25 มิถุนายน, 2568
มังคุดคัด : ของดีเมืองนครฯ
มังคุดคัด มาจากคำว่า มังคุด+คัด คำว่า "คัด" ภาษาใต้หมายถึง การปอกเปลือกออก คำนี้จึงหมายถึง การนำมังคุดปอกเปลือกออก โดย มังคุดคัด คือ มังคุดแก่ผิวเขียว หรือมังคุดแก่ดิบแต่ยังไม่สุก เปลือกไม่ใช่สีม่วงเข้มที่เราคุ้นเคย มังคุดคัดส่วนใหญ่จะนำมาเสียบไม้เพื่อให้กินง่าย รสชาติเปรี้ยว หวาน กรอบ กินได้ทั้งเม็ด ถ้ากินแบบแช่เย็นจะชื่นใจมาก
มังคุดคัดซื้อได้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ปกติจะมีขายในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ทั้งนี้ แล้วแต่พื้นที่ที่ปลูกด้วย หรือสั่งซื้อทางออนไลน์ รวมทั้งซื้อได้ตามตลาดผลไม้ทั่วไป แต่ราคาจะแพงกว่าซื้อจากแหล่ง
การคัดเลือกมังคุดเพื่อนำมาคัด มังคุดที่จะนำมาคัด จะเลือกมังคุดแก่ ผิวสีเขียว ๆ และมังคุดคัดยังเป็นของกินเล่นของพื้นถิ่นเมืองนครศรีธรรมราชที่มีมายาวนาน
ปัจจุบันเราจะเห็นแม่ค้าใส่ถาดเสียบไม้เหมือนลูกชิ้นเดินขายที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เดิมทีมังคุดคัดเสียบด้วยก้านมะพร้าว ช่วงหลังเปลี่ยนเป็นเสียบด้วยไม้ไผ่ ส่วนการคัดมังคุดมาทำมังคุดคัดนั้น จะใช้มังคุดผลแก่ ๆ ลูกสีเขียวเขียว หรือจะใช้แบบ แทงเข็มเล็กน้อย นำมาคัดเอาเปลือกออก ล้างด้วยน้ำจนยางเหลือง ๆ ออกจนหมด เสร็จแล้วน้ำมาแช่ด้วยน้ำปูนใสผสมเกลือเล็กน้อยเพื่อความกรอบอร่อย
นอกจากจะใช้กินเล่นเพลิน ๆ แล้ว ยังนำมาทำอาหารได้อีกหลากหลายเมนู สำหรับคนใต้นิยมนำมาแกงส้ม ยำมังคุด ตำมังคุดคัด แกงเลียง ฯลฯ รับรองว่าอร่อยทุกอย่าง
และนอกจากเป็นของกินหลัก และของกินเล่นแล้ว ยังสามารถนำมาเป็นอาชีพที่สร้างงานสร้างรายได้ ยังถือเป็นวัฒนธรรมการกินของคนนครศรีธรรมราช และ เป็นอัตลักษณ์สำหรับการต้อนรับผู้มาเยือนจังหวัดนครศรีธรรมราช
มังคุดคัดมีความแพง เพราะมีกระบวนการผลิตที่ต้องละเอียด สะอาดที่ต้องทำหลายรอบ และการทำด้วยมือทีละลูก
ประโยชน์ของมังคุดคัด
1. อุดมด้วยวิตามินชี ช่วยป้องกันโรคหวัด เสริมภูมิต้านทาน
2. มีกากใยสูง ช่วยระบบขับถ่าย บรรเทาอาการท้องผูก
3. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและลดไขมันไม่ดี
4. ช่วยรักษาระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ
5. ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง
ขั้นตอนการทำ
1.นำมังคุดแก่มา ปลอกเปลือกออกจนหมด การปอกเปลือกจะต้องใช้มีดที่มีความคมขนาดพอเหมาะกับมือไม่ใหญ่จนเกินไป ขณะปอกเปลือกต้องระมัดระวังอย่าปอกให้โดนเนื้อมังคุด และต้องล้างน้ำบ่อยๆ หรือปอกให้น้ำไหลผ่าน
2. เมื่อปอกเสร็จแล้วให้นำมังคุดมาล้างด้วยน้ำผสมเกลือเพื่อเอายางสีเหลือง ๆ ที่ผิวมังคุดออกให้หมด
3.นำมาแช่ในน้ำสะอาดที่ผสมเกลือ น้ำปูนใส และมะนาว เล็กน้อย
4.นำมังคุดมาแช่น้ำแข็งและเสียบไม้ พร้อมรับประทาน
23 มิถุนายน, 2568
พระครูธรรมธราธิคุณ(พ่อท่านจบ)ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมสาขาการพัฒนาคุณภาพชีวิต
พระครูธรรมธราธิคุณผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมสาขาการพัฒนาคุณภาพชีวิตพระครูธรรมธราธิคุณ (บรรจบ วิเศษธาร) หรือชาวบ้านเรียกกันว่า "พ่อท่านจบ" เกิดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๖๙ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันอายุ ๖๕ ปี เป็นเจ้าอาวาสวัดธาราวดี และเจ้าคณะตำบลบางจากอำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีความสามารถใช้ยาสมุนไพรไทยรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคกระดูก ด้วยวิธีการเข้าเผือกใช้ยาพื้นบ้านนวด ทา และต้มให้ดื่มกินเมื่อมีผู้เดือดร้อนไปขอพึ่งจะได้รับความช่วยเหลือทันทีโดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ เพื่อให้เป็นทานกุศลดลอดมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๐๙ จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลาถึง ๔๓ ปี ได้ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นที่พึ่ง
ของปวงชน รับรักษาคนทั้งในท้องถิ่นและต่างถิ่น ประมาณ ๕,๐๐๐ คน จึงเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป เป็นพระภิกษุผู้ทรงศีล มีเมตตาธรรมมุ่งช่วยเหลือปวงชนทั่วไปเป็นแบบอย่างที่ดีงามของสังคม
พระครูธรรมธราธิคุณ จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ประวัติชีวิต
พระครูธรรมธราธิคุณ นามเดิม บรรจบ วิเศษธาร เกิดเมื่อวันพุธ แรม ๑ ค่ำ เดือน ปีมะเมีย ตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ที่บ้านบางจาก ตำบลบางจาก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรรมราช บิดาเป็นทนายความ มารดา อาชีพทำนา ปัจจุบันจำพรรษาอยู่ที่ วัดธาราวดี ตำบลบางจาก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช หน้าที่การทำงานในปัจจุบัน เจ้าอาวาสวัดธาราวดี และเจ้าคณะตำบลบางจาก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
การศึกษา
-การศึกษาทางโลก สำเร็จชั้นประถมศึกษาที่4
-การศึกษาทางธรรม สอบได้นักธรรมเอก
ทางธรรม
พระครูธรรมธราธิคุณ อุปสมบทตั้งแต่ ปีพ.ศ. ๒๔๘๒ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เป็นเวลา ๕๒ปี ที่ครองตนอยู่ในสมณเพศ
ผลงาน
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา พระครูธรรมธราธิคุณ ได้ใช้ภูมิมิปัญญาชาวบ้านให้การดูแลรักษาพยาบาลแก่บุคคลที่เข้าไปพึ่งพาอาศัยโดยไม่คิดค่ารักษาแต่อย่างใด เพียงเพื่อทำการรักษาให้เป็นวิทยาทานการกุศลดลอดมา โดยเฉลี่ยเดือนละประมาณ ๑๐๐ คน เป็นเวลา ๔๓ ปีนับว่าได้ช่วยรักษาพยาบาลคนทั้งในท้องถิ่นและต่างจังหวัดไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐ คน"พระครูธรรมธราธิคุณ" หรือ "พ่อท่านจบ"ของชาวบ้าน ได้รักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการผิดปกติของกระดูก เช่น กระดูกเคลื่อน กระดูกแตกกระดูกหัก ฯลฯ โดยใช้วิธีการเข้าเฝือกน้ำมันมะพร้าวผสมยาสมุนไพรนวดทา ยาผง ยาต้ม ให้ดื่มกิน ตามขนาดลักษณะของอาการบาดเจ็บสามารถช่วยผู้ป่วยด้วยโรคกระดูกให้หายได้ไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน
ผลงานดีเด่น
- เป็นหมอชาวบ้านรักษาผู้ป่วยด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านให้หายปกติได้โดยใช้น้ำมันยา
สมุนไพร การเข้าเฝือก
- เป็นหมอชาวบ้านที่ทรงคุณธรรม และมุ่งมั่นรักษาผู้ป่วยโดยไม่รับค่าตอบแทนใดๆ
เกียรติคุณที่เคยได้รับ
- เป็นที่พึ่งของปวงชน โดยไม่จำกัดว่าเป็นเชื้อชาติ ศาสนาใด
ความประพฤติ คุณธรรม ศีลธรรม
เป็นภิกษุผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีความสมถะเมตตากรุณา มีคุณธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีงามแก่สมณเพศ มีวัฏปฏิบัติเยี่ยงพุทธสาวกแห่งพุทธบัญญัติ
งานด้านบริการสังคม
ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านรักษาคนเจ็บป่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อ
มีผู้เดือดร้อนไปขอพึ่งใบบุญยามใดก็จะช่วยเหลือยามนั้น ท่านปฏิบัติเช่นนี้เป็นเนืองนิตย์ "พ่อท่านจบ
จึงเป็นที่เคารพบูชาของปวงชน"
ระยะเวลาที่ปฏิบัติงานดีเด่นและโอกาสที่จะปฏิบัติต่อไป
พ่อท่านจบ เป็นผู้ที่มีความสมถะ ไม่หวังการยกย่องสรรเสริญจากผู้ใด จากความเสียสละของท่านสมควรจะได้ตีแผ่ภูมิปัญญาและเกียรติคุณของท่านให้ปรากฏ เพื่อเป็นอนุสติแก่อนุชนทั้งที่เป็นคฤหัสถ์และบรรพชิต ที่ท่านได้อุทิศตนเป็นหมอชาวบ้านที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา กรุณารับรักษาผู้เจ็บป่วยด้วยความอดทนตลอดระยะเวลาปีที่ผ่านมา และจะยังคงปฏิบัติภารกิจที่สำคัญนี้อีกต่อไปพระครูธรรมธราธิคุณ ได้รับรักษาบุคคล
ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ในปีหนึ่งๆ แทบจะไม่มีวันว่าง ยากที่จะนำมากล่าวได้หมดในที่นี้ จึงนับว่าท่านพระครูธรรมธราธิคุณได้ทุ่มเทชีวิตในการช่วยเหลือสังคมให้เป็นสุข และเป็นที่พึ่งอันสำคัญแก่พุทธศาสนิกชนในท้องถิ่น ทั้งใกล้ ทั้งไกล ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน ที่สามารถพิสูจน์ถึงความเสียสละความสุขทั้งปวงเพื่อสังคมโดยแท้
ความชำนาญพิเศษ
มีความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคต่างๆ เช่นโรคกลัวน้ำ (โรคพิษสุนัขบ้า)
มีความชำนาญเกี่ยวกับการรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูกแตก หัก และเส้นเอ็นต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะการใช้น้ำมันผสมกับสมุนไพรและบทสวดพุทธคุณ
ในบรรดาหมอกระดูกพื้นเมืองนครศรีธรรมราชชื่อของพระครูธรรมธราธิคุณเป็นที่เลื่องลือกันทั่วไป และรู้จักท่านในนามพ่อท่านจบ วัดบางจาก บ้างก็เรียกนามของท่านว่าพ่อท่านหลัด อาจารย์หลัด (เหตุผลน่าจะมาจากฐานานุศักดิ์ที่ได้รับครั้งยังเป็นพระปลัดจึงเรียกนามย่อปลัดว่าหลัดในภาษาถิ่นใต้) เพราะเป็นหมอมาเกือบ ๕๐ ปี มีฝีมือในการรักษา มีเมตตาธรรมต่อผู้ป่วยไม่เลือกหน้าจนเป็นที่ยกย่องกันว่าเป็นหมอใจบุญ พ่อท่านจบนับเป็นหมอกระดูกที่มีความรู้ความสามารถและคุณธรรม ปฏิบัติภารกิจด้วยความเสียสละ อดทน ไม่เลือกเพศ วัย อาชีพ และศาสนามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ประกอบกับเป็นพระที่สมถะ ไม่หวังลาภยศ สรรเสริญใดๆ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ใครทุกข์ก็เข้าถึงได้จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นหมอกระดูกผู้ใจบุญ และด้วยความรู้และคุณธรรมดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาพัฒนาคุณภาพชีวิต นับเป็นเกียรติประวัติแก่ชีวิตของท่านและเป็นความภาคภูมิใจของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยป่วยและได้รับความดูแลจากท่าน
มรณภาพ
ตลอดระยะเวลาที่พระครูธรรมธราธิคุณได้ดำรงสมณเพศอยู่ในบวรพระพุทธศาสนา ท่านได้สร้างคุณงามความดีอย่างมากมายทั้งสังคมและศาสนาจนเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านสองฝั่งคลองบางจาก อำเภอ จังหวัด ตลอดจนจังหวัดใกล้เคียงจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่ว ด้วยความชราภาพทำให้ท่านต้องเข้ารับการรักษาอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งวันพุธที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๙ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ เวลา ๑๐.๕๐ น. พระครูธรรมธราธิคุณ ได้ถึงแก่มรณภาพลงด้วยอาการสงบ สิริอายุ ๘๘ ปี พรรษา ๖๘ ทางคณะกรรมการวัดธาราวดีและคณะญาติตลอดจนพุทธบริษัทได้จัดงานบำเพ็ญกุศลศพอุทิศถวายทักษิณานุปทาน ณ ศาลาการเปรียญวัดธาราวดีเป็นเวลา ๙ วัน จึงได้เก็บบรรจุสรีระสังขารของท่านลงในโลงแก้วแล้วอัญเชิญประดิษฐานยังกุฏิเจ้าอาวาสโดยไม่มีการขอพระราชทานเพลิงศพหรือถวายเพลิงแต่อย่างใด และเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ปีขาล ทางวัดได้จัดงานอัญเชิญสรีระสังขารของท่านย้ายไปยังศาลาธรรมานุสรณ์ที่ทางวัดสร้างถวายขึ้นไว้เป็นที่ประดิษฐานสรีระสังขารและรูปเหมือนของท่านเพื่อให้ศิษยานุศิษย์และพุทธบริษัทที่มีความเคารพศรัทธาต่อท่านได้เข้ามาสักการะโดยสะดวก ปัจจุบันสรีระสังขารของท่านไม่มีการย่อยสลายตามกาลเวลายังคงสภาพเดิมไม่มีการเน่าเปื่อยแต่อย่างใดทางวัดได้ทำการปิดทองท่านตลอดทั้งตัวและยังเปิดโอกาสให้มีศิษยานุศิษย์ พุทธบริษัท ประชาชนทั่วไปได้เป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมทุกวันที่ ๑๙ ของเดือน อีกทั้งแวะเวียนเข้ามาสักการะสรีระสังขารและรูปเหมือนของท่านอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ขาดสาย
จากประวัติชีวิตและผลงานดังกล่าว คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้พระครูธรรมธราธิคุณ เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาการพัฒนา
วัดธาราวดี เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๕ ตำบลบางจาก อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
ตั้งวัด เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓รับวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐
ลำดับรายนามเจ้าอาวาส
พระครูสุขันติธารารักษ์ (ฐาปกรณ์ สุโข) เจ้าอาวาสวัดธาราวดี
พระครูวิมลนวการ (เผ้ง ทิฏฺฐธมฺโม) ๒๔๘๔ เจ้าอาวาสวัดบางจาก (ธาราวดี)
พระครูธรรมธราธิคุณ (จบ ฐิตญาโณ) ๒๕๐๖ เจ้าอาวาสวัดธาราวดี
อ้างอิง :
ราชกิจจานุเบกษา ออนไลน์
- แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ ฉบับพิเศษ หน้า ๔๑ เล่ม ๑๐๓ ตอนที่ ๒๐ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙
กลุ่ม ประวัติวัดและพระสังฆาธิการตำบลบางจาก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
22 มิถุนายน, 2568
เพลงบอกสร้อย เสียงเสนาะ หรือนายสร้อย ดำแจ่ม ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน-เพลงบอก)
เพลงบอกสร้อย เสียงเสนาะ
นายสร้อย คำแจ่ม ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมสาขากีฬาและนันทนาการ
นายสร้อย คำแจ่ม เกิดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๘ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นศิลปินเพลงพื้นบ้านภาคใต้ที่คนทั่วไปรู้จักดีในนาม "เพลงบอก สร้อยเสียงเสนาะ" เริ่มว่าเพลงบอกตั้งแต่อายุ ๑๗ ปี รวมเวลา ๔๗ ปีเศษ ที่นายสร้อยได้ฝึกฝนว่าเพลงบอกด้วยใจรักมีวิญญาณศิลปิน ทำให้ผู้ฟังได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินในความคิดฉับไว เป็นที่ยอมรับประทับใจในศิลปะ การว่าเพลงบอกที่ใช้ชั้นเชิงและปฏิภาณไหวพริบ จนได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันประชันวงทุกครั้ง ชื่อเสียงของนายสร้อย จึงเป็นที่รู้จักและมีผู้สนใจติดต่อไปแสดงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในการประเพณี งานสาธารณกุศลและอื่นๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ปัจจุบันได้มีการบันทึกเสียง
เพลงบอกที่นายสร้อยแต่งเองให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้งเป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนมีอัธยาศัยไมตรีต่อคนทั่วไป มีความเสียสละ และได้รับยกย่องว่าเป็น "เพลงบอกชั้นครู" ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ยอมรับนับถือว่าเป็นผู้ที่บำเพ็ญประโยชน์ทั้งด้านสร้างสรรค์และอนุรักษ์ศิลปะ เป็นแบบอย่างสังคม
นายสร้อย คำแจ่ม จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมสาขากีฬาและนันทนาการ
ประวัติ
นายสร้อย ดำแจ่ม หรือที่รู้จักกันในนาม “เพลงบอกดอกสร้อย” หรือ “ดอกสร้อยเสียงเสนาะ” เกิดเมื่อ พ.ศ. 2468 ที่บ้านบ่อล้อ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายแจ้กับนางพั้ว และได้สมรสกับนางกิ้งซุ้น มีบุตรร่วมกัน 4 คน
เพลงบอกดอกสร้อยได้มีโอกาสฟังเพลงบอกแล้วเกิดความประทับใจ จึงริเริ่มหัดว่าเพลงบอก ด้วยตนเอง ครั้นเมื่อมีโอกาสได้ร้องโต้กับเพลงบอกเผียน (เพลงบอกที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น) ณ วัดโคกพิกุล แม้จะเอาชนะเพลงบอกเผียนไม่ได้ แต่ก็ได้แสดงฝีปากคมคายในการโต้เพลงบอกจนเป็นที่ประทับใจของผู้ชม หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น
เพลงบอกดอกสร้อยเป็นเพลงบอกที่เลี้ยงชีพด้วยการว่าเพลงบอกตามงานต่าง ๆ โดยมีวิธีการ หาเงิน คือ ว่าเพลงบอกให้กับเจ้าภาพจัดงานแล้วนำรายได้มาแบ่งครึ่งกัน โดยในแต่ละงานเพลงบอกดอกสร้อยสามารถหาเงินได้จำนวนมาก เพราะมีเสียงที่ไพเราะกังวาน มีศิลปะในการจูงใจบริจาคโดย ไม่ต้องบังคับ รวมทั้งมีวิธีการว่าเพลงบอกที่แตกต่างจากเพลงบอกทั่วไป คือ มีการว่ากลอนหนังตะลุงกับโนราสอดแทรกเข้าไป ทำให้เกิดความสนุกสนาน หลากรส และหลายทำนอง เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม
ทั้งนี้แม้เพลงบอกดอกสร้อยจะเริ่มเล่นเพลงบอกโดยไม่มีครูสอนโดยตรง แต่ก็ยกย่องครูเพลง- บอกที่ชื่นชอบเป็น “ครู” โดยเฉพาะปานบอดและพระรัตนธัชมุนี (ม่วง) นอกจากนี้ยังมีเพลงบอกเนตร ชลารัตน์ และครูมิตร เกาะแก้ว ที่เพลงบอกสร้อยถือว่ามีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของตน จนสามารถสร้างชื่อเสียงติดปากคนปักษ์ใต้ว่า “ดอกสร้อย เสียงเสนาะ”
2.การศึกษา
สำเร็จการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดสระโพธิ์ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ต่อมาได้ฝากตัวเป็นศิษย์ท่านเจ้าคุณธรรมราชมุนี วัดหน้าพระบรมธาตุ และได้ศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ
แต่เรียนได้เพียงชั้นมัธยมปีที่ ๔ ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงกลับไปอยู่บ้านและหมดโอกาสเรียนต่อ จากนั้นจึงได้บรรพชาเมื่ออายุ ๑๘ ปี ณ วัดโพธิ์ อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ได้ ๔ ปี ก็ลาสิกขาบทออกมามีครอบครัว
ในเรื่องความสนใจเพลงบอกนั้น เริ่มจากเมื่อครั้งนายสร้อยอยู่หน้าวัดพระบรมธาตุ เจ้าคุณธรรมราชมุนี ได้รับเพลงบอกปานบอดมาเล่นหลายครั้ง
นายสร้อยฟังแล้วประทับใจพยายามจดจำบทกลอน เที่ยวว่าเลียนแบบกับพวกเด็กวัด ครั้นริหัดนานเข้าก็เกิดรักชอบและร้องเล่นโดยปริยายออกเที่ยวว่าสนุกไปตามงานต่าง ๆ
จนกระทั่งนายแก้ว กำนันตำบลทรายขาว อำเภอเชียรใหญ่ ได้ขอร้องให้ว่าเพลงบอกโต้กับเพลงบอกเผียน เป็นการแก้ขัดในงานศพท่านพระครูนิโครธ วัดโคกพิกุล โดยมีเพลงบอกปานบอดเป็นประธาน
การโต้คราวนั้นนับเป็นครั้งแรก แม้จะเอาชนะเพลงบอกเผียนไม่ได้ แต่ก็มิได้เพลี่ยงพล้ำ ทั้งยังแสดงฝีปากได้คมคายหลายตอน จากนั้นมานายสร้อยก็เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนมากขึ้น ได้ออกโต้เพลงบอกฝีปากดีหลายคน
เพลงบอกสร้อย ได้ออกโรงว่าเพลงบอกมาตั้งแต่อายุ ๑๗ ปีโดยมีงานสืบเนื่องต่อกันมาอย่างไม่ขาดตอน มีการรับงานว่าเพลงบอกในงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบวชนาค งานศพ งานรื่นเริง งานเทศกาล งานประชันขันแข่ง งานกุศล งานสาธารณประโยชน์ ฯลฯ
ตลอดระยะเวลากว่า ๕๐ ปี ที่เพลงบอกสร้อยได้ออกโรงว่าเพลงบอก ได้แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์และเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนทั่วภาคใต้ กรุงเทพมหานคร และมาเลเซีย โดยเฉพาะในภาคใต้
เมื่อมีการประชันเพลงบอกขึ้นเมื่อใด รางวัลชนะเลิศมักจะเป็นของเพลงบอกสร้อยเมื่อนั้น นักเลงเพลงบอกน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักศิลปินผู้นี้ ในการว่าเพลงบอกทุกครั้ง เพลงบอกสร้อยได้มีการแทรกกลอนหนังตะลุง โนรา เข้าไปด้วย ทำให้มีหลากรสหลายทำนอง เมื่อประกอบเข้ากับสติปัญญา และไหวพริบในการหยิบเอเรื่องราวมาผสมผสานเข้ากับเนื้อหา ทำให้ท่านมีชื่อเสียงติดปากคนปักษ์ใต้ว่า "ดอกสร้อย เสียงเสนาะ"
เพลงบอกดอกสร้อย นับได้ว่าเป็นเพลงบอกคณะแรกและคณะเดียว นับแต่อดีตที่สามารถเลี้ยงชีพได้ด้วยการว่าเพลงบอก วิธีการก็คือ ว่าเพลงบอกหาเงินให้กับเจ้างานแล้วแบ่งรายได้เป็นของคณะเพลงบอกร้อยละ ๔๐ และดูเหมือนว่าเจ้าภาพจำนวนไม่น้อยที่เรียกหาโดยยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว ทั้งนี้เพราะทุกงานนั้นเพลงบอกสร้อยจะทำเงินได้มาก ด้วยมีเสียงไพเราะกังวาล มีศิลปะในการจูงใจ ชวนให้บริจาคโดยมิต้องบังคับ
รางวัล
พ.ศ.2520: ได้รับถ้วยรางวัลชนะเลิศจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ธานินทร์ กรัยวิเชียรในการแข่งขันประชันเพลงบอก ณ แหลมสนอ่อน จังหวัดสงขลา
พ.ศ.2534: ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมและศิลปะการแสดง จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ
พ.ศ.2538: ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงพื้นบ้านเพลงบอก โดยได้รับรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
พลงบอกสร้อย เสียงเสนาะ หรือนายสร้อย ดำแจ่ม ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน-เพลงบอก) เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๘
ที่มา
-วารสารทักษิณคดี ปีที่๖ ฉบับที่๒ โดย สาวิตรี สัตยายุทย์
-เรียบเรียงโดยสรุปจากเรื่อง “สร้อย ดำแจ่ม” (หน้า 7807-7808). ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่มที่ 16. (2542). มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์. กรุงเทพฯ.
