27 พฤศจิกายน, 2567
น้ำชุบ ผักเหนาะ
น้ำพริก เป็น อาหารไทยประเภทเครื่องจิ้มชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่ใช้รับประทานคู่กับผัก ที่มีส่วนประกอบสำคัญคือ พริก ที่ต้องตำหรือทุบให้แหลก บางพื้นที่ใช้พืชผักที่มีอยู่ในพื้นถิ่นตำลงไปตามส่วนประกอบ น้ำพริกยังเป็นหนึ่งในอาหารไทยที่นิยมทำลงบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งขายต่างประเทศ
คนในสมัยก่อนนิยมรับประทานสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก จึงอาจคิดค้นน้ำพริกขึ้น เพื่อเพิ่มรสชาติและดับกลิ่นคาวต่าง ๆ น้ำพริก ถูกใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารต่าง ๆ หรือใช้ในการรับประทาน เป็นกับข้าว ก็ได้ และยังได้รับความนิยมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สำหรับน้ำพริก แบบที่ใช้เป็นเครื่องปรุงส่วนผสมนั้น เกิดขึ้นเพราะอาหารไทยจำพวกแกง จำเป็นที่จะต้องมีส่วนประกอบ หรือกรรมวิธีการทำที่ค่อนข้างซับซ้อน ผู้ปรุงจึงคิดทำน้ำพริกขึ้น เพื่อรวบรวมส่วนผสมต่าง ๆ นั้นเข้าด้วยกัน เป็นการลดขั้นตอนการปรุงลง และยังสามารถทำเก็บไว้ได้ในจำนวนมาก
น้ำพริกของชาวไทยมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา พบในจดหมายเหตุลาลูแบร์ (พ.ศ. 2230) ราชทูตที่เดินทางเข้ามาในกรุงศรีอยุธยารัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกน้ำพริกของชาวสยามไว้ว่า:-
น้ำจิ้มของพวกเขานั้นทำกันง่าย ๆ ใช้น้ำนิดหน่อยกับเครื่องเทศ, หัวกระเทียม หัวหอมกับผักลางชนิดที่มีกลิ่นดีเช่น กะเพรา พวกเขาชอบบริโภคน้ำจิ้มเหลวชนิดหนึ่งคล้ายกับมัสตาร์ด ประกอบด้วยกุ้งเคยเน่าเพราะหมักไม่ได้ที่ เรียกว่า กะปิ (capi)[1]: 43
การจดบันทึกลา ลู แบร์ น่าจะจดโดยปราศจากความเข้าใจลักษณะอาหารไทยเพราะส่วนผสมดูขาด ๆ เกิน ๆ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ถึงกับทรงขยายความบันทึกของลา ลู แบร์ ไว้ว่า "ลาลูแบร์ตำน้ำพริกไม่น่าอร่อย ขาดน้ำตาล มะนาว น้ำปลา เกินหัวหอม"[1] หากตำน้ำพริกตำรับลาลูแบร์จะคล้ายกับน้ำพริกชาวปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยงขาว)
ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง กล่าวถึงน้ำพริกของชาวสยามไว้ว่า:-
ซอสของเขา (ชาวสยาม) ทำด้วยน้ำนิดหน่อย ใส่กระเทียม หัวหอม และเครื่องหอม[1]: 43
น้ำพริกตำรับตุรแปง ปรุงออกมาจะคล้ายกับเครื่องจิ้มชาวไทดำในประเทศเวียดนาม[1]: 43
ส่วนบันทึกของ สังฆราชฌ็อง-บาติสต์ ปาลกัว บาทหลวงคณะมิสซังโรมันคอทอลิกสมัยรัชกาลที่ 4 บันทึกไว้ว่า:-
พวกบ้านนอกไม่สู้สุรุ่ยสุร่ายในเรื่องอาหารการกิน เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยข้าว ปลาแห้ง กล้วย หน่อไม้ แพงพวยกับผักน้ำอย่างอื่น ใช้จิ้มน้ำผสมเผ็ด ๆ อย่างหนึ่งเรียกว่าน้ำพริก (num-phrik) เครื่องจิ้มชนิดหนึ่งใช้กันทั่วไปในประเทศตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดินลงมาจนถึงทาสชั้นเลวต่างนิยมชมชื่นในรสของเครื่องจิ้มนี้อยู่ถ้วนหน้า[1]: 43–44
น้ำพริกตำรับสังฆราชปัลเลอกัวร์ถือว่ามีรสแซ่บที่สุด เนื่องจากสังฆราชปัลเลอกัวร์จดบันทึกไว้อย่างละเอียดครบถ้วน คือ ตำพริกแห้ง พริกไทย หัวหอม กระเทียม กะปิ น้ำปลา น้ำมะนาว เพิ่มขิง มะขาม และเมล็ดฟักทอง ปรุงจนมีรสฉุนเผ็ดและอร่อยมาก
ภาคใต้ น้ำพริกทางภาคใต้เรียกว่า น้ำชุบ องค์ประกอบหลักคือ พริก หอมและกะปิ มีเอกลักษณ์ คือ ไม่ผสมน้ำมะนาวหรือน้ำตาล จึงมีลักษณะแห้ง ถ้าผสมให้เข้ากันด้วยมือเรียกน้ำชุบหยำหรือน้ำชุบโจร ถ้าตำให้เข้ากันเรียกน้ำชุบเยาะ ถ้าตำแล้วผัดให้สุกเรียกว่าน้ำชุบผัดหรือน้ำชุบคั่วเคี่ยว น้ำชุบของภาคใต้นี้กินกับผักหลายชนิดทั้งผักสดและผักลวก[2] เหตุที่ไม่ผสมน้ำมะนาว เนื่องจาก ชาวประมงในภาคใต้เมื่อออกเรือเป็นเวลาแรมเดือน หามะนาวได้ยาก จึงประกอบน้ำพริกโดยไม่ผสมน้ำมะนาว และเหตุที่เรียกว่า น้ำชุบ คือ การที่นำผักมาชุบกับน้ำพริกแห้ง[3] และยังมีน้ำพริกที่เรียกว่า เคยเจี้ยน ซึ่งเป็นลักษณะน้ำพริกที่ใช้การผัด เป็นที่นิยมในจังหวัดภูเก็ต
คนใต้เรียกน้ำพริกว่า “น้ำชุบ” น้ำพริกภาคใต้หรือน้ำชุบนั้นมี 2 แบบ คือ “น้ำชุบยอก” และ “น้ำชุบหยำ” น้ำชุบยอกคือ น้ำพริกที่โขลกด้วยครกและสาก ต่างจากน้ำพริกกะปิตรงที่ใส่หอมเล็กแทนกระเทียม ส่วนน้ำชุบหยำ จะหั่นส่วนผสมเป็นชิ้นเล็ก ๆ รวมกับเครื่องปรุงแล้วใช้มือขยำให้เข้ากัน ผักที่กินกับน้ำชุบ ภาคใต้จะเรียกว่า “ผักเหนาะ” หมายถึง ผักสด ผักลวกกะทิหรือผักดอง
น้ำชุบหยำ ผู้เฒ่าผู้แก่ในท้องถิ่นเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีโจรแอบย่องเข้าไปขโมยของในบ้านคนอื่น ระหว่างนั้นเกิดหิวขึ้นมา ก็เลยเข้าครัวเปิดดูตู้กับข้าวพบกับความว่างเปล่า จึงนำวัตถุดิบในครัวมาทำน้ำชุบแต่ไม่กล้าใช้ครกโขลกเพราะกลัวจะเกิดเสียงดัง เดี๋ยวคนจับได้ และด้วยความที่เป็นโจรจึงไม่พิถีพิถัน เพราะถ้ามัวแต่ไร (ชักช้า) จะหนีนาย (ตำรวจ) ไม่ทันนั่นเอง ส่วนเรื่องรสชาติมีดีไม่แพ้น้ำพริกชนิดอื่น ส่วนผสม (สำหรับ 1 ถ้วย)
- กุ้งต้มหั่นชิ้นเล็ก ½ ถ้วย
- พริกขี้หนูซอย 10 เม็ด
- หอมเล็กซอย 3 หัว
- กะปิห่อใบตองย่าง 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
ผสมทุกอย่าง คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน เสิร์ฟกับผักเหนาะ
ผักเหนาะ
คำว่า “ผักเหนาะ” หรือ “ผักหน่อ” ผักเกล็ด ผักแกล้ม ผักจิ้ม หมายถึง ผักสด ผักลวกกะทิ หรือผักดอง ชาวใต้มักรับประทานควบคู่กับ อาหารเผ็ดเช่น น้ำพริก(น้ำชุบ) แกงพุงปลา แกงคั่ว ขนมจีน ฯลฯ อาหารปักษ์ใต้ที่ต้องมีผักเหนาะก็เพราะมีความเผ็ดร้อนของอาหารอยู่มาก จึงต้องมีพืชผักมาทำหน้าที่ถ่วงดุลความเผ็ดร้อน ผักเช่นนี้แหละที่เรียกว่า “ผักเหนาะ” ทุกมื้ออาหารปักษ์ใต้จะต้องมีผักเหนาะไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเสมอ จะขาดผักเหนาะไม่ได้ ผักเหนาะเหล่านี้ไม่ใช่จะช่วยลดความเผ็ดร้อนของอาหารเท่านั้น แต่ยังช่วยชูรสทำให้อาหารมีรสอร่อย อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย ผักเหนาะบางชนิดก็เป็นยาอีกด้วย อาทิ ผักรสฝาด เช่น ยอดมะม่วงหิมพานต์ ขนุนอ่อน ยอดกระโดน หัวปลี จะช่วยสมานแผล หรือผักรสขมก็แก้ไข้ แก้อักเสบ เช่น ใบบัวบก สะเดาช้าง ผักที่มีรสจืด เช่น ผักกาดนกเขา ผักน้ำ ก็ช่วยลดกรดในทางเดินอาหาร เป็นต้น ผักเหนาะจึงนับเป็นผักสารพัดประโยชน์ต่อร่างกาย มีทั้งผักสด ผักลวก ผักดอง
ผักสด เช่น แตงกวา ถั่วฟักยาว มะเขือ ลูกเนียง ฯลฯ หรือยอดผักต่าง ๆ เช่นแมงลัก โหระพา มันปู แซะ กระถิน หมุย ผักเหลียง ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะกอก สะตอ ลูกเนียง ลูกเหรียง มะเขือ ขมิ้นชันอ่อน ฯลฯ มาล้างให้สะอาด แล้วนำมาจัดรวมไว้ในภาชนะเดียวกัน ทั้งที่ยังเป็นผล ต้นผัก หรืออาจนำมาหั่นเป็นชิ้นพอคำก็ได้
นอกจากนั้น ยังนำผักสดมาลวกกะทิ ผักเหนาะที่นิยมนำมาลวกกะทิก่อนกิน เช่นผักบุ้ง ปลีกล้วย หยวกกล้วย มะเขือ ผักกูด ผักเหลียง หน่อไม้ ฯลฯ
นำผักสดมาหมักดอง ผักเหนาะที่นิยมนำมาหมักดองก่อนกิน เช่นผักเสี้ยน ผักหนาม สะตอ ประ ผักกาด ผักเสี้ยน ฯลฯ ซึ่งการดองต้องใช้เวลาหลายวัน แต่สำหรับผักบุ้ง แตงกวา มะละกอ ปลีกล้วย จาก สามารถดองแล้วรับประทานได้เลย
ชาวใต้นิยมกินผักเหนาะเพื่อให้ต่างรส แก้เอียนคาว หรือลดรสชาติบางชนิดลง ทั้งยังให้คุณค่าทางโภชนาการ และ คุณค่าทางยาสมุนไพรเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าทำไมอาหารปักษ์ใต้จึงขาดผักเหนาะไม่ได้
ที่มา https://th.wikipedia.org
11 พฤศจิกายน, 2567
ผ้าพระบฏ
ผ้าพระบฏ
พระบฏ คือ ผืนผ้าที่มีรูปพระพุทธเจ้าเป็นต้นและแขวนไว้เพื่อบูชา คำว่า บฏ มาจากคำในภาษาบาลีว่า ปฏ (อ่านว่า ปะ-ตะ) แปลว่า ผ้าทอ หรือ ผืนผ้า ส่วนมากเป็นผ้าแถบยาว มีวาดภาพพระพุทธเจ้า นิยมแขวนไว้ในสถานที่จัดพิธีกรรมในพุทธศาสนา ใช้แทนที่พระพุทธรูป เพื่อเป็นที่เคารพบูชา
ต้นกำเนิดของพระบฏยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ อาจมีที่มาจากตำนานพระพุทธฉาย กล่าวถึงพระเจ้าอชาตศัตรูทูลขอพระพุทธฉายจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงโปรดให้พระพุทธฉายประทับบนผืนผ้าผืนหนึ่ง ในประเทศอินเดีย มีการประดับอาคารศาสนสถานด้วยพระบฏซึ่งเป็นคตินิยมเนื่องในพุทธศาสนามหายานและได้ส่งอิทธิพลไปยังดินแดนต่าง ๆ ที่พุทธศาสนามหายานไปถึง เช่น จีน ญี่ปุ่นดังพบหลักฐานการเขียนภาพบนผืนผ้าและนำไปประดับตามศาสนสถานตั้งแต่ราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง (ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12) ยังพบหลักฐานอ้างอิงถึงจิตรกรรมบนผืนผ้าปรากฏในพระสุตตันตปิฎกแปลจากภาษาบาลี ส่วนการทำผ้าพระบฏขนาดใหญ่มาก ๆ ในทิเบต เรียกกันว่า ผ้าทังกา ซึ่งเป็นพุทธศิลป์ชั้นสูงของพุทธศาสนิกชนสายวัชรยาน
ชาวสยามนิยมทำพระบฏถวายเป็นพุทธบูชามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ปรากฏในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย หลักที่ 106 หรือ จารึกวัดช้างล้อม ระบุปีพุทธศักราช 1927 กล่าวถึง นักบวชรูปหนึ่งชื่อว่า พนมไสดำ ได้สร้างพระบฏขนาดใหญ่สูงถึง 7 เมตร เพื่อเป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้แก่พระมหาธรรมราชา จารึกนี้ยังกล่าวถึงพระบฏจีน ที่มีขนาดเล็กกว่าและใช้ในการประดับตกแต่งภายในอาคาร พระบฏที่เก่าแก่ที่สุดที่พบ คือพระบฏที่พบได้จากกรุพระเจดีย์วัดดอกเงิน อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่[2] ขนาดสูง 3.4 เมตร และกว้าง 1.8 เมตร เป็นฝีมือสกุลช่างล้านนา อายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 21
ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช มีตำนานเล่าว่า มีผู้พบผ้าแถบบาว วาดภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติ ได้ลอยมาทางทะเลและขึ้นฝังที่ชายหาดปากพนัง สมัยที่ยังมีอาณาจักรตามพรลิงก์ ชาวบ้านที่เก็บได้ถวายพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช พระองค์รับสั่งให้ซักผ้านั้นจนสะอาดเห็นภาพวาดพุทธประวัติ เรียกว่า "ผ้าพระบฏ"
ในสมัยรัตนโกสินทร์ วัตถุประสงค์การสร้างพระบฏมีความหลากหลาย เช่น เพื่อเป็นพุทธบูชา เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ และเพื่อเป็นอานิสงส์แก่ตนเองและครอบครัว ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของพระบฏไปด้วย ทั้งในด้านเรื่องราว วัสดุ และขนาด จนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ พ.ศ. 2446 เป็นต้นมา มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการำ คือ จากการเขียนภาพลงบนผืนผ้าทีละผืน มาเป็นการเขียนภาพเป็นแบบไว้ แล้วส่งไปถ่ายบล็อกมาพิมพ์ลงบนกระดาษ ทำให้ผลิตได้เร็วขึ้นและครั้งละมาก ๆ
ประวัติ “ผ้าพระบฏ” นครศรีธรรมราช
ผ้าพระบฏของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีเอกลักษณ์เฉพาะคือเป็นผ้าพื้นสีขาว ผืนยาว เขียนภาพเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกันไปตามช่องภาพ ความยาวของผ้าอย่างน้อย 80 เมตร เนื่องจากความยาวรอบพระบรมธาตุเท่ากับ 80 เมตร เขียนภาพตามแนวนอน ผ้าพระบฏแต่ละผืนจึงมีภาพเขียนหลายภาพ เรื่องราวต่อเนื่องกันทั้งผืน เมื่อภาพเขียนเสร็จแล้วก็จะมีการสมโภชผ้าพระบฏ พิธีแห่ และนำขึ้นห่มพระบรมธาตุเจดีย์ พิธีสมโภชผ้าพระบฏ มักจะนำไปสมโภชที่อำเภอปากพนัง เพราะเป็นต้นกำเนิดตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช และที่สนามหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ตามความเดิม “ครั้งนั้นชาวอริยพงษ์อยู่เมืองหงษาวดีกับคน 100 หนึ่ง พาพระบตไปถวายพระบาทในเมืองลังกา ต้องลมร้าย สำเภาแตกชัดขึ้นปากพนัง พระบตซัดขึ้นปากพนัง ชาวปากพนังพาขื้นมาถวาย สั่งให้เอาพระบตกางไว้ที่ท้องพระโรง ชาวอริยพงษ์ 10 คน ซัดขึ้นปากพูน เดินตามริมเลมาถึงปากน้ำพระญาน้อย ชาวปากน้ำพาตัวมาเฝ้า ชาวอริยพงษ์เห็นพระบตก็ร้องไห้ พระญาก็ถามชาวอริยพงษ์ก็เล่าความแต่ต้นแรกมานั้น และพระญาก็ให้แต่งสำเภาให้ไปเมืองหงษาวดีนิมนต์พระสงฆ์ ชาวอริยพงษ์ก็ลงสำเภาไปนิมนต์พระสงฆ์มา 2 พระองค์ องค์หนึ่งชื่อมหาปเรียนทศศรี องค์หนึ่งชื่อมหาเถรสัจจานุเทพ ฝ่ายนักเรียนทั้งสองพระองค์มาทำพระธาตุลงปูนเสร็จแล้วพระญาให้แต่งสำเภาไปนิมนต์พระสงฆ์เมืองลังกามาเสกพระมหาธาตุ”
แปลความ “สมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงปกครองนครศรีธรรมราช ชาวเมืองหงสาวดีพา “ผ้าพระบฏ” ไปถวายพระพุทธบาทที่ลังกา เกิดพายุพัดเรือล่มที่ปากพนัง คลื่นซัด “ผ้าพระบฏ” ขึ้นฝั่งที่ปากพนัง ชาวปากพนังนำ “ผ้าพระบฏ” มาถวายพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระองค์รับสั่งให้ซักผ้านั้นจนสะอาด เห็นภาพวาดพุทธประวัติจึงรับสั่งให้กาง “ผ้าพระบฏ” ไว้ที่ท้องพระโรงประกาศหาเจ้าของ คลื่นซัดชาวเมืองหงสา 10 คนไปขึ้นฝั่งที่ปากพูน ผู้รอดชีวิตเดินตามชายฝั่งมาถึงปากน้ำปากพญาชาวบ้านพาผู้รอดชีวิตทั้ง 10 คนมาเฝ้าพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ชาวเมืองหงสาผู้รอดชีวิตเห็น “ผ้าพระบฏ” ก็ร้องไห้ และทูลเล่าความเป็นมาตั้งแต่ต้น”
ซึ่งในช่วงนั้นพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ได้บูรณะปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์ครั้งใหญ่แล้วเสร็จและเตรียมการสมโภช ทรงเห็นว่าควรนำ “ผ้าพระบฏ” ไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์ แม้จะไม่ใช่พระพุทธบาทตามที่ตั้งใจ แต่ภายในองค์พระบรมธาตุเจดีย์บรรจุพระทันตธาตุ (พระเขี้ยวแก้วเบื้องซ้าย) ของพระพุทธเจ้าเอาไว้ ซึ่งเป็นพระบรมสารีริกธาตุ ชาวหงสาเจ้าของ “ผ้าพระบฏ” ก็ยินดี การแห่ผ้าขึ้นธาตุ จึงมีขึ้นตั้งแต่ปีนั้นและมีสืบมา จนกลายเป็นประเพณีสำคัญของชาวนครศรีธรรมราช ในปัจจุบัน พิธีแห่ “ผ้าพระบฏ” ขึ้นห่มโอบฐานพระบรมธาตุเจดีย์จังหวัดนครศรีธรรมราชมีปีละสองครั้งคือ วันมาฆบูชา และวันวิสาขบูชา
ภาพและเรื่องราวของผ้าพระบฏ
ในคติดั้งเดิม ผ้าพระบฏมีส่วนประกอบสำคัญคือพระพุทธเจ้ายืนยกพระหัตถ์ขวา ต่อมามีพระอัครสาวกประกอบซ้ายขวา ช่วงบนที่มุมซ้ายและขวามักมีฤๅษีหรือนักสิทธิ์ เหาะพนมมือถือดอกบัว ในระยะต่อมา แม้ว่าจะมีภาพเล่าเรื่องเข้ามาประกอบ แต่ส่วนสำคัญของภาพก็ยังคงเป็นภาพที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา ภาพและเรื่องราวที่เขียนในพระบฏ คือ
ภาพพุทธประวัติ เริ่มตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน
ภาพพระพุทธเจ้ายืนยกพระหัตถ์ขวา หรือบางครั้งมีพระอัครสาวกยืนประนมมือขนาบข้างซ้าย - ขวา หมายถึง พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร ส่วนใหญ่แล้วมักเขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้ายืนภายในกรอบซุ้มประตู
ภาพพระพุทธประวัติ นิยมเขียนในตอนมารผจญ ตอนเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และตอนเสด็จลงจากดาวดึงส์
พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัลป์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ และพระกัสสปะ พระสมณโคดม และพระศรีอาริยเมตไตรย
พระมาลัย เป็นวรรณกรรมในพุทธศาสนาที่กล่าวถึง พระอรหันต์นามว่าพระมาลัย เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์สามารถเหาะลงไปโปรดสัตว์นรก และขึ้นไปนมัสการพระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยภาพเขียนพระมาลัยจะเป็นพระสงฆ์ห่มจีวรสีแดง ถือตาลปัตร สะพายบาตร อยู่ในท่าเหาะ หรือไม่เช่นนั้นก็จะนั่งอยู่ต่อหน้าพระเจดีย์จุฬามณี
พระเจดีย์จุฬามณี เป็นพระเจดีย์แก้วสีเขียวที่พระอินทร์ทรงสร้างไว้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นที่ประดิษฐานพระเกศา (เส้นผม) พระเวฏฐนพัสตร์ (ผ้าโพกศีรษะ) พระทักษิณทันตทาฒธาตุ (เขี้ยวซี่บนซ้าย - ขวา) และพระรากขวัญเบื้องบน (กระดูกไหปลาร้าบน) ของพระพุทธเจ้า
ทศชาติชาดก คือเรื่องราวของพระพุทธเจ้าครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญบารมีอันเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ 10 พระชาติสุดท้าย ก่อนที่จะเสวยพระชาติเป็นพระโคตมพุทธเจ้า
เวสสันดรชาดก เป็นเรื่องที่นิยมเขียนกันมาก เพราะเป็นพระชาติที่บำเพ็ญบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะเสวยพระชาติเป็นพระโคตมพุทธเจ้า จึงเรียกว่า มหาชาติ
