08 พฤษภาคม, 2568
ผ้าพระบฏและผ้าพระบฎพระราชทาน
พระบฏ เป็นภาพเขียนภาพพระพุทธเจ้าหรือพุทธประวัติไหว้เพื่อใช้เป็นรูปเคารพบูชาอย่างหนึ่งของชาวพุทธ มีประวัติการสร้างตั้งแต่ครั้งพุทธกาลและเป็นสิ่งบูชาที่เปลี่ยนบทบาทตามบริบททาง สังคม จากรูปเคารพมาเป็นเครื่องบูชาพระพุทธองค์ในสมัยหลัง ดินแดนที่นับถือพุทธศาสนาอาจมีการสร้างพระบฎ ในรูปแบบและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันเช่นเดียวกับพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชก็ร่วมกันสร้างพระบทเพื่อนำไปห่มรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุด้วยความเชื่อว่าเป็นการบูชาพระพุทธเจ้าได้กุศลสูงประเพณีนี้ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนานนับ 100 ปี แม้ว่าบางช่วงเวลาอาจซบเซาไปบ้างแต่หลังพ.ศ. 2530 เป็นต้นมา ได้มีการส่งเสริมในระดับจังหวัดจึงทำให้ประเพณีได้รับการถือปฏิบัติกว้างขวางขึ้น และหนึ่งในปัจจัยการส่งเสริมดังกล่าว ก็คือการได้รับพระราชทานพระจากสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย เพื่ออัญเชิญมาใช้ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ จึงเป็นผลให้ประเพณีนี้ดำรงอยู่อย่างมั่นคง และแพร่ขยายวงกว้างศรัทธา ต่อพระบรมธาตุเจดีย์และพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว้างขวางทั่วคาบสมุทรไทยในปัจจุบัน
รู้จักผ้าพระบฎ
ความหมายของพระบฎ ซึ่งหมายถึงผืนผ้าที่มีภาพพระพุทธเจ้าหรือพุทธประวัติสร้างขึ้นมาเพื่อไว้บูชาความเป็นมาของพระบฏ ปรากฏในตำนานสมัยพระเจ้าอชาตศัตรู ในชั้นแรกพระบทถือเป็นรูปเคารพแทนพระพุทธเจ้า ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงบทบาทมาเป็นเครื่องบูชาที่ถวายต่อพระพุทธองค์ การสร้างพระบฏมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือสร้างถวายวัดเพื่อเป็นพุทธะบูชาและไว้สักการะบูชาภายในบ้านภาพและเรื่องราวในพระบฏ ส่วนใหญ่เป็นภาพพระพุทธเจ้าหรือพุทธประวัติรูปแบบพระบทมีทั้งที่เป็นผืนผ้าขนาดยาวซึ่งเขียนภาพลงเต็มผืนและผืนผ้าขนาดเล็กเขียนภาพเล่าเรื่องเป็นตอนตอนพระบทที่นิยมผลิตในนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่เป็นผืนยาวเพื่อเหมาะสมแก่การอัญเชิญไปโฮมรอบวงพระบรมธาตุเจดีย์ณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเพื่อเป็นพุทธบูชา
ในดินแดนที่พระพุทธศาสนาแผลไปถึงต่างก็มีพระบุตรไหว้สักการะในประเทศอินเดียมีตำนานเล่าถึงที่มาของภาพพระบุตรว่าสมัยพุทธกาลพระเจ้าอชาตศัตรู ได้ทุนขอพระพุทธฉายจากพระพุทธเจ้าเพื่อนำมาสักการะบูชาแทนพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าจึงได้โปรดประทานพระพุทธฉายเป็นภาพพระพุทธองค์ประทับอยู่บนผ้าผืนหนึ่งให้แก่พระเจ้าอาชาตศัตรูจากนั้นจึงเกิดความนิยมเขียนภาพพระพุทธเจ้าลงบนผืนผ้าเพื่อสักการะบูชาแพร่หลายไปยังดินแดนอื่นที่นับถือพุทธศาสนาเช่นประเทศ Nepal ศรีลังกาที่เบตจีนญี่ปุ่นเกาหลีพม่าลาวเป็นต้นบางท้องถิ่นมีการนำสัญลักษณ์อื่นในทางพระพุทธศาสนามาเขียนบนผืนผ้าด้วยเช่นพระบฎในทิเบตเรียกว่า“ถังกา” เขียนภาพกาลจักรหรือปฎิจจสมุปบาท อันเป็นสื่อแสดงถึงพระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้และสั่งสอนเอาไว้เป็นต้น
