07 สิงหาคม, 2567
เครื่องปั้นดินเผาโมคลาน
เครื่องปั้นดินเผาโมคลาน
ประวัติความเป็นมา
ตําบลโมคลานเป็นแหล่งที่มีความสําคัญทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีแหล่งหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากพื้นที่บางส่วนของตําบลนี้เคยเป็นชุมชนโบราณที่มีความเจริญมาช้านาน บริเวณนี้จึงเป็นแหล่งโบราณคดีที่สําคัญแหล่งหนึ่งในภาคใต้
บ้านโมคลานเป็นชุมชนโบราณที่มีอายุประมาณ 5,000-8,000 ปีมาแล้ว ได้มีการศึกษาสำรวจชุมชนโมคลานตั้งแต่ พ.ศ. 2500 พบหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวเนื่องกับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย และในปี พ.ศ. 2511 ได้ค้นพบเนินโบราณสถานของโมคลาน หรือแนวหินตั้ง ซึ่งจัดอยู่ในวัฒนธรรมหินใหญ่ และห่างจากเนินโบราณสถานโมคลานไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร คาดว่าแต่เดิมเป็นพรุลึกมากเรียกว่า “ทุ่งน้ำเค็ม” ปัจจุบันตื้นเขิน ทั้งนี้ ชาวบ้านยังได้ขุดพบเงินเหรียญแบบฟูนัน จึงสันนิษฐานว่าบ้านโมคลานอาจเป็นชุมชนเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการติดต่อกับชุมชนภายนอก จากหลักฐานที่พบทั้งเทวสถาน โบราณวัตถุในศาสนาพราหมณ์ สระน้ำโบราณ แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายในบ้านโมคลาน แต่ต่อมาอิทธิพลของพุทธศาสนาได้เข้ามาแพร่หลายในบ้านโมคลาน เพราะพบหลักฐานโบราณวัตถุ โบราณสถานทางศาสนาพุทธอยู่มากเช่นเดียวกัน แต่โบราณสถานทางศาสนาของบ้านโมคลานคงจะถูกทอดทิ้งไปเป็นเวลานาน อาจจะก่อนหรือพร้อมกับการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวไทยมุสลิม จากรัฐไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู ตั้งแต่ พ.ศ. 2480 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ ชาวโมคลานมีกลอนอยู่บทหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนลายแทงปริศนา ประวัติความเป็นมาชุมชนโมคลานว่า “ตั้งดินตั้งฟ้า ตั้งหญ้าเข็ดมอน โมคลานตั้งก่อน เมืองคอนตั้งหลัง ข้างหน้าพระยัง ข้างหลังพระภูมี ต้นศรีมหาโพธิ เจ็ดโบสถ์ แปดวิหาร เก้าทวาร สิบเจดีย์” ซึ่งพระอธิการนิติ นิปโก เจ้าอาวาสวัดโมคลาน ได้เฉลยปริศนาบทกลอน ดังนี้
ตั้งดินตั้งฟ้า คือ การตั้งเมืองสมัยก่อน
ตั้งหญ้าเข็ดมอน คือ พื้นที่เดิมของโมคลานเต็มไปด้วยหญ้าเข็ดมอน สมัยก่อนเชื่อว่าเป็นหญ้าศักดิ์สิทธิ์ นี้ ด้วยว่าเป็นหญ้าที่มีต้นกำเนิดมาพร้อมดินและฟ้า ทำให้หญ้าเข็ดมอนมีอีกสถานะคือเป็น “หญ้าดึกดำบรรพ์” ชาวเมืองจึงจะไม่เดินข้ามหญ้าชนิดนี้ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีแล้ว หญ้าเข็ดมอญนอกจากจะเป็นหญ้าที่มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อของชาวโมคลานแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาแก้ปวดเมื่อย ซึ่งคำว่า “เข็ด” ภาษาใต้ แปลว่า ปวดเมื่อย
