27 สิงหาคม, 2567
ข้าวที่สิบสอง สำรับเครื่องพลีแห่งแดนใต้
ข้าวที่สิบสอง สำรับเครื่องพลีแห่งแดนใต้
ในพิธีกรรมเซ่นสรวงบวงพลีของภาคใต้ นับตั้งแต่ชุมพรไปจนถึงบางส่วนทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย มีการจัดเครื่องพิธี ในส่วนของเครื่องสังเวยที่คล้ายคลึงกัน ตั้งแต่พิธีเซ่นไหว้เจ้าที่ ไปจนถึงพิธีไหว้ครู หรือ พิธีบวงสรวงตามแบบพื้นเมืองของภาค ใต้ เครื่องสังเวยที่ขาดไม่ได้ในทุกพิธีกรรม เรียกกันว่า “ ข้าวที่สิบสอง ”
ข้าวที่สิบสอง เป็นสำรับยืนพื้นสำหรับใช้ในการประกอบพิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพิธีน้อย หรือ พิธีใหญ่ จะต้องมีข้าวที่สิบสองเป็นสำรับร่วมด้วยเสมอ หากเป็นพิธีเล็กๆ จะอาศัยข้าวที่สิบสองเป็นสำรับสำคัญ กล่าวได้ว่าเป็นสำรับหลักของพิธี หากเป็นพิธีใหญ่ ข้าวที่สิบสอง จะเป็นสำรับที่ขาดไม่ได้ พิธีกรรมพื้นเมืองในภาคใต้ ถือว่าสำรับข้าวที่สิบสอง เป็นเครื่องบูชาเครื่องสังเวยที่ขาดไม่ได้ หากพิธีเซ่นสรวงใดขาดสำรับข้าวที่สิบสอง พิธีนั้นจะไม่สมบูรณ์
ที่มาของสำรับข้าวที่สิบสอง ไม่มีตำนานเล่าขานที่มา อาศัยการจัดสำรับอาหารของมนุษย์เป็นพื้น ในสำรับอาหาร ย่อมประกอบด้วยอาหารคาว อาหารหวาน ข้าว ผลไม้ และเครื่องดื่ม ปราชญ์ และ นักพิธีกรรมชาวใต้ยุคโบราณ เอาอาหารที่สำคัญๆในพิธีกรรม นำมารวมกัน เป็นสำรับข้าวที่สิบสอง ซึ่งประกอบไปด้วย
๑.ข้าวสวยปากหม้อ คือ ข้าวเจ้าหุงสุก ตักเอาส่วนบนของหม้อใส่ในถ้วย ข้าวสวยที่ใส่สำหรับข้าวที่สิบสอง ต้องเป็นข้าวไม่มีรอยคด หรือ เป็นข้าวที่ไม่ผ่านการบริโภคมาก่อน ส่วนข้าวที่นำมาหุง เป็นข้าวเจ้าสายพันธุ์อะไรก็ได้ ไม่จำ เป็นต้องเป็นข้าวขาว
๒.ข้าวเหนียว ข้าวเหนียวสำหรับใส่สำรับข้าวที่สิบสอง ใช้ข้าวเหนียวหุงสุกใส่ในถ้วย ในปัจจุบันใช้ข้าวเหนียวมูนมีหน้าต่างๆ เช่นหน้าสังขยา หน้ากุ้ง หน้ากระ ฉีก ซึ่งเป็นที่สะดวก สามารถหาซื้อได้ตามตลาดต่างๆ ในบางพื้นที่ ที่ห่างไกลจากตลาดหรือย่านชุมชน จะใช้ข้าวเหนียวหุงสุกโรยด้วยน้ำตาล หรือ ใช้ข้าวเหนียวหลามแทน ในสำรับข้าวที่สิบสอง ข้าวเหนียวไม่สามารถขาดได้
๓.ขนมโค ขนมพื้นเมืองภาคใต้ ทำกินก็ได้ ทำแก้บนก็ดี คงไม่พ้น “ ขนมโค ” ตัวขนมทำมาจากแป้งข้าวเหนียว นวดเข้ากับน้ำให้จับตัวเป็นก้อน แบ่งน้ำตาลแว่นเป็นชิ้นๆ แล้วปั้นแป้งหุ้มไว้ให้เรียบร้อย นำแป้งที่สอดใส้น้ำตาลลงไปต้มในน้ำให้สุก แล้วนำไปคลุกกับมะพร้าวขาวขูดโรยด้วยเกลือ ก็สำเร็จเป็นขนมโคขาวพร้อมรับประทาน ขนมโคสำหรับพิธีกรรม จะนิยมใส่ขนมโคขาวในสำรับ ถือเป็นเครื่องพลีกรรมที่ขาดไม่ได้เช่นกัน
๔.ขนมแดง ขนมแดง ในการทำของชาวภาคใต้ มีวิธีทำใกล้เคียงกับขนมบัวลอย คือ นำแป้งข้าวเหนียวปั้นกับน้ำให้จับตัวเป็นก้อน ต้มน้ำให้เดือดจัด หยิบก้อนแป้งแบ่งเป็นลูกเล็กๆ เหมือนลูกขนมบัวลอย ใส่น้ำเดือดต้มให้สุก เมื่อแป้งสุกให้ตักพักไว้ นำน้ำตาลเคี่ยวผสมกับน้ำเปล่าเล็กน้อย จนเหลวข้นพอเหมาะ นำแป้งที่ต้มเทใส่ในน้ำตาลเคี่ยว ใช้ช้อนคนให้แป้งกับน้ำตาลเข้ากัน ปัจจุบัน ขนมแดงหาคนทำได้ยาก บางท่านเลยเปลี่ยนจากขนมแดงที่ต้มแบบโบราณ มาใช้ขนมที่มีสีแดงแทน เช่น ขนมหน้าขึ้นย้อมสีแดง , ขนมจับอับสีแดง เป็นต้น
๕.ขนมถั่ว ขนมงา เดิมที สันนิษฐานว่า คงจะใช้ถั่วคั่ว และ งาคั่ว หรือ ขนมที่ทำมาจากถั่วและงานำมาใส่ในสำรับ แต่ระยะหลัง เมื่อมีการผลิตขนมจันอับโดยชาวจีนที่มาอาศัยในประเทศ ครูอาจารย์จึงนิยมใช้ขนมถั่วตัด และ ขนมงาตัดแทน เพราะสะดวกในการซื้อหา และสามารถเก็บไว้ได้นาน
๖.ปลามีหัวมีหาง ปลามีหัวมีหาง คือ ปลาทั้งตัวนำไปต้ม หรือ นำไปทอดให้สุก ในอดีต หมอพิธีกรรม หรือ เจ้าพิธีพื้นบ้าน นิยมปลาต้มส้ม ปลาที่ใช้เป็นปลาทู หรือ ปลาตัวขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ตัวงามๆ นำไปต้มใส่ตะใคร้ใบมะกรูด หัวหอมกระเทียม ใส่เกลือและน้ำส้มจาก หรือ น้ำส้มโหนดให้ออกรสเปรี้ยว เมื่อปลาสุก จึงตักใส่ถ้วยทั้งตัว ปัจจุบันปลามีหัวมีหางในสำรับข้าวที่สิบสอง นิยมใช้ปลาทูทอดแทน เนื่องจากสะดวกในการซื้อหา
๗.ไข่ต้ม ในอดีตใช้ไข่ไก่บ้านที่เลี้ยงในครัวเรือน ปัจจุบันไข่เป็นอาหารพื้นฐานที่มีขายในทุกพื้นที่ ไข่ในสำรับข้าวที่สิบสอง เป็นไข่ต้ม จะใช้ไข่เป็ดหรือไข่ไก่ก็ได้ ต้มให้สุกทั้งฟอง นำมาใส่ในถ้วยชุดสำรับข้าวที่สิบสอง ถ้าใส่พอเป็นพิธีให้ใส่ฟองเดียว แต่ถ้าเอาให้ควรแก่ฐานะ ให้ใส่สามฟอง
๘. แกงเผ็ด ในสำรับข้าวที่สิบสอง มีแกงเผ็ดเป็นหนึ่งในสำรับ โดยส่วนใหญ่จะไม่บังคับชนิด เป็นแกงเผ็ดแบบใดก็ได้ แกงส้ม แกงกะทิ แกงพริก แกงคั่ว เลือกตักแบบเดียวกับข้าวปากหม้อ คือตักเอาส่วนบนของหม้อ และเลือกตักตอนที่แกงสุกใหม่ๆ เพื่อมั่นใจว่า ไม่ผ่านการรับประทานมาก่อนนั่นเอง
๙.แกงจืด แกงจืดในสำรับข้าวที่สิบสอง ที่ผู้เขียนเคยเห็น แม่บ้านในอดีตนิยมใส่แกงเลียงในสำรับข้าวที่สิบสอง เพราะเป็นแกงที่หาวัตถุดิบง่าย ปรุงง่าย สำหรับปัจจุบัน ท่านสามารถใส่แกงจืดชนิดใดก็ได้ หรือ จะใส่อาหารประเภทผัดผักลงไปแทนก็ได้เช่นกัน เมื่อจะตัก เช่นเดียวกับแกงจืด คือตักเอาส่วนบนของหม้อ ที่ไม่มีการตักไปรับประทาน
๑๐.ยำ ในสำรับข้าวที่สิบสอง มีการใส่ยำลงไปด้วย เพื่อเป็นกับแกล้มกับเหล้า หรือ เป็นอาหารกับข้าว แต่ยำในที่นี้ เป็นยำพื้นเมืองของภาคใต้ ไม่ได้เป็นยำใส่เนื้อสัตว์อย่างเช่นปัจจุบัน เท่าที่ผู้เขียนพบเห็น ยำที่นิยมใส่ในสำรับข้าวสิบสอง ประกอบไปด้วย
- ยำแตงกวา ยำที่ง่ายสุดในการทำ วิธีการปรุง ให้ท่านนำแตงกวามาปอกเปลือก ใช้มีดสับหรือใช้ที่ขูด ขูดเนื้อเป็นเส้นยาวๆ เหมือนส้มตำ แยกแกนไส้ทิ้ง นำเส้นแตงกวาใส่ชาม ใส่กะปิ หั่นหอมแดง ซอยพริกขี้หนูตาม บีบน้ำมะนาวใส่ ใช้มือหรือช้อนบี้ให้กะปิละลายเข้ากับน้ำแตงกวา คลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงให้ออกรสชาติเค็ม เปรี้ยว เผ็ด ถ้ามีกุ้งแห้ง โรยหน้าด้วยกุ้งแห้งเพิ่มก็ได้เช่นกัน ยำแตงกวา เป็นยำที่ทำง่าย จึงนิยมทำใส่ในข้าวที่สิบสอง
- ยำมะเขือ ใช้มะเขือเปราะ หรือ มะเขือที่กินกับน้ำพริก หั่นซอยบางๆ ใส่มะพร้าวคั่ว หอมแดงซอย พริกขี้หนูซอย ใส่กุ้งแห้ง น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาล ปรุงให้ออกรสชาติ เปรี้ยว เค็ม เผ็ด หวานเล็กน้อย
- ยำมะม่วง หรือ ยำมะพร้าวคั่ว นำมะม่วงดิบสับหรือขูดให้เป็นเส้นยาวๆ ใส่ชามใบใหญ่ ตามด้วย มะพร้าวคั่ว กุ้งแห้ง หอมแดงซอย พริกขี้หนูซอย น้ำปลา น้ำตาลเล็กน้อย ใบโหระพา คนเข้าด้วยกัน ปรุงให้ออกรสชาติ เปรี้ยว เค็ม เผ็ด หวานเล็กน้อย ยำมะม่วงบางพื้นที่ เพิ่มหนังหมูหั่นเส้นลงไปด้วย หากหามะม่วงไม่ให้ ใช้ลูกส้มมุด หรือ ลูกมะมุดแทนกันได้
- ยำหยวก ใช้หยวกกล้วยหั่นเป็นฝอยๆ แช่ในน้ำผสมเกลือและน้ำส้มสายชู เพื่อไม่ให้เกิดสีคล้ำดำ เมื่อแช่ได้ระยะหนึ่ง จึงบีบขยำให้หมดน้ำ แล้วนำไปต้มในหัวกะทิจนสุก แล้วปรุงรสด้วยกะปิ น้ำตาล น้ำมะนาว พริกขี้หนูหั่น หอมแดงหั่น คลุกเคล้าให้เข้ากัน หากท่านจะใช้ปลีกล้วยนำมายำ ก็ทำได้เช่นกัน
นอกเหนือยำทั้ง ๔ ชนิดในข้างต้น ยำในสำรับข้าวที่สิบสอง สามารถใส่ยำที่เป็นยำพื้นบ้านลงไปได้ เช่น ยำผักแว่น ยำใบไม้ ยำสาหร่าย ( ยำสาย ) ยำหัวโหนด ยำเห็ดเหม็ด ยำผัดกูด หรือจะเปลี่ยนยำที่เป็นเนื้อสัตว์ เช่น ยำปลา ยำกุ้ง ก็ได้เช่นกัน
๑๑.น้ำพริก น้ำพริกในสำรับข้าวที่สิบสอง ในอดีต แม่ครัวรุ่นเก่านิยมน้ำ พริกส้มนาว ( น้ำพริกกะปิ ) เป็นหลัก เนื่องจากปรุงง่าย วัตถุดิบใช้ไม่กี่อย่างก็ปรุงสำเร็จได้แล้ว น้ำพริกมะนาวจะใช้คลุกข้าวกิน จิ้มผักกิน หรือ จิ้มเนื้อสัตว์กินก็ได้ นอกเหนือจากน้ำพริกมะนาว หรือ น้ำพริกกะปิ ท่านจะเปลี่ยนเป็นน้ำพริกอย่างอื่นก็ได้ เช่น น้ำพริกมะม่วง น้ำพริกมะอึก น้ำพริกระกำ น้ำชุบฝาน ( น้ำพริกโจรใส่กุ้งต้ม ) น้ำพริกใบทำมัง น้ำพริกตะลิงปิง น้ำพริกกะทือ น้ำพริกมะขาม เป็นต้น
๑๒.ผักจิ้ม ผักจิ้มในสำรับข้าวที่สิบสอง ไม่มีข้อจำกัด ขอแค่เป็นยอดไม้หรือผักที่รับประทานสดคู่กับอาหารได้ หากเป็นในปัจจุบัน ผักจิ้มประกอบด้วยแตงกวาลูกเล็ก , มะเขือเปราะผ่า , ถั่วผักยาว , ถั่วพู , ยอดมะม่วงหิมพานห์ , ยอดมันปู หรือจะใช้ผักลวกกะทิก็ได้เช่น ยอดเขลียงลวกกะทิ , หยวกลวกกะทิ , ผักบุ้งลวกกะทิ เป็นต้น
สำรับข้าวที่สิบสอง ที่ผู้เขียนนำเสนอนั้น เป็นเพียงแนวทางหนึ่งในการจัด เพราะสูตรในการจัดข้าวที่สิบสองในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน บางพื้นที่ จัดกล้วยน้ำว้าสุกหั่นชิ้น และ อ้อยควั่นเข้ามา บางพื้นที่ เพิ่มแก้วน้ำใส่ในสำรับด้วย การจัดสำรับข้าวที่สิบสองนั้น คนยุคก่อนๆ นิยมใช้ถ้วยกระเบื้องจีนใบเล็ก ที่ชาวจีนนิยมใส่น้ำจิ้มหรือขนมชิ้นเล็ก นำมาใส่สำรับข้าวที่สิบสอง แล้วนำสำรับทั้งสิบสองอย่างใส่ลงในถาด หรือ พานใบใหญ่ ตั้งแก้วน้ำประกอบ ๑ ใบ ใส่น้ำไว้พร้อม กับ หมากพลู ๑ คำ และติดเทียน ๑ เล่ม หากเป็นปัจจุบัน ที่ผู้เขียนใช้อยู่ ผู้เขียนใช้ถ้วยขนาดเท่าถ้วยน้ำจิ้มสุกี้ หรือ ถ้วยน้ำจิ้มหมูกระทะ นำมาเป็นภาชนะใส่สำรับข้าวที่สิบสองแทน เพราะมีขนาดพอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป
สิ่งที่ไม่ควรจะขาดในสำรับข้าวที่สิบสอง ผู้เขียนขอสรุปไว้ให้คงมี คือ ข้าวสวยปากหม้อ ข้าวเหนียว ขนมโคขาว ขนมต้มแดง ขนมถั่วตัดงาตัด ปลามีหัวมีหาง นอก นั้นจะเป็นแกงเผ็ด แกงจืด ยำ น้ำพริก ผักจิ้ม ชนิดใดแบบใดก็ได้ แล้วแต่จะคิดรัง สรรค์ หรือ ตามที่ครูเราชอบ เท่าที่ผู้เขียนฟังคนแก่คนเฒ่าบอกเล่ามา สำรับข้าวที่สิบสอง เป็นสำรับสังเวยที่สำคัญ หากทำเองได้ ท่านควรทำเอง เพื่อให้เทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูอาจารย์เห็นถึงความมานะพยายามของท่าน เปรียบเหมือนลูกทำกับ ข้าวให้พ่อแม่ได้รับประทาน
การวางสำรับข้าวที่สิบสอง นิยมวางไว้เบื้องหน้าหัวสาดหัวหมอน ( หัวสาดหัวหมอน คือปลายเสื่อกระจูดด้านหนึ่งม้วนให้กลม ภายในม้วนสอดหมอนเข้าไป ปูผ้าขาวลาดทับ เพื่อเป็นที่ประทับของเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และครูอาจารย์ ) เพื่อเป็นสำรับอาหารต้อนรับเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นโต๊ะบวงสรวงขนาดใหญ่ สำรับข้าวที่สิบสอง ควรตั้งอยู่เบื้องหน้าสายตาของเจ้าพิธี เพื่อให้เจ้าพิธีได้ถวายสำรับอาหารหลักให้แก่เทวดาเช่นกัน เมื่อเสร็จพิธีแล้ว คนแก่คนเฒ่า นิยมเอากับข้าว ขนมบางส่วนมารับประทาน หรือให้ลูกหลานรับประทาน ด้วยเชื่อถือกันว่า ของเหลือจากที่ครูอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เสวย ย่อมเป็นของดี กินแล้วทำให้จำเริญสุข ปลอดภัยได้ลาภ และเป็นการรับสิริมงคลจากเทวดา และครูอาจารย์ที่ได้ถวายอีกด้วย แต่หากท่านเห็นสำรับข้าวสิบสอง ที่ไม่ได้อยู่ในถ้วยในถาด หรือ ถูกตั้งเป็นกองๆ เรียงกัน หรือใส่ภาชนะที่คล้ายกับกระทงบัตรพลี ท่านอย่าได้เผลอไปยุ่มย่ามเด็ดขาด เพราะสำรับที่กองชุดนั้น ถูกพลีให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว หากพบเห็น หรือมีกระทงบัตรพลีในบริเวณพื้นที่บ้านของท่าน ควรปล่อยให้เครื่องเซ่นเหล่านั้นเหี่ยวแห้ง แล้วค่อยลานำไปทิ้งเพื่อความสะอาดของสถานที่ หากพบเห็นต่างสถานที่ อย่าได้เข้าไปยุ่งดีที่สุด
ที่มา โดย ภูมิ จิระเดชวงศ์
ชื่อบ้าน นามเมือง : ท่าหลา (ท่าศาลา)
ชื่อบ้าน นามเมือง : ท่าหลา (ท่าศาลา)
“โมคลานตั้งก่อน ทรัพยากรมากหลาย หาดทรายยาวรี หม้อดีบ้างยิง มิ่งเมืองมหาวิทยาลัย น้ำใสปลาสด งดงามน้ำใจ” คำขวัญอำเภอท่าศาลา
ท่าศาลาเป็นชุมชนเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีประวัติการสร้างบ้านสร้างเมืองมายาวนาน เคยเป็นชุมชนโบราณที่อายุกว่า 1,000 ปี โดยเฉพาะชุมชนโบราณที่ตำบลโมคลาน มีอายุเก่าแก่ ถึงกับมีคำกลอนบทหนึ่งที่บ่งบอกความเป็นชุมชนโบราณมานานว่า “ตั้งดินตั้งฟ้า ตั้งหญ้าเข็ดมอน โมคลานตั้งก่อน เมืองคอนตั้งหลัง”
ดินแดนนี้เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณพลเมืองเป็นคนไทยเผ่าไทโย อำเภอท่าศาลา เดิมชื่ออำเภอกลาย มีการปกครองระบบหัวเมืองมาแต่ปลายสมัยอยุธยา ในสมัยรัชกาลที่ 2 อำเภอท่าศาลา แยกการปกครองออกเป็น 5 เมือง ได้แก่ เมืองไทยบุรี เมืองร่อนกะหรอ เมืองกลาย เมืองโคลาน เมืองนบพิตำ ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑล มีนายเจริญ เป็นนายอำเภอคนแรก เมื่อ ร.ศ. 116-118 ที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่ริมทะเลบ้านปากน้ำท่าสูง ต่อมาได้ย้ายไปตั้งที่วัดชลธาราม (วัดเตาหม้อ) จนถึง พ.ศ. 2459 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอมาตั้งที่บ้านศาลาน้ำ และได้เปลี่ยนชื่อจากอำเภอกลาย เป็น อำเภอท่าศาลา
อำเภอท่าศาลามี 10 ตำบล ได้แก่ ท่าศาลา กลาย หัวตะพาน สระแก้ว ดอนตะโก โมคลาน ตลิ่งชัน โพธิ์ทอง ท่าขึ้น และไทยบุรี มีพื้นที่ 387.02 ตารางกิโลเมตร
ประวัติความเป็นมาอำเภอท่าศาลา
5,000 – 12,000 ปีมาแล้ว พบร่องรอยการอยู่อาศัยที่บ้านบางสาร (บ้านบางพานไทร) หมู่ที่ 3 ต.กลาย เช่น เครื่องมือหินขัด เศษภาชนะดินเผา เป็นต้น
4,000 – 5,000 ปีมาแล้ว พบร่องรอยการอยู่อาศัยของผู้คนบริเวณคลองกลาย หมู่ที่ 1 ต.สระแก้ว เช่น ขวานหิน เสียมหิน เป็นต้น
1,500 – 4,000 ปีมาแล้ว พบกลองมโหระทึกที่บ้านเราะ ในตำบลสระแก้ว
พ.ศ. 701 – 800 พบเหรียญเงินฟูนัน ที่ตำบลโมคลาน
พ.ศ. 1101- 1200 มีศิลาจารึกวัดมเหยงคณ์ (ลุ่มโหนด) ตำบลตลิ่งชัน
พ.ศ. 1192 สร้างเมืองโคลาน (ตั้งดินตั้งฟ้า ตั้งหญ้าเข็ดมอน โมคลานตั้งก่อน นครตั้งหลัง)
พ.ศ. 1193 สร้างวัดมเหยงคณ์ (ลุ่มโหนด) ตำบลตลิ่งชัน
พ.ศ. 2352 ตั้งอำเภอกลาย (สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) พ.ศ. 2495 เปลี่ยนชื่อจากอำเภอกลาย เป็นอำเภอท่าศาลา
ความเป็นมา : ชื่อตำบล
ท่าศาลา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่าหลา เพราะว่าแต่เดิมชาวบ้านได้สร้าง ศาลา ไว้ริมคลองสายเล็กๆ สายหนึ่งที่แยกออกมาจากคลองท่าสูง เพื่อเป็นที่พักร้อนและเป็นที่เทียบเรือ (จอดเรือ) ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนั้นว่า “หลาน้ำ” หรือ “ท่าหลา” ตรงกับภาษากลางว่า “ท่าศาลา”
กลาย เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามปรากฎการณ์ของธรรมชาติเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก พื้นที่บริเวณปากน้ำกลายเปลี่ยนแปลงตามความรุนแรงของกระแสน้ำที่ไหลและกัดเซาะตลิ่ง ทำให้บริเวณปากน้ำนั้นมีสภาพเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตามความรุนแรงของกระแสน้ำ ผู้คนจึงเรียนบริเวณนั้นว่า “กลาย” หมายถึง เปลี่ยนแปลงไป
หัวตะพาน เป็นชื่อตำบลที่เพี้ยนเสียงมาจากคำว่า “หัวพ่าน” เนื่องจากบริเวณดังกล่าว เป็นสนามรบระหว่าง ไทย-พม่า ในสงครามเก้าทัพ ทหารทั้งสองฝ่ายทั้งไทยและข้าศึก ถูกคมหอก คมดาบ หัวขาด เกลื่อนกลาดทั่วบริเวณนั้น คนในท้องถิ่นเรียนกว่า “หัวพ่าน” หมายถึงศรีษะเกลื่อนกลาด ระเกะระกะ และเรียกบริเวณนั้นว่า “หัวพ่าน” หรือ “บ้านหัวพ่าน” เมื่อมีการยกระดับ “บ้านหัวพ่าน” ขึ้นเป็นตำบล ก็เปลี่ยนชื่อจาก “หัวพ่าน” เป็น “หัวตะพาน”
สระแก้ว เป็นชื่อตำบลที่ตั้งชื่อตามสิ่งที่มีอยู่ในบริเวณนี้ คือมีสระน้ำขนาดใหญ่ อยู่บริเวณวัดสระแก้วในปัจจุบัน น้ำในสระใสเหมือนแก้วกระจก จึงเรียกพื้นที่บริเวณดังกล่าวว่า “สระแก้ว” อีกตำนานของชื่อ “สระแก้ว” คือ มีคนไปขุดดินเพื่อตกแต่งสระน้ำจะได้ใช้น้ำที่ดี ก็พบลูกแก้วสีเขียว กี่ลูกก็หาทราบไม่ ต่อมาจึงเรียกพื้นที่นี้ว่า สระแก้ว
ดอนตะโก เป็นชื่อตำบลที่มีประวัติยาวนานอีกตำบลหนึ่ง คำว่า ดอนตะโก มาจากคำว่า “ดอน” แปลว่าที่สูง น้ำไม่ท่วม และ “ตะโก” เป็นชื่อพืชประจำถิ่นชนิดหนึ่ง เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ผลเป็นพวงคล้ายลำใย ผลกินได้ ทั้งผลแก่และผลสุก รสเปรี้ยว เรียกว่า “โก” หรือ “ต้นโก” ภาษากลางเรียกว่า “ตะโก” ชาวบ้านเรียกที่ดอนที่มีต้นโก หรือต้นตะโกว่า “ดอนโก” หรือ “ดอนตะโก”
