05 มิถุนายน, 2568
ประวัติเงินตราโบราณของภาคใต้
ประวัติหน่วยเงินในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อชุมชนขยายตัวในดินแดนที่เป็นแหลมอินโดจีนในปัจจุบัน หรือที่เรียกกันในสมัยก่อนว่า "สุวรรณภูมิ" ซึ่งเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชนหลายเชื้อชาตินับตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ มีสร้างเมือง เขตแคว้นและพัฒนามาเป็นราชอาณาจักร โดยเงินตราที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป และเงินตราไทยเริ่มมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนเมื่ออาณาจักรสุโขทัยเรืองอำนาจ โดยได้ผลิตเงินตราที่ทำขึ้นจากโลหะเงิน มีสัณฐานกลม เรียกว่า “เงินพดด้วง” ออกใช้ และสืบทอดสู่ยุคกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เงินพดด้วงเป็นเงินตราประจำชาติไทยมายาวนานกว่า 600 ปี ก่อนที่จะมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้เป็นเงินตราจนกระทั่งทุกวันนี้
สมัยอาณาจักรศรีวิชัย
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 การค้าทางทะเลมีความสำคัญมากขึ้น ส่งผลให้เมืองที่อยู่บนคาบสมุทรมลายู ได้แก่ ไชยา และนครศรีธรรมราช มีความสำคัญมากขึ้น จนในที่สุดดินแดนแถบนี้จนถึงเกาะสุมาตราได้รวมตัวกันเป็นอาณาจักรศรีวิชัย ที่มีระบบการปกครองในระบอบกษัตริย์ ประชาชนนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน และเนื่องจากมีความสามารถทางด้านการค้าขาย จึงมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้ากันมาก หลักฐานการขุดพบสื่อกลางหรือเงินตราในอาณาจักรแห่งนี้มี 2 ประเภท คือ “เงินดอกจัน” ซึ่งมีลักษณะค่อนข้างกลมแบน ทำด้วยโลหะเงินและทองคำ ด้านหนึ่งเป็นตรา 4 แฉก ส่วนอีกด้านหนึ่งมีอักษรสันสกฤตโบราณอ่านได้ว่า “วร” แปลว่า “ประเสริฐ” อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า “เงินนโม” มีลักษณะค่อนข้างกลมแบน มีขนาดเล็ก ด้านหนึ่งมีอักษรสันสกฤตโบราณคล้ายอักษร “น” ส่วนอีกด้านหนึ่งมีรอยบากเป็นร่องตรงกลาง ทำจากแร่เงินผสมพลวงซึ่งเป็นแร่ที่หาได้ง่ายทางภาคใต้ ด้วยเหตุที่ประชาชนในบริเวณนี้นับถือศาสนาพุทธ จึงได้ตั้งชื่อเงินตราที่มีอักษร “น” ว่า “เงินนโม”
สมัยอาณาจักรสุโขทัย
อาณาจักรสุโขทัยมีอำนาจและพัฒนาบ้านเมืองจนเจริญถึงขีดสุดในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีการขยายอาณาเขตลงไปทางใต้จนตลอดแหลมมลายู รวมทั้งมีการผลิตถ้วยชาม และเครื่องปั้นดินเผาที่สวยงามและมีคุณภาพ เรียกว่า “สังคโลก” ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของสุโขทัย การค้าขายในอาณาจักรสุโขทัยพบว่ามีการใช้สื่อกลางการแลกเปลี่ยนรูปแบบต่าง ๆ แต่สื่อกลางการแลกเปลี่ยนที่เป็นเอกลักษณ์ คือ “เงินพดด้วง” ซึ่งนับเป็นเงินตราไทยโดยแท้และใช้แลกเปลี่ยนหมุนเวียนมายาวนานกว่า 600 ปี พดด้วงที่ใช้ในรัชสมัยนี้มีลักษณะเป็นก้อนกลม ทำด้วยโลหะเงิน ปลายขางอเข้าหากันเป็นปลายแหลม มีรูขนาดใหญ่ระหว่างขา มีตราประทับเพื่อแสดงถึงแหล่งผลิตตั้งแต่ 1 ตรา ไปจนถึง 7 ตราส่วนใหญ่ตราที่พบได้แก่ ตราราชสีห์ ช้าง หอยสังข์ ธรรมจักร บัว กระต่าย และราชวัตร นอกจากนี้ ยังพบว่าในสมัยสุโขทัยมีการนำโลหะชนิดอื่นซึ่งไม่ใช่โลหะเงิน เช่น ดีบุก ตะกั่ว สังกะสี มาหลอมให้มีลักษณะคล้ายพดด้วงแต่มีขนาดใหญ่กว่า เรียกแตกต่างกัน เช่น พดด้วงชิน เงินคุบ เงินชุบ หรือเงินคุก รวมทั้งการใช้เบี้ยเป็นเงินปลีกสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าราคาต่ำด้วย
