08 มิถุนายน, 2568

ประวัติวัดหมื่นระงับรังสรรค์

วัดหมื่นระงับรังสรรค์ หรือ วัดหมื่นส่อง เดิม ชื่อ วัดระงับประชาสรรค์ สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่ หมู่ที่ ๙ ตำบลชะอวด อำเภอขะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เหตุที่ชื่อเช่นนี้ก็เพราะ "หมื่นระชับทารุณกรรม ผู้สามี และนางฮ่อง ชุมพูนุธ" ภรรยา อุทิศที่ดินสร้างวัดในพระพุทธศาสนา ปี พ.ศ.๒๔๙๙ หรือเมื่อปี มาแล้ว โดยมีชื่อทางการว่า "วัดหมื่นระงับรังสรรค์" แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียก "วัดหมื่นส่อง" โดยนำเอาศักติของสามี คือ “หมื่น”และชื่อ ภรรยา คือ “ส่อง” ผู้บริจาครวมกันเป็นชื่อวัด เหตุที่นำประวัดนี้มาเขียนรวบรวม เห็นว่าเป็นเรื่องแปลก ที่ผู้ก่อตั้งเป็นมุสลิมนับกับถือศาสมอิสลามอย่างเคร่งครัด แต่ได้สละที่ดินถึง ๒๐ ไร่ ทั้งกับยังให้การอุปถัมภ์ค้ำจุนวัดมาตลอดชีวิต จึงถือว่าประวัติและที่มาของวัดหมื่นระงับรังศรรค์ไม่ธรรมดา เป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่าศึกษายิ่ง ดังผู้รวบรวมขอนำเสนอต่อไปนี้ ขอย้อนเวลาไปในสมัย รัชกาลที่ ๒ คือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ. ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗) ประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า พระยาไทรบุรี(ปะแงรัน) ไม่ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามกำหนด และไปสมคบกับพม่า วางแผนคิดจะยกกองทัพมาตีไทย โดยการสนับสนุนจากอังกฤษ รัชกาลที่ ๒ จึงมีตราลง มายังเมืองนครศรีธรรมราธ ให้เจ้าพระยานครฯ (น้อย)ยกทัพไปปราบและนำตัวพระยาไทรบุรี มาลงโทษให้จงได้ ครั้นในปี พ.ศ. ๒๓๖๕ เจ้าพระยานครฯ (น้อย)เตรียมกำลังพล ๗,๐๐๐ คน พร้อมด้วยกองทัพ พัทลุง และสงขลา ให้พระยามหาจัตุรงค์ เป็นทัพหน้า พระยาณรงค์วิชิต เป็นทัพหลวง และหลวงเทพเสนา หลวงชาญพลรบ เป็นทัพหลัง ยกไปตีเมืองไทรบุรี พระยาไทรบุรี ปะแงรัน ทราบข่าวศึก จึงรีบนำครอบครัว อพยพหนีไปพึ่งอังกฤษที่เกาะหมาก ทัพนครฯ เข้าเมืองไทรบุรี ได้เก็บทรัพย์สิน และกวาดต้อนเอาครอบครัว ชาวไหรบุรี มาไว้ที่นครฯ บ้าง พัทลุงและสงขลาบ้าง และต่อมาเกือบศตวรรษ ครอบครัวชาวไทรบุรีที่กวาดต้อนมาไว้ในนครศรีธรรมราย โดยเฉพาะที่บ้าน มะม่วงสองต้น ครั้งนั้นให้กำเนิด บุตรธิดา หลาน เหลนจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือ เด็กชายอาจ ชุมพูนุข รวมอยู่ด้วย เด็กชาย อาจ ชุมพูนุช เกิดเมื่อ พ.ศ.ศ.๒๔๒๙ ก่อน ขุนพันธรักษ์ราชเดช ๑๗ ปี ที่บ้านมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง นครศรีธรรมราช มีบิดา มารดา และพี่สาวหนึ่งคน แต่ทั้งหมดไม่ทราบชื่อ เด็กชายอาจ ตอนเล็ก ไปเรียนหนังสือภาษายาวี ศึกษาหลักศาสนาอิสลามที่ปอเนาะ และมัสยิดแถวสี่แยกตลาดแขกในเมืองนครฯ จนโตเป็นหนุ่ม เป็นเหตุให้เด็กชายอาจ อ่าน เขียนหนังสือไทยไม่ได้ เพียงแต่เขียนชื่อ และนามสกุลตนเอง ได้เท่านั้น ในปี พ.ศ.๒๔๕๑ เด็กชายอาจ ชุมพูนุช อายุ ๒๒๒ ปี ทางการมณฑลนครศรีธรรมราช เรียกตัด เข้าไปเป็นตำรวจเกณฑ์ ประจำอยู่ในเมืองนครฯ เมื่อครบกำหนด นายอาจก็สมัครใจเป็นตำรวจต่อไปอีก ระหว่าง รับราชการอยู่นั้น พลตำรวจอาจ ชุมพูนุช ได้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเข้มงวด มีความชื่อสัตย์ สุจริต เที่ยงธรรมตรงไปตรงมา แต่ถ้าผู้ใดกระทำผิดละเมิดกฎหมายบ้านเมืองโดยเฉพาะแก๊งลักขโมย กลุ่มโจร พลตำรวจอาจ ไม่ยอมนิ่งดูดายให้ผ่านไปอย่างเด็ดขาด พยายามติดตามปราบปรามอย่างไม่ละลด กระทั่งจับผู้นั้นมาลงโทษเสมอๆ ทางราชการเห็นความตั้งใจ ความพยายามของ พลตำรวจอาจ ชุมพูนุธ เรื่อยมา กระทั่งเลื่อนยศขึ้นเป็นสิบตำรวจตรี หลังจากนั้นในท้องที่ปากพนัง เกิดเหตุการณ์โจรผู้ร้าย เสือร้าย ออกอาละวาดอุกฉกรรปล้น วัวควาย ทรัพย์สิน บางรายฆ่าเจ้าทรัพย์ตายหลายคดี ทางการจึงได้ย้ายสิบตำรวจตรีอาจ ชุมพูนุธ ไปปฏิบัติหน้าที่ ในท้องที่นั้น สิบตำรวจตรีอาจ ใช้ความพยายามและหาวิธีการต่างๆ ทำการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ไม่นานกลุ่มโจรถูกจับดำเนินคดีตามกฎหมาย บ้างก็ถูกเจ้าหน้าที่ฆาตกรรมเสียชีวิตในที่ เกิดเหตุ บ้างก็อพยพหนีไปอาศัยในท้องถิ่นอื่น เหตุการณ์อุกปล้นฆ่าในท้องที่ปากพนังก็ลดลง ด้วยผลงานการปราบปรามอย่างทุ่มเท และจริงจังนี้ สิบตำรวจตรีอาจได้เลื่อนยศขึ้นเป็น "สิบตำรวจโท" ในปีต่อมา ปี พ.ศ.