22 มกราคม, 2568

ประวัติอำเภอเชียรใหญ่

อำเภอเชียรใหญ่
คำขวัญ: อำเภอเชียรใหญ่ เมืองใหญ่ลุ่มน้ำ เกษตรกรรมล้ำหน้า พุทธศาสนาเลิศล้ำ วัฒนธรรมรุ่งเรือง ลื่อเลื่องศิลปิน เมืองศิลปาชีพ ประวัติความเป็นมา อำเภอเชียรใหญ่ มีหลักฐาน ในทำเนียนข้าราชการนครศรีธรรมราช ครั้งรัชกาลที่ 2 พ.ศ.2354 (จ.ศ.1173) ว่าท้องที่อำเภอนี้เคยเป็น “เมืองพิเชียร” เป็นหัวเมืองฝ่ายขวาของเมืองนครศรีธรรมราช มีออกเมืองพิชัยธานี ศรีสงคราม เป็นตำแหน่งนายที่ศักดินา 1,000 ถือตรรูปเลียงผาใหญ่มีอำนาจได้เรียกส่วยอากรค่าคำนับฤชาภาษีส่วยตั้งขนอนปากคลองน้ำพิเชียร มีขุนเทพบุรี ศักดินา 400 ถือตรารูปเลียงผาน้อยเป็นรองพิเชียร มีขุนมงคลบุรี ศักดินา 200 ถือตรารูปเลียงผาน้อยเป็นปลัด และหมื่นอินทรบุรี ศักดินา 200 เป็นสมุห์บัญชี มีวัดลานกระบือ และวัดคงคา เป็นที่เลณฑุบาตในที่พิเชียร เมื่อเปรียบเทียบกับท้องที่อื่น ๆ ในสมัยเดียวกันปรากฏว่าศักดินาของนายเมืองพิชัยเท่าเทียบกับศักดินาของเมืองภักดีสงคราม เมืองอลอง (ฉลอง), หลวงอินทรโกษากรมคลัง (ฝ่ายขวา), หลวงทิพภักดี, นายที่ภูรา (ฝ่ายขวา) เป็นต้น ชื่อ ”พิเชียร” ปรากฏว่ามีใช้ต่อมาดังที่ปรากฏใน “ประกาศเทวดา พระราชพิธีตรุษรัชกาลที่ 5 “ และในรัชกาลนี้เมื่อ ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) มีการรวมหัวเมืองในลุ่มแม่น้ำปากพนัง 4 เมืองเข้าด้วยกัน คือ เมืองพิเชียร เมืองพนัง เมืองเบี้ยซัด และที่ตรงคลองกระบือ และหูล่อง ตั้งเป็นอำเภอเบี้ยซัดตามวิธีการปฏิรูปการปกครอง ทำให้เมืองพิเชียรเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอเบี้ยซัด ครั้นถึงรัชกาลที่ 6 สถานที่นี้ยังคงเรียกว่า “พิเชียร” ดังปรากฏในคำประกาศพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ เป็นต้น ปัจจุบัน และตามคำบอกเล่าว่า ณ บริเวณดังกล่าวมีต้นตะเคียนใหญ่เป็นสำคัญจึงเรียกว่า “บ้านพิเชียรเคียนใหญ่” ต่อมาจึงเรียกกันสั้น ๆ ว่า “บ้านเชียรใหญ่” เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2480 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศตั้งกิ่งอำเภอเชียรใหญ่ และต่อมาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 จึงได้ยกฐานะเป็นอำเภอ ครั้นถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 ได้มี พระราชกฤษฎีกาตั้ง “อำเภอเฉลิมพระเกียรติ” ขึ้นทั่วประเทศ 5 แห่ง ในจังหวัดนครราชสีมา นครศรีธรรมราช น่าน บุรีรัมย์ และสระบุรี จังหวัดละแห่งเพื่อประโยชน์แก่การปกครองก่อให้เกิดความสะดวกสะดวกและส่งเสริมท้องที่ให้เจริญยิ่งขึ้น ที่สำคัญยิ่ง คือเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระภูมิพลอดุลเดชฯเนื่องในมหามงคลวโรกาสฉลองศิริราชสมบัติครบห้าสิบปี สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้นได้แบ่งพื้นที่โดยแยก ตำบลเชียรเขา ตำบลดอนตรอ ตำบลสวนหลวง อำเภอเชียรใหญ่ และตำบลทางพูน อำเภอร่อนพิบูลย์ ไปขึ้นกับอำเภอเฉลิมพระเกียรติดังกล่าวแล้ว สภาพทั่วไป เชียรใหญ่ เป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ 141,947 ไร่ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่ถนนภักดีฤทธิ์ ในพื้นที่หมู่ที่ 3 ตำบลเชียรใหญ่ ห่างจากศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ประมาณ 52 กิโลเมตร อาณาเขต ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอปากพนัง และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอชะอวดและกิ่งอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอหัวไทร และอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช สภาพภูมิอากาศ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม มีที่ เป็นเนินเขาอยู่บ้างแต่มีเป็นส่วนน้อย คือ เนินเขาพระบาท และเนินเขาแก้ววิเชียร มีแม่น้ำปากพนังและลำคลองสาขาไหลผ่านครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอเหมาะแก่การทำนา เขตป่าไม้มีเฉพาะป่าเสม็ดทางทิศใต้และทิศตะวันตก ลักษณะป่าเสม็ดคลอบคลุมพงหญ้ามีน้ำขังตลอดปี ป่าเสม็ดเป็นป่าสงวน คลุมเขตพื้นที่ป่าสงวนคลองฆ้อง ป่าสงวนท่าช้างข้ามและป่าสงวนดอนทราย สภาพบริเวณดินดังกล่าวเป็นดินเปรี้ยวไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก การคมนาคมมีทั้งทางบกและทางน้ำ ทางบกมีทางหลวงแผ่นดินระหว่างนครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา ผ่านอำเภอเชียรใหญ่ มีทางหลวงชนบทหลายสายส่วนทางน้ำมีแม่น้ำปากพนัง-ชะอวด และคลองบางตัด ทรัพยากรธรรมชาติ อำเภอเชียรใหญ่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอย่างใดเด่น พื้นที่ส่วนใหญ่ใช้ใน การทำนาและบางส่วนใช้ทำสวน แร่ธาตุต่าง ๆ ยังไม่ปรากฏ ด้านป่าไม้ เดิมอำเภอเชียรใหญ่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ เช่นป่าเสม็ด ป่าสะแก ป่าไม้เบญจพรรณจากป่าสงวน 3 แห่ง คือ ป่าสงวนหลวง ป่าช้างข้าม ป่าดอนทราย มีเนื้อที่ประมาณ 60,000 ไร่ แต่ปัจจุบันเหลือเพียงประมาณ 17,000 ไร่ เพราะถูกประชาชนบุกรุกทำเป็นทุ่งนาส่วนมาก ป่าไม้ที่เป็นแหล่งต้นไม้ลำธารที่สำคัญถูกทำลายลงมาก ทำให้แม่น้ำสำคัญคือ แม่น้ำปากพนังขาดน้ำจืดที่จะหนุนกับน้ำเค็ม จึงทำให้พื้นที่ริมฝั่งเป็นดินเปรี้ยวไม่สามารถปลูกพืชต่าง ๆ ได้ ลำน้ำที่สำคัญมีดังนี้ คือ แม่น้ำปากพนัง ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาบรรทัด ไหลผ่านอำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่านอำเภอเชียรใหญ่ ไหลลงสู่อ่าวไทยในเขตอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำได้ตลอดปี และเป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญของประชาชนในอำเภอเชียรใหญ่ เดิมชื่อ คลองค็อง แต่ปัจจุบันทางราชการเขียนเป็น คลองฆ้อง ยาวประมาณ 20 กิโลเมตร มีต้นน้ำจากอำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ไหลผ่านตำบลสวนหลวง อำเภอเชียรใหญ่ และตำบลแม่เจ้าอยู่หัว กรมชลประทานได้สร้างเขื่อนกั้นน้ำไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรม คลองเชียรใหญ่ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าคลองใหม่สุรินทร์ ยาว 15 กิโลเมตร กรมชลประทานได้สร้างเขื่อนกั้นน้ำไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการเกษตร ประชาชนในตำบลเชียรใหญ่และตำบลท้องลำเจียกได้ใช้ประโยชน์ คลองบางจันทร์ ยาว 13 กิโลเมตร ไหลผ่านตำบลไสหมาก อำเภอเชียรใหญ่ นอกจากนี้มีคลองอื่น ๆ อีกมาก เช่นคลองบางตัด คลองหว้า คลองขยัน คลองท่าขนาน คลองทวยเทพบ้านกลาง คลองเตย คลองเตี้ย คลองคชธรรมราช คลองปากคลอง คลองปากคลอง-ศาลาตะเคียน คลองบางแก้วเกาะทวด คลองบางมด เกาะทวด คลองสระแก้ว คลองขุดยาว ซึ่งไหลผ่านตำบลต่าง ๆ ได้ใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ อำเภอเชียรใหญ่มีประชากรใน พ.ศ.2540 ทั้งหมด 46,747 คน เป็นชาย 22,936 คน เป็นหญิง 23,811 คน อาชีพส่วนใหญ่ร้อยละ 90 ทำนา มีพื้นที่สำหรับเกษตรกรรม 126,936 ไร่ ทำนา 114,883 ไร่ ทำสวน 11,562 ไร่ เลี้ยงสัตว์ 5,033 ไร่ ประมง 13,117 ไร่ ปลาน้ำจืด 4,237.85 ไร่ เลี้ยงกุ้งกุลาดำ 8,878.85 ไร่ นอกจากนั้นประชากรที่มีที่อาศัยอยู่ริฝั่งแม่น้ำลำคลองก็มีอาชีพจับสัตว์น้ำด้วย บริเวณริมถนนสายจังหวัดนครศรีธรรมราช-จังหวัดสงขลา มีอาชีพในการทำสวนมะพร้าว ส่วนอาชีพค้าขายมีเล็กน้อยเฉพาะที่อยู่ในเขตชุมชนและเขตสุขาภิบาล ในเขตตำบลไสหมากราษฎรกำลังเปลี่ยนระบบการใช้พื้นที่ทำนาเป็นการทำไร่แบบผสมผสาน โดยได้รับการสนับสนุนจากทางราชการอยู่ในปัจจุบัน การเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงไว้ใช้งานและเป็นอาหารภายในครอบครัวเท่านั้น สถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเชียรใหญ่มี 3 แห่ง คือ วัดเขาแก้ววิเชียร
ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ กลางทุ่งนา ในหมู่ที่ ๙ ตําบลเชียรใหญ่ อําเภอเชียรใหญ่ เดิมวัดนี้เรียกว่า วัดเขาวิเชียร ตามหลักฐานจารึกที่ระฆัง ซึ่งปัจจุบันระฆังใบนี้เก็บรักษาไว้ที่วัดพระ มหาธาตุ อําเภอเมืองนครศรีธรรมราช วัดเขาแก้ววิเชียรเป็นวัดที่เก่าแก่ ก่อสร้างมาไม่น้อยกว่า ๔๐๐ ปี จากการพิสูจน์อิฐฐานเจดีย์วัดเขาแก้ว วิเชียร โดยกรมศิลปากร นอกจากนี้ที่วัดมีพระปัญญาเป็นพุทธรูปเก่าแก่ และเจดีย์เก่าแก่ ชื่อเจดีย์พระติลิมุ้ย ชาวบ้านมักจะไปกราบไหว้ขอให้บุตร หลานสอบเข้าทํางาน มักจะได้ตามที่ขอ มีบ่อน้ํามากถึง ๑๑ บ่อ มีชื่อ เรียกต่างๆ กัน และเป็นสถานที่ร่มรื่น พักผ่อนหย่อนใจ เป็นสถานที่ ศึกษาพันธุ์ไม้หลายชนิด นอกจากนี้ที่วัดเขาแก้ววิเชียร มีลิงหลายร้อยตัว เป็นลิงฝูง ใหญ่ซึ่งอาศัยร่วมกันในชุมชนบ้านเขาแก้ววิเชียร การเดินทาง จากนครศรีธรรมราชใช้ทางหลวง หมายเลข ๔๐๘ (นครศรีธรรมราช-สงขลา) เลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกบ้านสระไคร (ประมาณ กม.ที่ ๒๕) ใช้ถนนลาดยางตลอดเส้นทางถึงวัดเขาแก้ววิเชียร ระยะทาง ๘ กิโลเมตร ศาลเจ้าทวดปากเชียร
ตั้งอยู่ในบริเวณที่ว่าการอําเภอเชียรใหญ่ ด้านทิศตะวันออก ชาว เชียรใหญ่ มีความเชื่อ และศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของทวดปากเชียร มักจะขอให้ทวดปากเชียรช่วยดลบันดาลให้ประสบผลสําเร็จในสิ่งที่หวัง ตามความเชื่อของแต่ละคน และเมื่อประสบผลสําเร็จจะนําเครื่องเซ่นไหว้ ต่างๆ เช่น ธูป ๑๒ ดอก เทียน เหล้า หัวหมู ไก่ หรือหมูย่าง และจุด ประทัด มาทําพิธีเซ่นไหว้เป็นประจํา และจะมีพิธีไหว้ทวดปากเชียรกินเจ ปีละหนึ่งครั้งในช่วงเทศกาลกินเจเพื่อเป็นสิริมงคลของชาวเชียรใหญ่ วัดแม่เจ้าอยู่หัว
เป็นวัดเก่าแก่ริมคลองฆ้อง หมู่ที่ ๓ ตําบลแม่เจ้าอยู่หัว อําเภอ เชียรใหญ่ ริมทางหลวงหมายเลข ๔๐๘ (นครศรีฯ-สงขลา) ภายในวัดมี ป้ันแม่เจ้าอยู่หัว (พระนางเลือดขาว) ซึ่งเป็นพระสนมเอกของพระเจ้า ศรีธรรมโศกราช ประดิษฐานอยู่ ประชาชนมีความเช่ือและศรัทธาในบารมี ของแม่เจ้าอยู่หัว ต่างไปกราบไหว้ ขอให้มีโชคลาภ พ้นทุกข์ภัยต่างๆ การเดินทาง จากนครศรีธรรมราช ใช้ทางหลวงหมายเลข ๔๐๘ (นครศรีฯ-สงขลา) ถึงส่ีแยกบ่อล้อ ตรงไปประมาณ ๑ กิโลเมตร ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง
ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 5 ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ ศูนย์ศิลปาชีพแห่งนี้ จัดตั้งโดยพระ ราชดําริของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรม ราชินีนาถ เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ เพื่อทรงช่วย เหลือประชาชนให้มีรายได้จากทอผ้าและ จักสานกระจูดเป็นผลิตภัณฑ์ รูปแบบ ต่างๆ สวยงามมาก สามารถซื้อเป็น ของที่ระลึก ของฝาก ของขวัญ เน่ือง ในโอกาสต่างๆ เป็นที่ประทับใจทั้งผู้ให้ และผู้รับได้ การเดินทาง จากนครศรีธรรมราช ใช้ทางหลวงหมายเลข ๔๐๘ (นครศรีฯ-สงขลา) ถึงสี่แยกบ่อล้อ เลี้ยวขวาไปใช้ทางหลวงบ่อล้อ-ชะอวด ประมาณ ๑.๕ กม. เลี้ยวซ้ายเข้าศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง ตําบลแม่ เจ้าอยู่หัว อําเภอเชียรใหญ่ จุดชมวิวบนเขาพระบาท
วัดพระพุทธบาท เป็นวัดที่มีความเก่าแก่กว่า ๗๐๐ ปี มี รอยพระพุทธบาทอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นที่เคารพ สักการะของ ประชาชนในท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียงมานานแล้ว ในอดีต พบไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ให้หายได้ ประชาชนในหลาย พื้นที่เดินทางเข้ามารับการรักษาจํานวนมาก และในบริเวณวัดมีจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม สามารถชมพระอาทิตย์ตกในยามเย็น และชม พระจันทร์ขึ้นได้ซึ่งมีบรรยากาศที่งดงามมาก การเดินทางโดยรถยนต์ จากนครศรีธรรมราชใช้ทางหลวงหมาย ๔๐๘ (นครศรีฯ-สงขลา) เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายวัดแดง-บางปรง ไปประมาณ ๑.๕ กม. แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่วัดพระพุทธบาท งานแข่งเรือเพรียวชิงถ้วยพระราชทาน
แม่น้ําปากพนังซ่ึงอยู่ในเขตอําเภอเชียรใหญ่ ชาวบ้านได้จัดการแข่ง ขันเรือเพรียวพายจนเกิดงานประเพณีแข่งเรือเพรียว สืบทอดถึงปัจจุบัน โดยมีเรือเพรียว ต้ังแต่ ๑๓ ฝีพาย ถึง ๑๖ ฝีพาย ซึ่ง องค์การบริหารส่วน ตําบลทุกแห่งในอําเภอเชียรใหญ่ เทศบาลตําบลเชียรใหญ่และองค์การ บริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้การสนับสนุน และกราบบังคมทูล ขอรับพระราชทานถ้วยรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ใน ปัจจุบันเป็นงานประเพณีที่ย่ิงใหญ่ กําหนดจัดงานแข่งขันขึ้นในวันท่ี ๓๑ ธันวาคม ถึง ๑ มกราคม ของทุกปี ณ บริเวณริมแม่น้ําปากพนัง หน้าที่ว่าการอําเภอเชียรใหญ่ ตลาดน้ำเชียรใหญ่
ทุกวันเสาร์ ๑๔.๐๐น. เป็นต้นไป เจอกัน ตลาดริมน้ำเชียรใหญ่ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ริมแม่น้ำปากพนัง หน้าที่ว่าการอำเภอเชียรใหญ่ พักผ่อนกับบรรยากาศธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำ ชิมอาหารพื้นบ้านรสชาดอร่อย ร่วมกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นวิถีชีวิตชุมชนกับการแต่งกายย้อนยุคของแม่ค้าและนักท่องเที่ยว ารเดินทาง : ทางหลวงหมายเลข ๔๐๘ โดยรถตู้โดยสาร,รถสองแถวสายเชียรใหญ่-นครศรีฯ รถสองแถวสายเชียรใหญ่ปากพนัง, เชียรใหญ่-กระบี่ ทางด้านศาสนา ประชากรทั้งหมดนับถือพระพุทธศาสนา ในปัจจุบันได้แบ่งเขตท้องที่อำเภอเชียรใหญ่ออกเป็น 10 ตำบล 97 หมู่บ้าน มีรายชื่อตำบลต่อไปนี้คือ ตำบลการะเกด ตำบลเชียรใหญ่ ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว ตำบลเขาพระบาท ตำบลบ้านกลาง ตำบลท่าขนาน ตำบลเสือหึง ตำบลไสหมาก ตำบลบ้านเนิน และตำบลท้องลำเจียก และมีสุขาภิบาล 1 แห่ง คือ สุขาภิบาลเชียรใหญ่ ที่มา สืบค้น https://www.tungsong.com/Nakorn/Old/Cherryai.html https://th.wikipedia.org https://www.mokkalana.com/2306/

