกข้างบนและสอดพวงมาลัยเข้าไป และแจกดอกกุหลาบให้กับคณะญาติมิตรคนละ ๑ ดอก ๓. บูชาเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดร พิธีกรจัดเครื่องบูชาเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดรให้แก่ประธาน จากนั้นประธานจึงจุดเทียน ๑ เล่ม และธูป ๗ ดอกที่กระทงดอกไม้ ๗ สี แล้วจึงกล่าวบูชาและฝากอังคารกับเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดรค่ะ ๔. เริ่มพิธีลอยอังคาร เมื่อประธานหรือพิธีกรกล่าวบูชา/กล่าวฝากอังคารกับเจ้าแม่นที-ท้าวสีทันดรเสร็จแล้ว พิธีกรจึงเชิญทุกคนยืนไว้อาลัยประมาณ ๑ นาที จากนั้นประธานจึงโยนเหรียญลงทะเล เพื่อซื้อที่ตามธรรมเนียมแล้วลงบันไดเรือทางกาบซ้าย เพื่อลอยกระทงดอกไม้เจ็ดสี โดยใช้มือประคองค่อย ๆ วางบนผิวน้ำแล้วจึงอุ้มประคองลุ้งอังคารค่อย ๆ วางบนผิวน้ำ โดยให้ผู้ร่วมพิธีทุกคนถือสายสิญจน์ไปด้วย แต่หากกาบเรืออยู่สูงจากผิวน้ำมากเกินไปและไม่มีบันไดลงเรือ ให้ใช้สายสิญจน์ทำเป็นสาแหรก ๔ สาย โดยใส่กระทงดอกไม้เจ็ดสี ๑ สาแหรก และใส่ห่อลุ้งอังคาร 1 สาแหรก ค่อยๆ หย่อนลงไปบนผิวน้ำ (ห้ามโยนลงไปเด็ดขาดค่ะ) และเมื่อห่อลุ้งอังคารลงสู่ผิวน้ำแล้วให้โรยกลีบกุหลาบ ธูปเทียนตามลงไป รวมไปถึงสิ่งของที่เหลือจากการไหว้บูชา ทั้งหมดก็ให้โรยตามลงไปด้วย จากนั้นก็ให้แล่นเรือวนซ้ายทั้งหมด ๓ รอบ เป็นอันเสร็จพิธี ๙. การทำบุญครบรอบวันตายของผู้ล่วงลับ ในการจัดพิธีงานศพไทย “พิธีทำบุญครอบรอบวันตาย” ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะเป็นการทำบุญครั้งใหญ่ที่ญาติของผู้ล่วงลับพึงจะกระทำ เพื่อให้วิญญาณของผู้ล่วงลับได้รับผลบุญและไปสู่สุคติภูมิ ส่วนมากมักจะนิยมทำบุญครบรอบ ๗ วัน, ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วัน เพื่อผู้เสียชีวิตจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลและเดินทางไปสู่สุคติภูมิ โดยเจ้าภาพและญาติของผู้ล่วงลับจะมีการจัดพิธีทำบุญครบรอบวันตายด้วยการนิมนต์พระสงฆ์ ๕ รูป, ๗ รูป หรือ ๙ รูป เพื่อสวดเจริญพระพุทธมนต์ และเลี้ยงอาหารพระตอนเช้าหรือตอนเพล (เวลาประมาณ ๑๑ โมง – ไม่เกินเที่ยง) ระหว่างนี้เจ้าภาพหรือญาติของผู้เสียชีวิตสามารถจัดให้มีการจัดแสดงธรรมเทศนาด้วยก็ได้ วิธีนับวันเสียชีวิตของผู้ล่วงลับ เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลนั้นจะเริ่มนับตั้งแต่วันเสียชีวิตเป็นวันที่ ๑ เช่น ถ้าเสียชีวิตวันจันทร์ ก็จะนับวันจันทร์เป็นวันที่ ๑ และนับวันอื่นไปเรื่อย ๆ จนถึงวันอาทิตย์เป็นวันที่ ๗ ดังนั้นการทำบุญครบรอบ ๗ วันของผู้ล่วงลับจึงต้องกำหนดเป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ หรือบางความเชื่ออาจถือเอาวันที่ ๘ เป็นวันทำบุญครบรอบ ๗ วัน โดยพิธีทำบุญครบรอบวันตายของผู้ล่วงลับในช่วง ๗ วัน, ๕๐ วัน และ ๑๐๐วันนั้นมีความสำคัญที่แตกต่างกันดังนี้ – การทำบุญครบรอบ ๗ วัน คือ ช่วงที่ผู้ล่วงลับยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ สามารถทำบุญได้ในขณะตั้งบำเพ็ญสวดอภิธรรมที่วัด- การทำบุญครบรอบ ๗ วัน คือ ช่วงที่ผู้ล่วงลับยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ สามารถทำบุญได้ในขณะตั้งบำเพ็ญสวดอภิธรรมที่วัด – การทำบุญครบรอบ ๕๐ วัน คือ ช่วงที่ผู้ล่วงลับกำลังรอคอยการพิพากษาจากพญายมราชในยมโลก สามารถทำได้ด้วยการนิมนต์พระมาสวดธรรมนิยามที่ผู้ล่วงลับเคยอาศัยอยู่ – การทำบุญครบรอบ ๑๐๐ วัน คือ ช่วงระหว่าง 50 วัน – 100 วัน คือ ช่วงที่ได้รับการพิพากษาว่าจะส่งไปเกิดเป็นอะไร เช่น ไปรับโทษในนรก, เกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน, เกิดเป็นมนุษย์, เกิดเป็นเทวดา นางฟ้า เป็นต้น พิธีงานศพในศาสนาต่าง ๆ พิธีงานศพในศาสนาต่าง ๆ นั้นถือเป็นพิธีกรรมหลังความตายที่บุคคลในครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหายพึงกระทำให้แก่ผู้วายชนม์เป็นครั้งสุดท้าย โดยในประเทศไทยนั้นมีความเชื่อและขั้นตอนการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปในแต่ละศาสนา ได้แก่ พิธีศพแบบชาวพุทธ, พิธีศพแบบคริสต์ศาสนา และพิธีศพของศาสนาอิสลาม 1. พิธีงานศพแบบชาวพุทธ “พิธีงานศพแบบชาวพุทธ” ถือเป็นพิธีกรรมที่ชาวไทยพุทธรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดีเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งชาวไทยพุทธมีความเชื่อเกี่ยวกับความตายว่าเป็นการดับของขันธ์ 5 อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับ “การเวียนว่ายตายเกิด” ทำให้ชาวไทยพุทธเน้นไปที่การประกอบพิธีกรรมมากกว่า เพราะเชื่อว่าการจัดพิธีงานศพให้แก่ผู้วายชนม์นั้นจะช่วยให้วิญญาณของผู้ล่วงลับไปสู่สุคติภูมิค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นการจัดพิธีงานศพอย่างพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีสวดอภิธรรมศพเป็นเวลาหลายวันเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยประคับประคองและเยียวยาความรู้สึกของบุคคลในครอบครัวหรือญาติสนิทมิตรสหายที่ยังมีชีวิตอยู่ให้คลายความโศกเศร้าจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักลงได้บ้าง และยังทำให้ได้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสังขารอีกด้วยค่ะ ส่วนขั้นตอนการประกอบพิธีงานศพแบบชาวไทยพุทธแบ่งออกเป็น ๔ ขั้นตอนใหญ่ ๆ ได้แก่ ขั้นตอนการอาบน้ำศพ, ขั้นตอนการบำเพ็ญกุศลและการสวดอภิธรรมศพ, ขั้นตอนการฌาปนกิจ และขั้นตอนการเก็บอัฐิ ซึ่งแต่ละขั้นตอนของพิธีงานศพล้วนแต่แฝงสัจธรรมแห่งชีวิต ๒. พิธีงานศพแบบคริสต์ศาสนา “พิธีงานศพแบบคริสต์ศาสนา” ชาวคริสต์มีความเชื่อเกี่ยวกับความตายในแต่ละนิกายที่แตกต่างกันไปค่ะ อย่างเช่น นิกายคาทอลิกเชื่อว่าเป็นภาวะที่ร่างกายและวิญญาณแยกออกจากกัน เมื่อเสียชีวิต ร่างกายที่เป็นสสารจะกลายเป็นธุลีตามเดิม ขณะที่วิญญาณที่แยกออกจากร่างกายจะถูกนำไปพิพากษาตามบาปบุญ ส่วนนิกายโปรเตสแตนต์เชื่อว่าเมื่อมนุษย์สิ้นชีวิตลงจะได้กลับไปมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ นั่นคือกลับไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์อันเป็นที่อยู่อย่างถาวร ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ผู้ที่มีความเชื่อและศรัทธาในพระองค์ สำหรับขั้นตอนในการจัดพิธีงานศพแบบคริสต์ศาสนามี ๔ ขั้นตอนด้วยกันคือ ขั้นตอนการสวดศพทางคริสต์ศาสนา, ขั้นตอนการนำร่างผู้เสียชีวิตลงโลงศพ, ขั้นตอนพิธีมิสสา และขั้นตอนพิธีฝังศพที่สุสาน ๓. พิธีงานศพแบบศาสนาอิสลาม สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับ “ความตาย” นั้น ชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นการกลับสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าหรือพระอัลเลาะฮ์ ซึ่งเรียกว่า “อายัล” ดังนั้นจึงถือว่าไม่ใช่การดับสูญหรือการสูญเสีย แต่เป็นการเคลื่อนย้ายสถานที่จากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง นอกจากนั้นยังถือว่าเนื้อแท้ของมนุษย์เป็นเพียง “วิญญาณ (รูห์)” ที่ยังคงสภาพอยู่ ไม่ใช่เรือนร่างอันเป็นวัตถุ และเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนย้ายไปสู่ชีวิตใหม่อีกด้วยค่ะ สำหรับขั้นตอนของ “พิธีงานศพแบบอิสลาม” มีขั้นตอนคร่าว ๆ ดังนี้คือ เมื่อมีผู้ล่วงลับ ชาวมุสลิมจะทำหน้าที่ในการอาบน้ำทำความสะอาดศพและห่อผ้าขาว พร้อมสวดวิงวอนอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ และนำไปฝังที่สุสานหรือ “กุโบร์” ภายใน 24 ชั่วโมง หรือฝังให้เร็วที่สุด