ในช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองของอาณาจักรสุโขทัย ล้านนา และล้านช้าง ยังมีดินแดนทางภาคใต้ของไทยที่รุ่งเรืองขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน และสืบทอดวัฒนธรรมความเป็นอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง และสุราษฏร์ธานี ดินแดนดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากจีนและประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม มีทั้งที่เป็นรัฐอิสระและเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรขนาดใหญ่ โดยมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง และสันนิษฐานว่ามีการติดต่อค้าขายกับชาวอาหรับ ดังปรากฏหลักฐานเป็นเหรียญเงินอาหรับของกาหลิบอัลมันซูร์แห่งราชวงศ์แอนบาซาอิต ซึ่งพบที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฏร์ธานี นอกจากนี้ ยังพบเหรียญทองคำจารึกอักษรอาหรับราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ที่จังหวัดปัตตานี รวมทั้งในรัฐกลันตันและรัฐเคดาห์ของประเทศมาเลเซีย
สมัยอาณาจักรอยุธยา
เงินตราหลักที่ใช้ยังคงเป็นพดด้วงเช่นเดียวกับสมัยสุโขทัย เพียงแต่มีการปรับปรุงให้สวยงามและมีขนาดเล็กกะทัดรัดขึ้น ปลายขาสั้นและไม่ชิดกันเหมือนของสุโขทัย รวมทั้งมีการทำรอยบากให้เล็กลงและตื้นขึ้น และเริ่มมีรอยเมล็ดข้าวสารมาแทนที่ เงินพดด้วงในสมัยนี้มีตราประทับเพียง 2 ตรา โดยตราที่ประทับอยู่ด้านบนคือ ตราจักร ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดิน ส่วนด้านหน้าเป็นตราประจำรัชกาลลักษณะต่าง ๆ เช่น ตราพุ่มข้าวบิณฑ์ ตราพระมหานครินทร์ ตราช่อดอกไม้ ตราช่ออุทุมพร ตราราชวัตร ตราช้าง และตราสังข์ เป็นต้น
เมื่อมนุษย์รู้จักนำโลหะมาผลิตเป็นสิ่งของเครื่องใช้โลหะจึงมีบทบาทมากขึ้นแต่ละชนิดมีค่ามากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับคุณสมบัติทางประโยชน์ใช้สอยและความหาได้ยากง่ายของโลหะชนิดนั้นโลหะที่ถูกนำมาผลิตเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและภายหลังเรียกกันว่าเงินตรานั้นได้แก่ทองคำเงินนาคทองแดงเงินหยวน(ดีบุกผสมตะกั่ว) รูปแบบของสื่อกลางนั้นผ่านวิวัฒนาการ มาหลายรูปแบบสำหรับภาคใต้เป็นถิ่นที่มีชาวต่างชาติหลายเชื้อชาติเข้ามาติดต่อค้าขายและอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยโบราณหลาย 1000 ปีมาแล้ว
สิ่งที่ทำให้รูปแบบเงินตรานโมถูกใช้อย่าง ยืนหยัดยาวนานนั้นสันนิษฐานว่าเนื่องจากมีการใช้เป็นเครื่องรางของขลังด้วยซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อและการจนโล่งทางด้านจิตใจและสัญลักษณ์ “น” จึง ทำให้คงความนิยมกันมาตลอดหลาย 100 ปี และจัดว่าใช้เป็นเงินตราที่มีมูลค่าสูง ราคาเฟืองนับว่าสูงสำหรับชนชั้นไพร่ ซึ่งมีโอกาสใช้เงินในอัตราเฟืองลงมาแต่ในสมัยปลายอยุธยา เฟืองจะมีมีค่าในการใช้สอยด้อยลงกว่าสมัยต้นอยุธยา ชนชั้นไพร่อาจจะมีโอกาสใช้เงินในระดับสลึง ส่วนเงินตราในรูปแบบเหรียญ แบน ซึ่งเป็นรูปแบบที่อารยะประเทศต่างๆของโลก ได้แก่ อียิปต์ กรีก โรมัน เปอร์เซีย อินเดีย และจีนในสมัยโบราณผลิตใช้กันมาก่อนส่วนในดินแดนที่เป็นประเทศพม่า ไทย เขมรในปัจจุบัน เคยเป็นอาณาจักรฟูนัน ทวารวดี ก็เคยผลิตเหรียญแบนใช้