โมคลาน (โมก-คะ-ลาน) เป็นชื่อตำบลเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมายาวนานตำบลหนึ่ง คำว่าโมคลาน มาจากคำว่า “โมคัลลานะ” เจ้าชายจากลังกาที่มาสร้างเมือง โมคลาน อีกนัยหนึ่ง คนในท้องถิ่นเล่าว่าเป็นชื่อเรียกบ้านเรือนที่อยู่บนโคก (เนินดิน) ส่วนคำว่า ลาน หมายถึงลานดิน ที่ไม่มีต้นไม้ และยังหมายถึงชื่อไม้ชนิดหนึ่งลำต้นคล้ายต้นตาลโตนด ในอดีตในบริเวณนี้ มีจำนวนมาก คำว่า “โคกลาน” จึงมีความหมายว่า เนินดินที่เป็นลานหรือเนินดินที่มีต้นลาน ต่อมาคำว่า “โคกลาน” เพี้ยนเสียงเป็น “โมคลาน”
ตลิ่งชัน เป็นตำบลที่แยกมาจากตำบลกลาย บริเวณนี้มีคลองกลายไหลผ่าน ที่ตั้งของตำบลมีตลิ่งสูงชัน ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนี้ว่า “ตลิ่งชัน”
โพธิ์ทอง เป็นตำบลที่แยกจากตำบลหัวตะพาน ชื่อโพธิ์ทอง มาจากพื้นที่บริเวณนี้มีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ ให้เงาร่มรื่น เมื่อแยกบริเวณนี้มาเป็นตำบล ก็ให้ชื่อว่าตำบล “โพธิ์ทอง”
ท่าขึ้น, ทางขึ้น ท่าขึ้น เป็นชื่อตำบลหนึ่งในอำเภอท่าศาลา เมื่อ พ.ศ. 2232-2249 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตรงกับรัชกาลพระเพทราช ทางกรุงศรีอยุธยา ยกกองทัพเรือ มาตีนครศรีธรรมราช และมาขึ้นบกที่บริเวณ “ทางขึ้น” (วัดทางขึ้น) ในปัจจุบัน ชาวบ้านเรียกว่า “ท่าขึ้น”
ไทยบุรี เป็นชื่อตำบลหนึ่งในอำเภอท่าศาลา เป็นพื้นที่การปกครองเรียกว่า “เมือง” 1 ใน 11 เมือง (ท่าทอง สมุย ปากพนัง ปรามบุรี อินทรคีรี ไชยมนตรี ฉลอง พิชัย ตรัง และ ไทยบุรี) ขึ้นกับหัวเมืองนครศรีธรรมราช ในสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) ยกทัพไปตีเมืองไทรบุรี และได้กวาดต้อนผู้คนชาวเมืองไทรบุรีมาขึ้นบกที่ “ท่าขึ้น” และให้ตั้งถิ่นฐานบริเวณชายทะเล และบางส่วนไปทุ่งลายสาย และอีกบางส่วนเข้ามาในเมืองนครศรีธรรมราช
ความเป็นมา : ชื่อหมู่บ้าน
บ้านหน้าทับ เมื่อ พ.ศ. 2328 เกิดสงคราม 9 ทัพ พม่ายกกองทัพข้ามเขาหลวง เข้าเขตท่าศาลาที่บ้านปากลง เจ้าพระยานคร (พัฒน์) วางแผนตั้งรับที่อำเภอท่าศาลา เป็นระยะๆ สนามรบที่สำคัญ คือ บ้านชุมโลง บ้านป่าโหลน บ้านหัวพาน (ตำบลหัวตะพานใจปัจจุบัน) ส่วนกองทัพสำคัญของเจ้าพระยานคร (พัฒน์) ตั้งที่บริเวณที่เรียกว่า “บ้านหน้าทับ” ในปัจจุบัน
บ้านเตาหม้อ เดิมเป็นป่ารกร้าง เมื่อเกิดสงครามเก้าทัพ ในสมัยรัชกาลที่ 1 มีชาวจีนอพยพหนีภัยสงคราม มาจากเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต มาตั้งบ้านเรือน และปั้นหม้อดินขายอยู่บริเวณสองฝั่งคลอง จึงเรียกบริเวณนี้ว่า “บ้านเตาหม้อ” และเรียกคลองนี้ว่า คลองเตาหม้อ เป็นคลองที่เชื่อมต่อกับคลองบ่อนนท์ ออกสู่ทะเลได้ จึงมีเรือสำเภาติดต่อค้าขาย
บ้านแหลม ผู้คนอพยพมาจากแหลมตะลุมพุก หลังจากเกิดเหตุวาตภัยครั้งใหญ่ “พายุแอเรียต” เมื่อ พ.ศ. 2505 ผู้ที่เป็นไทยพุทธและมุสลิมมาอยู่อาศัย รักใคร่กลมเกลียวสามัคคีกัน ตั้งที่อยู่อาศัยว่า “บ้านแหลม” อาชีพหลักคือการทำประมง
บ้านท่าสูง เป็นพื้นที่ราบสูง เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำท่วมไม่ถึงบริเวณดีงกล่าวมีคลองไหลผ่าน เช่น คลองท่าสูง คลองสิงห์ คลองโก ในสมัยโบราณพื้นที่แห่งนี้ เป็นท่าเทียบเรือขนส่งสินค้าซึ่งมีท่าเทียบเรือขนส่งอยู่ในระดับสูง เมื่อมีการตั้งบ้านเรือน จึงเรียกบริเวณพื้นที่นี้ว่า “บ้านท่าสูง” อีกทั้งมีพระภิกษุเผยแพร่ศาสนาและเลือกที่ตั้งวัดให้เหมาะสม จึงเลือกบริเวณนี้เป็นที่ตั้งวัด เรียกวัดท่าสูง จนถึงปัจจุบันนี้
บ้านท่าสูงบน ลักษณะเป็นเนินสูง ผู้คนต้นตระกูลเดินทางมาจากมาเลเซีย 200 กว่าปีก่อน มาทางทะเล เมื่อเห็นเป็นเนินสูงก็เข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน เรียกว่า “ท่าสูงบน” สายสกุลที่เดินทางมาจากมาเลเซีย สังเกตจากนามสกุลมักขึ้นต้นคำว่า “โต๊ะ” เช่น โต๊ะหมาด โต๊ะหมาน โต๊ะหาด โต๊ะเต็บ เป็นต้น
บ้านชุมโลง บริเวณดังกล่าว ขณะเกิดสงคราม 9 ทัพ รบกันถึงขั้นตะลุมบอน ล้มตายกันมากทั้งสองฝ่าย เมื่อเสร็จศึก ผู้คนเอาโลงศพไปประชุมรวมกันที่บริเวณนั้น จึงเรียก “บ้านชุมโลง”
บ้านในถุ้ง เพี้ยนมาจากคำเดิมว่า “บ้านในทุ่ง” เป็นคำเรียกตามลักษณะภูมิประเทศในบริเวณนี้ เดิมเป็นทุ่งนาผืนใหญ่ ผู้คนกลุ่มแรกที่มาสร้างถิ่นฐานบ้านเรือน เป็นชาวมุสลิมที่หนีภัยสงครามจากการล่าอาณานิคมของอังกฤษ ส่วนใหญ่มาจากรัฐต่างๆ ของมาเลเซีย ปีนัง ตรังกานู กลันตัน และมาจากต่างจังหวัด เช่น จังหวัดสงขลา ยะลา และปัตตานี เดิมชื่อบ้านในถุ้ง มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น บ้านท่าสูงล่าง บ้านปากน้ำ บ้านสันติสุข บ้านลองอ (แปลว่า สบาย)
บ้านสระบัว เป็นหมู่บ้านชายทะเลเมื่อหลายสิบปีก่อนถูกเชื่อมด้วยคลอง เรียกว่า “คลองถุ้ง” ในอดีตชุมชนแห่งนี้มีพื้นที่สระบัวขนาดใหญ่อยู่ใจกลางชุมชน จึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านสระบัว” ปัจจุบันคลองสายนี้ ได้เปลี่ยนแปลงไปเหลือเพียงร่อยรอยของความเป็นคลองด้วยป่าจากและวัชพืช
บ้านยางงาม เดิมบริเวณนี้มีต้นยาง (ยางนา) ต้นหนึ่งที่มีลักษณะลำต้นคดงอ ไม่ตรง และมีลักษณะเป็นปุ่มปมใหญ่ที่ส่วนกลางลำต้น ชาวบ้านเรียกกันว่า “ยางพอก” หมายถึง เหมือนมีสิ่งใดมาพอกไว้ทำให้เป็นปุ่มปมใหญ่ เมื่อพ่อท่านรุ่ม เจ้าอาวาสวัดสระแก้ว จะมาสร้างวัดที่บริเวณดังกล่าว จึงตั้งชื่อบริเวณดังกล่าวให้เป็นชื่อในทางที่ดี กลับกันกับลักษณะของต้นยางที่คดงอและมีปุ่มปม เหมือนมีสิ่งใดมาพอกไว้ และชาวบ้านเรียกว่า “ยางพอก” โดยเปลี่ยนจากคำว่า “ยางพอก” มาเป็น “ยางงาม” และตั้งที่วัดที่พ่อท่านรุ่มสร้างว่า “วัดยางงาม”
บ้านมะยิง (พม่ายิง) เดิมเรียกบ้านพม่ายิง เมื่อสงครามเก้าทัพ เมื่อกองทัพพม่ามาถึงบริเวณดังกล่าว ได้ยิงปืนขึ้น จึงเรียนบริเวณนั้นว่า “บ้านพม่ายิง” และตัดเสียงเป็น “บ้านมะยิง” อย่างในปัจจุบัน
ชื่อบ้านนามเมือง สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคม ตั้งแต่อดีต สืบทอดมากระทั่งปัจจุบัน บอกลักษณะสภาพของภูมิประเทศ บอกลักษณะเส้นทางคมนาคม บอกถึงความเชื่อ สภาพความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของผู้คนในท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังบ่งบอกเรื่องราวของบรรพชนที่สร้างคุณประโยชน์ คุณงามความดีแก่ท้องถิ่นและบอกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ให้อนุชนรุ่นหลังศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
เอกสารอ้างอิง
ชัยวัฒน์ สีแก้ว. (2565). อำเภอท่าศาลา. สารนครศรีธรราราช, 52 (11), 14-18 สืบค้นจาก https://www.finearts.go.th/storage/contents/2023/05/file/dgrAh1ZkiJc648NYM4YWhAsUctG6uMrvNAE0JVK3.pdf?fbclid=IwAR32NpK6U9AJPpbGVxQJUgaA88i5FJeozaVVRwWSZHtcidDi3mT9_tdw6jk
วันพระ สืบสกุลจินดา. ประวัติอำเภอท่าศาลา ฉบับมหาดไทยส่วนภูมิภาค. สืบค้นจาก https://nakhonsistation.com/ประวัติอำเภอท่าศาลา/
สมพุทธ ธุระเจน. (2542). ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ความเป็นมาของอำเภอสำคัญในประวัติศาสตร์ภาคใต้. สืบค้นจาก http://www.stabundamrong.go.th/web/noticeable/n159.pdf
ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอท่าศาลา. (2566). เอกสารประกอบการเรียนหลักสูตรรายวิชาเลือก ท่าศาลาศึกษา รหัสวิชา สค2300127 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น. สืบค้นจาก https://anyflip.com/shfhq/sycu
สภาวัฒนธรรมอำเภอท่าศาลา. (2565). ประวัติศาสตร์อำเภอท่าศาลา ท่าศาลาศึกษา : ท่าหลาบ้านเรา. นครศรีธรรมราช: โรงพิมพ์กรีนโซน.
26 สิงหาคม, 2567
พระเจ้าตากสินกับวัดเขาขุนพนม
พระเจ้าตากสินกับวัดเขาขุนพนม
วัดเขาขุนพนม ชื่อเดิมคือ “วัดคุมพนม ตามหลักฐาน วัดสร้าง (ผูกพัทธสีมา) เมื่อปี พ.ศ. 2330 ที่ตั้งของวัดมีทั้งส่วนที่ตั้งอยู่บนพื้นราบ และส่วนที่ตั้งอยู่ในถ้ำบนเขาขุนพนม ดังนั้น หากใช้คำว่า “วัดเขาขุนพนม” ก็จะกินความรวมไปถึงถ้ำบนเขาขุนพนม หรือเวลาใช้คำว่า “เขาขุนพนม” ก็จะหมายความถึงส่วนที่เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนพื้นราบด้วย เพราะอยู่ในบริเวณเดียวกัน คือ ในบริเวณเขาขุนพนม (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 169) วัดแห่งนี้มีเสนาสนะสมบูรณ์ คือ มีพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ และได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา (ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช, 2541, น. 56) มีเจ้าอาวาสเริ่มตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบันจำนวน 11 รูป ได้แก่
1.พระอธิการกัณฑ์ พ.ศ. 2475-2476
2.พระศรีทอง พ.ศ. 2476-2477
3. พระเนื่อง พ.ศ. 2477-2480
4. พระเป้า บุปผโก พ.ศ. 2480-2489
5. พระหลับ พ.ศ. 2489-2491
6. พระดาบ พ.ศ. 2491-2493 (ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช, 2541, น. 56)
7.พระครูวิบูลย์พนมรักษ์ หรือ “พ่อท่านกลาย” มีนามเดิมว่า “กลาย มณีสุวรรณ” เกิดเมื่อวันพุธ ปีขาล เดือนห้า พุทธศักราช 2444 ที่บ้านเพชรจริก ตำบลศาลามีชัย อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โยมบิดามารดาชื่อนายรอด และนางสีเงิน มณีสุวรรณ มีพี่สาวร่วมบิดามารดาเพียงคนเดียว คือนางสายทอง (มณีสุวรรณ) คล้ายจินดา อาชีพทำนาความรู้สามัญชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ความรู้ทางธรรมสอบได้นักธรรมโท เคยศึกษาสายสามัญชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศอยู่ระยะหนึ่ง แต่มีเหตุต้องหยุดกลางคัน (ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช, 2541, น. 179-180) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ. 2493-2540 และเริ่มบูรณะวัดเขาขุนพนมอีกครั้งในปี พ.ศ. 2498 และในสมัยท่านนั้นเอง วัดเขาขุนพนมเริ่มเป็นที่รู้จักของบุคคลภายนอก หลังจากที่ถูกปกปิดมาตลอดตั้งแต่หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสิ้นพระชนม์ไป นอกจากการเริ่มบูรณะวัดแล้ว พ่อท่านกลายยังได้ออกสำรวจวัตถุโบราณในถ้ำบนเขาขุนพนมด้วย เมื่อเรื่องที่ท่านพบวัตถุโบราณได้ทราบถึงบุคคลภายนอก ก็เริ่มมีผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามากราบไหว้บูชาขอพร และนอกจากท่านจะได้เป็นผู้สำรวจถ้ำบนเขาขุนพนมเป็นคนแรกๆ แล้ว หลังจากท่านได้พบวัตถุโบราณเป็นจำนวนมากบนเขาขุนพนม ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 ท่านได้รวมศรัทธาญาติโยมสร้างบันได 245 ขั้น ขึ้นเขาขุนพนม และต่อมาในปี พ.ศ. 2535 ท่านก็ได้สร้างราวบันไดพญานาค ขึ้นสู่เขาขุนพนมจนเสร็จสมบูรณ์ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ ทำให้การขึ้นไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำบนเขาขุนพนม ทำได้สะดวกอย่างที่เป็นอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน และในปี พ.ศ. 2538 ท่านสัมพันธ์ ทองสมัคร ก็ได้สร้าง ตำหนักนั่งบัลลังก์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บริเวณด้านซ้ายของซุ้มประตูพญานาคที่จะขึ้นไปบนเขา เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่า บริเวณลานหินแห่งนี้ เชื่อกันว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเคยออกนั่งบัลลังก์สมัยที่เสด็จมาประทับที่เขาขุนพนม
8.พระครูธรรมธรจักรี (จักร ขันติพโล) ช่วงประมาณหลัง พ.ศ. 2540
9.พระครูสมุห์ธงชัย ช่วงประมาณก่อน พ.ศ. 2545
10.พระครูปิยะคุณาธาร เป็นเจ้าอาวาสที่มีความเกี่ยวพันกับวัดมากอีกหนึ่งท่าน ซึ่งท่านมารับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา จุดเริ่มต้นในการมาที่วัดแห่งนี้ เต็มไปด้วยเรื่องที่อธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผลเชิงประจักษ์แบบวิทยาศาสตร์เก่า นับตั้งแต่ท่านได้รับนิมิตครั้งแรก สมัยเป็นทหารเกณฑ์ จนกระทั่งการสร้างพระบรมราชานุสาวรรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่เกิดขึ้นในสมัยที่ท่านมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ตลอดจนการมาถึงของคณะผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่หลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศทั้งในประเทศและต่างประเทศมากกว่า 200 คณะ จึงอาจกล่าวได้ว่า วัดเขาขุนพนมในยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้รับการเผยแพร่ออกสู่สังคมภายนอกมากที่สุด ท่านพระครูปิยะคุณาธาร พื้นเพเป็นคนกระบี่ โดยการเกิด โยมพ่อเป็นคนสงขลา โยมแม่เป็นคนนครศรีธรรมราช แต่ท่านไปเกิดที่กระบี่ ในวัยเกณฑ์ทหาร ได้ประจำการเป็นทหารเรือที่สัตหีบ หลังปลดประจำการได้ทำงานที่มาบตาพุด ระยอง แต่ในช่วงทำงานได้ลาบวช 15 วัน แต่การบวชในครั้งนั้น ก็ทำให้ท่านบวชยาวนานมาก (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 177-178)
11.พระครูธรรมธร (แมน จนทธมโม) เจ้าอาวาสคนปัจจุบันของวัดเขาขุนพนม ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน
วัดเขาขุนพนม เป็นวัดที่ประทับของพระเจ้าตากสินในจังหวัดนครศรีธรรมราช วัดนี้เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติ ศาสตร์และโบราณคดี มีถ้ำซึ่งมีกำแพงก่ออิฐถือปูนและในเสมาเช่นเดียวกับกำแพงเมือง ในถ้ำมีพระพุทธรูปสำริดประมาณ 30 องค์และมีหลายถ้ำทะลุถึงกัน อย่างไรก็ตามเป็นที่เชื่อกันในหมู่คนท้องถิ่นว่า เป็นที่ประทับของพระเจ้าตากสินขณะทรงผนวช
ตามประวัติเชื่อกันว่า เขาขุนพนม เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภายหลังจากสิ้นรัชกาลของพระองค์ มีผู้สันนิษฐานว่าพระเจ้าตากสินทรงมิได้ถูกประหารชีวิต อย่างที่พงศาวดารกล่าวอ้าง แต่ได้ทรงสับเปลี่ยนพระองค์กับพระญาติหรือทหารคนสนิท แล้วเสด็จมายังนครศรีธรรมราช มีการเตรียมการโดยมีการสร้างป้อมปราการ ทำเชิงเทิน ป้อมวงกลมตามชะง่อนผา เพื่อให้พระเจ้าตากสินได้ประทับเมื่อทรงผนวชเจริญวิปัสนากรรมกรรมฐาน ณ วัดเขาขุนพนมจนเสด็จสวรรคต แต่บางกระแสกล่าวว่าเขาขุนพนม สร้างโดยพระยาตรังภูมาภิบาลเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช สำหรับพักตากอากาศที่เขาขุนพนมจึงมีการสร้าง ป้อมปราการคอยป้องกันอย่างแน่นหนา
ชาวเขาขุนพนมมีความเชื่อเรื่องพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จหนีมาประทับที่เขาขุนพนม จึงได้ร่วมมือกันสร้างพระตำหนักสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บริเวณชะง่อนหินเชิงเขา ซึ่งเป็นบริเวณที่เชื่อว่าพระองค์ ประทับขณะผนวชอยู่ ประชาชนที่ยังระลึกถึงวีรกรรม และความกล้าหาญในการกู้เอกราชชาติไทยในสมัยเสีย กรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ได้ร่วมกันสร้างพระบรมสาทิสลักษณ์ ทั้งในเพศบรรชิต และชุดฉลองพระองค์นักรบ แล้วอัญเชิญมาไว้ในศาลให้ผู้คนที่ศรัทธาได้มากราบไหว้ ปัจจุบันจึงมีประชาชนจากทั่วสารทิศมาเขาขุนพนมอยู่เสมอ เพื่อตามรอยพระเจ้าตากสินมหาราช
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเขาขุนพนม มีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนลูกโดดเตี้ย ๆ มีต้นไม้ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น บนภูเขามีถ้ำหินปูน ที่มีโพรงหินงอกหินย้อย ลักษณะของภูเขาวางตัวอยู่ในแถบเหนือ-ใต้ มีความยาวประมาณ 750 เมตร กว้างตามแนวทางทิศตะวันออก-ตะวันตก ประมาณ 500 เมตร สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 43 เมตร ส่วนยอดเขาสูง จากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 165 เมตร ทางทิศใต้ของภูเขาเป็นทางลาดชัน ทางทิศเหนือเป็นไหล่เขา ทางทิศตะวันตกเป็นสวนมังคุดและสวนยางพารา ทางทิศตะวันตกเป็นโรงเรียนและวัดเขาขุนพนม เขาขุนพนมมีจุดเด่นอยู่ที่วัดเขาขุนพนมซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของเขาขุนพนม ประวัติการก่อสร้างไม่ปรากฏ แต่หลักฐานประเภทโบราณสถานและโบราณวัตถุต่าง ๆ สามารถบ่งชี้ได้ว่า วัดเขาขุนพนม น่าจะสร้างขึ้นในตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, 2564)
ลักษณะเด่น
วัดเขาขุนพนม มีความสำคัญทางด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์เนื่องจากมีถ้ำที่มีกำแพงก่ออิฐเหมือนกำแพงสมัยโบราณ -ผนังของวัดด้านหน้าเป็นลวดลายปูนปั้นประดับด้วยเครื่องลายครามของจีน -ในบริเวณถ้ำมีพระพุทธรูป 30 องค์และพระพุทธบาทสำริด (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, 2564)