โดยฝังในท่านอนตะแคงส่วนศีรษะและใบหน้าหันไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่ตั้งของวิหารกะบะฮ์ที่ตั้งอยู่ในนครเมกกะ อาหารในงานศพ ในการเลี้ยงอาหารของเเขกผู้มาร่วมงานศพ ซึ่งถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นการขอบคุณและให้เกียตริ การมาร่วมงานศพ ซึ่งแขกบางท่านก็มาช่วยงานตั้งเเต่เช้า และมาร่วมพิธีการตลอดจนเย็นก็มี และที่สำคัญอาหารจะแบ่งเป็นสองประเภท ไม่ว่าจะเป็น อาหารคาวหมู , เนื้อ , แกง , ผัด ต่างๆ จัดเตรียมตามศาสนาที่นับถือ ซึ่งอาหารบางอย่างก็เคร่งครัด และมีอาหารหวาน เช่น โอวัลติน , ไมโล , น้ำเต้าหู้ , น้ำส้ม , ลอดช่อง , เฉาก๊วย ไอศครีม หรือสั่งมาในชุดขนม เป็นต้น แต่ในปัจจุบันมีความสะดวกสบายมากขึ้น เนื่องจากมีการจัดใส่กล่องเป็นรูปแบบที่พกพาง่าย ซึ่งมีการสั่งทำจากร้านข้างนอกมานั้นเอง มีข้อดีโดยที่เจ้าภาพไม่ต้องจัดเตรียมสิ่งของที่จะต้องให้แม่ครัวทำอาหารให้ยุ่งยาก และมีข้อเสียก็คือมีราคาแพง หากเมื่อเทียบกับการซื้อของมาทำเองนั้นจะถูกกว่า คิดดูว่าจัดงานศพ ๓ วัน ๕ วัน ๗วัน นั้นจะตกอยู่ที่เท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ และอาหารในงานศพ หลักๆที่นิยมทำกันมากที่สุดนั้นก็คือ ข้าวต้ม ไม่ว่าจะ ข้าวต้มหมู ข้าวต้มปลา ข้าวต้มไก่ ข้าวต้มกุ้ง และรองลงมานั้นก็คือ กระเพาะปลา และที่สำคัญตามหลักความเชื่อของคนโบราณที่จัดงานมงคล พิธีการจัดงานศพ หรือประเพณีงานศพ นั้น จะไม่นิยมทำอาหารที่เป็นเส้นต่างๆ เนื่องจากเชื่อกันว่าจะทำให้ผู้ตาย และญาติที่อยู่หลังไม่ยอมตัดขาดจากกัน หรือยังมีสายใยต่อกัน จนอาจส่งให้วิญญาณไม่ยอมไปเกิดใหม่เพราะยังผูกพันธ์กับครอบครัวเก่าอยู่นั่นเอง เเต่ในสมัยนี้บางเจ้าภาพบางท่านก็ไม่เคร่งครัดเหมือนเมื่อก่อนเเล้ว เพราะอาจจะมีปัจจัยหลายๆอย่างที่ทำให้ไม่เหมือนสมัยก่อนนั้น และก็คงถือได้ว่าเเล้วเเต่ความเชื่อส่วนตัวของบุคคล การจัดอาหารงานศพนั้นเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทางเจ้าภาพต้องใส่ใจ และให้ความสำคัญ เนื่องจากอาหารที่เลี้ยงในงานศพนั้นเปรียบเสมือนการให้เกียรติผู้ตาย และยังเป็นเสมือนการที่ผู้ตายได้ดูแลผู้ที่มาร่วมงานเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งวิธีการจัดอาหารงานศพก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นถิ่น รวมถึงมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละศาสนา ซึ่งในบทความนี้จะมาแนะนำถึงวิธีการจัดอาหารงานศพที่ถูกต้องเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่มาร่วมงาน วัฒนธรรมการจัดอาหารงานศพสำหรับชาวพุทธในประเทศไทยนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ โดยอาหารงานศพที่จัดเลี้ยงในพิธีสวดพระอภิธรรมนั้นจะเป็นการจัดอาหารเบาๆ ซึ่งจะเป็นอาหารคาว หรืออาหารหวานก็ได้ เนื่องจากเป็นการสวดในช่วงเย็น หรือหัวค่ำ ซึ่งผู้ที่มาร่วมงานส่วนมากจะยังไม่ได้ทานอาหารเย็น เจ้าภาพจึงจำเป็นที่จะต้องจัดอาหารสำหรับรับรองผู้ที่มาร่วมงานให้มีอาหารรองท้องไม่เกิดความหิวเพราะว่ายังไม่ได้ทานข้าวมื้อเย็น
ที่มา https://www.wreathmala.com https://www.panthachok.co.th/article/9130/

15 มีนาคม, 2567

ประเพณีขันหมากพระปฐม

ความเป็นมาของประเพณีขันหมากพระปฐม ประเพณีการแต่งงานขันหมากพระปฐม ดั่งเดิมแล้วมีที่มาจากการแต่งงานของคนในสมัยโบราณ ที่จะยกเอาหัวขันหมาก หรือ “ ขันหมากแรกของขบวน ” พร้อมด้วยปัจจัยบางส่วนไปถวายแก่พระภิกษุที่ตนได้นิมนต์มาเจริญพุทธมนต์ยังสถานของตน ต่อมาธรรมเนียมนี้ ได้ถูกบรรพชนผู้ทรงปัญญาปริวรรตมาเป็นประเพณี “ขันหมากพระปฐม ” โดยนำเอาเรื่องราวในปฐมสมโพธิกถามาเป็นแกนหลัก โดยสมมติให้เจ้าบ่าวคนแรกเป็นพระเจ้าสุทโธทนะ เจ้าบ่าว ลำดับรองลงไปเป็นพระอนุชาแห่งศากยะวงศ์ และ เจ้าสาวคนแรกเป็นพระนางสิริมหามายา เจ้าสาวลำดับรองลงไปเป็นพระขนิษฐาแห่งโกลิยะวงศ์ บิดามารดาของเจ้าสาวก็จะมาจากการสมมติ ให้เป็นพระราชบิดาพระราชมารดาของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา เหล่าผู้แห่ขันหมากคือปวงข้าราชบริพาร พระราชวงศ์ เสนาทหารทั้งหลายในฝ่ายศากยะ ส่วนผู้ที่ เป็นเพื่อน เป็นญาติ ผู้ร่วมงานฝ่ายเจ้าสาว จะสมมติเป็นข้าราชบริพารและพระราชวงศ์ในฝ่ายโกลิยะ และจะสมมติให้หมอขันหมาก เป็นพระราชครูปุโรหิต ผู้เป็นพิธีกรในการประกาศ อภิเษกวิวาห์ โดยมีพระภิกษุสงฆ์เป็นตัวแทนในการนำหลักธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเทศนาธรรมโอวาท ให้แก่คู่บ่าวสาวในการดำรงชีวิต และเป็นการสอนเรื่องการใช้ชีวิตคู่ การเป็นสามีที่ดี การเป็นภรรยาที่ดี หน้าที่และการดำรงชีวิตคู่ให้มีความสุข ซึ่งในพุทธประวัติ ก็ได้ปรากฏว่า พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดเทศนาธรรมในงานวิวาห์มงคลงานหนึ่ง ทรงสั่งสอนนางกุมาริกาและเจ้าบ่าวให้เห็นถึงโทษของโทสะ จนกระทั่งได้บรรลุโสตาปัตติผล เป็นต้นเค้าของการนิมนต์พระภิกษุไปร่วมในงานอาวาหมงคล หรือ งานแต่งงาน เพื่อรำลึกถึงตอนที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปเทศนาบ่าวสาวคู่นั้น จนมีดวงตาเห็นธรรม โดยพระสูตรที่นิยมนำมาเทศนาในงานแต่งงานเมื่อครั้งอดีต และได้นำมาใช้ในขันหมากพระปฐม ก็นิยม มงคลสูตร ๓๘ เพื่อเป็นหนทางในการดำรงชีพ, ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร เพื่อดำรงชีพในหนทางอริยสัจ ๔ มรรค ๘ ที่ถูกต้อง พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เพื่อให้รู้กุศล อกุศล ดับเหตุแห่งทุกข์ และ พระมาลัย เพื่อให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้เห็นถึงถึงบาปบุญคุณโทษ ซึ่งการเจริญพระธรรมเทศนาบทในข้างต้น และการแสดงธรรมของพระภิกษุ สำหรับชีวิตเมื่อได้ครองเรือน ให้แก่คู่บ่าวสาว ไม่ว่าจะในงานแต่งงานจริง หรือ ในการแต่งงานขันหมากพระปฐมนั้น การที่พระภิกษุจะมาแสดงพุทธพจน์แห่งการครองเรือน และ เทศนาธรรมแก่คู่บ่าวสาวนั้น ถือเป็นแก่นสาระสำคัญยิ่งของพิธีที่จะสอนให้ผู้ที่เข้าร่วมพิธี ไม่ว่าจะวัยเด็ก หรือ ผู้ใหญ่ สถานะใดก็ดี ได้นำเอาหลักธรรม ของการใช้ชีวิตคู่ สามี – ภรรยา นำไปปฏิบัติจนเกิดผลที่ดีตามมาในชีวิต เป็นอานิสงส์สำคัญ ของการจัดขันหมากพระปฐมขึ้นมา สำหรับขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมการจัดขันหมากพระปฐม ก็จะเหมือนกับงานแต่งงานจริง เพียงแต่สถานที่นั้น จะจัดกันที่ศาลาการเปรียญ หรือ ลานกว้างในบริเวณวัด โดยกำหนดให้เจ้าภาพขันหมากและฝ่ายเจ้าบ่าว แห่ขบวนจากปากทางเข้าวัดอย่างเอิกเกริก ผู้ที่จะมาร่วมบุญ ก็ต่างเอาปัจจัยเงินทอง ข้าวของตามที่มีใส่ในขบวนขันหมากตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงสถานที่ที่กำหนดไว้ในวัด ฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะผ่านด่านประตูเงิน – ประตูทอง ที่เสมือนกับงานแต่งจริง แล้วจึงไปนั่งบนศาลา หรือ ที่กำหนดไว้ หลังจากนั้น จะเป็นหน้าที่ของหมอขันหมาก พร้อมกับเหล่าเถ้าแก่ ที่จะมาตรวจสินสอด แล้ว หมอขันหมากก็จะเจิมหน้าผากบ่าวสาว เจิมขันหมาก รดน้ำมนต์ ชุบราศีอวยชัยให้พร ก่อนจะพาเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปกราบพ่อแม่ฝ่ายเจ้าบ่าว ( สมมติ ) กราบพ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาว ( สมมติ ) แล้วจึงพากันไปกราบพระภิกษุสงฆ์ หมอขันหมากอาราธนาศีล พระภิกษุให้ศีล แสดงพระธรรมเทศนา เรื่องการใช้ชีวิตคู่ จากนั้นบ่าวสาวทุกคู่ จะได้ตักบาตรแก่พระภิกษุ ถวายหัวขันหมากให้พระภิกษุผู้เป็นประธานเสร็จแล้ว พระภิกษุสวดมนต์ เจริญมงคลสูตร พุทธมนต์บทต่างๆ แก่คู่บ่าวสาว ตลอดจนผู้ร่วมงาน จากนั้นคือการประพรมน้ำพุทธมนต์ เจ้าบ่าวเจ้าสาวถวายขันหมากพระปฐม หรือ พานหัวขันหมาก พร้อมด้วยปัจจัยให้แก่พระสงฆ์ ฝ่ายเจ้าภาพถวายปัจจัยไทยธรรม ที่เป็นเครื่องขันหมากและสินสอดพระสงฆ์กล่าวอนุโมทนา ถวายภัตตาหารเพล แด่พระภิกษุ-สามเณร ทุกรูป จากนั้นอุบาสก อุบาสิกากรวดน้ำ รับพร นับปัจจัยอีกครั้งก่อนจะมอบส่งให้วัด เป็นอันเสร็จพิธี การจัดขันหมากพระปฐม เป็นประเพณี มีแพร่หลายในหลายจังหวัดทางภาคใต้ตอนกลาง ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง และ ตรัง สำหรับในปัจจุบันนั้น การจัดขันหมากพระปฐมได้ห่างหายไปจากความทรงจำของผู้คนไปหลายสิบปีแล้ว จนกระทั่งได้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2555 ณ วัดคงคาเลียบ ตำบลท่าซัก อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง จนนำมาสู่ การสืบสาน ประเพณีแห่ขันหมากพระปฐม ณ.