ประวัติ อำเภอปากพนัง

คำขวัญ: รังนกเลื่องชื่อ ร่ำลือขนมลา โอชาไข่ปลากระบอก ส่งออกกุ้งกุลาดำ ออกพรรษาไหว้พระลาก นิยมมากแข่งเรือเพรียว ประวัติอำเภอปากพนัง หัวเมืองที่มารวมตั้งเป็นอำเภอปากพนังนั้น ได้แก่ เมืองพนัง เมืองพิเชียร ที่เบี้ยซัด และที่ตรง ในสมัยปฏิรูปการปกครอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชวินิจฉัยเห็นว่า ภายหลังที่เจ้าพระยานคร (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เจ้าเมืองนครถัดมาไม่เข้มแข็งในการปกครองเท่าที่ควร เป็นเหตุให้หัวเมืองมลายูอันเป็นประเทศราชกระด้างกระเดื่อง ขณะเดียวกันอังกฤษก็เข้ามามีเมืองขึ้นประชิดพรมแดน และได้ดำเนินการแทรกแซงกิจการภายในเมืองไทรบุรีมากขึ้น พระองค์ทรงเห็นว่าลักษณะและเหตุการณ์เช่นนี้ ย่อมจะเป็นอันตรายต่อสยามอย่างแน่นอน จึงมีพระราชดำรัสให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพฯ ในฐานะเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย จัดการแก้ไขการปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้โดยรีบด่วน มณฑลนครศรีธรรมราช สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพฯ เสนอให้รวมเมืองนครศรีธรรมราชกับเมืองสงขลาเข้าเป็นมณฑลเดียวกัน เรียกว่า “มณฑลนครศรีธรรมราช” ที่ว่าการมณฑลตั้งอยู่ที่เมืองสงขลา พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลได้จัดการปกครองเมืองนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา เข้าสู่ระเบียบแบบแผนสมัยใหม่ ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 การจัดการปกครองท้องที่ในสมัยนั้น ได้ตั้งกรมการอำเภอ ให้มีการเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทุกตำบล หมู่บ้าน เมืองนครศรีธรรมราชแบ่งการปกครองออกเป็น 9 อำเภอ คือ อำเภอกลางเมือง เบี้ยซัด ร่อนพิบูลย์ กลาย สิชล ลำพูน ฉวาง ทุ่งสง และเขาพังไกร อำเภอเบี้ยซัด อำเภอเบี้ยซัด ตั้งขึ้นโดยรวบรวมหัวเมืองฝ่ายขวา 4 ตำบล คือเมืองพนัง พิเชียร ที่ตรง และที่เบี้ยซัด ตั้งเป็นอำเภอเมื่อพุทธศักราช 2440 นายอำเภอคนแรกคือหลวงพิบูลย์สมบัติ ที่ว่าการอำเภอชั่วคราวตั้งที่โรงสีเอี่ยมเส็ง ตำบลปากพนัง แล้วย้ายไปตั้งที่ตลาดสด ครั้งที่ 3 ย้ายมาตั้งที่กองกำกับตำรวจน้ำปากพนัง ความในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ 9 กรกฎาคม ร.ศ.124 ว่า “วันที่ 9 กรกฎาคม รัตนโกสินทรศก 124 ถึงมกุฎราชกุมาร ในที่ประชุมรักษาพระนคร เพื่อจะให้รายงานการที่มาเที่ยวครั้งนี้ให้สำเร็จบริบูรณ์ตามที่ควรจะบอก จึงเขียนบอกฉบับนี้อีกฉบับหนึ่ง แม่น้ำปากพนังใหญ่เท่าเจ้าพระยา วันที่ 8 เวลาเช้า 3 โมง ได้ลงเรือมาด (ไม่ใช่เพราะน้ำตื้น แต่เพราะเพื่อจะหาความสุข) เรือไฟเล็กลากออกมาจากเรือมหาจักรี ที่จอดอยู่ในเมืองปากพนัง ซึ่งอยู่ท้ายอ่าวตะลุมพุกนี้ 3 ชั่วโมงหย่อน ถึงปากพนัง แม่น้ำโตราวสักแม่น้ำเจ้าพระยากรุงเทพฯ บ้านนายอำเภอตั้งอยู่ใกล้ปากน้ำ ต่อนั้นขึ้นไปเป็นบ้านเรือนทั้งสองฟากแน่นหนา เพราะมีพลเมืองถึง 46,000 คนเศษ มีจีนมาก เป็นจีนไหหลำเป็นพื้น รองจำนวนจีนไหหลำเป็นจีนฮกเกี้ยน แต้จิ๋วมีน้อย เสียงจุดประทัดสนั่นไป ที่ว่าการอำเภอหลังเก่า มีเรือยาวสำปั้นราษฎรลงมารับที่ปากอ่าวประมาณสัก 80 ลำ โห่ร้องตามมาสองข้าง ได้ขึ้นไปตามลำน้ำหลายเลี้ยว จึงถึงโรงสีไฟจีนโค้วหักหงี ซึ่งตั้งชื่อใหม่ (คือโรงสีไฟยี่ห้อเตาเซ้ง) มีความปรารถนาจะให้เปิดโรงสีนั้น เมื่อไปถึงจีนหักหงี น้อง แลบุตรหลายคนและราษฎรซึ่งอยู่ในคลองริมโรงสีนั้นเป็นอันมาก ได้ต้อนรับโดยแข็งแรง ตั้งแต่ไปจากเรือมหาจักรีจนถึงโรงสีนั้นกินเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ได้ขึ้นเดินดูโรงสีทั่วไป และไต่ถามถึงการงานที่ค้าขายแล้ว กลับมาขึ้นที่บ้านนายอำเภอ เพราะที่ว่าการอำเภอเก่าตั้งอยู่เหนือน้ำขึ้นไป ที่ว่าการอำเภอใหม่ทำยังไม่แล้ว หลังที่ทำใหม่นี้เท่ากับที่ว่าการอำเภอเมืองตานี กินข้าวบนเรือนนั้น จีนหักหงีเลี้ยงเกาเหลาอย่างจีน ข้าหลวงเทศาภิบาลเลี้ยงอย่างไทย ไทย จีน แขก แล้วเดินไปดูร้านซึ่งข้าราชการและราษฎรมาตั้งอย่างขายของ แต่ที่แท้เป็นของถวายทั้งนั้น มีพันธุ์ข้างต่าง ๆ น้ำตามต่าง ๆ เครื่องสาน ผลไม้ ขนม ยา เลี้ยงขนเรือที่ไป พวกราษฎรเฝ้าพร้อมกันทั้งบกทั้งน้ำแน่นหนามาก บรรดาการเล่นอันมีอยู่ในตำบลนั้นได้มาเล่นทั้งไทย จีน แขก เวลาบ่าย 3 โมงเครึ่ง จึงได้ลงเรือมหาจักกรีเกือบจะ 2 ทุ่ม ปากแพรก อำเภอปากพนังนี้ ได้ทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นที่สำคัญอย่างไร แต่เมื่อไปถึงที่ยังรู้สึกว่าตามที่คาดคะเนนั้นผิดไปเป็นอันมาก ไม่นึกว่าจะใหญ่โตมั่งมีถึงเพียงนี้ น้ำตื้นมีอยู่แต่ที่ตอนปากน้ำประมาณ 200 เส้น เข้าข้างในน้ำลึกตลอด จนถึงหน้าโรงสีน้ำยังลึกถึง 3 วา ถ้าเวลาน้ำมากเรือขนาดพาลีและสุครีพเข้าไปได้ ต่อโรงสีขึ้นไปไม่มากถึงปากแพรก ซึ่งเป็นแม่น้ำสองแยก ๆ หนึ่งเลียบไปตามทะเลถึงตำบลทุ่งพังไกร ซึ่งเป็นที่นาอุดมดี ข้างจีนกล่าวกันว่าดีกว่านาคลองรังสิต และมีที่ว่างเหลืออยู่มาก จะทำนาขึ้นได้ใหม่กว่าที่มีอยู่แล้วเดี๋ยวนี้อีก 10 เท่า เขากะกำลังทุ่งนั้นว่า ถ้ามีนาบริบูรณ์จะตั้งโรงสีได้ประมาณ 10 โรง ขาดแต่คนเท่านั้น นาทั้งมณฑลนครศรีธรรมราชไม่มีที่ไหนสู้ ลำน้ำนั้นเรือกลไฟขนาดศรีธรรมราชขึ้นไปได้ตลอดถึงพังไกรเวลาหน้าแล้ง ต่อพังไกรไปเป็นลำคลองเล็ก แต่ถ้าหน้าน้ำเรือศรีธรรมราชไปได้ถึงอำเภอระโนด แขวงสงขลา ตกทะเลสาบ คลองอีกแยกหนึ่งแต่ปากแพรกนั้น ไปทิศตะวันตกถึงอำเภอปราน ที่อำเภอปรานนี้มีไม้เคี่ยม ไม้ตะเคียน และไม่กระยาเลยต่าง ๆ จีนหักหงีได้ขออนุญาตตั้งโรงเลื่อยจักรขึ้นที่ริมโรงสีไฟใช้หม้ออันเดียวกัน แต่ยังไม่ได้ตั้งเครื่อง มีไม้จอดอยู่ริมตลิ่งมาก ทางไปอำเภอกลางเมือง มาตามคลองปากพญาแล้วมาคลองบางจาก ออกทะเลหน่อยหนึ่งจงเข้าปากพนัง แต่พระยาสุขุมฯ ได้ขุดคลองตั้งแต่ระหว่างหมู่บ้านคนไปถึงคลองบางจาก เดินทางในมีเรือลูกค้ามาแต่กลางเมืองและร่อนพิบูลย์จอดอยู่หลายร้อยลำ ในลำนั้นมเรือกำปั่นแขก สำเภาจีนค้าขายทอดอยู่กลางน้ำเกือบ 30 ลำ เหล่านี้มาแต่เมืองสิงคโปร์และเมืองแขกโดยมาก ห้างอีสต์อินเดียตั้งเอเย่นไว้สำหรับรับสินค้าไปบรรทุกลงเรือเมล์ด้วยเหมือนกัน ข้าวกลับไปเข้ากรุงเทพฯ ก็มี เพราะเหตุแต่ก่อนมีแต่ลำฝั่งน้ำตลอดมีหลายสิบโรง เมื่อจะคิดว่าตำบลนี้มีราคาเท่าใด เทียบกับเมืองสงขลา เงินผลประโยชน์แต่อำเภอเดียวนี้ น้อยกว่าเมืองสงขลาอยู่ 20,000 บาทเท่านั้น บรรดาเมืองท่าในแหลมมลายูฝั่งตะวันออก เห็นจะไม่มีแห่งใดดีเท่าปากพนัง มีขัดก็แต่ปากอ่าวตื้นเรือใหญ่เข้าไม่ได้ พวกลูกค้ามีความประสงค์ที่จะให้ขุดมาก จีนหักหงีนี้เองได้ยื่นเรื่องราวว่า ถ้าจะขุด ตัวจะขอออกเงินให้ 80,000 บาท พวกจีนลูกค้าที่นี่เห็นพร้อมกันว่าจะต้องขุดทุกปียอมให้เก็บค่าขุดตามกำลังเรือ เพราะเหตุว่าเวลานี้ลำบากด้วย เครื่องลำเลียงข้าวมาบรรทุกเรือใหญ่เสียค่าจ้างเป็นอันมาก โดยจะต้องเสียค่าขุดยังจะถูกกว่าค่าจ้างเรือลำเลียง และขอให้ปิดคลองบางจากซึ่งเป็นทางน้ำเค็มเข้าคลองสุขุมนั้นเสีย น้ำในคลองนั้นจะแรงขึ้นอีก และจะได้น้ำจืดมาใช้ในปากพนัง ตำบลปากพนังนี้คงเป็นท่าเรือของเมืองนครศรีธรรมราช ปากอื่น ๆ ปิดหมดอยู่เองเพราะเข้าออกลำบาก ตำบลนี้ลำบากอยู่แต่ด้วยน้ำ ถ้าขุดบ่อในที่ซึ่งเป็นดินเลนใกล้แม่น้ำ ๆ เปรี้ยวใช้ไม่ได้ ถ้าออกไปขุดริมชายทะเล ห่างทะเลขึ้นมาสัก 30 เส้น กลับได้น้ำจืด แต่ระยะทางไกล เดี๋ยวนี้ราษฎรได้อาศัยน้ำในคลองสุขุม แต่น้ำคลองบางจากมักทำให้เค็ม จึงอยากขอปิดคลองบางจากนั้น
การปิดคลองบางจาก นึกมีบ้านที่จะต้องลำบากอยู่ตำบลเดียว เพราะอยู่ปากคลองสุขุมออกมา เขากล่าวติเตียนกันอยู่ว่า จีนที่มาอยู่แต่ก่อนเป็นพวกไหหลำมาก มักไม่ใคร่จะคิดทำการหาเงินใหญ่โต ได้ประมาณพันหนึ่งสองพันเหรียญก็กลับบ้าน แต่บัดนี้จีนแต้จิ๋วกำลังรู้ว่าที่นี้ดี เห็นจะมีมาอีกมาก ไม่ช้าตำบลนี้จะเจริญใหญ่โตสู้เมืองสงขลาได้ในทางผลประโยชน์ ทุกวันนี้มีแต่โทรศัพท์ พวกลูกค้าจีนต้องการจะให้มีโทรเลข ถ้าจะมีผู้อื่นใช้โทรเลขนอกราชการแล้ว จะมีที่นี่มากกว่ากลางเมือง อนึ่งดินที่นี่ดี เผาอิฐแกร่งเหมือนอิฐสงขลา ที่ว่าการอำเภอหลังใหญ่ ซึ่งทำใหม่ได้ใช้เงินงบประมาณ 2,000 บาท นอกนั้นใช้แรงคนโทษซึ่งจ่ายมาแต่เมืองนครศรีธรรมราชทำอิฐ ราษฎรพากันมาแลกสิ่งของซึ่งต้องการเป็นไม้เป็นเหล็ก แรงที่ทำใช้แรงคนโทษ พื้นล่างเสาก่ออิฐ ข้างบนเป็นไม้มึงจาก ยังขาดแต่ฝาไม่แล้วเสร็จ แต่ถึงว่ามีสิ่งที่ดีอยู่หลายอย่างเช่นนี้ ก็มีสิ่งที่ไม่ดีคือยุงชุมเกินประมาณ” ที่ว่าการอำเภอดังกล่าวนี้ปรากฏว่าได้เกิดไฟไหม้ 2 ครั้ง ครั้งหลังสุดเกิดไฟไหม้เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2494 จึงได้ย้ายที่ว่าการอำเภอไปสร้างในที่ใหม่คือที่ตั้งที่ว่าการอำเภอปัจจุบัน ริมถนนสายปากพนัง – ชายทะเล หมู่ที่ 3 ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก เขตการปกครองของอำเภอปากพนัง เมื่อตั้งเป็นอำเภอครั้งแรกได้รวมท้องที่อำเภอเชียรใหญ่ด้วย ช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงเขตการปกครอง กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเปลี่ยนชื่อ “อำเภอเบี้ยซัด” เป็น “อำเภอปากพนัง” เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2460 - พ.ศ. 2467 ลดฐานะอำเภอเขาพังไกร ลงเป็นกิ่งอำเภอ เรียกว่า “กิ่งอำเภอหัวไทร” ให้ขึ้นอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอปากพนัง - พ.ศ. 2480 แบ่งท้องที่ด้านทิศใต้ของอำเภอปากพนังตั้งเป็นกิ่งอำเภอเรียกชื่อว่า “กิ่งอำเภอเชียรใหญ่” ในเขตการปกครองของอำเภอปากพนัง - พ.ศ. 2481 ยกฐานะกิ่งอำเภอหัวไทรเป็น “อำเภอหัวไทร” แยกออกจากการปกครองของอำเภอปากพนัง - พ.ศ. 2490 ยกฐานะกิ่งอำเภอเชียรใหญ่เป็น “อำเภอเชียรใหญ่” แยกออกจากการปกครองของอำเภอปากพนัง - กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเปลี่ยนชื่อ “อำเภอเบี้ยซัด” เป็น “อำเภอปากพนัง” เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2460
นามสถาน "ปากพนัง" มีกล่าวถึงในตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ตอนหนึ่งว่า "ครั้งนั้นยังมี(ขาวอริยพงศ์ อยู่เมืองหงษาวดีกับคน 100 หนึ่ง พาพระบตไปถวายพระบาทในเมืองลังกา ต้องลมภัยสำเภาแตกซัดขึ้นปากพนัง พระบตขึ้นปากพนังชาวปากพนังนำพามาถวาย" ตำนานฉบับดังกล่าวพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกงรณ์ ได้ทรงตรวจสอบทั้งเนื้อหาและปีที่บอกแล้ว ทรงวินิจฉัยว่าแต่งในแผ่นดินพระนารายณ์เชื่อถือได้อันนี้จึงเป็นหลักฐาน "คำปากพนัง" (พ.ศ.2199-2231) และสอดคล้องกับตำนานเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อพระพนมวัง และนางสะเดียงทองออกไปสร้างเมืองนครดอนพระ เมื่อ (มหา) ศักราช 1588 ปีมะเมีย ซึ่งตรงกับ พ.ศ.2209) ที่มีการสร้างป่าเป็นนาในท้องที่เมืองนครศรีธรรมราช (ทั้งบริเวณท่าศาลา สิชล ขนอมและว่า "แลนายสมิงคโตพรมนา ซึ่งเสียเรือแลมาอยู่เมืองนคร แลให้นางพทองเป็นเมีย ให้เป็นผขาวอริยพงศ์ อยู่รักษาพระมหาธาตุในเมืองนครแล" นับแต่แผ่นดินพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199-2231) มาจนถึงรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มีการบ่งถึงความสำคัญของเมืองนครศรีธรรมราชด้านยุทธการกองทัพมีการเกณฑ์ข้าราชการเมืองนี้ให้ต่อเรือรบเพิ่มเติม ซึ่งพออนุมานได้ว่า "ปากพนัง" คือ แหล่งที่มีบทบาทด้านนี้ของเมืองนครศรีธรรมราชเพราะมีทำเลเหมาะสมที่จะมีบทบาททางยุทธนาวี ในสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ.2354 ปรากฎว่าการปกครองของเมืองนคศรีธรรมราชแบ่งเป็นกรมได้ 21 กรม หัวเมืองมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงเพชรกำแพงสงครามรัตนบุรี ครั้นถึง พ.ศ.2439 (ในรัชกาลที่ 5) ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ให้มีหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และเมืองบรรดาเขตปกครองต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว คือที่เมืองพนัง ที่เบี้ยซัด รวมเรียกว่า "อำเภอเบี้ยซัด" ขึ้นแก่จังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอเบี้ยซัด ตั้งที่ว่าการที่ริมแม่น้ำปากพนัง มีหลวงพิบูลย์สมบัติ ข้าหลวงผู้ช่วยว่าที่นายอำเภอ เริ่มตั้งต้นทำการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ร.ศ.115 (พ.ศ.2439) ปรากฎตามรายงานตามรายงานราชการมณฑลนครศรีธรรมราชของพระยาสุขุมนัยวินิต ข้าหลวงเทศบาลภิบาลว่า อำเภอเบี้ยซัด เมื่อ ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) มีกำนัน 31 คน มีผู้ใหญ่บ้าน 370 คน มี 514 หมู่บ้าน มี 6,755 หลังคาเรือน มีราษฎรชายหญิงรวม 34,685 คน และมีราษฎร มากเป็นอันดับที่ 2 ของจังหวัดนี้ คือรองจากอำเภอกลางเมืองซึ่งมีราษฎรทั้งชายหญิงรวม 43,267 คนสาเหตุที่เรียกว่าอำเภอเบี้ยซัดนั้นเล่ากันว่า เพราะบริเวณฝั่งน้ำปากพนัง เป็นทีที่คลื่นซัดเอาเปลืกหอยเบี้ยหอยจากท้องทะเลขึ้นตรงนั้นและที่เบี้ยซัดนี้แผ่นดินได้ตั้งกรมการผู้ปกครองที่ขึ้นไว้ดูแล คือผู้ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นบรรดาศักดิ์เป็นเมืองรามธานีแม้ว่าชื่อทางราชการเป็นอำเภอเบี้ยซัด แต่ราชการในท้องที่เรียกว่า อำเภอปากพนัง จนถึงวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2445 จึงมีพระบรมราชโองการให้เปลี่ยนชื่ออำเภอเบี้ยซัดเป็น "อำเภอปากพนัง" อำเภอปากพนังเป็นศูนย์กลางของความเจริญแห่งหนึ่งของภาคใต้ เป็นเมืองท่า เป็นศูนย์กลางการค้าขาย และศูยน์กลางคมนาคม ในด้านการศาลยุติธรรม หลังจากมีการจัดระเบียบศาลเพื่อใช้ทั่วราชอาณาจักรแล้ว ได้มีแจ้งความกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2448 ว่า "ด้วยข้าหลวงเทศบาลภิบาลและอธิบดีผู้พิพากษามณฑนนครศรีธรรมราช มีใบบอกมาว่าอำเภอปากพนังและอำเภอเขาพังไกร แขวงเมืองนครศรีธรรมราช เป็นท้องถิ่นอันกว้างขวาง มีพลเมืองมากสมควรตั้งศาลขึ้นที่ตำบลปากพนัง สำหรับคดีที่เกิดขึ้นใน 2 อำเภอนี้ โปรกเกล้าฯ พระราชพระบรมราชานุญาตแล้ว ศาลปากพนังนี้มีอำนาจเหมือนศาลเมืองตามพระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลหัวเมือง" ด้านการทำถนนและขุดคลอง ปรากฎตามรายงานนาชการมณฑลนครศรีธรรมราช ร.