โบราณวัตถุสำคัญในบริเวณวัดเขาขุนพนม มีโบราณวัตถุจำนวนมาก ดังนี้ (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 238-282)
1. รอยพระพุทธบาทจำลองเขาขุนพนม เป็นรอยพระพุทธบาทที่แกะสลักไว้บนไม้เนื้อแข็ง สองแผ่นมาประกบกัน นักโบราณคดียืนยันตรงกันว่า เป็นไม้เทพทาโร รอยพระพุทธบาทนี้น่าจะเป็นโบราณวัตถุเพียงชิ้นเดียว ซึ่งในตำนานเล่าว่า มีความเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่เมืองนครศรีธรรมราชที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์โดยสำนักศิลปากรที่ 12 จังหวัดนครศรีธรรมราช ทำให้โบราณวัตถุชิ้นนี้ เป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักที่สุด ที่สามารถยืนยันได้ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จมาประทับที่เมืองนครศรีธรรมราช จนกระทั่งสิ้นพระชนม์จริงๆ
รอยพระพุทธบาทเขาขุนพนม หากจะนับเฉพาะลายที่เป็นภาพเล็ก มีทั้งหมด 108 แต่หากรวมลายที่เป็นภาพใหญ่อีก 2 ภาพ คือ ภาพวงปี 15 วง และ ภาพมณฑล กลางรอยพระพุทธบาทส่วนล่างอีก 1 ภาพ ก็จะทำให้รอยพระพุทธบาทเขาขุนพนม มีภาพทั้งหมด 110 ภาพ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่เกี่ยวกับตำนานการเสด็จมาประทับที่เขาขุนพนม เมืองนครศรีธรรมราช
รอยพระพุทธบาทนี้ในปัจจุบันได้เก็บไว้ที่อาคารพระตำหนักสมเด็จพระสังฆราช
2. ยักษ์แคระบนเขาขุนพนม ตั้งอยู่หน้าทางเข้าห้องกรรมฐานบนลานหน้าพระ เขาขุนพนม ตำนานเล่าว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงให้ช่างที่ติดตามพระองค์มาปั้นขึ้น
3. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐานอยู่ในห้องบรรทม บนลานหน้าพระ บนเขาขุนพนม ในตำนานเล่าว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงนำมาจากกรุงธนบุรี เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย
4. พระนอนบนเขาขุนพนม ประดิษฐานอยู่ในห้องกรรมฐาน ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บนลานหน้าพระ บนเขาขุนพนม ตำนานเล่าว่าเป็นพระประจำวันเกิดของพระองค์ที่ทรงให้ช่างปั้นขึ้น
5. พระยอดธงวัดเขาขุนพนม พบในถ้ำบนถ้ำตากฟ้า บนเขาขุนพนม ปัจจุบันเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์วัดเขาขุนพนม ในตำนานเล่าว่า สมเด็จพระเจ้าตากสิน ใช้เป็นพระประจำยอดธงไชยเฉลิมพลเวลาออกรบ
6. เครื่องทองเหลืองโบราณ พบในถ้ำบนถ้ำตากฟ้า บนเขาขุนพนม ปัจจุบันเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์วัดเขาขุนพนม ในตำนานเล่าว่า เป็นเครื่องใช้ในห้องเครื่องของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อคราวเสด็จมาประทับที่เขาขุนพนม
7. เครื่องลายครามโบราณ พบในถ้ำบนถ้ำตากฟ้า บนเขาขุนพนม ปัจจุบันเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์วัดเขาขุนพนม ในตำนานเล่าว่า เป็นเครื่องใช้ในห้องเครื่องของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อคราวเสด็จมาประทับที่เขาขุนพนม
8. กระด้งไม้ไผ่โบราณ พบในถ้ำบนถ้ำตากฟ้า บนเขาขุนพนม ปัจจุบันเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์วัดเขาขุนพนม ในตำนานเล่าว่า เป็นเครื่องใช้ในห้องเครื่องของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อคราวเสด็จมาประทับที่เขาขุนพนม
สถานที่สำคัญต่างๆ ของวัดเขาขุนพนม
1. ซุ้มประตูวัดเขาขุนพนม หรือ เรียกว่า ซุ้มประตูสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซุ้มประตูดังกล่าวจะมีขนาดกว้าง 5 เมตร สีขาว ตั้งตระหง่านตรงทางเข้าวัดเขาขุนพนม ด้านบนตรงกลางซุ้มประตูใหญ่ เป็นรูปเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ มีเจดีย์ใหญ่ตรงกลาง แล้วมีเจดีย์บริวาร 4 องค์ ส่วนด้านบนทางเข้าเล็กทั้งสองด้าน มีเจดีย์ทรงระฆังคว่ำข้างละ 1 องค์ ใต้ฐานเจดีย์บนซุ้มประตูใหญ่ มีพญานาคข้างละ 4 เศียร ประดับไว้อยู่ เจดีย์นี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2555 สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2559 เพื่อถวายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ท่าน เพื่อให้สมฐานะกับเขาขุนพนมเป็นเมืองสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ข้างบนซุ้มประตูได้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย นอกจากนั้นกำแพงประตูทางด้านซ้ายมือ ยังออกแบบให้เหมือนกำแพงเมืองสมัยโบราณ มีป้อมปราการ และปืนใหญ่โบราณประจำการไว้ด้วย 1 กระบอก (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 189)
ซุ้มประตูวัดเขาขุนพนม หรือ เรียกว่า ซุ้มประตูสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
2. สระน้ำพระเจ้าตาก เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไป จะพบสระน้ำโบราณอยู่ทางด้านซ้ายมือ สระนี้ขุดตั้งแต่สมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จมาประทับที่เขาขุนพนมเมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว สำหรับเป็นที่สรงน้ำของสมเด็จพระเจ้าตากสินและข้าราชบริพาร สระน้ำโบราณนี้จึงมีความเกี่ยวข้องกับพระองค์โดยตรง (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 190)
3. หอพระพระเจ้าตาก เป็นหอพระที่สร้างขึ้นมาในภายหลัง แต่มีความเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะเป็นสถานที่ที่มีผู้เข้ามากราบไหว้เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระองค์อีกที่หนึ่ง และนับว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธา หอพระพระเจ้าตากสินนี้จะอยู่ห่างจากสระน้ำพระเจ้าตากไปอีกราว 50 เมตร จะเป็นอาคารแบบชั้นเดียว อยู่ด้านซ้ายมือ ทอดยาวไปริมเชิงเขา ในหอพระนี้จะมีพระพุทธรูปปางจักรพรรดิ รูปปั้นเกจิอาจารย์ หลวงปู่ดู่ หลวงปู่เทพโลกอุดร ปู่ชีวก และพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่ผู้มีศรัทธานำมาถวาย (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 190-191)
4. บ่อน้ำพระเจ้าตาก เมื่อเดินสุดหอพระไป จะพบบ่อน้ำโบราณ อยู่เยื้องกับหอพระทางด้านขวามือ เป็นบ่อน้ำโบราณที่ขุดขึ้นตั้งแต่สมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จมาประทับอยู่ที่เขาขุนพนมเมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว เพื่อใช้ดื่มในสมัยนั้น ปัจจุบันกลายเป็นบ่อน้ำมนต์ไปแล้ว เวลามีพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่จัดขึ้นในเมืองนครศรีธรรมราช ก็จะใช้น้ำจากบ่อน้ำนี้ไปร่วมพิธีด้วย ตามตำนานกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นเดือนเมษายน น้ำก็ไม่แห้ง เป็นน้ำที่มีแร่ธาตุถึง 6 ชนิด มีความเกี่ยวข้องกับพระองค์ในเรื่องการค้นหาแหล่งน้ำเพราะพระองค์ทรงเป็นผู้อธิษฐาน แล้วเสี่ยงทายหาที่ขุดบ่อน้ำนี้ (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 191-192)
5. สถูปเจดีย์เก็บอัฐิสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นสถานที่เก็บอัฐิของพระองค์ ได้มีการจัดสร้างขึ้นมาใหม่ มีพิธีวางศิลาฤกษ์สถูปเจดีย์นี้พร้อมกับฐานอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 ตรงกับแรม 4 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด (ข้อมูลการประชาสัมพันธ์ของวัดเขาขุนพนม) ภายในสถูปมีความสวยงาม และพระบรมรูปรูปปั้นของพระองค์ไว้เพื่อให้ประชาชนได้กราบสักการะบูชา และได้แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา
สถูปเจดีย์บรรจุอัฐิสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
พระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภายในสถูปเจดีย์บรรจุอัฐิของพระองค์
6. อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ถัดจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทางด้านทิศตะวันตก จะเป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งอนุสาวรีย์เดิมนั้นสร้างแล้วเสร็จ และมีการประดิษฐานพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในปี พ.ศ. 2554 (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 193) และในปี 2563 ที่ผ่านมาได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นมาใหม่ และได้แล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนี้ นับว่าเป็นสถานที่สักการะ รำลึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และขุนทหารของพระองค์ที่ได้เสียสละแก่ชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง
อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นใหม่แทนที่เดิมนั้น ตั้งอยู่บริเวณลานวัดติดกับสถูปเจดีย์เก็บอัฐของสมเด็จพระเจ้าตากสิน (แต่เดิมนั้นสร้างไว้ติดกับมณฑปพ่อท่านกลาย) ซึ่งพระบรมรูปทรงม้านี้ ได้จัดสร้างขึ้นใหม่แทนตำแหน่งเดิม เพื่อความหมาะสมมากขึ้น ลักษณะของพระบรมรูปทรงม้านี้จะมีรูปปั้นของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และ ทหารองครักษ์คนสนิททั้ง 4 ท่าน ล้อมรอบพระองค์อยู่ ได้แก่ หลวงพรหมเสนา พระยาเชียงเงิน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท และ พระยาพิชัยดาบหัก
อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (อยู่ติดกับสถูปเจดีย์เก็บอัฐิของพระองค์)
สำหรับพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินในการเสด็จมาพำนัก ณ วัดเขาขุนพนม ได้มีตำนานกล่าวไว้ดังนี้ คือ (ข้อมูลการประชาสัมพันธ์ของวัดเขาขุนพนม)
พุทธศักราช 2277 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช ทรงพระราชสมภพในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ บิดาไทฮอง มารดาชื่อนางนกเอี้ยง ในวันคลอดปรากฏว่า อสุนีบาท ฟ้าผ่าลงมาที่เสาตั้งของเรือน คลอดอายุ 3 วัน มีงูเหลือมขนาดใหญ่เข้าไปขดอยู่ในกระด้งมีลักษณะเป็น ทักษิณาวรรตเวียนไปทางขวา อายุ 4 วัน เจ้าพระยาจักรีโรงฆ้อง ตำแหน่งราชการ สมุหนายก ผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ รับไปอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งชื่อให้ว่า สิน พุทธศักดราช 2284 อายุ 7 ปี เข้าสำนักการศึกษากับ พระอาจารย์มหาเถร ทองดี แห่งวัดโกษาวาสนี้ พุทธศักราช 2293 เจ้าพระยาจักรีโรงฆ้อง นำเด็กชายสินเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็ก รับราชการอยู่เวรหลวงนายศักดิ์ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ พุทธศักราช 2298 อายุ 21 ปี อุปสมบท ณ วัดโกษาวาสนี้
พุทธศักราช 2301 ขณะจาริกรับบาตร ซินแสทำนายว่า พระภิกษุสิน จะได้เป็นกษัตริย์ ลาสิกขาบทบวช 3 พรรษา แล้วกลับเข้ารับราชการตามตำแหน่งเดิมมหาดเล็ก พุทธศักราช 2302 มหาดเล็กรายงานสิน อายุ 25 ปี ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตำแหน่งเลื่อนยศ หลวงยกกระบัตรเมืองตากสินเป็นเจ้าตาก พุทธศักราช 2309 นำทหาร 500 คน ตีฝ่าวงล้อมพม่า ออกจากกรุงศรีอยุธยา มุ่งหน้าสู่เมืองจันทบูร
พุทธศักราช 2310 เสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน พุทธศักราช 2310 นพศก จุลศักราช 1129 กอบกู้เอกราชชาติไทยได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2310 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน จุลศักราช 1129 เวลาบ่ายโมงเศษ อพยพผู้คนมาสร้างเมืองใหม่ที่ ตำบลบางกอก เมืองธนบุรี ยกทัพไปปราบพม่า ณ ค่ายจีนบางกุ้ง สมุทรสงคราม พุทธศักราช 2311 ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แห่งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร แก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปราบชุมนุมเจ้าพิมายสำเร็จเป็นชุมชนแรก พุทธศักราช 2323 โปรดให้เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ เจ้าจุ้ย สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพไปปราบจราจลในเขมร พุทธศักราช 2324 กล่าวอ้าง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช ทรงมีสัญญาวิปลาส ทำบ้านเมืองและระส่ำ สมณะพราหมณ์ชี ข้าราชการ พ่อค้าและประชาชน ได้รับความเดือดร้อนทั่วทุกหย่อมหญ้า พุทธศักราช 2327 มีเรื่องราวปรากฎ “ตาแป๊ะหนวดยาว” บำเพ็ญสมณะธรรม ณ ถ้ำเขาขุนพนม ตำบลบ้านเกาะ อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ความเชื่อของชาวบ้านว่าภายหลังได้ทรงพระผนวชเป็นภิกษุ จนสิ้นพระชนม์ในบั้นปลายชีวิต พระราชศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนา ทรงสร้างพระอุโบสถมหาอุตม์ พระนอนปางสีหไสยาสน์ ศิลปะภาพวาดในถ้ำที่มีพระองค์ทรงนั่งพระกรรมฐาน
สำหรับประวัติของทหารเอกทั้ง 4 ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น ได้แก่ (ข้อมูลการประชาสัมพันธ์ของวัดเขาขุนพนม)
หลวงพรหมเสนา เกิดเมื่อวันอังคาร เดือน 6 ปีมะโรง พุทธศักราช 2279 ณ บ้านเชียงของ จ.ตาก บิดาท่านสืบเชื้อสายมาจากเมืองเชียงของ หลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว หลวงพรหมเสนารับราชการมีความสามารถและได้ใกล้ชิดสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่ร่วมรบกันมาตั้งแต่แหกค่าย หลวงพรหมเสนาเป็นนักรบที่มีความสามารถสูงและไม่ย่อท้อในการศึก ภายหลังสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีก็ทรงพระราชทานยศบรรดาศักดิ์ให้เป็น “พระพรหมเสนา” เมื่อเสร็จศึกเจ้าฝาง บ้านเมืองเริ่มเป็นปึกแผ่น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับลงมายังเมืองพิษณุโลก ทรงได้จัดพิธีสมโภชพระมหาธาตุและพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ ร่วมสามวัน แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งข้าหลวงเดิม ซึ่งมีความชอบในการสงคราม
พระยาท้ายน้ำ (พระเชียงเงิน) เดิมเป็นเจ้าเมืองเชียงเงิน หัวเมืองชั้นจัตวาขึ้นกับเมืองระแหง พระยาเชียงเงินมีเชื้อสายจีนเข้ามาสวามิภักดิ์พระยาตาก และร่วมรบตั้งแต่ครั้งตีฝ่าทัพพม่าออกมาจนถึงจันทบุรี และเป็นเจ้าเมืองคนหนึ่งที่โปรดปรานให้มาเฝ้าเพื่อทรงสั่งสอน “วิธีการ” ต่อสู้กับศัตรู ในคราวที่ทรงต่อสู้กับอริราชศัตรูที่เมืองระยองนั้น ได้มีบันทึกว่า “พระยาเชียงเงิน” เป็น “พระยาท้ายน้ำ” ครั้นเมื่อปราบปรามก๊กต่างๆ ทางเมืองเหนือได้ราบคาบแล้วทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้พระยาท้ายน้ำรั้งเมืองสุโขทัย ท่านเป็นทหารหาญคนสนิทที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยยิ่ง พระเชียงเงินไม่ได้หนีออกจากกรุงศรีอยุธยามาพร้อมกับพระเจ้าตากแต่มาพบในภายหลัง พระเชียงเงินน่าจะมีทรัพย์สิน ศฤงคารและบริวารมากพอสมควร มีช้างมาถวายพระเจ้าตากมีบรรดาศักดิ์เป็น “พระ” ก็สูงกว่าบริวารทั้งหมดของพระเจ้าตาก
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระนามเดิมว่า “บุญมา” บุตรคนเล็กของพระพินิจอักษร (ทองดี) และคุณดาวเรือง ประสูติเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2286 ในแผ่นดินพระบรมโกศ เป็นสมเด็จพระอนุชาร่วมพระชนกชนนี ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเริ่มรับราชการครั้งกรุงศรีอยุธยา ข้าศึกเกรงขาม และขนานนามว่า “พระยาเสือ” มาตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ถึงรัชกาลที่ 4 สวรรคตวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2346 ด้วยพระโรคนิ่ว
เป็นขุนพลคู่พระทัย ได้ตรากตรำทำศึกขับเคี่ยวข้าศึก ด้วยความเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง กล้าหาญ ตอนนั้นได้ขยายอาณาเขตไปกว้างขวางกว่าสมัยใดๆ ด้านศาสนาทรงสังคายนา พระไตรปิฎก ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ ทรงผนวชวัดนี้ 7 ราตรี เป็นแม่กองสร้างมณฑป พระพุทธบาท ตรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงส์ จากจังหวัดเชียงใหม่ มาประดิษฐาน ณ พระราชวังบวรฯ พ.ศ. 2330