วัดท่าช้าง ตำบลนาพรุ/ช้างซ้าย อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อส่งเสริม การครองเรือนอย่างมีธรรมของผู้ที่มีคู่แล้ว และ การเรียนรู้ความเป็นครอบครัวของผู้ที่ยังอยู่เพียงลำพัง เพื่อนำหลักธรรมที่ได้ฟัง ตลอดจนธรรมที่แฝงในประเพณี ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข ประเพณี “ยกขันหมากปฐม” บางท้องที่เรียกว่า “ยกขันหมากพระถม” เป็นงานบุญอย่างหนึ่งที่ชาวบ้านและวัดร่วมกันจัดขึ้นเพื่อเรี่ยไรเงินเข้าวัด คล้ายกับงานทอดผ้าป่าหรือทอดกฐิน – อานิสงน์บุญส่งผลในด้านความรัก มีแต่ความสุขความสมหวัง “ยกขันหมากปฐม” โดยการสมมุติเหตุการณ์ย้อนหลังไปครั้งพุทธกาล อาศัยเค้าเรื่องจากพุทธประวัติในคัมภีร์พระปฐมสมโพธิ ตอนวิวาหมงคลระหว่างพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายา มีการสมมุติคู่บ่าวสาวขึ้นแทนพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา และสมมุติบุคคลอื่น ๆ เป็นเครือญาติตามพุทธประวัติ เช่น พระมาตุจฉา พระมาตุลา พระปิตุจฉา พระปิตุลา เป็นต้น ด้วยเหตุที่งานบุญนี้มีการยกขันหมากเหมือนงานแต่งงานจริง ประกอบกับจัดโดยอาศัยเค้า พุทธประวัติในคัมภีร์พระปฐมสมโพธิจึงเรียกว่า “ยกขันหมากปฐม” “ยกขันหมากปฐม” จะสมมุติเอาวัด (อาจเป็นโรงเรียนหรือสถานที่สาธารณะอื่น ๆ ตามที่เห็นสมควร) เป็นสถานที่ประกอบพิธีแต่งงาน โดยจัดพิธีตามขนบประเพณีของท้องถิ่น บรรดาสิ่งของที่นำมาจัดขันหมากก็ดี เงินสินสอดก็ดี เงินขวัญถุงที่บรรดาผู้ไปร่วมงานมอบให้แก่คู่บ่าวสาวก็ดี จะรวบรวมถวายวัดหรือบำรุงการกุศล “ยกขันหมากปฐม” จะจัดขึ้นเมื่อใดแล้วแต่ความพร้อมของวัดและชาวบ้าน จัดได้ทุกเดือน ทุกฤดูกาล เว้นระยะเข้าพรรษา แต่ส่วนมากนิยมจัดกันหลังฤดูเก็บเกี่ยว ประมาณเดือนมีนาคม เป็นต้นไป ส่วนคู่บ่าวสาว ผู้ที่เลือกเฟ้นมาสมมุติเป็นตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาว จะเลือกจากคนโสดที่มีลักษณะดี สวยงาม กล้าและฉลาดในการเรี่ยไร บางแห่งต้องการจัดให้เป็นงานใหญ่ หาเงินได้มาก จะสมมุติให้มีการสมรสพร้อมกันหลายคู่ คู่บ่าวสาวสมมุติอาจเป็นชายจริงหญิงแท้หรือเป็นหญิงทั้งคู่ เป็นชายทั้งคู่ก็ได้ จะใช้เด็กเล็กๆ ก็ได้ เจ้าภาพหรือผู้ใหญ่ ผู้ที่จะสมมุติเป็นบิดาและมารดาของเจ้าบ่าวเจ้าสาว มักเลือกเอาผู้ที่มีคนนับหน้าถือตามากๆ ถ้ามีฐานะดีด้วยก็ยิ่งดี เพราะจะได้เพิ่มค่าสินสอดหรือค่าเงินใส่หัวขันหมาก ได้สูงยิ่งขึ้น บางครั้งจะเลือกผู้เป็นเจ้าภาพฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวให้เป็นคนต่างละแวกกัน เพื่อเสริมสร้างสามัคคีและขยายงานให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ในกรณีคู่บ่าวสาวที่สมมุติเป็นพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายานั้น ผู้ที่สมมุติให้เป็นวงศาคณาญาติจะเลือกเฟ้นกันเป็นพิเศษ และถือเป็นเกียรติอย่างสูงของผู้ที่ได้รับการสมมุติ ต้องแต่งกายอย่างกษัตริย์ ซึ่งอาจหยิบยืมเครื่องแต่งกายจากคณะโนราหรือคณะลิเก บางรายศรัทธาแก่กล้าถึงกับยอมลงทุนจัดทำขึ้นเป็นพิเศษ เสร็จพิธีแล้วถวายเป็นสมบัติของวัดไปก็มี การจัดขันหมากปฐม เมื่อใกล้ถึงวันกำหนด ทั้ง ๒ ฝ่ายจะจัดเตรียมขันหมาก จัดตกแต่งอย่างสวยงาม สิ่งที่ใส่ในขันหมากมีหมากและพลู (ไม่ใช้ขนม) นิยมจัดหมากและพลูให้มีอัตราส่วนเป็นพลู ๑ แบะ (แถว) ต่อหมาก ๕ ผล จะมีจำนวนพลูกี่แบะก็ได้โดยให้หมากเพิ่มขึ้นตามอัตราส่วน นอกนั้นก็มีคล้ายขันหมากแต่งงานจริง (แต่งงานจริงอาจจัด ๙ หรือ ๑๑ ขัน) เงินสินสอดและเงินหัวขันหมาก หัวใจของงานยกขันหมากปฐมคือ “เงินใส่หัวขันหมาก” เป็นเงินที่ทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาวถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องแข่งขันกันจัดหาให้ได้มากที่สุด และมักปิดไว้เป็นความลับ ค่อยรู้กันตอนเปิดดูเงินหัวขันหมากในพิธี เงินจำนวนนี้สมมุติให้เป็นเงินที่ผู้ใหญ่ทั้ง ๒ ฝ่ายมอบให้แก่คู่สมรสเพื่อนำไปใช้ก่อร่างสร้างตัวเป็นครอบครัวใหม่ แต่ที่จริงก็คือเงินที่จะถวายวัด หรือเพื่อการกุศลนั่นเอง จึงอาจได้มาจากผู้ที่เป็นเจ้าภาพและญาติมิตรร่วมกันอนุโมทนาหรือจัดหา ยิ่งหาได้มากเท่าใดถือเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของบรรดาญาติมิตรของผู้ที่สมมุติเป็นญาติผู้ใหญ่ของคู่สมรส เงินอีกส่วนหนึ่งคือ “เงินสินสอด” เงินจำนวนนี้อาจช่วยกันกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องมีเท่าใด เมื่อกำหนดแล้วจะต้องจัดหามาให้ครบ แต่ส่วนมากจะกำหนดให้พอเหมาะตามฐานะ และภาวะเศรษฐกิจของท้องถิ่นในขณะนั้น “เงินสินสอด” นี้ เป็นหน้าที่ของผู้ที่สมมุติตัวเป็นเจ้าภาพฝ่ายเจ้าบ่าว ขั้นตอนพิธีกรรม เมื่อถึงวันกำหนดนัดจะปฏิบัติเหมือนประเพณีแต่งงานจริงของแต่ละท้องถิ่น คือ ๑. ฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะจัดเตรียมขันหมาก และยกขันหมากออกจากบ้านไปที่วัด หรือสถานที่อื่น ๆ ที่กำหนดขึ้น ๒. ให้ขบวนของฝ่ายเจ้าสาวไปถึงก่อน เพราะสมมุติเอาสถานที่นั้นเป็นเสมือนบ้านของ เจ้าสาว (บางท้องถิ่นให้ฝ่ายเจ้าสาวจัดเตรียมแต่งตัวในสถานที่นั้น ๆ เลยก็ได้โดยไม่ต้องเข้าขบวนแห่ก็มี) ๓. เมื่อเจ้าสาวพร้อมแล้วขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวจึงถึงมาทีหลัง การแห่ขันหมากนับว่าเป็นตอนที่สวยงามและเป็นที่สนุกสนานของชาวบ้าน อาจมีผู้นำเงินมาสมทบใส่หัวขันหมากเพิ่มเติมได้ตลอดทาง ๔. เมื่อขบวนขันหมากของฝ่ายเจ้าบ่าวมาถึงใกล้เขตจัดพิธี ฝ่ายเจ้าสาวอาจจะนำผ้าหรือเชือกมากั้นขวางไว้ ไม่ยอมให้ขบวนเข้าไปจนกว่าจะมีผู้นำเงินมาให้เท่าจำนวนที่เรียกร้อง อาจต่อรองกันอย่างสนุกสนานเหมือนธรรมเนียมการแต่งงานจริง ซึ่งเป็นอีกช่วงหนึ่งที่จะเรี่ยไรเงินเข้าวัดได้เพิ่มขึ้น ๕. เมื่อขบวนขันหมากและญาติมิตรของทุกฝ่ายถึงที่ประกอบพิธีพร้อมแล้ว (มักประกอบพิธีที่โรงธรรมหรือที่ที่ปลูกขึ้นเฉพาะ ไม่นิยมจัดในอุโบสถ) แล้วดำเนินพิธีเช่นเดียวกันกับการแต่งงานจริง ๖. เสร็จแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่ละคู่ก็จะแยกย้ายกันกราบไหว้บิดามารดา (สมมติ) ญาติผู้ใหญ่ (สมมติ) ของแต่ละฝ่าย บิดามารดาญาติผู้ใหญ่แต่ละคนก็จะให้พรและมอบของขวัญให้แก่คู่บ่าวสาว (ซึ่งส่วนมากเป็นเงิน มากน้อยตามกำลังศรัทธาของแต่ละคน) ๗. จากนั้นก็ดำเนินพิธีทางศาสนา คู่บ่าวสาวกราบพระ พระสวดให้ศีลให้พร อาจมีการฟังเทศน์ฟังธรรมด้วย ๘. เสร็จแล้วคู่บ่าวสาวก็จะกราบไหว้ผู้ที่ไปร่วมงานทุกคน ซึ่งล้วนสมมุติว่าเป็นญาติมิตรทั้งสิ้น เมื่อกราบไหว้ผู้ใดผู้นั้นก็จะต้องมอบเงินให้เป็นของขวัญมากน้อยตามกำลังเช่นเดียวกัน ๙. นำเงินซึ่งเป็นของขวัญทั้งหมดมารวมกับเงินหัวขันหมาก เงินสินสอดถวายวัดหรือมอบไว้เพื่อการกุศลตามเจตนาของการจัดงานต่อไป ๑๐. เสร็จแล้วก็รับประทานอาหารร่วมกัน เป็นอันเสร็จพิธี ประเพณียกขันหมากปฐมในบางท้องถิ่นมีพิธีเรียงสาดเรียงหมอนด้วย โดยนำของต่าง ๆ มาวางไว้แล้วให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเสี่ยงทายเลือกของนั้น ตามประเพณีถือว่าเป็นการเสี่ยงเพื่อทายอุปนิสัย แต่ผู้ร่วมพิธีคนอื่น ๆ อาจอธิษฐานให้ผลจากการเสี่ยงทายนั้นเป็นนิมิตหมายบอกอุปนิสัยของคนที่ตนเองปรารถนาจะรู้ ของที่นำมาประกอบการเรียงสาดเรียงหมอนและคำทำนายกำหนดไว้ดังนี้คือ ดอกไม้ ทายว่า คู่สมรสจะสดชื่นอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ธูปเทียน ทายว่า คู่สมรสเป็นคนใจบุญ โอบอ้อมอารี กรรไกร ทายว่า เป็นคนเรียบร้อย มีดโกน ทายว่า มีความฉลาดแหลมคม หินลับมีด ทายว่า เป็นคนที่จะต้องคอยตักเตือนจึงจะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ รวงข้าว ทายว่า ทำการทำงานดี อุดมสมบูรณ์ แหวน ทายว่า จะมีฐานร่ำรวย ประเพณียกขันหมากปฐม นับว่าเป็นงานบุญที่ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีขึ้นในท้องถิ่น ทำให้แต่ละคนสามารถเข้าร่วมงานบุญนี้ได้ตามกำลังความสามารถของตน ทั้งยังช่วยอนุรักษ์ประเพณีการแต่งงานของท้องถิ่นได้ส่วนหนึ่ง เปิดโอกาสให้คนต่างเพศต่างวัยและต่างถิ่นได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน และสนุกสนานร่วมกัน และยังเป็นทางที่จะจรรโลงศาสนาได้เป็นอย่างดี แต่ทว่าประเพณีนี้นับวันแต่จะหาดูได้ยาก
ที่มา ประเพณีขันหมากพระปฐม โดย ภูมิ จิระเดชวงศ์ www.nakhononline.com

14 มีนาคม, 2567

ประเพณีทอดกฐิน

ประวัติความเป็นมาประเพณีทอดกฐิน ในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน เมืองสาวัตถี ตอนนั้นได้ประทานพุทธานุญาตให้พระภิกษุอยู่จำพรรษากันแล้ว ต่อมามีพระภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูปเดินทางไกลมาเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ แต่พอมาถึงเมืองสาเกต ซึ่งอยู่ห่างเมืองสาวัตถี ๖ โยชน์ ก็พอดีถึงวันเข้าพรรษาเสียก่อน จึงจำเป็นต้องเข้าพรรษา ณ เมืองสาเกต พอออกพรรษาจึงรีบเดินทางไปเข้าเฝ้าพระศาสดา แต่เพราะฤดูฝนยังไม่สิ้นสุด การเดินทางจึงมีความยากลำบาก ถนนหนทางเต็มไปด้วยน้ำเจิ่งนอง ทำให้สบงจีวรที่ท่านนุ่งห่มเปียกปอนเปรอะเปื้อนและเปื่อยขาด เมื่อถึงวัดพระเชตวัน ภิกษุเหล่านั้นจึงเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ในสภาพการครองจีวรที่เปรอะเปื้อน และขาดชำรุดในระหว่างเดินทางพระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น จึงมีพระบรมพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษา ได้รับผ้ากฐินที่ชาวบ้านจัดมาถวายเพื่อเปลี่ยนจีวรได้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีประเพณีการทำจีวรและถวายผ้าจีวรเป็นการทอดกฐินเกิดขึ้น การทอดกฐินหรือการถวายผ้ากฐินเป็นกาลทาน เป็นการถวายทานที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ไว้ในคัมภีร์พระวินัยปิฎก ชื่อมหาวัคค์ เรื่อง กฐินขันธกะ (หมวดว่าด้วยกฐิน) ว่า ครั้งหนึ่งมีภิกษุชาวเมืองปาฐา หรือปาวา จำนวน ๓๐ รูป ที่เดินทางมาด้วยหวังจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซึ่งประทับอยู่ ณ พระเชตวัน เมืองสาวัตถี พอถึงเมืองสาเกตุอีก ๖ โยชน์จะถึงเมืองสาวัตถีก็ถึงกาลเข้าพรรษา จึงต้องอยู่จำพรรษา ณ เมืองสาเกตุ ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ในระหว่างจำพรรษาอยู่นั้นก็มีความกระวนกระวายในการอยากจะเข้าเฝ้าพระผู้มี พระภาค ครั้นเมื่อออกพรรษา ก็รีบเดินทางไปยังเมืองสาวัตถี เพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทันที ทำให้น้ำหรือโคลนตมเปรอะเปื้อนจีวรในระหว่างเดินทาง เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้เข้าเฝ้า พระพุทธองค์ ทรงปฏิสันถารด้วยภิกษุเหล่านั้น และทรงทราบถึงความลำบากของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น จึงทรงยกเป็นเหตุมีพระพุทธานุญาตให้กรานกฐิน และโปรดให้เป็นการสงฆ์ คือเป็นสังฆกรรมสำหรับภิกษุทั้งหลายทั่วไป ในระยะเวลาภายหลังวันออกพรรษาแล้วหนึ่งเดือน (ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) ผ้ากฐิน ผ้าที่จะทำเป็นผ้ากฐินได้นั้น เป็นผ้าใหม่ก็ได้ ผ้าเทียมใหม่ก็ได้ ผ้าเก่าหรือผ้าบังสุกุลก็ได้ แต่ผ้าเหล่านี้จะต้องมีพอที่จะทำไตรจีวรผืนใดผืนใดผืนหนึ่ง (ผ้าไตรจีวร ของพระสงฆ์มี ๓ ผืน คือ สบง = ผ้านุ่ง, จีวร = ผ้าห่ม, และสังฆาฏิ = ผ้าซ้อนห่ม หรือผ้าพาด) ผ้านี้คือผ้าองค์กฐิน ส่วนสิ่งของอื่นๆ ไม่ใช่องค์กฐิน แต่เป็นบริวารกฐิน บริวารกฐินนี้จะมีมากหรือน้อยก็ได้ไม่มีกำหนด แล้วแต่ตามศรัทธาของผู้ถวาย กฐิน ตามอรรถกถาฎีกาต่างๆ กล่าวไว้มี ๒ ลักษณะ คือ ๑. จุลกฐิน เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันทำให้แล้วเสร็จภายในกำหนดวันหนึ่ง นับตั้งแต่การเก็บฝ้าย ปั่นฝ้าย กรอ ทอ ตัด เย็บ ย้อม ทำให้เป็นขันฑ์ ได้ขนาดตามวินัย แล้วทอดถวายให้แล้วเสร็จในวันนั้น ๒. มหากฐิน เป็นการจัดหาผ้ามาเป็นองค์กฐิน พร้อมทั้งเครื่องไทยธรรม บริวารเครื่องกฐินจำนวนมาก ไม่ต้องทำโดยรีบด่วน เพื่อจะได้มีส่วนหาทุนในการบำรุงวัด เช่น การบูรณะซ่อมแซมศาสนสถานภายในวัด ทอดกฐิน เป็นประเพณีที่อยู่คู่กับพุทธศาสนิกชนไทยมาช้านานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยการถวายผ้าพระกฐิน ของพระมหากษัตริย์ไทยนั้นจัดเป็นพระราชพิธีที่สำคัญมาตั้งแต่โบราณ การทอดกฐิน เป็นประเพณีที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง นิยมทำกันตั้งแต่วันแรมค่ำเดือนสิบเอ็ด ไปจนถึงกลางเดือนสิบสอง คำว่า กฐิน แปลว่า ไม้สะดึง คือกรอบไม้ชนิดหนึ่งสำหรับขึงผ้าให้ตึง สะดวกแก่การเย็บ ในสมัยโบราณเย็บผ้าต้องเอาไม้สะดึงมาขึงผ้าให้ตึงเสียก่อน แล้วจึงเย็บเพราะช่างยังไม่มีความชำนาญเหมื่อนสมัยปัจจุบันนี้ และเครื่องมือในการเย็บก็ยังไม่เพียงพอ เหมือนจักรเย็บผ้าในปัจจุบัน การทำจีวรในสมัยโบราณจะเป็นผ้ากฐินหรือแม้แต่จีวรอันมิใช่ผ้ากฐิน ถ้าภิกษุทำเอง ก็จัดเป็นงานเอิกเกริกทีเดียว เช่นตำนานกล่าวไว้ว่า การเย็บจีวรนั้น พระเถรานุเถระต่างมาช่วยกัน เป็นต้นว่า พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ แม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็เสด็จลงมาช่วย ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ก็ช่วยขวนขวายในการเย็บจีวร อุบาสกอุบาสิกาก็จัดหาน้ำดื่มเป็นต้น มาถวายพระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระสัมมาสัมพุทธะเป็นประธาน โดยนัยนี้ การเย็บจีวรแม้โดยธรรมดา ก็เป็นการต้องช่วยกันทำหลายผู้หลายองค์ (ไม่เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งมีจีวรสำเร็จรูปแล้ว) การทอดกฐิน คือ การนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำห้ารูป แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย จากคณะสงฆ์ทั้งนั้นเป็นเอกฉันท์ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น กฐินหลวง กฐินหลวง คือผ้าพระกฐินที่พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินไปถวายด้วยพระองค์เอง กฐินหลวง เป็นผ้าพระกฐินพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานด้วยพระองค์เอง หรือทรงโปรดเกล้าให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เสด็จไปพระราชทานแทน