เช่นเดียวกับอารยะประเทศดังกล่าวส่วนที่เรียกกันว่าอาณาจักรศรีวิชัย ตามพรลิงค์ ลังกาสุกะ ลพบุรี สุโขทัย อยุธยานั้น จะมีรูปแบบเงินตราที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เพิ่งจะปรากฏเป็นรูปเหรียญแบน ใช้ในราวพุทธศตวรรษที่21-22 โดยปรากฏเป็นเหรียญที่มีมูลค่าต่ำ แต่สำหรับภาคใต้ มีเหรียญทองแดง(ใช้วัตถุดิบจากจีน) และเหรียญทอง (เป็นวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น) จัดว่าเป็นเงินตราที่มีมูลค่าระดับกลาง ระดับสูง และมีเรียนที่ผลิตด้วยเนื้อเงินยวง(ดีบุกผสมตะกั่ว) จัดเป็นเงินตราที่มีมูลค่า (มีมูลค่าต่ำกว่าเฟื้อง) ส่วนที่เป็นเนื้อโลหะเงินนอกจากจะอยู่ในรูปเงินตรานะโมแล้วยังมีรูปพดด้วงคล้ายกับเงินพดด้วงของภาคกลางด้วย เป็นรูปแบบที่พัฒนาจากรูปแบบดั้งเดิมของตนเอง(เงินตรานโม) ผสมผสานอิทธิพลและการนำมาจากภาคกลางพดด้วงของท้องถิ่นภาคใต้จะมีน้ำหนักน้อยกว่าพดด้วงของภาคกลางเล็กน้อย เนื่องจากโลหะเงินไม่มีในท้องถิ่น ต้องนำเข้าจากภายนอกทั้งสิ้น ทำให้ต้นทุนในการผลิต สูงกว่า จึงเป็นธรรมดาที่ทำให้พวกเงินตรารูปแบบพดด้วงที่เป็นของท้องถิ่นน้อยมาก มีเพียงไม่กี่แบบเพราะไม่ค่อยชอบใช้กัน
แต่นิยมของต่างถิ่นมากกว่าเงินพดด้วงของภาคกลางสมัยสุโขทัยพบไม่มากนักเนื่องจากยังมีการติดต่อกันน้อยแต่ของสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์พบได้ค่อนข้างมากในภาคใต้แสดงถึงภาคใต้มีความสัมพันธ์กับอยุธยามากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องการเงินและการค้า
สมัยกรุงธนบุรี
เงินตราที่ใช้ในช่วงต้นรัชกาลยังคงใช้พดด้วงของอยุธยาอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาได้ผลิตพดด้วงประจำรัชกาลออกใช้ มีลักษณะเช่นเดียวกับพดด้วงสมัยอยุธยาตอนปลาย ประทับตราพระแสงจักรเป็นตราประจำแผ่นดิน ส่วนตราประจำรัชกาลนั้นใช้ ตราตรีศูล และตราทวิวุธ
สมัยรัชกาลที่ 1 - 3
ในสมัยรัชกาลที่ 1 – 3 เงินตราหลักที่ใช้ยังคงเป็นเงินพดด้วง เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงตราประจำรัชกาลที่ใช้ประทับเท่านั้น โดยในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดให้มีการผลิตพดด้วง ประทับตรา “บัวอุณาโลม” ซึ่งเป็นเครื่องหมายประจำรัชกาล และตราพระแสงจักร ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดิน มีขนาดและราคาต่าง ๆ เช่น ตำลึง บาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการผลิตพดด้วงที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับสมัยรัชกาลที่ 1 โดยเปลี่ยนตราประจำรัชกาลเป็นรูป “ครุฑ” สืบเนื่องจากพระนามเดิมของพระองค์ คือ “ฉิม” อันหมายถึงฉิมพลี ซึ่งเป็นวิมานของพญาครุฑ และสำหรับพดด้วงที่ผลิตขึ้นใช้ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับตราพระแสงจักร
สมัยรัชกาลที่ 4
สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เงินตราหลักในช่วงต้นรัชกาลยังคงเป็นเงินพดด้วงประทับตราพระแสงจักรเป็นตราประจำแผ่นดิน และเปลี่ยนตราประจำรัชกาล เป็น “ตรามงกุฎ” มีความหมายสืบเนื่องถึงพระนามเดิมของพระองค์ คือ “เจ้าฟ้ามงกุฎ”
ขณะนั้นประเทศไทยประสบปัญหาการผลิตพดด้วงไม่ทันต่อความต้องการและมีผู้ทำปลอมกันมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้แก้ไขโดยให้ผลิตเงินกระดาษ เรียกว่า “หมาย” ซึ่งใช้วิธีการพิมพ์บนกระดาษอย่างง่าย ๆ ออกใช้ควบคู่กับเงินพดด้วง แต่เงินกระดาษรุ่นนี้ราษฎรไม่นิยมใช้ และถือได้ว่ารัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเงินตราครั้งใหญ่ของไทย จากเงินพดด้วงที่ใช้กันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นเหรียญกลมแบน รวมทั้งนับเป็นจุดกำเนิดของธนบัตรไทยในภายหลัง
ในปี พ.ศ. 2400 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรได้จัดส่งเครื่องผลิตเหรียญกษาปณ์ขนาดเล็กเข้ามาถวายเป็นราชบรรณาการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำเหรียญกษาปณ์จากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกกันว่า “เหรียญบรรณาการ” แต่เนื่องจากเครื่องจักรมีขนาดเล็กผลิตเหรียญได้เพียงวันละเล็กน้อย จึงโปรดให้เลิกใช้ในที่สุด ประกอบกับได้รับเครื่องผลิตเหรียญกษาปณ์แรงดันไอน้ำมาใหม่ จึงโปรดให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติ ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานนามว่า “โรงกระสาปน์สิทธิการ” เงินเหรียญชุดแรกที่ผลิตจากเครื่องจักรนี้ มีลักษณะคล้ายกับเหรียญชุดบรรณาการและให้ใช้ควบคู่ไปกับพดด้วง แต่ห้ามไม่ให้ผลิตพดด้วงเพิ่มขึ้นอีก
นอกจากนั้นในสมัยนี้ยังได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกขึ้นเป็นครั้งแรก คือ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกตรามหามงกุฎ - กรุงสยาม หรือที่นิยมเรียกว่า “เหรียญแต้เม้ง” เพื่อเป็นที่ระลึกในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระชนมายุครบ 5 รอบ เมื่อ พ.ศ. 2407 มี 2 ชนิด คือ ชนิดทองคำ ราคา 4 บาท และชนิดเงิน ราคา 4 บาท
ส่วนการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงส่งผลให้มีเงินต่างประเทศเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยมาก พอรัฐบาลให้ราษฎรใช้เงินเหรียญ ต่างก็เอาเงินบาทไปซ่อนไม่ยอมเอามาเสียภาษี ส่งผลให้เกิดการตัดขัดทางการค้าในช่วง พ.ศ. 2399-2400[2] รัฐบาลให้ช่างไปช่วยกงสุลอังกฤษและสหรัฐอเมริกาผลิตเงินเหรียญ ไม่พอผลิตเงินบาท จึงให้คณะทูตที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีซื้อเครื่องจักรทำเงินเหรียญมาด้วย พอติดตั้งแล้วก็ผลิตเงินแบบเงินเหรียญ เรียกว่า "เงินแป"[3] เงินแปมีตั้งแต่บาทหนึ่ง สองสลึง สลึงและเฟื้อง มีตราหน้าหนึ่งรูปพระมหาพิไชยมงกุฎอยู่กล้าง มีฉัตรอยู่สองข้าง มีกิ่งไม้เป็นเปลวแทรกอยู่ในท้องลาย อีกหน้าหนึ่งมีรูปจักร ใจกลางมีรูปช้าง รอบวงจักรชั้นนอกมีดาวแสดงมูลค่าของเงิน[3] นอกจากนี้ยังผลิตเงินออกมาอีกแบบหนึ่ง ทำจากทองคำ มีราคาสิบสลึง ต่อมาก็ได้ผลิตเงินทำจากทองแดงออกมาอีกสองชนิด คือ ซีก และเสี้ยว