อสุภะ คือภาพพระสงฆ์พิจารณาซากศพที่อยู่ในสภาพต่างๆ กัน สำหรับเป็นมรณานุสติให้แก่พระภิกษุสงฆ์และบุคคลทั้งหลาย
ภาพอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีพระบฏที่เขียนเป็นภาพพระพุทธบาทสี่รอย มีลายมงคล ๑๐๘ ประการ ภาพพระอดีตพุทธเจ้าประทับนั่งเรียงเป็นแถว หรือภาพเล่าเรื่องในวรรณกรรม เช่น พระสุธน - มโนห์รา เป็นต้น
ขั้นตอนการเขียน “ผ้าพระบฏ”
ใช้ผ้าสีขาวใยสังเคราะห์ น้ำหนักเบา ความยาวของผ้าอย่างน้อย 80 เมตร ตามความยาวรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ แบ่งกรอบภาพเป็นช่อง ตามแนวนอน ขนาดของช่องขึ้นอยู่กับความยาวผ้า และเว้นช่องว่างคั่นระหว่างกรอบภาพ
เตรียมวัสดุอุปกรณ์ กระดาษบรูฟ ดินสอ ยางลบ สี
ข้อมูลพุทธประวัติ
ร่างภาพต้นแบบขนาดตามกรอบที่กำหนดไว้ลงบนกระดาษ
ลงสีรองพื้นบนผืนผ้าตามกรอบภาพ
คัดลอกภาพต้นแบบลงบนผืนผ้า เขียนภาพพระบฏ
ลงสีภาพ เก็บรายละเอียดภาพ ตัดเส้น ตกแต่งภาพ
พระบฏ ผืนผ้าอันงดงาม พุทธบูชาองค์พระบรมธาตุเจดีย์ สะท้อนให้เห็นความมีชีวิตของพุทธศาสนาในนครศรีธรรมราชที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน พระบฏใช้เวลาในการสร้างนานนับเดือน สร้างด้วยศรัทธา ด้วยจิตวิญญาณของพุทธศาสนิกชน ปัจจุบันจังหวัดนครศรีธรรมราชได้มีการบูรณาการให้มีการเรียนการสอนหลักสูตร การสร้างพระบฏ ขึ้นในโรงเรียน สถานศึกษา เพื่อให้เยาวชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช รวมถึงเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาที่แฝง คติธรรม คำสอน ไว้บน “พระบฏ ภาพเขียนบนผืนผ้า”`
อ้างอิง
พระบฏ / จารุณี อินเฉิดฉาย, ขวัญจิต เลิศศิริ, 2545 กรุงเทพฯ สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 94 หน้า
ผ้าพระบฏ
ผ้าพระบฎเมืองนคร
ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
https://library.wu.ac.th/NST_localinfo/phrabot/
ฐาปนีย์ เครือระยา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
05 พฤศจิกายน, 2567
นายเห้ง โสภาพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (เครื่องถม)
ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (เครื่องถม) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๒๙
ประวัติศิลปิน
นายเห้ง โสภาพงศ์ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2455 ที่บ้านหน้าวัดพระบรมธาตุ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายชี และนางนุ้ย โสภาพงศ์ เมื่ออายุ 8 ปี ได้เข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนพระเสื้อเมือง (โรงเรียนวัดพระมหาธาตุในปัจจุบัน) จบชั้นประถมปีที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2466 แล้วไปเรียนต่อที่โรงเรียนช่างถม วัดวังตะวันออก ซึ่งได้พัฒนาเป็นวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน จนจบหลักสูตรช่างถม เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้ปฏิบัติงานอยู่ที่โรงเรียนนี้ถึง 3 ปี แล้วจึงออกไปทำงานเป็นช่างถมอย่างเต็มตัว เมื่ออายุ 22 ปี โดยประจำอยู่ที่ร้านสุพจน์(เป็นโรงงานและร้านที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องถม ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครศรีธรรมราช ) ณ ที่นี้ นายเห้ง ได้รับการฝึกทำเครื่องถมเป็นพิเศษจาก นายรุ่ง สินธุรงค์ ช่างถมฝีมือเยี่ยมยุคนั้น จนทำให้นายเห้ง โสภาพงศ์ มีฝีมือเข้าขั้นเป็นช่างถมยอดเยี่ยมของเมืองนครศรีธรรมราชตามไปด้วย
เครื่องถมที่นายเห้ง โสภาพงศ์ ประดิษฐ์ มีตั้งแต่สิ่งเล็กๆ เช่น แหวน ล็อคเก็ต กำไล ไปจนถึงสิ่งของชิ้นใหญ่ๆ เช่น ขัน พาน ถาด การประดิษฐ์ ทำด้วยมือทั้งสิ้น นับตั้งแต่ขึ้นรูป การเขียนลวดลาย การสลัก การถม การขัด โดยใช้ความชำนิชำนาญ และความละเอียดลออและความอุตสาหวิริยะเป็นสำคัญ เครื่องถมเหล่านี้ได้ถูกจำหน่ายจ่ายแจก และเปลี่ยนมือไปหลายต่อหลายแห่ง ที่มีสะสมตอทอดอยู่บ้างในเวลานี้ พอจะหาดูได้ในวัดพระเขียน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช ผลงานที่นายเห้ง โสภาพงศ์ ภาคภูมิใจก็คือ ชุดน้ำชาถมทอง ซึ่งตนร่วมกับช่างถมชาวนครหลายคนประดิษฐ์ขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2502 ชุดน้ำชาถมทองชุดนี้ เป็นชุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนำไปพระราชทานแด่ประธานาธิบดีไอเซฮาวด์ แห่งสหรัฐอเมริกา ในคราวเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาและยุโรปครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2503 นอกจากนั้นในช่วง 50 ปีเศษ ของการเป็นช่างถม นายเห้ง ได้ทำเครื่องถมเพื่อจำหน่ายบ้าง ทำตามที่ลูกค้าสั่งบ้าง หลายร้อยชิ้น ในจำนวนนี้เคยส่งเข้าร่วมประกวดในงานศิลปหัตถกรรมที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตหกรรม จัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2514 โดยได้รับรางวัลที่ 3 ด้วย นายเห้ง โสภาพงศ์ สมรสกับนางตุ้น โสภาพงศ์ มีบุตรธิดา 8 คน ในจำนวนนี้ผู้ชายสองคนคือ นายโสฬส โสภาพงศ์ และนายจรวย โสภาพงศ์ ได้สืบทอดวิชาการทำเครื่องถมและนำไปประกอบอาชีพสืบแทนบิดา นายเห้ง โสภาพงศ์ ได้สร้างผลงานด้วยความประณีตและพัฒนาอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผยแพร่และถ่ายทอดวิชาความรู้แก่ศิษย์และผู้สนใจตลอดเวลา ซึ่งสมควรยกย่องไว้ในฐานะศิลปินแห่งชาติ ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงได้ประกาศยกย่องให้นายเห้ง โสภาพงศ์ เป็นศิลปินพื้นบ้านดีเด่น ประจำปี 2529 สาขาเครื่องถม เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2529 ต่อมาในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2530 คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติก็ได้ยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2529 สาขาทัศนศิลป์ (เครื่องถม) เข้ารับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ปัจจุบัน นายเห้ง โสภาพงศ์ ได้ถึงแก่กรรมแล้ว
ผลงานที่เป็นเอกลักษณ์
เครื่องถม เป็นศิลปหัตถกรรมชั้นเลิศของไทย และหนึ่งในสามงานฝีมือของช่างศิลป์ไทยในอดีต อันประกอบไปด้วย เครื่องเขิน เครื่องทอง และเครื่องถม สำหรับงานเครื่องถมนี้ ชาวนครศรีธรรมราชได้รับการสืบทอดความรู้มาจากช่างชาวโปรตุเกสตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ช่างฝีมือชาวนครศรีธรรมราชได้พัฒนางานถมเรื่อยมาจนกระทั่งกลายเป็นงานหัตถศิลป์ชั้นเลิศ จนเป็นที่รู้จักกันในนาม “ถมนคร”
เครื่องถมนครนั้น ถือเป็นงานประณีตศิลป์ชิ้นเอกแห่งแผ่นดิน ที่นอกจากจะเป็นเครื่องราชูปโภคแล้วยังเป็นเครื่องราชบรรณาการอีกอย่างหนึ่งด้วย ถือเป็นของขวัญชิ้นสำคัญที่พระเจ้าแผ่นดินมอบให้แก่
ราชอาคันตุกะในหลายยุคหลายสมัย สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชาวนครศรีธรรมราชเป็นอันมากและด้วยความรู้ความสามารถในเชิงช่างที่สืบทอดต่อกันมา ทำให้ฝีมือของช่างถมเมืองนครเป็นเลื่องลือ และหนึ่งในช่างถมที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยกย่องว่ามีฝีมือยอดเยี่ยมของจังหวัดนครศรีธรรมราชก็คือ ครูเห้ง โสภาพงศ์ ซึ่งตลอดชีวิตของท่านได้ทุ่มเทให้กับการสร้างสรรค์ชิ้นงานเครื่องถมมาโดยตลอด ตั้งแต่สิ่งของขนาดเล็ก เช่น แหวน ล็อกเกต กำไล ไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ขนาดใหญ่ ได้แก่ ขัน พาน ถาด ฯลฯ ซึ่งต้องอาศัยความละเอียดลออ ความชำนิชำนาญ และความวิริยะอุตสาหะ เป็นสำคัญ ผลงานที่ทำให้ท่านภาคภูมิใจยิ่งคือ ชุดน้ำชาถมทอง ซึ่งท่านได้ร่วมกับช่างถมนครอีกหลายคนประดิษฐ์ขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนำไปพระราชทานแด่ประธานาธิบดีไอเซนฮาวด์ แห่งสหรัฐอเมริกา ในคราวเสด็จประพาส สหรัฐอเมริกาและยุโรปครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓ สำหรับเครื่องถมอันเป็นผลงานของท่าน