พระยาพิชัยดาบหัก เดิมชื่อ “จ้อย” บิดามารดาทำนาอยู่บ้านห้วยคาหลังเมืองพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ มีพี่น้องร่วมกัน 4 คน เสียชีวิตที่เดียว 3 คน ด้วยโรคไข้ทรพิษ นิสัยชอบชกมวย วัยเรียนบิดาฝากกับพระครูวัดมหาธาตุ (เมืองพิชัย) พลาดพลั้งต่อยบุตรเจ้าเมืองเสียชีวิตจึงหนี ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ทองดี” ฝึกมวยกับครูเที่ยง วัดท่าเสา สมญานามว่า “นายทองดีฟันขาว” (เนื่องจากไม่กินหมาก) ได้ไปเรียนฟันดาบที่เมืองสวรรคโลก ฝึกจนเชี่ยวชาญ จึงเดินทางไปสุโขทัยต่อเมืองตาก ระหว่างทางเกิดเหตุให้ต้องฆ่าเสือด้วยมืดเพียงเล่มเดียว ต่อมาชกมวยคาดเชือกดังโจษขาน ได้ยินไปถึงเจ้าเมืองตาก ท่านจึงชักชวนให้เข้ามารับใช้ใกล้ชิด เมื่ออายุครบก็บวชเรียนให้ นายทองดีเทิดทูนเจ้าเมืองตากเป็นบิดาคนที่ 2 ทัพพม่าเข้าตีเมือง นายทองดีติดตามเจ้าเมืองตากตีฝ่าทหารพม่า ตั้งฐานทัพที่วัดพิชัยนอกเมือง หลังจากนั้นกรุงศรีอยุธยาก็แตกเสียกรุง วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ต่อมาทัพเจ้าเมืองตากยกทัพจากเมืองจันทบูรณ์ โดยทางน้ำเข้าทางปากน้ำสมุทรปราการขึ้นไปตีเมืองธนบุรีที่มั่นสุดท้ายของพม่าจนได้ชัยชนะ เจ้าเมืองตากขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สร้างพระนครที่เมืองธนบุรี ปลายปี พ.ศ. 2310 และราชาภิเษก พ.ศ. 2311 โปรดเกล้าแต่งตั้งพระยาพิชัยเป็น “พระยาศรีหราชเดโช” หรือเรียก “ออกญาศรีสุริยะราชาไชย” จนสิ้นแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี ในสงครามรักษาหน้าที่ในการรบ แม้ดาบจะหักก็ต่อสู้จนทัพพม่าแตกพ่ายนับตั้งแต่นั้นจึงได้ชื่อว่า “พระยาพิชัย (ดาบหัก)”
7. มณฑปพ่อท่านกลาย บริวเณด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจะเป็นที่ตั้งของมณฑปพ่อท่านกลาย ชาวบ้านเรียกว่ามณฑปหลวงปู่กลาย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2548 มณฑปนี้มีการเก็บสรีระสังขารของหลวงปู่กลายไว้ในโลงแก้วไม่เน่าเปื่อย เหมือนคนกำลังนอนหลับปกติ ซึ่งหลวงปู่กลาย ท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 7 ของวัดเขาขุนพนมแห่งนี้ ท่านมรณภาพสิริอายุรวม 94 ปี กล่าวกันว่าท่านเป็นผู้ที่สามารถรับนิมิตร และก็พบสิ่งที่ติดตามสมเด็จพระเจ้าตากสินมา ก็คือสิ่งของเครื่องใช้ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็จะเป็นวาจาสิทธิ์ด้วยเช่นกัน และด้วยเหตุว่าท่านเป็นบุคคลแรกที่บุกเบิกการเปิดเผยเรื่องราวของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสู่โลกภายนอกเขาขุนพนม จนกระทั่งมาถึงยุคที่พระครูปิยะคุณาธารมาสานต่อ จนกระทั่งมีบุคคลจากทั่วสารทิศทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาที่วัดเขาขุนพนมเป็นจำนวนมากในปัจจุบันนั่นเอง (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 194-195)
8. โบสถ์มหาอุตม์ ทางด้านหลังของมณฑปพ่อท่านกลาย จะเป็นที่ตั้งของโบสถ์มหาอุตม์ ซึ่งเป็นโบสถ์โบราณแบบไม่มีหน้าต่าง มีแต่ช่องลม และมีประตูทางเข้าทางด้านข้างเพียงประตูเดียว ซึ่งผิดกับโบสถ์ทั่วไป ที่จะมีประตูเข้าจากด้านหลัง และมีหน้าต่าง โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ที่พระเจ้าตากสินทรงออกแบบสร้างตามตำราพิชัยยุทธ์ด้วยพระองค์เอง เมื่อ 200 กว่าปี มาแล้ว โบสถ์นี้เป็นสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินอย่างมาก ด้วยเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ พระองค์ได้สร้างโบสถ์ด้วยพระองค์เอง แล้วเป็นผู้ใช้โบสถ์นี้ คือใช้ปฏิบัติธรรม เมื่อทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ยังเป็นที่พักพระสรีระของพระองค์ด้วย (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 195-197)
9. ถ้ำเหวตากฟ้า อยู่บริเวณภายในวัดเขาขุนพนม อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ต้องเดินขึ้นบันไดพญานาคไปจำนวน 245 ขั้น ก่อนจะแยกเข้าไปในถ้ำที่ต้องลงบันไดไปอีกครั้งหนึ่ง
บริเวณถ้ำจะอยู่ทางลงจากบริเวณหน้าถ้ำและภายในถ้ำ ระดับความลึกประมาณ 20 เมตร สามารถจุคนได้ประมาณ 1,000 คน ลักษณะภายในถ้ำจะมีปล่องแสงส่องลงให้ความสว่างภายในถ้ำและอากาศถ่ายเทได้สะดวก มีความกว้างโถง มีความสวยงามและน่าอัศจรรย์ เงียบสงบร่มเย็นเหมาะแก่การเจริญวิปัสสนากรรมฐานซึ่งในสมัยพระองค์ทรงประทับอยู่จะใช้ประชุมเหล่าทหารและใช้ในการปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานซึ่งภายในถ้ำจะมีปล่องระบายอากาศ สามารถออกได้หลายทางและสามารถมองเห็นทางออกถ้ำทางด้านบนและทางด้านข้างได้ ซึ่งมีความปลอดภัย มีทหารยามคอยเฝ้าดูแลอยู่ด้านล่างถ้าหากมีศัตรูขึ้นมาก็จะเห็น และทางวัดได้ค้นพบอิฐมอญโบราณและพระพุทธรูปโบราณต่างๆ เช่น พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปบุเงินบุทองเป็นเนื้อเงินยวง เนื้อสำริด ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ เป็นจำนวนมาก ประมาณเป็นพันๆ กว่าองค์ ค้นพบในถ้ำด้านบนและได้นำมาเก็บในพิพิธภัณฑ์เป็นบางส่วน ปัจจุบันได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และใช้ประกอบกิจพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยเป็นองค์ประธานสูง 9 เมตร เป็นองค์ประธานพระนามว่าพระพุทธรูปตากสินศรีสรรเพชญ์ธรรมมิราชมหาราชา และมีพระพุทธรูป 2 องค์ ด้านซ้ายเป็นพระพุทธรูปองค์ปฐม สูง 5 เมตร ส่วนด้านขวาเป็นพระพุทธรูปเชียงแสน สูง 5 เมตร (ข้อมูลการประชาสัมพันธ์ของวัดเขาขุนพนม)
ตามตำนานเชื่อว่าถ้ำเหวตากฟ้า คือถ้ำที่อยู่ของพญานาค และเป็นถ้ำที่สามารถเชื่อมต่อกับเมืองลับแลได้ ซึ่งที่นี่จะเป็นที่บูชา พญานาคราช บริเวณถ้ำจะมีงูบองหลา (หรืองูจงอาง) มีหงอนสีดำ สีขาว อาศัยอยู่ ใครมานั่งสมาธิถ้ามีญาณหยั่งรู้ก็จะเห็น และใครมีบุญวาสนาหรือมีสัมพันธ์กับสมเด็จพระเจ้าตากสินก็จะหยั่งรู้หรือระลึกชาติในลักษณะของการนิมิตรและชี้จุดการเกิดเหตุในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่ผ่านมาภายในถ้ำได้ เคยมีคนมาขโมยพระพุทธรูปและตัดเคียรพระพุทธรูป เพราะนึกว่ามีของดีอยู่ในพระแต่คนเหล่านั้นก็มีอันเป็นไปหรือไม่ของที่ขโมยไปทุกชิ้นก็ต้องนำมาคืนทุกครั้งเนื่องจากเกิดอาถรรพ์กับสิ่งต่าง ๆ ที่ขโมยไปจนไม่สามารถครอบครองสิ่งของที่ขโมยไปเป็นสมบัติส่วนตัวได้ ครั้งหนึ่งได้มีพระท่านหนึ่งมานั่งปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน แล้วเห็นเป็นลำแสง ทอดไปด้านบน พอขึ้นไปดู มีเป็นห้องโถง เก็บพระเก่าโบราณ และเก็บไว้ในกรมศิลปากร เป็นของเขาวัดเขาขุนพนม
นอกจากนี้ในปัจจุบันทางวัดเขาขุนพนมได้ทำการปรับปรุงบันไดทางลงไปถ้ำเหวตากฟ้า ด้วยการก่อบันไดเป็นอิฐถือปูน ให้มีความแข็งแรง สะดวกและปลอดภัยในการขึ้นลงมากขึ้น และเมื่อลงไปถึงถ้ำก็จะเจอกับพระพุทธรูปพระมหาจักรพรรดิ องค์สีขาวที่ได้จัดสร้างไว้ด้วย ตั้งตะหง่านอยู่ด้านข้างใกล้ๆ กับบันได เพื่อสักการะขอพร ก่อนจะเดินลงไปยังลานกว้างภายในถ้ำ สิ่งที่เป็นจุดสนใจอีกอย่างของถ้ำเหวตากฟ้านี้ นอกจากพระพุทธรูปทั้งหมดแล้ว ก็คือ น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลลงมาจากด้านบนของหินน้ำย้อยที่มีลักษณะคล้ายกับกรดพระสงฆ์ไหลลงมา อย่างไม่ขาดสาย ทางวัดได้นำโอ่งดินเผา มาวางไว้รับน้ำมนต์เพื่อให้ผู้เข้าไปชมได้นำไปบูชา ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตามความเชื่อ และภายในถ้ำมีการนำอิฐ หิน ดิน ทรายหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัยเพิ่มบริเวณผนังถ้ำจำนวนหลายรูป และคนที่ได้ลงไปภายในน้ำจะมีการนำหินภายในถ้ำที่มีลักษณะต่าง ๆ มาจัดเรียงทำเป็นพีระมิด คล้าย ๆ ทหารหลายนายยืนเรียงกันบริเวณโถงถ้ำเพราะมีความเชื่อว่าการได้ก่อหินในลักษณะดังกล่าวจะเป็นมงคลชีวิตกับตนเอง ทำให้หน้าที่การงานสูงขึ้น
พระพุทธรูปสีเหลืองทอง ปางมารวิชัยเป็นองค์ประธานสูง 9 เมตร เป็นองค์ประธานพระนามว่าพระพุทธรูปตากสินศรีสรรเพชญ์ธรรมมิราชมหาราชา และมีพระพุทธรูป 2 องค์ ด้านซ้ายเป็นพระพุทธรูปองค์ปฐม สูง 5 เมตร ส่วนด้านขวาเป็นพระพุทธรูปเชียงแสน สูง 5 เมตร
บริเวณภายในถ้ำที่มองจากด้านนอกก่อนเข้าไปภายในถ้ำ
10. ลานหน้าพระสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่บนเขาบริเวณใกล้หน้าผาหินเป็นสุดปลายทางของบันไดพญานาค จากด้านล่างถึงด้านบนจำนวนขั้นบันได 245 ขั้น เป็นเพิงผาหินขนาดใหญ่ ปากถ้ำหันไปทางทิศเหนือ บริเวณในถ้ำสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นถ้ำขนาดเล็กมีพระพุทธรูปแกะสลักลงหิน ปางสีไสยาสน์สมัยพระองค์มาประทับอยู่เพื่อในการปฏิบัติกรรมฐานและมีร่องรอยภาพวาดมังกรวาดด้วยหมึกจีน ด้านนอกถ้ำมีกระเบื้องลายครามจีนสมัยราชวงศ์ชิงค์ได้นำมาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เป็นบางส่วนและมีรูปปั้นราหูอมจันทร์อยู่ฝาผนังกำแพงหลัง พระพุทธรูปซึ่งเป็นส่วนเขตพระราชฐานและมียักษ์บริวารถือกระบอกเข้าหน้าถ้ำ 2 ตน เป็นศิลปะแบบจีนแต่ในปัจจุบันได้ถูกทำลายไปหลายส่วน ด้านขวา มีกำแพงก่ออิฐถือปูนสูงประมาณ 2 เมตร ภายในมีพระพุทธรูป ปางมารวิชัย สมัยอยุธยา ส่วนด้านนอกซ้ายมือ ได้สร้างเพิ่มเติมเป็นขั้นบันได ทางขึ้นเพื่อใช้ในการกราบสักการะรอยพระบาทของพระสัมมาพระพุทธเจ้าซึ่งจะมีระฆังอยู่ทางขึ้นบันไดเป็นขั้นๆ ปัจจุบันบริเวณลานหน้าถ้ำใช้ในกิจของพระสงฆ์ในการปฏิบัติกรรมฐานและใช้ในการกราบสักการะสำหรับประชาชนผู้มีศรัทธาต่อพระองค์ท่าน (ข้อมูลการประชาสัมพนธ์ของวัดเขาขุนพนม)
ลานหน้าพระของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
บริเวณห้องบรรทมหลังลานหน้าพระของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
บริเวณห้องปฏิบัติกรรมฐานของลานหน้าพระสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
บริเวณลานหน้าพระสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
11. พระตำหนักทรงศีล ตั้งอยู่บริเวณใกล้หน้าผาหิน ระยะทางจากบันไดพญาญาคด้านล่างถึงตำหนักทรงศีล 177 ขั้น ซึ่งบริเวณแห่งนี้ในสมัยที่องค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงประทับอยู่ ได้มีคณะของเจ้าจอมมารดาปราง (มารดาของพระยานครศรีธรรมราช (น้อย)) ในเมืองนครศรีธรรมราชได้นำเครื่องคาวหวาน จัดสำรับด้วยถ้วยลายครามโบราณ นำถวายพระองค์ท่านด้านบน ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานและทางวัดได้ค้นพบถ้วยเมื่อ พ.ศ.2515 (สมัยหลวงปู่กลาย) และเป็นที่ปฏิบัติธรรมของแม่ชีพราหมณ์ ตำหนักทรงศีลสร้างขึ้น พ.ศ. 2548 เป็นศิลปะแบบกรุงธนบุรี ปัจจุบันเป็นที่ประทับของพระพุทธรูป องค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แบบทรงศีลขาว-ห่มขาว เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงในสมัยที่พระองค์ปกครองกรุงธนบุรี เมื่อถึงวันพระ 8 ค่ำ 15 ค่ำ พระองค์จะทรงถือศีลพระอุโบสถ เพื่อปฏิบัติพระกรรมฐาน (ข้อมูลการประชาสัมพันธ์ของวัดเขาขุนพนม)
12. พระตำหนักทรงบัลลังก์องค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่บริเวณชะง่อนหินใกล้เชิงเขา บริเวณแห่งนี้เชื่อกันว่าเป็นที่ประทับขณะทรงผนวชอยู่ แต่กุฏิหลังเดิมหักพังจนไม่สามารถสันนิษฐานสภาพเดิมได้ ในปี พ.ศ. 2538 ทางวัดได้ก่อสร้างพระตำหนักขึ้นใหม่เป็นศาลาโถง ภายในประดิษฐานพระบรมรูปองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงบัลลังก์เพื่อสักการะบูชาและระลึกถึงพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงพระกรุณาต่อไพล่ฟ้าประชาชนให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดระยะเวลา 15 ปี เช่น ทรงบูรณะวัดวาอารามต่าง ๆ ทรงสังคายนาพระไตรปิฎกที่ถูกพม่าเผาทำลาย และด้านการค้าขายติดต่อกับต่างประเทศ (ข้อมูลการประชาสัมพันธ์ของวัดเขาขุนพนม)
13. พระบรมรูปทรงม้า ตั้งอยู่บริเวณก่อนขึ้นบันไดพญานาค จะพบพระบรมรูปทรงม้าของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประดิษฐานอยู่ทางด้านซ้ายของบันไดพญานาค พระบรมรูปทรงม้านี้เกิดจากการที่มีพุทธบริษัทผู้มีจิตศรัทธาได้นำมาถวายเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2558 (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 207)
14. เตาหุงข้าวโบราณ พอเดินผ่านหน้าพระบรมรูปทรงม้า ผ่านทางขึ้นพระตำหนักทรงบัลลังก์ไปแล้ว จะได้พบกับหลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งอยู่ทางด้านขวามือที่ยืนยันการเสด็จมาถึงเขาขุนพนมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นั่นคือ เตาหุงข้าวโบราณขนาดใหญ่ที่ก่อด้วยอิฐ (ศานติ โบดินันท์, 2561, น. 208)
15. สระน้ำโบราณ หรือ สระนางเลือดขาว ลักษณะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ 5 เมตร ความยาวประมาณ 10 เมตร อยู่ติดกับซุ้มประตูเจดีย์ห้า พระองค์ตากสินรานุสรณ์ ตามตำนานกล่าวว่าสระน้ำแห่งนี้ มีไว้สำหรับบาทบริจาริกา (หญิงที่มีหน้าที่รับใช้ปฏิบัติ พระเจ้าแผ่นดิน) นางสนมกรมใน หรือที่ชาวบ้านเรียกอีกอย่าง ว่านางเลือดขาว ซึ่งเป็นหญิงที่ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ใช้ชำระร่างกายกัน และเชื่อว่า นางเลือดขาว หรือ หม่อมปราง นั้นเอง ที่เชื่อเช่นนั้น เพราะมีผิวขาวเป็นเพราะมีเชื้อสายจีนฝ่ายมารดา คันน้ำถูกปล่อยลงมาทางเชิงเขาขุนพนมนั้นเอง ด้วยเหตุนี้ผู้มีจิตศรัทธาต่อหม่อมปราง ได้ร่วมสร้างพลับพลาถวายให้เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อให้ประชาชนได้มากราบไหว้บูชาจนถึงปัจจุบันนี้ (ข้อมูลการประชาสัมพันธ์ของวัดเขาขุนพนม)
16. พระตำหนักสมเด็จพระสังฆราช : ตำหนักประมุขสงฆ์ อาคารดังกล่าวตั้งอยู่บริเวณด้านตรงข้ามกับศาลาการเปรียญ ติดกับบริเวณร้านขายสินค้า หากเข้าไปจากซุ้มประตูเข้าวัด จะอยู่ทางด้านขวามือ ตรงกับลานจอดรถ ซึ่งการก่อสร้างพระตำหนักสมเด็จพระสังฆราช ณ วัดเขาขุนพนม เป็นความคิดริเริ่มของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ เมื่อคราวเดินทางมาปฏิบัติสังฆกิจแทนพระองค์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2540 โดยได้เสนอแนะผ่านนายสัมพันธ์ ทองสมัคร ว่าในเมื่อมีการก่อสร้างพระตำหนักน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี (พระยศในขณะนั้น) ณ สถานที่ใกล้เคียงกับวัดเขาขุนพนมอยู่แล้ว สมควรจะได้จัดสร้างพระตำหนักถวายสมเด็จพระสังฆราชอีกหลังหนึ่ง เพื่อความสอดคล้องและเสริมส่งซึ่งกันและกันของมหามงคลสถานทั้งสอง เมื่อความแห่งข้อเสนอแนะดังกล่าวทราบถึงพุทธศาสนิกชนต่างก็ยินดี ประกอบกับพิจารณาแล้วเห็นว่าหากมีการจัดสร้างพระตำหนักสมเด็จพระสังฆราชที่วัดเขาขุนพนม ก็จะเป็นถาวรวัตถุที่ก่อสร้างในมงคลวโรกาสเฉลิมฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา แห่งองค์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกอีกด้วย ทุกฝ่ายจึงสนับสนุนความดำริของเจ้าประคุณพุฒาจารย์ จึงได้ดำเนินการก่อสร้างพระตำหนักดังกล่าวขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2541 (ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช, 2541, น.90-91)
17. พิพิธภัณฑ์วัดเขา : คลังมรดกช่างท้องถิ่น อาคารพิพิธภัณฑ์วัดเขาขุนพนมตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของพระอุโบสถ เป็นอาคารคอนกรีต (ค.ส.ล.) ชั้นเดียว หลังคาทรงจั่วออกมุขคู่ ด้านหน้ายกพื้นสูง ปัจจุบันได้เก็บรวบรวมโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ และมีคุณค่าตามประวัติศาสตร์และโบราณคดีหลายชิ้นซึ่งล้วนพบที่เขาขุนพนม โบราณวัตถุส่วนใหญ่ได้มาจากถ้ำพระยาตากและถ้ำข้างเคียง จัดเก็บรวบรวมไว้โดยไม่ได้จำแนกหมวดหมู่ และไม่ได้จัดแสดงบนแท่นฐานหรือตู้ถาวร (ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช, 2541, น.115) ปัจจุบันจะเปิดให้ชมเฉพาะในกรณีพิเศษเท่านั้น แต่สามารถมองผ่านกระจกชมโบราณวัตถุได้
ปูชนียวัตถุ ที่ได้มาจากถ้ำบนภูเขาขุนพนม ประกอบด้วย (ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช, 2541, น.115-120)