สมัยรัชกาลที่ส4เป็นระยะที่ชาวจีนเข้ามามากและมีอิทธิพลทางการค้าและเศรษฐกิจของภาคใต้ก็ปรากฏเงินยวงขนาดใหญ่ใช้แทนที่เหรียญของรัฐบาลท้องถิ่นไทยเรี
ยกกันว่า“ เหรียญกงสี” ผลิตใช้ใน แต่ละท้องถิ่นในภาคใต้จนมาถึงปลายรัชกาลที่5 กระทั่งรัฐบาลสยามได้สมัครเป็นสมาชิกองค์กรการเงินระหว่างประเทศIMF ในปีพ.ศ. 2451 ได้ประกาศยกเลิกการใช้เงินเงินตราต่างประเทศชำระหนี้กัน โดยตรงในราชอาณาจักร เงินตราท้องถิ่นภาคใต้ทุกรูปแบบจึงยุติบทบาทมาตั้งแต่บัตรนั้น เงินตราโบราณของภาคใต้นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมาจึงหลายรูปแบบ ได้ผสมผสานกันมาจนถึงสมัยรัชกาลที่5
หลักฐานการใช้เงินตราของดินแดนทางภาคใต้มิได้ยุติลงเพียงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เท่านั้น เนื่องจากพบว่าตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการผลิตและใช้ “อีแปะดีบุก” หรือที่ชาวใต้เรียกกันว่า “เบี้ย” ด้วย เชื่อว่าเกิดขึ้นเพราะความต้องการใช้เงินปลีกย่อยในเหมืองหรือในอาณาเขตเมืองและผลิตตามที่เจ้าเมืองอนุญาต อีแปะดีบุกที่เมืองต่างๆ ผลิตขึ้น ได้แก่ อีแปะสงขลา อีแปะพัทลุง อีแปะปากพนัง อีแปะปัตตานี อีแปะภูเก็ต และอีแปะสุราษฏร์ธานี ( กาญจนดิษฐ์ ) ซึ่งเป็นที่ยอมรับให้ใช้เฉพาะในท้องถิ่น เมื่อจะนำไปชำระภาษีอากรให้กับรัฐ ราษฎรจะต้องนำอีแปะเหล่านี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราของรัฐก่อน
อีแปะส่วนมากทำด้วยตะกั่วผสมดีบุก ซึ่งเป็นโลหะที่พบมากทางภาคใต้ของไทย มีจารึกอักษรไทย จีน หรืออาหรับ ลักษณะเหมือนเงินเหรียญของจีน ทำให้เชื่อกันว่าชาวจีนทางภาคใต้เป็นผู้ริเริ่มทำขึ้นโดยใช้เบ้าที่แกะเป็นรูปคล้ายกิ่งไม้
อีแปะถูกใช้แทนเงินตราปลีกย่อยเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งเงินตราที่รัฐผลิตเข้าไปถึงดินแดนทางภาคใต้มากเพียงพอแล้ว จึงได้เลิกใช้อีแปะไปในที่สุด
สมัยรัชกาลที่ 5
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระยะแรกได้มีการผลิตเหรียญดีบุกโสฬสออกใช้ในรัชกาล ด้านหน้าเป็นตราพระเกี้ยวหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าตราพระจุลมงกุฎ อันเป็นตราประจำรัชกาลของพระองค์ ด้านหลังเป็นรูปช้างในวงจักร
ในปี พ.ศ. 2418 ได้โปรดให้สร้างโรงกษาปณ์แห่งใหม่ขึ้น พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรใหม่ที่มีกำลังผลิตและประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม และได้เริ่มผลิตเหรียญเงิน ตราพระบรมรูป- ตราอาร์ม (ตราแผ่นดิน) ซึ่งนับเป็นเหรียญรุ่นแรกที่มีพระบรมรูปพระมหากษัตริย์บนหน้าเหรียญตามแบบสากลนิยมและได้ถือปฏิบัติมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน
นอกจากนั้นยังทรงปฏิรูประบบเงินตราครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง โดยมีการปรับเปลี่ยนหน่วยเงินตราของไทยที่มีมาแต่เดิมจากหน่วยเรียกตามน้ำหนัก ได้แก่ ทศ พิศ พัดดึงส์ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง ไพ ซีก เสี้ยว อัฐ และโสฬส ซึ่งเป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณและการจัดทำบัญชี ด้วยการนำเอาระบบทศนิยมตามแบบสากลมาใช้ คือหน่วยเงินบาท และสตางค์ อันเป็นมาตราเงินตราไทยมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับเงินพดด้วงซึ่งได้หยุดผลิตตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา แต่ยังไม่มีการประกาศยกเลิกใช้อย่างเป็นทางการ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการผลิตเงินพดด้วงขึ้นอีก 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เพื่อเป็นที่ระลึกในงานพระราชพิธีศพพระองค์หญิงเจริญกมลศุขสวัสดิ์ พระราชธิดาองค์สุดท้าย