จากการศึกษาพบว่าในดินแดนไทยสมัยโบราณ พระบฏ ถือเป็นรูปเคารพอย่างหนึ่งของพุทธศาสนิกชนซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นรูปแทนพระพุทธเจ้าที่เสด็จดับขันปรินิพพานไปแล้วพระบฏ มีหลายขนาดตามกำลังความสามารถในการโทรและการวาด การทำพระบทได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากพุทธศาสนิกชนในสมัยโบราณ เนื่องจากลงทุนต่ำและใช้เวลาน้อยกว่าการสร้างพระพุทธรูปอีกทั้งสามารถพกพาติดตัวไปยังที่ต่างๆได้ง่ายต่อมาเมื่อพุทธศาสนิกชนรู้จักเครื่องมือในการทำพระพิมพ์ความนิยมทำพระบทก็เริ่มลดลง เพราะพระพิมพ์สามารถผลิตได้ครั้งละจำนวนมากเก็บรักษาไว้ในศาสนสถานได้นานกว่า รวมถึงยังสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายกว่า ส่งผลให้บทบาทหน้าที่ของพระบทได้เปลี่ยนแปลงจากการเป็นรูปเคารพ มาเป็นเครื่องบูชาที่ถวายต่อพระพุทธองค์
ในปัจจุบันพระบฎ ในนครศรีธรรมราชนิยมนำผ้าขาวขนาดยาวมาเขียนภาพพระพุทธองค์หรือภาพพระพุทธรูปปางต่างๆตามแนวนอนแต่ละผืนมีภาพลักษณะดังกล่าวหลายภาพ ผู้สร้างและผู้เขียนภาพจึงต้องใช้เวลานับเดือนในการทำ เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็นำภาพไปประดับตกแต่งด้วยแถบผ้าหรือลูกปัดสีต่างๆ เพื่อเพิ่มความสวยงามแก่พระบฎ ก่อนที่จะนำเข้าขบวนแห่แหไปบูชาพระบรมธาตุเจดีย์ ณวัดพระธาตุวรมหาวิหาร ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ระยะต่อมาการประดับพื้นผ้านิยมให้สตรีที่มีมีฝีมือมาเย็บผ้าแพร และลวดลายดอกไม้ที่ขอบแถบผ้าตลอดทั้งผืน ปัจจุบันช่างผู้ชำนาญด้านการวาดและการตกแต่งมีจำนวนน้อยลง ประกอบกับพุทธศาสนิกชนไม่ค่อยมีเวลาว่างมาจัดทำพระบฏ ทำให้แต่ละปีมีพระบทเพียงจำนวนหนึ่งที่มาเข้าร่วมขบวนแห่ ส่วนใหญ่มักใช้ผ้าผืนยาวสีขาวแดงและเหลืองแทน
ผ้าพระบฏ:ที่มาของประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ
กล่าวถึงตำนานของประเพณีนี้มีมาตั้งแต่พ.ศ. 1773 สมัยที่พระเจ้าสามพี่น้องคือพระเจ้าศรีธรรมสุราชพระเจ้าจันทรภาณุและพระเจ้าพงษาสุระ กำลังสมโภชพระธาตุคลื่นได้ชัดพระบทมาขึ้นฝั่งที่ชายหาดปากพนังชาวบ้านจึงนำภาพผืนนั้นไปถวายพระเจ้าศรีธรรมราชเมื่อซักผ้าพระบทจนสะอาดก็เห็นภาพพุทธประวัติเด่นชัดสวยงามเมื่อประกาศหาเจ้าของก็ได้ความว่าชาวพุทธร่วม 100 คนจากเมืองอินทปัตย์ จะเดินทางไปลังกาเพื่อนำพระบทไปบูชาพระพุทธบาทที่ศรีลังการะหว่างเดินทางพายุพัดเรือมาขึ้นฝั่งที่นครศรีธรรมราชพระเจ้าศรีธรรมโศก ส่งพิจารณาเห็นว่าพระบทผืนนั้นควรจะนำไปหุงพระบรมธาตุเจดีย์เนื่องในโอกาสสมโภชพระธาตุ เจ้าของพระบทก็ยินดีด้วย เหตุนี้การแห่ผ้าขึ้นทาสจึงมีขึ้นนับตั้งแต่นั้น
ตำนานดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่าการแห่ผ้าขึ้นธาตุกระทำในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุประจำปีเดิมทีเจ้าเมืองทายาทจะจัดขบวนแห่พระบทพร้อมนำอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภคไปถวายพระสงฆ์ที่วัดพระมหาธาตุวรพระมหาวิหารโดยจะมีชาวเมืองเข้าร่วมขบวนไปไปด้วย สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ทายาทของ เจ้าพระยานคร(หนู) พร้อมชาวเมืองก็ยังคงสืบทอดต่อครั้งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยการแห่พระขึ้นธาตุก็เปลี่ยนมาทำในวันวิสาขบูชาต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่4 มีพระราชประสงค์ให้พุทธศาสนิกชนจัดพิธีทางพุทธศาสนาเพิ่มในวันมาฆบูชา (ขึ้น 15 ค่ำเดือนสาม) เหตุนี้ทำให้ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุมีการจัดปีละสองครั้งคือวันมาฆบูชาและวันวิสาขบูชา
อย่างไรก็ดีเนื่องจากสมัยก่อนการคมนาคมทางบกยังไม่ไม่สะดวกผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เดินทางมาทางเรือในช่วงที่น้ำยังเต็มลำคลองสะดวกกว่าจึงยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 สืบมานับตั้งแต่นั้น ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวชาวบ้านเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จแล้วจึงชวนกันไปทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวและเพื่อให้ผลบุญได้ช่วยอำนวยให้ผลผลิตบังเกิดความอุดมสมบูรณ์ในปีต่อไป ตามคตินิยมที่มีมาแต่โบราณด้วยผู้คนที่เดินทางมาร่วมงานประเพณีนี้นิยมเดินทางมาตั้งแต่เช้าของวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 เพื่อมาค้างอ้างแรมที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารหรือวัดละแวกข้างเคียง เช่นวัดหน้าพระบรม วัดสระเรียง วัดพระนคร วัดหน้าพระลาน วัดชลเฉนียน (วัดชายคลอง) โดยเฉพาะบนลานทรายของวัดพระมหาธาตุฯ เพื่อจะได้ประกอบพิธีถวายผ้าพระบุตรหรือผ้าห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาในช่วงสายหรือเที่ยงวัน
เมื่อพิจารณาด้านคุณค่าจะเห็นว่าประเพณีแห่ผ้าขึ้นทาสมีคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม ทั้งในด้านคุณค่าต่อครอบครัวและเครือญาติ การปฎิบัติประเพณีเป็นการสร้างความสัมพันธ์กันในกลุ่มเครือญาติคุณค่าทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนทำให้เกิดความช่วยเหลือกันในด้านแรงงานและกำลังทรัพย์ จากคนในชุมชนและคนในชุมชนใกล้เคียงคุณค่าทางด้านการส่งเสริมจริยธรรมส่งเสริมให้คนในสังคมทำความดีอันจะส่งผลให้สังคมมีความปกติสุขคุณค่าต่อประเพณีเป็นการสืบทอดการ ปฎิบัติประเพณีจากรุ่นสู่รุ่นและคุณค่าด้านศาสนาและความเชื่อเป็นการสืบทอดความเชื่อและความศรัทธาต่อพระบรมธาตุเจดีย์นอกจากนี้ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุยังมีคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจการที่พุทธศาสนิกชนจำนวนมากเข้าร่วมประเพณีทำให้มีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าแก่ผู้มาร่วมงานในท้องถิ่น
ผ้าพระบฎพระราชทาน
กล่าวถึงพระบฎพระราชทานที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมในประเพณีแห่ผ้าขึ้นทาสตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการขอวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างการประสานงานจัดสร้างรูปแบบและลักษณะของ ผืนผ้าและการพระราชทานพระบทในโอกาสอันเป็นมงคลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์มาใช้ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นท่าตามลำดับดังนี้