1. พระพุทธรูปปางประทานอภัย ประทับยืนบนฐานบัวหงาย รองด้วยฐานแปดเหลี่ยม ยกพระหัตถ์หนี่งข้าง ห่มคลุม มีไรพระศก รัศมีเป็นเปลวติดเศียร ฐานทำใหม่ ซ่อมที่ด้านหลัง ขนาดสูง 122 ซม. ทำด้วยสำริด สร้างโดยฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
2. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งสมาธิราบ นิ้วพระหัตถ์ขวามีเส้นพาด ข้อพระกรเป็นสันคู่พาดผ่านตักถึงฐาน มีเส้นคาดเอวสังฆาฏิเป็นรอยขีดยาวจรดเอว ด้านหลังถึงเอว ไม่มีไรพระศก สภาพชำรุด ซ่อมที่เศียรฐานไม่มี ขนาดหน้าตัก 19 ซม. สูง 31 ซม. ทำด้วยสำริด สร้างโดยฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
3. พระพุทธรูปทรงเครื่องเล็ก ปางสมาธิราบ ประทับนั่งสมาธิราบอยู่บนฐานปัทม์ มีลวดลายชำรุด ยอดมงกุฏหัก ด้านหลังมีรอยแตกขนาดหน้าตัก 135 ซม. ฐานกว้าง 16 ซม. สูง 26 ซม. ทำด้วยสำริด สร้างโดยฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
4. พระพุทธรูปปางสมาธิ ประทับนั่งสมาธิราบอยู่บนฐานปัทม์สังฆาฆิเป็นรอยชัด ยาวจดพระนาภี มีไรพระศก เม็ดพระศกเป็นเม็ดสาคูรัศมีเป็นเปลว เศียรด้านหลังชำรุด ด้านหลังมีรอยแตกตั้งแต่ฐานขึ้นไปจนถึงเข่าด้านขวา ขนาดหน้าตัก 11 ซม. ฐานกว้าง 12 ซม. สูง 21.5 ซม. ทำด้วยสำริด สร้างโดยฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
5. พระพุทธรูปปางสมาธิ ประทับนั่งบนฐานปัทม์ สังฆาฏิหยักมีรอยหลุด แยกเป็นชายผ้าพาดผ่านแขนลงจดฐาน ชำรุด เศียรหัก ตักด้านขวาแตก ฐานหักหาย ขนาดหน้าตักกว้าง 14 ซม. ฐานกว้าง 14 ซมงบ ฐานกว้าง 14 ซม. สูง 25 ซม. ทำด้วยสำริด ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
6. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งสมาธิราบอยู่บนฐานสูงซ้อนกันสามชั้น มีลวดลายตรงข้างๆ ของแขนทั้งสองข้างผ่านเอว รัศมีเป็นบัวตูมชำรุด รัศมีหลุด หูหักหาย หน้าตักกว้าง 8 ซม. ฐานกว้าง 11.5 ซม. สูง 20 ซม. เป็นพระพุทธรูปบุเงิน ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
7. พระพุทธรูปปางสมาธิ ประทับนั่งสมาธิราบอยู่บนฐานปัทม์ ชายสังฆาฏิเป็นรอยตัดยาวจดพระนาภี ด้านหลังยาวเกือบจดฐาน ชำรุด คอหัก หูขวาหักหาย ทำด้วยสำริด ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
8. พระพุทธรูปปางสมาธิ ประทับนั่งสมาธิราบอยู่บนฐานปัทม์ ชายสังฆาฏิเป็นรอยตัดยาวจดพระนาภี ด้านหลังยาวเกือบจดฐานชำรุด หูหักหายสองข้าง รัศมีหลุด ขนาดหน้าตักกว้าง 75 ซม. ฐานกว้าง 12 ซม. ฐานสูง 21 ซม. เป็นพระพุทธรูปบุเงิน ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
9. พระพุทธรูปปางสมาธิ ประทับนั่งสมาธิราบอยู่บนฐานปัทม์ ชายสังฆาฏิเป็นรอยตัดยาวจดพระนาภี ด้านหลังยาวเกือบจดฐานชำรุด เศียรหักโกสินทร์หน้าตักกว้าง 21 ซม. ทำด้วยสำริด ฝีมือช่างสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
10. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งสมาธิราบ สังฆาฏิเป็นรอยขีดยาวเฉียงกลางองค์ หน้ามีเส้นนูน ปากกว้าง ชำรุด รัศมีหักหาย ฐานไม่มี ขนาดหน้าตักกว้าง 12.5 ซม. ฐานกว้าง 12 ซม. สูง 22 ซม. ทำด้วยสำริด ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
11. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งสมาธิราบ มีเส้นของสบงและเส้นพาดแขนนูนผ่านลงจดฐานสังฆาฏิ เป็นรอดตัดยาวจดพระนาภี ด้านหลังเกือบจดฐาน มีไรพระศก รัศมีเป็นตัวตูม ติดเศียรชำรุด ฐานหลุดหาย ขนาดหน้าตักกว้าง 83 ซม. ฐานกว้าง 14 ซม. ทำด้วยทองเหลือง ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
12. พระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ ประทับยืนยกพระหัตถซ้ายห่มคลุม ชำรุด หูขวาหักหาย ขนาดสูง 30.5 ซม. ทำด้วยสำริด ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
13. พระพุทธรูปปางประทานอภัย ประทับยืน ยกพระหัตถ์ขวาห่มคลุมชำรุดหักเป็นสามท่อน คอหัก ข้อพระบาทหัก ขนาดสูง 30 ซม. ทำด้วยสำริด ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงศรีอยุธยา
14. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งสมาธิราบอยู่บนฐานบัวคว่ำบัวหงาย มัดองค์รองกับฐานบุเงินอีกชั้นหนึ่ง มีลวดลายตรงเอวผ่าพลอยชำรุด รัศมีหลุดหาย พลอยหลุดหาย มีรอยแตกที่ข้างซ้ายและแนวแขนขวา ประดับทอง ฐานบุเงิน ขนาดหน้าตักกว้าง 9 ซม. ฐานกว้าง 12.5 ซม. สูง 19 ซม. เป็นพระพุทธรูปบุเงิน ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
15. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งสมาธิราบอยู่บนฐานบัวหงาย มีลายฐานสิงห์รองรับ บุทองทั้งองค์ ชำรุด มีรอยฉีก ด้านหน้าตลอดถึงแขนบุบทั้งองค์ ขนาดหน้าตักกว้าง 5.3 ซม. ฐานกว้าง 8 ซม. สูง 12.5 ซม. บุทองทั้งองค์ ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
16. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งสมาธิราบอยู่บนฐานบัวหงายรองกับฐานเขียง ชำรุดทั้งองค์ มีรอยฉีกตั้งแต่รัศมีลงมาถึงฐานล่างลึกเป็นแอ่งเล็กๆ ขนาดหน้าตักกว้าง 5.5 ซม. ฐานกว้าง 6.5 ซม. สูง 12.5 ซม. บุทองทั้งองค์ ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
17. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งบนฐานบัวหงาย ชำรุดมีรอยบุบด้านหลัง เข่าซ้ายฉีก รัศมีหลุดหาย ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ซม. ฐานกว้าง 4 ซม. สูง 7 ซม. บุทองทั้งองค์ ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
18. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งบนฐานบัวหงานย ชำรุด บุบทั้งองค์ รัศมีหลุดหาย ขนาดหน้าตักกว้าง 4.2 ซม. ฐานกว้าง 4.2 ซม. สูง 6.3 ซม. บุทองทั้งองค์ ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
19. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งสมาธิราบอยู่บนฐานเขียงลายบัว ชำรุด นิ้วซ้ายหัก รัศมีหัก มีรอยขีดกลางองค์ที่เอว ขนาดหน้าตักกว้าง 13.5 ซม. ฐานกว้าง 13 ซม. สูง 27 ซม. ทำด้วยหินฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
20. พระพุทธบาท ทำด้วยไม้ มีลวดลายมงคล 108 ประการ ประกอบด้วยไม้สองแผ่น มีลวดลายเป็นโลหะฝังในเนื้อไม้ ขอบสีฟ้า ขนาดสูง 172 ซม. กว้าง 63.5 ซม. ทำด้วยไม้ ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
21. พระพุทธรูปปางประทานอภัย ประทับยืน ยกพระหัตถ์ขวา หินคลุมไม่มีไรพระศก ชำรุด ท่อนพระบาทและปลายนิ้วพระหัตถ์ขวาหักหาย ขนาดสูง 45.5 ซม. ทำด้วยสำริด ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงศรีอยุธยา
22. พระพุทธรูปปางประทานอภัย ประทับยืน ยกพระหัตถ์ขวาห่อคลุม มีไรพระศก รัศมีเป็นเปลวติดเศียร ชำรุด พระหัตถ์ขวาและยอดรัศมีหักหาย ขนาดสูง 30.5 ซม. ทำด้วยสำริด ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยกรุงศรีอยุธยา
ข้อมูลอ้างอิง
ศานติ โบดินันท์, สวัสดิ์ กฤตรัชตนันต์ และ ดำรง โยธารักษ์. (2561). พระเจ้าตากสินมหาราชไม่ได้สิ้นพระชนม์ที่กรุงธนและที่เมืองคอน. หน้า 152-282
ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช. (2541). เขาขุนพนม : ชีวิตและวัฒนธรรม. หน้า 50-183
Thailand Tourism Directory กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2564). วัดเขาขุนพนม. https://thailandtourismdirectory.go.th/th/attraction/1872
TourWatThai.com. (2023) ทัวร์วัดไทย. https://tourwatthai.com/region/south/nakhonsithammarat/watkhaokhunphanom/
https://library.wu.ac.th/NST_localinfo/king-taksin-the-great/
18 สิงหาคม, 2567
วัดพรหมโลก
ประวัติวัดพรหมโลก
วัดพรหมโลก เป็น วัดราษฏร์ สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่ที่ บ้านนอกท่า เลขที่ ๑๖๔ หมู่ที่ ๑ ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช มีเนื้อที่ปัจจุบันประมาณ ๑๕ ไร่ ๓ งาน ๗๖ ตารางวา ตามโฉนดที่ดิน เลขที่ ๒๙๔๙ เล่มที่ ๓๐ หน้าที่ ๔๙
วัดพรหมโลก เดิมชื่อวัด(หัวทุ่ง หรือ *หัวท่อง *เป็นภาษาท้องถิ่นทางปักษ์ใต้ หมายถึง พื้นที่สวนหัว หรือ คันนา ) สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ปฐมกษัติริย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น มีอายุใกล้เคียง กับ กรุงเทพมหานคร ในสมัยสงครามเก้าทัพ กองทัพพม่า ได้บุกเข้าตี เมืองนครศรีธรรมราช บ้านเมือง เกิดความระส่ำระสาย เกิด เหตุการณ์ข้าวยากหมากแพง บ้านเรือน วัดวาอารามถูกเผาทำลาย ทัพพม่าได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเฉลย จำนวนมาก พ่อท่านขรัวสีทอง สมภารวัดพระสูง (หอพระสูงในปัจจุบัน อยู่บริเวณสนามหน้าเมือง นครศรีธรรมราช ) ได้อพยพพร้อมชาวบ้านหนีพวกทหารพม่ามาลงเรือที่หลังวัดท่ามอญ ( วัดศรีทวีในปัจจุบัน ) แล้วเดินเท้าต่อขึ้นไปทางทิศเหนือ แล้วไปหยุดพักเป็นระยะ ผ่านหมู่บ้าน หลายหมู่บ้าน เช่น บ้านหัวเล ศาลาตีนเป็ด ( บ้านน้ำสรงปัจจุบัน ) ศาลาต้นไพ ( บ้านศาลาไพ ปัจจุบัน ) ศาลาบ้านหาดปรางค์ (บ้านศาลาใหม่ในปัจจุบัน ) ในการเดินทาง ทุกสถานที่ที่พ่อท่านขรัวสีทองหยุดพัก ท่านก็จะ คอยสังเกตดูพื้นที่โดยรอบบริเวณที่หยุดพักค้างแรมพร้อมทั้งสอบถามชาวบ้านในพื้นที่นั้นๆ เพื่อที่จะหา สถานที่สร้างวัดขึ้นมาใหม่ หลังจากหยุดพักแรมที่บ้านหาดปรางค์อยู่ระยะหนึ่งแล้ว ท่านขรัวสีทองก็เดินทางต่อขึ้นไปทางเหนือ ผ่านอีกหลายหมู่บ้าน เช่น บ้านสัปบุรุษ ( บ้านสำรุดอ่อนในปัจจุบัน ) บ้านเขาปูน จนกระทั่ง มาหยุดที่บริเวณริมคลองนอกท่า ( ด้านทิศเหนือของ*วัดพรหมโลก*ในปัจจุบัน) เมื่อศึกสงครามสงบลง ท่านก็ได้พักแรมอยู่ที่นี่ และ ท่านได้สังเกตเห็นว่า บริเวณนี้เป็นพื้นที่ เหมาะแก่การสร้างที่พักสงฆ์ได้ เพราะอยู่ ติดริมคลอง การสัญจรไปมาสะดวกสบาย น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ เพราะ คลองนอกท่า มีต้นน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาหลวงที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ท่านจึงได้ชักชวนชาวบ้านในพื้นที่ สร้างกุฏิเล็กๆขึ้นหนึ่งหลัง พอที่จะพักผ่อน และ ทำสมณะกิจได้ ชาวบ้านและคนทั่วไปเรียกว่า “วัดเลี้ยงปลา “ เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ติดลำคลองซึ่งมีปลาอาศัยอยู่ชุกชมมาก ต่อมาเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำจากเขาหลวงที่อยู่ด้านทิศตะวันตกจะเอ่อล้นตลิ่ง และ ไหลแรงขึ้นมาท่วมบริเวณพื้นที่พักสงฆ์และกัดเซาะพื้นที่วัด อยู่เป็นประจำทุกปี สร้างความเสียหายให้แก่ พื้นที่ และ เสนาสนะ ท่านขรัวสีทองเล็งเห็นว่าในภายภาคหน้าหากเหตุการณ์เป็นอย่างนี้คงไม่เหมาะแน่ จึงปรึกษา กับ ชาวบ้าน และ มองหาพื้นที่ที่จะย้ายไปสร้างวัดขึ้นใหม่ ทางทิศใต้ของที่ตั้งเดิม ซึ่งติดกับทุ่งนา เป็นพื้นที่โล่ง ไม่ห่างจากพื้นที่เดิมมากนัก ท่านขรัวสีทองเห็นว่า เป็นที่สัพปายะ เหมาะแก่การสร้างวัด จึงได้ชักชวนชาวบ้าน สร้างเป็นสำนักสงฆ์ พร้อมทั้งสร้างกิเพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง จนมีความเจริญขึ้นตามลำดับ และ วัดนี้ถูกเรียกว่า วัดหัวทุ่งหรือหัวท่องในภาษาใต้ท้องถิ่น ต่อมา เมื่อท่านขรัวสีทอง ได้มรณภาพลง ก็มีเจ้าอาวาสอีกหลายรูปติดต่อกัน จนมาถึงสมัยพระมหาเชือบ ธมฺมปาโล เป็นเจ้าอาวาส ได้สร้างอุโบสถขึ้นหนึ่งหลัง และ ผูกพัทธสีมา ใน ปีพ.ศ.๒๔๘๒ และ ท่านเห็นว่าพื้นที่ของวัด อยู่ในบริเวณที่ราบเชิงเขาหลวงซึ่งมองดูสูงใหญ่ตระห่าน เหมือนเขาพระสุเมรุ จึงขอเปลี่ยนชื่อวัดจากวัดหัวทุ่ง มาเป็น วัดพรหมโลก ให้เหมาะสอดคล้องกับสถานที่ตั้ง และ ลักษณะของภูมิศาสตร์ของพื้นที่บริเวณนี้ และ ใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน วัดพรหมโลก ก็มีความเจริญขึ้นตามลำดับหลังจากพระอธิการเชือบ ธมฺมปาโล ได้มรณภาพ ก็มีเจ้าอาวาสต่อมาอีกหลายรูป มีการพัฒนา วัดไปตามยุคสมัย จนกระทั่งมาถึงสมัย พระอธิการเอื้อน สาวโก ได้สร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้นหนึ่งหลัง จนกระทั่งมาถึงสมัยพระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช เป็นเจ้าอาวาส วัดพรหมโลกมีความเจริญมาก มีการสร้างกุฏิสงฆ์ และ เสนาสะนะอีกหลายอย่าง เช่น ศาลาการเปรียญ หอฉัน เป็นต้น ด้วยว่าพระสมุห์เกลื่อน ท่านเป็นพระนักพัฒนา เป็นพระทำงาน แต่ในเรื่องของ ศีล จะริยาวัตร ของ สงฆ์ท่านก็ไม่ได้บกพร่อง จึงยังให้เกิดศรัทธา ต่อศาสนิกชนโดยรอบวัดพรหมโลกเป็นอย่างมาก เมื่อทางวัดทางคณะสงฆ์จะต้องการสร้างเสนาสะนะสิ่งใด ชาวบ้านจะมาช่วยกันเต็มที่ ทั้งออกแรงงาน แรงทรัพย์ โดยเฉพาะตัวท่านเองจะคอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง และ ลงมือทำในสิ่งที่สมณะพึงทำได้โดย ไม่ได้อยู่เฉย ท่านเป็นพระที่ขยัน ทั้งเรื่องการงาน และ กิจการของสงฆ์ ท่านยังเป็นคนชอบ คนไม่เกียจคร้าน และ ท่านจะสนับสนุน คนขยันในทุกๆเรื่อง เรื่องนี้จะเห็นได้จาก หลังจากที่ท่านมรณภาพไปแล้ว ชาวบ้านที่เคารพศรัทธาในตัวท่าน พระสมุห์เกลื่อน พร้อมใจกัน สร้างรูปหล่อเหมือนของท่านไว้เป็นอนุสรณ์ให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงคุณงามความดี คุณประโยชน์ที่ท่านสร้างไว้ และ เพื่อกราบไหว้บูชา บนบานศาลกล่าว เรื่องการงานที่อยากให้ประสบความสำเร็จ ชาวบ้านบริเวณวัดพรหมโลกทุกบ้านจะรู้ดีถึงความศักดิ์สิทธิของท่าน แม้ท่านจะมรณะภาพไปแล้ว ท่านยังคอยเป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจของชาวบ้านในละแวกนี้ ได้เป็นอย่างดี หลังจากพระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช ได้มรภาพลง พระครูวุฒิ ธรรมสาร ( สมปอง ธมฺมสาโร ) เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อมา และ ได้มีการพัฒนาวัดในหลายๆด้าน โดยเฉพาะด้านยาสมุนไพร ท่านพ่อท่านสมปอง ธมฺมสาโร เป็นผู้ค้นคว้า ตำรายาสมุนไพรเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด เป็นที่เชื่อถือ และ นับถือของชาวบ้านในจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นอย่างดีจนมาถึงปัจจุบัน
วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร ชาวอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช(ในขณะนั้น อำเภอพรหมคีรียังขึ้นอยู่กับอำเภอเมือง) และ แวะเยี่ยมเยือนพสกนิกรที่มารอรับเสด็จที่วัดพรหมโลก ยังความปลาบปลื้มปีติให้แก่ประชาชนชาวพรหมโลกเป็นอย่างมากนอกจากนี้พระครูวุฒิธรรมสาร ยังเป็นพระนักเทศน์มหาชาดอีกด้วยและเคยแสดงพระธรรมเทศนามหาชาดต่อหน้าพระที่นั่งด้วย และ เป็นท่านผู้ตั้งชื่ออำเภอพรหมคีรี และ เป็นเจ้าคณะอำเภอพรหมคีรีรูปแรกด้วย หลังจากพระครูวุฒิธรรมสาร ( สมปอง ธมฺมสาโร ) มรณภาพ พระครูบรรหารวุฒิชัย( ณรงค์ชัย ปญฺญาวุฑโฒ ) ก็เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อมา และ เป็นเจ้าคณะอำเภอรูปที่สองของอำเภอด้วย และ วัดพรหมโลก ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นในอีกหลายๆด้าน มีการสร้าง และ ปรับปรุงเสนาสะนะใหม่ๆขึ้นอีกหลายๆอย่าง และ ได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น และ ปรับปรุงหลังเก่าเป็นวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป มีการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณลานวัด จัดให้มีกิจกรรมหลายอย่างเพื่อให้เด็กและเยาวชนชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างของวัดซึ่งจะเป็นการเผยแผ่ และ สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา พร้อมกันนี้ได้ร่วมมือกับหน่วยงานราชการให้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ตามอัธยาศัย และ ห้องสมุดประชาชนขึ้นในบริเวณวัด และ ได้ร่วมกับกิ่งกาชาดอำเภอพรหมคีรี ร่วมกับ คุณโสภา มาศดิตถ์ นายมนัสวงศ์ ทัศนวงศ์ สร้างสถานพยาบาลรักษาผู้ป่วยถูกงูพิษกัดด้วยสมุนไพร “บ้านกาชาดอุทิศ “เพื่อสืบสาน และอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมองู ของพระครูวุฒิธรรมสาร ให้คงอยู่ต่อไป เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย จนถึงปัจจุบันนี้.