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งที่ 2 เนื่องในการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระเทพสิรินทรามาตย์ พระบรมราชชนนี และในวันที่ 28 ตุลาคม 2447 ได้มีการประกาศยกเลิกการใช้พดด้วงทุกชนิดราคา หลังจากที่ได้ใช้มาเป็นเวลานานกว่า 6 ศตวรรษ ซึ่งนับว่าเป็นยุคสิ้นสุดของเงินพดด้วงอย่างแท้จริง
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้โรงกษาปณ์ปารีส ผลิตเหรียญตราพระบรมรูป-ไอราพต เพื่อนำออกใช้หมุนเวียนแทนเงินตรารุ่นเก่า แต่ยังไม่ทันออกใช้พระองค์ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเป็นที่ระลึกในงานพระเมรุพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งต่อมาเหรียญดังกล่าวได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนอย่างมาก และนิยมเรียกว่า “เหรียญหนวด”
สมัยรัชกาลที่5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สรุปได้ดังนี้
1. เหรียญต่างประเทศยุคต้น ได้แก่เหรียญจาก อาหรับ อินเดีย ยุคต่อมาได้แก่ฟูนัน ทราวดียุคหลังสุด ได้แก่เหรียญเงินใหญ่ของสเปน และอาณานิคม(เม็กซิโก เปรูเป็นต้น) เหรียญอาณานิคมของอังกฤษ เหรียญมังกรของญี่ปุ่น ของจีน เหรียญฮ่องกง อินเดียเป็นต้น เหรียญดังกล่าวข้างต้นล้วนเป็นเหรียญเนื้อเงิน ส่วนเหรียญเนื้อทองแดง ได้แก่เหรียญอีแปะของจีน ญี่ปุ่น ญวน ซึ่งมีหลายยุคสมัย ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นมาจนถึงสมัยราชวงศ์เซ้ง
2. เงินตรานโม เป็นเงินตราท้องถิ่นชนิดเนื้อเงินชนิดแรก ผลิตใช้กันมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่14-15 เป็นอย่างช้า มี 3 รูปแบบคือชนิดเมล็ดข้าวสาร ชนิดขี้หนู และชนิดตา ไก่ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีการผลิตเงินตรานะโมในรูปแบบชนิดตราไก่เนื้อทองคำ เนื้อนาคด้วย
3. เงินพดด้วง มีทั้งนำมามาจากราชธานีและที่ผลิตใช้เองในเมืองนครศรีธรรมราช สมัยนครดอนพระ(ตรงกับสมัยอยุธยา) มีหลายแบบหลายขนาด ราคาเฟื้อง สลึง กึ่งบาท และบาท บางรุ่นมีลักษณะไม่เหมือนกับพดด้วงของสุโขทัยและอยุธยา แต่คล้ายกับรูปทรงของเงินตรานโม
4. เหรียญบาทที่ผลิตในท้องถิ่นเนื้อเงินยวง และมีเนื้อทองแดง เริ่มผลิตใช้กันในสมัยอยุธยา บนเหรียญหล่อด้วยลวดลายศิลปะแบบไทย เนื้อเงินยวง มีหลายรุ่น สร้างใช้กันมาจนถึงสมัยรัชกาลที่3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในขณะเดียวกันชาวจีนก็ผลิตเหรียญเลียนแบบเหรียญอีแปะทองแดงของจีนใช้ในกลุ่มของตนด้วย สันนิษฐานว่าผลิตใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อชาวจีนอพยพเข้ามามากในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้น จนมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจในภาคใต้มากขึ้นได้ผลิตเหรียญขนาดใหญ่เป็นเงินยวงที่เรียกกันว่า “ เหรียญกงสี”