ศ.117 ของพระยาสุขุมนัยวินิต ข้าหลวงเทศาภิบาลว่า ในปี ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) "ได้ตัดถนนขึ้นที่ริ่มฝั่งแม่น้ำพนังตะวันออก ส่วนการขุดคลองปรากฎตามรายงานว่า "ที่ปากพนังนี้น้ำเค็ม ราษฎรที่อยู่แทบนี้ต้องไปตักน้ำที่บางจาก การขุดคลองจะมีประโยชน์คือ ประการที่ 1 จะได้น้ำจืดมาที่แม่น้ำปากพนัง ให้ราษฎรได้น้ำจืดใช้ได้ง่ายกว่านี้ประการหนึ่ง ประการที่ 2 น่าคลื่นลมจัด เรือลูกค้าพานิชแลราษฎรที่มาจากกลางเมือง จะได้มาคลองทางนี้ ไม่ต้องออกทะเลประการหนึ่ง ประการที่ 3 จะได้ที่นาสวนริมสองฝั่งคลองอีกหลายพันไร่ ตามหนังสือราชปลัดทูลฉลองที่ 790/7290 ลงวันที่ 5 มกราคม ร.ศ.119 บ่งว่า คลองปากพนังที่ขุดใหม่ระยะทาง 300 เมตร นั้นเรือสามารถแล่นได้ ไปแต่ปากพนังถึงเมืองนครศรีธรรมราช ไม่ต้องออกทะเลก็ได้ ส่วน 2 ข้างคลองราษฎรจับจองเป็นที่นา สถานที่ตั้งที่ว่าการอำเภอปากพนังเดิมตั้งอยู่ที่โรงสีเอี่ยมสิน ในเขตเทศบาลเมืองปากพนัง ต่อมาในสมัยหลวงสินธุสงครามชัยเป็นนายอำเภอ ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอไปตั้งที่คลองบางลำ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งตลาดสดเทศบาลเมืองปากพนัง และต่อมาในสมัยพระวิชิตสรไกร (เอี่ยม ขัมพานนท์) เป็นนายอำเภอได้ย้ายที่ว่าการอำเภอไปตั้งที่ริมคลองบางฉนากด้านใต้ ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ว่าการด่านตำรวจน้ำและต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2496 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอไปตั้งที่หมู่ 3 ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออกตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เหตุที่ต้องย้ายในครั้งหลังสุดเพราะเกิดไฟไหม้อาคาร ที่ว่าการประกอบกับที่ตั้งเก่าคับกับที่ตั้งเก่าคับแคบและและอยู๋ใกล้ฝั่งแม่น้ำถูกน้ำเซาะอำเภอปากพนัง เป็นอำเภอที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและด้านยุทธนาวีเมืองนครศรีธรรมราชมาแต่อดีตดังเช่นปรากฎตามใบบอกของพระยาสุขุมนัยวินิต เทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชว่า เมื่อปี ร.ศ. 116 (พ.ศ.2440) ว่า "ข้าวเปลือกในแขวงอำเภอเขาพังไกรและเบี้ยซัดมีมาก ซึ่งราษฎรพามาจำหน่ายที่ปากพนัง ลงเรือไปเมืองสิงคโปร์ เมืองแขกบ้าง กรุงเทพฯ บ้าง"
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดปกครองท้องที่ให้มีมณฑลเทศาภิบาลใน ร.ศ. 114 อำเภอปากพนังมีชื่อว่า อำเภอเบี้ยซัด หมายถึง สถานที่ที่คลื่นซัดเอาหอยเบี้ยจากทะเลเข้าสู่หาด ซึ่งสมัยโบราณใช้หอยเบี้ยเป็นเงินตราแลกเปลี่ยนสินค้า และในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2445 ได้มีพระบรมราชโองการให้เปลี่ยนชื่ออำเภอเบี้ยซัด เป็น อำเภอปากพนัง เมืองปากพนัง เป็นเมืองท่ามาตั้งแต่ครั้งอดีต เป็นศูนย์กลางทางการค้าและเศรษฐกิจที่สำคัญ เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศเป็นแหลมยื่นออกไปในทะเล และมีอ่าวภายในบริเวณปากแม่น้ำปากพนัง เหมาะแก่การเดินเรือและการกระจายสินค้าต่อไปยังหัวเมืองสำคัญอื่น ๆ ทำให้สภาพเศรษฐกิจในสมัยก่อนเฟื่องฟูมาก เนื่องจากมีสำเภาจากเมืองจีนและเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่มาเทียบท่าและกระจายสินค้า และนอกจากนี้ยังปรากฏในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวเสด็จเยือนปากพนัง เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2448 ความตอนหนึ่งว่า "อำเภอปากพนังนี้ ได้ทราบอยู่แล้วว่าเป็นที่สำคัญอย่างไร แต่เมื่อไปถึงฝั่งรู้สึกว่าตามที่คาดคะเนนั้น ผิดไปเป็นอันมาก ไม่นึกว่าจะใหญ่โตมั่งมีถึงเพียงนี้" และอีกตอนหนึ่งว่า "เมื่อจะคิดว่าตำบลนี้มีราคาอย่างไรเทียบกับเมืองสงขลา เงินผลประโยชน์แต่อำเภอเดียวนี้ น้อยกว่าเมืองสงขลาอยู่ 20,000 บาทเท่านั้น บรรดาเมืองท่าในแหลมมาลายูฝั่งตะวันออก เห็นจะไม่มีแห่งใดดีเท่าปากพนัง" -วันที่ 15 มีนาคม 2445 เปลี่ยนแปลงชื่ออำเภอเบี้ยซัด จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็น อำเภอปากพนัง -วันที่ 23 กรกฎาคม 2448 จัดตั้งศาลอำเภอปากพนัง (ศาลจังหวัดปากพนัง) ในท้องที่อำเภอปากพนัง แขวงเมืองนครศรีธรรมราช มีเขตตลอดท้องที่อำเภอปากพนัง และ อำเภอพังไกร (อำเภอหัวไทร) และให้มีอำนาจเทียบเท่าศาลหัวเมือง (ศาลจังหวัด) -วันที่ 16 กันยายน 2466 ยุบอำเภอหัวไทร ลงเป็น กิ่งอำเภอหัวไทร และกำหนดให้ขึ้นการปกครองกับอำเภอปากพนัง -วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2480 แยกพื้นที่ตำบลท้องลำเจียก ตำบลดอนตรอ ตำบลเชียรเขา ตำบลการะเกด ตำบลท่าขนาน ตำบลบ้านเนิน ตำบลเขาพระบาท ตำบลเสือหึง ตำบลบ้านกลาง และตำบลเชียรใหญ่ จากอำเภอปากพนัง ไปตั้งเป็น กิ่งอำเภอเชียรใหญ่[4] และกำหนดให้ขึ้นการปกครองกับอำเภอปากพนัง -วันที่ 14 มีนาคม 2480 จัดตั้งเทศบาลเมืองปากพนัง ในท้องที่บางส่วนของตำบลปากพนัง ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก ตำบลปากพนังฝั่งตะวันตก ตำบลบางพระ และตำบลหูล่อง -วันที่ 2 สิงหาคม 2480 ยกฐานะจากกิ่งอำเภอหัวไทร อำเภอปากพนัง เป็น อำเภอหัวไทร ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหัวไทร ตำบลหน้าสตน ตำบลบางนบ ตำบลบ้านราม ตำบลบางพูด ตำบลท่าซอม ตำบลทรายขาว ตำบลเขาพังไกร และตำบลแหลม -วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2481 ตั้งตำบลไสหมากแยกออกจากตำบลบางตะพง และโอนพื้นที่ไปขึ้นกับกิ่งอำเภอเชียรใหญ่ กับตั้งตำบลชะเมาแยกออกจากตำบลดอนตรอ และโอนพื้นที่มาขึ้นกับอำเภอปากพนัง -วันที่ 10 มิถุนายน 2490 ตั้งตำบลบ้านใหม่แยกออกจากตำบลคลองกระบือ ตั้งตำบลเกาะทวดแยกออกจากตำบลชะเมา ตั้งตำบลท่าพญาแยกออกจากตำบลบ้านเพิง ตั้งตำบลบางตะพง แยกออกจากตำบลบางศาลา ตั้งตำบลปากพนังฝั่งตะวันออกและตำบลบางพระแยกออกจากตำบลบางฉนาก ตั้งตำบลปากพนังฝั่งตะวันตกแยกออกจากตำบลบางทวด ตั้งตำบลบ้านกลางแยกออกจากตำบลท่าขนาน และตำบลบ้านเนิน -วันที่ 21 ตุลาคม 2490 ยกฐานะกิ่งอำเภอเชียรใหญ่ อำเภอปากพนัง เป็น อำเภอเชียรใหญ่ -วันที่ 31 พฤษภาคม 2492 ตั้งตำบลแหลมตะลุมพุก แยกออกจากตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก -วันที่ 1 มีนาคม 2501 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลขนาบนาก ในท้องที่ตำบลขนาบนาก -วันที่ 30 ธันวาคม 2536 เปลี่ยนแปลงเขตเทศบาลเมืองปากพนัง เพื่อความเหมาะสมในการบริหารกิจการและการทะนุบำรุงท้องถิ่น -วันที่ 24 กรกฎาคม 2544 เปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลจังหวัดปากพนัง ให้ศาลจังหวัดปากพนังมีเขตอำนาจตลอดท้องที่อำเภอปากพนัง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเชียรใหญ่ และอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากมีการตั้งอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีเขตการปกครองตลอดท้องที่ตำบลเชียรเขา ตำบลดอนตรอ ตำบลสวนหลวง ซึ่งเดิมอยู่ในเขตการปกครองท้องที่ของอำเภอเชียรใหญ่ และอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดปากพนัง และตำบลทางพูน ซึ่งเดิมอยู่ในเขตการปกครองท้องที่ของอำเภอร่อนพิบูลย์ และอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดทุ่งสง จึงสมควรเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลจังหวัดปากพนัง โดยให้ศาลจังหวัดปากพนังมีเขตอำนาจตลอดท้องที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติด้วย -วันที่ 24 กันยายน 2547 ยุบองค์การบริหารส่วนตำบลบางตะพง รวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลบางศาลา -วันที่ 7 กันยายน 2555 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะทวด ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลเกาะทวด -วันที่ 6 กันยายน 2556 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลชะเมา ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลชะเมา -วันที่ 19 ธันวาคม 2556 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลบางพระ ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลบางพระ ที่ตั้งและอาณาเขต อำเภอปากพนังตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ทิศตะวันออก ติดต่อกับอ่าวไทย ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอหัวไทร อำเภอเชียรใหญ่ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เหตุการณ์สำคัญ (1).พายุโซนร้อนแฮเรียต เป็นพายุที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเมื่อเดือนตุลาคม ปีพ.ศ. 2505 พายุโซนร้อนแฮเรียตพัดขึ้นฝั่งที่แหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นยังคงเป็นที่จดจำมาถึงทุกวันนี้ (2).พายุโซนร้อนปาบึก (พ.ศ. 2562) (T1901, 36W) – พายุลูกแรกของปี 2562 ที่พัดขึ้นฝั่งที่อำเภอปากพนังจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2562 ส่งผลให้มีฝนตกหนัก ลมแรงและคลื่นสูงในพื้นที่ภาคใต้และบ้านเรือนของชาวบ้านได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก การแบ่งเขตการปกครอง การปกครองส่วนภูมิภาค อำเภอปากพนังแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 18 ตำบล 143 หมู่บ้าน ได้แก่ 1. ปากพนัง 2. คลองน้อย 3. ป่าระกำ 4. ชะเมา 5. คลองกระบือ 6. เกาะทวด 7. บ้านใหม่ 8. หูล่อง 9. แหลมตะลุมพุก 10. ปากพนังฝั่งตะวันตก 11. บางศาลา 12. บางพระ 13. บางตะพง 14. ปากพนังฝั่งตะวันออก 15. บ้านเพิง 16. ท่าพยา 17. ปากแพรก 18. ขนาบนาก การปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่อำเภอปากพนังประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 17 แห่ง ได้แก่ เทศบาลเมืองปากพนัง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลปากพนังทั้งตำบล รวมทั้งบางส่วนของตำบลหูล่อง ตำบลปากพนังฝั่งตะวันตก ตำบลบางพระ และตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก เทศบาลตำบลเกาะทวด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเกาะทวดทั้งตำบล เทศบาลตำบลชะเมา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลชะเมาทั้งตำบล เทศบาลตำบลบางพระ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางพระ (นอกเขตเทศบาลเมืองปากพนัง) องค์การบริหารส่วนตำบลคลองน้อย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลคลองน้อยทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลป่าระกำ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลป่าระกำทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลคลองกระบือ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลคลองกระบือทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านใหม่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านใหม่ทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลหูล่อง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหูล่อง (นอกเขตเทศบาลเมืองปากพนัง) องค์การบริหารส่วนตำบลแหลมตะลุมพุก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแหลมตะลุมพุกทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลปากพนังฝั่งตะวันตก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลปากพนังฝั่งตะวันตก (นอกเขตเทศบาลเมืองปากพนัง) องค์การบริหารส่วนตำบลบางศาลา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางศาลาและตำบลบางตะพงทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก (นอกเขตเทศบาลเมืองปากพนัง) องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเพิง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านเพิงทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลท่าพญา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลท่าพยาทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลปากแพรก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลปากแพรกทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลขนาบนาก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลขนาบนากทั้งตำบล ที่มา นครศรีธรรมราช, จังหวัด. (2527). ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดนครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช: จังหวัดนครศรีธรรมราช. สืบค้น https://nakhonsistation.com/ประวัติอำเภอปากพนัง https://th.wikipedia.org https://www.tungsong.com/Nakorn/Old/Pakpanung.html