ทำเนียบรายนาม เจ้าอาวาสวัดพรหมโลก( ตามคำบอกเล่าและเท่าที่ค้นหาได้ )
๑. ท่านขรัวสีทอง พ.ศ.๒๓๒๕ – มรณภาพ
๒. ท่านสมภารกลา - มรณภาพ
๓. ท่านสมภารคงเสือ - มรณภาพ
๔. ท่านสมภารนุ่น - ลาสิกขาบท
๕. พระอธิการทอง คงฺฆสุวณฺโณ ๒๔๓๐ – ๒๔๕๑ มรณภาพ
๖. พระใบฏีกาช่วย ๒๔๕๓ – ๒๔๖๑ (ภายหลังท่านย้ายไปอยู่วัดแจ้ง ต.ท่างิ้ว อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช )
๗. พระมหาเชือบ ธมฺมปาโล ๒๔๖๓ – ๒๔๘๓ ( ภายหลังไปอยู่วัดสุปัณณาราม (ทุ่งคา)อ.สิชลจ.นครศรีธรรมราชและได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูไพศาลพลานุศาสน์ )
๘.พระอธิการเอื้อน สาวโก ๒๔๘๓ – ๒๔๘๗ ลาสิกขาบท
๙. พระมหาอรุณ อรุโณ ๒๔๘๗ – ๒๔๙๐ ลาสิกขาบท
๑๐.พระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช ๒๔๘๗ – ๒๔๙๙ มรณภาพ
๑๑.พระครูวุฒิธรรมสาร (สมปอง ธมฺมสาโร ) ๒๕๐๐ – ๒๕๓๖ มรณภาพ
๑๒.พระครูบรรหารวุฒิชัย ( ณรงค์ชัย ปญฺญาวุฑโฒ ) ๒๕๓๖ – ปัจจุบัน
15 สิงหาคม, 2567
พัดใบกะพ้อ
พัดใบกะพ้อ
ประวัติความเป็นมา
กะพ้อ มีต้นเป็นกอสูงประมาณ ๑๕-๒๐ ฟุต ใบรูปใบพัด ก้านใบยาวเล็ก มีใบย่อยแตกออกจากกันและแตกออกจากจุดเดียวกัน ที่ก้านใบแต่ละใบจะมีใบย่อยประมาณ ๑๒-๑๘ ใบ ตามใบย่อยมีรอยจีบ ปลายใบตัด ใบย่อยยาวประมาณ ๑ ฟุต และกว้าง ๔-๕ นิ้ว ใบสีเขียวเข้ม เมื่อเจริญเติบโตไปสักระยะหนึ่งจะเกิดหน่อออกมาตามบริเวณโคนต้นมากมาย ดอกสีขาว ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงระหว่างกาบใบ ดอกสมบูรณ์เพศ ช่อดอกยาวได้ถึง ๒ เมตร ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ ๑ เซนติเมตร ส่วนผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว ทรงกลมถึงรูปไข่ ขนาดกว้างประมาณ ๐.๘ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๑ เซนติเมตร ออกเป็นช่อๆ แตกแยกออกจากก้านช่อดอกใหญ่ ผลสุกสีแดง เปลือกเรียบ
กะพ้อ เจริญเติบโตได้ดีในที่โล่งแจ้ง ชอบดินปนทรายที่ชุ่มชื้น ชอบความชื้นปานกลาง-สูง แสงแดดจัด สามารถปลูกในสนามหญ้าเพื่อให้มันแตกกอเป็นพุ่มหรือจะทำเป็นสวนหย่อมก็ได้ เป็นการใช้งานด้านภูมิทัศน์เนื่องจากทรงพุ่มสวย ปลูกเป็นไม้กระถางหรือในแปลงริมน้ำ เป็นแนวรั้วบังสายตา
ยังนำไปทำงานประดิษฐ์ได้ เช่น งานจักสานพัดใบกะพ้อ รวมไปถึงใบกะพ้อที่แก่จัดๆ นำไปทำหลังคาแทนการมุงด้วยใบจาก ก้านจากใบแก่ๆ นำไปทำกระด้ง แข็งแรงได้เทียบเท่าไม้ไผ่เลยทีเดียว
ต้นกะพ้อ หรือที่คนใต้เรียกว่าต้นพ้อ นี้ เป็นพืชพื้นเมืองที่มีอยู่ทั่วไปทางภาคใต้ ขึ้นอยู่ในป่าพรุ หรือตามหัวไร่ปลายนา หรือตามระว่างแถวในสวนยางพารา เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกับปาล์ม ลำต้นแตกหน่อออกเป็นกอ สูงประมาณ ๑-๓ เมตร ใบมีลักษณะคล้ายรูปพัด เป็นพืชที่ให้ประโยชน์ทั้งต้น ใบอ่อนใช้ห่อขนมต้ม ที่อ่อนมากๆ ทำแกงเลียง แกงส้ม หรือทำผัดน้ำพริกได้ ใบแก่เอามาทำเครื่องจักสาน เสื่อ พัด ลูกกะพ้อเป็นยาระบาย ลำต้นเอามาทำเสารั้วและนำมาปลูกไว้ข้างบ้านเพื่อความร่มรื่นสวยงาม
ส่วนใบพ้อ นำมาใช้ “แทงต้ม“ ขนมที่ชาวปักษ์ใต้รู้จักกันดี หรือที่เรียกกันว่า “ขนมต้ม” หรือ “ต้ม” เป็นข้าวต้มลูกโยนชนิดหนึ่งที่ทำในเทศกาลบุญชักพระของชาวใต้ และยังเป็นขนมที่ใช้ในงานประเพณีหลายๆ งานในท้องถิ่นภาคใต้ ที่ใช้กันเป็นหลักคือในงานบุญออกพรรษา การตักบาตรเทโว งานชักพระ งานเดือนสิบ และงานบวช ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปแต่ในที่นี้ขอนำเสนอภูมิปัญญาของชาวบ้านที่นำใบกะพ้อมาจักสานเป็นพัด เรียกว่า “พัดใบกะพ้อ” หรือ “พัดใบพ้อ” ซึ่งเป็นงานหัตถกรรมจักสานประเภทหนึ่งที่เป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน นับเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของภาคใต้ โดยเฉพาะในอำเภอร่อนพิบูลย์ และที่บ้านสวนเลา อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นที่ที่ผลิตกันจนมีชื่อเสียงในเรื่องพัดใบพ้อ ก็คือหมู่บ้านโคกยาง
ลวดลายในการสาน เพื่อขึ้นรูปทรงเครื่องจักสานนั้น เป็นวิธีการของแบบแผนที่มีระบบอย่างหนึ่ง เพื่อการสร้างโครงสร้างให้เกิดการเชื่อมต่อซ้ำๆ กันไป โดยใช้ลักษณะการขัดกันของเส้นตอก หรือวัสดุอื่นที่ใช้จักสานได้ เพื่อให้เกิดแรงยึดเหนี่ยวระหว่างกันจนกลายเป็นผืนแผ่น เพื่อเป็นผนังของโครงสร้างเครื่องจักสานตามต้องการ ลายจักสานนั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของการขึ้นโครงสร้างผลิตภัณฑ์ ประเภทเครื่องจักสาน จัดเป็นขบวนการความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่เป็นระบบ ลายจักสานของไทยนั้น มีลวดลายและรูปแบบแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งที่แตกต่างกัน ด้วยลักษณะของวัสดุที่ใช้ในการจักสานด้วย ดังนั้นการเลือกใช้ลายจักสานใด จึงขึ้นอยู่กับความเหมาะสม สนองประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ เช่น อาจใช้ลายขัดธรรมดา เพื่อให้เกิดความแข็งแรงทนทานและความสะดวกในการสาน หรือถ้าต้องการสานภาชนะที่มีตาต่างๆ เช่น ชะลอม เข่ง ก็มักจะสานด้วยลายเฉลา เป็นต้น
พัดใบกะพ้อ เป็นงานหัตถกรรมภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ได้ประดิษฐ์คิดค้น สร้างสรรค์ใบกะพ้อจากธรรมชาติ ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ สวยงาม สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายประการ มาเกือบ 100 ปี แรกเริ่มของพัดใบกะพ้อ เกิดจากเพื่อนพ้องน้องพี่ที่อาศัยอยู่ที่บ้านโคกยาง หมู่ที่ ๑๐ ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปทำสวนยางพาราและสวนผลไม้ที่บ้านสวนเลา หมู่ที่ ๕ ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ในปัจจุบัน บริเวณสวนยางหรือสวนผลไม้ มีต้นกะพ้อเป็นจำนวนมาก จึงได้ตัดใบกะพ้อมาตกแต่งให้มีขนาดพอเหมาะ พัดลมบรรเทาคลายความร้อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในสวนยางพาราและสวนผลไม้ หลังจากนั้นก็เริ่มนำมาใช้ในบ้านเรือน โดยใช้พัดลมบรรเทาความร้อนในยามพักผ่อน และพัดลมในการติดไฟประกอบอาหาร ซึ่งใช้ได้ไม่นานก็เสื่อมสภาพ ต่อมามีการนำใบกะพ้อมาแยกเป็นกลีบแล้วสอดเป็นลายขัดทำเป็นพัดใบกะพ้อ ใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเดิมแต่ฉีกขาดได้ง่าย เนื่องจากใบกะพ้อไม่เหนียวทน
วิวัฒนาการทำพัดใบกะพ้อจากการใช้ใบมาเป็นยอดกะพ้อที่ยังกลม โดยนำมาแยกกลีบใบแล้วลวกน้ำร้อนทำให้พัดใบกะพ้อมีความทนทาน ฉีดขาดได้ยาก มีสีขาวดูแล้วสวยงาม มีการตกแต่งด้ามพัดด้วยหวายที่มีความประณีต การประกอบอาชีพทำสวนผลไม้ นำผลไม้มาขายตามตลาดนัดต่างๆ และนำพัดใบกะพ้อมาใช้พัดลมในระหว่างที่ขายผลไม้ ทำให้แม่ค้าในตลาดนัดเกิดความสนใจพัดใบกะพ้อมาใช้แทนกระดาษหนาที่ใช้พัดลม การทำพัดใบกะพ้อเพื่อจำหน่ายจึงเริ่มขึ้นจากตลาดนัดเล็กๆ เป็นตลาดประจำอำเภอ ประจำจังหวัด และจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้ ตลอดจนตลาดในกรุงเทพมหานคร
ในปัจจุบันพัดใบกะพ้อได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอร่อนพิบูลย์ และอำเภอจุฬาภรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยการจัดตั้งเป็นกลุ่มในหมู่บ้านดังนี้
๑. กลุ่มหัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อบ้านโคกยาง หมู่ที่ ๑๐ ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
๒. กลุ่มหัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อบ้านสวนเลา หมู่ที่ ๕ ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
การทำพัดใบกะพ้อ เริ่มจะมีอุปสรรคเนื่องจากวัตถุดิบที่นำใช้ผลิตเป็นวัสดุเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ราษฎรที่ไม่ได้ประกอบอาชีพจักสานพัดใบกะพ้อ จะทำลายต้นกะพ้อในพื้นที่ของตน เพื่อปลูกยางพาราและผลไม้ ทำให้ยอดกะพ้อมีไม่เพียงพอ ซึ่งจะมีแต่ป่าสงวนแห่งชาติเท่านั้นที่ยังมีต้นกะพ้ออยู่ตามธรรมชาติ ราษฎรที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าสงวนแห่งชาติ จะตัดยอดกะพ้อมาจำหน่าย ทางสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอจุฬาภรณ์ เทศบาลตำบลร่อนพิบูลย์ และองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งโพธิ์ จึงได้สนับสนุนงบประมาณให้กลุ่มหัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อ ปลูกต้นกะพ้อเป็นพืชแซมในสวนยางพารา เพื่อเป็นการอนุรักษ์หัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อ ให้คงอยู่ในชุมชน
ขั้นตอนการสานพัดใบกะพ้อ
ใบกะพ้อส่วนที่นำมาจักสานเป็นพัดใบกะพ้อ คือส่วนที่เป็นยอดกลมยังไม่บานเป็นใบ จากลักษณะของใบกะพ้อซึ่งเป็นใบเลี้ยงเดียว มีก้านยาว ปลายก้านจะเป็นกระจุกแตกเป็นกลีบใบเล็กๆ แยกเป็นสองข้างๆ ละประมาณ 25 - 30 กลีบ กลีบใบแต่ละกลีบจะมีก้านกลีบเล็กๆ ริมกลีบใบจะติดกันประมาณ 4 - 5 กลีบ
ขั้นเตรียมวัสดุ
1. ตัดก้านใบห่างจากกระจุก ประมาณ 15 เซนติเมตร เหลาส่วนที่เป็นหนามออก
2. นำยอดใบกะพ้อที่ยังกลม มาคลี่ออก ตัดกลีบใบกลาง ห่างจากกระจุก ประมาณ 15 เซนติเมตร
3. ใช้มีดกรีดริมข้างกลีบใบที่ติดกันออก ให้เหลือส่วนกลีบใบ วัดจากก้านกลีบ ขนาด 1 เซนติเมตร
4. ส่วนที่กรีดไม่ได้ ให้ดึงแยกตามรอยกรีด จนถึงกระจุก จะได้กลีบใบที่มีขนาดเท่าๆ กัน ประมาณข้างละ 20 - 25 กลีบ
5. นำใบพ้อที่กรีดเป็นกลีบเสร็จแล้วมาผึ่งแดด 2 วัน แล้วนำมาลวกน้ำร้อน ประมาณ 3 นาที แล้วผึ่งแดดอีก 3 วัน จะได้ใบกะพ้อที่แห้งสีขาว
6. หากต้องการพัดใบกะพ้อสีต่างๆ ก็นำไปย้อมสีตามความต้องการ
7. นำไปเก็บในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ ป้องกันความชื้น
8. ตกแต่งกลีบใบที่ซ้อนกันตามข้อ 4 ให้กึ่งกลางอยู่ตรงกลีบใบกลางที่ตัด จัดเป็นมุมฉากให้มุมอยู่ที่จุดกึ่งกลาง
ขั้นขึ้นพัดใบกะพ้อ
1. หันปลายใบพ้อไปด้านหน้า วางปลายเท้าทั้งสองข้างใต้กลีบใบที่อยู่ในแนวนอน ก้านใบพ้ออยู่ระหว่างส้นเท้า
2. ใช้มือทั้งสองข้างยกกลีบใบอันที่อยู่ด้านล่างของกลีบใบที่ตั้งอยู่ในแนวนอน จนถึงกลางใบ
3. จับกลีบใบที่อยู่ในสุดของอีกข้างหนึ่ง สอดกลับมาทางกลีบใบที่ยก ตกแต่งให้สวยงาม
4. ดำเนินการ ตามข้อ 3 จนกลีบใบหมด ตกแต่งให้แน่น และให้ปลายรูปพัดอยู่ตรงกับก้านใบกะพ้อ
ขั้นเวียนพัดใบกะพ้อ
1. ตั้งพัดที่ได้ในขั้นขึ้นพัดใบกะพ้อ ในแนวนอน ให้ก้านใบกะพ้อหันไปทางขวา
2. ใช้กลีบใบอันซ้ายสุดสอดไปทางขวา ตามลายขัด ตามความยาวของกลีบใบ (หากมีกลีบใบส่วนที่เหลือ นำไปรวบที่ก้านใบกะพ้อ
3. ดำเนินการตามข้อ 2 จนหมดกลีบใบ ตกแต่งเป็นรูปใบโพธิ์ ครึ่งใบ
4. พลิกอีกด้านมาสานให้เหมือนกัน ตกแต่งเป็นพัดใบกะพ้อ รูปใบโพธิ์ส่วนที่เหลือ
5. รวบกลีบใบที่เหลือทั้งสองด้าน มาที่ก้านใบ ตกแต่งให้เข้ารูปเป็นด้ามพัดใบกะพ้อ
ขั้นก่อพัดใบกะพ้อ
1. นำใบกะพ้อที่เตรียมไว้มาพรมน้ำ ตั้งทิ้งไว้ ประมาณ 20 นาที จะทำให้กลีบใบนิ่ม สะดวกในการจักสาน
2. นับขนาดกลีบใบแต่ละข้างให้เท่ากัน ตามขนาดของพัดใบกะพ้อ ส่วนที่เหลือดึงออก (ขนาดใหญ่ ข้างละ 23 กลีบ ขนาดกลาง ข้างละ 18 กลีบ ขนาดเล็ก ข้างละ 15 กลีบ)
3. ผู้สานพัดใบกะพ้อนั่งบนเก้าอี้ สูงประมาณ 8 - 10 เซนติเมตร เข่าตั้งตรง วางเท้าหันปลายเท้าไปด้านหน้า
4. นำกลีบใบที่ดึงออก มาซ้อนกัน 3 คู่ ตั้งเรียงตามแนวนอน โดยให้ก้านกลีบอยู่ด้านบน ใช้ปลายเท้าข้างขวากดทับ
5. วางใบพ้อคว่ำลง ใช้ส้นเท้าด้านขวาทับที่ก้านใบ
6. นำกลีบใบอันนอกสุดหันด้านก้านกลีบไปทางขวา สอดเข้าในกลีบใบ ตามข้อ 4 สลับกันเป็นลายขัด
7. ดำเนินการตามข้อ 6 จนหมดกลีบใบ แต่ด้านซ้ายของกลีบใบอันกลางที่ตัด ให้หันก้านกลีบไปทางซ้าย
ขั้นทำด้ามพัดใบกะพ้อ
1. ตัดด้ามพัดใบกะพ้อ ให้มีความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ดึงกลีบใบที่มัดด้ามพัดใบกะพ้อออก
2. ใช้พลาสติกบาง กว้างประมาณ 5 มิลลิเมตร สอดระหว่างกลีบใบบริเวณกระจุกทั้งสองข้าง
3. มัดกลีบใบเข้ากับก้านใบให้แน่น ตกแต่งด้วยความประณีต ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร
4. ใช้เศษพลาสติกที่มัดกล่องสินค้า ตกแต่งให้มีขนาดกว้าง 5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร เป็นห่วงพัดใบกะพ้อ
5. สอดปลายห่วงพัดใบกะพ้อทั้งสองที่ปลายด้ามพัดใบกะพ้อ ให้ห่วงพัดใบกะพ้อมีขนาดประมาณ 3 เซนติเมตร
6. พันทับด้วยพลาสติกบางต่อไปจนถึงปลายสุดข้างด้ามพัดใบกะพ้อ
7. สอดพลาสติกบางพันห่วงพัดใบกะพ้อจนรอบ แล้วมัดพลาสติกให้แน่นด้วยความประณีต ความยาวของด้าม และห่วงพัดใบกะพ้อ มีขนาดสมดุลกับขนาดของพัดใบกะพ้อ
ในอดีตพัดใบกะพ้อ ใช้ประโยชน์ในการพัดลมคลายความร้อนเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอ ได้จัดตั้งเป็นกลุ่มผู้ผลิตพัดใบกะพ้อ ก็ได้ส่งเสริมให้มีการทำผลิตภัณฑ์จากพัดใบกะพ้อ อย่างเช่น การทำพัดใบกะพ้อขนาดเล็ก กว้างประมาณ 8 – 10 เซนติเมตร ย่อมเป็นสีต่างๆ สวยงาม ใช้เป็นของที่ระลึกในเทศกาลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส งานศพ
นอกจากนั้นวิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช ได้นำพัดใบกะพ้อมาใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดง และนำมาประยุกต์เป็นเครื่องประดับในการแต่งกายของนักแสดง “ ระบำพัดใบกะพ้อ ” ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมและอนุรักษ์ สืบทอดอาชีพทำพัดใบกะพ้อ ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
อุปสรรคของพัดใบกะพ้อ
การทำพัดใบกะพ้อ เริ่มจะมีอุปสรรค เนื่องจากวัตถุดิบ ที่นำผลิตเป็นวัสดุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ราษฏรที่ไม่ได้ประกอบอาชีพจักสานพัดใบกะพ้อ จะทำลายต้นกะพ้อในพื้นที่ของตน เพื่อปลูกยางพาราและผลไม้ ทำให้ยอดกะพ้อมีไม่เพียงพอ ซึ่งจะมีแต่ป่าสงวนแห่งชาติเท่านั้นที่ยังมีต้นกะพ้ออยู่ตามธรรมชาติ ราษฏรที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าสงวนแห่งชาติ จะตัดยอดกะพ้อมาจำหน่าย
ที่มา :
นาย เจน แป้นแก้ว
https://www.gotoknow.org/posts/236700
http://www.sookjai.com/index.php?topic=110707.0
http://student.nu.ac.th/phantakarn/phantakarn/images/A5.jpg
ภูมิปัญญาไทยจากใบกะพ้อ วารสาร "สารนครศรีธรรมราช" จัดพิมพ์เผยแพร่โดย องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช
13 สิงหาคม, 2567
วิถีคนเลี้ยงควายนม:ทวีชัยฟาร์ม
วิถีคนเลี้ยงควายนม:ทวีชัยฟาร์ม
เมื่อเดินทางมาตามทางหลวงสาย 4013 เลียบชายหาด เส้นทางสายปากพนัง-หัวไทร มาถึง ต.ขนาบนาค หมู่ที่ 10 ข้ามสะพานหน้าโกฎิเลี้ยวขวามาตามถนนเลียบคลองระบายน้ำหน้าโกฎิฝั่งซ้าย เลียบตามแม่น้ำมา ประมาณ 2 กม.ก่อนถึงสะพานควาย ก็ถึงทวีชัยฟาร์ม ซึ่งตั้งโดดเด่นอยู่ริมถนน ใกล้แม่น้ำ มีควายสายพันธ์มูร่าห์ ตัวใหญ่ๆ เขาโค้งยาวๆให้เราได้เห็น เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาด้านหน้าก็จะเป็นลานจอดรถกว้าง จอดรถได้หลายคัน จากลานจอดรถ เดินเข้าไปก็จะถึงคอกควายมูร่าห์
ทวีชัยฟาร์ม ตำบลขนาบนาค อำเภอปากพนัง จังหวัดนนครศรีธรรมราช มีเกษตรกรผู้เลี้ยงควายนม อยู่ 1 ครอบครัว คือ นายทวี เหมทานนท์ หรือน้าชัย (สามี) อายุ 67 ปี และนางเถาวัลย์ ดาษพร หรือน้าสาว(ภรรยา) อายุ 53 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 132/3 หมู่ที่ 10 ต.ขนาบนาค อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เกษตรกรผู้สืบทอดการเลี้ยงควายมา 6 ชั่วอายุคน เล่าว่า ชีวิตพลิกผันหลังจากนากุ้งขาดทุน เมื่อ30ปีที่แล้ว จึงเปลี่ยนมาเลี้ยงควายนมแทน เริ่มต้นจากซื้อควายนมมา 1คู่ กับลูกควายอีก 2 ตัว เป็นควายพันธุ์ผสม ราคา 68,000 บาท จากบ้านนาแล ต,เสาเถา อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช จากนั้นก็ขยายพันธ์ควายจนมีมากสุด 37 ตัว มีการจำหน่ายออกไปบ้าง จนในปัจจุบันมีควายตัวเมีย จำนวน 13 ตัว ตัวผู้ พ่อพันธุ์ 1 ตัว สายพันธ์มูร่าห์ทั้งหมด รวม 14 ตัว
น้าชัย เล่าว่า การเลี้ยงควาย 1 ตัว ต้องมีหญ้าให้ควายกิน 1 ไร่ มีบ่อน้ำสะอาดให้ควายกิน มีเนินพื้นที่ให้ควายพัก มีแอ่งน้ำให้ควายแช่เพื่อผ่อนคลาย สำหรับแอ่งน้ำต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่นอนแช่ซ้ำแอ่งเดิม เพราะจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และต้องตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะมีสัตวแพทย์มีเช็คเลือด ตรวจสุขภาพควายทุกๆเดือน