ปัจจุบันได้ถูกจำหน่าย จ่ายแจก และเปลี่ยนมือไปหลายต่อหลายแห่ง ที่มีสะสมตกทอดอยู่บ้างในเวลานี้ พอจะหาดูได้ในวัดพระเขียนวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช ปัจจุบันศิลปะการทำเครื่องถมมีเหลือน้อยมาก ทั้งนี้ คงเป็นเพราะเครื่องถมเป็นของที่มีค่าและมีราคาสูงจึงใช้กันอยู่แต่ในราชสำนักและผู้มีฐานะดีเท่านั้น ขณะเดียวกันการทำเครื่องถมเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือและความละเอียดประณีตสูง เพราะทำด้วยมือล้วนๆ อีกทั้งต้นทุนการผลิตก็สูงขึ้น และช่างฝีมือดีๆ ก็นับวันจะลดลง ดังนั้นจึงเป็นที่น่าเสียดายว่า ต่อไปในอนาคตหากคนรุ่นหลังไม่หวงแหน และอนุรักษ์ไว้ งานหัตถศิลป์นี้คงจะสูญหายไปโดยไม่มีผู้สืบทอด
ศิลปินแห่งชาติ หนังสุชาติ ทรัพย์สิน
ศิลปินแห่งชาติ หนังสุชาติ ทรัพย์สิน
สุชาติ ทรัพย์สิน เป็นนายหนังตะลุงและช่างแกะสลักฝีมือดีคนหนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2481 ที่ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา ขณะที่สุชาติเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 3 ที่โรงเรียนวัดสระแก้ว ทางวัดได้จ้างนายด่วน ช่างจากกรุงเทพฯ มาทำพระประธาน สุชาติได้ไปเฝ้าดูด้วยความสนใจ เมื่อนายด่วนมีเวลาว่างจึงสอนให้หัดเขียนลายไทย จุดนี้เองที่ได้วิชาเพราะความรักงานศิลปะขึ้นในจิตใจของสุชาติ
การศึกษา
ครั้นเขาเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์นายทอง หนูขาว ช่างแกะสลักหนังชาวตำบลสระแก้วนายทองผู้นี้เป็นช่างฝีมือดี ได้แกะรูปหนังตะลุงให้กับนายเอี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นหนังดีคณะหนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยนั้น นอกจากนายทองจะมีฝีมือในการแกะสลัก หนังแล้วยังมีความสามารถทางด้านกาพย์กลอนด้วย สุชาติจึงได้เรียนวิชาแกะหนังและหัดว่ากาพย์กลอนไปพร้อม ๆ กัน ครั้นเรียนแกะหนังจนสามารถร่างแบบและแกะได้แล้วจึงออกไปแกะรูปหนังตะลุงด้วยกระดาษถุงปูนซิเมนต์จำหน่ายตามงานเทศกาลและตลาดนัดต่าง ๆ พออายุได้ราว 14 ปี เกิดความละอายที่เที่ยวขายรูปกระดาษจึงหันมารับทำเมรุ ทำเบญจาและทำโลงศพ ซึ่งก็ใช้วิชาแกะสลักเช่นเดียวกัน บางครั้งเมื่อไปรับจ้างทำงานเหล่านี้ ตกกลางคืนมีผู้ชักชวนให้เล่นหนังตะลุงก็เล่นเพื่อเป้าหมายหลักเพื่อความสนุกสนาน มิได้มีสินจ้างรางวัลแต่อย่างใด หลังจากนั้นสุชาติได้รับงานใหม่แล้วเปลี่ยนอยู่หลายงาน ได้แก่ เป็นช่างซ่อมรถจักรยาน เป็นช่างรับจ้างถ่ายรูปโดยเดินไปถ่ายถึงหมู่บ้าน และทำสวนอยู่ 2 ปี ในที่สุดก็เบื่อหน่ายจึงได้ออกจากบ้านโดยมิได้บอกกล่าวผู้ใด
การทำงาน และผลงานต่าง ๆ
อยู่จังหวัดกระบี่ได้มอบตัวเป็นศิษย์ของหนังกราย และเริ่มจับงานเล่นหนังตะลุงอย่างจริงจัง ได้เที่ยวเล่นไปในหลายจังหวัดในภาคใต้ ระยะแรกที่เล่นหนังตะลุงใช้ชื่อว่า “หนังสุชาติ ฉลามดำ” ต่อมา พ.ศ.2506 เขาชนะประกวดกลอนทางวิทยุ มทบ.5 ค่ายวชิราวุธ นครศรีธรรมราช จึงเปลี่ยนชื่อคณะเป็น “หนังสุชาติ กลอนงาม” ได้ประชันกับหนังที่มีชื่อเสียงหลายคณะ เช่น หนังประทิ่น บัวทอง หนังเคล้าน้อย และหนังจูเลี่ยม เป็นต้น ทั้งยังยอมรับจ้างว่ากลอนโฆษณาขายสินค้าทางสถานีวิทยุให้แก่บริษัทห้างร้านหลายแห่ง
ในช่วงที่สุชาติเริ่มมีชื่อเสียงในการเล่นหนังตะลุง เขาได้กลับมาอยู่บ้านเดิมที่สระแก้ว หลังจากแต่งงานเมื่อายุ 29 ปี ได้แยกครอบครัวมา ตั้งบ้านเรือนหลังวัดสระเรียง ในเขตเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราช และที่นี่เองสุชาติเริ่มงานแกะรูปหนังตะลุงอย่างจริงจัง รูปที่แกะส่วนใหญ่เป็นรูปที่ใช้ประดับฝาผนังอาคารบ้านเรือน ซึ่งมีรูปแบบต่างไปจากรูปหนังตะลุงที่ใช้ในการแสดง ด้วยฝีมืออันปราณีต ทำให้ผลงานของเขาได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจนไม่สามารถผลิตตามลำพังของตนเองได้ทัน สุชาติจึงคิดรวมช่างแกะหนังในจังหวัดนครศรีธรรมราชและพัทลุงขึ้น โดยเขาเป็นผู้กำหนดแบบและให้ช่างแกะและระบายสี สำหรับแบบ เนื่องจากต้องการทำเหมือนกันเขาจึงนำเอาแบบพิมพ์เขียวมาใช้ ซึ่งแต่เดิมการแกะหนังจะจารด้วยเหล็กแหลมลงไปบนพื้นหนัง เป็นเฉพาะรูปเฉพาะชิ้นงานเท่านั้นในการจำหน่ายผลงานทั้งหมดในระยะแรก ๆ สุชาติไม่ได้ทำด้วยตนเอง แต่มีผู้เดินตลาดเฉพาะชื่อ นายเจริญ วิริยทูรจากระบบ
การผลิตและจำหน่ายเช่นนี้จึงทำให้กิจการของเขาคล่องตัวมาก ในปี พ.ศ.2511 เขาได้ส่งผลิตภัณฑ์ให้บริษัทอุตสาหกรรมไทยในครัวเรือน (กรุงเทพฯ) เป็นผู้จำหน่าย และยังผูกพันกันมาจนบัดนี้
แม้สุชาติจะทำหัตถกรรมแกะรูปหนังเป็นแบบพาณิชย์แต่เขาคำนึงถึงคุณค่าทางศิลปะวัฒนธรรมเป็นพิเศษ ผลงานของเขาจึงมีราคาสูงกว่ารูปหนังที่จำหน่ายอยู่ในภาคใต้โดยทั่วไป และข้อสำคัญเขามิได้วางจำหน่ายในส่วนภูมิภาค สิ่งที่จะประกันมือของเขาอย่างหนึ่งคือ ผลการตัดสินของคณะกรรมการประกวดรูปหนังซึ่งให้เขาได้รับรางวัลที่ 1-3 จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหลายปีติดต่อกัน (ประกวดที่สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช) จนระยะหลังเขาได้รับเชิญให้เป็นกรรมการตัดสินการประกวดซึ่งหมายถึงว่าเขาหมดสิทธิ์ในการส่งผลงานเข้าประกวดโดยปริยาย
สำหรับผลงานที่เขาภูมิใจมากที่สุดเป็นงานที่ชนะการประกวดชิ้นแรก ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ณ สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช งานดังกล่าวเป็นรูปช้างเอราวัณหลังจากชนะการประกวดแล้ว เขาได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า “ขอบใจนะที่รักษาของเก่าไว้ให้ อย่าหวงวิชา”
สุชาติมีความรู้เกี่ยวกับการแกะหนังและเรื่องหนังตะลุงเป็นอย่างดี ทั้งเป็นคนที่มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ความคิดและมี
มนุษยสัมพันธ์ดี มีจิตใจกว้างขวาง ชอบช่วยเหลืองานสาธารณะ จึงได้รับเชิญจากหน่วยงานต่าง ๆ ให้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น เช่น งานกองส่งเสริมหัตถกรรมและสมาคมนักออกแบบแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการดำเนินงานศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาวัฒนธรรมวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช เป็นต้น โดนเฉพาะงานศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาวัฒนธรรม วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราชนั้น สุชาติได้ฝากฝีมือที่เขาภูมิใจอีกชิ้นหนึ่งคือ การจัดแสดงลักษณะและประวัติของรูปหนังตะลุงทั้งหมดไว้ในอาคารศูนย์วัฒนธรรมของวิทยาลัยครู ซึ่งผลงานชิ้นนี้ได้รับความสนใจจากผู้เข้า เยี่ยมชมศูนย์ฯ เป็นอย่างมาก
ผลงานของสุชาติ ไม่เพียงแต่ทำให้เขามีชื่อเสียง มีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ยังทำให้ต่างชาติปราถนาจะได้ตัวเขาไปถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการแกะหนังให้แก่ชาติของเขาด้วยดังปรากฏว่าในปี พ.ศ.2523 ได้มีฝรั่งชาติเยอรมนีมาติดต่อว่าจ้างให้เขาไปสอนการแกะหนังที่เยอรมนี โดยเสนอค่าจ้างปีละ 1,500,00 บาท จ้างเป็นเวลา 5 ปี เมื่อเขาได้รับข้อเสนอจึงตอบว่า “งานแกะหนังเป็นสมบัติของชาติ ถ้าต้องการตัวเขาให้ติดต่อกับรัฐบาล”ซึ่งผลปรากฏว่าผู้ที่มาติดต่อได้เงียบหายไป
เกียรติคุณที่ได้รับ
สุชาติ ทรัพย์สิน ได้รับรางวัลชีวิตหลายสิ่งหลายอย่างทั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพฯ ตลอดจนหน่วยราชการ สถาบัน และบุคคลต่าง ๆ มากมายเช่น ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลดีเด่นทางวัฒนธรรมสาขาทัศนศิลป์ของ สวช. (การแกะหนัง) ได้รับรางวัลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหลายครั้ง ได้เป็นกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์สาขาวัฒนธรรมศึกษา ของสถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช เป็นกรรมการที่ปรึกษาการซ่อมแซมหนังใหญ่วัดขนอน จังหวัดราชบุรี ตามพระดำริของสมเด็จพระเทพฯ
สุชาติ ทรัพย์สิน ได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาคือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้ประดิษฐ์และแกะหนังใหญ่เรื่องพระมหาชนกรวม 45 ภาพ
ที่มา : https://www.tungsong.com/NakhonSri/Cultures&Games_Nakhonsri/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87/Mastery16.html