- https://naamchoop.com
20 มิถุนายน, 2568
นายเอี่ยม อมรสถิตย์ ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาศิลปะ การช่างศิลปะและการช่างฝีมือ
นายเอี่ยม อมรสถิตย์ เกิดเมื่อวันที่ พฤษภาคม พุทธศักราร ๒๕๖๐ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เคยรับราชการครู ต่อมาได้ประกอบอาชีพช่างประติมากรรมงานปั้นและหล่อรูปเหมือน ทำซุ้มประตูวัด เริ่มงานช่างจริงจังเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๐ เป็นต้นมา นายเอียม จึงมีทักษะและความชำนาญ ได้รับคำยกย่องชมเชยจากบุคคลทั่วไป ดังปรากฎผลงานเด่นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ คือ พระพุทธไสยาสน์วัดไชยมังคลาราม เมืองปีนัง ประเทศมาเลเชีย ได้รับพระราชทานกระแสพระราชดำรัสชมเชยว่า "ทำได้ดี ทำได้สวย" นับเป็นเกียรติประวัติสูงสุดในชีวิต นอกจากนี้ยังมีพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล เขากง จังหวัดนราธิวาส พระพุทธสิหิงค์จำลอง วัดพระมหาธาตุวมหา
วิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช นายเอี่ยมมีความมุ่งมั่นและศรัทธาที่จะพัฒนาฝีมือทางศิลปะ ให้เป็นมรดกแก่อนุชนมากกว่ามุ่งค่าตอบแทน ในวงการช่างยอมรับว่า นายเอี่ยมเป็น "ประติมากรขั้นครู" เป็นผู้มีคุณธรรม มีความประพฤติดี มีความสุจริตอุทิศตนเพื่อเผยแพร์ฝีมือประติมากรไทยให้ปรากฎแก่นานาประเทศ เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม
นายเอี่ยม อมรสถิตย์ จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียกติเป็นรู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาศิลปะ การช่างศิลปะ และการช่างฝีมือ
ประวัติชีวิต
นายเอี่ยม อมรสถิตย์ เกิดเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๔๖๐ ที่ตำบลปากนคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายทุ่ม นางป้อม อมรสถิตย์ ภรรยาชื่อ นางสราญ อมรสถิตย์ มี
บุตรธิดา ๖ คน ชาย ๑ คน หญิง ๕ คนที่อยู่ปัจจุบันเลขที่ ๓๒/๒ วัดนางหล้า หมู่ที่ ๓ ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
การศึกษา
- พ.ศ. ๒๔๗๒ สำเร็จการศึกษาชั้น ป. ๔ โรงเรียนเสื้อเมือง
- พ.ศ. ๒๔๗๘ สำเร็จการศึกษาชั้น ม.๖ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ (วัดท่าโพธิ์)
- พ.ศ. ๒๔๘๓ สำเร็จการศึกษาชั้น ป.ป.ชและวาดเขียนโท จากโรงเรียนเพาะช่าง
ตำแหน่งหน้าที่ในอดีต
เคยรับราชการครูที่โรงเรียนสตรีปากพนัง โรงเรียนปากพนัง และโรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช
ประวัติการทำงานที่ผ่านมาโดยย่อ
ได้ประกอบอาชีพช่างประติมากรรมมาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๔๙๐ นับจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๔๔ ปี
ลักษณะงานที่ทำ เป็นงานปั้นรูปเหมือนหล่อรูปเหมือนปั้นและหล่อพระพุทธรูปทำซุ้มประตูวัดวาอารามต่างๆ
ทั้งในต่างจังหวัดและต่างประเทศ ผลงานเป็นที่ยอมรับของสาธุชนทั่วไป
ผลงาน
มีผลงานจำนวนมาก นับเป็นพันๆ ชิ้นดังตัวอย่างต่อไปนี้
- ปั้นรูปเหมือนพระพุทธรูปปราสาทธรรรมภิวัฒน์ วัดเสาเภา อำเภอสิชล จังหวัดนคร
ธรรมราช
- ปั้นรูปเหมือน พ่อท่านพวย วัดหัวลำพูอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช
- ปั้นรูปเหมือนพ่อท่านเอียด วัดในเขียว อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช
- ปั้นและหล่อพระพุทธรูป ๑๐๘ องค์หน้าตักกว้าง ๑ ศอก ๑ คืบ ที่วัดประดู่หอม ทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
- ปั้นและหล่อพระพุทธรูปไสยาสน์องค์ใหญ่ ยาว ๓๖ เมตร ที่วัดไชยมังคลาราม รัฐปีปีปี
ประเทศมาเลเซีย
- ปั้นและหล่อพระพุทธไสยาสน์ ยาว ๗เมตร และพระประจำวัน จำนวน ๙ องค์ ที่วัด
ยางนอก อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส
- ปั้นและหล่อพระพุทธไสยาสน์ ยาว ๒๐ เมตร ที่วัดเกาะสิเหร่ จังหวัดภูเก็ต
ทั้งและหล่อนล่อพระพุทธไสยาสน์ ยาว ๒๔ เมตร เมตร ที่วัดบางนอน อำเภอเมือง จงหวัดระนอง
- สร้างเมรุ วัดนิกรประชาราม อำเภอgมือง จังหวัดปัตตานี
- สร้างพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล เขากง จังหวัดนราธิวาส
- ปั้นและหล่อพระประธานหน้าตักกว้าง ๔ศอก ๙ นิ้ว ที่วัดพังตรุ อำเภอสามชุก จังหวัด
สุพรรณบุรี
-ปั้นพระพุทธไสยาสน์ ยาว ๙ เมตร ที่วัดพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัด
หนองคาย
- ปั้นรูปบริจาคเงินช่วยเหลือการก่อสร้างอาคารเรียน "จิตภาวัน" วิทยาลัยของท่าน
กิตติวุฒโฑภิกขุ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลชลบุรี
- หล่อพระพุทธสิหิงค์ หน้าตักกว้าง ๑ เมตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ทรงเป็นองค์พระประธานเททอง ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
- ปั้นและหล่อรูปเหมือน พระรัตนรัธมุนี(แบน) สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นองค์ประธานเททองที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
- ปั้นพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง ๙ เมตร พระนาคปรกหน้าตักกว้าง ๑๒ เมตร ๕๐ เซนติเมตร
สูง ๒๗ เมตร ที่สำนักสงฆ์เขาวัง อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
ผลงานดีเด่น
- พระพุทธรูปไสยาสน์วัดไชยมังคลาราม เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย ยาว ๓๖ เมตร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จทรงเบิกพระเนตร
- พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล เขากง จังหวัดนราธิวาส สูง ๒๐ เมตร หน้าตักกว้าง ๑๗ เมตร
อาจารย์จิตร บัวบุศย์ ออกแบบ
- พระพุทธสิหิงค์จำลอง วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชหน้าตักกว้าง
เมตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จทรงเป็นองค์ประธานเททอง
เกียรติคุณที่เคยได้รับ
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลยดุลยเดช ได้โปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ ที่เมืองปีนัง
ประเทศมาเลเซีย ทรงชมว่า "ทำได้ดี ได้สวย"
- ฝีมือช่างประติมากรรมเป็นที่ยอมรับในวงการช่างด้วยกันว่า นายเอี่ยม อมรสถิตย์ เป็น "
ช่างประติมากรรมชั้นครู
ความประพฤติ คุณธรรม ศีลธรรม
เป็นผู้มีความประพฤติดี มีคุณธรรม เป็นที่เชื่อถือของบุคคลทั่วไปทั้งที่เป็นคฤหัสถ์และบรรพ-
ชิต มีความสุจริตเป็นที่ตั้ง มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาฝีมือทางศิลปะให้เป็นมรดก แก่อนุชนมาก
กว่ามุ่งค่าตอบแทน
งานบริการสังคม
นายเอี่ยม อมรสถิตย์ ได้อุทิศเวลาส่วนตัวบางส่วนบริการชุมชนและสังคมตลอดมา ได้
ใช้งานฝีมือช่วยเหลือบุคคลหน่วยงานวัดวาอารามโดยไม่คิดค่าตอบแทนแต่อย่างใด
ระยะเวลาที่ปฏิบัติงานดีเด่นและโอกาสที่จะปฏิบัติต่อไป
ได้ปฏิบัติงานช่างประติมากรรมมาตั้งแต่ปี๒๔๙๐ งานแต่ละชิ้นตั้งใจทำอย่างดีที่สุด เพื่อเป็น
แบบฉบับแก่อนุชนด้วยความมุ่งมั่น และศรัทธามาโดยตลอด งานชิ้นต่อไป คือ
-งานปั้นและหล่อพระพุทธรูปแบบจีนที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๒เมตร ตั้งใจจะทำงานนี้เพื่อเผยแพรฝีมือประติมากรรมไทยให้ปรากฎแก่ชาวโลก
จากประวัติชีวิตและผลงานดังกล่าว คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติจึงประกาศยกย่อง
เชิดซูเกียรติให้ นายเอี่ยม อมรสถิตย์ เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมสาขา ศิลปะ การช่าง
ศิลปะและการช่างฝีมือ
โดย ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ที่มา หนังสือ ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม 2534 สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ.
19 มิถุนายน, 2568
นายปลื้ม ชูคง ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาศิลปะ การช่างศิลปะ และการช่างฝีมือ
นายปลื้ม ชูคง เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๘๓ ที่จังหวัดพัทลุง อาชีพช่างฝีมือทำผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าว และเส้นใยพืช (เชือกกล้วย) ซึ่งเป็นเศษวัสดุเหลือใช้ในท้องถิ่นนำมาทำเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องประดับและของที่ระลึกในขั้นต้นได้ทำเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน มีความคิดสร้างสรรค์ ได้ใช้ปัญญาพิจารณาดัดแปลงรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้เรียบง่าย ผสมผสานกับความงามตามธรรมชาติของวัสดุ ตรวจดูความเรียบร้อยของฝีมืออย่างละเอียดถี่ถ้วน พิถีพิถันก่อนนำส่งออกจำหน่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ หลังจากที่ได้ประสบผลสำเร็จในงานผลิตภัณฑ์กะลามะพร้าวแล้ว ได้ออกเผยแพร่ผลงานตามสถานที่ราชการและเอกชนหลายแห่งจากผลงานที่มีคุณค่าดังกล่าวจึงได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันผลิตภัณฑ์กะลามะพร้าวหลายรางวัล ประกอบกับเป็นผู้มีคุณธรรม เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ มีความเพียรพยายาม ความตั้งใจแน่ว แน่มั่นคง เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม นายปลื้ม ชูคง จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรรม
ศิลปะ การช่างศิลปะ และการช่างฝีมือ
ประวัติชีวิต
นายปลื้ม ชูคง เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๘๓ เป็นบุตร นายขาว ชูคง และนางนวล ชูคง อาชีพทำนา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๓ คน ชาย ๒ คน หญิง ๑ คน ภรรยาซื่อ นางน่วม ชูคง มีบุตร ๓ คน ชาย ๑ คน หญิง ๒ คน ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ ๔๒ หมู่ที่ ๏ ตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
การศึกษา
พ.ศ. ๒๔๙๖ เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ จากโรงเรียนวัดแจ้งสุวรรณวิทยาคา
พ.ศ. ๒๕๐๔ สอบได้นักธรรมชั้นตรี
พ.ศ. ๒๕๐๕ สอบได้นักธรรมชั้นโท
พ.ศ. ๒๕๐๖ สอบได้นักธรรมชั้นเอก
ผลงาน
เป็นผู้ผลิตผลงานหัตถกรรมจากกะลามะ-พร้าว ซึ่งเป็นเศษวัสดุในท้องถิ่น นำมาทำเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องประดับ เป็นของที่ระลึก และของฝาก เช่น ชุดน้ำชา กระเป้าถือ ช้อนส้อมทัพพี ตะหลิว กระบวยตักน้ำ เข็มกลัดเสื้อ ปิ่นปักผม พวงกุญแจ ฯลฯ ส่งออกจำหน่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ลูกค้าสนใจและสั่งจองสินค้าหัตถกรรมจากกะลามะพร้าวมากจนไม่สามารถทำได้ทันตามความต้องการ
จึงได้ชักชวนประชาชนให้หันมาประกอบอาชีพด้านหัตถกรรมจากกะลามะพร้าวและวัสดุอื่นๆที่มีในท้องถิ่น เช่น การผลิตในรูปของ ตะกร้ากระเป้า เสวียนหม้อ โดยเป็นผู้สอนและอธิบายถึงวิธีการผลิตงานแต่ละชิ้นตามขั้นตอนแนะนำช่วยเหลือจนทุกคนมีฝีมือดี ในขั้นต้นมีสมาชิกเพียง ๑๐ คน ปัจจุบันนี้มีสมาชิกถึง ๒๐๐คน
ทำให้ประชาชนในหมู่บ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นคน ทำให้ประชาชนในหมู่บ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นสามารถช่วยเหลือคนว่างงานให้มีงานทำและช่วยแก้ปัญหาสังคมได้อีกทางหนึ่ง
ต่อมาจึงได้ริเริ่มจัดตั้งกองทุนมูลนิธิหมู่บ้านศิลปหัตถกรรมขึ้น โดยมีหลักเกณฑ์การดำเนินงานคือรายได้จากการจำหน่ายสินค้าจะหักเข้ากองทุนร้อย ละ ๑ เพื่อใช้ในการติดต่อดำเนินงาน มีคณะกรรมการดำเนินงานดูแลรักษา และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในกิจกรรมและการพัฒนาท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้จัดตั้งกรรมการบริหารกลุ่มหัตถกรรมกะลามะพร้าว มีการดำเนินงานอย่างมีระบบการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผลงาน
ได้มีการประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชนหลาย ครั้งเช่น สถานีโทรทัศน์สีซ่อง ๙ อ.ส.ม.ท. ได้ถ่าย
ทำสารคดีของดีเมืองไทย ออกรายการบันทึกเมืองไทย ภาคหลังข่าว เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๓๔
นอกจากนี้ยังได้จัดเตรียมสมุดเยี่ยมไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ได้แสดงความคิดเห็น รวมทั้งส่วนราชการได้ร่วมมือนำผลงานออกเผยแพร่ในงานเทศกาลต่างๆ หลายครั้ง
วิทยากร
นายปลื้ม ชูคง นอกจากการพัฒนางาน ฝีมือด้านผลิตภัณฑ์กะลามะพร้าวให้มีคุณภาพ
เป็นที่ยอมรับของตลาดแล้ว ยังได้อุทิศแรงกายรงใจ และสติปัญญาเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมรับเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่ผู้สนใจทั้งภาครัฐและเอกชนดังนี้
- เป็นวิทยากรในระดับภูมิภาค ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
- เป็นวิทยากรให้การอบรมกับประชาชนที่ประสบภัยจากพายุใต้ฝุ่นเกย์ ที่จังหวัดชุมพร
ระหว่างวันที่ ๙-๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
- ได้รับเชิญจากสำนักงาน ร.พ.ช. เป็นวิทยากรฝึกสอนการผลิตศิลปหัตถกรรมกะลามะ-
พร้าว ที่ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดชุมพร เมื่อวันที่ ๙กรกฎาคม ๒๕๓๔
- ได้รับเชิญจากกรมการค้าภายใน เป็นวิทยากรให้ความรู้เรื่องการทำผลิตภัณฑ์จากกะลา
มะพร้าวให้กับสมาชิกกลุ่มเสื่อกระจูด ทะเลน้อยที่ศาลาประชาคม อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕
- ได้รับเชิญจากเคหะกิจเกษตร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นวิทยากรฝึกอบรมให้กับสมาชิก
เคหะกิจ ที่สำนักงานเกษตรอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๕ มีนาคม พ.ศ.