ควายส่วนมากจะกินหญ้าเป็นหลัก หรืออาหารหยาบชนิดต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น หญ้าแห้ง หญ้าหมัก ฝางข้าว หรือเศษเหลือจากผลผลิต ด้านการเกษตร เช่น ต้นข้าวโพด ยอดอ้อย ใบมันสาปะหลัง ต้นถั่ว หญ้าเนเปียร์ และหญ้าหวานอิสรเอล
ในฟาร์มจะมีควายมูร่าห์ตัวเมีย13 ตัว ควายเพศเมียจะเริ่มผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 2 ปีครึ่งขึ้นไป ส่วนเพศผู้อายุ 3 ปีขึ้นไป ระยะการตั้งท้องประมาณ 308-337 วัน คลอดลูกครั้งละ 1 ตัว โดยทั่วไปควายสามารถคลอดลูกเองได้โดยธรรมชาติ ผู้เลี้ยงจึงไม่จำเป็น ที่จะต้องดึงลูกควายออก ในขณะที่แม่ควายกำลังเบ่งลูก นอกจากสังเกตเห็นอาการที่ผิดปกติก่อนคลอด ก็สามารถช่วยทำคลอดได้ เช่น ลูกควายคลอดผิดท่า หรือแม่ควายใช้เวลาเบ่งลูกนานผิดปกติ
น้าสาว เล่าว่า การรีดนมควาย ต้องรีดนมจากแม่ควาย ที่ลูกควายเริ่มกินหญ้าได้แล้วเมื่อลูกอายุได้ ราว 2 เดือน แม่ควาย1ตัวรีดนมได้1-2ลิตร และจะรีดไปได้ถึง 10เดือน วัว 13 ตัว จะมีน้ำนมให้ทั้งปี และมีการนำมาแปรรูปเป็นทอฟฟี่นมควาย เต้าฮวยนมหวาย กาแฟนมควาย และยีสนมควาย นอกจากนี้มูลควายก็สามารถนำมาทำปุ๋ยหมักขายได้
มรดกภูมิปัญญาเกี่ยวกับอุปกรณ์วิถีทำนา
มรดกภูมิปัญญาเกี่ยวกับอุปกรณ์วิถีทำนา
การทำนา หมายถึง การปลูกข้าวและการดูแลรักษาต้นข้าวในนา ตั้งแต่ปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยว การปลูกข้าวในแต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างกันไปตามสภาพของดินฟ้าอากาศ และสังคมของท้องถิ่นนั้นๆ ในแหล่งที่ต้องอาศัยน้ำจากฝนเพียงอย่างเดียว ก็ต้องกะระยะเวลาการปลูกข้าวให้เหมาะสมกับช่วงที่มีฝนตกสม่ำเสมอ และเก็บเกี่ยวในช่วงที่ฤดูฝนหมดพอดี
ในประเทศไทยพื้นฐานของการทำนาและตัวกำหนดวิธีการปลูกข้่าว และพันธุ์ข้าวที่จะใช้ในการทำนามีปัจจัยหลัก 2 ประการคือ
1. สภาพพื้นที่ (ลักษณะเป็นพื้นที่สูงหรือต่ำ) และภูมิอากาศ
2. สภาพน้ำสำหรับการทำนา
หลักสำคัญของการทำนา
ฤดูทำนาปีในประเทศไทยปกติจะเริ่มราวเดือนพฤษภาคมถืงกรกฎาคมของทุกปี ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝน เมื่อ 3 เดือนนี้ผ่านไป ข้าวที่ปักดำหรือหว่านเอาไว้จะสุกงอมเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยว ส่วนนาปรังสามารถทำได้ตลอดปี เพราะพันธุ์ข้าวที่ใช้ปลูกเป็นพันธุ์ที่ไม่ไวต่อช่วงแสง เมื่อข้าวเจริญเติบโตครบกำหนดอายุก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้
การทำนามีหลักสำคัญ คือ
1. การเตรียมดิน ก่อนการทำนาจะมีการเตรียมดินอยู่ 3 ขั้นตอน
การไถดะ เป็นการไถครั้งแรกตามแนวยาวของพื้นที่กระทงนา (กรณีที่แปลงนาเป็นกระทงย่อยๆ หลายกระทงในหนึ่งแปลงนา) เมื่อไถดะจะช่วยพลิกดินให้ดินชั้นล่างได้ขึ้นมาสัมผัสอากาศ ออกซิเจน และเป็นการตากดินเพื่อทำลายวัชพืช และโรคพืชบางชนิด การไถดะจะเริ่มทำเมื่อฝนตกครั้งแรกในปีฤดูกาลใหม่ หลังจากไถดะจะตากดินเอาไว้ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์
การไถแปร หลังจากที่ตากดินเอาไว้พอสมควรแล้ว การไถแปรจะช่วยพลิกดินที่กลบไว้ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อทำลายวัชพืชที่ขึ้นใหม่ และเป็นการย่อยดินให้มีขนาดเล็กลง จำนวนครั้งของการไถแปรจึงขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของวัชพืช ลักษณะดินและระดับน้ำในพื้นที่ ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนด้วย แต่โดยทั่วไปแล้วจะไถแปรเพียงครั้งเดียว
การคราด เพื่อเอาเศษวัชพืชออกจากกระทงนา และย่อยดินให้มีขนาดเล็กลงอีก จนเหมาะแก่การเจริญของข้าว ทั้งยังเป็นการปรับระดับพื้นที่ให้มีความสม่ำเสมอ เพื่อสะดวกในการควบคุมดูแลการให้น้ำ
2.การปลูกการปลูกข้าวสามารถแบ่งได้เป็น 2 วิธี คือ การปลูกด้วยเมล็ดโดยตรง ได้แก่ การทำนาหยอดและนาหว่าน และ การเพาะเม็ดในที่หนึ่งก่อน แล้วนำต้นอ่อนไปปลูกในที่อื่นได้แก่ การทำนาดำ
ก. การทำนาหยอด ใช้กับการปลูกข้าวไร่ตามเชิงเขาหรือในที่สูง วิธีการปลูก : หลังการเตรียมดินให้ขุดหลุมหรือทำร่อง แล้วจึงหยอดเมล็ดลงในหลุมหรือร่อง จากนั้นกลบหลุมหรือร่อง เมื่อต้นข้าวงอกแล้วต้องดูแลกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช
ข. การทำนาหว่าน ทำในพื้นที่ควบคุมน้ำได้ลำบาก วิธีหว่าน ทำได้ 2 วิธี คือ หว่านข้าวแห้ง หรือหว่านข้าวงอก
การหว่านข้าวแห้ง แบ่งตามช่วงระยะเวลาของการหว่านได้ 3 วิธี คือ
1. การหว่านหลังขี้ไถ ใช้ในกรณีที่ฝนมาล่าช้าและตกชุก มีเวลาเตรียมดินน้อย จึงมีการไถดะเพียงครั้งเดียวและไถแปรอีกครั้งหนึ่ง แล้วหว่านเมล็ดข้าวลงหลังขี้ไถ เมล็ดพันธุ์อาจเสียหายเพราะหนู และอาจมีวัชพืชในแปลงนามาก
2. การหว่านคราดกลบ เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด จะทำหลังจากที่ไถแปรครั้งสุดท้ายแล้วคราดกลบ จะได้ต้นข้าวที่งอกสม่ำเสมอ
3. การหว่านไถกลบ มักทำเมื่อถึงระยะเวลาที่ต้องหว่าน แต่ฝนยังไม่ตกและดินมีความชื้นพอควร หว่านเมล็ดข้าวหลังขี้ไถแล้วไถแปรอีกครั้ง เมล็ดข้าวที่หว่านจะอยู่ลึกและเริ่มงอกโดยอาศัยความชื้นในดิน
การหว่านข้าวงอก (หว่านน้ำตม) เป็นการหว่านเมล็ดข้าวที่ถูกเพาะให้รากงอกก่อนที่จะนำไปหว่านในที่ที่มีน้ำท่วมขัง เพราะหากไม่เพาะเมล็ดเสียก่อน เมื่อหว่านแล้วเมล็ดข้าวอาจเน่าเสียได้ การเพาะข้าวทอดกล้าทำโดยการเอาเมล็ดข้าวใส่กระบุง ไปแช่น้ำเพื่อให้เมล็ดที่มีน้ำหนักเบาหรือลีบลอยขึ้นมาแล้วคัดทิ้ง แล้วนำเมล็ดถ่ายลงในกระบุงที่มีหญ้าแห้งกรุไว้ หมั่นรดน้ำเรื่อยไป อย่าให้ข้าวแตกหน่อ แล้วนำไปหว่านในที่นาที่เตรียมดินไว้แล้ว
ค. การทำนาดำ เป็นการปลูกข้าวโดยเพาะเมล็ดให้งอกและเจริญเติบโตในระยะหนึ่ง แล้วย้ายไปปลูกในอีกที่หนึ่ง สามารถควบคุมระดับน้ำและวัชพืชได้ การทำนาดำแบ่งได้เป็น 2 ขั้นตอน คือ
1.การตกกล้า โดยเพาะเมล็ดข้าวเปลือกให้มีรากงอกยาว 3 – 5 มิลลิเมตร นำไปหว่านในแปลงกล้า ช่วงระยะ 7 วันแรก ต้องควบคุมน้ำไม่ให้ท่วมแปลงกล้า และถอนกล้าไปปักดำได้เมื่อมีอายุประมาณ 20 – 30 วัน
2.การปักดำ ชาวนาจะนำกล้าที่ถอนแล้วไปปักดำในแปลงปักดำ ระยะห่างระหว่างกล้าแต่ละหลุมจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของดิน คือ ถ้าเป็นนาลุ่ม ปักดำระยะห่างหน่อย เพราะข้าวจะแตกกอใหญ่ แต่ถ้าเป็นนาดอนปักดำค่อนข้างถี่ เพราะข้าวจะไม่ค่อยแตกกอ
3.การเก็บเกี่ยว
หลังจากที่ข้าวออกดอกหรือออกรวงประมาณ 20 วัน ชาวนาจะเร่งระบายน้ำออก เพื่อเป็นการเร่งให้ข้าวสุกพร้อมๆ กัน และทำให้เมล็ดมีความชื้นไม่สูงเกินไป จะสามารถเก็บเกี่ยวได้หลังจากระบายน้ำออกแล้วประมาณ 10 วัน ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยว เรียกว่า ระยะพลับพลึง คือสังเกตที่ปลายรวงจะมีสีเหลืองและ กลางรวงเป็นสีตองอ่อน การเก็บเกี่ยวในระยะนี้จะได้เมล็ดข้าวที่มีความแข็งแกร่ง มีน้ำหนัก และมีคุณภาพในการสี
4.การนวดข้าว
หลังจากตากข้าว ชาวนาจะขนเข้ามาในลานนวด จากนั้นก็นวดเอาเมล็ดข้าวออกจากรวง บางแห่งใช้แรงงานคน บางแห่งใช้ควายหรือวัวย่ำ แต่ปัจจุบันมีการใช้เครื่องนวดข้าวแล้ว
5.การเก็บรักษา
เมล็ดข้าวที่นวดฝัดทำความสะอาดแล้วควรตากให้มีความชื้นประมาณ 14% ก่อนนำเข้าเก็บในยุ้งฉาง ยุ้งฉางที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
อยู่ในสภาพที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก การใช้ลวดตาข่ายกั้นให้มีร่องระบายอากาศกลางยุ้งฉางจะช่วยให้การถ่ายเทอากาศดียิ่งขึ้น คุณภาพเมล็ดข้าวจะคงสภาพดีอยู่นาน
อยู่ใกล้บริเวณบ้านและติดถนน สามารถขนส่งได้สะดวก
เมล็ดข้าวที่จะเก็บไว้ทำพันธุ์ ต้องแยกจากเมล็ดข้าวบริโภค โดยอาจบรรจุกระสอบ มีป้ายบอกวันบรรจุ และชื่อพันธุ์แยกไว้ส่วนใดส่วนหนึ่งในยุ้งฉาง เพื่อสะดวกในการขนย้ายไปปลูก
ก่อนนำข้าวเข้าเก็บรักษา ควรตรวจสภาพยุ้งฉางทุกครั้ง ทั้งเรื่องความสะอาดและสภาพของยุ้งฉาง ซึ่งอาจมีร่องรอยของหนูกัดแทะจนทำให้นกสามารถลอดเข้าไปจิกกินข้าวได้ รูหรือร่องต่าง ๆ ที่ปิดไม่สนิทเหล่านี้ต้องได้รับการซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อน เครื่องมือทำนาพื้นบ้านแบบดั้งเดิมจะมีลักษณะคล้ายกันในแทบทุกภาค โดยจะแตกต่างกันบ้างในประเภทวัสดุที่ใช้ทำเครื่องมือซึ่งมาจากในท้องถิ่น การตกแต่งลวดลายและชื่อที่เรียกแตกต่างกัน และมีลักษณะเฉพาะที่นิยมใช้ในแต่ละภูมิภาค
1.คันไถ เครื่องมือที่ใช้พรวนดินก่อนการปลูกข้าว กลับหน้าดินเพื่อทำให้ดินร่วนซุย ไถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ไถวัว ซึ่งเป็นไถที่ใช้แรงงานวัวและไถควายซึ่งเป็นไถที่ใช้แรงงานควาย
2.แอก เครื่องมือที่ใช้สำหรับสวมคอควายหรือวัวเพื่อที่จะไถ แอกมี 2 ชนิดคือ แอกวัวควายคู่ กับ แอกวัวควายเดี่ยว
3.คราด เครื่องมือที่ใช้สำหรับคราดดินให้ร่วนซุย คราดมี 2 ชนิดคือ คราดวัวควายคู่ และ คราดวัวควายเดี่ยว
4.สาแหรก เครื่องมืออีกชนิดสำหรับหาบข้าวโดยมีไม้คานหาบสาแหรกสอดอีกที
5.จอบ เครื่องมือสำหรับถากหญ้า พรวนดิน และเตรียมดิน
6.เคียว เครื่องมือเกี่ยวข้าวมีรูปโค้ง เคียวมี 2 ชนิดคือ เคียวงอ กับ เคียวลา
7. แกะ เครื่องมือเกี่ยวข้าวที่ใช้เก็บรวงข้าว นิยมใช้ในภาคใต้
8.ไม้หนีบ เป็นไม้คู่หนึ่งใช้หนีบมัดรวงข้าวเพื่อยกข้าวฟาดลงบนลานหรือม้ารองนวดข้าว หัวไม้ผูกติดกันด้วยเชือก
9.พัดวี ใช้สำหรับพัดฝุ่นผงและข้าวลีบให้ออกจากกองข้าวเปลือก
10.ครกกระเดื่อง ใช้ตำข้าวโดยใช้ปลายเท้าเหยียบกระเดื่องให้สากกระดกขึ้นลง
11.ครกซ้อมมือ ใช้สำหรับตำข้าวเปลือก จากข้าวเปลือกเป็นข้าวกล้อง จากข้าวกล้องเป็นข้าวสาร
12.กระด้ง ใช้ฝัดร่อนข้าวเอาเศษผงฝุ่น แกลบ ออกจากเมล็ดข้าว
เครื่องมือจับปลา
เครื่องมือใช้สำหรับดักหรือจับสัตว์น้ำในบ้านเรามีหลากหลายรูปแบบและวิธีการ ทั้งด้านการผลิตและการใช้งาน บ้างเอาไปวางแช่น้ำไว้ เอาไปวางในทางน้ำไหล เอาไปสุ่ม ไปตัก ไปช้อน ไปวิดน้ำออกเพื่อจับสัตว์น้ำก็มี หนึ่งในวิธียอดนิยมของชาวนา คือการ “ดัก” สัตว์น้ำ จากบริเวณช่องน้ำไหลระหว่างคันนา ซึ่งถูกขุด ตัด เจาะ ให้เป็นช่อง เพื่อระบายน้ำจากนาแปลงหนึ่งไปสู่อีกแปลงหนึ่งในช่วงต้นฤดูกาลทำนา
1.ลอบ
ลอบ เป็นเครื่องมือจับปลาที่สานด้วยไม้ไผ่ หวาย เถาวัลย์ อวน หรือลวดรัดโครงไม้ ลอบ มีช่องว่างให้ปลาเข้าไปติดอยู่ภายใน ลอบแบ่งเป็น 3 ชนิดคือ
ลอบนอน ใช้ดักปลาสำหรับน้ำไหล มักจะมีหูข้างอยู่ที่ปากลอบด้วย โดยใช้แผงเฝือต่อจากหูช้างทั้งสองข้าง กั้นขวางตามแนวแม่น้ำ ลำคลอง วางลอบอยู่ในแนวนอน ลอบมีลักษณะเป็นทรงกระบอก ก้นรอบเป็นรูปรีๆ มีความยาว 1-2 เมตร เหลาไม้ไผ่เป็นซี่กลมๆ ประมาณ 20 ซี่ มัดด้วยหวาย เถาวัลย์ หรือลวด ไม้ไผ่แต่ล่ะซี่ห่างกันเกือบ 3 เซนติเมตร หากจะดักปลาตัวเล็กก็เรียงซี่ไม้ไผ่ให้ติดกัน ปากลอบดักปลาทำงา 2ชั้น เมื่อปลาว่ายเข้าไปก็จะว่ายออกมาไม่ได้เพราะติดงากั้นไว้ ลอบนอนไม่ต้องใช้เหยื่อล่อ ลอบนอนอีกประเภทหนึ่งใช้กับน้ำนิ่งเรียกว่า ลอบเลาะ
ลอบยืน ใช้ดักปลาในน้ำลึก จะใช้แผงเฝือกกั้นหรือไม่ก็ได้ หากใช้เฝือกกั้นก็ดักลอบยืนไว้ตามน้ำนิ่งๆ ใกล้กอหญ้าปลาที่จะเข้าไปมักเป็นปลาดุก ปลาช่อน ปลาตะเพียน ปลากด เป็นต้น ลอบยืนมีลักษณะทรงขวดที่วางตั้งไว้ แต่ส่วนปลายลอบยืนนั้นมัดปลายซี่ไม่ไผ่มารวมกัน ตรงด้านข้างทำงายาวผ่าเกือบตลอด
ลอบกุ้ง ใช้ลอบนอนหรือลอบยืนก็ได้ แต่การสานซี่ไม้ไผ่ต้องมีระยะชิดกัน ไม่ให้กุ้งลอดออกไปได้ บางทีใช้ตาข่ายถี่ๆ หรือผ้ามุ้งคลุมรอบตัวลอบไม่ให้กุ้งหนีออกไปได้ เหยื่อที่ใช้ เช่น กากน้ำปลา รำละเอียดผสมดินเหนียวปั้นเป็นก้อน เป็นต้น
2. ไซ
ไซ เป็นเครื่องมือดักสัตว์น้ำ โดยมากดักปลาในกลุ่มปลาเล็กปลาน้อย ใช้งานในแหล่งน้ำไม่ลึก มักเป็นแหล่งน้ำไหลและเป็นการเปิดช่องระบายน้ำเข้าออกตามบิ้งนา คันนา ไซมีหลายรูปทรง ตั้งชื่อตามรูปทรงนั้น เช่น ไซปากแตร สานเป็นรูปกรวยปากไซบานออกเป็นรูปปากแตร ไซท่อ สานคล้ายท่อดักปลา หรืออาจตั้งชื่อตามวัตถุประสงค์ เช่น ไซสองหน้า มีช่อง 2 ด้าน ไซลอย ใช้วางลอยในช่วงน้ำตื้นๆ แหวกกอข้าวหรือกอหญ้า วางแช่น้ำไว้ ไซปลากระดี่ ใช้ดักปลากระดี่ ไซกบ สานเป็นลายขัดตาสี่เหลี่ยมรูปทรงกระบอก ใช้ดักกบ ไซโป้ง สานก้นโป่งเล็กน้อย ไซนู ในพื้นที่ อ.เชียรใหญ่ จนครศรีธรรมราช ใช้ดักกุ้งแม่น้ำ ดักปลากด หรือใช้ดักตะกวด ซึ่งขึ้นอยู่กับเหยื่อที่ใช้ดัก แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ที่ต่างกัน แต่มีลักษณะร่วมกันคือ สานเป็นทรงกระบอกและทำปากทางเข้าเป็นงาแซง (ซี่ไม้เสี้ยมปลายแปลม รูปทรงคล้ายกรวยที่บีบแบนๆ ทำให้ปลาเข้าได้ แต่ว่ายสวนความคมของปลายไม้ออกมาไม่ได้)
ไซต่างๆ มักไม่ต้องใช้เหยื่อเพราะจะดักปลาที่ต้องไหลในกระแสน้ำ เว้นแต่ไซกบที่ต้องมีเหยื่ออย่างลูกปลา ลูกปู มาล่อ และไซนู หากใช้ในการดักปลากด ใช้เนื้อเป็นเหยื่อ ใช้ในการดักกุ้งแม่น้ำ ใช้เนื้อมะพร้าวเผาเป็นเหยื่อ ใช้ในการดักตะกวด ใช้ปลาเป็นเหยื่อ
วัสดุที่ใช้สานไซ คือ ต้นไผ่ ปัจจุบันนี้หาง่ายมาก มีปลูกกันเต็มไปหมดทุกหัวระแหง ต้นไผ่ที่นำมาทำไซ ต้องไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป ขนาดกลางๆ อายุประมาณ 2-3 ปี เพราะถ้าแก่เกินไป มันก็จะหักง่าย ส่วนไผ่ที่เอามาทำส่วนใหญ่จะเป็นไผ่สีสุก เพราะทนทานและมีความยืดหยุ่นสูง โดยไผ่ 1 ลำจะสามารถทำไซได้ 1 ลูก ซึ่งแต่ละลูกจะใช้เวลาทำประมาณ 3-5 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของไซด้วย
วิธีการสานไซ ผู้ทำมักเหลาเส้นตอกให้เล็ก เป็นเส้นกลม ยาวอย่างน้อย 2 ปล้องไผ่ เมื่อได้เส้นตอกตามจำนวนที่ต้องการแล้ว นำมามัดปลายด้านหนึ่งรวมกัน ก่อนจะพับให้กลับไปด้านหลัง แล้วใช้เส้นตอกอีกส่วนหนึ่งสานขวางสลับกันไปตั้งแต่ด้านบนถึงด้านล่าง การสานนิยมสานเป็น “ลายขวางไพห้า” ระหว่างสานผู้ทำต้องบังคับให้รูปทรงป่อง แคบ ตามลักษณะของงาน ส่วนบริเวณตรงกลางหรือกลางค่อนไปทางปลาย จะมีการเจาะใส่งาอีกด้านละช่อง เพื่อให้เป็นส่วนที่ปลาวิ่งเข้าผ่านงา (งา รูปทรงคล้ายกรวย ที่บีบแบนๆ ทำให้ปลาเข้าได้ แต่ว่ายสวนความคมของปลายไม้ออกมาไม่ได้) และนำปลาออกอีกด้าน
ไซนู อุปกรณ์จับปลาของชาวอ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช
3.การทำ “ไซนู” เป็นการสืบทอดภูมิปัญญามาจากบรรพบุรุษ โดยใช้วัสดุธรรมชาติ นั่นก็คือไม้ไผ่สีสุกหรือไผ่ตง ที่หาได้ในหมู่บ้าน โดยนำไม้ไผ่มาสานเป็นไซ นำมาใช้ในการดักปลากดตัวใหญ่ กุ้งแม่น้ำ แลน (ตัวเงินตัวทอง) ตามทุ่งนา ในอดีต วิถีชีวิตของชาวบ้าน เมื่อเสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ชาวบ้านมักมีเวลาว่างจากการทำนา จึงใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการประกอบอาชีพต่างๆ เพื่อเสริมรายได้ของพวกเขา เช่น ทำไร่นาสวนผสมและการหาปลา โดยออกหาปลาตามธรรมชาติ ห้วย หนอง คลอง บึง เมื่อครั้งสมัยโบราณ กุ้ง หอย ปู ปลา สามารถที่จะหากินได้โดยง่าย เพียงแต่ใช้ไซนู ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ดักจับสัตว์น้ำสัตว์บก แบบง่ายๆ ก็จะได้กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ ปลากด ปลาช่อน มาเป็นอาหารอย่างไม่ยาก
ไซนู เป็นเครื่องมือใช้ดักสัตว์น้ำและสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ได้ถึงน้ำหนัก 10กิโลกรัม เช่น ตะกวด (แลน) โดยใช้เหยื่อเป็นปลาล่อเหยือมาติดกับดัก เมื่อเหยือไปกัดกินเหยื่อล่อที่เสียบสลักดึงขึงกับเสาและคันธนูไว้ ประตูก็จะดีดลงมาปิด ไซมีหลายรูปทรง ตั้งชื่อตามรูปทรงนั้น เช่น ไซนู สานเป็นรูปกรวยปากไซบานออกเป็นรูปปากแตร มีคันธนูขึงเชือกผูกกับสลักใส่เหยื่อล่อไว้
ประโยชน์
-ใช้ในการดักปลากด โดยใช้เนื้อเป็นเหยื่อ
-ใช้ในการดักกุ้งแม่น้ำ โดยใช้เนื้อมะพร้าวเผาเป็นเหยื่อ
-ใช้ในการดักตะกวด โดยใช้ปลาเป็นเหยื่อ
-เป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน เพื่อการยังชีพได้
วิธีการทำไซนู
เตรียมอุปกรณ์ ประกอบด้วย
1.ไม้ไผ่สีสุก หรือไม้ไผ่ตก ขนาดขึ้นอยู่กับสัตว์ที่จะดัก
2. สิ่ว
3. สว่าน
4.เชือกไนล่อน 2 ขนาด
5.ฆ้อน
6.เลื่อย
7.พร้า
8.ลวด หรือเหล็กขนาด1-2หุนพร้อมที่ดัดเหล็ก
ขั้นตอนการทำ
1.ตัดไม้ไผ่ตงหรือไผ่สีสุก ตามขนาดที่ต้องการใช้ดักสัตว์
2.ผ่าไม้ไผ่เป็นซี่ขนาด 1 CM.