ผืนแรกเป็นผ้าพระบฏ พระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัฐราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเมื่อพ.ศ. 2530 มีลักษณะเป็นภาคขาวใหญ่สังเคราะห์ขนาดกว้าง1.15 เมตร ยาว 32 เมตร ต้นผ้าหรือหัวผ้าอัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ ส.ธ. ประดิษฐานไว้ต่อจากต้นผ้าไปทางขวามีภาพจิตรกรรมไทยเขียนด้วยสีอะคริลิค เขียนตามแนวนอนจำนวน 30 ตอน สาระของภาพเป็นพุทธประวัติตั้งแต่พระสิทธัตถะจุติจากสวรรค์ จนกระทั่งเจริญพระชนม์พรรษา และเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผืนนี้ได้ใช้มาจนถึงพ.ศ. 2549 พระบทเสื่อมสภาพลง จึงได้ขอพระราชทานผืนใหม่ในปีเดียวกัน(รวมจำนวนภาพที่ได้รับพระราชทานมีสองผืน)
ผืนที่สอง ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเมื่อพ.ศ. 2555 เนื่องในโอกาสปีพุทธชยันตรี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 พระบทที่ได้รับพระราชทานเป็นผ้าแคนวาส ขนาดกว้าง 1.20 เมตร ยาว 39 เมตร ส่วนต้นผ้าอัญเชิญตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถประดิษฐานไว้ ต่อจากส่วนต้นภาพเป็นภาพจิตรกรรมไทยเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ
ผืนที่สาม ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระบรมโอโอรสาธิราชฯ เมื่อพ.ศ. 2556 ภาพพระบฎพระราชทานผืนนี้เป็นผ้าใยสังเคราะห์ขนาดกว้าง 1.15 เมตร ยาว 39 เมตร ต้นผ้าได้อัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ ม.ว.ก. มาประดิษฐานไว้ต่อจากสวนต้นผ้าเขียนภาพจิตรกรรมไทยเรื่องราวพุทธประวัติตั้งแต่ ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน 12 ตอน
ผืนที่สี่ ได้รับพระบรมราชานุญาต ให้จัดสร้างเมื่อ พ.ศ. 2556 เนื่องในคราวเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา จึงได้ขอพระราชทานผ้าพระบฏ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าตามวัตถุประสงค์ของการจัดสร้างพระบฏ ที่ได้รับพระราชทานเป็นผ้าแคนวาสขนาดกว้าง 1.20 เมตรยาว 89 เมตรต้นผ้าได้อัญเชิญพระประมาทที่ไทยย่อ ภ.ป.ร. ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎประดิษฐานไว้จากต้นผ้าไปทางขวาเขียนภาพจิตรกรรมไทยเรื่องราวพุทธประวัติจำนวน 29 ตอน ประกอบด้วย ทศชาติชาดก 24 ตอน พุทธประวัติตอนสำคัญ4 ตอน และเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 1 ตอน
ผืนที่5 ได้รับพระราชอนุญาตให้จัดสร้างเมื่อพ.ศ. 2557 จากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารีตามที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 12 และโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช โดยทรงอนุญาตให้ใช้อักษรพระนามย่อ จ.ภ. ประดิษฐานบนผืนผ้าที่ได้รับพระราชทานเป็นผ้าแคนวาสขนาดกว้าง 1.20 เมตรยาว 30 เมตร ส่วนต้นผ้าประดิษฐานอักษรพระนามย่อ ต่อจากต้นผ้าเขียนภาพจิตรกรรมไทยเรื่องราวพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติจนปรินิพพาน
การปฏิบัติต่อภาพพระบทพระราชทาน
กล่าวถึงการปฏิบัติของชาวนครศรีธรรมราชต่อพระบฎพระราชทานในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุอย่างสมและสมฐานะ นับตั้งแต่การสมโภชเพื่อแสดงถึงความยินดีที่ได้รับพระราชทานพระบฎจะให้ความสำคัญกับการเลือกสถานที่ พิธีการ ผู้เข้าร่วมพิธี ตลอดจนกิจกรรมประกอบพิธีการจัดขบวนแห่เน้นความสง่างาม และความสงบเป็นระเบียบเรียบร้อย ในพิธีถวายผ้าเริ่มจากพระสงฆ์ให้ศีลและเจริญชัยมงคลคาถา จากนั้นนักแสดงก็รำบูชาพระบรมธาตุ ต่อหน้าพุทธศาสนิกชนที่เข้าร่วมพิธีอย่างเนืองแน่น ทำให้พิธีอัญเชิญพระบฎ มีความเข้มขลังและเป็นสิริมงคล
การเลือกสถานที่ จะถือเอาตำนานและนัย ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระบฎเป็นสถานที่สมโภชคือที่อำเภอปากพนังอันเป็นแหล่งที่มาของพระตามตำนานและที่สวนสาธารณะศรีธรรมราชซึ่งมีอนุสาวรีย์พระเจ้าศรีธรรมสุขประดิษฐานอยู่ ส่วนพิธีกรรมและพิธีการในการสมโภชพระบฎ จะเริ่มประกอบพิธีที่อำเภอปากพนังก่อนถึงวันแห่ภาคขึ้นธาตุ 2 วันเพื่อสมโภชพระบฎพระราชทาน วันรุ่งขึ้นจึงอัญเชิญผ้าพระบฏขึ้นบุษบก เพื่อส่งมอบให้แก่จังหวัดนครศรีธรรมราชที่สวนสาธารณะศรีธรรมราช แล้วจึงมีพิธีสมโภชครั้งก่อนที่จะอัญเชิญไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์ในวันถัดไป
การเชิญผู้ร่วมพิธี ทั้งที่อำเภอปากพนังและที่สวนสาธารณะศรีธรรมโศกราช มีผู้ร่วมพิธี3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มพระภิกษุสงฆ์ ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคลกลุ่มหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทำหน้าที่อัญเชิญพระบฎจากอำเภอปากพนัง และรับพระบฎ ที่สวนสาธารณะศรีธรรมราช เพื่อให้พิธีมีความหมายสมบูรณ์ที่สุดและกลุ่มพุทธศาสนิกชนทั่วไปที่เข้าร่วมพิธีด้วยความตั้งใจในการจัดกิจกรรมประกอบ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เพิ่มคุณค่าให้แก่การสมโภชพระบฎ โดยเลือกจัดกิจกรรมพิเศษที่เกี่ยวข้องกับพระบฎ พระธรรม และพระมหากษัตริย์
การจัดขบวนแห่พระบฎ นับตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชได้รับพระพระราชทานเพื่ออัญเชิญมาใช้ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ตั้งแต่ พ.ศ. 2530 คณะกรรมการได้ให้ความสำคัญแก่การจัดขบวนแห่พระบฎ เพื่ออัญเชิญขึ้นห่มโอบรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ โดยจะพิถีพิถันในเรื่องการจัดขบวนแห่ให้มีความสง่างาม และเป็นระเบียบตั้งขบวนบริเวณหน้าศาลาประดู่หก และสนามหน้าเมืองตามแผนผังการจัดริ้วขบวนเป็นลำดับชัดเจน ผู้เข้าร่วมขบวนแต่ละปีมีจำนวนนับ 10,000 คน ซึ่งมาจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และพุทธศาสนิกชนทั่วไป ครั้งถึงเวลา 15:00 น. จึงจะเคลื่อนขบวนมุ่งสู่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