หนังพร้อมน้อย ตลุงสากล ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง
.หนังพร้อมน้อย ตลุงสากล ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หนังตะลุง) ปี พ.ศ. 2546
พร้อม บุญฤทธิ์" หรือ "หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 ตรงกับวันพุธขึ้น 5 ค่ำ เดือน 3 ปีกุน ณ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นบุตรคนแรกของ พลัด-แปรง บุญฤทธิ์ บิดาคือ นายพลัด บุญ เป็นนายหนังตะลุงที่มีชื่อเสียงของจังหวัดพัทลุง ที่รู้จักกันในนาม “หนังกรายชายแดน” นายพร้อม บุญฤทธิ์ ได้มีโอกาสติดตามบิดาไปในการแสดงหนังตะลุงตามสถานที่ต่าง ๆ จนเมื่ออายุ 11 ปี จึงได้รับการ “ครอบมือ” หรือ “ยื่นรูป” จาก “หนังสีหมอก” ครูหนังชั้นนำในสมัยนั้น จากนั้น จึงออกตระเวนไปแสดงหนังตะลุงตามสถานที่ต่าง ๆ จนมีชื่อเสียง
ในยุคแรกหนังพร้อมน้อยใช้ชื่อในการแสดงคือหนัง "พร้อมน้อย" ในยุคสมัยนั้นมีคณะหนังตะลุงที่โด่งดังในภาคใต้อีกหนึ่งคณะ คือ "หนังพร้อม อัศวิน" หรือหนังพร้อมใหญ่ อำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา ครั้งหนึ่งที่หนังพร้อมน้อยเดินทางไปแสดงที่วัดศิลาราย (วัดป่าขี้ดิน) ตำบลนาหลวงเสน อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช คณะเจ้าภาพเขียนป้ายหน้าวัดไว้ว่า คืนนี้พบกับการแสดงของ "หนังพร้อมน้อย อัศวิน ด.เด็กขี้เซา" ซึ่งล้อเลียนให้พ้องกับชื่อ"หนังพร้อม อัศวิน" หนังพร้อมน้อยชอบชื่อนี้มาก จึงใช้ชื่อในการแสดงว่า "หนังพร้อมน้อย อัศวิน ด.เด็ก" ต่อมาหนังพร้อมน้อย ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงโดยนำเครื่องดนตรีสากลอันได้แก่ กลองชุด กีตาร์ เบส คีย์บอร์ด มาบรรเลงกับเครื่องดนตรีหนังตะลุง เป็นคณะแรก เพื่อให้ทันต่อยุคสมัย และเปลี่ยนชื่อที่ทำการแสดงมาเป็น"หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล" นับแต่นั้นเป็นต้นมา
พร้อม บุญฤทธิ์" หรือ "หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล" เชื่อว่าทั้ง 2 ชื่อนี้ เป็นที่รู้จักมักคุ้นของคนใต้ทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่มีสายเลือดสะตอเข้มข้นด้วยแล้ว สมควรต้องจัดว่าเป็นที่คุ้นชินกันเลยทีเดียว กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้วที่ หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล ตระเวนสร้างความบันเทิงรื่นเริงใจไปพร้อมๆ กับการสอดแทรกแง่คิดคติธรรมให้กับสังคม จนเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนอย่างไม่เลือกชั้น วรรณะ เพศหรือวัย เขาคือคนที่ทำให้ "นายหลำ" "นายยอดทอง" "นายหนูนุ้ย" และ "นายเท่ง" โลดแล่นอยู่บนจออย่างมีชีวิตชีวา เสมือนว่าเป็นคนที่มีตัวตนจริงๆ มิใช่เพียงหนังสัตว์ที่ถูกนำมาเล่นเป็นเงา โดยเฉพาะ "นายหลำ" นั้นเป็นที่รับรู้ของคอหนังตะลุงว่า นั่นคือเอกลักษณ์หรือตัวแทนตัวตนที่แท้จริงของ พร้อม บุญฤทธิ์ เลยทีเดียว
อายุ 19 ปี พร้อม บุญฤทธิ์ แต่งงานครั้งแรกกับ กิ้มแน่น ปลอดพัก ชาวนาปะขอ หากกล่าวว่าเป็น "วิวาห์เหาะ" น่าจะตรงกว่า เพราะเขาใช้วิธีฉุดแล้วพาหนีก่อนที่จะกลับมาขอขมาลาโทษแต่งงานแบบต้องตามประเพณีภายหลัง กับภรรยาคนแรกนี้มีชาย-หญิงด้วยกันอย่างละคน แต่ปัจจุบันเพียงบุตรชายที่ชื่อ กลิ่น บุญฤทธิ์ จากนั้นมาเขาก็มีภรรยาเพิ่มอีก 9 คน ได้แก่ เนื่อง ศรีวิโรจน์ มีบุตรด้วยกัน 1 คน, สารภี โพธิ์ทอง มีบุตรด้วยกัน 3 คน, สารภี บัวทอง มีบุตรด้วยกัน 5 คน, วิไล อินทฤทธิ์พงศ์, จันทรา แซ่ยิ่ง (เสียชีวิตแล้ว), ละเมียด ชูช่วย, หนูภักดิ์, ศศิธร บัวทอง มีบุตรด้วยกัน 2 คน และ วิมลวรรณ อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เขาอยู่กันกับภรรยา 6 คนคือ กิ้มแน่น, วิไล, ละเมียด, หนูภักดิ์, ศศิธร และวิมลวรรณ
การศึกษา
ตอนวัยเด็กอาศัยอยู่กับยาย ตอน 9 ขวบเข้าเรียนที่โรงเรียนชัยแก้วศึกษา วัดป่าตอ ต.โตนดด้วน เรียนชั้น ป.เตรียมได้ 10 วันก็เลื่อนสู่ชั้น ป.1 ความที่อ่านหนังสือคำกลอนพระอภัยมณีได้ด้วยลุงและน้าช่วยสอนให้ ทำให้เมื่อจบ ป.1 ก็ได้กระโดดไปเรียนชั้น ป.3 เลย ทว่าเรียนได้อีกเทอมเดียวก็หนีไปอยู่กับพ่อที่บ้านโห แล้วเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนบ้านแหลมโตนดในชั้น ป.4 จนอายุ 11 ขวบก็ตัดสินใจหันหลังให้การศึกษา ในระบบเขารักที่จะเดินตามเส้นทางชีวิตศิลปินแบบพ่อ ตั้งแต่ช่วงที่ยังนุ่งชุดนักเรียนอยู่ กลางวันไปเรียนหนังสือ กลางคืนขอหัดหนังตะลุงที่บ้าน เมื่อออกจากโรงเรียนเลยได้โอกาสติดส้อยห้อยตามพ่อไปตระเวนเล่นหนังตะลุง พอเป็นหนุ่นกระทงอายุ 15 ปี พ่อได้ไปปักหลักอยู่ที่สุราษฎร์ธานี อินทร์ ชูเดช ชาวนาปะขอ ต.นาปะขอ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง เกลอแก้วเกลอขวัญของพ่อมาขอไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ทำให้ต้องระหนระเหินมาอยู่ที่บ้านนาปะขอ โบราณว่า "รถไฟ-เรือเมย์-ลิเก-ตำรวจ" พวกมีอาชีพเหล่านี้มักเจ้าชู้ ทว่าสำหรับสายเลือดสะตอเมืองใต้แล้วต้องรวมเอา "นายหนังตะลุง" ไว้ในทำเนียบจอมเจ้าชู้ด้วย
การทำงานและผลงานต่างๆ
แม้พ่อเป็นนายหนังตะลุงชื่อก้อง พ่อเป็นครูคนแรกที่หัดหนังตะลุงให้ ขนาดตอนพ่อขึ้นโรงก็ยังให้ช่วยพากษ์ฤาษีหรือพระอิศวรแทนอยู่บ่อยๆ ทว่าครูหนังตะลุงที่ "ครอบมือ" ให้ พร้อม บุญฤทธิ์ กลับเป็น "หนังสีหมอก" นายหนังตะลุงขาด้วนที่ขี่ควายมาที่โรงหนังแล้วยื่นหนังตะลุงอันถือเป็นการครอบครูให้
บนเส้นทางสู่ความเป็น หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล ที่ชื่อเสียงเรียงนามนับว่ากระฉ่อนทั่วภาคใต้ในวันนี้ ถือได้ว่าต้องต่อสู้แผ่วถางทางมาอย่างชนิดสมบุกสมบันพอดู กล่าวคือ ขณะอาศัยอยู่กับพ่อตา-แม่ยายชุดแรกที่นาปะขอ เขาต้องปลีกจากเวลางานมาซุ้มฝึกฝนขับกลอนอ่านหนังสือด้วยตัวเองประมาณ 5 ปีเต็ม จึงส่งผลให้พ่อตา-แม่ยายเห็นใจยอมซื้อเครื่องมือเล่นหนังตะลุงให้ยกชุด จากนั้นก็หอบลูกค้า 4 คนออกตระเวนแสดงไปแบบได้รับ "ค่าราด" บ้างไม่ได้บ้าง ต้องอดๆ อยากๆ อยู่ราว 2-3 ปีจึงเริ่มจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก และก็เลยวัยเบญจเพสได้ไม่นานก็นับว่าอยู่ในขั้นโด่งดังก็ว่าได้
๑. ต้นรักดอกโศก ๒. สงครามกับความรัก
๓. น้ำตาคนจน ๔. แสงพยัคฆ์
๕. สงครามเพื่อสวัสดิภาพ ๖. อาวุธธรรม
๗. ดื้อคำสาป ๘. กรรมสนองกรรม
๙. ยอดสตรี ๑๐. เณรเริง
๑๑. สามชาย ๑๒. นักรักนักรบ
๑๓. ราชินีพยาบาท ๑๔. รักในเรือนทาส
๑๕. สายเลือดสายสวาท ๑๖. พระยุพราชฝาแฝด
๑๗. พระยุพราชของปวงชน ๑๘. พระร่มโพธิ์แก้ว
๑๙. แสงทองแสงธรรม ๒๐. ธิดาฝาแฝด
๒๑. สามแผ่นดิน ๒๒. ขุนโจรใจพระ
๒๓. ขุนพลจอมโหด ๒๔. น้ำใจแม่
๒๕. แผ่นดินทองแผ่นดินธรรม ๒๖. สวรรค์ในอกนรกในใจ
สำหรับ เรื่อง น้ำใจแม่ ในลำดับที่ ๒๔ เป็นบทประพันธ์ของนายพร้อม บุญฤทธิ์ และได้นำไปสร้างเป็น ละครโทรทัศน์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์สี กองทัพบก ช่อง ๗ ไปแล้ว ๒ ครั้ง
ผลงานการแสดง
หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล ตระเวนเล่นหนังตะลุง มาแล้วไม่น้อยกว่า ๕๗ ปี กว่า ๒๐,๐๐๐ ครั้ง เพราะบางปีเล่นทั้งกลางวันและกลางคืน เล่นหนังตะลุงเพราะใจรัก และชอบสร้างความสนุก ให้ความรู้แก่ผู้ชม มิได้คิดหวังแค่เงินเพียงอย่างเดียว แต่กลับคิดถึงประโยชน์ที่ผู้ชมควรจะได้รับด้วย พร้อมน้อย ตะลุงสากล เป็นหนังตะลุงคณะแรกที่นำเอาดนตรีสากลผสมกับดนตรีหนังตะลุง และเล่นเข้ากันได้อย่างดี ตลอดระยะเวลาอันยาวนานดังกล่าว พร้อมน้อย สร้างความบันเทิง ร่าเริงใจไปพร้อมกับสอดแทรกแง่คิด คติธรรมให้แก่สังคม เป็นที่ชื่นชมของประชาชนทั่วไป พร้อมน้อย เป็นผู้ทำให้ "นายหลำ" หรือ "ตาหลำ" โลดแล่นอยู่บนจออย่างมีชีวิตชีวา เสมือนกับคนจริงๆ "นายหลำ"เป็นที่รับรู้ของคอหนังตะลุงว่า นี่คือเอกลักษณ์หรือตัวแทนตัวตนที่แท้ของ"พร้อมน้อย"เลยทีเดียว "นายหลำ"คือ ตัวตลกเอก ดังนั้น เมื่อใครเอ่ยชื่อ นายหลำ ก็คือ การนึกถึงพร้อมน้อย ตะลุงสากล พร้อมน้อย ได้ประชันขันแข่งกับหนังตะลุงและมโนราห์มาแล้วมากมาย ยกเว้น หนังตะลุงเพียง ๒ คณะ ที่ไม่ได้แข่งขัน คือ หนังกั้น ทองหล่อ กับหนังประวิง หัวไทร เท่านั้น นอกนั้นประชันหมด เช่น หนังจูลี้ หนังเคล้าน้อย หนังแปลก หนังจูเลี่ยม หนังแคล้ว หนังหนูปล้อง หนังหลัก หนังพร้อมใหญ่ หนังอิ่มเท่ง หนังจันทร์แก้ว หนังหมุนนุ้ย หนังฉิ้น หนังประทิ่น หนังประเสริฐน้อย หนังสำเนียง หนังกิ้มเนี่ยว หนังนครินทร์ ฯลฯ นอกนั้นก็มีการประชันกับมโนราห์ เช่น มโนราห์พิน พัน มโนราห์ฉลวย มโนราห์ปรีชา มโนราห์แปลก มโนราห์ขำคม มโนราห์หนูพร้อม ฯลฯ