3.ดัดเหล็กทำขอบปากไซนูเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดตามความเหมาะสมเช่น ไซนูดักปลา ขนาดประมาณ สูง 14นิ้ว กว้าง 13นิ้ว
4.จัดทำโครงสร้างปากคล้ายปากแตร ใช้ซี่ไม้ไผ่มาผูกประกบกับลวดหรือเหล็ก ใช้เชือกไนล่อนมัดตรึงให้แน่น
5.เชือกเล็ก(สีเขียวตามภาพ)ใช้สำหรับถักร้อยมัดโครงสร้างเป็นรูปทรงแตร
6.ทำสลักสำหรับเสียบเหยือโดยเลือกไม้ไผ่แก่จัดขนาดประมาณ 1คืบไว้เสียบล่อเหยื่อ
7.คันธนู ใช้ไม้ไผ่สีสุกยาวประมาณ 1.5เมตร ขนาดไม้ไผ่ประมาณ 1นิ้ว
8.ใชเชือกไนล่อนใหญ่ (สีแดงตามภาพ)ทำเป็นสายธนู
9.ใช้สายไฟหรือลวดมัดปากประตูคันธนูกับเสาประตู
4.สุ่มดักปลา
สุ่มดักปลา เป็นเครื่องมือไว้สำหรับครอบปลาในน้ำตื้น ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีมาช้านาน จวบจนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นความสามารถของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ที่ยังพอมีกำลังในการใช้ฝีมือจักสานอยู่บ้าง โดยเฉพาะการสั่งสมประสบการณ์ ความสามารถและมีความชำนาญ มีขั้นตอนวิธีสานสุ่มดักปลานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีหลายขั้นตอน ตั้งแต่นำไม้ไผ่ตัดเป็นท่อนๆ ท่อนละ 60 เซนติเมตร นำไปรมควันจนดำทำให้มีสีสวย ป้องกันมอดไม้ที่จะมากัดไม้ไผ่ ทำให้ชิ้นงานเสียหาย เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สั่งสอนต่อกันมาหลายชั่วอายุคน โดยการนำไม้ไผ่มาเหลาเป็นซี่เล็กๆ ขนาด 1 - 1.50 เซนติเมตร ไปลนไฟให้ท่อนตรงปลายอ่อนและขยายเล็กน้อย นำไปเจาะรูทั้งหมด 61 รู เพื่อสานไม้ไผ่ใส่ซึ่งต้องเน้นความถี่เป็นสำคัญ ป้องกันปลาออกนอกสุ่ม ก่อนนำเชือกมาถักระหว่างซี่ไม่ให้หลุดออกจากกัน สุ่มดักปลาก็จะเสร็จสมบูรณ์
สุ่ม นับเป็นของใช้พื้นบ้านที่มีอยู่ทั่วทุกภาค หากแต่มีการเรียกชื่อแตกต่างกันตามท้องถิ่น เช่น สุ่มโมง เป็นสุ่มมีขนาดกว้างใหญ่กว่าสุ่มชนิดอื่น โมง มาจากภาษาถิ่น คือ โม่ง มีความหมายว่า ใหญ่โต สุ่มโมงบางพื้นบ้านเรียก สุ่มซี่ หรือ สุ่มก่อง ซึ่งเรียกตามลักษณะการทำของชาวบ้าน สุ่มโมงจะใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นซี่ ประมาณ 50 – 100 ซี่ หากสุ่มใหญ่ก็ใช้ซี่ไม้ไผ่มากขึ้น สุ่มชนิดนี้จะใช้หวาย เถาวัลย์ หรือลวดถักร้อยซี่ไม้ไผ่ยึดกัน โดยมีวงหวาย หรือวงไม้ไผ่ ทำเป็นกรอบไม้ภายใน การถักเส้นหวายเถาวัลย์หรือลวด จะถักซี่ไม้รัดกับวงภายในให้แน่น บางทีชาวบ้านเรียกการถักร้อยสำหรับยึดให้แน่นนี้ว่า “ก่อง” จึงเรียก สุ่มก่อง และลักษณะที่ก่องเป็นซี่ๆ นี้เอง จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สุ่มซี่
สุ่มสาน เป็นสุ่มขนาดแคบกว่าสุ่มโมง เหลาซี่ไม้ไผ่จำนวนมาก สานเป็นลายขัดตาสี่เหลี่ยมห่างๆ แต่ไม่ให้ปลาลอดออกได้ บางทีก็เรียกว่า สุ่มขัด สุ่มชนิดนี้ไม่ต้องใช้หวายเถาวัลย์ หรือลวดถักยึดใดๆ สุ่มกลอง มีรูปเล็กกว่าสุ่มสานเล็กน้อย การทำสุ่มจะใช้หวายเถาวัลย์หรือลวดถักสุ่ม ส่วนบน ส่วนล่างใช้ซี่ไม้ไผ่สานขัดเป็นสี่เหลี่ยม
สุ่มงวม หรือ อีงวม มีลักษณะพิเศษแตกต่างกัน สุ่มภาคอื่นๆ มีขนาดใหญ่กว่าสุ่มโมงมาก สุ่มบางอันสูงเกินกว่า 1 เมตรก็มี สุ่มงวมจะมีรูปร่างเป็นทรงกระบอก ปลายตีนสุ่มกว้างออกเล็กน้อย ด้านบนสุ่มทำเป็นวงกว้างเพื่อใช้มือ 2 ข้าง ล้วงจับปลาในสุ่มได้สะดวก การสานสุ่มงวมจะสานด้วยตอกผิวไม้ไผ่บางๆ สานลายขัดทึบโดยตลอด
การสุ่มปลามักสุ่มในห้วงน้ำไม่กว้างและลึกนัก สุ่มไปเรื่อยๆ เหมือนคำที่ว่า สุ่มสี่สุ่มห้า แล้วเอามือล้วงควานภายในสุ่ม ถ้าครอบปลาได้จะควานจับใส่ข้องที่มัดสะพายติดตัวไป สมัยก่อนนั้นการสุ่มปลาใช้คนลาก “ไม้ค้อน” ซึ่งเป็นไม้ท่อนกลมจมน้ำ ใช้เชือกมัดท่อนไม้ 2 ข้าง ใช้คน 2 คน ลากในห้วงน้ำ คนถือสุ่มหลายๆ คน จะเดินตามไม้ค้อน ปลาเมื่อเห็นไม้ค้อนลากมาใกล้ตัวหรือถูกตัวจะกระโดดหนี บางทีมีฟองน้ำเป็นทิวๆ ไปข้างหน้า การกระโดดและว่ายหนีนี้จึงเป็นข้อสังเกตให้สุ่มปลาได้ถูก
5.ข้อง
ข้อง เป็นเครื่องจักสานชนิดหนึ่ง สานด้วยผิวไม้ไผ่ ปากแคบอย่างคอหม้อ มีฝาปิดเปิดได้ เรียกว่า ฝาข้อง ฝาข้องมีชนิดที่ทำด้วยกะลามะพร้าว และใช้ไม้ไผ่สานเป็นรูปกรวย ปลายกรวยแหลมปล่อยเป็นซี่ไม้ไว้ เรียกว่า งาแซง ข้องใช้สำหรับใส่ ปลาปู กุ้ง หอย กบ เขียด ข้องมีหลายลักษณะ เช่น
ข้องยืน มีลักษณะคล้ายรูปทรงของโอ่งน้ำ หรือรูปทรงกระบอก มีลายปากข้องบานออกขนาดสูง ตั้งแต่ 10 - 15 เซนติเมตร การสานที่ก้นข้องมักจะสานเป็นก้นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตัวข้องกลมป้อม ป่องตรงกลางค่อยๆ สอบเข้าตรงคอข้อง แล้วบานออกที่ปลายปากข้องคลายปากแตร ที่ก้นข้องและตัวข้องจะสานด้วยลายขัดตาหลิ่ว ตรงคอข้องถึงปากข้องสานด้วยลายขัดตาทะแยง ปลายปากข้องจะต้องทำฝาปิดเปิดโดยสานผิวไม้ไผ่เป็นปิดเวลาจับปลาใส่ข้อง ไม่ต้องเปิดฝาข้องก็ได้ เพราะฝาข้องนี้สามารถใส่ปลาได้สะดวก ปลาจะกระโดดออกมาไม่ได้เพราะ ติดที่ฝาปิดเรียกงา (งา รูปทรงคล้ายกรวย ที่บีบแบนๆ ทำให้ปลาเข้าได้ แต่ว่ายสวนความคมของปลายไม้ออกมาไม่ได้) ฝาข้องอาจทำด้วยกะลามะพร้าวก็มี ผูกเชือกไว้สำหรับสะพายติดตัวไปหาปลา
ข้องนอน หรือ ข้องเป็ด มีรูปทรงเป็นแนวนอน การสานข้องมีลักษณะเหมือนเป็ด ลายปากข้องบานหงายขึ้น ด้านบน สำหรับใส่ปลาไว้ในข้อง การสานก้นข้องเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ข้องนอนหรือข้องเป็ดมักไม่ค่อยสะพายติดตัวไปในขณะกำลังหาจับปลาแต่จะวางไว้ในเรือ ริมคลอง ริมตลิ่ง เป็นต้น
ข้องลอย เป็นข้องที่ใช้ลอยในน้ำได้ในระหว่างจับปลา ข้องลอยจะใช้ข้องยืน หรือข้องนอน มัดกับลูกบวบซึ่งทำด้วยกระบอกไม้ไผ่ 2 ท่อน มัดขนาบตัวข้องให้ลอยน้ำได้ แล้วผูกเชือกมัดติดเอว
การใช้งาน ใช้ใส่ปลา กุ้ง หอย ทุกชนิด ใช้ในเวลาที่ออกหาปลา โดยผูกข้องไว้ที่เอว ถ้าจับปลาที่มีขนาดใหญ่นิยมใช้ข้องเป็ด เพราะปลาไม่ต้องงอตัวอยู่ในข้อง ปลาจะนอนตามความยาวของตัวข้อง จะทำให้ปลามีชีวิตอยู่ได้นาน ถ้าขังปลาด้วยข้องเป็ดแล้วนำไปแช่น้ำที่ไหล ยิ่งจะทำให้ปลามีชีวิตอยู่ได้หลายวัน
อุปกรณ์ในการสานข้อง ไม้ไผ่ที่จักเป็นเส้น เเละเหลาเป็นเส้นบางๆตามความยาวที่ต้องการ มีดสำหรับเหลา 1 อัน ต้องเป็นมีดที่คม เศษผ้าสำหรับพันที่นิ้วชี้ ใช้งานเมื่อเหลาไม้ไผ่ป้องกันการบาดมือ ท่อนไม้ที่เหลาเป็นทรงกลม สำหรับทำเเบบขนาดของปากข้อง
วิธีการทำ นำไม้ไผ่ที่เป็นลำมามาผ่า เเล้วจักให้เป็นเส้นๆ เสร็จเเล้วเหลาให้เป็นเส้นบางๆ จะใช้เฉพาะที่ผิวเปลือกนอกในการสานข้อง เพราะจะมีความทนทาน กว่าการใช้ใส้ข้างใน ในการเหลาจะเหลาไว้หลายขนาด ถ้านำมาสานที่ตัวข้องจะใช้เส้นที่ยาวเเละเเบน ถ้านำมาทำที่ปากข้องจะใช้เส้นเล็กเเละกลม เพื่อความเเน่นหนา เเละคงทน ทำการสานโดยสานตั้งเเต่ฐานของข้องขึ้นมาก่อน โดยสานเป็นการสลับ 1 เว้น 1
6.แห
แหจับปลา คือ เครื่องมือจับปลาหรือสัตว์น้ำชนิดหนึ่ง ถักเป็นตาข่ายใช้ทอดแผ่ลงในน้ำแล้วต้องดึงขึ้นมา ใช้จับปลาเพื่อบริโภคในชีวิตประจำวันและใช้ในประกอบอาชีพ หรือใช้จับปลาเพื่อการจำหน่าย แหถือเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่แท้จริง เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต ทำให้ชีวิตมีอาหาร และมีรายได้ในชีวิตประจำวัน แหจึงได้รับการพัฒนาและเอาใจใส่ เริ่มจากการได้รับการถ่ายทอดเบื้องต้นจากบรรพบุรุษ
แห ใช้ทอด เหวี่ยง หรือภาษาบ้านเราเรียกว่าตึก(ภาษาอีสาน เรียก ตึก เช่นตึกปลา)เพื่อหาปลาในนาเท่านั้น แห เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งสำหรับใช้จับปลา ซึ่งนิยมกันมากของคนทั่วไป เพราะโดยทั่วไปทุกๆคนจะมีแหล่งน้ำขนาดเล็กมากมาย มีหนองน้ำ บึง และลำคลอง วิธีจับปลาที่ได้ผลเร็วและสะดวกที่สุดของคนทุกภาค ก็คือการใช้แหแทนเท่านั้น เพราะแหสามารถจับปลาได้ทีละหลายๆตัวเลยทีเดียว ดังนั้นแหของคนทุกภาคจึงมีหลายขนาดหลายชนิดเช่นกัน ด้วยความจำเป็นเพื่อการยังชีพในอดีตแทบทุกครัวเรือน ดังนั้นชาวบ้านจึงมีแหไว้จับปลา และถ่ายทอดภูมิปัญญาที่เกี่ยวกับแหไว้อย่างต่อเนื่อง คงความเชื่อโบราณหรือเป็นวิถีชีวิตปกติ
การสานแหมีมาตั้งแต่ช้านานซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้ในการทำมาหากินของชาวบ้าน และเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการดำรงชีวิตในอดีต ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ เช่น สถานที่ ที่อาศัยอยู่ใกล้ที่ราบลุ่มแม่น้ำ เนื่องจากสภาพแวดล้อมต่างๆที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งทางธรรมชาติป่าไม้และสระ หนอง คลอง บึง ที่เต็มไปด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา บริเวณรอบๆหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง
อุปกรณ์ในการสานแห
1.กีม หรือไม้กีม
2. ปาน
3. ด้ายรัง
4. ลูกแห
วิธีการในการสานแห
1.ขั้นตอนแรกคือเราจะต้องจัดหาไม้กีม และไม้ปานที่จะใช้ในการสานแหให้เรียบร้อย
2.นำด้ายรัง4มาพันใส่กีมที่เราเตรียมไว้ให้เรียบร้อย
3.เราจะต้องสานจอมแหหรือที่ห้อยแหก่อนจะเริ่มสานจริง
4.เริ่มสานแหโดยการนำด้ายรัง4ที่เราพันใส่กีมมาสานตัวแหให้เป็นตาข่าย
ตามลายแห
5.เมื่อสานตัวแหเสร็จเราจะต้องนำแหที่เราสานเสร็จแล้วมาห้อยกับลูกแห
6.ขั้นตอนสุดท้ายของการสานแหคือผูกเพาแหที่ด้านล่างให้เรียบร้อย จากนั้นก็สามารถนำไปใช้งานได้ตามต้องการ
7.เบ็ดราว
เบ็ดราว เครื่องมือชนิดนี้ประกอบด้วยเส้นเชือก หรือสายลวดทำเป็นสายคร่าวเบ็ด ยาวตามคต้องการ ที่พบใช้กันในน่านน้ำจืดนั้น มีความยาวประมาณ 100 – 200 เมตร ถ้าใช้ในน่านน้ำเค็มแล้วยาวถึง 1,000 เมตรหรือยาวกว่านั้นก็มี เขาใช้เบ็ดเบอร์ 4 – 8 หรือเล็กกว่านี้ก็ได้สุดแท้แต่จะทำการจับปลาชนิดใด ผูกตัวเบ็ดสายทิ้งยาวประมาณ 20 – 40 ซม. ตามจำนวนตัวเบ็ดที่ต้องการ แล้วทำการผูกกับสายคร่าวเบ็ดเป็นระยะห่าง 40 – 50 ซม. อีกทีหนึ่ง
วิธีการใช้เครื่องมือนั้น ทำการวางทอดขวางกระแสน้ำของหนอง บึง แม่น้ำ ลำคลองหรือทะเล โดยผูกปลายเชือก สายคร่าวเบ็ดทั้งลองด้านปักไว้ บางรายก็จมคร่าวกับพื้นดิน ด้วยการใช้ของหนักถ่วง มีทุ่นลอยเป็นเครื่องหมาย ทั้งนี้ย่อมสุดแท้แต่ความประสงค์ของผู้ใช้เครื่องมือ และต้องการจับปลาชนิดใด
เบ็ดราว จะประกอบด้วยเชือกยาวขึงตามริมฝั่งแม่น้ำ หรือขวางลำน้ำ เพื่อใช้ดักล่อปลาขนาดใหญ่ แล้วผูกเชือก, ด้ายไนล่อน หรือเส้นเอ็นบอร์ 60 - 100 ที่ผูกกับตัวเบ็ดเบอร์ 1 - 10 ที่เป็นเหล็กปลายงอ มีเงี่ยง (ดังภาพด้านบน) ที่จะเสียบเหยื่อล่อเป็นเหยื่อเป็น (ยังดิ้น กระดุกกระดิกได้ ไม่ตาย) หย่อนลงในน้ำไหล
8.เบ็ดคัน
เบ็ดคัน จะมี 2 แบบ คือ แบบที่ใช้จับปลาใหญ่เรียกว่า เบ็ดโยง (เบ็ดคันตรง) มีคันไม้ไผ่ก้านตรงยาวประมาณ 1 - 1.5 เมตร เหลากลมให้เกลี้ยงไม่มีเสี้ยน ด้านหนึ่งทำให้แหลมเพื่อใช้ปักลงในดิน ผูกกับสายเอ็นเบอร์ 60 ส่วนตัวเบ็ดจะใช้เบอร์ 4 - 16 สำหรับจับปลาตัวใหญ่ในฤดูน้ำหลาก ถ้าเป็นช่วงหน้าแล้งก็จะใช้เส้นเอ็นและเบ็ดขนาดเล็กลง เพราะจะไม่มีปลาขนาดใหญ่มากนัก แบบที่ 2 ใช้จับปลาขนาดเล็ก เรียก เบ็ดคันงอ จะใช้คันเบ็ดไม้ไผ่ที่เหลาให้ด้านปลายที่ผูกเข้ากับขอเบ็ดนั้นอ่อนโค้ง ความยาวของคันเบ็ดประมาณ 80 เซนติเมตร โดยทั่วไปจะใช้เบ็ดเบอร์ 15 - 20 ใช้สายเอ็นเบอร์ 40 - 45 แต่หากใช้สายไนล่อนจะใช้เบอร์ 4 - 6 นิยมปักคันเบ็ดตามห้วย หนอง คลองขนาดเล็ก ตามคันนาในฤดูฝน ซึ่งปลาที่จับได้ก็จะเป็น ปลาดุก ปลาข่อ (ช่อน) ปลาหลาดหรือปลากระทิง ปลาเข็ง ปลาขาว เอี่ยน ปลาก่า ปลากั้ง ปลากด ปลาหลด ปลาตอง ปลาผอ ปลาปาก
กับดักนก
วิธีการทำกับดักนก
ใช้ดักนกอีลุ้ม นกพริก ฯลฯ
เตรียมอุปกรณ์ ประกอบด้วย
1.ไม้ไผ่สีสุก ทำแม่กับ ขนาดยาวประมาณ 65 ซ.ม.
2. สิ่ว
3. สว่าน
4.เชือกไนล่อน 2 ขนาด
5.ฆ้อน
6.เลื่อย
7.พร้า
8.ลวด
ขั้นตอนการทำ
1. ตัดไม้ไผ่สีสุก ขนาดยาวประมาณ 65 ซ.ม.
2. ผ่าไม้ไผ่กว้างประมาณ 2 นิ้ว เจาะรูด้านบน และร่องด้านล้างให้พอสอดไม้ลูกหลักกับผ่านเข้าไปร้อยเชือกกับคันกับได้.
3. ลูกหลักกับร้อยดึงกับแม่กับ ปลายผูกติดกับลิ้นกุ้ง
4. จัดทำโครงสร้างปากคล้ายปากแตร ใช้ซี่ไม้ไผ่มาผูกประกบกับลวดหรือเหล็ก ใช้เชือกไนล่อนมัดตรึงให้แน่น
หย่องแหย็ง
วิธีการทำหย่องแหย็ง
ใช้ในการหามหญ้า ฯลฯ
เตรียมอุปกรณ์ ประกอบด้วย
1.ไม้ไผ่สีสุก ทำแม่กับ ขนาดยาวประมาณ 65 ซ.ม.
2. สิ่ว
3. สว่าน
4.เชือกไนล่อน 2 ขนาด
5.ฆ้อน
6.เลื่อย
7.พร้า
8.ลวด
9.ท่อพีวีซี
ขั้นตอนการทำ
5. ตัดไม้ไผ่สีสุก ขนาดยาวประมาณ 1.5 เมตร
6. เตรียมเสาไม้ไผ่ 4 อัน ขนาด 1.2 เมตร
7. ดวด(ใช้เหล็กสอดในท่อพีวีซี)
8. รังหย่องแหย็ง (ใช้เชือกแดงถัก)
9. สลัก(ขอ) ใช้ร้อยเสาทั้ง 4 คู่
ข้อมูลจาก
- นายกและบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลเชียรใหญ่
-นายกองค์และบุคลกรการบริหารส่วนตำบลเชียรเขา
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดโพธิ์งาม https://watphonagm.wordpress.com
ถนอม สังขนันท์ 16มกราคม 2567. สัมภาษณ์.
นายประสาสน์ ศรีเจริญ 17 มกราคม 2567. สัมภาษณ์.
ชาวบ้านชุมชนตำบลเชียรเขา
ชาวบ้านชุมชนตำบลเชียรใหญ่
คณะผู้จัดทำ
อาจารย์วาที ทรัพย์สิน ผู้ช่วยอธิการบดี
นางสาวภิสรินธันญ์ กรมแก้ว นักวิชาการพัสดุ
นางสาวนิตยา คงมาก นักวิชาการเงินและบัญชี
นายวิทวัส ทิพย์มณเฑียร นักจัดการงานทั่วไป
นางสาวศุภิษฐฌาณ์ ราชเวช เจ้าหน้าที่บริหารงานข่าว
นางสาวกมลณพัฒน์ จันทร์เอียด นักวิชาการศึกษา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)