๒๕๓๔
- เป็นวิทยากรอบรมอาสาพัฒนาชุมชนที่ศาลาประชาคม จังหวัดพัทลุง เมื่อวันที่
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๓
- ได้รับเชิญจากสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ให้คำบรรยายแก่ครู
อาจารย์ที่สอนวิชา กพอ. ณ หอประชุมอำเภอเมืองพัทลุง เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๓ ฯลฯ
อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ให้คำบรรยายแก่ครูอาจารย์ที่สอนวิชา กพอ. ณ หอประชุมอำเภอเมือง
พัทลุง เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๓ ฯลฯ
งานด้านบริการสังคม
- เป็นประธานกลุ่มศิลปหัตถกรรมในครอบครัว ของประชาชนหมู่ที่ ๑ ตำบลชัยบุรี
อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
- ได้รับการคัดเลือกจากสภาตำบลชัยบุรีให้เป็นผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๕๓๓
- เป็นวิทยากรให้ความรู้ด้านศิลปหัตถกรรมแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป
- เป็นกรรมการการศึกษาของโรงเรียนและเป็นกรรมการวัดในหมู่บ้าน
- เป็นผู้รับผิดชอบด้านการเงินของหมู่บ้านหลายตำแหน่ง เช่น
๑.การเงินสุขาภิบาลหมู่บ้าน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒
๒.การเงินกองทุนน้ำมันของหมู่บ้านเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒
๓. กองทุนบัตรสุขภาพของหมู่บ้านเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒
๔.เป็นเหรัญญิกจัดทำบัญชีของฉางสำรองพันธ์ข้าว
๕.เป็นผู้ทำบัญชีธนาคารข้าวของหมู่บ้าน
ระยะเวลาที่ปฏิบัติงานและโอกาสที่จะปฏิบัติงานต่อไป
นายปลื้ม ชูคง สนใจงานด้านศิลปะหัตถกรรมมาตั้งแต่เด็ก หลังจากเรียนจบชั้นประถม ศึกษาปีที่ ๔ แล้ว ได้เริ่มทำงานจักสานไม้ไผ่ไว้ใช้ในครัวเรือนและทำไปขายบ้าง นอกจากนี้ยังทำด้ามจอบ คันไถ รวมทั้งวาดรูปหนังตะลุงออกขายตามหมู่บ้าน และงานวัดปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้เริ่มสร้างานผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าวและศิลปหัตถกรรมจากใยพืช (เชือกกล้วย) ครั้งแรกทำภายในครอบครัวต่อมาชักชวนให้ประชาชนในหมู่บ้านให้หันมาประกอบอาชีพการทำหัตถกรรมจากกะลามะพร้าว มีสมาชิกเพียง ๑๐ กว่าคน ต่อมาเพิ่มเป็น ๒๐๐ คน
รวมระยะเวลาการทำงานผลิตภัณฑ์กะลามะพร้าวประมาณ ๑๐ ปีนิดอมาเพิ่มเป็น ๒๐๐ คนรวมระยะเวลาการทำงานผลิตภัณฑ์กะลามะพร้าวประมาณ ๑๐ ปี
ในอนาคตนายปลื้ม ชูคง ต้องการจะขยาย ผลงานในด้านปริมาณและคุณภาพ ปัจจุบันได้มีหน่วยราชการเข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือทั้งด้านการลงทุน การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพัทลุง ได้เสนอโครงการช่วยเหลือด้านการก่อสร้างอาคารเพื่อใช้ในการผลิตแสดง จำหน่ายผลิตภัณฑ์หัตตถกรรมกะลามะพร้าวและเส้นใยพืชผ่านทางศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคใต้ ถ้าโครงการประสบความสำเร็จจะสามารถขยายงานให้เพิ่มปริมาณมากขึ้น และมีสมาชิกร่วมงานมากขึ้นด้วย
เกียรติคุณที่เคยได้รับ
- ได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ ประเภท ผลิตภัณฑ์เส้นใยพืชจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ
ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้รับโล่ เกียรติบัตร และเงินรางวัล เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๑
- ได้รับรางวัลที่ ๑ ในการประกวดผลิต ภัณฑ์อุตสาหกรรมประเภทผลิตภัณฑ์หัตถกรรมของใช้ ของที่ระลึกที่ทำจากกะลามะพร้าวในงานเทศกาลอาหารและสินค้าหัตถกรรมไทย ที่หาดใหญ่ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับโล่เกียรติบัตรและเงินรางวัล เมื่อวันที่พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๒
- ได้รับรางวัลที่ ๒ ในการประกวดผลิตภัณฑ์หัตถกรรม อุตสาหกรรมไทยของจังหวัดสงขลา ประเภทการแข่งขันทำผลิตภัณฑ์จากก้านมะพร้าว ได้รับเกียรติบัตรและเงินรางวัล เมื่อวันที่๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๒
- ได้รับโล่รางวัล การประกวดผลิตภัณฑ์ หัตถกรรมของใช้ ของที่ระลึกจากกะลามะพร้าวในงานเทศกาลอาหารไทยและสินค้าหัตถกรรมไทยของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒
- ได้รับโล่รางวัลการประกวดผลิตภัณฑ์กระเป้าเชือกกล้วย จากงานเทศกาลอาหารและสินค้าหัตถกรรมไทย ของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๒
-ได้รับโล่รางวัลชมเชยภาคใต้ในงานหัตถกรรมอุตสาหกรรมทั่วไทย ครั้งที่ ๓ ที่สวนอัมพรระหว่างวันที่ ๑๘-๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๓
จุดเด่นของงานหัตถกรรมนั้นผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าวแต่ละชิ้นนั้น ต้องใช้ความปราณีดอย่างสูง
และความอดทนในการทำผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นจึงออกมาสวยงาม เป็นอาชีพที่สามารถทำได้แต่ต้อง
ศึกษาและหัดทำ นายปลื้ม ชูคง มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สายาศิลปะ การย่างศีลปะและ
การช่างฝีมือ ประจำปี 2534 และพัฒนาฝีมืออีกระดับหนึ่งคือผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น กุ้ง
เต่า มีวางจำหน่ายที่ OTOP จังหวัดพัทลุง และที่กลุ่มหัดถกรรมกะลามะพร้าว
ความประพฤติ คุณธรรม ศีลธรรม
นายปลื้ม ชูคง กรรมทั่วไทย ครั้งที่ ๓ ที่สวนอันอัมคน งานหัตถระหว่างวันที่ ๑๘-๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๓๓ความประพฤติ คุณธรรม ศีลธรรมนายปลื้ม ชูคง ประพฤติปฏิบัติงานอยู่ในระเบียบวินัยของสังคมและประเพณีต่างๆ อย่างเคร่งครัด ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีมาโดยตลอดมีจิตใจโอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลืองานสังคมอย่างสม่ำเสมอเป็นที่ไว้วางใจและเคารพนับถือของคนทั่วไป นับว่าเป็นผู้หนึ่งที่สมควรได้รับการ
ยกย่องให้เป็นแบบอย่างที่ดีงามของสังคมสืบไป
จากประวัติชีวิตและผลงานดังกล่าว คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้ประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้นายปลื้ม ชูคง เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาศิลปะการช่างศิลปะ และการช่างฝีมือ
ที่มา สืบค้นข้อมูล https://today.line.me/th/v3/article/mwrK1W
-หนังสือผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม.2534.สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ
18 มิถุนายน, 2568
นายอรรถกร ถาวรมาศ ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมภาคใต้สาขา มนุษยศาสตร์
คำประกาศเกียรติคุณ
นายอรรถกร ถาวรมาศ
ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม
สาขา มนุษยศาสตร์
นายอรรถกร ถาวรมาศ เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๒ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันอายุ ๖๒ ปี อาชีพผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เช่น หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ สารเสรีมวลชน นอกจากได้ทำงานเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์มพ์มานานถึง ๒๖ ปี ได้สร้างสรรค์งานด้านวรรณกรรมอีกมากมายทั้งประเภทร้อยแก้ว และร้อยกรอง ผลงานที่นำเสนอล้วนแล้วแต่มีคุณค่าต่อสังคมไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันได้ใช้ความรู้ความสามารถในเชิงกวีชี้ให้เห็นสังคมในแง่มุมที่แตกต่างกัน ทำให้ผลงานประสบผลสำเร็จ ได้รับรางวัลจากการประกวด วรรรณกรรมประเภทร้อยกรองดีเด่นหลายรางวัล ทั้งได้รับโล่ในฐานะนักเขียนบทความดีเด่นอีกด้วย จึงได้รับเชิญให้เป็นกรรมการตัดสินการประกวดวรรณกรรมประเภทต่างๆ อยู่เสมอได้อุทิศตนทำงานเพื่อบริการสังคมตลอดมาอย่างมีหลักเกณฑ์ และมีส่วนร่วมในการช่วยจรรโลงสังคมไทยให้ดีขึ้น ประกอบกับเป็นผู้มีคุณธรรม ประพฤติตนในกรอบของสังคมที่ดีตดอดมาเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมนายอรรถกร ถาวรมาศ จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมสาขามนุษยศาสตร์
ประวัติชีวิต
นายอรรถกร ถาวรมาศ เป็นบุตรนายชื่น นางอิน ถาวรมาศ เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๙๒ ที่หมู่ที่ ๕ ตำบลพรหมโลก อำเภอเมือง (เดิม) จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๖ คน ชาย ๓ คน หญิง ๓ คน สมรสกับนางอนงค์ ถาวรมาศมีบุตรธิดา ๒ คนชาย ๑ คน หญิง ๑ คน
ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ ๑๒๙ หมู่ที่ ๔ ตำบลกลาย อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช อาชีพ ผู้สื่อข่าว
ตำแหน่งปัจจุบัน ที่ปรึกษาข่าวภูมิภาคไทยรัฐ ตำแหน่งหน้าที่ในอดีต เคยเป็นบรรณาธิการผู้ช่วยหนังสือพิมพ์พิทักษ์ชน และกรรมการสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย
การศึกษา
- เรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ พ.ศ.๒๔๘๓
- เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ พ.ศ.๒๔๘๔
- สอบได้นักธรรมโท พ.ศ. ๒๔๙๙
-สอบได้เปรียญธรรมประโยค ๓ พ.ศ.2492
ประวัติการทำงานโดยย่อ
ทำงานหนังสือพิมพ์ติดต่อกันมานานถึง ๒๖ปี ทำข่าวประจำหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและเป็นนักเขียนประจำคอลัมน์ของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เช่น
- หนังสือพิมพ์เสียงราษฎร์
- หนังสือพิมพ์ปักษ์ใต้
- หนังสือพิมพ์สารเสรี
- หนังสือพิมพ์มวลชน
นอกจากนี้ยังสนใจเขียนบทร้อยกรองประเภท ต่างๆ เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน นิราศส่งประกวดทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติอีกหลายประการ รวมผลงานเฉพาะบทร้อยกรองไม่น้อยกว่า ๘๐๐ หน้า
ผลงาน
นอกเหนือจากการเขียนข่าวหนังสือพิมพ์แล้ว นายอรรถกร ถาวรมาศ ยังได้สร้างสรรค์ผลงาน ประเภทวรรณกรรมไว้เป็นจำนวนมาก ผลงานเหล่านั้นได้เผยแพร่สู่มวลชนทั้งทางหนังสือพิมพ์นิตยสารและวารสารอยู่เสมอ ผลงานการสร้างสรรค์วรรณกรรมร้อยกรองเท่าที่รวบรวมได้ขณะนี้มีทั้ง โคลงฉันท์ กาพย์ กาพย์ห่อโคลง กลอนสุภาพ กลอนดอกสร้อย สักวา และนิราศ ซึ่งมีลักษณะเนื้อหาหลากหลายทั้งที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ประ-
เพณี สังคม ธรรมชาติ คำสอน การศึกษาเศรษฐกิจ และการเมือง เป็นต้น แนวการเขียนมีทั้งการพรรณนาการตำหนิ การเสียดสี การยกย่อง การคัดค้าน การเสนอแนะ และอื่นๆ อีกมาก โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อการสร้างสรรค์จรรโลงสังคม
นามปากกาที่นายอรรถกร ถาวรมาศ ใช้สร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรมมีดังต่อไปนี้คือ
- วรรณลงกฏ
- ส.ถาวรมาศ
- ชลฤดี
- กลิ่นน้ำค้าง
- ฝอยฟ้า
- หลวงอรรถ
- ตาอรรถ
- คอเก่า
- คุณอรรถ
- พรานหงส์
- ยมพบาล
- ว.วถาวรมาศ
- กามเทพ
- มุขอรรถ
- อรวัลย์
- อาวรณ์
- วรรณ
- ตาสีตาสา
-พี่หลวง
- วัลยาพร
ฯลฯ
ผลงานดีเด่น
- เป็นนักข่าวและนักเขียนบทความดีเด่นของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
- มีผลงานวรรณกรรมประเภทร้อยกรองดีเด่น ชนะการประกวดในโอกาสต่างๆ มากมายจำแนกออกตามประเภทของการร้อยกรองที่ชนะการประกวดดังนี้
๑. กลอนสุภาพ ประกวดหลายสำนวน จากหนังสือพิมพ์ นิตยสารต่างๆ เช่น
- หนังสือชัยพฤกษ์ พ.ศ. ๒๕๐๘
- หนังสือพิมพ์นที่ทอง พ.ศ. ๒๕๐๙
- หนังสือสามทหาร พ.ศ. ๒๕๑๐
- หนังสือวิทยาสาร พ.ศ. ๒๕๑๑
ฯลฯ
๒. กลอนสักวา เท่าที่สำรวจพบมีกลอน สักวาชนะการประกวดหลายสำนวน จากหนังสือ
- หนังสือตำรวจ พ.ศ. ๒๔๙๘,
- หนังสือออมสินสาร พ.ศ. ๒๕๑๐
ฯลฯ
๓. กลอนดอกสร้อย เท่าที่สำรวจพบมีกลอนดอกสร้อยชนะการประกวดหลายสำนวนจากหนังสือวารสาร และนิตยสารต่างๆ ดังนี้
- หนังสือตำรวจ พ.ศ. ๒๔๙๘
- หนังสือวิทยาสาร พ.ศ. ๒๕๐๕
- หนังสือสตรีไทย พ.ศ. ๒๕๐๖
- หนังสือสุภาพสตรี พ.ศ. ๒๕๐๖
๔.กลอนเพลงยาว เท่าที่สำรวจพบมีกลอน เพลงยาวชนะการประกวด ๒ สำนวน ปรากฏ
ในหนังสือดังต่อไปนี้
- หนังสือตำรวจ พ.ศ. ๒๕๐๐
- หนังสือสามทหาร พ.ศ. ๒๕๑๐
๕.กลอนนิราศ นิราศที่ชนะการประกวดคือนิราศขนอม ได้รับการพิจารณาจากสโมสรสุนทรภู่
มื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ และรวมเผยแพร่ในหนังสือวรรณวิจักษณ์ และนิราศ ๒๕ เรื่องของสำนัก
๖. โคลง มีโคลงที่ชนะการประกวดหลายนิตยสารต่างๆ เช่น
-หนังสือตำรวจ พ.ศ. ๒๔๙๘ ,๒๕๐๐, ๒๕๐๒
-หนังสือออมสินสาร พ.ศ.๒๕๑๑
-หนังสือสตรีไทย พ.ศ.๒๕๐๖
-หนังสือสุศษฒ?ฆษณ พ.ศ. ๒๕๐๖,๒๕๑๐, ๒๕๑๑
-หนังสือวิทยาสาร พ.ศ.๒๕๐๘ ๒๕๐๙,๒๕๑๑
๗. กาพย์และฉันท์ เท่าที่สำรวจพบมีกาพย์และฉันท์ชนะการประกวดหลายสำนวนจากหนังสือ นิตยสาร และวารสารต่างๆ ดังนี้คือ
- หนังสือสามทหาร พ.ศ. ๒๕๐๘,
- หนังสือตำรวจ พ.ศ. ๒๕๐๐
- หนังสือวิทยาสาร พ.ศ. ๒๕๑๑
นอกจากวรรณกรรมดีเด่นที่ชนะการประกวดดังที่ได้ยกตัวอย่างมาแล้ว นายธรรถกร ถาวรมาศ
ยังได้สร้างสรรค์งานวรรณกรรมอื่นๆ ไว้อีกมากมายเกียรติคุณที่ได้รับ
- ได้รับเกียรติและรางวัลดีเด่นในฐานะผู้ สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐให้ไปศึกษาดูงานหนังสือ-
พิมพ์ที่ฮ่องกง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น
- ได้รับโล่ในฐานะนักเขียนบทความดีเด่น จากสมาคมหนังสือพิมพ์ภูมิภาค แห่งประเทศไทย
- ได้รับรางวัลต่างๆ มากมายในฐานะผู้ สร้างสรรค์วรรณกรรมดีเด่น ชนะการประกวดในโอกาสต่างๆ
- ได้รับเกียรติจากชมรมนครศรีกวีศิลป์ นครศรีธรรมราช ให้เป็นทีมนักกลอน นักโต้วาที กลอนสดของจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมกับครูตรึกพฤกษะศรี ครูเอื้อม อุบลพันธ์ ครูเรวัตร พันธุ์-ทิพย์แพทย์ ได้เดินทางไปแข่งขันกลอนสดในจังหวัดภาคใต้หลายครั้ง เช่นที่จังหวัดยะลา ตรัง พัทลุง ฯลฯ
-ประการตัดสินการประกวดกลอนสดของสถาบันต่างๆ ของสถาบันต่างๆ
ความประพฤติ คุณธรรม ศีลธรรม
นายอรรถกร ถาวรมาศ ได้เริ่มปฏิบัติ งานดีเด่นเพื่อสังคมมานานถึง ๒๖ ปี ได้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรม และศีลธรรมอันดีงามตามกรอบของสังคมและนักหนังสือพิมพ์ตลอดมา ได้สร้างสรรค์ผลงานออก
เผยแพร่แก่ประชาชนทั่วประเทศ นายอรรถกร เป็นผู้มีความศรัทธาเชื่อมั่นในการทำดี ทำประโยชน์ต่อสังคมอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรม
งานด้านบริการสังคม
ในฐานะและบทบาทของผู้สร้างสรรค์งาน ทางด้านหนังสือพิมพ์ มีโอกาสบริหารสังคมและชุมชน