การถวายผ้าพระบทพระราชทาน เมื่อขบวนแห่พระบฎพระราชทานมาถึงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร พระสงฆ์ศีล และเจริญชัยมงคลคาถา ศิลปินแสดงศิลปวัฒนธรรมเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาจากนั้นผู้ร่วมขบวนแห่พระบฎและพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีถวายผ้าพระบฎพระราชทาน โดยการกล่าวคำถวายตามประธานในพิธีถัดมาเข้าสู่พิธีอัญเชิญพระบฎขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์เริ่มต้นด้วยการส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธีประมาณ 10 คนส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัด พระสงฆ์เดินนำคณะตัวแทนอัญเชิญพระบฎเวียนขวา บนลานประทักษิณรอบฐานเจดีย์ จำนวนสามรอบ
ผ้าพระบฎพระราชทาน : ปัจจัยและสื่อส่งเสริมสืบสานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ กล่าวถึงความสำคัญของพระบฎพระราชทาน ในแง่การสื่อที่ช่วยส่งเสริมสืบสานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุที่นครศรีธรรมราช ทั้งในด้านแนวคิดมีการเตรียมย้ำแนวคิดเรื่องการสร้างพระบฎ เพื่อเป็นเครื่องบูชาและขยายผลไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน ด้านพิธีกรรมมีการปรับปรุงการประกอบพิธีสมโภชพระบฎให้มีความเข้มขลัง และพิธีอัญเชิญพระบทขึ้นห่มพระบรมธาตุเจดีย์ให้มีระบบระเบียบและสง่างามด้านสมาชิกมีสมาชิกร่วมงานเพิ่มขึ้นทั้งหน่วยงานที่เข้าร่วมเป็นผู้จัดงานและบุคคลที่เป็นผู้มาร่วมงานสุดท้ายด้านการเฉลิมฉลอง มีการขยายขอบเขตของงานกว้างขึ้น ในด้านระยะเวลาการจัดงานสถานที่จัดงานและกิจกรรมดังกล่าว
การจัดสร้างพระบฎพระราชทาน แต่ละผืนนอกจากเพื่อเทิดพระเกียรติพระผู้พระราชทานพระบฎเนื่องในโอกาสพิเศษ แล้วการส่งเสริมสืบสานประเพณีแห่พระขึ้นธาตุ ที่นครศรีธรรมราชก็เป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญประการหนึ่งด้วยในประเพณีนี้พสกนิกรและพุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราชได้อัญเชิญพระบฎพระราชทานทุกผืนมาใช้ประกอบพิธี ตามวัตถุประสงค์ของการจัดสร้างด้วยตระหนักในคุณค่าและความหมายของพระบฎพระราชทาน ตลอดจนมุ่งมั่นในผลแห่งการปฎิบัติทั้งในด้านประเพณีและในวโรกาสอันเป็นมงคลพ้นจากการปฎิบัติต่อพระบฎพระราชทานดังกล่าวทำให้พระบฎพระราชทานเป็นปัจจัยและสื่อสำคัญที่ช่วยส่งเสริมสืบสานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ตามองค์ประกอบของประเพณีใ นด้านแนวคิด พิธีกรรมและการเฉลิมฉลองดังต่อไปนี้
1.แนวคิด คือหลักการหรือความเชื่อที่ยอมรับกันมาตั้งแต่อดีตว่าเป็นสิ่งดีงามที่ต้องกระทำเพื่อความสงบสุข หรือความเป็นระเบียบของสังคม แนวคิดอาจจะมีที่มามาจากลัทธิศาสนาความเชื่อเกี่ยวกับผีสางเทวดา และสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ แนวคิดหลักดั้งเดิมของประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุคือพุทธศาสนิกชนใช้พระบฎ ถวายพระบรมธาตุเจดีย์ เพื่อเพื่อเป็นพุทธบูชาในโอกาสสำคัญ เช่น วันสำคัญทางพุทธศาสนา วันสมโภชพระบรมธาตุเจดีย์ เป็นต้น แนวคิดนี้ได้รับการเสริมย้ำและขยายผลไปสู่การปฏิบัติอย่างชัดเจนทั้งในกลุ่มพุทธศาสนิกชนทั่วไป หน่วยงานราชการ องค์กรเอกชน และองค์กรภาคประชาชนดังจะเห็นได้ว่า พุทธศาสนิกชนช่วยกันจัดสร้างพระบฎมากขึ้น ขณะที่ส่วนราชการและองค์กรได้จัดสร้างพระบฎ เป็นการเฉพาะเพิ่มขึ้นด้วยทำให้จำนวนพระบฏในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เพิ่มขึ้นทุกปี