๒๔๖๑-๒๔๖๓ ท้องที่กิ่งอำเภอเชียรใหญ่ หัวไทร เกิดภาวะฝนแล้งทำนาไม่ได้ผล ประชาชนอดยาก เกิดเหตุการณ์โจรผู้ร้ายทุกชุมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโจรที่มี นายวัน หรือเสือวัน เป็นหัวหน้า ออกอาละวาด ปล้นฆ่าทำร้าย เจ้าทรัพย์อย่างโหดเหี้ยม เยียกฎหมาย เจ้าหน้าที่บ้านเมืองโดยเฉพาะตำรวจผู้ดูแลรับผิดชอบ ความสงบสุขของประชาชน ตั้งแต่บ้านเชียรเขา เชียรใหญ่ บ่อล้อ การะเกด เขาบาท และบ้านบางนบ ทำความ เดือดร้อนให้กับผู้คนที่สุจริตเป็นอย่างยิ่ง ทางราชการจึงส่ง สิบตำรวจโทอาจ ชุมพูนุช ซึ่งขณะนั้นอายุประมาณ ๓๕-๓๖ ปี ไปปฏิบัติหน้าที่ ที่สถานีตำรวจกิ่งอำเภอเชียรใหญ่ เมื่อสิบตำรวจโทอาจ ย้ายมารับผิดชอบในท้องที่ดังกล่าว ก็ได้คิดวางแผนปราบทุกข์เข็ญความเดือนร้อนให้กับประชาชน โดยเฉพาะการปราบ กลุ่มโจรเสือวันให้เร็วที่สุดเพื่อมิให้ราษฎรเสียขวัญ คืนหนึ่งทางการสืบทราบว่าเสือวันวางแผนนำสมุนไปปล้นในท้องที่บ้านเชียรเขา เจ้าหน้าทำโดยสิบตำรวจโทอาจ นำคณะพร้อมอาวุธครบมือไปซุ่มดักระหว่างเส้นทางเพื่อจับกุม กลางตึกในคืนนั้นเองเจ้าหน้าที่ ได้ปะทะกับกลุ่มโจร เกิดยิงต่อสู้กันพักใหญ่ๆ เมื่อสิ้นเสียงปืนตำรวจเข้าเคลียพื้นที่ ผลปรากฏว่าเสือวัน ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ สิบตำรวจโทอาจ จับตัวนำส่งไปยังกองกำกับเมืองนครฯ แต่เสือวัน ทนพิษบาดแผลไม่ไหวได้เสียชีวิตระหว่างทาง ข่าวการปราบปราม กลุ่มเสือวันในครั้งนี้ ทำให้โจรกลุ่ม อื่นๆ เกรงกลัวทัางก็เลิกเป็นโจรบ้าง หลบหนีไปอยู่ในท้องถิ่นอื่นบ้าง เหตุการณ์ ขโมย ปล้น ฆ่า ในกิ่งอำเภอเชียรใหญ่ก็สงบลง หลังจากนั้นสิบตำรวจโทอาจ ก็ได้เลื่อนยศขึ้นเป็นสิบตำรวจเอก ในปี พ.ศ.๒๔๖๖๖ ชะอวดได้แยกจากอำเภอร่อนพิบูลย์ และยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอ อีกหลายปี ต่อมาทางการได้จัดตั้งสถานีตำรวจขึ้นที่ กิ่งอำเภอชะอวด จึงได้ย้ายสิบตำรวจเอกอาจ ชุมพูนุธ ซึ่งขณะนั้นมีอายุ ประมาณ ๕๑ ปี ไปเป็นหัวหน้า แต่ทางรายการยังขาดงบประมาณในการสร้างอาคารที่ทำการ ดังนั้น สิบตำรวจเอกอาจ จัดการหาทุนโดยเรี่ยไรจากชาวบ้านบ้างจากส่วนราชการบ้าง และจากเงินของตนบ้า สร้างที่ทำการชั่วคราว ขึ้นหลังหนึ่ง หลังคามุงจาก เพื่อเป็นที่ทำการและให้บริการแก่ประชาชนที่มาติดต่อ การปฏิบัติในหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายในท้องถิ่น กิ่งอำเภอชะอวดสมัยนั้นยากลำบากมากเพราะเป็นถิ่นทุรกันดาร การติดต่อสื่อสาร ไม่สะดวก บางท้องที่ต้องอาศัย เรือ แพ ม้า หรือเดินเท้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ หรือจับกุมผู้ต้องหา หรือสืบหา พยานหลักฐานไปประกอบคำฟ้องคดีผู้กระทำผิด อย่างไรก็ตามสิบตำรวจเอกอาจ ถือว่าการ บำบัดทุดทุกข์ บำรุงสุข เป็นหน้าที่ของตนจะต้องบริการแก่ราษฎรในยามเกิดภัยจากโจรผู้ร้ายให้สงบจงได้ ครั้งหนึ่งเกิดเหตุ คดีปล้นและฆ่าเจ้าทรัพย์ตายในท้องที่ บ้านตูล กิ่งอำเภอชะอวด ซึ่งอยู่ในเขตรับผิดชอบของสิบตำรวจเอก อาจ ต่อมาสืบทราบว่าโจรกลุ่มนี้ หลบหนีไปอาศัยอยู่ในท้องที่บ้าน ควนพัง เขตอำเภอ ร่อนพิบูลย์ สิบตำรวจเอกอาจ พร้อมเจ้าหน้าที่ จึงยกกำลังติดตามไปถึงวัดวัวหลุง (วัวหลง) คณะติดตาม หวังไปสืบถามข่าวคราวจากเจ้าอาวาสวัดดู เพราะโบราณมีความเชื่อว่า บุคคลที่จะไปสอบถามหาความจริงได้นั้น มีอยู่คือ คือ ๑. พระภิกษุสงฆ์ เพราะพระท่านมีศีลคงบอกความจริง ๒.หญิงมีครรภ์ เพราะหญิงมีครรภ์นั้น ไม่โกหก และมีความเชื่อว่าหากโกหกขณะตั้งครรภ์บุตรที่คลอดมาร่างกายจะพิการ และ ๓. เด็ก เพราะเด็ก นั้นจะพูดจาตามที่ตนเห็นจริงๆ ไม่เสกสรรปั้นแต่ง ไม่เสแสร้ง นั่นคือความเชื่อในอดีต แต่ปัจจุบันผู้รวบรวม ไม่กล้ารับรองว่ายังเป็นความจริง อยู่อีกหรือไม่ ดังนั้นสิบตำรวจเอกอาจ พร้อมคณะตัดสินใจไปหาเจ้าอาวาสวัดวัวหลุง ซึ่งขณะนั้นคือ ท่านอาจาจาร์ สมภารชัง ก่อนจะถึงหน้าวัดมีหนองน้ำ วังโล่ เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ขวางกั้นอยู่ ทางวัดและชาวบ้านช่วยกันสร้าย สะพานทอดยาวข้ามหนองน้ำแห่งนี้ เป็นทางเดินเข้าวัด ประมาณ ๒๐ เส้น สะพานปูด้วยไม้ตะเคียนบ้าง ไม้เคี้ยมบ้าง เพื่อให้พระภิกษุ สามเณร ออกไปบิณฑบาด หรือชาวบ้านเดินเข้า ออกไปทำบุญทำกิจธุระในวัด ในหนองน้ำวังโล่ อันกว้างใหญ่นี้ เต็มไปด้วยพืชน้ำ สัตว์น้ำ ปู ปลา กุ้ง หอย และนกนานาชนิด โดยเฉพาะ นกเป็ดน้ำมีเป็นจำนวนมาก ขณะที่สิบตำรวจเอกอาอาจนำคณะเดินข้ามสะพานไปนั้น เห็นฝูงนกหลากหลายชนิดกำลังหากินอยู่ในหนองน้ำ ด้วยความอีกเหิมคะนองอยากทดลองฝีมือ ก็คว้าปืนอาวุธประจำกายเล็งไปที่ฝูงนก เป้าหมาย ทันใดนั้นก็ลั่นไกไป ๕-๖ นัด เสียงปืนทำให้ฝูงนกต่างๆ บินหนีขึ้นท้องฟ้าแทบทั้งหมด ไม่มีนกตัวใด ถูกกระสุนตายแม้แต่ตัวเดียว สิบตำรวจเอกอาจ เห็นเช่นนั้นก็เก็บอาวุธ พร้อมเดินนำเจ้าหน้าที่ไปพบเจ้าอาวาส เมื่อขึ้นไปบนกุฏิเห็น ท่านอาจารย์สมการยังนั่งอยู่ สิบตำรวจเอก อาจ และคณะที่มา เข้าไปนั่งเรียบร้อย แต่ยังไม่มีใครพูดจาอะไร ท่านสมภารชังเอาสิ่งของที่กำอยู่ในมือซัดสาดไปข้างหน้าถูกแขกที่มาเยือน