ค่อนข้างกว้างขวางในแง่มุมของการคอยสอดส่องดูแลความเคลื่อนไหวต่างๆ ของสังคมช่วยเสนอ
แนะ และชี้นำเพื่อความก้าวหน้า และพัฒนาขึ้นในทางที่ดีของสังคมต่อไป
ระยะเวลาที่ปฏิบัติงานดีเด่นและโอกาสที่จะปฏิบัติต่อไป
นายอรรถกร ถาวรมาศ ได้ปฏิบัติงานที่ ถนัดด้านมนุษยศาสตร์มาเกือบ ๓๐ ปี และยังมุ่งมั่นที่จะทำงานด้านนี้ต่อไป พร้อมกับย้ำอย่างหนักแน่นว่า "จะใช้งานวรรณกรรมสร้างสรรค์สังคมไทยต่อไปอย่างไม่ท้อแท้และหยุดยั้ง"จากประวัติชีวิตและผลงานดังกล่าว คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ - จึงประกาศยกย่องเชิดซูเกียรติให้นายอรรถกร ถาวรมาศ เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขามนุษยศาสตร์
โดย ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช
17 มิถุนายน, 2568
เครื่องปั้นดินเผาบ้านมะยิงอำเภอท่าศาลา จังหวัดนดรศรีธรรมราช
แหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาบ้านมะยิงเป็น หมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับชุมชนโบราณโมคลานซึ่งอยู่ห่าง ไปทางทิศตะวันตกเพียง ๑ กิโลเมตร โดยเเบ่มชนด้วยคลองมะยิง (ปากพยิง) และคลองโต๊ะแน็งจากการสำรวจเเละขุดคั้นทางโบราณคดีพบว่าชุมชน โบราณโมคลานหรือปัจจุบันอยู่ในอาณาบริเวณวัดโมคลานและโรงเรียนประถมศึกษาวัดโมคลาน เป็นชุมชนที่สำคัญในแถบนี้มีอายุไม่น้อยกว่าพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ยังเหลือร่องรอยสิ่งก่อสร้าง ที่เป็นซากอาคารอิฐ และเสาหิน พบเศษกระเบื้องมุงหลังคาและเครื่องปั้นดินเผาจำนวนหนึ่งเข้าใจว่า เป็นของที่ผลิตขึ้นในชุมชนและอาจตกทอดและเทคโนโลยีการผลิตมายังบรรพบุรุษของนักปั้นหม้อ ที่บ้านมะยิงก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี ความเก่าแก่ของชุมชนโมคลานนั้น เป็นที่รู้จักของชาวท้องถิ่นใน จังหวัดนครศรีธรรมราช ดังมีบทกลอนพื้นบ้านบท
หนึ่งว่า "ตั้งดินตั้งฟ้า ตั้งหญ้าเข็ดมอน โมคลาม มาก่อน เมืองนครมาหลัง" ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ช่างปั้นหม้อที่บ้านมะยิงทำให้ทราบภูมิหลัง ของหมู่บ้านมะยิงว่าไม่เพียงเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ชุมชนเก่าแก่เท่านั้น แต่ยังมีชื่อเสียงว่าเป็นหมู่บ้าน ปั้นหม้อ โดยผลิตเครื่องปันดินเผาแบบพื้นเมืองโบราณแทบทุกครัวเรือน เพื่อส่งออกจำหน่าย มาหลายชั่วคน สืบได้วามีอายุไม่น้อยกว่า ๑๐๐ ปีสมัยที่เฟื่องฟูที่สุดของการผลิตหม้อที่บ้านมะชิง เป็นสมัยเดียวกับการผลิตกระเบื้องดินเผาที่เกาะขอจังหวัดสงขลา กล่าวกันว่า "บ้านมะยิงทำหม้อ เกาะขอทำเบื้อง" จึงไม่มีการแก่งแย่งในทางตลาดในสมัยนั้นแต่อย่างใด
เล่าสืบต่อกันมาในหมู่นักปั้นหม้อรุ่นหลาน-หลนที่ยังหลงเหลือในปัจจุบันว่า ในเวลาตอนเข็นผื่อช่างปั้นหม้อเริ่มปั้นหม้อแล้วตีหม้อขึ้นรูปด้วย ถูกตั้ง(ลูกถือ หรือ ลูกเถอ) และไม้ตี มีเสียงดังเป็นจังหวะรับกันเป็นทอด ๆ ทั้งบ้าน เมื่อตีหม้อพร้อมๆ ทันทำให้เกิดเสียงดังจนม้าที่ผ่านมาทางนี้ตกใจกลัววังหนี เนื่องจากการผลิตหม้อเป็นอาชีพเลี้ยงชีวิต ที่สำคัญของชาวบ้านมะยิงเเต่โบราณ การผลิตหม้อได้มาก เผาสุกในคุณภาพดี ไม่ชำรุดเสียหายจึง เป็นสิ่งสำคัญ นักปั้นหม้อปัจุบันยังคงรักษาพิธีการ เซ่นสังเวยที่เตาเผา ซึ่งยังคงสืบทอดความเชื่อ และพิธีกรรมมาแต่ครั้งบรรพบุรุษของนักปั้นหม้อจนกระทั่งปัจจุบัน
สภาพการทำเครื่องปั้นดินเผาในปัจจุบัน
การผลิตเครื่องปันดินเผาที่บ้านมะยิงอยู่ในรูปของผู้ผลิตรายเล็ก ที่ใช้แรงงานในครัวเรือน เป็นหลัก ในปัจจุบันมีจำนวนประมาณ ๗ - ๘ครัวเรือน ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ในครัวเรือน เน้นที่ประโยชน์ใช้สอย เช่น หม้อยักษ์สวด (หวด) โอ่งน้ำ กระถาง ฯลฯ บางส่วนเป็น ผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กสำหรับเป็นของที่ระลึก
กรรมวิธีการผลิตส่วนใหญ่ได้รับการถ่ายทอด จากคนรุ่นก่อน เครื่องมือเครื่องใช้แบบง่ายๆ ที่ทำ ขึ้นเองหรือดัดแปลง จากสิ่งของที่หาได้ในหมู่บ้าน และของใช้ในในชีวิตประจำวันตลอดจนของเล่นเด็ก การผลิตส่วนใหญ่เป็นการผลิตตามคำสั่งของพ่อค้า ที่มารับไปจำหน่ายภายนอกหมู่บ้าน และบางส่วน ได้วางขาย ปลีกภายในหมู่บ้านเอง โดยมีการตั้ง กลุ่มเครื่องปั้นดินเผาเพื่อต่อรองราคาในการจำหน่ายด้วย ส่วนการผลิตเครื่องปั้นดินเผาแบบพื้นเมือง โบราณบ้านมะขิงในปัจจุบันมีเหลือเพียง ๓ - ๔ครัวเรือนเท่านั้นจากการสัมภาษณ์นักปั้นหม้อทราบว่าผู้สูงอายุในหมู่บ้าน คือนางเกยูร คล้าขนาวินอายุ ๘๐ ปี บ้านเลขที่ ๕๕ หมู่ที่ ๖ บ้านมะยิงตำบล โพธิ์ทอง ได้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกหลานและสมาชิกในชุมชนแต่ปัจจุบันชรามากแล้ว นางเกยูรเรียนรู้การปั้นหม้อจากมารดาและบิดา
มารคาชื่อนางเลียบ บัวแก้ว เป็นชาวบ้านมะยิง บิดาเป็นชาวมอญ ชื่อนายเหลียนมาจากปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี รู้วิธีการปั้นหม้อเเบบมอญ และ นำเทคนิคการผาและสร้างเตาระบายความร้อนแนวเฉียง(เตานอน) แบบมอญมาปรับใช้แทนเตาเผาแบบเดิมซึ่งเป็นเตาแบบระบายความร้องแนวตั้ง (เตายืนเตากลม) ซึ่งเตานี้พัฒนามาจากการขุดจอมปลวก เข้าไปเพื่อเป็นเตา (เตาปลวก)
ช่างปั้นดินเผาบ้านมะยิง
การผลิตเครื่องปั้นดินเผาแบบพื้นเมืองโบราณบ้านมะยิงในปัจจุบันมีเหลือเพียง ๓ – ๔ ครัวเรือนเท่านั้น ผู้สูงอายุในหมู่บ้าน คือนางเกยูร คล้ายนาวิน อายุ ๘๐ ปี บ้านเลขที่ ๕๕ หมู่ที่ ๖ บ้านมะยิง ตำบลโพธิ์ทอง ได้เป็นผู้ถ่ายทอดความ รู้ให้กับลูกหลานและสมาชิกในชุมชนแต่ปัจจุบัน ชรามากเเล้ว นางเกยูรเรียนรู้การปืนหม้อจากมารดา และบิดา มารดาชื่อ นางเลียบ บัวแก้วเป็นชาวบ้าน มะยิง บิดาเป็นชาวมอญ ชื่อนายเหลียนมาจาก ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รู้วิธีการปั้นหม้อแบบ มอณู และนำเทคนิคการเผาและสร้างเตาระบาย ความร้อนแนวเฉียง (เตานอน) แบบมอญมาปรับใช้ แทนเตาเผาแบบเดิม ซึ่งเป็นเตาแบบระบายความร้อนแนวตั้ง (เตายืน เตากลม) ซึ่งเตานี้พัฒนามาจาก การขุดจอมปลวกเข้าไปเพื่อเป็นเตา (เตาปลวก) ช่างปั้นดินเผาบ้านมะอิงในปัจจุบัน มีทั้งผู้ที่ดำเนิน การผลิตโดยสืบทอดมาจากบรรพบุรุษหลายชั่วอายุสามารถบอกเล่าถึงเทคนิคดั้งเดิม ที่ปีจจุบันสูญหายไปบ้าง และผู้ที่เพิ่งเข้ามาดำเนินการผลิตอย่างจริงจัง ได้นำเทคนิคจากภายนอกเข้ามาประยุกต์ใช้กับแบบดั้งเดิม โดยมีการตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตเครื่องปั้นดินเผา มีช่างปั้นรวมกลุ่มกันหลายคน เพื่อความเข้มแข็งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการจำหน่าย คณะผู้ศึกษาได้ศึกษาค้นคว้าและสัมภายณ์ กระบวนการทำเครื่องปั้นดินเผาบ้านมะยิงกลุ่มของ นางจำเป็น รักษ์เมือง หรือป้าเอียด ประกอบด้วย ช่างปั้น ดังนี้
๑. นางจำเป็น รักษ์เมือง (ป้าเอียด)
เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๖ อาศัยอยู่บ้านเลขที่๑๘ หมู่ที่ ๖ ต.โพธิ์ทอง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช โทรศัพท์๑๗-๒๒๗๐๘๐๑๓ มารดาชื่อนางเข็ม เป็นชาวทุ่งกำ (วัดใหญ่) วัดโมคลาน บิดาชื่อนายเดช รัตนศรีสุข เป็นชาวน้ำไกลโมคลาน เรียนรู้การปั้น หม้อจากบรรพบุรุษ คือ พ่อและแม่
๒. นางภิรมย์ บุญศรี
เกิดเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๐๔ บ้านเลขที่ ๑๘/๒ หมู่ที่ ๖ ต.โพธิ์ทอง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เป็นหลานนางจำเป็น รักษ์เมือง มีความชอบและสนใจการปั้นหม้อ โดยศึกษาเรียนรู้จากแม่เฒ่า -พ่อเฒ่า คือนางเข็ม และนายเดช รัตนศรีสุข และเรียนรู้ฝึกฝนด้วยตนเอง
๓. นางสมพร เสนาะกรรณ
เกิดเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๕๒ บ้านเลขที่ ๑๒๙ หมู่ที่ ๑๒ ต.โมคลาน บิดาชื่อ นายเพ็ง มิถิลา เป็นชาวบ้านมะยิง มารดาชื่อ นางหวล เป็นชาวปากพนัง เรียนรู้การทำเครื่องปั้นดินเผาจากบรรพบุรุษและขณะนี้รวมกลุ่มทำ เครื่องปั้นดินเผากับนางจำเป็น และนางภิรมย์
กระบวนการทำเครื่องปั้นดินเผาบ้านมะยิง
กระบวนการทำเครื่องปั้นดินเผาบ้านมะยิงมี ๔ ขั้นตอน คือ การเตรียมวัตถุดิบ (หรือเตรียมปั้นขึ้นรูป การตกแต่งและการเผา กระบวนการทำเครื่องปั้นดินเผาบ้านมะยิง
๑.การเตรียมดิน และวัตถุดิบ
ช่วงปั้นจะนำพิมเหนียวที่มาเก็บไว้ในไรสรือน โดยใช้พลากหรือก็หรือคือพี่พลุม ให้ก็หัวเร็วเกินไป กระบวนการของการเตรียม การก็จะเริ่มต้นด้วยการย่อยหรือเเซะดิน ผสมกับน้ำและทรายละเอียด และทำการคัดเลือกสิ่งปลอมปนออกด้วย
วิธีการหมักดิน
๑. น้ำใช้ผรมโดยราคละไปไปนมเท่งคืนที่แซะอกกกกกทองหินเห็นเล็กเราทาe วัน หรือ - คืน
๒. ทรายละเอียด ใช้สำหรับรองพื้นเพื่อป้องกันมิให้ดินเหนียวติดก้นหลุมหรือ
๓.ส่วนผสม ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องปั้น และความชื้นของดิน เช่นดินเหนียว จัดทำให้ภาชนะแตกง่ายต้องผสมทรายให้มาก เพราะทรายช่วยให้การขึ้นรูปใด้ดี อัตราส่วน ดิน: ทราย -๘๐ : ๒๐ หรือตามความเหมาะสมของเนื้อดิน
๒. การปั้นขึ้นรูป
การปั้นหรือการขึ้นรูป นับปืนขั้นตอนที่สำคัญขั้นหนึ่งของช่างปั้นหม้อ ผู้ปั้นต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ จึงจะเป็นรูปภาชนะ หรือเครื่องปั้นอื่นที่ต้องการ ใด้อย่างงดงาม และยังขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ระบุคคลด้วย การบันรูปภาขนะต่างๆ ของช่างบ้านมะยิง ใช้วิธีขึ้นรูป 2แบบ คือ
การปั้นขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน (Throming Methed) ซึ่งใช้กับการที่มีขนะที่มีขนาดเล็ก เช่น แจกัน
หม้อแกง กระถางต้นไม้
การปั้นขึ้นรูปแบบขด(Coil Method) เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมาแต่โบราณโดยแพร่หลาย เพราะสามารถสร้างงานเครื่องปั้นดินเผาได้ดีตั้งแต่ขนาคเล็กถึงขนาดใหญ่ แต่ช่างทำเครื่องปั้นดินเผาบ้าน-มะยิงจะใช้กับเครื่องปั้นขนาดใหญ่ เช่น ไห เผล้ง กระถางขนาดใหญ่
๓. ลายและการตกแต่งภาชนะ
หลังจากปั้นรูปภาชนะได้ตามต้องการแล้ว ขั้นต่อไปคือการทิ้งไว้ให้เนื้อดินแห้งหมาด มีแสงแดดก็จะเอาไปผึ่งเเดด แต่ถ้าไม่มีก็ทิ้งไว้ในที่ร่ม ถ้าเป็นภาชนะที่ต้องผ่านการตกแต่งก่อน จึงจะได้ รูปทรงเรียบร้อย เช่น หม้อ หรือเผล้ง จะผ่านการตากลาย ๒ ครั้ง จึงจะเอาเข้าเตาเผาได้
๔. การเผา
การเผาเครื่องปั้นดินเผาบ้านมะยิง ยังเป็นการเผาดิบมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่ ปรากฏการเผาเคลือบแต่อย่างใด ก่อนทำการเผา จะต้องมีการเซ่นสังเวยเตาเผาด้วย เพราะมีความเชื่อกันว่าการเซ่นสังเวยจะช่วยให้ผลงานที่ได้สมบูรณ์ไม่เสียหาย หลังจากทำการเผาประมาณ ๔ - ๕ วัน และมั่นใจ แล้วว่าเครื่องปั้นในเตาสุกดีแล้ว ผู้เผาจะปิดช่องไฟ ทุกช่องทิ้งไว้ประมาณ ๑๐ - ๑๒ ชั่วโมง(๑ คืน) แล้วจึงเปิดช่องไฟทุกช่องออก ทิ้งไว้ประมาณ ๒๕ ชั่วโมง (๑ วัน) เเล้วจึงค่อยลำเลียงเครื่องปั้น ออกจากเตาคัดเลือกและแยกประเภทของเครื่องปั้น นำเก็บไว้ในที่ที่ไม่โดนแดดโดนฝน ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้สีของเครื่องปั้นจางและกันความสกปรก รอการลำเลียงส่งออกสู่ตลาดต่อไป
อย่างไรก็ตาม เนื้อดินปั้นของบ้านมะยิง มี เม็ดกรวดค่อนข้างมาก แม้ว่าจะสามารถขึ้นรูปได้ดี
แต่เมื่อเผาที่อุณหภูมิสูงเม็ดกรวคอาจจะเกิดการ ปูดบวมทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่สวยงาม การคัดขนาด อนุภาค จะช่วยลดปัญหานี้ได้ แต่อาจจะทำให้เกิดปัญหาด้านการขึ้นรูป และความแข็งแรงตามมา(ปัจจุบันชาวบ้านมีการร่อนดินเพื่อคัดขนาดอนุภาคอยู่แล้วแต่จะใช้เฉพาะกับการปั้นผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กเท่านั้น) ดังนั้นแนวทางที่เป็นไปได้ในการปรับปรุงเนื้อดินปั้นคือการร่อนขนาดดิน และผสมวัตถุดิบที่ไม่มีความเหนียว เช่น ทราย ดินเผา(grog) เพื่อลดความเหนียวสามารถขึ้นรูปได้ง่าย
รูปแบบผลิตภัณฑ์
จากการศึกษาเครื่องปืนดินตากบ้านมะถึง มุ่งที่จะทราบกระบวนการผลิต ประเภท ชนิด ลักษณะ
รูปแบบและประโยชน์ใช้สอย ลายและการสร้างลายโดยมุ่งเน้นศึกษากระบวนการผลิตเป็นสำคัญ ในอดีต
ผลิตแต่หม้อหุงข้าว หม้อใส่น้ำ หม้อต้มมยา แต่ปัจจุบันมีภาชนะรูปแบบอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นขึ้น และยังผลิต
รูปแบบอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้น และยังผลิตรูปแบบต่างๆ ตามใบสั่งด้วย ปัจจุบันรูปแบบเครื่องปั้นดินเผาที่นิยม
ผลิตที่บ้านมะยิงประกอบด้วย หม้อ กระถางต้นไม้และสวดดังนี้
๑. หม้อ ประกอบด้วย หม้อหุงข้าวหม้อใส่น้ำ หม้อต้มยา
๒. กระถางต้นไม้
๓. แจกัน
๔. เผล้งเครื่องปั้นดินเผาบ้านมะยิง
๕. อ่าง
๖. ภาชนะสำหรับเด็กเล่น ฯลฯ
๗. หม้อมี ๓ ชนิดคือ หม้อหุงข้าว หม้อใส่น้ำ หม้อต้มยาสมุนไพร มี 3ขนาดคือ ใหญ่ กลาง เล็ก
๘.กระถางต้นไม้ กระถางต้นไม้บ้านมะยิงมี 2ชนิดคิอ กระถางตั้งและกระถางแขวน กระถางตั้งมีหลายขนาด แยกเป็นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก
๙. แจกัน แจกันแบ่งตามรูป แบบมี ๒ แบบ คือแจกันรูปแบบธรรมดา และและแจกันทรงสูง
ตกแต่งลวดลายประณีต มีหลายขนาด
๑๐. เผล้ง มี ๒ ชนิดคือมีผ่าและไม่มีฝาแบ่งเป็นเผล้งน้ำดื่ม น้ำใช้ เผล้งขนมหวาน เผล้งน้ำยาขนมจีน มีหลายขนาดตามประโยชน์ของการใช้งาน มีฝาปิด และไม่มีฝาปิด ชนิดมีฝาปิดช่วงปากปากจะสูงกว่าชนิดในมีฝาปิด และป่องออกเพื่อรองรับฝ่าปิด มีการดีลายรอบนอก ข้างในเรียบ
๕.สวด (หวด) หม้อสวดใช้นึ่งข้าวเหนียว กำหนดขนาดตามประโยชน์ใช้สอย คือ ขนาดเล็ก ใหญ่ สวดแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนล่าง มีลักษณะคล้ายตัวเผล้ง มีการตี ลาย
๖. อ่าง และภาชนะตกแต่งสวน ลักษณะทั่วไป ตัวอ่างเตี้ยผิวนอกเรียบตกแต่งลายผิวในขัดเรียบ ขอบปากนะข้างในกลางก้นนูนขึ้นช
๗.สำหรับภาชนะเด็กเล่น และผลิตภัณฑ์อื่นๆ นอกเหนือจากเพื่อใช้สอยแล้วบ้านมะยังผลิตของของเล่นเด็ก จะเป็นลักษณะย่อส่วนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นรางขนมครก อุปกรณ์เครื่องครัว พวกหม้อต่างๆ เตาหุงข้าวแบ่งเป็นชุดๆ สำหรับเด็กเล่น นอกจากนี้ก็ยังผลิตของที่ระลึกของประดับตกแต่ง ตามที่ผู้ว่าจ้าง เช่นพระพุทธรูปต่างๆ
อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ปัจจุบัน ควรจะมีการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ให้มีความหลากหลายและตรงใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เนื่องจากของที่ทำอยู่เดิมถึงแม้จะมีความหลากหลายแต่รูปแบบยังขาดความสนใจ เเละขาดกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจน โดยเฉพาะสินค้าในประเภทกระถางและแจกัน เพราะคนในละแวกนี้ล้วนเริ่มรู้จักว่าที่บ้าน มะยิงปัจจุบันผลิตสินค้าประเภทนี้ ควรหันกลับมาทำภาชนะผลิตภัณฑ์เพื่อการอนุรักษ์ เช่น เผลิ้ง เนียง และออม แต่จุดประสงค์ในการทำมิใช่เพื่อการใช้งาน หากแต่เป็นของที่ระลึก ของฝากและ ใช้ตกแต่ง ส่วนประโยชน์ใช้สอยเดิมให้เป็นรองไปควรจะมีการส่งเสริมในเรื่องการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อช่วยส่งเสริมการขายด้วย
ผู้เขียน : นางสาวอุไรวรรณ แดงงาม นักวิชาการวัฒนธรรม ๗ ว. กลุ่มแผนงาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช .หนังสือสารนครศรีธรรมราช ฉบับพิเศษ เดือนสิบ’๕๑
10 มิถุนายน, 2568
ตำนาน / ประวัติ ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์
ในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี สมเด็จพะโค๊ะเจ้า ได้เสด็จจาริกธุดงค์ และมาปักกรด ณ วัดแห่งหนึ่ง ณ เมืองอลอง (ต.ฉลอง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ในปัจจุบัน) ซึ่งตามบันทึกของประวัติเมืองอลอง (ALONG) (ชื่อตามแผนที่เดินเรือสินค้าของโปรตุเกตได้บันทึกไว้) เมื่อพระสมเด็จเสด็จออกจากวัดไป ทางชาวบ้านละแวกนี้ ได้สร้างเจดีย์ครอบที่ปักกรดเอาไว้เพื่อสักการะบูชา และได้เรียกขานวัดแห่งนี้ว่าวัดโพธิ์เสด็จ และชุมชนโพธิ์เสด็จ ตามนิมิตหมายที่ดีว่ามีสมเด็จพะโค๊ะเจ้า ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระโพธิ์สัตว์เสด็จมา
เด็กวัดตามคำบอกเล่ามีสองนัยยะ ว่าเป็นเด็กวัดโพธิ์เสด็จ หรืออาจจะเป็นเด็กที่ติดตามสมเด็จพะโค๊ะเจ้ามา โดยเด็กวัดมีหน้าที่คอยปรนนิบัติรับใช้ดูแลสมเด็จพะโค๊ะเจ้า และเมื่อสมเด็จพะโค๊ะเจ้า จะออกเดินทางจาริกธุดงค์ต่อ เด็กวัดก็ขอติดตามไปด้วย แต่สมเด็จพะโค๊ะเจ้า บอกว่าให้อยู่เฝ้าวัดแห่งนี้ ซึ่งเด็กวัดเลยตกปากรับคำว่าจะอยู่เฝ้าวัดแห่งนี้ ไม่ไปไหน จนจบอายุไขโดยไม่ระบุสาเหตุ
เด็กวัด แม้ร่างจะสลายไปแล้วแต่ยังคงเหลือจิตวิญญาณ คอยหวงแหนดูแลวัด ไม่ยอมไปไหน บางครั้งผู้คนที่คิดมิดีมิร้ายทำลายวัดร้าง ที่มาขุดเจาะเพื่อปรารถนาหาของมีค่าเด็กวัดก็จะปรากฏกายให้เห็น จนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ถึงกับไข้จับสั่นผมเผ้าหลุดหัวโขนก็มี แต่จะคอยช่วยเหลือผู้ศรัทธาที่มาบนบานศาลกล่าวขอความช่วยเหลือยามเดือดร้อน เช่น ของหาย สัตว์เลี้ยงสูญหาย เฝ้าหนู ค้างคาวตามเรือกสวนไร่นาไม่ให้มากัดกินพืชผล ซึ่งผู้ศรัทธาที่ได้บนบานเอาไว้ ก็จะมาแก้บนให้ตามสัญญา สำหรับของแก้บนที่เห็นในสมัยนั้นส่วนมากจะมีธงสามสีถวายท่านพระพุทธพ่อท่านเจ้าวัด และ ปางนู (หนังสติ๊ก) ให้เด็กวัด
อีกหนึ่งตำนาน กล่าวไว้ว่า ย้อนกลับไปยังสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย หลวงพ่อทวด พระเถระผู้เปี่ยมด้วยญาณบารมี ได้เดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยา ในการนั้นท่านได้นำพาเด็กชายผู้หนึ่ง อายุราว ๙ ถึง ๑๐ ขวบ มาด้วย หมายใจให้คอยปรนนิบัติรับใช้ เมื่อเดินทางมาถึงยังฐานถิ่นวัดเจดีย์ ก็หยุดรั้งรอหมายพบเจอสหธรรมิก ครั้งศึกษาพระธรรมยังเมืองนครศรีธรรมราช นามว่า ขรัวทอง ผู้เป็นสมภารวัด หมายสนทนาพาทีด้วยจิตอันเป็นไมตรีต่อกัน ดังมีหลักฐานนามถิ่น บ้านโพธิ์เสด็จ ไว้เป็นประจักษ์พยานว่า กาลหนึ่งพระโพธิญาณ (หลวงพ่อทวด) ได้เดินทางมายังธรรมสถานแห่งนี้ ด้วยญาณแห่งพระผู้มีบารมี จึงรับรู้ได้ว่าในภายภาคหน้า สถานที่แห่งนี้จะเป็นหลักสำคัญแห่งพระพุทธศาสนา จึงบอกเด็กชายผู้คอยติดตามว่า “เจ้าจงอยู่ที่นี้เถิด จะก่อเกิดผลดีศรีสดใส ในภายภาคหน้านั้นต่อไป จะเป็นหลักชัยในทางธรรม” เด็กชายรับปากพระอาจารย์ แล้วตั้งสัตย์ปฏิญาณ ตามพระอาจารย์สั่ง หลวงพ่อทวด จึงฝากเด็กชายไว้กับ ขรัวทอง เด็กชายกลายเป็นเด็กวัดเจดีย์ คอยอยู่รับใช้สมภาร และดูแลวัดเจดีย์ ดังในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ได้กล่าวถึง เหตุการณ์ครั้นเจ้าพระยาคืนเมือง มีท้องตรามายังเมือง “อลอง” (ต.ฉลอง ในปัจจุบัน) มีบันทึกว่า “มาถึงเมืองอลอง แวะพักหนึ่งคืน นมัสการสมภารทอง มีศิษย์เกะกะชื่อไอ้ไข่เด็กวัด..” แต่ถึงจะเป็นเด็กเกะกะซุกซน แต่เด็กชายก็เปี่ยมด้วยอนุภาพพิเศษ แปลกแตกต่างจากเด็กทั่วไป ชอบช่วยเหลือผู้คน หากใครมีปัญหาที่หมดปัญญาที่จะแก้ไข เป็นต้องมาออกปาก (ไหว้วาน) ทุกคราไป จึงไม่มีใครเกียดชังถึงจะซุกซนเกเร ด้วยเป็นเด็กที่จริงจัง ทั้งวาจา และจิตใจ รับปากใครแล้วเป็นต้องทำให้ได้ ถึงจะเป็นอันตรายก็ตาม ว่ากันว่าควายตัวไหนพยศ หากเด็กวัดจับหางติดจะไม่ปล่อยเป็นเด็ดขาด ถึงควายจะวิ่งอย่างไร จนควายตัวนั้นต้องละพยศหมดฤทธิ์ เมื่อเวลาล่วงผ่านไป ด้วยจิตอันแสดงถึงอนุภาพพิเศษ ก็รับรู้ได้ว่าพระอาจารย์ (หลวงพ่อทวด) กำลังจะเดินทางกลับจากกรุงศรีอยุธยา ด้วยกลัวว่าหากพระอาจารย์กลับมาถึง จะนำพาตนกลับสู่ถิ่นฐานที่จากมา ด้วยคำสั่งของพระอาจารย์ที่สั่งให้เฝ้า และดูแลรักษาวัดเจดีย์ และด้วยสัจจะวาจาที่ได้ให้ไว้ เด็กชายจึงเดินลงสระน้ำภายในวัด เป็นการปลดชีวิตตัวเอง ตามภาษาทางศาสตร์ เรียก การเสด็จ หมายสละร่างเหลือไว้แต่ดวงจิตวิญญาณ ไว้คอยปกปักษ์รักษาวัดเจดีย์ สืบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ตำนาน ไอ้ไข่ ศิษย์ หลวงพ่อทวด จาก ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช ชาวชุมชนวัดเจดีย์ และใกล้เคียง นับถือเคารพ “ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์” ตั้งแต่สมัยบรรพชน สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น นับย้อนหลังไปเป็นเวลาหลายร้อยปี โดยถือว่า “ไอ้ไข่” คือ วิญญาณของเด็กศักดิ์สิทธิ์ ที่คอยช่วยเหลือชาวชุมชน และดูแลปกปักษ์รักษาวัดเจดีย์ ไม่ได้มีการสืบค้น หรือมีการกล่าวถึงตำนาน แต่นับถือกันอย่างนั้นมา จนวันหนึ่งได้เกิด ตำนาน ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ ศิษย์ หลวงพ่อทวด จากบุคคลสำคัญ นั่นก็คือ จอมขมังเวทย์แห่งเมืองนครศรีธรรมราช ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช ที่ได้รับฟังถ้อยคำจาก หลวงพ่อทวด ผ่านร่างทรง เมื่อครั้งสมัยจัดสร้าง เหรียญหลวงพ่อทวด เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ (เนื่องจาก ท่านขุนพันธ์ เป็นผู้มีส่วนร่วมในการจัดสร้างพระชุดนั้นด้วย) หลวงพ่อทวด ถามผ่านร่างทรงว่า ท่านมาจากนครศรีธรรมราช ท่านรู้จักลูกศิษย์เราหรือไม่ เป็นเด็กวัดอยู่ทางทิศเหนือ ของนครศรีธรรมราช ท่านขุนพันธ์ จึงสืบหาจนมาประสบพบเจอ กับ ผู้ใหญ่เที่ยง เมืองอินทร์ จนได้นับถือเป็นสหาย แลกเปลี่ยนสายวิชากัน ด้วย ผู้ใหญ่เที่ยง เองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง และรู้จัก “ไอ้ไข่” เป็นอย่างดี ท่านขุนพันธ์ จึงได้เจอ กับ ลูกศิษย์หลวงพ่อทวด ที่วัดเจดีย์ นามว่า “ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์” ตามคำบอกกล่าวของ หลวงพ่อทวด ผ่านร่างทรง ซึ่งเป็น “ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์” ที่บรรพบุรุษชาวชุมชนวัดเจดีย์ นับถือสืบกันมา และ ท่านขุนพันธ์ เองก็ได้สืบค้นศึกษา จนกลายมาเป็นตำนาน ไอ้ไข่ ศิษย์ หลวงพ่อทวด และได้ยึดถือตำนานนี้บอกเล่าสืบต่อกันมาจึงถือว่า ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช คือ ผู้สืบค้นตำนานนี้เป็นคนแรก
ฐมบท พ่อท่านเจ้าวัด กับ เด็กวัด จากบันทึก และคำบอกเล่า เห็นเด็กเปลื้องผ้าวิ่งเข้าออกในพระพุทธโบราณ นามเรียกว่า พ่อท่านเจ้าวัด จนเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านละแวกวัดเจดีย์ และบนบานศาลกล่าวกันว่า พ่อท่านเจ้าวัด และ เด็กวัด (ตามด้วยเรื่องที่บนบาน หรือเรื่องที่ขอให้ช่วยเหลือ) ด้วยแต่ก่อนท้องถิ่นแห่งนี้ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เมื่อวัวใครหาย ควายใครสูญ ก็จะบนบาน เด็กวัด ให้ช่วยทุกคราไป ในสมัยนั้นวัดเจดีย์ยังคงสภาพวัดร้าง เป็นป่ารกชัน ชาวบ้านก็ได้แต่เอ่ยชื่อ ไม่ได้มีรูปเคารพแม้แต่อย่างใด เมื่อสิ่งที่ขอ หรือบนบานสำเร็จ ก็จะแก้บนด้วยธงทิว ถวาย พ่อท่านเจ้าวัด ปางหนังสติ๊ก ถวาย เด็กวัด จนล่วงผ่านสมัยมาถึงยุคของ ผู้ใหญ่เที่ยง เมืองอินทร์ ฉายา เที่ยง หักเหล็ก จอมขมังเวทย์แห่งตำบลฉลอง มีวิชาโดดเด่นทางด้านการหักเหล็กด้วยมือเปล่า อีกทั้งยังมีวิชาไสยเวทย์อีกมากมาย ได้แกะรูปเคารพเป็นรูปร่างเด็กชาย ด้วยไม้ทองหลางไว้ให้ชาวบ้านได้กราบไว้บูชา และแก้บน ด้วยไม้ทองหลางเป็นไม้เนื้ออ่อน รูปเคารพ เด็กวัด จึงผุพังไปตามกาลเวลา
ด้วยความชราภาพ ผู้ใหญ่เที่ยง ก็เว้นจากการแกะไม้รูปใหม่ จนอยู่มาคืนหนึ่ง ผู้ใหญ่เที่ยง ได้ฝันไปว่ามีเด็กแก้ผ้ามาบอกในความฝัน “ช่วยแกะไม้ใหม่ให้เราหน่อย” ในความฝัน ผู้ใหญ่เที่ยง ได้ถามไปว่า “นั่นใครละที่มาบอกให้ช่วยแกะไม้ให้” เด็กแก้ผ้าตอบมาว่า “ เราคือไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์” ผู้ใหญ่เที่ยง จึงไปนำไม้ตะเคียนคู่ (ตะเคียนขาเกียบ) บริเวณวัดพระโอน (วัดร้างใกล้บ้าน) มาแกะขึ้นรูปเป็นรูปเด็กแก้ผ้า มือขวากำมัดยกขึ้นวางตรงหน้าอก มือซ้ายถึงมือแนบลำตัว เสร็จแล้วก็นำใส่รถเข็น นำมาไว้ที่วัดเจดีย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ (เริ่มแกะ ตอนปลาย พ.ศ. ๒๕๒๔) และได้ปรึกษา พ่อท่านเทิ่ม (เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ ในสมัยนั้น) ว่าน่าจะตั้งชื่อให้ เด็กวัด ได้มีชื่อมีนามเรียกกัน พ่อท่านเทิ่ม จึงถามว่า จะให้ชื่ออะไรดี ผู้ใหญ่เที่ยง จึงบอกไปว่าให้เรียก ไอ้ไข่ จากนั้นเป็นต้นมา เด็กวัด ก็เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ ตราบจนปัจจุบันนี้ และได้ประกอบพิธีเรียกรูปเรียกนาม เรียกดวงจิตวิญญาณมาสถิตย์ โดย ผู้ใหญ่เที่ยง ในคราวเดียวกับ การปลุกเสกเหรียญ “ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์” (รุ่นแรก) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖
ด้วยบารมี ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ จากวัดร้างห่างผู้คน สู่วัดที่มีความเจริญรุ่งเรือง จากศรัทธาท้องถิ่น สู่ศรัทธามหาชน จากเทพประจำถิ่น สู่เทพระดับนานาชาติ ก็ด้วยบารมี ของ ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ จากเด็กไล่วัว หาควายหาย ของคนในท้องถิ่น มาเป็นเทพผู้ให้ความช่วยเหลือ มนุษย์ผู้ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์จากทั่วสารทิศ ทั้งในประเทศ รวมถึงจากต่างชาติ ต่างแดน ยังมาขอพึ่งบารมีของเด็กวัดผู้นี้ ตั้งแต่ก่อนมาจนถึงทุกวันนี้ ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ ได้ผ่านกาลสมัยมาเป็นหลายร้อยปี กลายเป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอันดีงาม ของชาวชุมชน ต.ฉลอง และพื้นที่ใกล้เคียง ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ ได้ฝังอยู่ในรากเหง้า เปรียบเสมือนบรรพบุรุษของชาวชุมชน ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ ไม่เลือกชนชั้น ไม่เลือกวรรณะ ไม่ว่าคุณคือใคร ขอแค่คุณบอกกล่าวมา ขอแค่คุณมีจิตอันเป็นศรัทธา ขอแค่คุณเป็นผู้ปฏิบัติดี บารมี ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ พร้อมที่จะคุ้มครอง พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกผู้ทุกคน ดังนิยามที่เรียกขานกันว่า ขอได้ ไหว้รับ ดังจะเห็นประจักษ์พยานได้จาก การพัฒนาวัด ทั้งการสร้างอุโบสถ วิหาร เสนาสนะ พัฒนาสาธารณูปโภค การขยายที่ดิน เพื่ออำนวยความสะดวก เพื่อต้อนรับผู้มีจิตศรัทธาที่เดินทางมากราบไหว้ ขอพร จากทั่วทุกมุมของประเทศ อีกยังสร้างรายได้ให้ชาวชุมชน ตลอดถึงจังหวัดนครศรีธรรมราช กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยงทางด้านความเชื่อความศรัทธาสำคัญ อีกแห่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช รวมถึงสิ่งที่แสดงให้เป็นถึงพลังศรัทธาสาธุชน อย่างเช่น กองประทัดกองใหญ่ ไก่เต็มลานวัด เสียงประทัดสนั่นทั้งวัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ล้วนก่อเกิดมาจาก พลังศรัทธา ของผู้ศรัทธาที่มีต่อ เด็กชาย ผู้คอยดูแล ปกปักษ์รักษาวัดเจดีย์ จากอดีตกาล จนถึงปัจจุบัน เด็กน้อยผู้มีแต่ความเมตตา เด็กน้อยผู้รักษาสัจจะวาจา นามว่า ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ แทบทั้งสิ้น
อ๊อด ตามพรลิงค์ : เรียบเรียง
วัดธาตุน้อย จังหวัดนครศรีธรรมราช
วัดธาตุน้อย เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลหลักช้าง อำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
วัดธาตุน้อย หรือ วัดพระธาตุน้อย ตั้งขึ้นโดยความประสงค์ของพ่อท่านคล้าย (พระครูพิศิษฐ์อรรถการ)
ซึ่งท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดธาตุน้อยเมื่อ พ.ศ. 2500 หลังจากที่มีการสร้างถนนผ่านกลางวัดจันดี ทำให้วัดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ประชาชนได้ประชุมตกลงสร้างวัดใหม่ในเนื้อที่ที่แยกออกไป เรียกว่า "วัดธาตุน้อย" โดยพ่อท่านคล้ายได้มาเป็นเจ้าอาวาสและพัฒนาวัดให้เจริญงอกงามสืบต่อมา ช่วงบั้นปลายชีวิตของพ่อท่านคล้ายเมื่อ พ.ศ. 2505 ท่านได้วางศิลาฤกษ์สร้างพระเจดีย์วัดธาตุน้อยเพื่อบรรจุพระธาตุที่ได้จากกว๊านพะเยาเพื่อเป็นพุทธบูชาและเป็นที่กราบไหว้บูชาของชาวนครศรีธรรมราช วัดธาตุน้อยมีเนื้อที่ 46 ไร่ สร้างขึ้นบนที่ดินซึ่งนายกลับ งามพร้อม ถวายแด่พ่อท่านคล้าย
วัดตั้งเมื่อเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2520 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2522 พ่อท่านคล้าย (พระครูพิศิษฐ์อรรถการ) พระเกจิอาจารย์ที่ชาวใต้เลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงยิ่งรูปหนึ่ง ซึ่งศิษย์ยานุศิษย์และประชาชน ที่เคารพนับถือ ศรัทธา พ่อท่านคล้ายได้เชื่อถือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวาจา พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น ท่านมักจะให้พรกับทุกคน ขอให้ เป็นสุข เป็นสุข พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ ได้ชื่อว่า”เป็นเทวดาเมืองคอน เทพเจ้า แห่งแดนใต้” ชาวเมืองคอนเสื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูง ประชาชนชาวนครศรีธรรมราชและจังหวัดใกล้เคียงต่างเคารพนับถือศรัทธาและเชื่อถือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวาจาท่าน โดยพ่อท่านคล้ายจะพูดจากับทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์เยือกเย็นอยู่เสมอ ท่านมักจะให้พรกับทุกคนว่า "ขอให้เป็นสุข เป็นสุข" อีกทั้งและผู้ที่เคารพนับถือท่านต่างพากันกลัวคำตำหนิ เพราะเกรงว่าจะเป็นไปตามที่ท่านพูด