5. ก้อนโลหะ มีทั้งเนื้อเงินและเนื้อเงินยวง เนื้อเงินพบน้อยมากอยู่ในประเทศเงินเงินตรารูปทรงที่ไม่แน่นอน ได้แก่รูปสัตว์ สิ่งของ รูปทรงเรขาคณิตต่างๆ หลายรูปแบบหลายชนิดขนาดและน้ำหนัก กำหนดมูลค่าด้วยการชั่ง ต่อมาก็หมายมัดจำมูลค่าจากขนาดและรูปทรงหรือรูปแบบที่ใช้กันจนคุ้นเคย
6. ปี้ในโรงบ่อน เป็นตัวแทนเงินตราที่ใช้กันในโรงบ่อน แล้วถูกนำมาใช้นอกโรงบ่อนด้วย มีทั้งชนิดเนื้อดินเผา เนื้อแก้วแก้ว เนื้อโลหะทองแดง เหล็ก และเงินยวงซึ่งมีลักษณะแบบเดียวกับเหรียญกงสี จนบางแบบแยกกันไม่ออกว่าเป็นเหรียญชนิดใดกันแน่ ปี้ในโรงบ่อน มีรูปแบบที่เหมือนกับปี้โรงบ่อนที่พบในภาคกลางและภาคอื่นๆแต่พบในภาคใต้ บางอันระบุราคา“ โขก” ซึ่งเป็นมาตราเงินที่ใช้เฉพาะในภาคใต้(สงขลา พัทลุง)
7. ระดับดินเผา มีรูปแบบและตราประทับในทำนองเดียวกับที่พบในภาคกลาง แต่ของภาคใต้นั้นพบตราดอกบัว มีลายเส้นที่ต่างกับของภาคกลาง ส่วนตราอื่นเช่น ตาสิงห์ ไม่มั่นใจว่าจะเป็นในรูปเงินตราหรือไม่
สมัยรัชกาลที่ 6 - 8
ในสมัยรัชกาลที่ 6 - 8 เป็นช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อันเป็นผลมาจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง นอกจากนั้นยังเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสำคัญของประเทศไทย
สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เงินตราที่ใช้ในช่วงต้นรัชกาลยังคงเป็นเหรียญกษาปณ์ที่ผลิตตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาจึงทรงให้กรมกระสาปน์สิทธิการผลิตเหรียญกษาปณ์ชนิดเงินราคาหนึ่งบาท ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านหลังเป็นรูปไอราพตออกใช้หมุนเวียน
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการผลิตเหรียญประจำรัชกาลออกใช้ เป็นเหรียญกษาปณ์เงินพระบรมรูป ชนิดราคา 50 สตางค์ และ 25 สตางค์
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้มีการผลิตเหรียญชนิดราคา 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ และ 5 สตางค์ ออกใช้หมุนเวียนในรัชกาล 2 รุ่น รุ่นแรกมีพระบรมรูปขณะทรงพระเยาว์ประทับด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นพระครุฑพ่าห์ รุ่นที่สองมีลักษณะด้านหน้าและด้านหลังเหมือนกับรุ่นแรก แต่พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเปลี่ยนเป็นพระบรมรูปเมื่อครั้งเจริญพระชนมพรรษา
สมัยรัชกาลที่ 9
ในปี พ.ศ. 2493 ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนรุ่นแรกออกใช้ เป็นเหรียญอะลูมิเนียมบรอนซ์ หรือทองแดง ชนิดราคา 5 สตางค์ 10 สตางค์ 25 สตางค์ และ 50 สตางค์ ลวดลายด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชด้านหลังเป็นตราแผ่นดินของไทย