พร้อมน้อย ได้ประชันขันแข่งกับหนังตะลุงและมโนราห์มาแล้วมากมาย หนังตะลุงที่ได้ประชันตามแต่ละยุค ได้แก่
ยุคโบราณ (พ.ศ.2500-2507)
● หนังจันทร์แก้ว บุญขวัญ
● หนังเชย เชี่ยวชาญ
● หนังเดี้ยม จ.ตรัง
● หนังหวิน
●หนังแคล้ว เสียงทอง
ยุคคลาสสิค (พ.ศ.2508-2520)
● หนังเคล้าน้อย โรจนเมธากุล
● หนังปรีชา สงวนศิลป์
● หนังชวน เชี่ยวชาญ
● หนังประทิ่น บัวทอง
● หนังนครินทร์ ชาทอง
● หนังประยูรใหญ่ บันเทิงศิลป์
● หนังประยูรน้อย อัศวินแหวนเพชร
● หนังปล้อง อ้ายลูกหมี
ยุคหลัง (พ.ศ.2520-2539)
● หนังปฐม อ้ายลูกหมี
● หนังทวี พรเทพ
● หนังอาจารย์ณรงค์ ตะลุงบันฑิต
● หนังเอกชัย ศรีวิชัย (เอกชัย ศรีวิชัย)
ยกเว้นหนังตะลุงเพียง 2 คณะ ที่ไม่ได้แข่งขัน คือ หนังกั้น ทองหล่อ กับหนังประวิง หัวไทร เท่านั้น นอกนั้นประชันหมด นอกนั้นก็มีการประชันกับมโนราห์ เช่น มโนราห์พิน พัน มโนราห์ฉลวย มโนราห์ปรีชา มโนราห์แปลก มโนราห์ขำคม มโนราห์หนูพร้อม ฯลฯ
หนังพร้อมน้อย เป็นที่ยอมรับของชาวจังหวัดพัทลุงว่า เป็นบุคคลที่มีน้ำใจ โอบอ้อมอารี ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ ช่วยคนยากคนจน ถึงกับซื้อที่ทำกินให้ สร้างบ้านให้ โดยมิได้หวังผลตอบแทน หนังพร้อมน้อย สร้างความดีมาตลอด จากหมู่บ้าน สู่ตำบล จากตำบลสู่อำเภอ จากอำเภอสู่จังหวัด ในที่สุดได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดพัทลุง ๓ สมัย ในช่วงที่เป็นผู้แทนราษฎร การแสดงหนังตะลุงจะได้รับค่าตอบแทนเฉพาะค่าลูกคู่กับค่าน้ำมันรถเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานวัด งานโรงเรียน งานส่วนราชการ นอกจากนั้นหนังพร้อมน้อย ยังเป็นวิทยากรให้แก่สถาบัน โรงเรียน หน่วยงานต่างๆ อยู่เสมอ รวมทั้งการจัดตั้งโรงเรียนสอนหนังตะลุงขึ้น โดยผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
เคยมีผู้ศึกษาชีวิตความเป็น หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล ไว้เยอะพอดู ในจำนวนนี้มีที่เป็นผลงานระดับวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ของนักศึกษาจากสถาบันทักษิณคดีศึกษาอยู่ด้วย โดยหากประเมินจากงานต่างๆ เหล่านี้จะพบว่า ปัจจัยที่ทำให้เขากลายเป็นนายหนังตะลุงยอดนอคมของชาวใต้ ประกอบด้วย
1. เสียงดี เสียงดัง ฟังชัด เล่น 7-8 ชั่วโมงไม่มีแหบ แถมยังเลียนเสียงได้หลายเสียงด้วย
2. มีความรอบรู้ทั้งทางโลก-ทางธรรม และใกล้ชิดประชาชนทำให้นำมาสอดแทรกได้เป็นอย่างดี
3. สามารถสวมวิญญาณให้กับรูปหนังได้ทุกตัว และสับเปลี่ยนได้โดยฉับพลัน
4. มีไหวพริบปฏิภาณสูง นำเหตุการณ์บ้านเมืองและท้องถิ่นมาดัดแปลงได้ดี
5. สร้างอารมณ์ขันได้ตลอดเวลา
6. สามารถจำบทกลอนในวรรณคดีมาใช้ได้ลงตัว
7. ลูกคู่มีมากถึง 11 คนและเล่นดนตรีได้ถูกใจทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่น
8. สร้างชีวิตให้กับรูปตัวตลกได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะคู่นายหลำ-นายยอดทอง และนายหนูนุ้ย-นายเท่ง ซึ่งสำหรับนายหลำกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเลยทีเดียว
เกียรติคุณที่ได้รับ
ได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จมาแล้วมากมาย อาทิ
- มงกุฎทองคำฝังเพชรจากสนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช
- ต้นศรีตรังทองคำจากสนามแข่งขันโรงเรียนกลึงวิทยา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง
- ถ้วยเกียรติยศประมาณ 140 ใบ
- ขันน้ำพานรองประมาณ 20 ใบ
- โล่เกียรติยศประมาณ 10 โล่
- จอหนังตะลุงประมาณ 100 จอ
- รวมถึงโคถึก 3 ตัว โคธรรมดา 5 ตัว และรกจักรยานยนต์ 1 คัน เป็นต้น
เกียรติประวัติ
- ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หนังตะลุง) ปี พ.ศ. 2546
- โล่เกียรติคุณในฐานะผู้อนุรักษ์มรดกไทยดีเด่น เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย
- รางวัลพระสิทธิธาดาทองคำในฐานะผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม ด้านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน[1]
ถึงแก่กรรม
ถึงแก่กรรมเมื่อเวลาบ่ายของวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ที่บ้านพักส่วนตัว ที่จังหวัดพัทลุง ด้วยโรคไตที่เรื้อรังมานาน สิริอายุได้ 78 ปี[2] มีพิธีพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ณ วัดอินทราวาส (วัดท่ามิหรำ) ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พ.ศ. 2547 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 4 จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)[3]
พ.ศ. 2530 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)[4]
พ.ศ. 2528 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 2 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.)[5]
ที่มา
https://th.wikipedia.org
https://www.tungsong.com/NakhonSri/Artist/prom/prom.html
04 พฤศจิกายน, 2567
ประเพณีลอยกระทง
ประเพณีลอยกระทงเป็นประเพณีโบราณของอินเดียที่ประเทศไทยรับเข้ามาปฏิบัติ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าทำกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่ปรากฏกล่าวได้ว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสันนิษฐานว่า เดิมทีเดียวเห็นจะเป็นพิธีของพราหมณ์กระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้ถือตามแนวทางพระพุทธศาสนามีการปล่อยโคมลอยเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ และลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐาน ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา (แม่น้ำนัมมทา เป็นแม่น้ำที่คู่ขนานกับทิวเขาวินธัย ไหลลงภาคตะวันตกของอินเดียแบ่งเขตอินเดียออกเป็นภาคเหนือและภาคใต้)
วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา มักจะตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า “พิธีจองเปรียญ” หรือ “การลอยพระประทีป” และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน
ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศที่ว่า “ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลาย…”
เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า “ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน” พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า “เรือลอยประทีป” ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย
1.เพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางท้องที่ถือว่าลอยกระทงเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนื่องในโอกาสที่พระพุทธองค์ได้ไปแสดงธรรมในนาคภิภพ และทรงประทับรอยพระบาทไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที (1) เพราะฉะนั้นการที่บ้านเรามีประเพณีลอยกระทง ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองก็เพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนื่องในโอกาสนี้
2. เพื่อบูชาพระแม่คงคา เป็นการแสดงการขอบคุณน้ำ เพราะมนุษย์เราอยู่ได้เพราะน้ำ ตั้งแต่โบราณมาชุมชนทั้งหลายเวลาสร้างเมือง ต่างก็เลือกติดแม่น้ำ ดังนั้นถึงเวลาในรอบ 1 ปี ก็เลือกเอาวันเพ็ญเดือนสิบสอง ระลึกว่าตลอดปีที่ผ่านมา เราได้อาศัยน้ำในการดำรงชีวิต ขณะที่ลอยกระทงเราก็นึกถึงคุณของน้ำ ไม่ใช่ลอยเฉยๆ ต้องรำลึกว่าต้องรู้จักใช้น้ำอย่างถูกวิธี และใช้น้ำอย่างคุ้มค่า ไม่ใช้ทิ้งขว้าง ไม่ทำให้น้ำสกปรก ไม่ปล่อยของเสียลงแม่น้ำ เป็นการขอขมาและขอบคุณพระแม่คงคา ไม่ใช่เป็นการไหว้เทวดาพระแม่คงคาแต่อย่างใด แต่เป็นการแสดงการขอบคุณน้ำ ในฐานะที่เป็นผู้ให้ชีวิตเรา
คติที่มาเกี่ยวกับวันลอยกระทงมีอยู่หลายตำนาน ดังนี้
1. การลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา
2. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าตามคติพราหมณ์คือบูชาพระนารายณ์ซึ่งบรรทม สินธุ์อยู่ในมหาสมุทร
3. การลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งเสด็จไป จำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อทรงเทศนาอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา
4. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า ที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทาน ทีเมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ
5. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาของ พระพุทธเจ้า
6. กาลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
7. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระอุปคุตตะเถระ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้อง ทะเลลึกหรือสะดือทะเล
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ “กระทง” จากวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย
ปัจจุบันประเพณีลอยกระทง มีการจัดงานกันแทบทุกจังหวัด ถือเป็นงานประจำปีที่สำคัญ โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่มีการจัดขบวนแห่กระทงใหญ่ กระทงเล็ก มีการประกวดกระทง และประกวดธิดางามประจำกระทงด้วย ส่วนการลอยโคม ชาวบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสานยังนิยมทำกัน ชาวบ้านจะนำกระดาษ มาทำเป็นโคมขนาดใหญ่สีต่างๆ ถ้าลอยตอนกลางวัน จะทำให้โคมลอยโดยใช้ควันไฟ ถ้าเป็นเวลากลางคืน ก็จะใช้คบจุดที่ปากโคม ให้ควันพุ่งเข้าในโคม ทำให้ลอยไปตามกระแสลมหนาว เวลากลางคืนแลเห็นแสงไฟโคมบนท้องฟ้า พร้อมกับแสงจันทร์และดวงดาวสวยงามมากทีเดียว
ที่มา https://www.wikipedia.org https://www.sanook.com https://th.video.search.yahoo.com
03 พฤศจิกายน, 2567
เครื่องปั้นดินเผาโมคลาน
ความเป็นมา
ตําบลโมคลานเป็นแหล่งที่มีความสําคัญทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีแหล่งหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากพื้นที่บางส่วนของตําบลนี้เคยเป็นชุมชนโบราณที่มีความเจริญมาช้านาน บริเวณนี้จึงเป็นแหล่งโบราณคดีที่สําคัญแหล่งหนึ่งในภาคใต้
บ้านโมคลานเป็นชุมชนโบราณที่มีอายุประมาณ 5,000-8,000 ปีมาแล้ว ได้มีการศึกษาสำรวจชุมชนโมคลานตั้งแต่ พ.ศ. 2500 พบหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวเนื่องกับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย และในปี พ.ศ. 2511 ได้ค้นพบเนินโบราณสถานของโมคลาน หรือแนวหินตั้ง ซึ่งจัดอยู่ในวัฒนธรรมหินใหญ่ และห่างจากเนินโบราณสถานโมคลานไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร คาดว่าแต่เดิมเป็นพรุลึกมากเรียกว่า “ทุ่งน้ำเค็ม” ปัจจุบันตื้นเขิน ทั้งนี้ ชาวบ้านยังได้ขุดพบเงินเหรียญแบบฟูนัน จึงสันนิษฐานว่าบ้านโมคลานอาจเป็นชุมชนเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการติดต่อกับชุมชนภายนอก จากหลักฐานที่พบทั้งเทวสถาน โบราณวัตถุในศาสนาพราหมณ์ สระน้ำโบราณ แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายในบ้านโมคลาน แต่ต่อมาอิทธิพลของพุทธศาสนาได้เข้ามาแพร่หลายในบ้านโมคลาน เพราะพบหลักฐานโบราณวัตถุ โบราณสถานทางศาสนาพุทธอยู่มากเช่นเดียวกัน แต่โบราณสถานทางศาสนาของบ้านโมคลานคงจะถูกทอดทิ้งไปเป็นเวลานาน อาจจะก่อนหรือพร้อมกับการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวไทยมุสลิม จากรัฐไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู ตั้งแต่ พ.ศ. 2480 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ ชาวโมคลานมีกลอนอยู่บทหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนลายแทงปริศนา ประวัติความเป็นมาชุมชนโมคลานว่า “ตั้งดินตั้งฟ้า ตั้งหญ้าเข็ดมอน โมคลานตั้งก่อน เมืองคอนตั้งหลัง ข้างหน้าพระยัง ข้างหลังพระภูมี ต้นศรีมหาโพธิ เจ็ดโบสถ์ แปดวิหาร เก้าทวาร สิบเจดีย์” ซึ่งพระอธิการนิติ นิปโก เจ้าอาวาสวัดโมคลาน ได้เฉลยปริศนาบทกลอน ดังนี้
ตั้งดินตั้งฟ้า คือ การตั้งเมืองสมัยก่อน
ตั้งหญ้าเข็ดมอน คือ พื้นที่เดิมของโมคลานเต็มไปด้วยหญ้าเข็ดมอน สมัยก่อนเชื่อว่าเป็นหญ้าศักดิ์สิทธิ์ นี้ ด้วยว่าเป็นหญ้าที่มีต้นกำเนิดมาพร้อมดินและฟ้า ทำให้หญ้าเข็ดมอนมีอีกสถานะคือเป็น “หญ้าดึกดำบรรพ์” ชาวเมืองจึงจะไม่เดินข้ามหญ้าชนิดนี้ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีแล้ว หญ้าเข็ดมอญนอกจากจะเป็นหญ้าที่มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อของชาวโมคลานแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาแก้ปวดเมื่อย ซึ่งคำว่า “เข็ด” ภาษาใต้ แปลว่า ปวดเมื่อย
โมคลานตั้งก่อน คือ พื้นที่โบราณสถานโมคลานที่สร้างมาเมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว
เมืองคอนตั้งหลัง คือ เมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองหลังโบราณสถานโมคลาน
ข้างหน้าพระยัง คือ มีองค์พระ หลังมีการสำรวจพื้นที่ชุมชนโบราณโมคลานที่พบครั้งแรก 3 องค์ ปัจจุบันยังอยู่ในวัดโมคลาน (ยัง ภาษาใต้ แปลว่า มี)
ข้างหลังพระภูมี คือ มีองค์พระ
ต้นศรีมหาโพธิ์ คือ เคยมีต้นโพธิ์ ปัจจุบันไม่มีแล้ว
เจ็ดโบสถ์แปดวิหาร คือ หมายเลขลำดับโบราณสถาน หมายลขเจ็ด คือ โบสถ์ และหมายเลขแปด คือ วิหาร
เก้าทวารสิบเจดีย์ คือ หมายเลขลำดับโบราณสถาน หมายเลขเก้า ทวาร หมายเลขสิบ เจดีย์
จากบทกลอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเก่าแก่ของบ้านโมคลาน ชุมชนโบราณแห่งนี้มีทั้งโบราณสถาน และโบราณวัตถุมากมาย มีภูมิปัญญาที่ตกทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยลักษณะทางกายภาพที่มีแม่น้ำขนาดใหญ่ไหลผ่าน ซึ่งมีผลต่อการติดต่อการเดินทางไปมาหาสู่กันทั้งภายในชุมชนเอง และระหว่างชุมชนต่าง ๆ
เครื่องปั้นดินเผาโมคลาน เป็นหัตถกรรมที่อยู่คู่กับชุมชนในนครศรีธรรมราชเป็นเวลาหลายร้อยปีแหล่งสำคัญที่มีการผลิตมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันคือ ที่บ้านปากพะยิงในอำเภอท่าศาลา อยู่ห่างจากชุมชนโบราณ วัดโมคลาน ทางทิศเหนือราว 100 เมตร มีลำน้ำสายหนึ่งชื่อ "คลองโต๊ะแน็ง" หรือ "คลองควาย" หรือ "คลองโมคลาน" ห่างจากคลองโต๊ะแน็งมาทางเหนือราว 1 กิโลเมตร มีลำน้ำอีกสายหนึ่งชื่อ "คลองชุมขลิง" (หรือ "คลองยิง" หรือ "คลองมะยิง" ) คลองทั้งสองนี้ไหลผ่านสันทรายอันเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณโมคลานไปลงทะเลอ่าวไทยทางทิศตะวันออก ระหว่างคลองทั้ง 2 สายนี้ เป็นบริเวณที่ชุมชนแห่งนี้ทำเครื่องปั้นดินเผามาแต่โบราณ และมักจะเรียกกันว่า "แหล่งทำเครื่องปั้นดินเผาโมคลาน" หรือ " แหล่งทำเครื่องปั้นดินเผาบ้านยิง" อยู่ในหมู่ที่ 9 ตำบลหัวตะพาน และหมู่ที่ 10 และหมู่ที่ 11 ตำบลโมคลาน อำเภอท่าศาลา เนื้อที่ที่ใช้เพื่อการนี้ทั้งที่เคยใช้มาแล้วแต่โบราณ และกำลังทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ประมาณ 30 - 40 ไร่ เมื่อ พ.ศ.2521 เจ้าหน้าที่ของศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช ได้เริ่มเข้าไปดูการทำภาชนะดินเผาที่บ้านมะยิงแห่งนี้ และได้เข้าไปศึกษาอีกหลายครั้ง พบว่าในบริเวณนี้เต็มไปด้วยเนินดินขนาดใหญ่ที่ทับถมด้วยเศษภาชนะดินเผา ชาวบ้านได้เคยขุดดินบนเนินเพื่อขยายเตาเผาภาชนะดินเผาออกไป ได้พบว่าเศษภาชนะดินเผาที่ทับถมกันอยู่นั้นลึกมาก และได้พบเศษภาชนะดินเผารุ่นเก่าเป็นดินเผาเนื้อแกร่งจำนวนมาก
ลายบนภาชนะดินเผาที่พบมี
1.ลายขูดร่องแถวนอกประสมด้วยลายจุดประ
2. ลายประทับเป็นรูปอักษรเอส (s)
3. ลายประทับรูปต้นไม้ที่มียอดคล้ายหัวลูกศร
ลายประทับหลายลายที่มีลักษณะคล้ายกับลายภาชนะดินเผาแบบทวารวดีที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีบ้านคูเมือง อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อ พ.ศ. 2524 ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช ได้เข้าไปสำรวจจำนวนผู้ที่ยังคงทำภาชนะดินเผาอยู่ ณ แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ ปรากฎผลว่ามีผู้ที่ยังคงทำภาชนะดินเผาอยู่จำนวน 13 ราย คือ อยู่ในหมู่ที่ 9 ตำบลหัวตะพาน 9 ราย และหมู่ที่ 11 ตำบลโมคลาน 3 ราย