บ้างก็โดนศีรษะ บ้างก็ถูกใบหน้า บ้างก็ตกลงบนตักสิบตำรวจเอกอาจ นายตำรวจอาจ หยิบสิ่งสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณาดู ก็ตกตะลึงแทบเป็นลม และอัศจรรย์ใจยิ่ง เพราะมันคือหัวกระสุนปืนของตน ที่ยิงไปเมื่อครู่นี้เอง คณะที่มาต่างคน ต่างนิ่งอึ้ง ไม่มีใครปริปากพูดจาอะไรเลย และแล้วทุกคนก็ก้มลงกราบ อาจารย์สมภารซังเกือบจะพร้อมๆ กัน โดยมิได้นัดหมาย ไม่เว้นแม้แต่สิบตำรวจเอกอาจ ชุมพูนุธ ซึ่งเป็นมุสลิม นับถือศาสนาอิสลาม ครู่ใหญ่ๆ นายตำรวจอาจ กล่าวคำขอโทษต่อเจ้าอาวาส ที่ตนเองกระทำผิดไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักวัฒนธรรมชาวพุทธว่า บริเวณวัดนั้นเป็นเขตอภัยทาน ตนมีตำแหน่งถึงผู้บังคับบัญชาคน เป็นข้าราราชการเจ้าหน้าที่บ้านเมือง แต่กลับละเลยไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่อง ดังกล่าว เมื่อท่านอาจารย์สมภารซังเห็นเช่นนั้น ก็ไม่เอาโทษอะไรมากนัก เพียงแต่เตือนสติ บอกกล่าวถึง บาป บุญ คุณและโทษ ของการอาฆาตมาดร้ายและเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ตามหลักธรรมทางพุทธศาสนาให้ฟัง จากนั้น หัวหน้าชุดคือ สิบตำรวจเอกอาจ บอกความประสงค์ที่มาหาท่านสมภารให้ทราบ แล้วทั้งหมดก็กราบลา เจ้าอาวาส ลงกุฏิไป เหตุการณ์มหัศจรรย์ ที่อาจารย์สมภารชัง แสดงปาฏิหาริย์สามารถเรียกกระสุนปืน ของนายตำรวจอาจ มาไว้ในกำมือได้ในครั้งนั้น ถือว่าอาจารย์สมภารชัง ท่านมีพุทธาคมและกฤดาคม ประเภทไสยเวท "กระสุนคด" ไสยเวทประเกทนี้ ตามตำรา บอกว่ามาจาก สรรพเวทแขนงหนึ่งในตำราไสยศาสตร์ ที่สืบทอดต่อจากตำราพิชัย สงคราม ชื่อ "ธนูเวท" เป็นวิชาประเภทการใช้ ธนูและ ศร ผู้ที่เรียนจบสามารถเรียก หรือบังคับกระสุน ธนู หรือศรให้เดินทางวิถีโค้ง หรือวิถีคด มิให้ถูกเป้าหมายหรือเรียกมาไว้ในกำมือได้ เป็นพระเวทสุดวิเศษ หากผู้ใด เรียนตำรา ธนูเวทได้เชี่ยวชาญจริงๆ จะมีเดชอำนาจมากไม่มีผู้ใดต่อต้านได้แม้แต่เทพ หรือเทวดา ฉะนั้น อาจารย์สมภารชัง ท่านคงเรียนจบวิชานี้มาอย่างชำนิชำนาญ และศิษย์เอกของท่านอีกรูปหนึ่ง ที่เรียนและรับ วิชากระสุนคดต่อจากท่าน คือ อาจารย์ หนูจันทร์ สุเมโธวัดทุ่งเฟื้อ อำเภอเฉลิมพระเกียรติฯ ปัจจุบันท่านได้ มรณภาพไปหลายปีแล้ว เหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่เกิดในวัดวัวหลุงครั้งนั้นเป็นภาพฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ความรู้สึก ของ สิบตำรวจเอกอาจ ขุมพูนุธ อยู่มิรู้ลืม ดังในหนังสือ"อภินิหารพ่อท่านชัง" โดย พระชุมสุข ปัญญาวโร หน้า ๓๙ แต่มิได้บอกปีและสำนักพิมพ์ไว้ บันทึกว่า"ตั้งแต่นั้นมา ส.ต.อ. อาจ ชุมพูนุช เหลื่อมใสศรัทธา ต่อสมภารธังอย่างมาก ได้ไปเยี่ยมเยียนขอพรขอคำแนะนำถึงวัดวัวหลุงเสมอๆ จะได้ของดีอะไรไปบ้าง ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าหลังจากนั้นตำรวจผู้นี้ ไม่จับปืนทำบาบาปอีกเลย" ในการปฏิบัติการสืบสวน สอบสวนผู้ต้องหานั้น สิบตำรวจเอกอาจ จะมีเทคนิค หรือวิธีเป็นเอกลักลักษะ ของตนเองเสมอ เช่นการ "หลอก - ล่อ – ทรมาร จนผู้ร้ายปากแข็งทั้งหลายต้องสารภาพ ตลอดข้อกล่าวท จากผลงานการปราบปรามอย่างทุ่มเท จริงจังรุนแรง และต่อเนื่องชนิดที่เรียกว่า "กัดแล้วไม่ปล่อย" ไม่ว่าผู้รักๆ หรือโจรกลุ่มใด ถ้าทางการมอบหมายให้ สิบตำรวจเอกอาจ รับผิดชอบแล้ว ต้องยอมรับว่าไม่นานจะได้ตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย หรือหนีเตลิดไปไกลในท้องถิ่นอื่นหรือไม่ก็สิ้นชื่อ สิ้นชีวิตแน่นอน ด้วยความวิริยะมุมานะในหน้าที่การงาน การปราบปรามโจรผู้ร้ายอย่างจริงจังใน ชุมชน ท้องถิ่นชนบท ของพื้นที่กิ่งอำเภอชะอวด จนสงบ เรียบร้อยเป็นผลให้ สิบตำรวจเอกอาจ ได้เลื่อนยศขึ้นเป็นจ่าสิบตำรวจในปีต่อมา ด้วยผลงานการรักษาความสงบเรียบร้อยในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ราชการบ้านเมืองเป็นที่เลื่องลือ ชีวิตรับราชการไม่มีด่างพร้อยชีวิตส่วนตัวและครอบครัวสามารถเป็นแบบอย่าง แก่บุคคลทั่วไปได้ ดังนั้นบั้นปลายชีวิตรับราชการจ่าสิบตำรวจอาจ ชุมพูนุย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ บรรดาศักดิ์ เป็น "หมื่นระชับทารุณกรรม" ถือศักดินา ๔๐๐ ไร่ ในที่ดินบริเวณพื้นพื้นที่ทางทิศตะวันออกของ ที่ว่าการกิ่งอำเภอชะอวดสมัยนั้น ปัจจุบันผู้นำชุมชนและชาวบ้าน ได้นำนามสกุลท่านมาตั้งเป็นชื่อถนน ถึง ๓ สาย คือ ถนนชุมพูนุธ สาย ๑ - สาย ๓ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ท่านและครอบครัว