กฐินหลวงนี้จัดเครื่องพระราชทานด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และบางครั้งมีการจัดพิธีแห่เครื่องกฐินพระราชทานอย่างใหญ่ โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค หรือกระบวนพยุหยาตราสถลมารถ แล้วแต่พระราชประสงค์ (ในปัจจุบันคงการเสด็จพระราชดำเนินทรงถวายผ้าพระกฐินอย่างพิธีใหญ่นั้น คงเหลือเพียงโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคเท่านั้น) ทอดกฐิน หลวงในปัจจุบันมีเพียง 16 วัดเท่านั้น ได้แก่ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร วัดพระปฐมเจดีย์ วัดสุวรรณดาราราม วัดนิเวศธรรมประวัติ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (พิษณุโลก) กฐินต้น กฐินต้น เป็นผ้าพระกฐินพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานยังวัดราษฎร์เป็นการส่วนพระองค์ กฐินพระราชทาน กฐินพระราชทาน เป็นผ้าพระกฐินพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน และเครื่องกบินแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ หน่วยงาน สมาคม หรือเอกชน ให้ไปทอดยังพระอารามหลวงต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร (ในปัจจุบันกรมการศาสนารับผิดชอบจัดผ้าพระกฐินและเครื่องกฐินถวาย) กฐินราษฎร์ กฐินราษฎร์ คือกฐินที่ราษฎรหรือประชาชนทั่วไปที่มีจิตศรัทธาจัดถวายผ้ากฐิน และเครื่องกฐินไปถวายยังวัดราษฎร์ต่าง ๆ โดยอาจแบ่งออกเป็นจุลกฐิน และมหากฐิน (กฐินสามัคคี) ในปัจจุบันกฐินราษฎร์ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า กฐินสามัคคี ผู้เป็นประธานหรือเจ้าภาพในการทอดกฐินจะให้ความสำคัญกับการรวบรวม (เรี่ยไร) เงินและสิ่งของเพื่อเข้าประกอบเป็นบริวารกฐินมากกว่า เพราะวัดสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาได้ และเนื่องจากการถวายผ้ากฐินเป็นกาลทาน จึงทำให้ประเพณีการทอดกฐินเป็นงานสำคัญประจำปีของวัดต่าง ๆ โดยทั่วไปในประเทศไทย เขตกำหนดทอดกฐิน การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ จะทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ ก็ไม่เป็นการทอดกฐิน แต่มีข้อยกเว้นพิเศษว่า ถ้าทายกผู้จะทอดกฐินนั้น มีกิจจำเป็น เช่นจะต้องไปในทัพ ไม่สามารถจะอยู่ทอดกฐินตามกำหนดนั้นได้ จะทอดกฐินก่อนกำหนดดังกล่าวแล้วพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงอนุญาตให้ภิกษะรับไว้ก่อนได้ การที่มีประเพณีทอดกฐินมีเรื่องว่า ในครั้งพุทธกาล พระภิกษุชาวปาไถยรัฐ (ปาวา) ผู้ทรงธุดงค์ จำนวน ๓๐ รูป เดินทางไกลไปไม่ทันเข้าพรรษา เหลือทางอีกหกโยชน์จะถึงนครสาวัตถี จึงตกลงพักจำพรรษาที่เมืองสาเกตตลอดไตรมาส เมื่อออกพรรษาจึงเดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดา ณ เชตวันมหาวิหารนครสาวัตถี ภิกษุเหล่านั้นมีจีวรเก่า เปื้อนโคลน และเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน ได้รับความลำบากตรากตรำมาก พระพุทธเจ้าจึงทรงถือเป็นมูลเหตุ ทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุที่จำพรรษาครบสามเดือนกรานกฐินได้ และให้ได้รับอานิสงส์ ห้าประการคือ ๑) เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา ๒) ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบ ๓) ฉันคณะโภชน์ได้ ๔) ทรงอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา ๕) จีวรอันเกิดขึ้นนั้นจะได้แก่พวกเธอ และได้ขยายเขตอานิสงส์ห้าอีกสี่เดือน นับแต่กรานกฐินแล้วจนถึงวันกฐินเดาะเรียกว่า มาติกาแปด คือการกำหนดวันสิ้นสุดที่จะได้จีวร คือ กำหนดด้วยหลีกไป กำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ กำหนดด้วยตกลงใจ กำหนดด้วยผ้าเสียหาย กำหนดด้วยได้ยินข่าว กำหนดด้วยสิ้นหวัง กำหนดด้วยล่วงเขต กำหนดด้วยเดาะพร้อมกัน ฉะนั้น เมื่อครบวันกำหนดกฐินเดาะแล้ว ภิกษุก็หมดสิทธิ์ต้องรักษาวินัยต่อไป พระสงฆ์จึงรับผ้ากฐินหลังออกพรรษาไปแล้ว หนึ่งเดือนได้ จึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ การทอดกฐินในเมืองไทย แบ่งออกตามประเภทของวัดที่จะไปทอด คือ พระอารามหลวง ผ้าพระกฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานด้วยพระองค์เอง หรือโปรดเกล้า ฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ไปพระราชทาน เครื่องกฐินทานนี้จัดด้วยพระราชทรัพย์ของพระองค์เอง เรียกว่า กฐินหลวง บางทีก็เสด็จไปพระราชทานยังวัดราษฎร์ด้วย นิยมเรียกว่า กฐินต้น ผ้ากฐินทานนอกจากที่ได้รับกฐินของหลวงโดยตรงแล้ว พระอารามหลวงอื่น ๆ จะได้รับ กฐินพระราชทาน ซึ่งโปรดเกล้า ฯ พระราชทานผ้ากฐินทาน และเครื่องกฐินแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ หรือเอกชนให้ไปทอด โดยรัฐบาลโดยกรมศาสนาจัดผ้าพระกฐินทาน และเครื่องกฐินถวายไป ผู้ได้รับพระราชทานอาจจะถวายจตุปัจจัย หรือเงินทำบุญที่วัดนั้นโดยเสด็จในกฐินพระราชทานได้ ส่วนวัดราษฎร์ทั่วไป คณะบุคคลจะไปทอดโดยการจองล่วงหน้าไว้ก่อนตั้งแต่ในพรรษา ก่อนจะเข้าเทศกาลกฐินถ้าวัดใดไม่มีผู้จอง เมื่อใกล้เทศกาลกฐิน ประชาชนทายกทายิกาของวัดนั้น ก็จะรวบรวมกันจัดการทอดกฐิน ณ วัดนั้นในเทศกาลกฐิน การจองกฐิน วัดราษฎร์ทั่วไป นิยมทำเป็นหนังสือจองกฐินไปติดต่อประกาศไว้ยังวัดที่จะทอดถวาย เป็นการเผดียงสงฆ์ให้ทราบวันเวลาที่จะไปทอด หรือจะไปนมัสการเจ้าอาวาสให้ทราบไว้ก็ได้ สำหรับการขอพระราชทานผ้าพระกฐินไปทอด ณ พระอารามหลวงให้แจ้งกรมการศาสนา เพื่อขึ้นบัญชีไว้กราบบังคมทูลและแจ้งให้วัดทราบ ในทางปฏิบัติผู้ขอพระราชทานจะไปติดต่อกับทางวัดในรายละเอียดต่าง ๆ จนก่อนถึงวันกำหนดวันทอด จึงมารับผ้าพระกฐิน และเครื่องกฐินพระราชทานจากกรมศาสนา การนำกฐินไปทอด ทำได้สองอย่าง อย่างหนึ่งคือนำผ้ากฐินทานกับเครื่องบริวารที่จะถวายไปตั้งไว้ ณ วัดที่จะทอดก่อน พอถึงวันกำหนดเจ้าภาพผู้เป็นเจ้าของกฐิน หรือรับพระราชทานผ้ากฐินทานมาจึงพากันไปยังวัดเพื่อทำพิธีถวาย อีกอย่างหนึ่ง ตามคติที่ถือว่าการทอดกฐินเป็นการถวายทานพิเศษแก่พระสงฆ์ที่ได้จำพรรษาครบไตรมาส นับว่าได้กุศลแรง จึงได้มีการฉลองกฐินก่อนนำไปวัดเป็นงานใหญ่ มีการทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านของผู้เป็นเจ้าของกฐิน และเลี้ยงผู้คน มีมหรสพสมโภช และบางงานอาจมีการรวบรวมปัจจัยไปวัดถวายพระอีกด้วยเช่น ในกรณีกฐินสามัคคี พอถึงกำหนดวันทอดก็จะมีการแห่แหนเป็นกระบวนไปยังวัดที่จะทอด มีเครื่องบรรเลงมีการฟ้อนรำนำขบวนตามประเพณีนิยม การถวายกฐิน นิยมถวายในโบสถ์ โดยเฉพาะกฐินพระราชทาน ก่อนจะถึงกำหนดเวลาจะเอาเครื่องบริวารกฐินไปจัดตั้งไว้ในโบสถ์ก่อน ส่วนผ้ากฐินพระราชทานจะยังไม่นำเข้าไป พอถึงกำหนดเวลาพระสงฆ์ที่จะรับกฐิน จะลงโบสถ์พร้อมกัน นั่งบนอาสนที่จัดไว้ เจ้าภาพของกฐิน พร้อมด้วยผู้ร่วมงานจะพากันไปยังโบสถ์ เมื่อถึงหน้าโบสถ์เจ้าหน้าที่จะนำผ้าพระกฐินไปรอส่งให้ประธาน ประธานรับผ้าพระกฐินวางบนมือถือประคอง นำคณะเดินเข้าสู่โบสถ์ แล้วนำผ้าพระกฐินไปวางบนพานที่จัดไว้หน้าพระสงฆ์ และหน้าพระประธานในโบสถ์ คณะที่ตามมาเข้านั่งที่ ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วกราบพระพุทธรูปประธานในโบสถ์แบบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง แล้วลุกมายกผ้าพระกฐินในพานขึ้น ดึงผ้าห่มพระประธานมอบให้เจ้าหน้าที่ รับไปห่มพระประธานทีหลัง แล้วประนมมือวางผ้าพระกฐินบนมือทั้งสอง หันหน้าตรงพระสงฆ์แล้วกล่าวคำถวายผ้าพระกฐิน จบแล้วพระสงฆ์รับ สาธุการ ประธานวางผ้าพระกฐินลงบนพานเช่นเดิม แล้วกลับเข้านั่งที่ ต่อจากนี้ไปเป็นพิธีกรานกฐินของพระสงฆ์ กฐินของประชาชน หรือ กฐินสามัคคี หรือในวัดบางวัดนิยมถวายกันที่ศาลาการเปรียญ หรือวิหารสำหรับทำบุญ แล้วเจ้าหน้าที่จึงนำผ้ากฐินที่ถวายแล้วไปถวายพระสงฆ์ ทำพิธีกรานกฐินในโบสถ์เฉพาะพระสงฆ์อีกทีหนึ่ง การทำพิธีกฐินัตการกิจของพระสงฆ์ เริ่มจากการกล่าวคำขอความเห็นที่เรียกว่า อปโลกน์ และการสวดญัตติทุติยกรรม คือการยินยอมยกให้ ต่อจากนั้นพระสงฆ์รูปที่ได้รับความยินยอม นำผ้าไตรไปครองเสร็จแล้วขึ้นนั่งยังอาสนเดิม ประชาชนผู้ถวายพระกฐินทาน ทายกทายิกา และผู้ร่วมบำเพ็ญกุศล ณ ที่นั้น เข้าประเคนสิ่งของอันเป็นบริวารขององค์กฐินตามลำดับจนเสร็จแล้ว พระสงฆ์ทั้งนั้นจับพัด ประธานสงฆ์เริ่มสวดนำด้วยคาถาอนุโมทนา ประธานหรือเจ้าภาพ กรวดน้ำ และรับพรจนจบ เป็นอันเสร็จพิธี กฐิน (บาลี: กฐิน) เป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ โดยคำว่าการทอดกฐินหรือการกรานกฐิน จัดเป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลา คือพระสงฆ์สามารถกระทำสังฆกรรมนี้ได้นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ และอนุเคราะห์ภิกษุผู้ทรงคุณที่มีจีวรชำรุด ดังนั้นกฐินจึงจัดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังฆกรรมของพระสงฆ์โดยจำเพาะ ซึ่งนอกจากในพระวินัยฝ่ายเถรวาทแล้ว กฐินยังมีในฝ่ายมหายานบางนิกายอีกด้วย แต่จะมีข้อกำหนดแตกต่างจากพระวินัยเถรวาท การทอดกฐิน เป็นประเพณีของชาวพุทธที่สืบทอดมานับตั้งแต่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ซึ่งพุทธประเพณีนี้มีต่อเนื่องนานกว่า 2,500 ปีกระทั่งถึงปัจจุบัน นับเป็นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งมีช่วงเวลาจำกัดเพียงปีละ 1 เดือน คือหลังวันออกพรรษา แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึง ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ซึ่งเป็นงานบุญที่ประชาชนชาวไทยนิยมทำกันมาก ถือว่ามีอาสนิสงส์ใหญ่ เพราะต้องทำในเวลาจำกัดและต้องทำการจองกฐินกันก่อน เพราะ 1 วัดจะรับกฐินได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถือว่าเป็นงานใหญ่ประจำปีของวัดแต่ละวัด บุญใหญ่ที่ได้จากการทอดกฐินมีอานิสงส์มหาศาล เพราะเป็นบุญที่ทำได้ยากและมีข้อจำกัดหลายประการ การทำบุญทอดกฐินจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อต้องมีการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เท่านั้น ในบางกัปที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ในยุคนั้นนอกจากจะไร้ซึ่งพระพุทธศาสนาแล้ว ยังทำให้ทุกคนหมดโอกาสทอดกฐินอีกด้วย เพราะการทำบุญทอดกฐินจะมีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ประเพณีทอดกฐินเป็นมหากาลทานด้วยเหตุว่าหนึ่งปีจะมีโอกาสทำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นนี้เอง พุทธศาสนิกชนจึงให้ความสำคัญกับการทอดกฐินเป็นอย่างมาก เป็นงานประจำปีที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ประณีต อานิสงส์จากการทำบุญทอดกฐิน ฝ่ายทายก ชื่อว่าได้ถวายกาลทานแก่พระสงฆ์ ย่อมได้รับอานิสงส์ผลบุญเป็นอันมากจากการถวายสังฆทานเฉพาะกาล ฝ่ายสงฆ์ พระภิกษุผู้ได้กรานกฐินและอนุโมทนาแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ตามพระวินัยด้วย อานิสงส์ผลบุญที่ได้รับจากการทอดกฐินทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายสงฆ์ โดยย่อคือ 1. จะได้เกิดมาในตระกูลที่ดี มีสัมมาทิฐิ มีเกียรติยศ มีชื่อเสียงที่ดีงาม 2. จะเกิดมาโดยมีร่างกายที่ได้คุณลักษณะที่งดงามสมส่วน 3. จะเกิดมามีผิวพรรณงดงาม จิตใจแจ่มใส ร่าเริงเบิกบาน 4. จะเกิดมามีทรัพย์สมบัติมาก ไม่ลำบากในการแสวงหาทรัพย์ 5.เป็นผู้สามารถใช้ทรัพย์สมบัติให้เกิดเป็นบุญกุศลติดตัวไปในภพเบื้องหน้าได้อย่างเต็มที่ 6. เมื่อละโลกแล้ว อย่างน้อยได้ไปบังเกิดในสวรรค์ เหตุที่บุญจากการทอดกฐินเป็นบุญที่มีอานิสงส์มาก เนื่องจากมีข้อจำกัดด้วยเงื่อนไขเฉพาะที่ยากและแตกต่างจากบุญทั่วไป คือ 1. จำกัดกาลเวลา คือ ต้องถวายภายในเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป จึงเรียกได้ว่าเป็นกาลทาน 2. จำกัดทาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น ผู้ถวายจะเจาะจงถวายแก่รูปนั้นรูปนี้แบบปาฏิบุคลิกท่านเหมือนการถวายของอย่างอื่นไม่ได้ 3. จำกัดคราว แต่ละวัดจะรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น 4. จำกัดผู้รับ คือ พระผู้รับกฐินได้จะต้องจำพรรษาอยู่ที่วัดนั้นครบไตรมาสไม่ขาดพรรษา และต้องมีจำนวนตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป ทั้งต้องลงรับพร้อมกันทั้งหมดด้วย 5. จำกัดงาน คือ พระผู้รับกฐิน เมื่อรับผ้ากฐินมาจากเจ้าภาพแล้ว จะต้องทำการกรานกฐินให้แล้วเสร็จภายในวันนั้น จะเลื่อนไปเป็นวันรุ่งขึ้นหรือวันอื่นๆ ไม่ได้ 6. จำกัดของถวาย คือ ของถวายต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในจำนวนไตรจีวรเท่านั้น นอกนั้นจัดเป็นบริวารกฐินทั้งหมด 7. กฐินทาน เป็นพุทธประสงค์โดยตรง ส่วนทานอย่างอื่น จะทรงอนุญาตก็ต่อเมื่อมี คนมาทูลขอ เช่น การถวายผ้าอาบน้ำฝน 8. มีอานิสงส์พิเศษ ทานอย่างอื่นได้อานิสงส์เฉพาะผู้ถวาย แต่กฐินได้อานิสงส์ทั้งทายกผู้ถวายและปฏิคาหกคือพระภิกษุผู้รับถวายและอนุโมทนากฐินนั้น นอกจากการทอดกฐินจะเป็นบุญที่ทำได้ยากแล้ว หากผ่านพ้นช่วงเวลาที่กำหนด วัดใดยังไม่ได้รับกฐิน หรือเป็นวัดที่มีกฐินตกค้าง คือไม่มีคนจองเป็นเจ้าภาพกฐิน วัดนั้นก็หมดโอกาสทอดกฐินในปีดังกล่าว ทั้งยังหมดโอกาสที่จะได้รับปัจจัยทำบุญกฐินจากญาติโยมเพื่อนำมาบำรุง ซ่อมแซมศาสนสถานและพัฒนาวัดเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไปอีกด้วย เพราะในการทอดกฐินแต่ละครั้งพุทธศาสนิกชนทั้งหลายจะรวบรวมปัจจัยเพื่อถวายเป็นบริวารกฐินควบคู่กับการถวายผ้ากฐินซึ่งเป็นองค์กฐินไปพร้อมกัน การถวายผ้ากฐิน เมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว ประธานองค์ผ้ากฐิน/เจ้าภาพอุ้มผ้ากฐิน นั่งหันหน้าตรงต่อพระประธาน ตั้งนะโม 3 จบ แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้ากฐิน 3 จบ คำกล่าวถวายผ้ากฐิน อิมัง มะยัง ภันเต / สะปะริวารัง / กะฐินะ จีวะระทุสสัง / สังฆัสสะ / โอโณชะยามะ / สาธุ โน ภันเต/ สังโฆ/ อิมัง /สะปะริวารัง /กะฐินะจีวะระทุสสัง / ปะฏิคคันหาตุ / ปะฏิคคะ เหตตะวา จะ /อิมินา ทุสเสนะ / กะฐินัง/ อัตถะรัตตุ/ อัมหากัง / ทีฆะรัตตัง / หิตายะ / สุขายะ / นิพพานายะจะ ฯ คำกล่าวถวายผ้ากฐิน (ไทย) ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ / ข้าพเจ้าทั้งหลาย / ขอน้อมถวาย / ผ้าจีวรกฐิน / พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายเหล่านี้ / แด่พระภิกษุสงฆ์ / ขอพระภิกษุสงฆ์ / จงรับ / ผ้าจีวรกฐิน / พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายเหล่านี้ / ครั้นรับแล้ว /จงกรานกฐิน / ด้วยผ้าผืนนี้ /เพื่อประโยชน์ / เพื่อความสุข / เพื่อมรรคผลนิพพาน / แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย /ตลอดกาลนาน เทอญฯ
ที่มา https://www.buddhistpedia.org/th https://cultural.wu.ac.th/todkatin https://katin.dra.go.th/history/index

12 มีนาคม, 2567

ประเพณีให้ทานไฟ

ประเพณีให้ทานไฟ