โมคลานตั้งก่อน คือ พื้นที่โบราณสถานโมคลานที่สร้างมาเมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว
เมืองคอนตั้งหลัง คือ เมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองหลังโบราณสถานโมคลาน
ข้างหน้าพระยัง คือ มีองค์พระ หลังมีการสำรวจพื้นที่ชุมชนโบราณโมคลานที่พบครั้งแรก 3 องค์ ปัจจุบันยังอยู่ในวัดโมคลาน (ยัง ภาษาใต้ แปลว่า มี)
ข้างหลังพระภูมี คือ มีองค์พระ
ต้นศรีมหาโพธิ์ คือ เคยมีต้นโพธิ์ ปัจจุบันไม่มีแล้ว
เจ็ดโบสถ์แปดวิหาร คือ หมายเลขลำดับโบราณสถาน หมายลขเจ็ด คือ โบสถ์ และหมายเลขแปด คือ วิหาร
เก้าทวารสิบเจดีย์ คือ หมายเลขลำดับโบราณสถาน หมายเลขเก้า ทวาร หมายเลขสิบ เจดีย์
จากบทกลอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเก่าแก่ของบ้านโมคลาน ชุมชนโบราณแห่งนี้มีทั้งโบราณสถาน และโบราณวัตถุมากมาย มีภูมิปัญญาที่ตกทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยลักษณะทางกายภาพที่มีแม่น้ำขนาดใหญ่ไหลผ่าน ซึ่งมีผลต่อการติดต่อการเดินทางไปมาหาสู่กันทั้งภายในชุมชนเอง และระหว่างชุมชนต่าง ๆ
เครื่องปั้นดินเผาโมคลาน เป็นหัตถกรรมที่อยู่คู่กับชุมชนในนครศรีธรรมราชเป็นเวลาหลายร้อยปีแหล่งสำคัญที่มีการผลิตมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันคือ ที่บ้านปากพะยิงในอำเภอท่าศาลา อยู่ห่างจากชุมชนโบราณ วัดโมคลาน ทางทิศเหนือราว 100 เมตร มีลำน้ำสายหนึ่งชื่อ "คลองโต๊ะแน็ง" หรือ "คลองควาย" หรือ "คลองโมคลาน" ห่างจากคลองโต๊ะแน็งมาทางเหนือราว 1 กิโลเมตร มีลำน้ำอีกสายหนึ่งชื่อ "คลองชุมขลิง" (หรือ "คลองยิง" หรือ "คลองมะยิง" ) คลองทั้งสองนี้ไหลผ่านสันทรายอันเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณโมคลานไปลงทะเลอ่าวไทยทางทิศตะวันออก ระหว่างคลองทั้ง 2 สายนี้ เป็นบริเวณที่ชุมชนแห่งนี้ทำเครื่องปั้นดินเผามาแต่โบราณ และมักจะเรียกกันว่า "แหล่งทำเครื่องปั้นดินเผาโมคลาน" หรือ " แหล่งทำเครื่องปั้นดินเผาบ้านยิง" อยู่ในหมู่ที่ 9 ตำบลหัวตะพาน และหมู่ที่ 10 และหมู่ที่ 11 ตำบลโมคลาน อำเภอท่าศาลา เนื้อที่ที่ใช้เพื่อการนี้ทั้งที่เคยใช้มาแล้วแต่โบราณ และกำลังทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ประมาณ 30 - 40 ไร่ เมื่อ พ.ศ.2521 เจ้าหน้าที่ของศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช ได้เริ่มเข้าไปดูการทำภาชนะดินเผาที่บ้านมะยิงแห่งนี้ และได้เข้าไปศึกษาอีกหลายครั้ง พบว่าในบริเวณนี้เต็มไปด้วยเนินดินขนาดใหญ่ที่ทับถมด้วยเศษภาชนะดินเผา ชาวบ้านได้เคยขุดดินบนเนินเพื่อขยายเตาเผาภาชนะดินเผาออกไป ได้พบว่าเศษภาชนะดินเผาที่ทับถมกันอยู่นั้นลึกมาก และได้พบเศษภาชนะดินเผารุ่นเก่าเป็นดินเผาเนื้อแกร่งจำนวนมาก
ลายบนภาชนะดินเผาที่พบมี
1.ลายขูดร่องแถวนอกประสมด้วยลายจุดประ