นายจ่าง สุวพันธ์ อดีตครูใหญ่โรงเรียนวันสระประดิษฐาราม หมู่ที่ 7 ตำบลหัวตะพาน อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่าเมื่อตนได้เข้ามาในชุมชนนี้ในปี พ.ศ.2477 มีผู้ทำภาชนะดินเผาราว 20 ครัวเรือนและสอบถามผู้เฒ่าในขณะนั้นดูได้ความว่าทำมานาน และทำต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ดังที่ได้ปรากฎเนินดินและเตาเผาที่มีเศษภาชนะดินเผาทับถมกันอยู่นั้น ในขณะนั้นนิยมทำเตาเผาโดยการขุดเนินจอมปลวกให้เป็นโพรงภายในโพรงนั้น จะมีลักษณะเป็นห้องหรืออุโมงค์สำหรับวางภาชนะในขณะที่เผาส่วนยอดจอมปลวกก็ตัดให้เป็นช่องขนาดใหญ่ เตาชนิดนี้ด้านข้างถูกเจาะเป็นที่สุมไฟ และด้านบนเป็นช่องระบายความร้อนและลำเลียงภาชนะขึ้นลงเมื่อจะนำเข้าและออกจากเตาเผาครั้งหนึ่ง ๆ ถ้าภาชนะที่เผามีขนาดไม่โตนัก เช่น หม้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 6 นิ้ว จะได้ราว 200 ใบ เตาเผาแบบนี้นับว่าเป็นเตาเผาที่ทำอย่างง่าย ๆ และเป็นที่สืบทอดกันมาแต่ตั้งเดิม และยังทำต่อมาจนบัดนี้โดยมิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดเลย เรียกว่า "เตาหลุม" อันเป็นเตาแบบดั้งเดิม แบบหนึ่ง และเป็นต้นแบบของเตาเผาแบบระบายความร้อนขึ้น เนื่องจากช่องระบายความร้อนกว้างมาก เมื่อเผาภาชนะจึงต้องใช้เศษภาชนะดินเผาที่แตก ๆ วางซ้อน กันขึ้นไปบนภาชนะที่จะเผาอีกทีหนึ่ง เพื่อช่วยรักษาความร้อนมิให้พุ่งออกไปทางด้านบนของเตาเร็วเกินไป เตาแบบนี้ให้ความร้อนไม่สูงพอและควบคุมอุณหภูมิไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถทำภาชนะดินเผาแบบเคลือบได้ นายจ่าง สุวพันธ์ ได้เคยทดลองทำภาชนะดินเผาเคลือบโดยใช้เตาเผาแบบนี้แล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ผลการศึกษาจากผู้มีประสบการณ์ในการทำภาชนะดินเผาในอดีตและปัจจุบัน ในชุมชนโบราณแห่งนี้ ทำให้ทราบว่ากรรมวิธีในการผลิตภาชนะดินเผา ณ ชุมชน โบราณแห่งนี้ในปัจจุบันไม่แตกต่างไปจากที่เคยทำมาเมื่อสมัยโบราณเลย โดยมีขั้นตอนการผลิตดังนี้
1. นำดินเหนียวมาจากบริเวณที่ราบลุ่มต่ำเรียกว่า "ทุ่งน้ำเค็ม" ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้านมะยิง มายังบริเวณที่ตั้งเผาบนสันทราย เอาดินเหนียวที่ได้มา ซึ่งมีความชื้นพอเหมาะที่จะทำภาชนะดินเผาได้ ก็จะพรมน้ำเอาผ้าคลุมแล้วเก็บไว้ แต่หากดินเปียกเกินไปต้องวางให้หมาดเสียก่อน เอาดินที่เตรียมไว้มาสับเป็นชิ้นด้วยไม้ไผ่บาง ๆ ซึ่งเรียกว่า "ไม้ไผ่ฉาก" เพื่อให้เนื้อดินเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
2. นำดินที่สับเป็นเนื้อเดียวกันดีแล้วนั้น มาคลุกผสมด้วยทรายละเอียด ใช้เท้านวดย่ำและคลุกเคล้าด้วยมือให้เนื้อดินกับทรายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาผ้าคลุมไว้ เป็นที่น่าสังเกตว่าการทำภาชนะที่นี่ไม่ได้มีแกลบข้าวเป็นส่วนผสม (โดยปกติการทำภาชนะดินเผาในที่อื่น ๆ มักจะใช้แกลบข้าวหรือผงเชื้อ คือดินผสมแกลบเผาแล้วตำป่นละเอียดมาผสมกับดินเหนียวที่จะใช้ทำภาชนะดินเผา และการใช้แกลบเป็นส่วนผสมนี้มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในยุคหินกลางประมาณ 9,000 ปีมาแล้ว อย่างที่ถ้ำผี จังหวัดแม่ฮ่องสอนส่วนที่แหล่งโบราณคดีโนนนกทา จังหวัดขอนแก่น และที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี จากการวิเคราะห์เศษภาชนะดินเผาก็พบว่ามีการใช้แกลบข้าวเช่นนี้ และใช้ต่อมาจนปัจจุบันนี้ที่บ้านคำอ้อ ซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง นักโบราณคดีบางท่านจึงตั้งข้อสังเกตว่าการทำภาชนะดินเผาที่บ้านคำอ้อน่าจะทำต่อเนื่องมาจากวัฒนธรรมบ้านเชียง)
3. นำดินที่เตรียมไว้แล้วมาขึ้นรูปโดยใช้แป้นหมุน แป้นหมุนที่ใช้ในแหล่งนี้มีทั้งแป้นหมุนชิ้นเดียว (ซึ่งพบว่าแป้นหมุนลักษณะนี้เริ่มมีการใช้ครั้งแรกที่เมืองเออร์ (ur) ในสุเมอร์ เมื่อประมาณ 4,000 - 35,00 ปีมาแล้ว) และแป้นหมุน 2 ชิ้น (ซึ่งพบว่ามีใช้ครั้งแรกที่เมืองฮาเซอร์ (Hazor) ในอียิปต์เมื่อประมาณ 3,300 ปีมาแล้ว) แป้นหมุนนั้นในชุมชนนี้เรียกว่า "มอน" ในขณะใช้แป้นหมุนขึ้นรูปนั้น จะใช้น้ำประสานซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "น้ำเขลอะ" คือ น้ำละลายด้วยดินเหนียวให้ข้นชุบผ้าลูปไปตามผิวภาชนะรูปทรงที่ต้องการในขณะที่อีกคนหนึ่งช่วยหมุนแป้นข้างในภาชนะใช้ลูกถือ (หินดุ) ซึ่งชุมชนนี้เรียก "ลูกเถอ" ตกแต่งในขณะขึ้นรูป
4. ตกแต่งและต่อหู (หากมีหู) หลังจาที่ขึ้นรูปเรียบร้อยแล้ว ใช้เชือกที่ทำจากใยใบสับปะรดตัดที่ก้นให้ก้นภาชนะหลุดออกจากแป้นหมุน นำภาชนะที่ขึ้นรูปเรียบร้อยแล้วมาวางให้หมาดแล้วฝากระป๋องขูดตกแต่งผิว จากนั้นจึงใช้ลูกสะบ้าถูที่ผิวเป็นการขัดมัน
5. แต่งผิวภายในด้วยลูกถือ ส่วนภายนอกใช้ไม้แบบตีให้เป็นลาย หรือกดลายประทับตามต้องการ
6. วางภาชนะไว้ในที่ร่ม ราว 3 - 4 วัน จนภาชนะนั้นแห้งสนิท (ไม่นิยมตากแดดเพราะภาชนะจะแตก) เมื่อภาชนะแห้งสนิทแล้ว นำเข้าเตาเผาแบบหลุมโดยมีชั้นสำหรับวางภาชนะ (Fire bars) รองรับ วางภาชนะซ้อนทับกันขึ้นมาราว 100 - 200 ใบ เมื่อภาชนะซ้อนกันขึ้นมาจนถึงปากอุโมงค์ค์ของเตาแล้ว เอาเศษภาชนะดินเผาที่แตก ๆ และมีขนาดใหญ่ ๆ ปิดบนภาชนะเหล่านั้นจนเต็ม
7. สุมไฟตอนล่างของหลุมทางช่องของเตาหรืออุโมงค์ที่ขุดไว้สำหรับสุมไฟ (มีเพียงช่องเดียว) เมื่อไฟลุกจะเผาภาชนะซึ่งวางอยู่บนชั้นข้างบน ควันและความร้อนจะระบายออกทางปากอุโมงค์ เตาหลุมแบบนี้จะให้ความร้อนไม่เกิน 800 - 900 องศาเซลเซียส ภาชนะดินเผาที่ได้จากการเผาด้วยเตาหลุมแบบนี้จึงไม่แกร่งพอมีความพรุน ดูดซึมน้ำได้ดี เวลาจับต้องจะหนึบมือ เนื้อดินยังหลอมติดไม่ค่อยสนิทเพราะอุณหภูมิในขณะที่เผายังต่ำ
ต้องระมัดระวังเรื่องความร้อนมาก ต้องควบคุมเรื่องการสุมไฟอยู่ตลอดระยะเวลาแห่งการเผา กล่าวคือ ตอนเริ่มเผาให้ใช้เพียงควันไฟผ่านภาชนะเท่านั้น ระยะนี้จึงมักจะใช้วัสดุหรือไม้ที่ให้ควันได้ดี เช่นไม้ผุ และกาบมะพร้าว หากให้ไฟแรงในระยะแรกภาชนะจะแตก รมควันดังกล่าวนี้ 6 ชั่วโมง จึงจะให้ไฟแรงได้ซึ่งการรมตอนนี้ชาวบ้านเรียกว่า "รมเบา" เมื่อรมเบาผ่านไปแล้วก็ให้ไฟแรง ขั้นนี้ชาวบ้านเรียกว่า "รมหนัก" หรือ "โจ้หม้อ" โดยใช้ฟืนที่ให้ความร้อนสูง และต้องควบคุมอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลารมหนักราว 3 - 5 ชั่วโมงจึงเอาฟืนออกจากเตาให้หมด แล้วเปลี่ยนเป็นรมควันอีกเพื่อให้ภาชนะมีผิวสวยไม่ดำ เมื่อไฟดับสนิทและภาชนะภายในเตาเย็นตัวดีแล้วจึงเอาภาชนะที่เผาแล้วออกจากเตาได้โดยลำเลียงออกมาทางปากอุโมงค์ซึ่งจะได้ภาชนะที่สวยงาม ในราว พ.ศ. 2489 - 2490 มีการผลิตภาชนะดินเผาในชุมชนโบราณแห่งนี้กันมากที่สุด เพราะเป็นระยะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งภาคใต้ได้ประสบวิกฤตการณ์จากสงครามครั้งนี้ด้วย ทำให้มีผู้ต้องการใช้ภาชนะดินเผามากเป็นพิเศษ
สิ่งที่ผลิตในระยะนั้นคือ โอ่งน้ำ อ่าง สวด หม้อข้าว หม้อแกง กระทะ ขัน กรอง (กะชอน) เนียง (คล้ายไห ส่วนปากกว้างกว่า) และกระถาง โดยทำได้วันละ 100 - 150 ใบต่อคน เส้นทางลำเลียงภาชนะดินเผาออกขายในสังคมภายนอกขณะนั้นคือ คลองโต๊ะแน็ง และคลองชุมขลิง โดยใช้เรือใบบรรทุกมาส่งที่ท่าแพและท่าโพธิ์ อันอยู่ในบริเวณเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อลำเลียงต่อไปยังปากพนัง เกาะสมุย สิชล ปากนคร และปากพญา เรือใบแต่ละลำบรรทุกภาชนะดินเผาได้ราวเที่ยวละ 1,000 - 2,000 ใบ แต่ละครอบครัวบรรทุกออกไปขายเดือนละ 1 เที่ยว ราคาขายในระยะนั้น อย่างหม้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 นิ้ว ขายราคาร้อยละ 3 บาทถึงปี พ.ศ.2541 ราคาใบละประมาณ 50 - 100 บาท
ที่มา : สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่ม 3. กรุงเทพฯ. มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย,
ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542, 6 หน้า.
https://wikicommunity.sac.or.th/com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)