แนวคิดที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือมีการยกระดับประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นประเพณีนานาชาติโดยการนิมนต์พระสงฆ์ และเชิญพุทธศาสนิกชนจากประเทศต่างๆมาเข้าร่วมประเพณีด้วยได้แก่ เนปาล บังคลาเทศ ทิเบต จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม พม่า ลาว เขมร และมาเลเซียเพื่อให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้เข้าร่วมพิธีกรรมอันเป็นกุศลนี้และยังเป็นการสนับสนุน การนำเสนอวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นมรดกโลก การดำเนินการดังกล่าวทำให้ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ มีความเป็นสากลมากขึ้นและก่อให้เกิดแนวคิดในการจัดสร้างพระบฎ ในรูปแบบและขนาดที่ต่างไปจากเดิม อีกทั้งส่งผลให้มีการขยายแนวคิดไปสู่การจัดงานแห่ผ้าห่มองค์พระบรมธาตุ วัดธาตุน้อย อำเภอช้างกลาง และเจดีย์ศรีธรรมราชอำเภอเชียรใหญ่จังหวัดนครศรีธรรมราช
2.พิธีกรรม คือการกระทำที่มีแบบแผนอย่างเป็นขั้นตอนเพื่อให้วัตถุประสงค์ของผู้จัดพิธีกรรมพิธีกรรมประกอบด้วย เจ้าพิธี คือผู้ประกอบพิธีกรรมอย่างมีแบบแผนเพื่อเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ อีกสิ่งหนึ่งเป็นกรรมวิธี คือ ลำดับขั้นตอนในการประกอบพิธีกรรม พบว่า การเสริมย้ำและขยายแนวคิดเรื่องการนำพระบฎ ไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เพื่อเป็นพุทธบูชา ทำให้ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุพัฒนาไปจากเดิมทั้งในด้านเจ้าพิธีเพื่อเป็นประเพณีนานาชาติ จึงมีพระสงฆ์จากต่างประเทศเข้าร่วมพิธีกรรมมากขึ้น ส่วนในด้านกรรมวิธี มีการพัฒนาวิธีการจัดทำพระบฎ เช่นการเขียนลงบนผืนผ้าการพิมพ์ลงบนกระดาษและการพิมพ์ลงบนไวนิว ทั้งยังมีการจัดพิธีสมโภชพระบฎ ให้มีความเข้มแข็งรวมถึงการจัดขบวนแห่พระบฎ การถวายพระบฎ และการนำพระบฎขึ้นห่มพระบรมธาตุเจดีย์ได้พัฒนามากขึ้น
3.การเฉลิมฉลอง คือการจัดงานรื่นเริงต่างๆให้เกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมเพื่อให้สมาชิกสังคมได้ร่วมแสดงความยินดีและเกิดความสนุกสนานการจัดงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ได้ขยายขอบเขตกว้างขึ้นทั้งในด้านระยะเวลาการจัดงานสถานที่จัดงานและกิจกรรมกล่าวคือนับตั้งแต่พ.ศ. 2553 เป็นต้นมาจะจัดงาน4-7วัน ที่วัดพระพระมหาธาตุวรมหาวิหาร สวนสาธารณะศรีธรรมโศกราช และอำเภอปากพนังกิจกรรมที่สำคัญได้แก่กิจกรรมปฏิบัติบูชาและส่งเสริมพระพุทธศาสนา กิจกรรมสมโภชแห่พระขึ้นธาตุและเวียนเทียนกิจกรรมนิทรรศการทางพุทธศาสนา กิจกรรมประเพณีท้องถิ่น กิจกรรมการแสดงและมหรสพ กิจกรรมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน กิจกรรมท่องเที่ยวทางธรรมและกิจกรรมตกแต่งสถานที่ ประกอบพิธีกรรมการเฉลิมฉลองดังกล่าว ทำให้ประเพณีแห่ขึ้นธาตุเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