ถนนชมพูนุช 2 หากนำบรรดาศักดิ์ "หมื่นระงับทารุณกรรม"มาพิจารณาว่าหมายถึงอะไร และสิ่งใด ก็คงอธิบายได้ว่า สั้นๆ ก็ หมายถึง การหยุดยั้งเหตุร้ายๆ หรือเรื่องร้ายๆ ให้กับราษฎร หรือแปลความว่า เมื่อหมื่นระงับทารุณกรรม ไปปฏิบัติหน้าที่ในท้องที่ใด จะขจัดปัดเป้าเหตุร้ายเรื่องร้ายๆ ในท้องที่นั้นให้ลดลง ประชาชนจะอยู่อย่าง สตบสุข นั่นเอง ในที่สุด หมื่นระงับทารุณกรรม เกษียณเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๙ รับราชการตำรวจถึง ๓๘ ปี ชีวิตครอบครัว หมื่นระงับทารุณกรรม ท่านมีกรรยาคนแรกขณะรับราชการที่ ปากพนัง ชื่อ นางปุ้ย เป็นมุสลิม ไม่มีบุตร หลังจากนั้นภรรยาก็เสียชีวิตคนที่สองขณะที่รับราชการที่เชียรใหญ่ ชื่อ นางอั้น เป็นมุสลิม มีบุตร หนึ่งคน ไม่นานภรรยาคนที่สองgสียชีวิต คนที่สามเป็นคนไทย ชื่อนางจวงขณะรับราชการ ศัก ที่กิ่งชะอวด มีบุตร ๓ คน ชื่อ นายชะอวด นายธนูด และนายสง่า ชุมพูนุช หลังจากนั้นนางจวง เสียชีวิต ภรรยาคนที่สี่เป็นคนไทย ชื่อ นางส่อง ไม่มีบุตร คนที่ห้า ชื่อนางต้า ไม่มีบุตร คนที่หกชื่อนางกิ้มพลัด ไม่มีบุตร
สรุปว่า ครอบครัว หมื่นระงับทารุณกรรมนั้นมีภรรยา ๖ คน สองคนแรก เป็นมุสลิมได้อยู่กินในเวลาสั้นๆ ก็เสียชีวิต ส่วนคนต่อๆ มาเป็นคนไทย มีบุตรทั้งหมด ๔ คน แต่มีชีวิตจนเติบใหญ่คือ นายชะอวด นายธนูด และนายสง่า ซึ่งเกิดจากนางจวง ทั้งสิ้นหลังจากนั้นท่านไม่มีบุตรกับกรรยาคนใดเลย การที่ท่านหมื่นมีภรรยาหลายคนเช่นนี้ ก็คงเป็นไปตามวัฒนธรรมชาวมุสลิมประการหนึ่ง อีกประการเป็นเพราะภรรยาคนก่อนๆ ได้เสียชีวิตไปตอนท่านยังหนุ่ม และประการต่อมาคงเป็นวัฒนธรรมไทย ที่อำมาตย์หรือขุนนางมักนิยมมีภรรยาหลายๆ คน ดังที่ทราบกัน ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ หมื่นระงับทารุณกรรม เกษียณราชการ และในปี พ.ศ.๒๔๙๙๙ สละที่ดินซึ่งได้จากการรับพระราธทานจาก บรรดาศักดิ์เป็น "หมื่น"ศักดินา ๔๐๐ ถวายสร้างวัด ๒๐ ไร่ ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ท่านได้อุปสมบท ๑ พรรษา และในปี พ.ศ.๒๕๐๒ ได้เสียชีวิต ด้วยอายุ ๗๓ ปี ประวัติความเป็นมาของวัดหมื่นระงับรังสรรค์หรือ วัดหมื่นส่อง วัดหมื่นระงับรังสรรค์ในปีแรก ตั้งเป็นสำนักสงฆ์โดยได้อาราธนานิมนต์ พระครูไพบูลย์วุฒิญาณ (พระอธิการติ้น) จากวัดโคกสูง ตำบลแหลม อำเภอหัวไทรจังหวัดนครศรีธรรมราช มาเป็นเจ้าสำนักอยู่ประจำหลังจากนั้น พระครูไพบูลย์วุฒิญาณ ได้ดำเนินการพัฒนาสำนักสงฆ์แห่งนี้ขึ้น เช่น สร้างกุฏิ ที่พักสงฆ์ ศาลาการเปรียญชั่วคราว เพื่อประกอบศาสนกิจของสงฆ์ ทำให้เป็นที่เคารพนับถือและศรัทธาประชาชนทั้งใกล้และไกลได้นำบุตรหลานมาบวยเป็นภิกษุ สามเณรจำนวนมากบางปี ถึง ๒๕-๓๐ รูป ดังนั้นในการพัฒนา ก่อสร้างเสนาสนะ การเรียนการสอนพระบริยัติธรรม เป็นที่สนใจของชาวพุทธมากขึ้น ในการเรียนพระปริยัติธรรมนั้นระยะแรกสมทบสอบ กับสนามสอบสำนักวัดโคกสูง อำเภอหัวไทร ต่อมาทางวัดได้รับอนุญาตให้เป็นสนามสอบเอง เมื่อพระครูไพบูลย์วุฒิญาณ มรณภาพในปี พ.ศ.๒๕๐๔ พระภิกษุ เผือก คุณวโร ซึ่งได้อุปสมบท เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ ที่วัดแหลม ตำบลแหลม อำเภอหัวไหว จังหวัดนครศรีธรรมราช สอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักวัดมุจลินทวาปีวิหาร จังหวัดปัตตานี ได้รับมอบหมายให้ มาปกครองดูแลวัดหมื่นระงับรังสรรค์ ในช่วงนี้หลวงพ่อเผือก รับช่วงในการพัฒนาวัด ด้านเสนาสนะ การก่อสร้าง และด้านการศึกษาของพระภิกษุ สามเณรต่อจากเจ้าอาวาสรูปก่อน ในปี พ.ศ.๒๕๐๗ หลวงพ่อได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ท่านได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูสังฆรักษ์ ฐานานุกรมในพระวิสุทธาจารย์ วัดพิชัยญาติการาม กรุงเทพฯ ในช่วงที่หลวงพ่อเผือก หรือพระครูสังฆรักษ์ เป็นเจ้าอาวาสอยู่นั้น ท่านได้พัฒนาวัดในด้านต่างๆ อย่าง มากมาย เช่น สร้างกำแพงคอนกรีตรอบวัด ปรับพื้นพื้นที่บริเวณวัดทั้งหมดและสร้างถนนคอนกรีตเชื่อมต่อกับ กฏิ วิหาร ทางเดินภายในวัด สะดวกแก่พระภิกษุ สามเณรและศาสนิกชนที่มาทำบุญในวัด บูรณะหอฉัน สร้างเมรุ เผาศพ ปลูกสวนป้าเบญจพรรณ จำนวน ๖๐๐ ต้นภายในวัด สร้างพระอุโบสถด้วยงบประมาณที่วัดจัดหา ถึง ๙,๒๐๐,๐๐๐๐ กว่า บาท ใน ปี พ.ศ.๒๕๓๗ ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ หลวงพ่อเผือก ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลท่าประจะ อำเภอชะอวดรุ จังหวัดนครศรีธรรมราย พ.ศ.๒๕๑๘ ได้รับแต่งตั้งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นตรี และในปีพ.ศ.๒๕๒๗ เป็นเจ้าคณะตำบล ชั้นโทการส่งเสริมสนับสนุนให้พระภิกษุ สามเณร ศึกษาแผนก นักธรรม และแผนกบาลี ไปเรียนยังสำนักต่างๆ เช่น วัดคูหาสรรค์ พัทลุง วัดกะพังสุรินทร์ ตรัง และวัดเบญจมบพิตรฯ กรุงเทพฯ เป็นต้น ในปี พ.ศ.๒๕๓๖หลวงพ่อเผือก คุณวโร ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ "พระครูปสวโรภาส"เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก และ พ.ศ.๒๕๕๔๒ เป็นเจ้าคณะ อำเภอชะอวด ส่วนโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญในวัดหมื่นระงับรังสรรค์ นั้นคือ