19 มกราคม, 2568

ประวัติอำเภอทุ่งสง

คำขวัญ: ถ้ำตลอดงามตระการ อุทยานน้ำตกโยง โรงงานมากมี สถานีชุมทาง ศูนย์กลางราชการ ทรงประทานพระคู่เมือง ลือเลื่องแม่กวนอิม
ทุ่งสง เป็นอำเภอที่มีความเจริญเป็นอันดับสองของจังหวัดนครศรีธรรมราช[ต้องการอ้างอิง] รองจากอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่ตรงกลางของภาคใต้และเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคมทางบกทั้งรถยนต์และรถไฟ อำเภอทุ่งสงมีประวัติความเป็นมายาวนาน ปรากฏตามตำนานเมืองนครศรีธรรมราชว่าเคยเป็นแขวงขึ้นอยู่ในปกครองของเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากมณฑล เป็นจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2440 ได้จัดตั้งเป็นอำเภอทุ่งสงขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ตั้งและอาณาเขต อำเภอทุ่งสงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ห่างจากศูนย์กลางของจังหวัดประมาณ 60 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอและจังหวัดข้างเคียงดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอนาบอน อำเภอช้างกลาง และอำเภอลานสกา ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอร่อนพิบูลย์และอำเภอจุฬาภรณ์ ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอชะอวด อำเภอป่าพะยอม (จังหวัดพัทลุง) อำเภอห้วยยอด และอำเภอรัษฎา (จังหวัดตรัง) ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอบางขันและอำเภอทุ่งใหญ่ ภูมิอากาศ ลักษณะภูมิอากาศของอำเภอทุ่งสง สามารถแบ่งออกได้ 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนฤดูมรสุม หลังจากสิ้นฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว อากาศจะเริ่มร้อนจัดที่สุดในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย ทำให้ฝนตกทั่วไป ในช่วงฤดูฝนยังมีช่วงความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคใต้เป็นระยะ ๆ อีกด้วย ดังนั้นจึงทำให้ฝนตกมาก และเนื่องจากจังหวัดนครศรีธรรมราชตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของภาคใต้ จึงทำให้ได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านอ่าวไทยอย่างเต็มที่ ทำให้ฝนตกมากในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ด้วยเหตุนี้ อำเภอทุ่งสงจึงไม่มีหน้าหนาว มีเพียงฤดูร้อน และฤดูฝนที่ยาวนานมาก ประวัติ พ.ศ. 1588 เจ้าศรีราชา ได้ยกพลจากเมืองเวียงสระ มาอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นเมืองร้างในขณะนั้น และได้ให้ไพร่พลได้แผ้วถางป่าให้เป็นนา และตั้งเมืองมานั้นแต่นั้น พ.ศ. 2354 ในสมัยรัชกาลที่ 2แห่งราชวงศ์จักรี ได้แบ่งการปกครองพื้นที่เมืองทุ่งสงออกเป็น 4 แขวง พ.ศ. 2440 เมื่อเปลี่ยนระบบการปกครองจากระบบมณฑลเป็นระบบจังหวัด ได้รวบรวมพื้นที่จัดตั้งอำเภอทุ่งสงเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีการปกครองแบ่งเป็น 22 ตำบล พ.ศ. 2449 เนื่องด้วยพื้นที่ของอำเภอทุ่งสงมีขนาดใหญ่มาก ไม่สะดวกต่อการปกครอง ทางการได้แยกตำบลลำทับไปขึ้นกับอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ และแยกพื้นที่บางส่วนของอำเภอทุ่งสงออกไปจัดตั้งเป็นอำเภอทุ่งใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยตำบลท่ายาง ตำบลทุ่งใหญ่ ตำบลกุแหระ ตำบลปริก ตำบลทุ่งสังข์ พ.ศ. 2474 เนื่องจากพื้นที่ส่วนราชการคับแคบลง จึงได้ย้ายที่ว่าการอำเภอออกไปยังพื้นที่ใหม่ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอทุ่งสงมาตราบจนทุกวันนี้ ส่วนที่ว่าการอำเภอเดิมนั้นปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักงานเทศบาลเมืองทุ่งสง พ.ศ. 2482 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกทั่วภาคใต้ อำเภอทุ่งสงจึงเป็นสถานที่สำคัญในเป้าหมาย เพราะญี่ปุ่นได้วางแผนที่จะรวมพลที่อำเภอทุ่งสง และจะเคลื่อนพลเข้ากรุงเทพฯ โดยทางรถไฟ จึงทำให้สถานที่หลายแห่งได้รับความเสียหายจากระเบิด โดยเฉพาะสถานีรถไฟร่องรอยจากระเบิดพอที่จะมีให้เป็นสระน้ำหลังสถานีรถไฟชุมทางทุ่งสง และลูกระเบิดที่ตั้งแสดงที่บันไดทางขึ้นที่ว่าการอำเภอ 2 ลูก นอกจากนี้วัดโคกหม้อเดิมได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดชัยชุมพล เนื่องจากมีการรวมพลทหารญี่ปุ่นกันที่วัด พ.ศ. 2483 ตำบลปากแพรกได้ยกฐานเป็นเทศบาลตำบลปากแพรก มีเนย ศิลปรัศมี เป็นนายกเทศมนตรีคนแรก แต่เนื่องด้วยในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น ได้มีการย้ายสถานีรถไฟชุมทางทุ่งสงจากพื้นที่ตำบลทุ่งสงมาตั้งอยู่ในตำบลปากแพรก ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 30 กิโลเมตร จึงเป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่เรียกพื้นที่ตำบลปากแพรกว่า "ทุ่งสง" ตามชื่อสถานีรถไฟ พ.ศ. 2500 ได้เกิดอัคคีภัยในตลาดทุ่งสงครั้งใหญ่ เป็นเหตุให้บ้านเรือนถูกไฟเผาผลาญวอดวาย เศรษฐกิจจึงซบเซาอยู่ชั่วระยะหนึ่ง พ.ศ. 2518 ได้แยกตำบลนาบอน ตำบลทุ่งสง และตำบลนาโพธิ์บางส่วน ตั้งเป็นกิ่งอำเภอนาบอน ต่อมายกฐานะเป็นอำเภอนาบอน เมื่อ พ.ศ. 2524 พ.ศ. 2522 ได้แยกตำบลนาโพธิ์ ประกอบด้วยหมู่ที่ 1, 3, 7, 8 และ 9 ไปเป็นตำบลเขาขาว พ.ศ. 2527 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศแยกตำบลบางขัน ตำบลลำนาว และตำบลวังหิน เป็นกิ่งอำเภอบางขันและได้ยกฐานะเป็นอำเภอบางขันเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พ.ศ. 2547 เทศบาลตำบลปากแพรกได้รับการยกฐานะเป็นเทศบาลเมืองทุ่งสง เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2547 ความพยายามจัดตั้งจังหวัดทุ่งสง เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอญัตติขอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งจังหวัดสว่างแดนดินและจังหวัดทุ่งสง เนื่องจากระยะทางระหว่างอำเภอห่างไกลจากตัวจังหวัด เพื่อประโยชน์ในการปกครองและกระจายความเจริญ[1] การแบ่งเขตการปกครอง การปกครองส่วนภูมิภาค อำเภอทุ่งสงมีพื้นที่ประมาณ 802.977 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 501,860.02 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 8.08 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด ทั้งนี้จังหวัดนครศรีธรรมราชมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 9,942.50 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 6,214,064 ไร่ อำเภอทุ่งสงแบ่งเขตการปกครองตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ออกเป็น 13 ตำบล 124 หมู่บ้านได้แก่ 1. ปากแพรก 2. ชะมาย 3. หนองหงส์ 4. ควนกรด 5. นาไม้ไผ่ 6. นาหลวงเสน 7. เขาโร 8. กะปาง 9. ที่วัง 10. น้ำตก 11. ถ้ำใหญ่ 12. นาโพธิ์ 13. เขาขาว การปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่อำเภอทุ่งสงประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 13 แห่ง ได้แก่ เทศบาลเมืองทุ่งสง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลปากแพรกทั้งตำบล เทศบาลตำบลที่วัง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลที่วังทั้งตำบล เทศบาลตำบลชะมาย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลชะมายทั้งตำบล เทศบาลตำบลถ้ำใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลถ้ำใหญ่ทั้งตำบล เทศบาลตำบลกะปาง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลกะปางทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหงส์ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองหงส์ทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลควนกรด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลควนกรดทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลนาไม้ไผ่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาไม้ไผ่ทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลนาหลวงเสน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาหลวงเสนทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลเขาโร ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเขาโรทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำตก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลน้ำตกทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลนาโพธิ์ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาโพธิ์ทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลเขาขาว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเขาขาวทั้งตำบล แหล่งท่องเที่ยว ตำบลถ้ำใหญ่ น้ำตกโยง น้ำตกปลิว ถ้ำพระหอ เทศบาลเมืองทุ่งสง ถ้ำตลอด สวนสาธารณะพฤกษาสิรินธร ศาลเจ้าแม่กวนอิม สถานีรถไฟชุมทางทุ่งสง ตลาดชุมทางทุ่งสง ตลาดโต้รุ่ง การคมนาคม การคมนาคมขนส่งของอำเภอทุ่งสงเป็นการคมนาคมทางบก มีทางหลวงสายต่าง ๆ และทางรถไฟเป็นเส้นทางติดต่อกับชุมชนอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอกอำเภอทุ่งสงได้สะดวกโดยแยกออกเป็น ทางรถไฟ สถานีรถไฟชุมทางทุ่งสง นครศรีธรรมราช เนื่องจากอำเภอทุ่งสง เป็นที่ตั้งของสถานีชุมทางรถไฟ โดยมีชื่อว่า สถานีรถไฟชุมทางทุ่งสง ดังนั้นรถไฟโดยสารทุกขบวนที่เดินทางผ่านสถานีรถไฟชุมทางทุ่งสง จะต้องหยุดรับส่งผู้โดยสารที่สถานีรถไฟชุมทางทุ่งสงนี้ ทำให้การเดินทางโดยรถไฟมายังและจากอำเภอทุ่งสง ได้รับความสะดวกอย่างยิ่ง เนื่องจากมีรถไฟให้เลือกใช้บริการหลายขบวนต่อวัน อีกทั้งยังมีชั้นโดยสารให้เลือกใช้บริการที่หลากหลาย นอกจากนี้ สถานีรถไฟชุมทางทุ่งสง ยังเป็นจุดแวะเติมน้ำมันเชื้อเพลิง และน้ำที่ใช้บนขบวนรถไฟอีกด้วย ทางรถยนต์ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41 (ชุมพร-พัทลุง) เชื่อมอำเภอทุ่งสงเข้ากับอำเภอและจังหวัดใกล้เคียง เช่น อำเภอนาบอน อำเภอทุ่งใหญ่ อำเภอถ้ำพรรณรา อำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเป็นเส้นทางสายหลักสำหรับการเดินทางไป กรุงเทพมหานคร และ สงขลา ( หาดใหญ่ ) ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 403 (ต่อเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช-บรรจบทางของเทศบาลเมืองกันตัง) เริ่มจากเขตเทศบาลเมืองทุ่งสง ผ่านเทศบาลตำบลชะมาย เทศบาลตำบลที่วัง เทศบาลตำบลกะปาง ไปอำเภอรัษฎาและอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4110 (ทุ่งสง-พระแสง) เชื่อมการคมนาคมระหว่างอำเภอทุ่งสงกับอำเภอทุ่งใหญ่ โดยผ่านพื้นที่ของตำบลเขาขาว ตำบลนาโพธิ์ ตำบลควนกรด มาบรรจบกับ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41 ในหมู่ที่ 1 บ้านหนองหว้า ตำบลชะมาย ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4211 [ แยก ทางหลวงหมายเลข 41 (แก้วแสน) - นาบอน เชื่อมการคมนาคมระหว่างอำเภอทุ่งสงกับอำเภอนาบอน ผ่านตำบลหนองหงส์ และมาเชื่อมติดต่อกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41 ในหมู่ที่ 7 บ้านนาไม้ดัก ตำบลหนองหงส์ ทางรถประจำทางปรับอากาศ ทุ่งสง-นครศรีธรรมราช ทุ่งสง-สุราษฎร์ธานี ทุ่งสง-กระบี่-พังงา-ภูเก็ต กรุงเทพ-ทุ่งสง กรุงเทพ-ทุ่งสง-เชียรใหญ่ กรุงเทพ-ทุ่งสง-ตรัง-สตูล กรุงเทพ-ทุ่งสง-พัทลุง-สตูล ทางรถ ทุ่งสง-นครศรีธรรมราช ทุ่งสง-ตรัง รถตู้โดยสารประจำทางปรับอากาศ ทุ่งสง-นครศรีธรรมราช ทุ่งสง-ตรัง ทุ่งสง-ลำทับ-กระบี่ ทุ่งสง-หาดใหญ่ ทุ่งสง-สุราษฎร์ธานี ทุ่งสง-ทุ่งใหญ่ ที่มา นครศรีธรรมราช, จังหวัด. (2527). ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดนครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช: จังหวัดนครศรีธรรมราช. สืบค้น https://th.wikipedia.org