พ่อท่านคล้ายได้มรณภาพไปแล้วกว่า50 ปี แต่สรีระสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย และยังคงเก็บรักษาไว้ในองค์เจดีย์วัดธาตุน้อย อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช ประดิษฐานพระเจดีย์พระสารีริกธาตุและสรีระสังขารพ่อท่านคล้าย ในโลงแก้วประดิษฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์ปัจจุบันสรีระ พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ ณ สถานที่นี้ จึงเป็นเจดีย์อนุสรณ์สถานพ่อท่านคล้ายอีกด้วย สังขาร พ่อท่านคล้ายซึ่งว่ากันว่าแข็งเป็นหิน ที่ชาวบ้านนับถือและศรัทธาด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้ผู้คนหลั่งไหล เข้ามาสักการะบูชากันมากยิ่งขึ้น
สำหรับประวัติของพ่อท่านคล้ายหรือพระครูพิศิษฐ์อรรถการ เดิมชื่อคล้าย สีนิล บิดาชื่ออินทร์ มารดาชื่อเนี้ยว เกิดที่บ้านทุ่งหราด ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันอังคาร ขึ้น10 ค่ำ เดือน4 ปีจอ ใน พ.ศ.2417 ตรงกับรัชกาลที่ ๕ แห่งราชจักรีวงศ์
เมื่อยังเยาว์ พ่อท่านคล้ายได้ศึกษาอักษรสมัย ทั้งไทยและขอม เก่งวิชาคณิตศาสตร์ มีนิสัยอ่อนโยน พูดจาไพเราะ เมื่ออายุได้ประมาณ16 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดจันดี (วัดทุ่งปอน) เป็นเวลา 2 ปีต่อมาเมื่ออายุประมาณ20 ปี ได้เข้าอุปสมบท ณ อุทกสีมา วัดวังม่วง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับฉายาว่า "จันทสุวัณโณ" และอยู่จำพรรษาที่วัดจันดี ในระหว่างนี้พ่อท่านคล้ายได้ศึกษาพระอภิธรรม วิปัสสนา และบาลีจากสำนักต่างๆ มีความรู้ความสามารถเป็นคณาจารย์ต่อมา
ใน พ.ศ.2448 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขัน อำเภอฉวาง และใน พ.ศ.2492 ท่านได้รับพระราชสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร พัดพิเศษ/จ.ป.ร. และต่อมา พ.ศ.2500 ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นพิเศษฝ่ายวิปัสสนา และในปีดังกล่าวท่านยังได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดธาตุน้อย เนื่องจากมีการสร้างถนนผ่านกลางวัดจันดี ทำให้วัดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ประชาชนได้ประชุมตกลงสร้างวัดใหม่ในเนื้อที่ที่แยกออกไป เรียกว่า "วัดธาตุน้อย" โดยพ่อท่านคล้ายได้มาเป็นเจ้าอาวาสและพัฒนาวัดให้เจริญงอกงามสืบต่อมา
พ่อท่านคล้ายได้ถึงแก่กาลมรณภาพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2513 สิริรวมอายุ96 ปี พรรษา75 โดยช่วงเวลายาวนานที่ท่านได้อยู่ในร่มกาสาวพัตร์นั้น ท่านได้บำเพ็ญสาธารณกุศลและสาธารณะประโยชน์มากมายคือ สร้างเจดีย์ สถูป และมณฑป11 องค์ สร้างโบสถ์และบูรณะโบสถ์ 14 หลัง สร้างถนนรวม9 สาย สร้างสะพาน15 แห่งสร้างวัด3 วัด และบูรณะวัดต่างๆ อีกหลายวัด สร้างโรงเรียน สำนักศึกษา วิหาร หอไตร ศาลา กุฏิ บ่อน้ำ สระน้ำอีกมากมาย และช่วงบั้นปลายชีวิตของพ่อท่านคล้ายเมื่อ พ.ศ.2505 ท่านได้วางศิลาฤกษ์สร้างพระเจดีย์วัดธาตุน้อยเพื่อบรรจุพระธาตุที่ได้จากกว๊านพะเยาเพื่อเป็นพุทธบูชาและเป็นที่กราบไหว้บูชาของชาวนครศรีธรรมราช ท่านได้พัฒนาหลายสิ่งหลายอย่างในท้องถิ่นให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข จนชาวนครฯต่างขนานนามท่านว่า "เทวดาเมืองคอน"
เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว สังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย ทางวัดจึงได้นำสรีระของท่านบรรจุไว้ในโลงแก้ว และประดิษฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์วัดธาตุน้อย ชาวบ้านนับถือและศรัทธาท่านจึงหลั่งไหลเข้ามาสักการบูชากันมากยิ่งขึ้น
วัดธาตุน้อย มีรูปทรงสถาปัตยกรรมองค์เจดีย์สีขาวที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับเจดีย์พระบรมธาตุเมืองนคร
ซึ่งเป็นต้นแบบการก่อสร้างเจดีย์ของวัดธาตุน้อย องค์เจดีย์ตั้งอยู่บนฐานอาคาร 2 ชั้น โดยชั้นบนสุดภายในองค์เจดีย์จะเป็นที่ประดิษฐานสรีระของพ่อท่านคล้ายในโลงแก้ว ในช่วงที่โรคโควิด-19 ยังไม่ระบาด จะมีผู้มากราบไหว้บูชาระลึกถึงท่านและปิดทองที่รูปภาพของท่านเป็นจำนวนมากอยู่เสมอ
ภายในวัดบริเวณด้านข้างองค์เจดีย์ยังเป็นที่ประดิษฐานพระนอนกลางแจ้งขนาดใหญ่สร้างด้วยปูนปั้น ว่ากันว่าเป็นรูปปั้นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในนครศรีธรรมราชก็ว่าได้
นอกจากนั้น ทางวัดยังได้จัดสร้างรูปปั้นพ่อท่านคล้ายขนาดใหญ่ ในอิริยาบถนั่งพรมน้ำมนต์ให้ศิษยานุศิษย์ และมีละอองสายน้ำเย็นฉีดพรมลงมาจริงๆ เป็นดังน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่พ่อท่านคล้ายได้ประพรมให้แก่ทุกๆ คนที่ได้มาเยือนวัดธาตุน้อยแห่งนี้ให้เกิดเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวสืบไป
สืบค้นข้อมูล
https://th.wikipedia.org/
https://mgronline.com/
08 มิถุนายน, 2568
ประวัติวัดหมื่นระงับรังสรรค์
วัดหมื่นระงับรังสรรค์ หรือ วัดหมื่นส่อง เดิม ชื่อ วัดระงับประชาสรรค์ สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่ หมู่ที่ ๙ ตำบลชะอวด อำเภอขะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เหตุที่ชื่อเช่นนี้ก็เพราะ "หมื่นระชับทารุณกรรม ผู้สามี และนางฮ่อง ชุมพูนุธ" ภรรยา อุทิศที่ดินสร้างวัดในพระพุทธศาสนา ปี พ.ศ.๒๔๙๙ หรือเมื่อปี มาแล้ว โดยมีชื่อทางการว่า "วัดหมื่นระงับรังสรรค์" แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียก "วัดหมื่นส่อง" โดยนำเอาศักติของสามี คือ “หมื่น”และชื่อ ภรรยา คือ “ส่อง” ผู้บริจาครวมกันเป็นชื่อวัด
เหตุที่นำประวัดนี้มาเขียนรวบรวม เห็นว่าเป็นเรื่องแปลก ที่ผู้ก่อตั้งเป็นมุสลิมนับกับถือศาสมอิสลามอย่างเคร่งครัด แต่ได้สละที่ดินถึง ๒๐ ไร่ ทั้งกับยังให้การอุปถัมภ์ค้ำจุนวัดมาตลอดชีวิต จึงถือว่าประวัติและที่มาของวัดหมื่นระงับรังศรรค์ไม่ธรรมดา เป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่าศึกษายิ่ง ดังผู้รวบรวมขอนำเสนอต่อไปนี้
ขอย้อนเวลาไปในสมัย รัชกาลที่ ๒ คือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ. ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗)
ประวัติศาสตร์ไทย บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า พระยาไทรบุรี(ปะแงรัน) ไม่ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามกำหนด
และไปสมคบกับพม่า วางแผนคิดจะยกกองทัพมาตีไทย โดยการสนับสนุนจากอังกฤษ รัชกาลที่ ๒ จึงมีตราลง
มายังเมืองนครศรีธรรมราธ ให้เจ้าพระยานครฯ (น้อย)ยกทัพไปปราบและนำตัวพระยาไทรบุรี มาลงโทษให้จงได้
ครั้นในปี พ.ศ. ๒๓๖๕ เจ้าพระยานครฯ (น้อย)เตรียมกำลังพล ๗,๐๐๐ คน พร้อมด้วยกองทัพ พัทลุง
และสงขลา ให้พระยามหาจัตุรงค์ เป็นทัพหน้า พระยาณรงค์วิชิต เป็นทัพหลวง และหลวงเทพเสนา
หลวงชาญพลรบ เป็นทัพหลัง ยกไปตีเมืองไทรบุรี พระยาไทรบุรี ปะแงรัน ทราบข่าวศึก จึงรีบนำครอบครัว
อพยพหนีไปพึ่งอังกฤษที่เกาะหมาก ทัพนครฯ เข้าเมืองไทรบุรี ได้เก็บทรัพย์สิน และกวาดต้อนเอาครอบครัว
ชาวไหรบุรี มาไว้ที่นครฯ บ้าง พัทลุงและสงขลาบ้าง
และต่อมาเกือบศตวรรษ ครอบครัวชาวไทรบุรีที่กวาดต้อนมาไว้ในนครศรีธรรมราย โดยเฉพาะที่บ้าน
มะม่วงสองต้น ครั้งนั้นให้กำเนิด บุตรธิดา หลาน เหลนจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือ เด็กชายอาจ ชุมพูนุข
รวมอยู่ด้วย
เด็กชาย อาจ ชุมพูนุช เกิดเมื่อ พ.ศ.ศ.๒๔๒๙ ก่อน ขุนพันธรักษ์ราชเดช ๑๗ ปี ที่บ้านมะม่วงสองต้น
อำเภอเมือง นครศรีธรรมราช มีบิดา มารดา และพี่สาวหนึ่งคน แต่ทั้งหมดไม่ทราบชื่อ เด็กชายอาจ ตอนเล็ก
ไปเรียนหนังสือภาษายาวี ศึกษาหลักศาสนาอิสลามที่ปอเนาะ และมัสยิดแถวสี่แยกตลาดแขกในเมืองนครฯ
จนโตเป็นหนุ่ม เป็นเหตุให้เด็กชายอาจ อ่าน เขียนหนังสือไทยไม่ได้ เพียงแต่เขียนชื่อ และนามสกุลตนเอง
ได้เท่านั้น
ในปี พ.ศ.๒๔๕๑ เด็กชายอาจ ชุมพูนุช อายุ ๒๒๒ ปี ทางการมณฑลนครศรีธรรมราช เรียกตัด
เข้าไปเป็นตำรวจเกณฑ์ ประจำอยู่ในเมืองนครฯ เมื่อครบกำหนด นายอาจก็สมัครใจเป็นตำรวจต่อไปอีก ระหว่าง
รับราชการอยู่นั้น พลตำรวจอาจ ชุมพูนุช ได้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเข้มงวด มีความชื่อสัตย์
สุจริต เที่ยงธรรมตรงไปตรงมา แต่ถ้าผู้ใดกระทำผิดละเมิดกฎหมายบ้านเมืองโดยเฉพาะแก๊งลักขโมย กลุ่มโจร
พลตำรวจอาจ ไม่ยอมนิ่งดูดายให้ผ่านไปอย่างเด็ดขาด พยายามติดตามปราบปรามอย่างไม่ละลด กระทั่งจับผู้นั้นมาลงโทษเสมอๆ ทางราชการเห็นความตั้งใจ ความพยายามของ พลตำรวจอาจ ชุมพูนุธ เรื่อยมา กระทั่งเลื่อนยศขึ้นเป็นสิบตำรวจตรี
หลังจากนั้นในท้องที่ปากพนัง เกิดเหตุการณ์โจรผู้ร้าย เสือร้าย ออกอาละวาดอุกฉกรรปล้น วัวควาย
ทรัพย์สิน บางรายฆ่าเจ้าทรัพย์ตายหลายคดี ทางการจึงได้ย้ายสิบตำรวจตรีอาจ ชุมพูนุธ ไปปฏิบัติหน้าที่
ในท้องที่นั้น สิบตำรวจตรีอาจ ใช้ความพยายามและหาวิธีการต่างๆ ทำการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ไม่นานกลุ่มโจรถูกจับดำเนินคดีตามกฎหมาย บ้างก็ถูกเจ้าหน้าที่ฆาตกรรมเสียชีวิตในที่
เกิดเหตุ บ้างก็อพยพหนีไปอาศัยในท้องถิ่นอื่น เหตุการณ์อุกปล้นฆ่าในท้องที่ปากพนังก็ลดลง ด้วยผลงานการปราบปรามอย่างทุ่มเท และจริงจังนี้ สิบตำรวจตรีอาจได้เลื่อนยศขึ้นเป็น "สิบตำรวจโท" ในปีต่อมา
ปี พ.ศ.๒๔๖๑-๒๔๖๓ ท้องที่กิ่งอำเภอเชียรใหญ่ หัวไทร เกิดภาวะฝนแล้งทำนาไม่ได้ผล ประชาชนอดยาก เกิดเหตุการณ์โจรผู้ร้ายทุกชุมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโจรที่มี นายวัน หรือเสือวัน เป็นหัวหน้า ออกอาละวาด
ปล้นฆ่าทำร้าย เจ้าทรัพย์อย่างโหดเหี้ยม เยียกฎหมาย เจ้าหน้าที่บ้านเมืองโดยเฉพาะตำรวจผู้ดูแลรับผิดชอบ
ความสงบสุขของประชาชน ตั้งแต่บ้านเชียรเขา เชียรใหญ่ บ่อล้อ การะเกด เขาบาท และบ้านบางนบ ทำความ
เดือดร้อนให้กับผู้คนที่สุจริตเป็นอย่างยิ่ง ทางราชการจึงส่ง สิบตำรวจโทอาจ ชุมพูนุช ซึ่งขณะนั้นอายุประมาณ
๓๕-๓๖ ปี ไปปฏิบัติหน้าที่ ที่สถานีตำรวจกิ่งอำเภอเชียรใหญ่
เมื่อสิบตำรวจโทอาจ ย้ายมารับผิดชอบในท้องที่ดังกล่าว ก็ได้คิดวางแผนปราบทุกข์เข็ญความเดือนร้อนให้กับประชาชน โดยเฉพาะการปราบ กลุ่มโจรเสือวันให้เร็วที่สุดเพื่อมิให้ราษฎรเสียขวัญ คืนหนึ่งทางการสืบทราบว่าเสือวันวางแผนนำสมุนไปปล้นในท้องที่บ้านเชียรเขา เจ้าหน้าทำโดยสิบตำรวจโทอาจ นำคณะพร้อมอาวุธครบมือไปซุ่มดักระหว่างเส้นทางเพื่อจับกุม กลางตึกในคืนนั้นเองเจ้าหน้าที่ ได้ปะทะกับกลุ่มโจร เกิดยิงต่อสู้กันพักใหญ่ๆ เมื่อสิ้นเสียงปืนตำรวจเข้าเคลียพื้นที่ ผลปรากฏว่าเสือวัน ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ สิบตำรวจโทอาจ จับตัวนำส่งไปยังกองกำกับเมืองนครฯ แต่เสือวัน ทนพิษบาดแผลไม่ไหวได้เสียชีวิตระหว่างทาง ข่าวการปราบปราม กลุ่มเสือวันในครั้งนี้ ทำให้โจรกลุ่ม อื่นๆ เกรงกลัวทัางก็เลิกเป็นโจรบ้าง หลบหนีไปอยู่ในท้องถิ่นอื่นบ้าง เหตุการณ์ ขโมย ปล้น ฆ่า ในกิ่งอำเภอเชียรใหญ่ก็สงบลง หลังจากนั้นสิบตำรวจโทอาจ ก็ได้เลื่อนยศขึ้นเป็นสิบตำรวจเอก
ในปี พ.ศ.๒๔๖๖๖ ชะอวดได้แยกจากอำเภอร่อนพิบูลย์ และยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอ อีกหลายปี
ต่อมาทางการได้จัดตั้งสถานีตำรวจขึ้นที่ กิ่งอำเภอชะอวด จึงได้ย้ายสิบตำรวจเอกอาจ ชุมพูนุธ ซึ่งขณะนั้นมีอายุ
ประมาณ ๕๑ ปี ไปเป็นหัวหน้า แต่ทางรายการยังขาดงบประมาณในการสร้างอาคารที่ทำการ ดังนั้น สิบตำรวจเอกอาจ จัดการหาทุนโดยเรี่ยไรจากชาวบ้านบ้างจากส่วนราชการบ้าง และจากเงินของตนบ้า สร้างที่ทำการชั่วคราว ขึ้นหลังหนึ่ง หลังคามุงจาก เพื่อเป็นที่ทำการและให้บริการแก่ประชาชนที่มาติดต่อ การปฏิบัติในหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมายในท้องถิ่น กิ่งอำเภอชะอวดสมัยนั้นยากลำบากมากเพราะเป็นถิ่นทุรกันดาร การติดต่อสื่อสาร
ไม่สะดวก บางท้องที่ต้องอาศัย เรือ แพ ม้า หรือเดินเท้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ หรือจับกุมผู้ต้องหา หรือสืบหา
พยานหลักฐานไปประกอบคำฟ้องคดีผู้กระทำผิด อย่างไรก็ตามสิบตำรวจเอกอาจ ถือว่าการ บำบัดทุดทุกข์ บำรุงสุข เป็นหน้าที่ของตนจะต้องบริการแก่ราษฎรในยามเกิดภัยจากโจรผู้ร้ายให้สงบจงได้
ครั้งหนึ่งเกิดเหตุ คดีปล้นและฆ่าเจ้าทรัพย์ตายในท้องที่ บ้านตูล กิ่งอำเภอชะอวด ซึ่งอยู่ในเขตรับผิดชอบของสิบตำรวจเอก อาจ ต่อมาสืบทราบว่าโจรกลุ่มนี้ หลบหนีไปอาศัยอยู่ในท้องที่บ้าน ควนพัง เขตอำเภอ
ร่อนพิบูลย์ สิบตำรวจเอกอาจ พร้อมเจ้าหน้าที่ จึงยกกำลังติดตามไปถึงวัดวัวหลุง (วัวหลง) คณะติดตาม
หวังไปสืบถามข่าวคราวจากเจ้าอาวาสวัดดู เพราะโบราณมีความเชื่อว่า บุคคลที่จะไปสอบถามหาความจริงได้นั้น
มีอยู่คือ คือ ๑. พระภิกษุสงฆ์ เพราะพระท่านมีศีลคงบอกความจริง ๒.หญิงมีครรภ์ เพราะหญิงมีครรภ์นั้น
ไม่โกหก และมีความเชื่อว่าหากโกหกขณะตั้งครรภ์บุตรที่คลอดมาร่างกายจะพิการ และ ๓. เด็ก เพราะเด็ก
นั้นจะพูดจาตามที่ตนเห็นจริงๆ ไม่เสกสรรปั้นแต่ง ไม่เสแสร้ง นั่นคือความเชื่อในอดีต แต่ปัจจุบันผู้รวบรวม
ไม่กล้ารับรองว่ายังเป็นความจริง อยู่อีกหรือไม่
ดังนั้นสิบตำรวจเอกอาจ พร้อมคณะตัดสินใจไปหาเจ้าอาวาสวัดวัวหลุง ซึ่งขณะนั้นคือ ท่านอาจาจาร์
สมภารชัง ก่อนจะถึงหน้าวัดมีหนองน้ำ วังโล่ เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ขวางกั้นอยู่ ทางวัดและชาวบ้านช่วยกันสร้าย
สะพานทอดยาวข้ามหนองน้ำแห่งนี้ เป็นทางเดินเข้าวัด ประมาณ ๒๐ เส้น สะพานปูด้วยไม้ตะเคียนบ้าง
ไม้เคี้ยมบ้าง เพื่อให้พระภิกษุ สามเณร ออกไปบิณฑบาด หรือชาวบ้านเดินเข้า ออกไปทำบุญทำกิจธุระในวัด
ในหนองน้ำวังโล่ อันกว้างใหญ่นี้ เต็มไปด้วยพืชน้ำ สัตว์น้ำ ปู ปลา กุ้ง หอย และนกนานาชนิด โดยเฉพาะ