ประวัติความเป็นมา ประเพณีให้ทานไฟ ชาวพุทธริเริ่มกันขึ้นเอง สืบเนื่องมาจากเหตุอุณหภูมิลดต่ำ ชาวพุทธจึงคิดจะอุปัฏฐากภิกษุสามเณรให้ได้รับความอบอุ่นจากกองไฟ และให้ได้ฉันอาหารหวานคาวที่ปรุงขึ้นขณะยังร้อน ๆ โดยยึดเอาเรื่องราวอันมีมาใน “ขุททกนิกายชาดก” ซึ่งกล่าวถึงเศรษฐีโกสิยะผู้สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์แต่มีความตระหนี่ถี่เหนียว เมื่อได้รับฟังพระธรรมเทศนาของพระโมคคัลลานะมหาเถระจึงเกิดเลื่อมใสได้นำเอาขนมเบื้องไปทำถวายพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสาวก จำนวน 500 รูป ณ พระเชตวันวิหาร ในปัจจุบันนอกจากวัดต่าง ๆ ในจังหวัดแล้ว ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ (ราว พ.ศ. 2540) ยังมีการจัดทำบุญให้ทานไฟในสถาบันการศึกษาด้วย การขยายประเพณีเข้าสู่สถานศึกษาสะท้อนถึงการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาแม้ในปัจจุบันเหลือวัดจำนวนน้อยมากที่จะจัดกิจกรรมประเพณีให้ทานไฟ แต่พุทธศาสนิกชนมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะอนุรักษ์หรือสืบสานประเพณีการให้ทานไฟเอาไว้ การให้ทานไฟ เป็นประเพณีต้นแบบเฉพาะของพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดนคร ศรีธรรมราช ที่ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน แต่ประเพณีการให้ทานไฟนี้ อาจจะไม่คุ้นหูหรือเป็นที่รู้จักของผู้ที่ไม่สันทัดกับประเพณีทางถิ่นใต้ อาจจะคิดว่าเป็นการให้ "ไฟ" เป็น ทาน หรือ ถวายไฟร้อน ๆ แก่พระภิกษุสงฆ์ เคยมีผู้เข้าใจว่า "ถวายถ่านไฟ" เพราะภาษาถิ่นใต้ ออกสำเนียง "ทาน" เป็น "ถ่าน" จึงเข้าใจไปอย่างนั้น การให้ทานไฟนี้ เป็นการถวายอาหารร้อน ๆ แก่พระภิกษุสามเณรในฤดูหนาวหรือในช่วงอากาศเย็นของชาวนครศรีธรรมราช ประเพณีนี้เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่มีความเชื่อในพระพุทธศาสนา ต้องการทำบุญกับพระภิกษุสามเณร โดยการถวายอาหารบิณฑบาตภายในวัด เพราะเมื่ออากาศหนาวเย็น พระภิกษุสามเณรไม่สะดวกที่จะออกไปบิณฑบาตนอกวัด จึงกลายเป็นประเพณีให้ทานไฟในปัจจุบัน ประเพณีให้ทานไฟ คือการทำบุญถวายอาหารเช้าแด่ภิกษุสงฆ์ในฤดูหนาว เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์เกิดความอบอุ่นในระหว่างการฉันภัตตาหารด้วยวิธีก่อกองไฟแล้วปรุงอาหารและขนมถวายพระในเช้าตรู่วันใดวันหนึ่งในฤดูหนาว ชาวพุทธในละแวกวัดจะนัดหมายนำไม้ฟืนมาก่อกองไฟ และร่วมกันปรุงอาหารคาวหวานไปถวายพระสงฆ์สามเณร แล้วก่อกองไฟเอาไว้ นิมนต์พระสงฆ์มาฉันรอบกองไฟ เพื่อให้เกิดความอบอุ่นขณะฉันอาหาร หลังจากนั้นแบ่งปันแก่ผู้เข้าร่วมพิธีไปรับประทานร่วมกัน พร้อมกับนำปัจจัยที่ได้ถวายวัดทั้งหมด เป็นการร่วมแรงร่วมใจและพลังศรัทธา เป็นวิถีชีวิตของพุทธศาสนิกชนอย่างแท้จริง เชื่อว่าได้บุญกุศลที่แรงกล้า การให้ทานไฟไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความสะดวกของเจ้าภาพ แต่ส่วนใหญ่จะปฏิบัติในช่วงเดือนอ้าย – เดือนยี่ ซึ่งเป็นช่วงที่มีอากาศเย็น ชาวพุทธแต่ละชุมชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ติดชายฝั่งทะเล ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น ในหน้าหนาวก็ไม่หนาวจัด เพียงแต่คนรู้สึกว่าอากาศเย็นลงกว่าปกติ เนื่องจากไม่เคยชินกับอากาศที่หนาวเย็นลง ตอนย่ำรุ่งเช้ามืดจึงลุกขึ้นมาก่อไฟผิงเพื่อสร้างความอบอุ่น ประกอบกับชาวนครศรีธรรมราชยึดมั่นในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนจึงพากันก่อกองไฟในวัดใกล้บ้าน แล้วนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาผิงไฟรับความอบอุ่นด้วย ประวัติความเป็นมาของประเพณีการให้ทานไฟนี้ สันนิษฐานว่า มีเรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยมีความเห็นเป็น 2 นัย ดังนี้ นัยที่ 1 เรื่องโกสิยเศรษฐีผู้มีความตระหนี่ มีเรื่องเล่าว่า ในเมืองราชคฤห์ มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ "โกสิยะ" มีทรัพย์สิน 80 โกฏิ แต่เป็นคนตระหนี่ ไม่ให้ทาน ไม่บริจาค ไม่อำนวยประโยชน์แก่ผู้ใดเลย แม้แต่ภรรยาและบุตรของตน ต่อมา เศรษฐีต้องการกินขนมเบื้อง (ขนมกุมมาส) จึงให้ภรรยาไปแอบทำขนมบนปราสาท เพราะเกรงว่าผู้อื่นจะรู้เห็นแล้วจะมาขอแบ่งขนมกินด้วย ความนี้ ได้ทราบถึงพระพุทธเจ้า เพื่อจะโปรดเศรษฐีให้มีใจน้อมไปในการบริจาคทานจึงได้มอบหมายพระโมคคัลลานเถระ อัครสาวกเบื้องซ้ายไปโปรดโกสิยเศรษฐีผู้มีความตระหนี่คนนี้ เมื่อพระเถระรับพุทธบัญชาแล้วก็ไปแสดงอิทธิฤทธิ์ทรมานเศรษฐีด้วยวิธีการต่าง ๆ จนเศรษฐีคลายความพยศ ได้ถวายขนมเบื้องแก่พระเถระ เพราะกลัวไฟจะไหม้ปราสาทของตนด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระเถระ เมื่อเศรษฐีถวายขนมเบื้องแล้ว พระเถระได้แสดงพระธรรมโดยพรรณนาคุณพระรัตนตรัย และแสดงอานิสงส์การให้ทาน จนเศรษฐีมีจิตเลื่อมใส ได้นำขนมเบื้องและวัตถุทานอื่น ๆ มาถวายแก่พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุ 500 รูป ณ วัดเชตวันมหาวิหาร ด้วยพุทธานุภาพขนมเบื้องที่เศรษฐีนำมาถวายพระ มีเหลือมากมาย แม้จะแจกจ่ายแก่ชาวบ้าน คนยากจนขอทาน ขนมก็ยังล้นเหลือ จนถึงกับนำไปเททิ้ง ที่ใกล้ซุ้มประตูวัดเชตวัน ปัจจุบันสถานที่เทขนมเบื้องทั้งนั้น เรียกว่า เงื้อมขนมเบื้อง กาลต่อมา โกสิยเศรษฐี กลายเป็นเศรษฐีใจบุญชอบให้ทาน และ ได้บริจาคทรัพย์จำนวนมากเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ด้วยมูลเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของ ประเพณีการให้ทานไฟในปัจจุบัน นัยที่ 2 นายเจริญ ตันมหาพรหม ได้ให้ทัศนะความเป็นมาของประเพณีการให้ทานไฟไว้ว่า การให้ทานไฟนี้ ปรากฏอยู่ในครั้งพุทธกาล ณ เมืองสาวัตถี นครหลวงแห่งแคว้นโกศล ที่ปกครองโดยพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่เป็นพุทธมามกะ และเป็นศาสนูปถัมภก อีกทั้ง เป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับจำพรรษามากที่สุด คือรวมทั้งหมด 25 พรรษา ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับอยู่บนปราสาทชั้นบนทอดพระเนตรไปทางถนนในพระนคร เห็นพระภิกษุจำนวนนับร้อยนับพันไปยังบ้านของท่านอนาถปัณฑิกเศรษฐีบ้าง บ้านของนางวิสาขาบ้าง และบ้านของคนอื่นๆ บ้าง เพื่อรับบิณฑบาตบ้าง เพื่อฉันภัตตาหารบ้าง พอเห็นดังนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงโปรดฯ ให้จัดภัตตาหารอันประณีตเพื่อพระภิกษุประมาณ 500 รูป แต่ปรากฏว่าไม่มีพระมารับสักรูป คงมีแต่พระอานนท์เพียงรูปเดียวเท่านั้น พอพระอานนท์กลับไปแล้ว จึงตรัสถามมหาดเล็ก ได้รับคำกราบบังคมทูลว่าไม่มีพระมาคงมีแต่พระอานนท์รูปเดียว เท่านั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกริ้วภิกษุทั้งหลาย จึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าและกราบทูลว่า ได้ให้ห้องเครื่องจัดภัตตาหาร ตั้งไว้ถวายพระประมาณ 500 รูป ไม่ปรากฏมีพระมารับกันเลย ของที่จัดไว้เหลือเดนอยู่อย่างนั้น เหตุใดพระภิกษุไม่เห็นความสำคัญในพระราชวังเลย นี่เรื่องอะไรกันพระพุทธเจ้าได้ทรงฟังพระดำรัสดังนั้นก็เข้าพระทัยตลอด ไม่ตรัสตำหนิโทษพระภิกษุทั้งหลาย และถวายพระพรว่า "สาวกของอาตมภาพไม่มีความคุ้นเคยกับมหาบพิตร เพราะเหตุที่ไม่มีความคุ้นเคย นั่นเองจึงไม่พากันไป" ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ทรงประกาศเหตุที่ภิกษุไม่ควรเข้าไปในตระกูลประกอบด้วยองค์ 9 คือ 1. ไม่ต้อนรับด้วยความเต็มใจ 2. ไม่ไหว้ด้วยความเต็มใจ 3. ไม่ให้อาสนะ (นิมนต์นั่ง) ด้วยความเต็มใจ 4. ซ่อนเร้นของที่มีอยู่ 5. ของที่มีมากแบ่งให้นิดหน่อย 6. มีของประณีต แต่ให้ของเศร้าหมอง 7. ให้โดยไม่เคารพ ไม่ให้โดยเคารพ 8. ไม่นั่งฟังธรรม 9. ไม่สนใจต่อถ้อยคำของกันและกัน องค์ประกอบที่กล่าวมาทั้ง 9 ประการนี้ ถ้าภิกษุยังไม่เข้าไป ก็ไม่ควรเข้าไป เข้าไปแล้ว