17 มกราคม, 2568

อำเภอร่อนพิบูลย์

คำขวัญ: อุดมสินแร่ เมืองแม่เศรษฐี ผลไม้พันธุ์ดี มีปศุสัตว์ เกจิหลวงพ่อ ใบพ้อสานพัด ดุกย่างรสจัด ทิวทัศน์รามโรม ร่อนพิบูลย์ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับการจัดตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2440 ประวัติ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีการจัดระเบียบการปกครองแผ่นดินเป็นแบบเทศาภิบาล ร่อนพิบูลย์เป็นแขวงหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นในมณฑลนครศรีธรรมราช โดยประกาศจัดตั้งเมื่อ พ.ศ. 2493 ต่อมาได้เปลี่ยนคำเรียกเขตการปกครอง จากแขวงเป็นอำเภอ อำเภอร่อนพิบูลย์ ได้ชื่อมาจาก "บ้านร่อน" ด้วยที่ราษฎรส่วนใหญ่มีอาชีพร่อนแร่ขาย เมื่อมีการจัดตั้งแขวงขึ้น จึงได้ใช้ชื่อว่า "ร่อนพิบูลย์" และยังมีความหมายบ่งบอกถึงดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยสินแร่ ซึ่งเดิมทีการทำเหมืองแร่เป็นประเภทเหมืองขุดเจาะ ครั้นถึง พ.ศ. 2440 สมัยรัชกาลที่ 5 กรุงรัตนโกสินทร์ ทางราชการได้จัดระเบียบการปกครองส่วนท้องที่ของเมืองนครศรีธรรมราชเสียใหม่ ตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 โดยแบ่งเขตปกครองเป็น 9 อำเภอ คือ อำเภอกลางเมือง อำเภอเบี้ยซัด อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอสิชล อำเภอลำพูน อำเภอฉวาง อำเภอทุ่งสง อำเภอเขาพังไกร และอำเภอกลาย พ.ศ. 2466 แยกพื้นที่ตำบลชะอวด ตำบลท่าประจะ ตำบลท่าเสม็ด ตำบลวังอ่าง และตำบลเคร็งจากอำเภอร่อนพิบูลย์ มาตั้งเป็น กิ่งอำเภอชะอวด และกำหนดให้ขึ้นการปกครองกับอำเภอร่อนพิบูลย์ พ.ศ. 2490 ตั้งตำบลควนชุม แยกออกจากตำบลควนพัง ตั้งตำบลเสาธง แยกออกจากตำบลหินตก ตั้งตำบลวังอ่าง แยกออกจากตำบลท่าประจะ ตั้งตำบลเคร็ง แยกออกจากตำบลท่าเสม็ด พ.ศ. 2492 โอนพื้นที่หมู่ที่ 6 (ในตอนนั้น) ของตำบลควนพัง อำเภอร่อนพิบูลย์ ไปขึ้นกับตำบลท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ พ.ศ. 2496 ยกฐานะจากกิ่งอำเภอชะอวด อำเภอร่อนพิบูลย์ เป็น อำเภอชะอวด พ.ศ. 2498 จัดตั้งสุขาภิบาลร่อนพิบูลย์ ในท้องที่บางส่วนของตำบลร่อนพิบูลย์ พ.ศ. 2508 เปลี่ยนแปลงเขตสุขาภิบาลร่อนพิบูลย์[6] เพื่อความเหมาะสมในการบริหารกิจการและการทะนุบำรุงท้องถิ่น พ.ศ. 2512 จัดตั้งสุขาภิบาลเขาชุมทอง ในท้องที่หมู่ที่ 1, 2 ตำบลควนเกย พ.ศ. 2523 ตั้งตำบลทางพูน แยกออกจากตำบลเสาธง พ.ศ. 2535 ตั้งตำบลนาหมอบุญ แยกออกจากตำบลสามตำบล พ.ศ. 2536 จัดตั้งสุขาภิบาลหินตก ในท้องที่หมู่ที่ 3, 4, 5, 6 และหมู่ที่ 9 ตำบลหินตก พ.ศ. 2536 ตั้งตำบลทุ่งโพธิ์ แยกออกจากตำบลควนเกย ตั้งตำบลควนหนองคว้า แยกออกจากตำบลควนเกย ตำบลควนพัง และตำบลควนชุม[11] และโอนพื้นที่ตำบลทุ่งโพธิ์ และตำบลควนหนองคว้า จากอำเภอร่อนพิบูลย์ ไปขึ้นกับอำเภอจุฬาภรณ์ พ.ศ. 2537 แยกพื้นที่ตำบลบ้านควนมุด ตำบลบ้านชะอวด จากอำเภอชะอวด และตำบลควนหนองคว้า ตำบลทุ่งโพธิ์ ตำบลนาหมอบุญ ตำบลสามตำบล จากอำเภอร่อนพิบูลย์ มาตั้งเป็น อำเภอจุฬาภรณ์[12] เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ในวโรกาสที่ทรงมีพระชันษาครบ 3 รอบ ในปีพุทธศักราช 2536 พ.ศ. 2539 แยกพื้นที่ตำบลเชียรเขา ตำบลดอนตรอ ตำบลสวนหลวงจากอำเภอเชียรใหญ่ และตำบลทางพูนจากอำเภอร่อนพิบูลย์ มาตั้งเป็น อำเภอเฉลิมพระเกียรติ[13] เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี วันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ยกฐานะจากสุขาภิบาลร่อนพิบูลย์ สุขาภิบาลเขาชุมทอง และสุขาภิบาลหินตก เป็นเทศบาลตำบลร่อนพิบูลย์ เทศบาลตำบลเขาชุมทอง และเทศบาลตำบลหินตกตามลำดับ[14] วันที่ 24 กันยายน 2547 ยุบองค์การบริหารส่วนตำบลควนเกยรวมกับเทศบาลตำบลเขาชุมทอง[15] ที่ตั้งและอาณาเขต อำเภอร่อนพิบูลย์มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอใกล้เคียง ดังนี้ ทิศเหนือติดต่อกับอำเภอลานสกาและอำเภอพระพรหม ทิศตะวันออกติดต่อกับอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอชะอวดและอำเภอจุฬาภรณ์ ทิศตะวันตกติดต่อกับอำเภอทุ่งสง อำเภอร่อนพิบูลย์ ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยทางรถยนต์ระยะทางประมาณ 32 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 12 ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีทางหลวงหมายเลข 403 ตอนอำเภอทุ่งสง อำเภอร่อนพิบูลย์ ตัดผ่านหน้าที่ว่าการอำเภอ ลักษณะภูมิประเทศ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1.บริเวณเทือกเขา ได้แก่ บริเวณพื้นที่ด้านทิศตะวันตกติดเทือกเขานครศรีธรรมราชตลอดแนว ได้แก่ พื้นที่ตำบลควนเกย ตำบลร่อนพิบูลย์ และทิศเหนือติดเทือกเขาหลวง ได้แก่พื้นที่บางส่วนของตำบลร่อนพิบูลย์และตำบลหินตก 2.บริเวณที่เป็นที่ราบตอนกลาง เป็นพื้นที่ส่วนของตำบลควนเกย ตำบลร่อนพิบูลย์ ตำบลหินตก ตำบลควนพัง ตำบลเสาธง และตำบลควนชุม 3.บริเวณที่เป็นที่ราบลุ่ม เป็นที่ราบลุ่มและดินพรุ คือ พื้นที่บางส่วนของตำบลควนพังและตำบลเสาธง ด้านเศรษฐกิจ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางเกษตรเป็นหลัก คือ การทำสวนยาง สวนกาแฟ สวนโกโก้ และการทำนา เนื่องจาการปลูก ยางพารามาก ดังนั้นจึงมีโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการแปรรูปยางดิบต่าง ๆ เช่น โรงรมยาง โรงงานผลิต แอร์รายซีส เพื่อรับรองผลผลิต อำเภอนาบอนยังเป็นที่ตั้ง ขององค์การสวนยางนาบอนที่สำคัญของการยาง ในเขตนครศรีธรรมราช สามารถผลิตยางออกไปจำหน่ายในต่างประเทศปีละมากกว่า 250,000 ตัน ทำรายได้แก่ประเทศปีละประมาณ 9,000 ล้านบาท การเกษตร อาชีพหลัก ประชากรในอำเภอร่อนพิบูลย์ประกอบอาชีพต่าง ๆ ดังนี้ การเกษตรเป็นหลัก ได้แก่ นาข้าว ยางพารา พืชผัก พืชไร่ ไม้ผล ปาล์มน้ำมัน ไร่นาส่วนผสม เป็นต้น การปศุสัตว์ ได้แก่ ไก่เนื้อ/ไก่พื้นเมือง/ไก่ไข่ สุกร เป็ดเทศ เป็ดไข่ โคพื้นเมือง เป็ดเนื้อ แพะ โคนม ห่าน กระบือ แกะ เป็นต้น การประมงโดยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ได้แก่ ปลา กบ เป็นต้น การอุตสาหกรรม มีโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับใบอนุญาตดำเนินการและประกอบการ เช่น โรงงานโม่หิน โรงงานปูนขาว โรงงานผลิตท่อซีเมนต์ โรงงานแปรรูปไม้เพื่อประดิษฐ์กรรม โรงงานแปรรูปไม้ยาง โรงงานผสมยางแอสฟัลล์ เหมืองแร่ เป็นต้น และอุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น ผลิตพัดใบพ้อ ผลิตเครื่องจักรสาน ผลิตลูกจันทร์ สถานที่สำคัญและการท่องเที่ยว วัดร่อนนา (แม่เศรษฐี)
แม่เศรษฐี สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองร่อนพิบูลย์ เป็นวัดเก่าแก่โบราณมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าวัดร่อนนาเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน คือ พระพุทธรูปอุ้มบาตรปาง พระร่วง เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวร่อนพิบูลย์และจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ องค์พระแม่เศรษฐีอายุประมาณ 700-800 ปี
วัดร่อนนา ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช หากขับมาบนถนนพหลโยธินให้เลี้ยวเข้ามาทางฝั่งสถานีตำรวจร่อนพิบูลย์ ตรงเข้ามาประมาณเกือบ 2 กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่หมู่บ้านร่อนนาแล้วขับตรงมาจนสุดทางจะพบกับวัดตั้งอยู่ เวลาเปิด เปิดให้คนเข้านมัสการการองค์แม่เศรษฐีตั้งแต่เวลา 6:00-18:00 น. ของทุกวัน คนส่วนใหญ่นิยมมากราบไหว้ขอพรให้เกิดความสิริมงคลแก่ครอบครัว และยังมีคนมาขอลูกกับแม่เศรษฐีและสมหวังดังปรารถนาไปแล้วมากมาย หากใครสมหวังมักจะนำรูปถ่ายมาถวายให้เป็นลูกของเจ้าแม่อีกด้วย (Trip.com. (ม.ป.ป.). วัดร่อนนา (แม่เศรษฐี). สืบค้นจาก https://th.trip.com/moments/detail/nakhon-si-thammarat-1447082-14502709)
เขารามโรม เขารามโรมเป็นยอดเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 986 เมตร มีเทือกเขาทีสลับซับซ้อนทำให้มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามสามารถมองเห็นได้ 360 องศา มีสภาพเป็นป่าดงดิบที่สมบูรณ์มาก มีพันธ์ไม้เฟิร์นล้านปี มหาสะดำ ดอกไม้นานาพันธ์ และสัตว์ป่านานาชนิดเต็มไปทั่วพื้นที่ มีถนนพื้นแข็งถาวรที่รถยนต์เข้าถึงได้สะดวก สามารถมองเห็นทะเลหมอกพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าและที่สำคัญเป็นยอดเขาที่สามารถมองเห็นชายทะเลแหลมตะลุมพุกไปถึง อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอพระพรหม อำเภอทุ่งสง และยอดเขาเหมนได้อย่างเด่นชัด เขารามโรมเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ในอำเภอร่อนพิบูลย์ ซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่ระหว่างอำเภอเมืองนครศรีฯกับอำเภอทุ่งสงเส้นทางรถยนต์ที่ผ่านอำเภอร่อนพิบูลย์ คือ ทางหลวงหมายเลข 403 ส่วนทางขึ้นเขารามโรม จะต้องเข้าผ่านไปทางตลาดสดร่อนพิบูลย์แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปทาง บ้านสวนจันทร์จนถึงสี่แยกบ้านเถลิงแล้วเลี้ยวซ้ายจะสังเกตุป้ายทางขึ้นเขารามโรมอีก 9 กม. เป็นถนนคอนกรีตจนถึงเขารามโรม ซึ่งจะสังเกตุเห็นเสาอากาศส่งของสถานีโทรทัศน์อยู่ด้านบนส่วนความสูงของเขารามโรมอยู่ที่ประมาณ 986 เมตรจากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 19-26 องศาเซนติเซียดตลอดทั้งปี อากาศหนาวที่สุดอยู่ประมาณเดือน ธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ที่มา สืบค้น : https://th.wikipedia.org/wiki/อำเภอร่อนพิบูลย์ สืบค้น https://library.wu.ac.th/NST_localinfo/amphur/ronphibun/