๑.หลวงพ่อดำ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง หน้าตักกว้างประมาณ ๑.๓๐ เมตร ปางชนะมาร สันนิฐานว่าเป็นศิลปะแบบสมัยอยุธยา ตอนกลาง -ตอนปลาย ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ตามตำนาน เล่าว่า หลวงพ่อดำองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างด้วยสัตยาธิฐานแห่งองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวาระ ที่เสด็จทำศึกสงครามครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงพระรายดำริให้ปั้นพระพุทธปฏิมาจำนวนหนึ่ง เพื่อสำแดงพระเดชานุภาพและเป็นพุทธบูชา พระราชกุศลศรัทธา ในอันที่จะพิทักษ์พระพุทธศาสนาและพระราชอาณาจักรแห่งสยาม จึงเรียให้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรต่อไปแล้วให้ไพร่พล อันเชิญพระพุทธรูปเหล่านั้นลงแพปล่อยให้ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ มีองค์หนึ่งลอยมาใน อ่าวไทย สู่แม่น้ำปากพนัง คลองเธียร ชาวบ้านเห็นเป็นพระพุทธรูปลอยน้ำอยู่บนแพกึ่งจมกึ่งลอย จึงช่วยกัน ชักลากขึ้นฝั่งนำไปประดิษฐานที่วัดกลาง อำเภอเชียรใหญ่ต่อมาวัดกลางร้าง ชาวบ้านจึงได้นำไปประดิษฐาน ที่วัดปากควน ในเขตอำเภอชะอวด แต่ขาดผู้คนสนใจและวัดปากควนในขณะนั้นก็หาพระภิกษุมาจำพรรษา ก็อยากลำบาก กำลังจะร้างเมื่อหลวงพ่อเผือก มารักษาการเจ้าอาวาสวัดหมื่นระงับรังสรรค์ ปี พ.ศ.๒๕๐๔ จึงอันเชิญหลวงพ่อดำมาประดิษฐานในวัดดังกล่าว
๒. หลวงพ่อขาว เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น สีขาวจึงเรียกว่า หลวงพ่อขาว คู่กับหลวงพ่อดำ หลวงพ่อขาว หน้าตักกว้าง ๔ เมตร สูง ๖ เมตร ปางมารวิชัย ศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ สร้างในปี พ.ศ.๒๕๓๕ ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งบริเวณลานวัด
๓. หลวงพ่อหมื่นล้าน เป็นพระพุทธรูปที่หลวงพ่อเผือก หรือพระครูปุสวโรภาส ได้ปรารภให้สร้างขึ้น เนื่องในโอกาส ผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ ใน ปี พ.ศ.๒๕๓๗เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิทรงเครื่อง ศิลปะแบบล้านนา หน้าตัก ๙๐ เซ็นติเมตร ท่านจึงเอาชื่อผู้บริจาคที่ดินสร้างวัด คือ หมื่นระงับทารุณกรรม กับศิลปะพระพุทธรูป แบบล้านนา เป็นชื่อพระพุทธที่สร้างขึ้น เรียกว่า"หลวงพ่อหมื่นล้าน" ดังกล่าว
๔. พระอุโบสถ เป็นอุโบสถ ๒ ชั้น ชั้นบนเป็นตัวพระอุโบสถ สำหรับทำกิจของสงสงฆ์ กว้าง เมตรยาว ๒๐ เมตร สูง ๕ เมตร ชั้นล่างใช้สำหรับที่ประชุมสงฆ์ สวดมนต์ไหว้พระ ห้องเรียนนักธรรมและกิจกรรมอื่นๆ ของวัดทั่วๆ ไป สร้างเสร็จในปีพ.ศ.๒๕๓๗ ค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๙,๒๒๐,๐๐๐กว่าบาท
๕. อนุสรณ์ รูปปั้น หมื่นระงับทารุณกรรม และนางส่อง ภรรยา พระครูปสวโรภาส พุทธบริษัทและประชาชนจัดหาทุนร่วมบริจาค สร้างไว้บริเวณกลางลานวัด เป็นรูปปั้นหล่อด้วยทองเหลืองเท่าคนจริงเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ สละที่ดินสร้างวัด อนุชน คนรุ่นหลังๆจะได้ทราบถึงความมุ่งมั่น ความศรัทธาของสามี ภรรยาท่านทั้งสองดังกล่าว เนื่องจากวัดหมื่นระงับรังสรรค์ หรือวัดหมื่นส่องตั้งอยู่กลางชุมชน อาคารสถานที่ในวัดนอกจากใช้ทำกิจ ของสงฆ์ งานบุญ วันสำคัญทางศาสนา งานบวชงานฌาปนกิจแล้ว ยังมีส่วนราชการ ส่วนเอกชน และชุมชน เข้ามาใช้ทำกิจกรรมอยู่มิได้ขาด เช่น อำเภอหรือตำบลใช้ในการประชุม พบปะราษฎร เป็นศูนย์หน่วยเลือกตั้ง เป็นศูนย์หน่วยลงประชามติ การประชุมหมู่บ้าน ประชุมกลุ่มแม่บ้าน ประชุมสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์หมู่บ้าน ประชุมสมาชิกผู้สูงอายุหมู่บ้าน ดังนั้นการใช้อาคารสถานที่ และอุปกรณ์อื่นๆ ในวัด ยังเป็นประโยชน์และคุ้มค่า ต่อชุมชนและสังคมในท้องถิ่นนี้ตลอดมา ปัจจุบันพระครู ปุสวโรภาส หรือหลวดต่อเผือกแม้ท่านจะมีอายุ ๘๖ ปี ๖๕ พรรษา แต่ท่านยังแข็งแรง ดูแลปกครองพระภิกษุ สามเณรประสิทธิภาพเช่นเดิม เมื่อกลับมาพิจารณาข้อสังเกต บางประการถึงเหตุและผลว่าทำไม หมื่นระงับทารุณกรรม ซึ่งเป็นชาว มุสลิมนับถือศาสนาอิสลาม บรรพบุรุษอพยพมาจากเมืองไทรบุรี มารับราชการตำรวจในมณฑลนครศรีธรรมราย บั้นปลายชีวิตท่านหมื่นฯ กลับมาสนใจหลักธรรมทางพุทธศาสนา ได้สร้างวัด และอุปสมบท ถึง ๑ พรรษา ก่อนจะมีคำตอบอธิบายข้อสงสัยในเรื่องดังกล่าวขอนำชีวิตระหว่างท่านหมื่นระชับทารุณกรรม เทียบเคียงทั้งในความเหมือนและความแตกต่าง กับชีวประวัติ "นายพลหนังเหนียว สิงห์มือปราบดาบแดง
ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ซึ่งจะพิจารณาตามหลัก "โยนิโสมนสิการ" ได้ดังนี้ ๑.บรรพบุรุษ ของบุคคลทั้งสองต่างมาจากเมืองไทรบุรี และมาตั้งถิ่นฐานในเมืองนครศรีธรรมราช เช่นกัน ต่างกันที่ฝ่ายหนึ่งมาในฐานะเจ้าผู้ครองเมืองนครฯแต่อีกฝ่ายหนึ่งมาในฐานะเชลยสงคราม ๒. บุคคลทั้งสองต่างก็กำเนิดในท้องถิ่นองนครฯ เช่นกัน ต่างกันที่ฝ่ายหนึ่งเกิดใน พ.ศ.๒๔๘ บ้านอ้ายเขียว พรหมคีรี แต่อีกฝ่ายหนึ่งเกิดในศ๒๔๒๙ ที่บ้านมะม่วงสองต้น เมืองนครฯ อายุต่างเพียง ๑๗ ๗ ปี เท่านั้น ๓. ในด้านการศึกษาฝ่ายหนึ่งได้รับการศึกษาตามภาคบังคับ และต่อมัธยมปลาย และเข้าโรงเรียน นายร้อยสามพราน เข้ารับราชการตำรวจครั้งแรกเป็นร้อยตำรวจตรี แต่อีกฝ่ายหนึ่ง อ่าน เขียน หนังสือไทย ไม่ได้ เพียงเขียน ชื่อกับนามสกุลได้เท่านั้น เข้ารับราชการตำรวจครั้งแรก เป็นตำรวจเกณฑ์ ๔. บุคคลทั้งสองต่างรับราชการดำรามีหน้าที่พิทักษ์ สันติราษฎร์ รักษาความสงบเรียบทัก ปราบปรามโจรผู้ร้ายในสมัยที่ไล่เลี่ยกัน ต่างกันที่ฝ่ายหนึ่งรับผิดชอบมอบหมาย ในพื้นที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา และในภาคกลางได้แก้จังหวัดพิจิตร ชัยนาท สุพรรณบุรี และ กำแพงเพท แต่อีกฝ่ายรับผิดชอบมอบหมายในพื้นที่ อำเภอเมือนครศรีธรรมราช อำเภอปากพนัง กิ่งอำเภอเภอเชียรใหญ่ และกิ่งอำเภอชะอวด ๕.บุคคลทั้งสองต่างทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ คอยปราบปรามผู้ร้าย และบางครั้งปะทะ กับกลุ่มโจรเสมอๆ ดังนั้นต่างก็พยายามหาเครื่องขมังเวทย์ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยว สร้างขวัญ สร้างกำลังใจ ให้ตนตกอยู่ในอันตราย บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ประเภทเครื่องรางของขลัง คาถาอาคมจากเจ้าสำนักต่างๆ คล้ายๆ กัน ต่างกันที่ฝ่ายหนึ่งยึดเอา อาจารย์เอียด ปทุมสโร จากสำนักวัดเข้าอ้อ จังหวัดพัทลุง เป็นอาจารย์ เละอีกฝ่ายหนึ่งยึดเอา อาจารย์สมภารชัง สุวณุโณ จากสำนักวัดวัวหลุง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นอาจารย์ ๖.บุคคลทั้งสองมีเชื้อสายมุสลิม แต่ทั้งสองต่างกลับไปเหลื่อมใสศรัทธาหลักธรรมทางพระพุทธศาสหลา กระทั้งอุปสมบท ๑ พรรษา เหมือนกัน ต่างกันที่ฝ้ายหนึ่ง อุปสมบทที่วัดพระบรมธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือว่าเป็นวัดสำคัญที่สุดค่เมืองนครฯ มาตั้งแต่โบราณ และไม่มีข้อมูลว่าได้สละ ที่ดินสร้างวัดหรือไม่ แต่อีกฝ่ายหนึ่งอุปสมบทที่วัดท่าเสม็ด กิ่งอำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราย ซึ่งถือว่าเป็นวัดสำคัญที่สุด คู่เมืองปราณ หรือเมืองท่าเสม็ดมาตั้งแต่โบราณ เช่นกัน และได้สละที่ดิน ๒๐ ไร่ สร้างวัดหมื่นระงับรังสรรค์ ๗. บุคคลทั้งสองได้รับการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งตามระบบราชการ เช่นกัน แต่ที่ต่างกันคือ ฝ่ายหนึ่งได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งถึง พลตำรวจจดีขุนพันธ์รักษ์ราชเดช ผู้บังคับการตำรวจภูธร เขต ๘ นครศรีธรรมราช และได้รับพระรายทานบรรดาศักดิ์ถึง "ซุน" รับราชการมาเป็นเวลา ๓๕4 ปี อายุรวม ๑๐๗ ปี แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งเป็นจ่าสิบตำรวจหมื่นระงับหารุณกรรม ผู้กำกับการตำรวจภูธร กิ่งอำเภอ ชะอวด (คนแรก) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หมื่น" รับราชการมาเป็นเวลา ๓๘ ปี อายุรวม ๗๓ ปี ๘. เนื่องจากบุคคลทั้งสอง ต่างประกอบ คุณงามความดี ในหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายได้ใช้ความรู้ ความสามารถทุ่มเทอย่างจริงจัง จนงานลุล่วงไปด้วยดีเป็นผู้เสียสละเพื่อความสงบของประชาชนอย่างแท้จริง จนมีผลงานโดดเด่น ถือเป็น "ตำรวจตงฉิน" เป็นที่ยอมรับในสังคม และกรมตำรวจ ในชีวิตส่วนตัวและชีวิตครอบครัวก็ไม่มีเรื่องด่างพร้อย มีคุณธรรม มีความพยายามชื่อสัตย์สุจริต อดทน ทุ่มเทให้กับงานในหน้าที่จนสุดความสามารถ ชีวิตและงานของบุคคลทั้งสอง สามารถนำไปเป็นแบบอย่าง เป็นปูชนียบุคคล จนอนุชนรุ่นต่อมาได้ สร้างอนุสาวรีย์ "แห่งความดี" เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ท่านทั้งสอง ต่างกันที่ฝ่ายหนึ่งสร้างไว้ที่หน้าสำนักงาน กองบังคับการตำรวจภูธร เขต ๔ อำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราย อีกฝ่ายหนึ่งสร้างไว้ที่หน้าวิหาร ลานวัดหมื่นระงับวังสรรค์ อำเภอขะอวด จังหวัดนควศรีธรรมราย ๙. ชีวิตหลังเกษียณ บุคคลทั้งสองต่างก็ยังช่วยเหลือสังคมทำคุณประโยชน์ ให้แก่ท้องถิ่น แก่ประเทศ ชาติมิได้ขาด ต่างกันที่ฝ้ายหนึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช ทำหน้าที่ในสภาแทนผู้คนในท้องถิ่นถึง ๒ สมัย อีกฝ้ายหนึ่งหลังเกษียณยังมีผู้คนเคารพนับถือยำเกรงมาก ต่างเรียก "ท่านหมื่น" เมื่อเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องคดีความ มักไปปรึกษาท่านเสมอๆ ข้าราชการแทบทุกแผนกในกิ่งอำเภอชะอวด สมัยนั้น เมื่อมาบรรจุใหม่ หรือย้ายมาใหม่ จะไปพบท่านเพื่อคารวะรายงานตัว บอกล่าว ขอคำแนะนำ คำปรึกษาการปฏิบัติ หน้าที่ในท้องถิ่นนี้ เพราะนับถือศรัทธาว่าท่าน หมื่นระงับหารุณกรรม รู้จักสังคม เข้าใจวัฒนธรรม และเข้าถึงพื้นพื้นที่มาก่อน