ผลสืบเนื่องจากการส่งเสริมประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ทำให้ประเพณีนี้ได้รับคัดเลือกให้เป็นกิจกรรมดีเด่นเพื่อรับรางวัลนวัตกรรมด้านการตลาด การท่องเที่ยวตามกลยุทธ์สร้างการรับรู้ความเป็นเอกลักษณ์พื้นที่ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2555 นอกจากนี้พบว่า การปฎิบัติประเพณีก่อให้เกิดความสามัคคีในชุมชนและความสามัคคีนั้นเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความเจริญมั่นคงให้แก่ท้องถิ่นและประเทศชาติ ดังที่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้บริหารจัดการบ้านเมืองโดยใช้หลักธรรมนำการพัฒนาด้วยวิธีการสร้างความศรัทธา ให้พระบรมธาตุเจดีย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และมีประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นกุศโลบายหนึ่งในการรวมพลังศรัทธาของประชาชน ทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ และเป็นปัจจัยนำไปสู่การพัฒนาบ้านเมืองให้มีความเจริญ สะท้อนความเป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีต
<b>ผ้าพระบฎและผ้าพระบฎพระราชทาน จึงเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ศึกษาประวัติเกี่ยวกับพระในประเทศไทยและนครศรีธรรมราช ได้เป็นอย่างดีซึ่งก่อให้เกิดเข้าใจความหมายความเป็นมาและความมุ่งหมายในการสร้างพระบฎ รวมทั้งรูปแบบและลักษณะพระบฏที่พบในประเทศต่างๆยิ่งกว่านั้นกรณีศึกษาผ้าพระบฎพระราชทานในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุที่นครศรีธรรมราช ทำให้เห็นว่าพระบฎได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงค์ ส่วนในการส่งเสริมประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ยิงขณะเดียวกันยังแสดงให้เห็นถึงพลวัตของความเชื่อเกี่ยวกับพระบทในสังคมไทยที่มีความเชื่อมโยงการถวายพระบุตรเพื่อเป็นพุทธะบูชาและการถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นเรื่องเดียวกัน
กระนั้นก็ดีหากพิจารณาจากแง่มุมของพุทธศาสนิกชนที่อัญเชิญพระบฎ หรือนำผ้าผืนยาวสีขาวแดง และเหลือง มาห่มล้อมรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ จะพบว่าการปฎิบัติในประเพณีมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อถวายเครื่องบูชาต่อพระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์ ด้วยหวังกุศลจากการปฎิบัติ จะส่งผลดีต่อตนเองและสมาชิกในครอบครัวทั้งยังสื่อถึงความศรัทธาอย่างสูงของพุทธศาสนิกชน ที่มีต่อพระบรมธาตุเจดีย์ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการปฎิบัติต่อพระบรมธาตุเจดีย์ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นการสืบทอดคติ “ ธาตุบูชา” ทำให้คติดังกล่าวยังคงมีการถือปฏิบัติสืบมาแม้บริบททางสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปแต่คติธาตุบูชาก็ยังดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่นจึงเป็นผลให้พระบรมธาตุเจดีย์ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนไม่เสื่อมคลาย
ที่มา ผ้าพระบฏและผ้าพระบฎพระราชทาน .รศ.วิมล ดำศรี