14 มกราคม, 2568

ประวัติความเป็นมาของหนังตะลุง

ประวัติความเป็นมาของหนังตะลุง
หนังตะลุง คือ ศิลปะการแสดงประจำท้องถิ่นอย่างหนึ่งของภาคใต้ เป็นการเล่าเรื่องราวที่ผูกร้อยเป็นนิยาย ดำเนินเรื่องด้วยบทร้อยกรองที่ขับร้องเป็นสำเนียงท้องถิ่น หรือที่เรียกกันว่าการ "ว่าบท" มีบทสนทนาแทรกเป็นระยะ และใช้การแสดงเงาบนจอผ้าเป็นสิ่งดึงดูดสายตาของผู้ชม ซึ่งการว่าบท การสนทนา และการแสดงเงานี้ นายหนังตะลุงเป็นคนแสดงเองทั้งหมด ประวัติความเป็นมาของหนังตะลุง นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่า มหรสพการแสดงเงาจำพวกหนังตะลุงนี้ เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของมนุษยชาติ เคยปรากฏแพร่หลายมาทั้งในแถบประเทศยุโรป และเอเชีย โดยอ้างว่า มีหลักฐานปรากฏอยู่ว่า เมื่อครั้งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชมีชัยชนะเหนืออียิปต์ ได้จัดให้มีการแสดงหนัง(หรือการละเล่นที่คล้ายกัน)เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะและประกาศเกียรติคุณของพระองค์ และเชื่อว่า มหรสพการแสดงเงานี้มีแพร่หลายในประเทศอียิปต์มาแต่ก่อนพุทธกาล ในประเทศอินเดีย พวกพราหมณ์แสดงหนังที่เรียกกันว่า ฉายานาฏกะ เรื่องมหากาพย์รามายณะ เพื่อบูชาเทพเจ้าและสดุดีวีรบุรุษ ส่วนในประเทศจีน มีการแสดงหนังสดุดีคุณธรรมความดีของสนมเอกแห่งจักรพรรดิ์ยวนตี่ (พ.ศ. 411 - 495) เมื่อพระนางวายชนม์ ในสมัยต่อมา การแสดงหนังได้แพร่หลายเข้าสู่ในเอเชียอาคเนย์ เขมร พม่า ชวา มาเลเซีย และประเทศไทย คาดกันว่า หนังใหญ่คงเกิดขึ้นก่อนหนังตะลุง และประเทศแถบนี้คงจะได้แบบมาจากอินเดีย เพราะยังมีอิทธิพลของพราหมณ์หลงเหลืออยู่มาก เรายังเคารพนับถือฤาษี พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ยิ่งเรื่องรามเกียรติ์ ยิ่งถือว่าเป็นเรื่องขลังและศักดิ์สิทธิ์ หนังใหญ่จึงแสดงเฉพาะเรื่องรามเกียรติ์ เริ่มแรกคงไม่มีจอ คนเชิดหนังใหญ่จึงแสดงท่าทางประกอบการเชิดไปด้วย เชื่อกันว่าหนังใหญ่มีอยู่ก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะมีหลักฐานอ้างอิงว่า มีนักปราชญ์ผู้หนึ่งเป็นชาวเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นผู้เชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์และทางกวี สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเรียกตัวเข้ากรุงศรีอยุธยา ต่อมาได้เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมหาราชครูหรือพระโหราธิบดี และมีรับสั่งให้พระมหาราชครูฟื้นฟูการเล่นหนัง(หนังใหญ่)อันเป็นของเก่าแก่ขึ้นใหม่ ดังปรากฏในสมุทรโฆษคำฉันท์ว่า.. ไหว้เทพยดาอา- รักษ์ทั่วทิศาดร ขอสวัสดิขอพร ลุแก่ใจดั่งใจหวัง ทนายผู้คอยความ เร่งตามไต้ส่องเบื้องหลัง จงเรืองจำรัสทั้ง ทิศาภาคทุกพาย จงแจ้งจำหลักภาพ อันยงยิ่งด้วยลวดลาย ให้เห็นแก่ทั้งหลาย ทวยจะดูจงดูดี หนังใหญ่ แต่เดิมเรียกว่า "หนัง" นิยมเล่นกันแพร่หลายในแถบภาคกลาง ส่วนหนังตะลุง แต่เดิมคนในท้องถิ่นภาคใต้ก็เรียกสั้นๆว่า "หนัง" เช่นกัน ดังคำกล่าวที่ได้ยินกันบ่อยว่า "ไปแลหนังโนรา" จึงสันนิษฐานว่า คำว่า "หนังตะลุง" คงจะเริ่มใช้เมื่อมีการนำหนังจากภาคใต้ไปแสดงให้เป็นที่รู้จักในภาคกลาง จึงได้เกิดคำ "หนังตะลุง" และ "หนังใหญ่" ขึ้นมาเพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน หนังจากภาคใต้เข้าไปเล่นในกรุงเทพฯ ครั้งแรกสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระยาพัทลุง (เผือก) นำไปเล่นที่แถวนางเลิ้ง หนังที่เข้าไปครั้งนั้นเป็นนายหนังจากจังหวัดพัทลุง คนกรุงเทพฯจึงเรียก "หนังพัทลุง" ต่อมาเสียงเพี้ยนเป็น "หนังตะลุง" เชื่อกันว่า หนังตะลุงเลียนแบบมาจากหนังใหญ่ โดยย่อรูปหนังให้เล็กลง ในยุคแรกๆคงแสดงเรื่องรามเกียรติ์เหมือนกัน แต่เปลี่ยนบทพากย์มาเป็นภาษาท้องถิ่น เปลี่ยนเครื่องดนตรีจาก พิณพาทย์ ตะโพน มาเป็น ทับ กลอง ฉิ่ง โหม่ง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่มีอยู่เดิมในภาคใต้ หลักฐานที่บอกว่าหนังตะลุงคงเลียนแบบมาจากหนังใหญ่ คือ แม้หนังตะลุงจะไม่ได้ใช้ พิณพาทย์ ตะโพน แต่ในโองการร่ายมนต์พระอิศวร(บทบูชาพระอิศวร) ก็ยังมีบทที่ว่า.. อดุลโหชันชโนทั้งผอง พิณพาทย์ ตะโพน กลอง ข้าจะเล่นให้ท่านทั้งหลายดู ต่อมา หนังภาคใต้หรือหนังตะลุง รับอิทธิพลของหนังชวาเข้ามาผสมผสาน จึงทำให้เกิดวิวัฒนาการใน "รูปหนัง" ขึ้นมา รูปหนังใหญ่จะเป็นแผ่นเดียวกันทั้งตัว เคลื่อนไหวอวัยวะไม่ได้ แต่รูปหนังชวาเคลื่อนไหวมือและปากได้ ส่วนใหญ่รูปหนังจะเคลื่อนไหวมือได้เพียงข้างเดียว ยกเว้นรูปกาก หรือตัวตลก และรูปนางบางตัว ที่สามารถขยับมือได้ทั้งสองข้าง รูปหนังชวามีใบหน้าที่ผิดไปจากคนจริง และหนังตะลุงก็รับแนวคิดนี้มาปรับใช้กับรูปตัวตลก เช่น แกะรูปหนูนุ้ยให้หน้าคล้ายวัว เท่งหน้าคล้ายนกกระฮัง เป็นต้น หนังตะลุงเกิดขึ้นเมื่อใดนั้น ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด นักวิชาการสันนิษฐานว่าคงเป็นช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะกลอนหนังตะลุงนิยมแต่งเป็นกลอนแปด ซึ่งในสมัยอยุธยากลอนแปดไม่ได้เป็นที่นิยมแพร่หลาย ยิ่งในภาคใต้ วรรณกรรมพื้นบ้านรุ่นเก่าแก่ล้วนแต่งเป็นกาพย์ทั้งสิ้น กลอนแปดเพิ่งมาเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางก็เมื่อหลังสุนทรภู่แต่งเรื่องพระอภัยมณีออกเผยแพร่แล้วนี่เอง หนังตะลุงเกิดขึ้นในภาคใต้ครั้งแรกที่จังหวัดใด ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด ดนตรีหนังตะลุง ดนตรีหนังตะลุงในอดีต มีความเรียบง่าย ชาวพื้นบ้านในท้องถิ่นประดิษฐ์ขึ้นได้เอง โดยใช้วัสดุในพื้นบ้าน มีทับ กลอง โหม่ง ฉิ่ง เป็นสำคัญ ปี่ ซอ เกิดขึ้นภายหลังก็คงใช้วัสดุพื้นบ้านอยู่ดี ต่อมาวัฒนธรรมภายนอกโดยเฉพาะดนตรีไทยสากล หนังตะลุงจึงเพิ่มดนตรีใหม่ๆ เข้ามาเสริม เช่น กลองชุด กีตาร์ ไวโอลีน ออร์แกน จำนวนลูกคู่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ค่าราดเพิ่มขึ้น ยิ่งในปัจจุบันคนยากจนไม่มีทุนรอนพอที่จะรับหนังตะลุงไปแสดงได้เลย ดนตรีหนังตะลุง คณะหนึ่งๆ มีดังนี้ ทับ เครื่องกำกับจังหวะและท่วงทำนอง ที่สำคัญที่สุด ผู้บรรเลงดนตรีชิ้นอื่นๆ ต้องคอยฟังจังหวะยักย้ายตามเพลงทับ ที่นิยมใช้มีถึง 12 เพลง คือ เพลงเดิน เพลงถอยหลังเข้าคลอง เพลิงเดินยักษ์ เพลงสามหมู่ เพลงนาดกลายออกจากวัง เพลงนางเดินป่า เพลงสรงน้ำ เพลงเจ้าเมืองออกสั่งการ เพลงชุมพล เพลงยกพล เพลงยักษ์ และเพลงกลับวัง ผู้ชำนาญที่เรียกว่ามือทับเท่านั้นจึงสามารถตีทับครบ 12 เพลงได้ ทับหนังตะลุงมี 2 ใบ ใบหนึ่งเสียงเล็กแหลม เรียกว่า "หน่วยฉับ" อีกใบหนึ่งเสียงทุ้ม เรียกว่า "หน่วยเทิง" ทับหน่วยฉับเป็นตัวยืน ทับหน่วยเทิงเป็นตัวเสริม หนังตะลุงในอดีตมีมือทับ 2 คน ไม่น้อยกว่า 60 ปีมาแล้วใช้มือทับเพียงคนเดียว ใช้ผ้าผูกไขว้กัน บางคนวางบนขา บางคนวางขาข้างหนึ่งบนทับ กดไว้ไม่ให้ทับเคลื่อนที่ โดยทั่วไป ทับนิยมทำด้วยแก่นไม้ขนุน ตบแต่งและกลึงได้ง่าย ตัดไม้ขนุนออกเป็นท่อนๆ ยาวท่อนละประมาณ 60 เซนติเมตร ฟันโกลนด้วยขวานให้เป็นรูปคล้ายกลองยาว นำมาเจาะภายใน และกลึงให้ได้รูปทรงตามต้องการลงน้ำมันชักเงาด้านนอก หุ้มด้วยหนังค่าง ตรงแก้มทับร้อยไขว้ด้วยเชือกด้วยหรือไนลอน ร้อยด้วยหวาย ลอดเข้าในปลอกหวายส่วนหลัง ดึงหวายให้ตึงเสมอกัน ก่อนใช้ทุกครั้ง ต้องชุบน้ำที่หนังหุ้ม ใช้ผ้าขนาดนิ้วก้อยอัดที่แก้มทับด้านใน ทำให้หนังตึงมีเสียงไพเราะกังวาน โหม่ง ADVERTISEMENT เป็นเครื่องกำกับการขับบทของนายหนัง โหม่งมี 2 ใบ ร้อยเชือกแขวนไว้ในรางไม้ ห่างกันประมาณ 2 นิ้ว เรียกว่า "รางโหม่ง" ใบที่ใช้ตีเป็นเหล็กมีเสียงแหลมเรียกว่า "หน่วยจี้" อีกใบหนึ่งเสียงทุ้ม เรียกว่า "หน่วยทุ้ม" ในอดีตใช้โหม่งราง โหม่งลูกฟากก็เรียก ทำด้วยเหล็กหนาประมาณ 0.4 เซนติเมตร ยาว 10 นิ้ว กว้าง 4 นิ้ว อัดส่วนกลางให้เป็นปุ่มสำหรับตี ส่วนโหม่งหล่อใช้กันมาประมาณ 60 ปี หล่อด้วยทองสำริดรูปลักษณะเหมือนฆ้องวง การซื้อโหม่งต้องเลือกซื้อที่เข้ากับเสียงของนายหนัง อาจขูดใต้ปุ่มหรือพอกชันอุงด้านใน ให้มีใยเสียงกลมกลืนกับเสียงของนายหนัง ไม้ตีโหม่งใช้อันเดียว ปลายข้างหนึ่งพันด้วยผ้าหรือสวมยาง ทำให้โหม่งมีเสียงนุ่มนวล และสึกหรอน้อยใช้ได้นาน ฉิ่ง ใช้ตีเข้าจังหวะกับโหม่ง คนตีโหม่งทำหน้าที่ตีฉิ่งไปด้วย กรับเดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้ นำฝาฉิ่งกระแทรกกับรางโหม่งแทนเสียงกรับได้ กลองตุก มีขนาดเล็กกว่ากลองมโนห์รา รูปแบบเหมือนกัน ใช้ไม้ 2 อัน โทนใช้ตีแทนกลองตุกได้ ปี่ หนังตะลุงใช้ปี่นอกบรรเลงเพลงต่างๆ ถือเอาเพลงพัดชาเป็นเพลงครู ประกอบด้วยเพลงไทยเดิมอื่นๆ ได้แก่ เพลงสาวสมเด็จ เขมรปี่แก้ว เขมรปากท่อ ชะนีกันแสง พม่ารำขวาน พม่าแทงกบ สุดสงวน เขมรพวง ลาวดวงเดือน เพลงลูกทุ่งหลายเพลงอาศัยทำนองเพลงไทยเดิม คนเป่าปี่ก็เล่นได้ดี แม้เพลงไทยสากลที่กำลังฮิต ปี่ ซอ ก็เล่นได้ โดยไม่รู้ตัวโน๊ตเลย ซออู้ ซอด้วง ประกอบปี่ ทำให้เสียงปี่มิเล็กแหลมเกินไป ชวนฟังยิ่งขึ้น ปี่ ซอ สามารถยักย้ายจังหวะให้ช้าลงหรือเร็วขึ้นตามจังหวะทับได้อย่างกลมกลืนและลงตัว การบรรเลงดนตรีหนังตะลุง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1. บรรเลงดนตรีล้วน เช่น ยกเครื่อง ตั้งเครื่อง ลงโรง 2. บรรเลงเพลงประกอบการรับบท ขึ้นบท ถอนบท เลยบท เชิด บรรเลงประกอบการขับกลอนแปด กลอนคำกลอน กลอนลอดโหม่ง ประกอบการบรรยาย อิริยาบทของตัวละครและบรรเลงประกอบบทบาทเฉพาะอย่าง เช่น บทโศก ลักพา ร่ายมนต์ ปัจจุบันนี้ ดนตรีหนังตะลุงเปลี่ยนแปลงไปมาก มีเครื่องดนตรีมากขึ้น บางท่านว่าเป็นการพัฒนาให้เข้ากับสมัยนิยม แต่เป็นการทำลายเอกลักษณ์ของดนตรีหนังตะลุงไปอย่างน่าเป็นห่วง เวลา 12.00 น. ของวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2540 มีนายหนังระดับปริญญาโท 2 ท่าน คือ หนังนครินทร์ชาทอง จังหวัดสงขลา หนังบุญธรรม เทอดเกียรติชาติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ให้สัมภาษณ์ออกทีวีช่อง 9 ยอมรับในความลืมตัวของนายหนังรุ่นใหม่ ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง โอกาสการแสดงน้อยลง ลูกคู่ยิ่งหายาก เพราะไม่มีคนสืบสานต่อ นี่เป็นลางบอกให้ทราบล่วงหน้า หนังตะลุงสัญลักษณ์ของภาคใต้ จะลงเอยในรูปใด รูปหนังตะลุง รูปหนัง เป็นอุปกรณ์สำคัญในการแสดงหนังตะลุง หนังคณะหนึ่งๆ ใช้รูปหนังประมาณ 150-200 ตัว หนังตะลุงแกะโดยนายช่างผู้ชำนาญ ในจังหวัดหนึ่งๆ ของภาคใต้ มีเพียง 2-3 คนเท่านั้น ต้นแบบได้มาจากรูปหนังใหญ่ เพราะรูปเก่าแก่ที่เหลืออยู่เท้าเหยียบนาค มีอายุกว่า 100 ปีไปแล้ว ต้นแบบสำคัญคือรูปเรื่องรามเกียรติ์ที่ฝาผนังรอบวัดพระแก้ว ผสมผสานกับรูปหนังของชวา ทำให้รูปกะทัดรัดขึ้นและมือหน้าเคลื่อนไหวได้ รูปหนังจะจัดเก็บไว้ใน แผงหนัง โดยวางเรียงอย่างเป็นระเบียบและตามศักดิ์ของรูป นั่นคือ เอารูปเบ็ดเตล็ดและรูปตลกที่ไม่สำคัญซึ่งเรียกรวมกันว่า รูปกาก ไว้ล่าง ถัดขึ้นมาเป็นรูปยักษ์ พระ นาง เจ้าเมือง ตัวตลกสำคัญ รูปปรายหน้าบท พระอิศวร และฤาษี ตามลำดับ กรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะ ช่างภาคใต้ที่ไปพบเห็นก็ถ่ายทอดมาเป็นแบบ ช่างราม เป็นช่างแกะรูปหนังที่เก่าแก่คนหนึ่งของจังหวัดพัทลุง นอกจากแกะให้หนังภายในจังหวัดแล้ว ยังแกะให้หนังต่างจังหวัดด้วย รูปของช่างรามได้รับยกย่องว่าเป็นเลิศ แม้ถึงแก่กรรมไปประมาณ 60 ปีแล้ว ชื่อเสียงของท่านทางศิลปะยังมีผู้คนกล่าวขานถึงอยู่ท่านเลียนแบบรูปภาพ เรื่องรามเกียรติ์ที่วัดพระแก้วเริ่มแรกก็แกะรูปที่ นำไปแสดงเรื่องรามเกียรติ์อย่างเดียวจึงได้ชื่อว่า"ช่างราม" ครั้งหนึ่งท่านส่งรูปหนุมานเข้าประกวด ดูผิวเผินสวยงามมาก หัวของวานร ต้องเกิดจากวงกลม แต่ของช่างรามไม่อยู่ในกรอบของวงกลม จึงไม่ได้รับรางวัล การละเล่นพื้นเมืองที่ได้ชื่อว่า"หนัง" เพราะผู้เล่นใช้รูปหนังประกอบการเล่านิทานหลังเงา การแกะรูปหนังตัวสำคัญ เช่น ฤาษี พระอิศวร พระอินทร์ นางกินรี ยังคงเหมือนเดิม แต่รูปอื่นๆ ได้วิวัฒนาการไปตามสมัยนิยมของผู้คน เช่น ทรงผม เสื้อผ้า รูปหนังรุ่นแรกมีขนาดใหญ่รองจากรูปหนังใหญ่ฉลุลวดลายงดงามมาก เป็นรูปขาวดำ แล้วค่อยเปลี่ยนรูปให้มีขนาดเล็กลง ระบายสีให้ดูสะดุดตายิ่งขึ้น สมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม เคร่งครัดทางด้านวัฒนธรรมมาก ออกเป็นรัฐนิยมหลายฉบับ ยักษ์นุ่งกางเกงขายาว สวมหมวก รูปตลก รูปนาง รูปพระสวมหมวก สวมเสื้อ นุ่งกางเกง นุ่งกระโปรง รูปหนังที่ออกมาแต่งกายมีผิดวัฒนธรรม ตำรวจจะจับและถูกปรับทันที การแกะรูปหนังสำหรับเชิดหนัง ให้เด่นทางรูปทรงและสีสัน เมื่อทาบกับจอผ้า แสงไฟช่วยให้เกิดเงาดูเด่นและสะดุดตา กรรมวิธีแกะรูปหนังแบบพื้นบ้านนำหนังวัวหนังควายมาฟอก ขูดให้เกลี้ยงเกลา หนังสัตว์ชนิดอื่นก็นิยมใช้บ้าง เช่น หนังเสือใช้แกะรูปฤาษีประจำโรงเป็นเจ้าแผง ในปัจจุบัน รูปหนังแกะจากหนังวัวอย่างเดียว ซื้อหนังจากร้านค้าที่ฟอกสำเร็จรูปอยู่แล้ว ทั้งสามารถเลือกหนังหนา บาง ได้ตามความต้องการ นายช่างวางหนังลงบนพื้นเขียงที่มีขนาดใหญ่ ใช้เหล็กปลายแหลมวาดโครงร่าง และรายละเอียดของรูปตามที่ต้องการลงบนผืนหนัง ใช้แท่งเหล็กกลมปลายเป็นรูคม เรียกว่า "ตุ๊ดตู่" ตอกลายเป็นแนวตามที่ใช้เหล็กแหลมร่างไว้ ส่วนริมนอกหรือส่วนที่เป็นมุมเป็นเหลี่ยมและกนกลวดลายอันอ่อนช้อย ต้องใช้มีดปลายแหลมคมยาวประมาณ 2 นิ้ว มีด้ามกลมรี พอจับถนัดมือขุดแกะ ทั้งตุ๊ดตู่และมีดขุดแกะมีหลายขนาด เมื่อทำลวดลายตามที่ร่างไว้เสร็จตัดออกจากแผ่นหนัง เรียกว่ารูปหนัง รูปใดนายช่างเห็นว่าได้สัดส่วนสวยงาม นายช่างจะเก็บไว้เป็นแม่แบบ เพียงแตะระบายสีให้แตกต่างกัน รูปที่นิยมเก็บไว้เป็นแบบ มีรูปเจ้าเมือง นางเมือง รูปยักษ์ รูปวานร รูปพระเอก รูปนางเอก นำรูปแม่แบบมาทาบหนัง แกะไปตามรูปแม่แบบ ประหยัดเวลา และได้รูปสวยงาม ผลิตได้รวดเร็ว สีที่ใช้ระบายรูปหรือลงสี นิยมใช้น้ำหมึก สีย้อมผ้า สีย้อมขนม มีสีแดง เหลือง แสด ชมพู ม่วง เขียว น้ำเงิน และสีดำ ต้องผสมสีหรือละลายสีให้เข้มข้น ใช่พู่กันขนาดต่างๆ จุ่มสีระบาย ต้องระบายเหมือนกันทั้ง 2 หน้า ระวังไม่ให้สีเปื้อน สีซึมเข้าในเนื้อของหนังเร็ว ลบออกไม่ได้
ช่างแกะรูปต้องมีความรู้ประวัติที่มาของรูป ศึกษาแบบของรูป จากรูปจริง จากรูปภาพ การเปลี่ยนอิริยาบทของรูปได้อย่างถูกต้อง การเบิกตา เบิกปากรูปต้องใช้เวทมนต์ประกอบด้วย ที่สำคัญต้องมีสมาธิอย่างแน่วแน่ เศษหนัง ทำเป็นมือรูป ริมฝีปากล่าง อาวุธต่างๆ ใช้ร้อยมือให้ติดกันเป็น 3 ท่อน เพื่อให้มือเคลื่อนไหวได้ เมื่อสีแห้งสนิทแล้ว ลงน้ำมันยางใส เพื่อให้รูปเกิดเงาวาววับ เดี๋ยวนี้หาน้ำมันยางไม่ได้ ใช้น้ำมันชักเงาแทน จากนั้นติดไม้ตับ ติดไม้มือ รูปที่ชักปากได้ ติดคันเบ็ดผูกเชือกชักปาก เป็นอันว่าเป็นรูปหนังที่สมบูรณ์ ช่างแกะรูปหนัง นอกจากแกะจำหน่ายแก่คณะหนังตะลุงแล้ว ยังแกะจำหน่ายทั่วไป เพื่อนำไปประดับประดา อาคารบ้านเรือน ชาวต่างชาตินิยมกันมาก แต่ต้องทำอย่างประณีต บรรจง จึงจะจำหน่ายได้ราคาดี ช่างแกะรูปหนังหาความร่ำรวยมิได้ เพียงแต่พอดำรงชีพอยู่ได้เท่านั้น ตัวตลกหนังตะลุง
ตัวตลกหนังตะลุง เป็นตัวละครที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นตัวละครที่ "ขาดไม่ได้" สำหรับการแสดงหนังตะลุง บทตลกคือเสน่ห์ หรือสีสัน ที่นายหนังจะสร้างความประทับใจให้กับคนดู เมื่อการแสดงจบลง สิ่งที่ผู้ชมจำได้ และยังเก็บไปเล่าต่อก็คือบทตลก นายหนังตะลุงคนใดที่สามารถสร้างตัวตลกได้มีชีวิตชีวาและน่าประทับใจ สามารถทำให้ผู้ชมนำบทตลกนั้นไปเล่าขานต่อได้ไม่รู้จบ ก็ถือว่าเป็นนายหนังที่ประสบความสำเร็จในอาชีพโดยแท้จริง ที่มา/อ่านต่อเพิ่มเติม http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87 https://www.kroobannok.com/2118