2. ลายประทับเป็นรูปอักษรเอส (s)
3. ลายประทับรูปต้นไม้ที่มียอดคล้ายหัวลูกศร
ลายประทับหลายลายที่มีลักษณะคล้ายกับลายภาชนะดินเผาแบบทวารวดีที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีบ้านคูเมือง อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อ พ.ศ. 2524 ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช ได้เข้าไปสำรวจจำนวนผู้ที่ยังคงทำภาชนะดินเผาอยู่ ณ แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ ปรากฎผลว่ามีผู้ที่ยังคงทำภาชนะดินเผาอยู่จำนวน 13 ราย คือ อยู่ในหมู่ที่ 9 ตำบลหัวตะพาน 9 ราย และหมู่ที่ 11 ตำบลโมคลาน 3 ราย
นายจ่าง สุวพันธ์ อดีตครูใหญ่โรงเรียนวันสระประดิษฐาราม หมู่ที่ 7 ตำบลหัวตะพาน อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่าเมื่อตนได้เข้ามาในชุมชนนี้ในปี พ.ศ.2477 มีผู้ทำภาชนะดินเผาราว 20 ครัวเรือนและสอบถามผู้เฒ่าในขณะนั้นดูได้ความว่าทำมานาน และทำต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ดังที่ได้ปรากฎเนินดินและเตาเผาที่มีเศษภาชนะดินเผาทับถมกันอยู่นั้น ในขณะนั้นนิยมทำเตาเผาโดยการขุดเนินจอมปลวกให้เป็นโพรงภายในโพรงนั้น จะมีลักษณะเป็นห้องหรืออุโมงค์สำหรับวางภาชนะในขณะที่เผาส่วนยอดจอมปลวกก็ตัดให้เป็นช่องขนาดใหญ่ เตาชนิดนี้ด้านข้างถูกเจาะเป็นที่สุมไฟ และด้านบนเป็นช่องระบายความร้อนและลำเลียงภาชนะขึ้นลงเมื่อจะนำเข้าและออกจากเตาเผาครั้งหนึ่ง ๆ ถ้าภาชนะที่เผามีขนาดไม่โตนัก เช่น หม้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 6 นิ้ว จะได้ราว 200 ใบ เตาเผาแบบนี้นับว่าเป็นเตาเผาที่ทำอย่างง่าย ๆ และเป็นที่สืบทอดกันมาแต่ตั้งเดิม และยังทำต่อมาจนบัดนี้โดยมิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดเลย เรียกว่า "เตาหลุม" อันเป็นเตาแบบดั้งเดิม แบบหนึ่ง และเป็นต้นแบบของเตาเผาแบบระบายความร้อนขึ้น เนื่องจากช่องระบายความร้อนกว้างมาก เมื่อเผาภาชนะจึงต้องใช้เศษภาชนะดินเผาที่แตก ๆ วางซ้อน กันขึ้นไปบนภาชนะที่จะเผาอีกทีหนึ่ง เพื่อช่วยรักษาความร้อนมิให้พุ่งออกไปทางด้านบนของเตาเร็วเกินไป เตาแบบนี้ให้ความร้อนไม่สูงพอและควบคุมอุณหภูมิไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถทำภาชนะดินเผาแบบเคลือบได้ นายจ่าง สุวพันธ์ ได้เคยทดลองทำภาชนะดินเผาเคลือบโดยใช้เตาเผาแบบนี้แล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ผลการศึกษาจากผู้มีประสบการณ์ในการทำภาชนะดินเผาในอดีตและปัจจุบัน ในชุมชนโบราณแห่งนี้ ทำให้ทราบว่ากรรมวิธีในการผลิตภาชนะดินเผา ณ ชุมชน โบราณแห่งนี้ในปัจจุบันไม่แตกต่างไปจากที่เคยทำมาเมื่อสมัยโบราณเลย โดยมีขั้นตอนการผลิตดังนี้