ก็ไม่ควรนั่งใกล้ เมื่อเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงครุ่นคิดอยู่ว่าพระพุทธองค์ตรัสแต่ว่า สาวกของพระองค์ไม่มีความคุ้นเคยในราชสำนัก ทรงดำริต่อไปว่า ถ้าภิกษุสามเณรมีความคุ้นเคย ในราชสำนักแล้ว ก็คงจะพากันเข้ามาวันละมากๆ รูป เหมือนพากันไปในบ้านของนางวิสาขาและ บ้านของอนาถปัณฑิกเศรษฐี ทรงคิดอยู่ว่า "ทำอย่างไรพระเณรจะมีความคุ้นเคยกับเราได้" พระองค์ทรงพิจารณาถึงสภาพในฤดูหนาวในเมืองสาวัตถี พระภิกษุสามเณรคงหนาว เย็นกว่าฆราวาสผู้อยู่ครองเรือนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามออกบิณบาตในตอนเช้าตรู้ ความหนาว เย็นคงเป็นอุปสรรคมาก เพราะพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เพียง 3 ผืน นอกจากนี้ ยังทำให้พระภิกษุที่ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา อยู่ตามวัดและสถานที่ต่าง ๆ บางรูปร่างกาย อ่อนแอถึงกับอาพาธได้ พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเกิดความเวทนาและก่อไฟถวายพระให้ได้ผิงในยาม ใกล้รุ่ง ต่อมา ชาวเมืองเห็นว่า การให้ทานไฟในตอนใกล้รุ่ง อีกไม่นานฟ้าก็จะสว่าง จึงได้ เสาะหาหัวเผือก หัวมันมาเผา และนำแป้งมาปรุงเป็นภัตตาหารถวายพระภิกษุสามเณร เป็นการ ทำบุญจะได้อานิสงส์มากขึ้น เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่มาทางภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ประเพณีให้ทานไฟพลอยตกทอดมาถึงพุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราชด้วย ถึงแม้ความเห็นทั้ง 2 นัยนี้ จะไม่กล่าวถึงการให้ทานไฟโดยตรง แต่ก็มีเค้ามูลหรือสาเหตุให้สันนิษฐานได้ว่า ประเพณีการให้ทานไฟมีประวัติความเป็นมาดั่งที่กล่าวมาแล้ว แท้จริงการ ให้ทานในทางพระพุทธศาสนา มีเรื่องราวที่น่าสนใจและมีสาระธรรมจำนวนมากที่พุทธบริษัทจะนำ มาศึกษาเทียบเคียง เพื่อเสาะหาต้นตอหรือสาเหตุของประเพณีต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ประเพณีการให้ทานไฟด้วยการถวายขนมเบื้องในฤดูหนาวแก่พระภิกษุสงฆ์นี้ พระมหา กษัตริย์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็ทรงถือเป็นพระราชประเพณี ที่จะต้องทรงบำเพ็ญทานบารมีเป็นประจำทุกปี มีหลักฐานปรากฏในพระราชนิพนธ์พระราชพิธี สิบสองเดือนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า ".....กำหนดเลี้ยงขนมเบื้องนี้ว่า เมื่อพระอาทิตย์ออกสุดทางให้ตกนิจเป็นวันหยุดจะกลับ ขึ้นเหนืออยู่ในองศา 9 องศา 9 ราศีธนู เป็นกำหนดเลี้ยงขนมเบื้องไม่กำหนดแน่ว่า กี่ค่ำ วันใด การเลี้ยงขนมเบื้องนี้ ไม่ได้มีการสวดมนต์ก่อนอย่างพระราชพิธีอันใด กำหนดพระสงฆ์ตั้งแต่เจ้า พระราชาคณะ 80 รูป ฉันในพระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัย ขนมเบื้องนั้น เกณฑ์พระบรมวงศานุวงศ์ ฝ่ายใน ท้าวนางเจ้าจอมมารดา เถ้าแก่ พนักงานคาดปะรำตั้งเตาละเลงข้างท้องพระโรง" เวลา และสถานที่ให้ทานไฟ ประเพณีการให้ทานไฟ นิยมประกอบพิธีกันในเดือนอ้าย หรือ เดือนยี่ของทุก ๆ ปี (ประมาณปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์) ซึ่งเป็นช่วงหรือฤดูที่อากาศหนาวเย็นใน ภาคใต้ ปัจจุบันนิยมทำกันในวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เพราะตรงกับวันเด็กแห่งชาติ ทาง สถานศึกษาได้นำเด็ก ครู และผู้ปกครองมาประกอบพิธีให้ทานไฟในบริเวณวัดที่ใกล้โรงเรียน นับ เป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตรของเด็กที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาด้วย ทั้งนี้ จะเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อการนี้ตั้งแต่ตอนรุ่งหรือเช้าตรู่ประมาณเวลา 05.00 น. แต่โดยทั่วไปก็ไม่ได้กำหนดวันที่ แน่นอน สุดแต่ความสะดวกของชาวบ้านหรือโรงเรียนในละแวกวัดจะกำหนดขึ้นเอง สำหรับสถานที่ประกอบพิธีหรือการถวายไฟนั้น จะกระทำกันในบริเวณวัดหรือใน ศาลาวัดก็ได้ ในปัจจุบัน ประเพณีการให้ทานไฟนี้จะทำกันเฉพาะบางวัดในเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชเท่านั้น เช่น วัดหัวอิฐ วัดมุมป้อม วัดศรีทวี วัดสระเรียง วัดหน้าพระบรมธาตุ วัดธาราวดี หรือบางจังหวัดที่ผู้คนชาวนครศรีธรรมราชไปอาศัยอยู่ เช่น จังหวัดพังงา จังหวัด สุราษฎร์ธานี ก็มีประเพณีการให้ทานไฟเช่นเดียวกัน แต่ก็มีจำนวนน้อยมาก นอกจากนี้ สถาบัน การศึกษาบางสถาบัน ได้ประกอบพิธีการให้ทานไฟภายในสถาบันของตน เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรีธรรมราช วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จะสังเกตได้ว่า ประเพณีการให้ทานไฟนอกจากจะประกอบพิธีภายในวัดแล้ว ยังได้ขยาย ฐานประเพณีไปยังสถานศึกษาที่แสดงบทบาทในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วย แต่ถ้าจะมอง กันอีกมุมหนึ่งจะเห็นได้ว่า วัดซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนเป็นสถานที่บำเพ็ญบุญกุศล หรือเป็น บุญเขตไม่อาจตอบสนองบทบาทตามฐานะของตนได้ เพราะในปัจจุบันเหลือวัดจำนวนน้อยมาก ที่จะอนุรักษ์หรือสืบสานประเพณีการให้ทานไฟนี้ไว้ได้ ประเพณีการให้ทานไฟของพุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราช มีสาระประโยชน์ที่มี คุณค่าแก่ปัจเจกชนและสังคมโดยส่วนรวม ดังนี้ - ได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านมาพบกัน พูดคุยกัน และร่วมมือกันประกอบพิธีกรรมภาย ในวัด พร้อมกันนี้ชาวบ้านกับพระสงฆ์ได้วิสาสะสร้างความคุ้นเคยตามหลักสาราณียธรรม โดย อาศัยประเพณีการให้ทานไฟนี้ - พุทธศาสนิกชนได้ปรารภความเพียร มีความขยัน โดยการตื่นนอนแต่เช้าตรู่เพื่อ เตรียมอุปกรณ์ปรุงอาหารขนมถวายพระ ทำให้มีสุขภาพพลานามัยดี แข็งแรง เพราะการตื่นนอน ตอนเช้าตรู่ ได้รับอากาศบริสุทธิ์ ทำให้มีความสดชื่นเบิกบาน แจ่มใส - เป็นโอกาสหนึ่งที่ได้นัดหมายพร้อมกันในตอนเช้ามืด เพื่อร่วมทำบุญเลี้ยงพระ รับประทานอาหารพร้อมกัน เป็นการสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่คณะ และสร้างความเป็น ปึกแผ่นให้เกิดขึ้นในสังคม - ได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยการถวายความอุปถัมภ์ให้กำลังแก่พระภิกษุสามเณร ซึ่งเป็นผู้รักษาสืบอายุพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองวัฒนาสืบไป - ได้บำเพ็ญบุญบารมี ด้วยการถวายทานเป็นการสั่งสมความสุขและความดีไว้กับตน อันเป็นเกาะคือที่พึ่งในปรโลกเบื้องหน้า ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา - ได้อนุรักษ์และสืบสานประเพณีการให้ทานไฟ เป็นการรักษามรดกทางวัฒนธรรมของ พุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราชให้เป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลัง ต่อไป - ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาล โดย อาศัยประเพณีนี้ย่อมทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ และคุณค่าทางสังคมมากมาย ประเพณีการให้ทานไฟ เป็นประเพณีที่แสดงออกถึงความเชื่อ ความเลื่อมใสใน พระรัตนตรัยของพุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราช ที่มีความปรารถนาให้พระภิกษุสามเณรคลาย หนาวโดยการถวายอาหารร้อน ๆ ซึ่งคล้ายกับพระราชพิธีเลี้ยงพระภิกษุสงฆ์ด้วยขนมเบื้อง แต่ การให้ทานไฟ เป็นพิธีของชาวบ้าน และทำกันเฉพาะถิ่นของชาวนครศรีธรรมราช คล้าย ๆ กับ ประเพณีบุญข้าวจี่ (ข้าวเหนียวปิ้ง) ทางภาคอีสาน ในปัจจุบัน มีจำนวนน้อยวัดที่ยังอนุรักษ์และ สืบสานประเพณีนี้อยู่
ที่มา https://sites.google.com/view/culturalcenternstru https://cultural.wu.ac.th/haitanfai