การแกะหนังตลุง

ช่างแกะหนังลุงมีความสำคัญ เพราะได้ช่วยบันทึกของการเปลี่ยนแปลงให้สังคมของภาคใต้อย่างชัดเจน เช่น การแต่งกาย ทรงผม อาวุธประจำกาย เป็นต้น ในสมัยโบราณหนังตะลุงของไทยแสดงเรื่องรามเกียรติ์ ตัวหนังทั้งที่เป็นมนุษย์ และยักษ์ทรงเครื่อง โบราณสวมมงกุฎเหยียบนาค มีอาวุธประจำกายคือ พระขรรค์และคันศร ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูต่อมา เมื่อหนังตะลุงเลิกแสดงรามเกียรติ์ ภาพหนังตะลุงก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วย เจ้าเมืองนางเมือง (ราชา ราชินี) สวมมงกุฎไม่เหยียดนาค ส่วนพระเอกนางเอก ไว้จุกเพิ่มขึ้น
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตหนังตะลุง ได้เริ่มมีขึ้นในช่วง พ.ศ.2503 กล่าวคือการผลิตหนังตะลุงสมัยโบราณ ช่างแกะหนังตัดรูปให้นายหนังนำไปแสดงเพียงอย่างเดียว ช่างแกะหนังตะลุงของตัวเอง โดยไม่มีการลอกเลียนกันเหมือนในปัจจุบันนี้ ตั้งแต่ พ.ศ.2503 เป็นต้นมามีชาวต่างชาติ เข้ามาเที่ยวในเมืองไทยมากขึ้น ภาพหนังตะลุงกลายเป็นสินค้าของภาคใต้และประเทศไทย ทำรายได้ให้ประเทศปีละรายพันร้อยล้าน ในขณะที่การแสดง หนังตะลุงซบเซาลงไป แต่การผลิตหนังตะลุงยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เห็นคุณค่าของตัวหนังตะลุง ได้นำมาประดับตกแต่งบ้านเรือน ช่างแกะหนังจึงมีมากขึ้น และปัจจุบันสามารถเลี้ยงครอบครัวได้เป็นอย่างดีเช่นอาชีพอื่น ขั้นเตรียมหนัง หนังสัตว์ที่ช่างนิยมนำมาแกะรูปหนังมี 2 อย่าง คือ หนังวัวและหนังควาย เพราะหนังมีความหนาพอเหมาะ เหนียวทนทาน เมื่อฟอกแล้วจะโปร่งแสง ครั้นระบายสีและนำออกเชิดบนจอ (สำหรับหนังตะลุง) จะให้สีสันสวยงาม ดูโปร่ง ไม่มืดทึบ อีกอย่างหนึ่งหนังวัว หนังควายไม่บิดงอหรือพับง่ายๆ เมื่อออกเชิดจึงบังคับการเคลื่อนไหวให้ ตัวหนังแสดงอิริยาบถได้ดี และสมจริง สำหรับหนังสัตว์อื่นๆ เช่นหนังค่าง หนังอีเก้ง หนังหมี หนังเสือ ฯลฯ ก็ใช้แกะรูปหนังได้แต่หนังสัตว์พวกนี้ค่อนข้างจะทึบแสง ช่างจึงใช้แกะรูปที่ไม่ต้องการโชว์ลายแกะฉลุและสีสันของตัวหนัง เช่น รูปตลก และรูปกาก ทั้งหลาย การหมักจะใช้เวลา 3 - 4 วัน ให้กรดจากน้ำหมักกัดหนังให้ขาวและหนังนิ่มคืนสภาพเหมือนหนังสดๆ จากนั้นจึงนำหนังมาล้างเพื่อขูดขนออก วิธีฟอกหนังทั้งสองแบบ แบบที่หมักน้ำสับปะรดลงทุนสูงกว่า แต่สะดวกและรวดเร็ว เพราะวิธีนี้เนื้อเยื่อและขนจะหลุดออกจากหนังได้โดยง่าย การฟอกหนังในปัจจุบันสะดวกและรวดเร็วกว่าสมัยก่อนมาก คือ ช่างจะแช่หนังที่ตากแห้งแล้วในน้ำส้มสายชูซึ่งผสมน้ำให้พอมีรสเปรี้ยวแช่ไว้ชั่วโมงเศษๆ หนังก็จะคืนตัวนิ่มอย่างหนังสดๆ จากนั้นจึงนำไปขูดขนออก การขูดขนต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะมีดอาจเฉือนหนังให้เกิดรอยตำหนิได้หรือไม่ก็ทำให้หนังหนาบางไม่เท่ากัน เวลาขูดหนังช่างอาจขูดบนแผ่นไม้หรืออาจใช้ไม้กลมรองแล้วขูดได้ แต่วิธีหลังนัยว่าสามารถขูดขนออกได้หมดจดกว่าเมื่อขูดหนังเรียบร้อยแล้วทั้งผืนจะล้างหนังด้วยน้ำสะอาดแล้วเอาขึงกับกรอบไม้สี่เหลี่ยมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อผึ่งลมหรือแดดอ่อนๆ ให้หนังค่อยๆ แห้งลงอย่างช้าๆ ช่างจะไม่เอาหนังผึ่งแดดจัดเพราะหนังจะแห้งและหดตัวเร็ว เกิดการบิดตัวโค้งงอไม่สวยงาม เมื่อหนังแห้งสนิทจึงแก้ออกจากกรอบ ตัดหนังรอบนอกซึ่งมีรอยตำหนิทิ้งก็จะได้หนังที่จะใช้แกะฉลุตามต้องการ ปัจจุบันนี้ช่างบางคนมิได้ฟอกหนังใช้เอง แต่จะรับซื้อหนังที่ฟอกแล้วมาจากโรงงาน ทำให้งานแกะรูปหนังลดขั้นตอนไปได้ขั้นหนึ่ง แต่หนังที่ฟอกจากโรงงานจะมีลักษณะด้อยกว่าหนังที่ฟอกเองมาก คือ มีความบาง เนื้อหนังค่อนข้างยุ่ย ไม่คงทนบิดงอง่าย แชะค่อนข้างทึบแสง หนังประเภทนี้ช่างแกะหนังเรียกว่า "หนังผ่า" ด้วยเหตุที่หนังผ่ามีคุณภาพต่ำ จึงไม่นิยมใช้แกะรูปหนังสำหรับเชิด รูปหนังประเภทใช้ประดับตกแต่งที่ต้องลงสีหลายๆ สีจึงไม่เป็นที่นิยม เพราะค่อนข้างทึบแสงดังกล่าวแล้ว หนังผ่าจะใช้รูปแกะรูปประดับตกแต่งที่ลงสีดำทั้งตัวเป็นส่วนใหญ่กับหนังด้านในเพียงด้านเดียวการแกะรูปหนังประเภทนี้มีวิธีเตรียมหนังต่างไปจากหนังที่ต้องขูดขนเล็กน้อย กล่าวคือ ในขั้นตอนการฟอกหนังช่างจะผสมน้ำยากันขนร่วงลงในน้ำส้มที่ฟอกหนังด้วย การตกแต่งหนังก็ทำเฉพาะด้านในเพียงด้านเดียว ขั้นร่างภาพ การร่างภาพเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการแกะรูปหนัง ช่างส่วนหนึ่งไม่สามารถร่างภาพได้ ทำหน้าที่เพียงเตรียมหนังแกะฉลุหรือลงสีเท่านั้น งานร่างภาพเป็นงานที่ประณีตต้องมีความสามารถในการออกแบบ ซึ่งต้องใช้ทั้งความรู้ จินตนาการ ฝีมือ และทักษะประกอบกัน การทำรูปหนังเชิดไม่ค่อยมีปัญหาในการร่างภาพมากนัก เพระมีแบบให้เห็นอยู่มากมาย รูปที่แกะก็แยกเป็นตัวๆ มีขนาดไม่ใหญ่และใช้กนกงกงอนไม่มากมายอย่างหนังใหญ่ แต่ถ้าเป็นรูปจับและรูปหนังใหญ่แล้ว การร่างภาพเป็นเรื่องใหญ่และยุ่งยากมากโดยทั่วไปรูปจับและรูปหนังใหญ่มักเกี่ยวข้องกับเรื่องรามเกียรติ์ ช่างต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องรามเกียรติ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรู้จักรูปร่างลักษณะและนิสัยใจคอของตัวละครต่างๆ เป็นอย่างดี เพราะเวลาร่างภาพต้องให้ลักษณะภาพถูกต้องตามลักษณะรูปร่างของตัวละครในรามเกียรติ์ ทั้งต้องร่างภาพให้ได้อารมณ์ตรงตามเหตุการณ์ของเรื่องและอุปนิสัยใจคอของตัวละครตัวนั้นๆ ในการร่างภาพดังกล่าวนี้ช่างต้องศึกษาวรรณคดีและที่สำคัญคือพยายามเก็บภาพเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้จากที่มีผู้ทำไว้แล้วมาคิดเสริมเติมแต่งขึ้นอีกทีหนึ่ง ในการร่างภาพที่ไม่ซับซ้อนนัก ช่างนิยมใช้เหล็กปลายแหลมที่เรียกว่า "เหล็กจาร" ร่างภาพลงไปในแผ่นหนังเลยทีเดียว ที่ทำได้เช่นนี้เพราะรอยเหล็กจารที่ปรากฏบนแผ่นหนังสามารถลบได้ง่ายโดยใช้นิ้วมือแตะน้ำหรือน้ำลายลูบเพียงเบาๆ แต่สำหรับภาพที่ซับซ้อนช่างจะร่างภาพลงในกระดาษก่อน ครั้นได้ภาพลงตามต้องการแล้วจึงจารทับลงบนแผ่นหนัง หรือมิเช่นนั้นก็แกะฉลุภาพแล้ววางทาบบนแผ่นหนังแล้วพ่นสีทับ ก็จะได้ภาพบนแผ่นหนังตามต้องการ ช่างที่ทำหัตถกรรมแกะหนังเป็นอาชีพได้นำเอาเทคนิคใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการร่างแบบลงแผ่นหนัง นั่นคือเมื่อมีภาพตัวแบบที่สมบูรณ์แล้ว ก็จะนำภาพนั้นมาทำพิมพ์เขียวเพื่อใช้เป็นแบบในการแกะรูปหนังต่อไป วิธีดังกล่าวนี้ รูปแบบของภาพที่แกะจะออกมาเหมือนๆ กันสามารถสร้างงานได้รวดเร็วแต่ราคาต่ำกว่ารูปที่ร่างภาพขึ้นเฉพาะรูปนั้นๆ เพียงรูปเดียว เนื่องจากตัวหนังต้องมีลายกนกงกงอน ช่างบางคนจึงอาศัยการศึกษาเรื่องลายไทยจากตำราต่างๆ แล้วนำเข้ามาประยุกต์ใช้กับรูปหนัง โดยคงเอกลักษณ์ความเป็นพื้นบ้านเอาไว้วิธีประสมประสานเช่นนี้ ทำให้รูปหนังได้พัฒนาในส่วนละเอียดยิ่งๆ ขึ้น ขั้นแกะฉลุ เมื่อร่างภาพเสร็จก็ถึงขั้นแกะฉลุขั้นนี้ต้องใช้ความชำนาญและต้องพิถีพิถันมาก เพื่อให้ได้ดอกลายอ่อนงาม ช่วงจังหวะของดอกลายหรือกนกแต่ละตัวพอเหมาะพอดี ในการแกะฉลุ มีเครื่องมือที่สำคัญๆ ได้แก่ เขียงสำหรับรองแกะฉลุหนัง 2 อัน เป็นชนิดไม้เนื้อแข็งเนื้อเหนียว 1 อัน และไม้เนื้ออ่อนเนื้อเหนียว 1 อัน มีดขุด 2 เล่ม เป็นชนิดปลายแหลมเล็ก 1 เล่ม และปลายแหลมมน 1 เล่ม ตุ๊ดตู่หรือมุก 1 ชุด มีชื่อเรียกแต่ละอันตามลักษณะปากต่างๆกัน เช่น มุกกลม มุกเหลี่ยม มุกโค้ง มุกตา มุกดอก มุกวงรี และมุกปากแบน ค้อนตอกมุก 1 อัน และเทียนไขหรือสบู่สำหรับจิ้มปลายมีดขุดหรือปลายมุก 1 ก้อน วิธีแกะ ถ้าแบบตอนใดเป็นกนกหรือตัวลายจะใช้มีดขุดการขุดจะใช้เขียงไม้เนื้ออ่อนรองหนัง แล้วกดปลายมีดให้เลื่อนไปเป็นจังหวะตามตัวลายแต่ละตัวโดยไม่ต้องยกมีด ลายตัวใดใหญ่มีส่วนโค้งกว้างก็ใช้มีดปลายแหลมเล็ก ถ้าแบบตอนใดต้องทำเป็นดอกลายต่างๆ หรือเดินเส้นประ ก็ใช้มุกตอกตามลักษณะของปากมุกแต่ละแบบ การตอกมุกจะใช้ค้อนตอกโดยมีเขียงไม้เนื้อแข็งรองหนัง หลังจากแกะฉลุส่วนภายในของตัวรูปสำเร็จ ก็ใช้มีดขุดแกะหนังตามเส้นรอบนอก ก็จะได้รูปหนังแยกออกเป็นตัว ถ้าเป็นรูปหนังเชิดช่างจะใช้หมุดหรือเชือกหนังร้อยส่วนต่างๆ ที่ต้องการให้เคลื่อนไหวได้เข้าตามส่วนต่างๆ ของรูป ซึ่งมีส่วนของมือ แขน และปาก เป็นต้น ขั้นลงสี การลงสีหนังขึ้นอยู่กับลักษณะรูปและประโยชน์การใช้สอย รูปหนังสำหรับเชิดมีความมุ่งหมายจะใช้แสดงนาฏกรรมเล่นแสง สี และเงา ต้องการความเด่นสะดุดตาช่างจึงเลือกใช้สีฉูดฉาด เอาสีที่ตัดกันมาใช้ร่วมกัน ใช้หลายสีและเป็นสีโปร่งแสง เช่น หมึกสี หรือที่ช่างแกะหนังเรียกว่า "สีซอง" หรือ "สีเยอรมัน" สีประเภทนี้เวลาใช้จะผสมด้วยสุรา น้ำร้อน หรือน้ำมะนาว ยกเว้นสีชมพูซึ่งผสมกับน้ำร้อนได้เพียงอย่างเดียว คุณสมบัติของสีชนิดนี้สามารถซึมติดอยู่ในเนื้อหนังและไม่ลอกง่ายๆ รูปหนังเชิดส่วนใหญ่จะใช้สีชนิดนี้ เว้นแต่ตัวตลกหรือรูปอื่นๆ ที่ต้องการให้ดูทึมๆ ก็ใช้สีทึบแสง มีสีน้ำมันเป็นอาทิ สำหรับหนังใหญ่หรือรูปจับถ้าจะลงสีหลายสีก็ใช้สีชนิดนี้ ขั้นลงน้ำมันชักเงา เมื่อลงสีรูปหนังเสร็จ ก็ถือว่ารูปหนังเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะมีการลงน้ำมันชักเงาหรือไม่ก็ได้ แต่โดยทั่วไปถ้าเป็นรูปหนังเชิดมักจะลงน้ำมันชักเงาด้วย ทั้งนี้เพราะน้ำมันชักเงาช่วยขับให้ตัวหนังเป็นมันงาม เมื่อออกจอผ้าขาวจะดูสวยยิ่งขึ้น อนึ่ง รูปหนังชนิดนี้จะถูกใช้เชิดบ่อยที่สุด การลงน้ำมันชักเงาจะช่วยรักษาสภาพหนังมิให้ชำรุดเร็วเกินไป การลงน้ำมันชักเงาทำได้ง่าย เพียงแค่เอารูปหนังวางราบบนกระดาษที่สะอาด ใช้พู่กันแบนชุบน้ำมันชักเงาทาบตามตัวหนังด้านละ 3 - 4 ครั้ง แล้ววางไว้ให้แห้งก็เสร็จการแกะรูปหนังเป็นงานที่ละเอียดประณีต มีขั้นตอนดำเนินการค่อนข้างซับซ้อน ต้องใช้ความรู้และทักษะหลายๆ ด้านประกอบกัน การแกะรูปแต่ละตัวๆ โดยเฉพาะรูปหนังใหญ่และรูปจับต้องใช้เวลาหลายวัน ช่างที่เป็นศิลปินต้องอาศัยความรักงาน ความพิถีพิถัน ทุ่มเทจิตใจในผลงานทั้งหมด เพื่อให้ผลงานมีคุณค่าทางศิลปะ ดูแล้วมีชีวิตวิญญาณ ฉะนั้นงานของศิลปินประเภทนี้จึงมีราคาสูงและหาซื้อไม่ได้ตามท้องตลาดทั่วไป รูปหนังที่วางหรือเร่จำหน่ายอยู่ในภาคใต้ส่วนใหญ่นั้นเป็นฝีมือของช่างแกะหนังที่มุ่งทางปริมาณมากกว่าคุณภาพ อย่างไรก็ตามช่างประเภทหลังนี้เมื่อทำงานแกะหนังนานๆ ก็คงมีบางส่วนที่พัฒนาฝีมือถึงขั้นเป็นศิลปินได้ เครื่องมือที่ใช้ในการแกะหนัง ประกอบด้วย ก. กระดานเขียง ต้องใช้สองแผ่น แผ่นหนึ่งเนื้อแข็ง อีกแผ่นหนึ่งเนื้ออ่อน เขียงเนื้อแข็งใช้สำหรับตอกลายด้วยตุ๊ดตู่นิยมใช้ไม้หยี ส่วนเขียงเนื้ออ่อนใช้รองมีดตัดหนัง นิยมใช้ไม้ทังเพราะเนื้อนิ่ม ปลายมีดตัดหนังจะไม่ค่อยหัก ข. มีดแกะ นิยมใช้มีดปลายเล็กเล่มหนึ่ง ปลายใหญ่เล่มหนึ่ง เพื่อให้เหมาะกับงาน และหยาบตามลำดับ ค. ตุ๊ดตู่ นิยมใช้เบอร์ 10 - 17 มีจำนวนหนึ่งชุด เพื่อใช้ตอกตามลวดลายให้เหมาะสมกับขนาดของลาย ง. ค้อน นิยมใช้ฆ้องช่างทอง เพราะน้ำหนักพอดีกับงานแกะ จ. เหล็กเขียนลาย เป็นเหล็กเนื้อแข็ง ปลายแหลม มีด้ามจับขนาดเท่ากับปากกา หรือดินสอ ฉ. สีผึ้ง มีไว้เพื่อชุบปลายมีด หรือปลายตุ๊ดตู่ เพื่อให้เกิดความลื่น ทำงานได้เร็วขึ้น ที่มา https://www.tungsong.com/NakhonSri