1. นำดินเหนียวมาจากบริเวณที่ราบลุ่มต่ำเรียกว่า "ทุ่งน้ำเค็ม" ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้านมะยิง มายังบริเวณที่ตั้งเผาบนสันทราย เอาดินเหนียวที่ได้มา ซึ่งมีความชื้นพอเหมาะที่จะทำภาชนะดินเผาได้ ก็จะพรมน้ำเอาผ้าคลุมแล้วเก็บไว้ แต่หากดินเปียกเกินไปต้องวางให้หมาดเสียก่อน เอาดินที่เตรียมไว้มาสับเป็นชิ้นด้วยไม้ไผ่บาง ๆ ซึ่งเรียกว่า "ไม้ไผ่ฉาก" เพื่อให้เนื้อดินเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
2. นำดินที่สับเป็นเนื้อเดียวกันดีแล้วนั้น มาคลุกผสมด้วยทรายละเอียด ใช้เท้านวดย่ำและคลุกเคล้าด้วยมือให้เนื้อดินกับทรายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาผ้าคลุมไว้ เป็นที่น่าสังเกตว่าการทำภาชนะที่นี่ไม่ได้มีแกลบข้าวเป็นส่วนผสม (โดยปกติการทำภาชนะดินเผาในที่อื่น ๆ มักจะใช้แกลบข้าวหรือผงเชื้อ คือดินผสมแกลบเผาแล้วตำป่นละเอียดมาผสมกับดินเหนียวที่จะใช้ทำภาชนะดินเผา และการใช้แกลบเป็นส่วนผสมนี้มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในยุคหินกลางประมาณ 9,000 ปีมาแล้ว อย่างที่ถ้ำผี จังหวัดแม่ฮ่องสอนส่วนที่แหล่งโบราณคดีโนนนกทา จังหวัดขอนแก่น และที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี จากการวิเคราะห์เศษภาชนะดินเผาก็พบว่ามีการใช้แกลบข้าวเช่นนี้ และใช้ต่อมาจนปัจจุบันนี้ที่บ้านคำอ้อ ซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง นักโบราณคดีบางท่านจึงตั้งข้อสังเกตว่าการทำภาชนะดินเผาที่บ้านคำอ้อน่าจะทำต่อเนื่องมาจากวัฒนธรรมบ้านเชียง)
3. นำดินที่เตรียมไว้แล้วมาขึ้นรูปโดยใช้แป้นหมุน แป้นหมุนที่ใช้ในแหล่งนี้มีทั้งแป้นหมุนชิ้นเดียว (ซึ่งพบว่าแป้นหมุนลักษณะนี้เริ่มมีการใช้ครั้งแรกที่เมืองเออร์ (ur) ในสุเมอร์ เมื่อประมาณ 4,000 - 35,00 ปีมาแล้ว) และแป้นหมุน 2 ชิ้น (ซึ่งพบว่ามีใช้ครั้งแรกที่เมืองฮาเซอร์ (Hazor) ในอียิปต์เมื่อประมาณ 3,300 ปีมาแล้ว) แป้นหมุนนั้นในชุมชนนี้เรียกว่า "มอน" ในขณะใช้แป้นหมุนขึ้นรูปนั้น จะใช้น้ำประสานซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "น้ำเขลอะ" คือ น้ำละลายด้วยดินเหนียวให้ข้นชุบผ้าลูปไปตามผิวภาชนะรูปทรงที่ต้องการในขณะที่อีกคนหนึ่งช่วยหมุนแป้นข้างในภาชนะใช้ลูกถือ (หินดุ) ซึ่งชุมชนนี้เรียก "ลูกเถอ" ตกแต่งในขณะขึ้นรูป
4. ตกแต่งและต่อหู (หากมีหู) หลังจาที่ขึ้นรูปเรียบร้อยแล้ว ใช้เชือกที่ทำจากใยใบสับปะรดตัดที่ก้นให้ก้นภาชนะหลุดออกจากแป้นหมุน นำภาชนะที่ขึ้นรูปเรียบร้อยแล้วมาวางให้หมาดแล้วฝากระป๋องขูดตกแต่งผิว จากนั้นจึงใช้ลูกสะบ้าถูที่ผิวเป็นการขัดมัน
5. แต่งผิวภายในด้วยลูกถือ ส่วนภายนอกใช้ไม้แบบตีให้เป็นลาย หรือกดลายประทับตามต้องการ
6. วางภาชนะไว้ในที่ร่ม
ราว 3 - 4 วัน จนภาชนะนั้นแห้งสนิท (ไม่นิยมตากแดดเพราะภาชนะจะแตก) เมื่อภาชนะแห้งสนิทแล้ว นำเข้าเตาเผาแบบหลุมโดยมีชั้นสำหรับวางภาชนะ (Fire bars) รองรับ วางภาชนะซ้อนทับกันขึ้นมาราว 100 - 200 ใบ เมื่อภาชนะซ้อนกันขึ้นมาจนถึงปากอุโมงค์ค์ของเตาแล้ว เอาเศษภาชนะดินเผาที่แตก ๆ และมีขนาดใหญ่ ๆ ปิดบนภาชนะเหล่านั้นจนเต็ม