และในปี พ.ศ. 2529 ได้มีการปรับเปลี่ยนการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนครั้งใหญ่ทุกชนิดราคา ทั้งส่วนผสม ขนาด และรูปแบบ รวมทั้งได้กำหนดให้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 10 บาท และ 10 สตางค์ ขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่นำออกใช้มี 8 ชนิดราคา ได้แก่ ชนิดราคา 10 บาท 5 บาท 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ และในปี พ.ศ. 2548 ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ชนิดราคา 2 บาท ออกใช้เพิ่มขึ้นอีก 1 ชนิดราคา ทำให้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ออกใช้ในปัจจุบันมี 9 ชนิดราคาด้วยกัน แต่เหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 สตางค์ 5 สตางค์ 10 สตางค์ ไม่ได้นำออกใช้หมุนเวียนในชีวิตประจำวัน หากแต่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ในระบบบัญชีเท่านั้น
นอกจากนั้นยังมีการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกขึ้นในโอกาสและเหตุการณ์สำคัญ ๆ โดยมีสภาพเป็นเงินตราสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายตามราคาที่ปรากฏบนหน้าเหรียญ โดยเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกที่ผลิตเป็นเหรียญแรกในรัชสมัยนี้ คือ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเสด็จนิวัตพระนคร ซึ่งผลิตขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จนิวัตพระนครหลังจากเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และประเทศในภาคพื้นยุโรป เป็นเหรียญชนิดนิกเกิล ราคา 1 บาท มีลวดลายด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมรูปสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งนับเป็นเหรียญแรกที่ปรากฏพระรูปเจ้านายฝ่ายหญิงบนเหรียญกษาปณ์ไทย ส่วนด้านหลังมีตราอาร์มและข้อความบอกราคา
ในปี พ.ศ. 2525 ได้มีการทดลองผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกชนิดพิเศษซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมเหรียญทั่วโลก เป็นเหรียญขัดเงา (Proof Coin) ขึ้นเป็นครั้งแรก เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี โดยนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเฉพาะราชวงศ์ ไม่ได้นำออกจ่ายแลกให้กับประชาชนทั่วไป จนกระทั่งในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา 12 สิงหาคม 2535 จึงได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกประเภทขัดเงาให้ประชาชนแลกซื้อได้เป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงได้มีการผลิตเหรียญประเภทขัดเงาควบคู่ไปกับเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนี้ยังมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ ร่วมกับองค์การระหว่างประเทศด้วย
และในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งนับเป็นปีแห่งการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวโรกาสดังกล่าว กรมธนารักษ์ได้มีการผลิตเหรียญประเภทขัดเงาและลงสีขึ้นเป็นครั้งแรก โดยได้สั่งผลิตเหรียญที่ใช้เทคนิคการพิมพ์สีลงบนโลหะเงินบริสุทธิ์จากโรงกษาปณ์เพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย ในการผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสที่สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมใหม่ของการผลิตเหรียญกษาปณ์ไทย
ที่มา สืบค้นข้อมูล https://th.wikipedia.org
https://www.gotoknow.org/posts/341851
สารนครศรีธรรมราช ปีที่ 39 ฉบับที่ 1 มกราคม 2552