01 มกราคม, 2568

"สืบสานศิลป์ อนุรักษ์ร้อยลูกปัดมโนราห์”

โนรา หรือ มโนห์รา (เขียนเป็น มโนรา หรือ มโนราห์ ก็ได้) เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่สืบ ทอดกันมานาน และนิยมกันอย่างแพร่หลายใน ภาคใต้ เป็นการละเล่นที่มีทั้งการร้อง การรำ บางส่วนเล่นเป็นเรื่อง และบางโอกาสมีบางส่วน แสดงตามคติความเชื่อที่เป็นพิธีกรรม โนรา เป็นศิลปะพื้นเมืองภาคใต้ เรียกว่า โนรา แต่ คำว่า มโนราห์ หรือ มโนห์รา นั้น เป็นคำที่เกิด ขึ้นมาเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการนำเอา เรื่อง พระสุธน-มโนราห์ มาแสดงเป็นละครชาตรี จึงมีคำ เรียกว่า มโนราห์ ส่วนกำเนิดของโนรานั้น สันนิษฐานกันว่าได้รับอิทธิพลจากการ ร่ายรำของอินเดียโบราณก่อนสมัยศรีวิชัย ที่มา จากพ่อค้าชาวอินเดีย สังเกตได้จากเครื่องดนตรีที่ เรียกว่า เบ็ญจสังคีตซึ่งประกอบโหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง ปี่ ใน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีโนรา และท่ารำของโนรา อีกหลายท่าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับการร่ายรำของ ทางอินเดีย และเริ่มมีโนราเป็นกิจลักษณะขึ้นเมื่อ ประมาณปี พุทธศักราชที่ 1820 ซึ่งตรงกับสมัยสุโขทัยตอนต้น ปัจจุบันเชื่อกันว่าโนราเกิดขึ้นครั้งแรกที่ หัวเมืองพัทลุง คือ ตำบล บางแก้ว จังหวัด พัทลุง แล้ว แพร่ขยายไปยังหัวเมืองอื่นๆ ของภาคใต้ จน ไปถึงภาคกลาง และกลายเป็นละครชาตรี และ จังหวะ ตะลุง ที่ได้รับอิทธิพล ในตำนานเล่า กันมาว่า เจ้าเมืองพัทลุง มีชื่อว่า พระยา สายฟ้าฟาด มีลูกสาวที่ชื่อ ศรีมาลา ซึ่ง มีความสามารถในการร่ายรำมาก ได้เกิดตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน เชื่อกันว่า เป็นท้องกับเทวดา พระยาสายฟ้าฟาดเห็นดังนั้น ก็โกรธมาก สั่งให้นำนางศรีมาลาไป ลอยแพในทะเล ( คือ ทะเลสาปสงขลา) และ แพได้ไปติดที่เกาะใหญ่ นางศรีมาลา ก็ได้ให้กำเนิดลูกชาย โดยตั้งชื่อว่า เทพสิงหล ซึ่งมีนัยความว่า ลูกของเทวดา นางศรีมาลา ได้ฝึกให้เทพสิงหลฝึกร่ายรำ ซึ่งเทพสิงหล ก็สามารถร่ายรำได้สวยงามมาก และร่ายรำ มีชื่อเสียงมากที่เกาะใหญ่ จนรู้ไปถึง หูพระยาสายฟ้าฟาด ซึ่งพระยาสายฟ้าฟาด ก็ยังไม่รู้ว่าหลานตัวเอง ก็ได้ เชิญไปรำในราชสำนัก ฝ่ายนางศรีมาลานั้น ก็น้อยเนื้อต่ำใจเมื่อครั้งที่ถูกลอยแพ ก็บอกกับคนที่มาติดต่อว่า โนราคณะนี้จะไปรำได้ แต่ต้องปูผ้าขาวตั้งแต่ริมฝั่งที่ลงจากเรือจนไปถึงตำหนัก พระยาสายฟ้าฟาดก็ตอบตกลง ดังนั้น เทพสิงหลจึงไปรำในราชสำนัก เทพสิงหลรำได้สวยงามมาก จนพระยาสายฟ้าฟาด ก็ตกตะลึงในความสวยงาม จึงถอดเครื่องทรงที่ทรงอยู่ให้กับเทพสิงหล แล้วบอกว่า “เครื่อง แต่งกายกษัตริย์ชุดนี้มอบให้เป็นเครื่องแต่งกายของโนรานับแต่นี้เป็นต้นไป” เทพสิงหลจึงบอกว่าแท้จริงแล้ว เป็นหลานของพระยาสายฟ้าฟาด พระยาสายฟ้าฟาดจึงรับโนราไว้ในราชสำนัก และให้สิทธิแต่งกายเหมือนกษัตริย์ทุกประการ
สำหรับเครื่องแต่งกายชุดโนราประกอบด้วย 14 ชิ้น ได้แก่ เทริด เป็นเครื่องประดับศีรษะของตัวนายโรงหรือโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง (โบราณไม่นิยมให้นางรำใช้) ทำเป็นรูปมงกุฎอย่างเตี้ย มีกรอบหน้า มีด้ายมงคลประกอบ เครื่องรูปปัด เครื่องรูปปัดจะร้อยด้วยลูกปัดสีเป็นลายมีดอกดวง ใช้สำหรับสวมลำตัวท่อนบนแทนเสื้อ ประกอบด้วยชิ้นสำคัญ 5 ชิ้น คือ บ่า สำหรับสวมทับบนบ่าซ้าย-ขวา รวม 2 ชิ้น ปิ้งคอ สำหรับสวมห้อยคอหน้า-หลังคล้ายกรองคอหน้า-หลัง รวม 2 ชิ้น พานอก ร้อยลูกปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้พันรอบตัวตรงระดับอก บางถิ่นเรียกว่า”พานโครง”บางถิ่นเรียกว่า”รอบอก” เครื่องลูกปัดดังกล่าวนี้ใช้เหมือนกันทั้งตัวยืนเครื่องและตัวนาง (รำ) แต่มีช่วงหนึ่งที่คณะชาตรีในมณฑลนครศรีธรรมราชใช้อินทรธนู ซับทรวง (ทับทรวง) ปีกเหน่ง แทนเครื่องลูกปัดสำหรับตัวยืนเครื่อง ปีกนกแอ่น หรือ ปีกเหน่ง มักทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายนกนางแอ่นกำลังกางปีก ใช้สำหรับโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง สวมติดกับสังวาลอยู่ที่ระดับเหนือสะเอวด้านซ้ายและขวา คล้ายตาบทิศของละคร ซับทรวง หรือ ทับทรวง หรือ ตาบ สำหรับสวมห้อยไว้ตรงทรวงอก นิยมทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายขนมเปียกปูนสลักเป็นลวดลาย และอาจฝังเพชรพลอยเป็นดอกดวงหรืออาจร้อยด้วยลูกปัด นิยมใช้เฉพาะตัวโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง ตัวนางไม่ใช้ซับทรวง ปีก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หาง หรือ หางหงส์ นิยมทำด้วยเขาควายหรือโลหะเป็นรูปคล้ายปีกนก 1 คู่ ซ้าย-ขวาประกอบกัน ปลายปีกเชิดงอนขึ้นและผูกรวมกันไว้มีพู่ทำด้วยด้ายสีติดไว้เหนือปลายปีก ใช้ลูกปัดร้อยห้อยเป็นดอกดวงรายตลอดทั้งข้างซ้ายและขวาให้ดูคล้ายขนของนก ใช้สำหรับสวมคาดทับผ้านุ่งตรงระดับสะเอว ปล่อยปลายปีกยื่นไปด้านหลังคล้ายหางกินรี ผ้านุ่ง เป็นผ้ายาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า นุ่งทับชายแล้วรั้งไปเหน็บไว้ข้างหลัง ปล่อยปลายชายให้ห้อยลงเช่นเดียวกับหางกระเบน เรียกปลายชายที่พับแล้วห้อยลงนี้ว่า “หางหงส์ “(แต่ชาวบ้านส่วนมากเรียกว่า หางหงส์) การนุ่งผ้าของโนราจะรั้งสูงและรัดรูปแน่นกว่านุ่งโจมกระเบน หน้าเพลา เหน็บเพลา หนับเพลา ก็ว่า คือสนับเพลาสำหรับสวมแล้วนุ่งผ้าทับ ปลายขาใช้ลูกปัดร้อยทับหรือร้อยทาบ ทำเป็นลวดลายดอกดวง เช่น ลายกรวยเชิง รักร้อย ผ้าห้อย คือ ผ้าสีต่างๆ ที่คาดห้อยคล้ายชายแครงแต่อาจมีมากกว่า โดยปกติจะใช้ผ้าที่โปร่งผ้าบางสีสด แต่ละผืนจะเหน็บห้อยลงทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของหน้าผ้า หน้าผ้า ลักษณะเดียวกับชายไหว ถ้าเป็นของโนราใหญ่หรือนายโรงมักทำด้วยผ้าแล้วร้อยลูกปัดทาบเป็นลวดลาย ที่ทำเป็นผ้า 3 แถบคล้ายชายไหวล้อมด้วยชายแครงก็มี ถ้าเป็นของนางรำ อาจใช้ผ้าพื้นสีต่างๆ สำหรับคาดห้อยเช่นเดียวกับชายไหว กำไลต้นแขนและปลายแขน กำไลสวมต้นแขน เพื่อขบรัดกล้ามเนื้อให้ดูทะมัดทะแมงและเพิ่มให้สง่างามยิ่งขึ้น กำไล กำไลของโนรามักทำด้วยทองเหลืองทำเป็นวงแหวน ใช้สวมมือและเท้าข้างละหลายๆ วง เช่น แขนแต่ละข้างอาจสวม 5-10 วงซ้อนกัน เพื่อเวลาปรับเปลี่ยนท่าจะได้มีเสียงดังเป็นจังหวะเร้าใจยิ่งขึ้นเล็บ เป็นเครื่องสวมนิ้วมือให้โค้งงามคล้ายเล็บกินนร กินรี ทำด้วยทองเหลือง หรือเงิน อาจต่อปลายด้วยหวายที่มีลูกปัดร้อยสอดสีไว้พองาม นิยมสวมมือละ 4 นิ้ว (ยกเว้นหัวแม่มือ) หน้าพราน เป็นหน้ากากสำหรับตัว “พราน” ซึ่งเป็นตัวตลก ใช้ไม้แกะเป็นรูปใบหน้า ไม่มีส่วนที่เป็นคาง ทำจมูกยื่นยาว ปลายจมูกงุ้มเล็กน้อย เจาะรูตรงส่วนที่เป็นตาดำ ให้ผู้สวมมองเห็นได้ถนัด ทาสีแดงทั้งหมด เว้นแต่ส่วนที่เป็นฟันทำด้วยโลหะสีขาว หรือทาสีขาว หรืออาจลี่ยมฟัน (มีเฉพาะฟันบน) ส่วนบนต่อจากหน้าผากใช้ขนเป็ดหรือห่านสีขาวติดทาบไว้ต่างผมหงอก หน้าทาสี เป็นหน้ากากของตัวตลกหญิง ทำเป็นหน้าผู้หญิง มักทาสีขาวหรือสีเนื้อ
การทำชุดมโนราห์เป็นงานศิลปะที่สืบสานมาจากรุ่นบรรพบุรุษ ที่มีความประณีตอันวิจิตรในแบบเครื่องทรงที่ประดับเรือนร่างมโนราห์ ซึ่งปัจจุบันเครื่องแต่งกายชุดมโนราห์ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดนั้น มีความต่างไปจากอดีต เพราะเริ่มหาความประณีตอันวิจิตรในแบบเครื่องทรงที่ครูมโนราห์รุ่นบรรพบุรุษสืบทอดไว้ จึงมีคนรุ่นใหม่และคณะมโนราห์ต่างๆ ในท้องถิ่น อนุรักษ์ศิลปะการร้อยลูกปัดชุดมโนราห์ในท้องถิ่นภาคใต้แขนงนี้ไว้ ตลอดจนสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น ควบคู่กับสืบสานศิลป์แขนงนี้ให้คงอยู่สืบไป ด้วยการนำลูกปัดขนาดเล็กมาคัดแยกสี ขนาด จากนั้นร้อยเป็นเส้นตามต้องการ ก่อนนำเส้นด้ายที่ร้อยมาผูกรวมกัน เพื่อประกอบเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ของชุดอั นประกอบด้วย 1.เทริด 1 หัว 2.ปิ้งคอ 2 ชิ้น 3.บ่า 2 ชิ้น 4.รัดอก 5.หางหงส์ 6.ปิดสะโพก 1 ชิ้น 7.สร้อยคอ 1 เส้น 8.เล็บ 8 ชิ้น 9.ผ้าห้อยและหน้าผ้า 7 ผืน 10.กางเกงมโนราห์ 1 ตัว 11.ผ้าโจงกระเบน 1 ผืน ทำให้ได้ชุดลูกปัดมโนราห์ทั้งชุด ที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาด ด้วยฝีมือที่ยังคงไว้รูปลักษณ์ในแบบฉบับการแต่งองค์ทรงเครื่องยุคอดีตไว้ทุกกระเบียดนิ้ว การร้อยลูกปัดชุดมโนราห์ เป็นงานเย็บปักถักร้อยที่ต้องใช้ทักษะฝีมือ และความใจเย็นอย่างมาก แต่จุดเด่นของงานอยู่ที่ความหลากสีสันของลูกปัด ที่เมื่อได้มองแล้วเกิดควากระชุ่มกระชวย ยิ่งได้ร้อยทีละเม็ดจนสำเร็จเป็นชิ้นงาน ทำให้รู้ว่างานทุกชิ้นที่สร้างสรรค์ขึ้นมีคุณค่าในตัวเอง และเผยแพร่งานร้อยลูกปัดมโนราห์นี้ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงเฉพาะในท้องถิ่น แต่มุ่งหวังถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติได้เห็นเสน่ห์ของภูมิปัญญาของชาวใต้ที่สืบต่อกันมา ที่มา : https://madoomanora.wordpress.com