7. สุมไฟตอนล่างของหลุมทางช่องของเตาหรืออุโมงค์ที่ขุดไว้สำหรับสุมไฟ (มีเพียงช่องเดียว) เมื่อไฟลุกจะเผาภาชนะซึ่งวางอยู่บนชั้นข้างบน ควันและความร้อนจะระบายออกทางปากอุโมงค์ เตาหลุมแบบนี้จะให้ความร้อนไม่เกิน 800 - 900 องศาเซลเซียส ภาชนะดินเผาที่ได้จากการเผาด้วยเตาหลุมแบบนี้จึงไม่แกร่งพอมีความพรุน ดูดซึมน้ำได้ดี เวลาจับต้องจะหนึบมือ เนื้อดินยังหลอมติดไม่ค่อยสนิทเพราะอุณหภูมิในขณะที่เผายังต่ำ
ต้องระมัดระวังเรื่องความร้อนมาก ต้องควบคุมเรื่องการสุมไฟอยู่ตลอดระยะเวลาแห่งการเผา กล่าวคือ ตอนเริ่มเผาให้ใช้เพียงควันไฟผ่านภาชนะเท่านั้น ระยะนี้จึงมักจะใช้วัสดุหรือไม้ที่ให้ควันได้ดี เช่นไม้ผุ และกาบมะพร้าว หากให้ไฟแรงในระยะแรกภาชนะจะแตก รมควันดังกล่าวนี้ 6 ชั่วโมง จึงจะให้ไฟแรงได้ซึ่งการรมตอนนี้ชาวบ้านเรียกว่า "รมเบา" เมื่อรมเบาผ่านไปแล้วก็ให้ไฟแรง ขั้นนี้ชาวบ้านเรียกว่า "รมหนัก" หรือ "โจ้หม้อ" โดยใช้ฟืนที่ให้ความร้อนสูง และต้องควบคุมอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลารมหนักราว 3 - 5 ชั่วโมงจึงเอาฟืนออกจากเตาให้หมด แล้วเปลี่ยนเป็นรมควันอีกเพื่อให้ภาชนะมีผิวสวยไม่ดำ เมื่อไฟดับสนิทและภาชนะภายในเตาเย็นตัวดีแล้วจึงเอาภาชนะที่เผาแล้วออกจากเตาได้โดยลำเลียงออกมาทางปากอุโมงค์ซึ่งจะได้ภาชนะที่สวยงาม ในราว พ.ศ. 2489 - 2490 มีการผลิตภาชนะดินเผาในชุมชนโบราณแห่งนี้กันมากที่สุด เพราะเป็นระยะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งภาคใต้ได้ประสบวิกฤตการณ์จากสงครามครั้งนี้ด้วย ทำให้มีผู้ต้องการใช้ภาชนะดินเผามากเป็นพิเศษ
สิ่งที่ผลิตในระยะนั้นคือ โอ่งน้ำ อ่าง สวด หม้อข้าว หม้อแกง กระทะ ขัน กรอง (กะชอน) เนียง (คล้ายไห ส่วนปากกว้างกว่า) และกระถาง โดยทำได้วันละ 100 - 150 ใบต่อคน เส้นทางลำเลียงภาชนะดินเผาออกขายในสังคมภายนอกขณะนั้นคือ คลองโต๊ะแน็ง และคลองชุมขลิง โดยใช้เรือใบบรรทุกมาส่งที่ท่าแพและท่าโพธิ์ อันอยู่ในบริเวณเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อลำเลียงต่อไปยังปากพนัง เกาะสมุย สิชล ปากนคร และปากพญา เรือใบแต่ละลำบรรทุกภาชนะดินเผาได้ราวเที่ยวละ 1,000 - 2,000 ใบ แต่ละครอบครัวบรรทุกออกไปขายเดือนละ 1 เที่ยว ราคาขายในระยะนั้น อย่างหม้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 นิ้ว ขายราคาร้อยละ 3 บาทถึงปี พ.ศ.2541 ราคาใบละประมาณ 50 - 100 บาท
ที่มา : สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่ม 3. กรุงเทพฯ. มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย,
ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542, 6 หน้า.
https://wikicommunity.sac.or.th/community/1058