นกเป็ดน้ำมีเป็นจำนวนมาก ขณะที่สิบตำรวจเอกอาอาจนำคณะเดินข้ามสะพานไปนั้น เห็นฝูงนกหลากหลายชนิดกำลังหากินอยู่ในหนองน้ำ ด้วยความอีกเหิมคะนองอยากทดลองฝีมือ ก็คว้าปืนอาวุธประจำกายเล็งไปที่ฝูงนก เป้าหมาย ทันใดนั้นก็ลั่นไกไป ๕-๖ นัด เสียงปืนทำให้ฝูงนกต่างๆ บินหนีขึ้นท้องฟ้าแทบทั้งหมด ไม่มีนกตัวใด ถูกกระสุนตายแม้แต่ตัวเดียว สิบตำรวจเอกอาจ เห็นเช่นนั้นก็เก็บอาวุธ พร้อมเดินนำเจ้าหน้าที่ไปพบเจ้าอาวาส เมื่อขึ้นไปบนกุฏิเห็น ท่านอาจารย์สมการยังนั่งอยู่ สิบตำรวจเอก อาจ และคณะที่มา เข้าไปนั่งเรียบร้อย แต่ยังไม่มีใครพูดจาอะไร ท่านสมภารชังเอาสิ่งของที่กำอยู่ในมือซัดสาดไปข้างหน้าถูกแขกที่มาเยือน บ้างก็โดนศีรษะ บ้างก็ถูกใบหน้า บ้างก็ตกลงบนตักสิบตำรวจเอกอาจ นายตำรวจอาจ หยิบสิ่งสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณาดู ก็ตกตะลึงแทบเป็นลม และอัศจรรย์ใจยิ่ง เพราะมันคือหัวกระสุนปืนของตน ที่ยิงไปเมื่อครู่นี้เอง คณะที่มาต่างคน ต่างนิ่งอึ้ง ไม่มีใครปริปากพูดจาอะไรเลย และแล้วทุกคนก็ก้มลงกราบ อาจารย์สมภารซังเกือบจะพร้อมๆ กัน โดยมิได้นัดหมาย ไม่เว้นแม้แต่สิบตำรวจเอกอาจ ชุมพูนุธ ซึ่งเป็นมุสลิม นับถือศาสนาอิสลาม ครู่ใหญ่ๆ นายตำรวจอาจ กล่าวคำขอโทษต่อเจ้าอาวาส ที่ตนเองกระทำผิดไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักวัฒนธรรมชาวพุทธว่า บริเวณวัดนั้นเป็นเขตอภัยทาน
ตนมีตำแหน่งถึงผู้บังคับบัญชาคน เป็นข้าราราชการเจ้าหน้าที่บ้านเมือง แต่กลับละเลยไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่อง
ดังกล่าว เมื่อท่านอาจารย์สมภารซังเห็นเช่นนั้น ก็ไม่เอาโทษอะไรมากนัก เพียงแต่เตือนสติ บอกกล่าวถึง บาป
บุญ คุณและโทษ ของการอาฆาตมาดร้ายและเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ตามหลักธรรมทางพุทธศาสนาให้ฟัง จากนั้น
หัวหน้าชุดคือ สิบตำรวจเอกอาจ บอกความประสงค์ที่มาหาท่านสมภารให้ทราบ แล้วทั้งหมดก็กราบลา
เจ้าอาวาส ลงกุฏิไป
เหตุการณ์มหัศจรรย์ ที่อาจารย์สมภารชัง แสดงปาฏิหาริย์สามารถเรียกกระสุนปืน ของนายตำรวจอาจ
มาไว้ในกำมือได้ในครั้งนั้น ถือว่าอาจารย์สมภารชัง ท่านมีพุทธาคมและกฤดาคม ประเภทไสยเวท "กระสุนคด"
ไสยเวทประเกทนี้ ตามตำรา บอกว่ามาจาก สรรพเวทแขนงหนึ่งในตำราไสยศาสตร์ ที่สืบทอดต่อจากตำราพิชัย
สงคราม ชื่อ "ธนูเวท" เป็นวิชาประเภทการใช้ ธนูและ ศร ผู้ที่เรียนจบสามารถเรียก หรือบังคับกระสุน ธนู
หรือศรให้เดินทางวิถีโค้ง หรือวิถีคด มิให้ถูกเป้าหมายหรือเรียกมาไว้ในกำมือได้ เป็นพระเวทสุดวิเศษ หากผู้ใด
เรียนตำรา ธนูเวทได้เชี่ยวชาญจริงๆ จะมีเดชอำนาจมากไม่มีผู้ใดต่อต้านได้แม้แต่เทพ หรือเทวดา ฉะนั้น
อาจารย์สมภารชัง ท่านคงเรียนจบวิชานี้มาอย่างชำนิชำนาญ และศิษย์เอกของท่านอีกรูปหนึ่ง ที่เรียนและรับ
วิชากระสุนคดต่อจากท่าน คือ อาจารย์ หนูจันทร์ สุเมโธวัดทุ่งเฟื้อ อำเภอเฉลิมพระเกียรติฯ ปัจจุบันท่านได้
มรณภาพไปหลายปีแล้ว
เหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่เกิดในวัดวัวหลุงครั้งนั้นเป็นภาพฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ความรู้สึก ของ
สิบตำรวจเอกอาจ ขุมพูนุธ อยู่มิรู้ลืม ดังในหนังสือ"อภินิหารพ่อท่านชัง" โดย พระชุมสุข ปัญญาวโร
หน้า ๓๙ แต่มิได้บอกปีและสำนักพิมพ์ไว้ บันทึกว่า"ตั้งแต่นั้นมา ส.ต.อ. อาจ ชุมพูนุช เหลื่อมใสศรัทธา
ต่อสมภารธังอย่างมาก ได้ไปเยี่ยมเยียนขอพรขอคำแนะนำถึงวัดวัวหลุงเสมอๆ จะได้ของดีอะไรไปบ้าง
ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าหลังจากนั้นตำรวจผู้นี้ ไม่จับปืนทำบาบาปอีกเลย"
ในการปฏิบัติการสืบสวน สอบสวนผู้ต้องหานั้น สิบตำรวจเอกอาจ จะมีเทคนิค หรือวิธีเป็นเอกลักลักษะ
ของตนเองเสมอ เช่นการ "หลอก - ล่อ – ทรมาร จนผู้ร้ายปากแข็งทั้งหลายต้องสารภาพ ตลอดข้อกล่าวท
จากผลงานการปราบปรามอย่างทุ่มเท จริงจังรุนแรง และต่อเนื่องชนิดที่เรียกว่า "กัดแล้วไม่ปล่อย" ไม่ว่าผู้รักๆ
หรือโจรกลุ่มใด ถ้าทางการมอบหมายให้ สิบตำรวจเอกอาจ รับผิดชอบแล้ว ต้องยอมรับว่าไม่นานจะได้ตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย หรือหนีเตลิดไปไกลในท้องถิ่นอื่นหรือไม่ก็สิ้นชื่อ สิ้นชีวิตแน่นอน ด้วยความวิริยะมุมานะในหน้าที่การงาน การปราบปรามโจรผู้ร้ายอย่างจริงจังใน ชุมชน ท้องถิ่นชนบท ของพื้นที่กิ่งอำเภอชะอวด จนสงบ
เรียบร้อยเป็นผลให้ สิบตำรวจเอกอาจ ได้เลื่อนยศขึ้นเป็นจ่าสิบตำรวจในปีต่อมา
ด้วยผลงานการรักษาความสงบเรียบร้อยในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ราชการบ้านเมืองเป็นที่เลื่องลือ ชีวิตรับราชการไม่มีด่างพร้อยชีวิตส่วนตัวและครอบครัวสามารถเป็นแบบอย่าง
แก่บุคคลทั่วไปได้ ดังนั้นบั้นปลายชีวิตรับราชการจ่าสิบตำรวจอาจ ชุมพูนุย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ บรรดาศักดิ์ เป็น "หมื่นระชับทารุณกรรม" ถือศักดินา ๔๐๐ ไร่ ในที่ดินบริเวณพื้นพื้นที่ทางทิศตะวันออกของ ที่ว่าการกิ่งอำเภอชะอวดสมัยนั้น ปัจจุบันผู้นำชุมชนและชาวบ้าน ได้นำนามสกุลท่านมาตั้งเป็นชื่อถนน
ถึง ๓ สาย คือ ถนนชุมพูนุธ สาย ๑ - สาย ๓ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ท่านและครอบครัว
ถนนชมพูนุช 2
หากนำบรรดาศักดิ์ "หมื่นระงับทารุณกรรม"มาพิจารณาว่าหมายถึงอะไร และสิ่งใด ก็คงอธิบายได้ว่า สั้นๆ ก็
หมายถึง การหยุดยั้งเหตุร้ายๆ หรือเรื่องร้ายๆ ให้กับราษฎร หรือแปลความว่า เมื่อหมื่นระงับทารุณกรรม
ไปปฏิบัติหน้าที่ในท้องที่ใด จะขจัดปัดเป้าเหตุร้ายเรื่องร้ายๆ ในท้องที่นั้นให้ลดลง ประชาชนจะอยู่อย่าง
สตบสุข นั่นเอง ในที่สุด หมื่นระงับทารุณกรรม เกษียณเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๙ รับราชการตำรวจถึง ๓๘ ปี
ชีวิตครอบครัว หมื่นระงับทารุณกรรม ท่านมีกรรยาคนแรกขณะรับราชการที่ ปากพนัง ชื่อ นางปุ้ย
เป็นมุสลิม ไม่มีบุตร หลังจากนั้นภรรยาก็เสียชีวิตคนที่สองขณะที่รับราชการที่เชียรใหญ่ ชื่อ นางอั้น
เป็นมุสลิม มีบุตร หนึ่งคน ไม่นานภรรยาคนที่สองgสียชีวิต คนที่สามเป็นคนไทย ชื่อนางจวงขณะรับราชการ ศัก
ที่กิ่งชะอวด มีบุตร ๓ คน ชื่อ นายชะอวด นายธนูด และนายสง่า ชุมพูนุช หลังจากนั้นนางจวง เสียชีวิต ภรรยาคนที่สี่เป็นคนไทย ชื่อ นางส่อง ไม่มีบุตร คนที่ห้า ชื่อนางต้า ไม่มีบุตร คนที่หกชื่อนางกิ้มพลัด ไม่มีบุตร
สรุปว่า ครอบครัว หมื่นระงับทารุณกรรมนั้นมีภรรยา ๖ คน สองคนแรก เป็นมุสลิมได้อยู่กินในเวลาสั้นๆ ก็เสียชีวิต ส่วนคนต่อๆ มาเป็นคนไทย มีบุตรทั้งหมด ๔ คน แต่มีชีวิตจนเติบใหญ่คือ นายชะอวด นายธนูด และนายสง่า ซึ่งเกิดจากนางจวง ทั้งสิ้นหลังจากนั้นท่านไม่มีบุตรกับกรรยาคนใดเลย การที่ท่านหมื่นมีภรรยาหลายคนเช่นนี้ ก็คงเป็นไปตามวัฒนธรรมชาวมุสลิมประการหนึ่ง อีกประการเป็นเพราะภรรยาคนก่อนๆ ได้เสียชีวิตไปตอนท่านยังหนุ่ม และประการต่อมาคงเป็นวัฒนธรรมไทย ที่อำมาตย์หรือขุนนางมักนิยมมีภรรยาหลายๆ คน ดังที่ทราบกัน
ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ หมื่นระงับทารุณกรรม เกษียณราชการ และในปี พ.ศ.๒๔๙๙๙ สละที่ดินซึ่งได้จากการรับพระราธทานจาก บรรดาศักดิ์เป็น "หมื่น"ศักดินา ๔๐๐ ถวายสร้างวัด ๒๐ ไร่ ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ท่านได้อุปสมบท ๑ พรรษา และในปี พ.ศ.๒๕๐๒ ได้เสียชีวิต ด้วยอายุ ๗๓ ปี
ประวัติความเป็นมาของวัดหมื่นระงับรังสรรค์หรือ วัดหมื่นส่อง
วัดหมื่นระงับรังสรรค์ในปีแรก ตั้งเป็นสำนักสงฆ์โดยได้อาราธนานิมนต์ พระครูไพบูลย์วุฒิญาณ (พระอธิการติ้น) จากวัดโคกสูง ตำบลแหลม อำเภอหัวไทรจังหวัดนครศรีธรรมราช มาเป็นเจ้าสำนักอยู่ประจำหลังจากนั้น พระครูไพบูลย์วุฒิญาณ ได้ดำเนินการพัฒนาสำนักสงฆ์แห่งนี้ขึ้น เช่น สร้างกุฏิ ที่พักสงฆ์ ศาลาการเปรียญชั่วคราว เพื่อประกอบศาสนกิจของสงฆ์ ทำให้เป็นที่เคารพนับถือและศรัทธาประชาชนทั้งใกล้และไกลได้นำบุตรหลานมาบวยเป็นภิกษุ สามเณรจำนวนมากบางปี ถึง ๒๕-๓๐ รูป ดังนั้นในการพัฒนา ก่อสร้างเสนาสนะ การเรียนการสอนพระบริยัติธรรม เป็นที่สนใจของชาวพุทธมากขึ้น ในการเรียนพระปริยัติธรรมนั้นระยะแรกสมทบสอบ กับสนามสอบสำนักวัดโคกสูง อำเภอหัวไทร ต่อมาทางวัดได้รับอนุญาตให้เป็นสนามสอบเอง เมื่อพระครูไพบูลย์วุฒิญาณ มรณภาพในปี พ.ศ.๒๕๐๔
พระภิกษุ เผือก คุณวโร ซึ่งได้อุปสมบท เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ ที่วัดแหลม ตำบลแหลม อำเภอหัวไหว
จังหวัดนครศรีธรรมราช สอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักวัดมุจลินทวาปีวิหาร จังหวัดปัตตานี ได้รับมอบหมายให้
มาปกครองดูแลวัดหมื่นระงับรังสรรค์ ในช่วงนี้หลวงพ่อเผือก รับช่วงในการพัฒนาวัด ด้านเสนาสนะ การก่อสร้าง และด้านการศึกษาของพระภิกษุ สามเณรต่อจากเจ้าอาวาสรูปก่อน ในปี พ.ศ.๒๕๐๗ หลวงพ่อได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ท่านได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูสังฆรักษ์ ฐานานุกรมในพระวิสุทธาจารย์ วัดพิชัยญาติการาม กรุงเทพฯ
ในช่วงที่หลวงพ่อเผือก หรือพระครูสังฆรักษ์ เป็นเจ้าอาวาสอยู่นั้น ท่านได้พัฒนาวัดในด้านต่างๆ อย่าง
มากมาย เช่น สร้างกำแพงคอนกรีตรอบวัด ปรับพื้นพื้นที่บริเวณวัดทั้งหมดและสร้างถนนคอนกรีตเชื่อมต่อกับ
กฏิ วิหาร ทางเดินภายในวัด สะดวกแก่พระภิกษุ สามเณรและศาสนิกชนที่มาทำบุญในวัด บูรณะหอฉัน สร้างเมรุ
เผาศพ ปลูกสวนป้าเบญจพรรณ จำนวน ๖๐๐ ต้นภายในวัด สร้างพระอุโบสถด้วยงบประมาณที่วัดจัดหา
ถึง ๙,๒๐๐,๐๐๐๐ กว่า บาท ใน ปี พ.ศ.๒๕๓๗
ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ หลวงพ่อเผือก ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลท่าประจะ อำเภอชะอวดรุ จังหวัดนครศรีธรรมราย พ.ศ.๒๕๑๘ ได้รับแต่งตั้งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นตรี และในปีพ.ศ.๒๕๒๗ เป็นเจ้าคณะตำบล ชั้นโทการส่งเสริมสนับสนุนให้พระภิกษุ สามเณร
ศึกษาแผนก นักธรรม และแผนกบาลี ไปเรียนยังสำนักต่างๆ เช่น วัดคูหาสรรค์ พัทลุง วัดกะพังสุรินทร์ ตรัง
และวัดเบญจมบพิตรฯ กรุงเทพฯ เป็นต้น ในปี พ.ศ.๒๕๓๖หลวงพ่อเผือก คุณวโร ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ "พระครูปสวโรภาส"เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก และ พ.ศ.๒๕๕๔๒ เป็นเจ้าคณะ
อำเภอชะอวด
ส่วนโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญในวัดหมื่นระงับรังสรรค์ นั้นคือ
๑.หลวงพ่อดำ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง หน้าตักกว้างประมาณ ๑.๓๐ เมตร ปางชนะมาร
สันนิฐานว่าเป็นศิลปะแบบสมัยอยุธยา ตอนกลาง -ตอนปลาย ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ตามตำนาน
เล่าว่า หลวงพ่อดำองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างด้วยสัตยาธิฐานแห่งองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวาระ
ที่เสด็จทำศึกสงครามครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงพระรายดำริให้ปั้นพระพุทธปฏิมาจำนวนหนึ่ง เพื่อสำแดงพระเดชานุภาพและเป็นพุทธบูชา พระราชกุศลศรัทธา ในอันที่จะพิทักษ์พระพุทธศาสนาและพระราชอาณาจักรแห่งสยาม
จึงเรียให้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรต่อไปแล้วให้ไพร่พล อันเชิญพระพุทธรูปเหล่านั้นลงแพปล่อยให้ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ มีองค์หนึ่งลอยมาใน
อ่าวไทย สู่แม่น้ำปากพนัง คลองเธียร ชาวบ้านเห็นเป็นพระพุทธรูปลอยน้ำอยู่บนแพกึ่งจมกึ่งลอย จึงช่วยกัน
ชักลากขึ้นฝั่งนำไปประดิษฐานที่วัดกลาง อำเภอเชียรใหญ่ต่อมาวัดกลางร้าง ชาวบ้านจึงได้นำไปประดิษฐาน
ที่วัดปากควน ในเขตอำเภอชะอวด แต่ขาดผู้คนสนใจและวัดปากควนในขณะนั้นก็หาพระภิกษุมาจำพรรษา
ก็อยากลำบาก กำลังจะร้างเมื่อหลวงพ่อเผือก มารักษาการเจ้าอาวาสวัดหมื่นระงับรังสรรค์ ปี พ.ศ.๒๕๐๔ จึงอันเชิญหลวงพ่อดำมาประดิษฐานในวัดดังกล่าว
๒. หลวงพ่อขาว เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น สีขาวจึงเรียกว่า หลวงพ่อขาว คู่กับหลวงพ่อดำ หลวงพ่อขาว
หน้าตักกว้าง ๔ เมตร สูง ๖ เมตร ปางมารวิชัย ศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ สร้างในปี พ.ศ.๒๕๓๕ ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งบริเวณลานวัด
๓. หลวงพ่อหมื่นล้าน เป็นพระพุทธรูปที่หลวงพ่อเผือก หรือพระครูปุสวโรภาส ได้ปรารภให้สร้างขึ้น
เนื่องในโอกาส ผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ ใน ปี พ.ศ.๒๕๓๗เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิทรงเครื่อง ศิลปะแบบล้านนา
หน้าตัก ๙๐ เซ็นติเมตร ท่านจึงเอาชื่อผู้บริจาคที่ดินสร้างวัด คือ หมื่นระงับทารุณกรรม กับศิลปะพระพุทธรูป
แบบล้านนา เป็นชื่อพระพุทธที่สร้างขึ้น เรียกว่า"หลวงพ่อหมื่นล้าน" ดังกล่าว
๔. พระอุโบสถ เป็นอุโบสถ ๒ ชั้น ชั้นบนเป็นตัวพระอุโบสถ สำหรับทำกิจของสงสงฆ์ กว้าง เมตรยาว ๒๐ เมตร สูง ๕ เมตร ชั้นล่างใช้สำหรับที่ประชุมสงฆ์ สวดมนต์ไหว้พระ ห้องเรียนนักธรรมและกิจกรรมอื่นๆ ของวัดทั่วๆ ไป สร้างเสร็จในปีพ.ศ.๒๕๓๗ ค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๙,๒๒๐,๐๐๐กว่าบาท
๕. อนุสรณ์ รูปปั้น หมื่นระงับทารุณกรรม และนางส่อง ภรรยา พระครูปสวโรภาส พุทธบริษัทและประชาชนจัดหาทุนร่วมบริจาค สร้างไว้บริเวณกลางลานวัด เป็นรูปปั้นหล่อด้วยทองเหลืองเท่าคนจริงเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ สละที่ดินสร้างวัด อนุชน คนรุ่นหลังๆจะได้ทราบถึงความมุ่งมั่น ความศรัทธาของสามี ภรรยาท่านทั้งสองดังกล่าว
เนื่องจากวัดหมื่นระงับรังสรรค์ หรือวัดหมื่นส่องตั้งอยู่กลางชุมชน อาคารสถานที่ในวัดนอกจากใช้ทำกิจ
ของสงฆ์ งานบุญ วันสำคัญทางศาสนา งานบวชงานฌาปนกิจแล้ว ยังมีส่วนราชการ ส่วนเอกชน และชุมชน เข้ามาใช้ทำกิจกรรมอยู่มิได้ขาด เช่น อำเภอหรือตำบลใช้ในการประชุม พบปะราษฎร เป็นศูนย์หน่วยเลือกตั้ง เป็นศูนย์หน่วยลงประชามติ การประชุมหมู่บ้าน ประชุมกลุ่มแม่บ้าน ประชุมสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์หมู่บ้าน ประชุมสมาชิกผู้สูงอายุหมู่บ้าน ดังนั้นการใช้อาคารสถานที่ และอุปกรณ์อื่นๆ ในวัด ยังเป็นประโยชน์และคุ้มค่า ต่อชุมชนและสังคมในท้องถิ่นนี้ตลอดมา
ปัจจุบันพระครู ปุสวโรภาส หรือหลวดต่อเผือกแม้ท่านจะมีอายุ ๘๖ ปี ๖๕ พรรษา แต่ท่านยังแข็งแรง
ดูแลปกครองพระภิกษุ สามเณรประสิทธิภาพเช่นเดิม
เมื่อกลับมาพิจารณาข้อสังเกต บางประการถึงเหตุและผลว่าทำไม หมื่นระงับทารุณกรรม ซึ่งเป็นชาว
มุสลิมนับถือศาสนาอิสลาม บรรพบุรุษอพยพมาจากเมืองไทรบุรี มารับราชการตำรวจในมณฑลนครศรีธรรมราย
บั้นปลายชีวิตท่านหมื่นฯ กลับมาสนใจหลักธรรมทางพุทธศาสนา ได้สร้างวัด และอุปสมบท ถึง ๑ พรรษา
ก่อนจะมีคำตอบอธิบายข้อสงสัยในเรื่องดังกล่าวขอนำชีวิตระหว่างท่านหมื่นระชับทารุณกรรม เทียบเคียงทั้งในความเหมือนและความแตกต่าง กับชีวประวัติ "นายพลหนังเหนียว สิงห์มือปราบดาบแดง
ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ซึ่งจะพิจารณาตามหลัก "โยนิโสมนสิการ" ได้ดังนี้
๑.บรรพบุรุษ ของบุคคลทั้งสองต่างมาจากเมืองไทรบุรี และมาตั้งถิ่นฐานในเมืองนครศรีธรรมราช
เช่นกัน ต่างกันที่ฝ่ายหนึ่งมาในฐานะเจ้าผู้ครองเมืองนครฯแต่อีกฝ่ายหนึ่งมาในฐานะเชลยสงคราม
๒. บุคคลทั้งสองต่างก็กำเนิดในท้องถิ่นองนครฯ เช่นกัน ต่างกันที่ฝ่ายหนึ่งเกิดใน พ.ศ.๒๔๘
บ้านอ้ายเขียว พรหมคีรี แต่อีกฝ่ายหนึ่งเกิดในศ๒๔๒๙ ที่บ้านมะม่วงสองต้น เมืองนครฯ อายุต่างเพียง ๑๗ ๗ ปี เท่านั้น
๓. ในด้านการศึกษาฝ่ายหนึ่งได้รับการศึกษาตามภาคบังคับ และต่อมัธยมปลาย และเข้าโรงเรียน
นายร้อยสามพราน เข้ารับราชการตำรวจครั้งแรกเป็นร้อยตำรวจตรี แต่อีกฝ่ายหนึ่ง อ่าน เขียน หนังสือไทย
ไม่ได้ เพียงเขียน ชื่อกับนามสกุลได้เท่านั้น เข้ารับราชการตำรวจครั้งแรก เป็นตำรวจเกณฑ์
๔. บุคคลทั้งสองต่างรับราชการดำรามีหน้าที่พิทักษ์ สันติราษฎร์ รักษาความสงบเรียบทัก
ปราบปรามโจรผู้ร้ายในสมัยที่ไล่เลี่ยกัน ต่างกันที่ฝ่ายหนึ่งรับผิดชอบมอบหมาย ในพื้นที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา และในภาคกลางได้แก้จังหวัดพิจิตร ชัยนาท สุพรรณบุรี และ กำแพงเพท
แต่อีกฝ่ายรับผิดชอบมอบหมายในพื้นที่ อำเภอเมือนครศรีธรรมราช อำเภอปากพนัง กิ่งอำเภอเภอเชียรใหญ่
และกิ่งอำเภอชะอวด
๕.บุคคลทั้งสองต่างทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ คอยปราบปรามผู้ร้าย และบางครั้งปะทะ
กับกลุ่มโจรเสมอๆ ดังนั้นต่างก็พยายามหาเครื่องขมังเวทย์ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยว สร้างขวัญ สร้างกำลังใจ
ให้ตนตกอยู่ในอันตราย บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ประเภทเครื่องรางของขลัง คาถาอาคมจากเจ้าสำนักต่างๆ
คล้ายๆ กัน ต่างกันที่ฝ่ายหนึ่งยึดเอา อาจารย์เอียด ปทุมสโร จากสำนักวัดเข้าอ้อ จังหวัดพัทลุง เป็นอาจารย์
เละอีกฝ่ายหนึ่งยึดเอา อาจารย์สมภารชัง สุวณุโณ จากสำนักวัดวัวหลุง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นอาจารย์
๖.บุคคลทั้งสองมีเชื้อสายมุสลิม แต่ทั้งสองต่างกลับไปเหลื่อมใสศรัทธาหลักธรรมทางพระพุทธศาสหลา
กระทั้งอุปสมบท ๑ พรรษา เหมือนกัน ต่างกันที่ฝ้ายหนึ่ง อุปสมบทที่วัดพระบรมธาตุ อำเภอเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือว่าเป็นวัดสำคัญที่สุดค่เมืองนครฯ มาตั้งแต่โบราณ และไม่มีข้อมูลว่าได้สละ
ที่ดินสร้างวัดหรือไม่ แต่อีกฝ่ายหนึ่งอุปสมบทที่วัดท่าเสม็ด กิ่งอำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราย
ซึ่งถือว่าเป็นวัดสำคัญที่สุด คู่เมืองปราณ หรือเมืองท่าเสม็ดมาตั้งแต่โบราณ เช่นกัน และได้สละที่ดิน ๒๐ ไร่
สร้างวัดหมื่นระงับรังสรรค์
๗. บุคคลทั้งสองได้รับการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งตามระบบราชการ เช่นกัน แต่ที่ต่างกันคือ
ฝ่ายหนึ่งได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งถึง พลตำรวจจดีขุนพันธ์รักษ์ราชเดช ผู้บังคับการตำรวจภูธร เขต ๘
นครศรีธรรมราช และได้รับพระรายทานบรรดาศักดิ์ถึง "ซุน" รับราชการมาเป็นเวลา ๓๕4 ปี อายุรวม ๑๐๗ ปี
แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งเป็นจ่าสิบตำรวจหมื่นระงับหารุณกรรม ผู้กำกับการตำรวจภูธร กิ่งอำเภอ
ชะอวด (คนแรก) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หมื่น" รับราชการมาเป็นเวลา ๓๘ ปี อายุรวม ๗๓ ปี
๘. เนื่องจากบุคคลทั้งสอง ต่างประกอบ คุณงามความดี ในหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายได้ใช้ความรู้
ความสามารถทุ่มเทอย่างจริงจัง จนงานลุล่วงไปด้วยดีเป็นผู้เสียสละเพื่อความสงบของประชาชนอย่างแท้จริง
จนมีผลงานโดดเด่น ถือเป็น "ตำรวจตงฉิน" เป็นที่ยอมรับในสังคม และกรมตำรวจ ในชีวิตส่วนตัวและชีวิตครอบครัวก็ไม่มีเรื่องด่างพร้อย มีคุณธรรม มีความพยายามชื่อสัตย์สุจริต อดทน ทุ่มเทให้กับงานในหน้าที่จนสุดความสามารถ ชีวิตและงานของบุคคลทั้งสอง สามารถนำไปเป็นแบบอย่าง เป็นปูชนียบุคคล จนอนุชนรุ่นต่อมาได้
สร้างอนุสาวรีย์ "แห่งความดี" เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ท่านทั้งสอง ต่างกันที่ฝ่ายหนึ่งสร้างไว้ที่หน้าสำนักงาน
กองบังคับการตำรวจภูธร เขต ๔ อำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราย อีกฝ่ายหนึ่งสร้างไว้ที่หน้าวิหาร
ลานวัดหมื่นระงับวังสรรค์ อำเภอขะอวด จังหวัดนควศรีธรรมราย
๙. ชีวิตหลังเกษียณ บุคคลทั้งสองต่างก็ยังช่วยเหลือสังคมทำคุณประโยชน์ ให้แก่ท้องถิ่น แก่ประเทศ
ชาติมิได้ขาด ต่างกันที่ฝ้ายหนึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช ทำหน้าที่ในสภาแทนผู้คนในท้องถิ่นถึง ๒ สมัย
อีกฝ้ายหนึ่งหลังเกษียณยังมีผู้คนเคารพนับถือยำเกรงมาก ต่างเรียก "ท่านหมื่น" เมื่อเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องคดีความ มักไปปรึกษาท่านเสมอๆ ข้าราชการแทบทุกแผนกในกิ่งอำเภอชะอวด สมัยนั้น เมื่อมาบรรจุใหม่ หรือย้ายมาใหม่ จะไปพบท่านเพื่อคารวะรายงานตัว บอกล่าว ขอคำแนะนำ คำปรึกษาการปฏิบัติ
หน้าที่ในท้องถิ่นนี้ เพราะนับถือศรัทธาว่าท่าน หมื่นระงับหารุณกรรม รู้จักสังคม เข้าใจวัฒนธรรม และเข้าถึงพื้นพื้นที่มาก่อน
ทุกวันหัวบันไดบ้านท่านแทบจะไม่แห้ง เพราะราษฎรที่มีความเดือดเนื้อร้อนใจ เรื่องคดีความ ปล้น ฆ่า
ขโมย วัว ควาย ทรัพย์สินอื่นๆ หรือคดีฉุดคร่า อนาจารมักจะไปปรึกษา หาท่านหมื่นฯ เสมอๆ เพื่อขอคำแนะนำ
แนวทาง หรือไกล่เกลี่ยเพื่อยุติคดีความ ผลปรากฏว่าหลายๆ คดี ทั้งโจทก์ และจำเลยยินยอมตกลงกันได้
ทั้งนี้เพราะความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ท่านนอกจากนั้นท่านหมื่นฯ ยังให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ตัดคำว่า "พวกพ้องพี่น้องญาติ" ออกทั้งหมด นับว่าท่านเป็นที่พึ่งที่ปรึกษาให้แก่ชุมชนท้องถิ่นนั้นได้เป็นอย่างดีมาก
หรืออาจพูดได้ว่า ที่บ้านของท่านหมื่นฯ สมัยนั้น เปรียบเสมือน "ศาลไกล่เกลี่ย" อีกแห่งหนึ่งในกิ่งอำเภอชะอวด
จากข้อมูลของนายสง่า ชุมพูนุธ ผู้เป็นบุตรบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า "บิดามีรูปร่างสูงใหญ่ พูดเสียงดัง
ฟังชัด แม่นปืน เป็นคนตรงไป ตรงมา พูดคำไหนคำนั้นเกลียดที่สุดกับคนกลับกลอก โกหก ชอบช่วยเหลือ
ผู้ด้อยโอกาส ผู้ร้ายคดีเล็กๆ น้อยๆ ถ้ากลับใจเป็นคนดีจะให้อภัย ถ้าไม่กลับใจจะประณามและพยายามนำตัวมา
ลงโทษให้จงได้ คดีการพนัน ถ้าจับได้ครั้งแรก ว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนแล้วปล่อยตัว ถ้าจับได้ครั้งสอง ลงโทษเฆี่ยนดี ปล่อยตัว ถ้าจับได้เป็นครั้งที่สาม จับตัวดำเนินตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด
เมื่อนำประวัติข้อมูลของบุคคคลทั้งสองท่านคือทั้งหมื่นระงับทารุณกรรม และท่านขุนพันธรักษ์ราชเคธ
มาเปรียบเทียบ ดังได้กล่าวแล้ว ก็พอหาคำตอบในประเด็นที่ตั้งคำถามไว้ในตอนแรกว่า ทำไมหมื่นระงับ
หารุณกรรม ได้หันมานับถือพุทธศาสนา ได้สร้างวัดและอุปสมบท คำตอบที่พอจะสันนิฐานและเป็นไปได้คือ
๑.ชีวิตของหมื่นระงับทารุณกรรมนั้น คลุกคลีอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เป็น "ชาวพุทธ" มาตั้งแต่เล็กๆ นั่น
คือชุมชนบ้านม่ะม่วงสองต้น ตอนรับราชการเป็นตำรวจก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มตำรวจส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ ตอนมี
ภรรยาตั้งแต่คนที่สามถึงคนที่หก ก็เป็นชาวพุทธจึงพอสรุปได้ว่าในชีวิตของท่านสัมผัสและใกล้ชิดกับ
ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรมชาวพุทธมาแทบทั้งสิ้นสิ่งเหล่านี้จึงอาจจะน้อมนำ ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ให้
เห็นด้วยและคล้อยตามหลักธรรมพุทธศาสนาไปด้วยก็เป็นได้
๒. เนื่องจากท่านหมื่นฯ มีอาชีพเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำหน้าที่รักษาความสงบ ปราบปรามผู้ร้ายบางครั้งมีความจำเป็นใช้อาวุธปะทะกับกลุ่มโจรจึงพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยว สร้างขวัญสร้างกำลังใจ
เมื่อปะทะกับกลุ่มผู้ร้าย ทำอย่างไรให้ตนเองปลอดภัยปราศจากการบาดเจ็บอันตราย หรือเสียชีวิต สิ่งนั้นคือ
เรื่องไสยศาสตร์ ประเภทอยู่ยงคงกระพัน เฉกเช่นกับพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช จึงต้องไปเสาะหาวิธา
จากอาจารย์เจ้าสำนักต่างๆ และเจ้าสำนักเหล่านั้นส่วนใหญ่คือเกจิอาจารย์พระภิกษุสงฆ์แทบทั้งสิ้น จึงเป็นสาเหตุให้หมื่นระชับทารุณกรรม ไปมาหาสู่ใกล้ชิดพระภิกษุ ในที่สุดก็อุทิศตนเป็นศิษย์ ดังในกรณี ท่านอาจารย์สมภารขัง
วัดวัวหลุงเป็นต้น
๓.หลายครั้งหลายๆ เหตุการณ์ในชีวิตตำรวจที่หมื่นระงับทารุณกรรม จำเป็นวิสามัญฆาตกรรมโจรผู้รับ
เพื่อรักษาชีวิตตนและผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ปลอดภัยภาพต่างๆ เหล่านั้น ยังบันทึกอยู่ในความทระจำของท่าน
มิได้จางหาย โดยเฉพาะภาพผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและกำลังจะสิ้นใจตาย เป็นภาพที่สลดน่าสังเวชใจยิ่งนัก สิ่งเหล่านี้
คงจะติดตรึงตาตรึงใจในความรู้สึกนึกคิดในส่วนลึกของท่านหมื่นฯ ตลอดมา ท่านจึงคิดหาวิธีว่าทำอย่างไร
จะแผ่ส่วนบุญกุศลไปให้วิญญาณบุคคลเหล่านั้น เพื่อเป็นการไถ่บาป ประกอบกับชีวิตท่านคลุกคลีอยู่กับ
วัฒนธรรมชาวพุทธ ดังได้กล่าวแล้ว จึงเป็นสาเหตุที่ที่ที่ที่ที่นสละที่ดินสร้างวัด และอุปสมบท แผ่กุศลตามความคิด
ของท่านดังกล่าว
๔.ครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัดวัวหลุงจ่าสิบตำรวจอาจ ชุมพูนุธ (ยศในขณะนั้น)
คณะเจ้าหน้าที่ ตามคนร้ายไปยังบ้านควนพัง ขณะเดินข้ามสะพานหนองน้ำวังโล่ หน้าวัดวัวหลุง นายตำรวจองอาจ เห็นฝูงนกก็คว้าปืนประจำกายยิงไป ๕-๖ นัด แต่ไม่ถูกเป้าหมายสิ่งใด เมื่อขึ้นกุฏิไปพบสมภารชัง ท่านอาจารน์สมภารชัง กำกระสุนชัดสาดใส่คณะตำรวจเป็นอัศจรรย์ จนนายตำรวจอาจ เกิดอาการพิศวง ดังได้กล่าวมาแล้วหลังจากนั้น จ่าสิบตำรวจอาจ ไปมาหาสู่เยี่ยมเยือนอยู่เสมอๆ จนอุทิศตนเป็นศิษย์ ท่านอาจารย์สมภารชัง
ไปในที่สุด เหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งทำให้ท่านหมื่นฯ หันมานับถือศรัทธาพุทธศาสนาเร็วยิ่งขึ้น
ดังได้ยกเหตุผลและข้อมูลที่กล่าวมา ก็พอเป็นปัจจัย สนับสนุนคำตอบได้ว่าทำไม หมื่นระรับทารุณ
กรรม ปกติเป็นไทยมุสลิมจึงได้เปลี่ยนมาเป็นไทยพุทธได้สละที่ดินสร้างวัด และอุปสมบท ๑ พรรษา ดังที่ได้
กล่าวมา
สำหรับวิธีการทำงานของ หมื่นระงับทารุณกรรมนั้น นับว่าน่ายึดถือเป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะท่านเป็นผู้นำเป็นหัวหน้า ในการบันทึกรายงาน การปราบปรามการสั่งการตลอดถึงการสื่อสาร ส่วนใหญ่จะเป็นเอกสาร
หลักฐานทางหนังสือ แต่หมื่นระงับทารุณกรรมนั้นท่านอ่านไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ แต่ด้วยความพยายาม
ของท่าน ท่านมีความจำ การสังเกตเป็นเลิศ การฟังมากดูแบบอย่างและอาศัยประสบการณ์ เทคนิควิธีการต่างๆท่านสามารถสื่อสารเข้าใจ ปฏิบัติงานลุล่วงไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพไม่ว่ากับผู้บังคับบัญชา หรือลูกน้องทำให้งานที่รับผิดชอบ และหน่วยงานของท่าน ดำเนินไปอย่างไม่มี ที่ติดขัด หรือเกิดปัญหาใดๆ นับว่าท่านหมื่นฯ เป็นนักบริหาร นักจัดการที่มีประสิทธิภาพ ท่านเป็นนักสังเกต นักจดจำระบบงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา และกระจายงานให้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนอย่างถูกต้องเหมาะสมยิ่ง ที่เรียกว่า "รู้จักตน รู้จักคนและรู้จักงาน" เป็นต้น ดังนั้นปัญหาที่ท่านอ่านเขียนหนังสือไม่ได้ก็เป็นเรื่องเล็กๆ ไป
ด้วยความมุมานะและรับผิดชอบงานในหน้าที่ดังกล่าว ท่านจึงได้รับตำแหน่งหัวหน้าสถานีตำรวจฎจภูธร
กิ่งอำเภอชะอวด เป็นคนแรก
ส่วนผลงานที่โดดเด่นของท่าน ก็คือการปราบปรามรักษาความสงบให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น เมืองนคร
ปากพนัง จับกุมเสือวัน ซึ่งเป็นเสือร้ายออกปล้นฆ่า สร้างความเดือนร้อนให้แก่ผู้คนใน กิ่งอำเภอเชียรใหญ่
การทำงานที่ดีเด่นของท่านหมื่นฯ แทบทุกครั้ง เมื่อได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาในคดีใด หรือจับกุมผู้ร้าย
คนใดกลุ่มใด จะทุ่มเทความพยายาม ความรู้ ความคิดและหาวิธี ชนิดที่เรียกว่า "กัดแล้วไม่ปล่อย" เช่น
"หลอก - ล่อ - ทรมาน" จนงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีนอกจากนั้นท่านหมื่นฯ ยังจัดหาทุนสร้างที่ทำการ
ชั่วคราวครั้งที่ไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอชะอวด อีกด้วย
ส่วนจริยาวัตรที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง กล่าวให้สั้นที่สุดและเข้าใจได้ง่ายที่สุด คือ "ตลอดชีวิตท่าน ตั้งอยู่แต่ในความดี" ชีวิตท่านกอร์ปไปด้วยความชื่อสัตย์ขาวสะอาด มุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นเป้าหมาย การทำงานในถิ่นกันดารในสภาวะที่ขาดแคลนงประมาณ การบริหารงานบุคคลเพื่อให้ได้ใจของผู้ใต้บังคับบัญชา ทุ่มเทความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ต่างๆ เพื่อผลสัมฤทธิ์ของงานราชการประโยชน์สุขแก่สังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง สะท้อนให้เห็นภาพข้าราชการหรือขุนนางชั้นผู้น้อย ที่ทุ่มเทชีวิตการงานเพื่อผลสำเร็จของงานเป็นที่ตั้งและความสงบสุขของราษฎรเป็นข้อสำคัญ
นี่คือความเป็นมาและประวัติผู้ก่อตั้งวัดหมื่นระชับรังสรรค์ โดยการบริจาค ที่ดินสร้างวัด ในตำบชะอวด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราธเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙ ดังกล่าว ฉะนั้นพวกเราชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ควรยกย่องและอนุโมทนาสาธุ ในคุณความดีของท่านหมื่นฯ โดยมิได้กีดกันรังเกียจถึงเชื้อชาติและศาสนาดังกล่าว
เอกสารอ้างอิง
- ชุมสุข ปัญญาวโร (พระภิกษุ) : "อภินิหารพ่อท่านชัง", ไม่ระบุโรงพิมพ์และปีที่
- วัดหมื่นระรับรัชสรรค์ (ไม่ระบุผู้เขียน): เทียนวัฒนา, ๒๕๓๕๓๗.
- สง่า ชมพูนุช: เอกสารเขียนด้วยลายมือ ๓ หน้ากระดาษฟุลสแก๊ป, ๒๕๓๙
ก้องสมุทร: "รายอกะจิ ขุนพันธ์ฯ สิงห์มือปราบดาบแดง: ธรรมชาติ,๒๕๓
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)