ทุกวันหัวบันไดบ้านท่านแทบจะไม่แห้ง เพราะราษฎรที่มีความเดือดเนื้อร้อนใจ เรื่องคดีความ ปล้น ฆ่า ขโมย วัว ควาย ทรัพย์สินอื่นๆ หรือคดีฉุดคร่า อนาจารมักจะไปปรึกษา หาท่านหมื่นฯ เสมอๆ เพื่อขอคำแนะนำ แนวทาง หรือไกล่เกลี่ยเพื่อยุติคดีความ ผลปรากฏว่าหลายๆ คดี ทั้งโจทก์ และจำเลยยินยอมตกลงกันได้ ทั้งนี้เพราะความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ท่านนอกจากนั้นท่านหมื่นฯ ยังให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ตัดคำว่า "พวกพ้องพี่น้องญาติ" ออกทั้งหมด นับว่าท่านเป็นที่พึ่งที่ปรึกษาให้แก่ชุมชนท้องถิ่นนั้นได้เป็นอย่างดีมาก หรืออาจพูดได้ว่า ที่บ้านของท่านหมื่นฯ สมัยนั้น เปรียบเสมือน "ศาลไกล่เกลี่ย" อีกแห่งหนึ่งในกิ่งอำเภอชะอวด จากข้อมูลของนายสง่า ชุมพูนุธ ผู้เป็นบุตรบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า "บิดามีรูปร่างสูงใหญ่ พูดเสียงดัง ฟังชัด แม่นปืน เป็นคนตรงไป ตรงมา พูดคำไหนคำนั้นเกลียดที่สุดกับคนกลับกลอก โกหก ชอบช่วยเหลือ ผู้ด้อยโอกาส ผู้ร้ายคดีเล็กๆ น้อยๆ ถ้ากลับใจเป็นคนดีจะให้อภัย ถ้าไม่กลับใจจะประณามและพยายามนำตัวมา ลงโทษให้จงได้ คดีการพนัน ถ้าจับได้ครั้งแรก ว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนแล้วปล่อยตัว ถ้าจับได้ครั้งสอง ลงโทษเฆี่ยนดี ปล่อยตัว ถ้าจับได้เป็นครั้งที่สาม จับตัวดำเนินตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด เมื่อนำประวัติข้อมูลของบุคคคลทั้งสองท่านคือทั้งหมื่นระงับทารุณกรรม และท่านขุนพันธรักษ์ราชเคธ มาเปรียบเทียบ ดังได้กล่าวแล้ว ก็พอหาคำตอบในประเด็นที่ตั้งคำถามไว้ในตอนแรกว่า ทำไมหมื่นระงับ หารุณกรรม ได้หันมานับถือพุทธศาสนา ได้สร้างวัดและอุปสมบท คำตอบที่พอจะสันนิฐานและเป็นไปได้คือ ๑.ชีวิตของหมื่นระงับทารุณกรรมนั้น คลุกคลีอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เป็น "ชาวพุทธ" มาตั้งแต่เล็กๆ นั่น คือชุมชนบ้านม่ะม่วงสองต้น ตอนรับราชการเป็นตำรวจก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มตำรวจส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ ตอนมี ภรรยาตั้งแต่คนที่สามถึงคนที่หก ก็เป็นชาวพุทธจึงพอสรุปได้ว่าในชีวิตของท่านสัมผัสและใกล้ชิดกับ ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรมชาวพุทธมาแทบทั้งสิ้นสิ่งเหล่านี้จึงอาจจะน้อมนำ ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ให้ เห็นด้วยและคล้อยตามหลักธรรมพุทธศาสนาไปด้วยก็เป็นได้ ๒. เนื่องจากท่านหมื่นฯ มีอาชีพเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำหน้าที่รักษาความสงบ ปราบปรามผู้ร้ายบางครั้งมีความจำเป็นใช้อาวุธปะทะกับกลุ่มโจรจึงพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยว สร้างขวัญสร้างกำลังใจ เมื่อปะทะกับกลุ่มผู้ร้าย ทำอย่างไรให้ตนเองปลอดภัยปราศจากการบาดเจ็บอันตราย หรือเสียชีวิต สิ่งนั้นคือ เรื่องไสยศาสตร์ ประเภทอยู่ยงคงกระพัน เฉกเช่นกับพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช จึงต้องไปเสาะหาวิธา จากอาจารย์เจ้าสำนักต่างๆ และเจ้าสำนักเหล่านั้นส่วนใหญ่คือเกจิอาจารย์พระภิกษุสงฆ์แทบทั้งสิ้น จึงเป็นสาเหตุให้หมื่นระชับทารุณกรรม ไปมาหาสู่ใกล้ชิดพระภิกษุ ในที่สุดก็อุทิศตนเป็นศิษย์ ดังในกรณี ท่านอาจารย์สมภารขัง วัดวัวหลุงเป็นต้น ๓.หลายครั้งหลายๆ เหตุการณ์ในชีวิตตำรวจที่หมื่นระงับทารุณกรรม จำเป็นวิสามัญฆาตกรรมโจรผู้รับ เพื่อรักษาชีวิตตนและผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ปลอดภัยภาพต่างๆ เหล่านั้น ยังบันทึกอยู่ในความทระจำของท่าน มิได้จางหาย โดยเฉพาะภาพผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและกำลังจะสิ้นใจตาย เป็นภาพที่สลดน่าสังเวชใจยิ่งนัก สิ่งเหล่านี้ คงจะติดตรึงตาตรึงใจในความรู้สึกนึกคิดในส่วนลึกของท่านหมื่นฯ ตลอดมา ท่านจึงคิดหาวิธีว่าทำอย่างไร จะแผ่ส่วนบุญกุศลไปให้วิญญาณบุคคลเหล่านั้น เพื่อเป็นการไถ่บาป ประกอบกับชีวิตท่านคลุกคลีอยู่กับ วัฒนธรรมชาวพุทธ ดังได้กล่าวแล้ว จึงเป็นสาเหตุที่ที่ที่ที่ที่นสละที่ดินสร้างวัด และอุปสมบท แผ่กุศลตามความคิด ของท่านดังกล่าว ๔.ครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัดวัวหลุงจ่าสิบตำรวจอาจ ชุมพูนุธ (ยศในขณะนั้น) คณะเจ้าหน้าที่ ตามคนร้ายไปยังบ้านควนพัง ขณะเดินข้ามสะพานหนองน้ำวังโล่ หน้าวัดวัวหลุง นายตำรวจองอาจ เห็นฝูงนกก็คว้าปืนประจำกายยิงไป ๕-๖ นัด แต่ไม่ถูกเป้าหมายสิ่งใด เมื่อขึ้นกุฏิไปพบสมภารชัง ท่านอาจารน์สมภารชัง กำกระสุนชัดสาดใส่คณะตำรวจเป็นอัศจรรย์ จนนายตำรวจอาจ เกิดอาการพิศวง ดังได้กล่าวมาแล้วหลังจากนั้น จ่าสิบตำรวจอาจ ไปมาหาสู่เยี่ยมเยือนอยู่เสมอๆ จนอุทิศตนเป็นศิษย์ ท่านอาจารย์สมภารชัง ไปในที่สุด เหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งทำให้ท่านหมื่นฯ หันมานับถือศรัทธาพุทธศาสนาเร็วยิ่งขึ้น ดังได้ยกเหตุผลและข้อมูลที่กล่าวมา ก็พอเป็นปัจจัย สนับสนุนคำตอบได้ว่าทำไม หมื่นระรับทารุณ กรรม ปกติเป็นไทยมุสลิมจึงได้เปลี่ยนมาเป็นไทยพุทธได้สละที่ดินสร้างวัด และอุปสมบท ๑ พรรษา ดังที่ได้ กล่าวมา สำหรับวิธีการทำงานของ หมื่นระงับทารุณกรรมนั้น นับว่าน่ายึดถือเป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะท่านเป็นผู้นำเป็นหัวหน้า ในการบันทึกรายงาน การปราบปรามการสั่งการตลอดถึงการสื่อสาร ส่วนใหญ่จะเป็นเอกสาร หลักฐานทางหนังสือ แต่หมื่นระงับทารุณกรรมนั้นท่านอ่านไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ แต่ด้วยความพยายาม ของท่าน ท่านมีความจำ การสังเกตเป็นเลิศ การฟังมากดูแบบอย่างและอาศัยประสบการณ์ เทคนิควิธีการต่างๆท่านสามารถสื่อสารเข้าใจ ปฏิบัติงานลุล่วงไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพไม่ว่ากับผู้บังคับบัญชา หรือลูกน้องทำให้งานที่รับผิดชอบ และหน่วยงานของท่าน ดำเนินไปอย่างไม่มี ที่ติดขัด หรือเกิดปัญหาใดๆ นับว่าท่านหมื่นฯ เป็นนักบริหาร นักจัดการที่มีประสิทธิภาพ ท่านเป็นนักสังเกต นักจดจำระบบงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา และกระจายงานให้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนอย่างถูกต้องเหมาะสมยิ่ง ที่เรียกว่า "รู้จักตน รู้จักคนและรู้จักงาน" เป็นต้น ดังนั้นปัญหาที่ท่านอ่านเขียนหนังสือไม่ได้ก็เป็นเรื่องเล็กๆ ไป ด้วยความมุมานะและรับผิดชอบงานในหน้าที่ดังกล่าว ท่านจึงได้รับตำแหน่งหัวหน้าสถานีตำรวจฎจภูธร กิ่งอำเภอชะอวด เป็นคนแรก ส่วนผลงานที่โดดเด่นของท่าน ก็คือการปราบปรามรักษาความสงบให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น เมืองนคร ปากพนัง จับกุมเสือวัน ซึ่งเป็นเสือร้ายออกปล้นฆ่า สร้างความเดือนร้อนให้แก่ผู้คนใน กิ่งอำเภอเชียรใหญ่ การทำงานที่ดีเด่นของท่านหมื่นฯ แทบทุกครั้ง เมื่อได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาในคดีใด หรือจับกุมผู้ร้าย คนใดกลุ่มใด จะทุ่มเทความพยายาม ความรู้ ความคิดและหาวิธี ชนิดที่เรียกว่า "กัดแล้วไม่ปล่อย" เช่น "หลอก - ล่อ - ทรมาน" จนงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีนอกจากนั้นท่านหมื่นฯ ยังจัดหาทุนสร้างที่ทำการ ชั่วคราวครั้งที่ไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอชะอวด อีกด้วย ส่วนจริยาวัตรที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง กล่าวให้สั้นที่สุดและเข้าใจได้ง่ายที่สุด คือ "ตลอดชีวิตท่าน ตั้งอยู่แต่ในความดี" ชีวิตท่านกอร์ปไปด้วยความชื่อสัตย์ขาวสะอาด มุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นเป้าหมาย การทำงานในถิ่นกันดารในสภาวะที่ขาดแคลนงประมาณ การบริหารงานบุคคลเพื่อให้ได้ใจของผู้ใต้บังคับบัญชา ทุ่มเทความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ต่างๆ เพื่อผลสัมฤทธิ์ของงานราชการประโยชน์สุขแก่สังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง สะท้อนให้เห็นภาพข้าราชการหรือขุนนางชั้นผู้น้อย ที่ทุ่มเทชีวิตการงานเพื่อผลสำเร็จของงานเป็นที่ตั้งและความสงบสุขของราษฎรเป็นข้อสำคัญ นี่คือความเป็นมาและประวัติผู้ก่อตั้งวัดหมื่นระชับรังสรรค์ โดยการบริจาค ที่ดินสร้างวัด ในตำบชะอวด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราธเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙ ดังกล่าว ฉะนั้นพวกเราชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ควรยกย่องและอนุโมทนาสาธุ ในคุณความดีของท่านหมื่นฯ โดยมิได้กีดกันรังเกียจถึงเชื้อชาติและศาสนาดังกล่าว เอกสารอ้างอิง - ชุมสุข ปัญญาวโร (พระภิกษุ) : "อภินิหารพ่อท่านชัง", ไม่ระบุโรงพิมพ์และปีที่ - วัดหมื่นระรับรัชสรรค์ (ไม่ระบุผู้เขียน): เทียนวัฒนา, ๒๕๓๕๓๗. - สง่า ชมพูนุช: เอกสารเขียนด้วยลายมือ ๓ หน้ากระดาษฟุลสแก๊ป, ๒๕๓๙ ก้องสมุทร: "รายอกะจิ ขุนพันธ์ฯ สิงห์มือปราบดาบแดง: ธรรมชาติ,๒๕๓