30 พฤษภาคม, 2568
เทริด
เทริด เป็นมงกุฎโบราณรูปแบบหนึ่ง เป็นรูปกรวยสูงปลายแคบ ทำจากผ้าหรือหนังสัตว์ ประดับด้วยอัญมณีต่าง ๆ เป็นราชภัณฑ์สำหรับกษัตริย์หรือจักรพรรดิ โดยเฉพาะในยุคเมโสโปเตเมีย ต่อมาเปลี่ยนไปเป็นทรงเตี้ย ทำจากโลหะต่าง ๆ ประดับอัญมณี ในประเทศไทยเองก็มีหลักฐานการสวมเทริดมานาน เช่น ปูนปั้นรูปบุคคลหรือพระพุทธรูปสวมเทริดขนนก
ในภาคใต้ของประเทศไทย มีการใช้เทริดสำหรับการแสดงมโนราห์ เรียกว่า เทริดมโนราห์ หรือ เทริดโนรา เป็นเครื่องสวมศีรษะ มีรูปลักษณ์คล้ายกับชฎาแต่มีสัณฐานสั้นกว่า ทำจากโลหะหรือไม้ ประดับตกแต่งด้วยการปั้นรักติดเป็นลวดลาย ลงรักปิดทอง และประดับด้วยกระจกสีหรือวัสดุอื่นที่เหมาะสม เดิมเทริดเป็นเครื่องสวมศีรษะสำหรับนักแสดงชายเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีการออกแบบเทริดหน้านางสำหรับผู้หญิงด้วย
ทั้งนี้ เทริดมโนราห์ มีองค์ประกอบคือ ยอดเทริด เพดานเทริด โครงรอบศีรษะ และใบหู โดยประกอบจากไม้มงคลหลายชนิด กล่าวคือ ยอดเทริดทำจากไม้ยอ เพื่อให้ผู้คนสรรเสริญเยินยอ เพดานเทริดทำจากไม้ทองหลาง เพื่อให้เงินทองไหลมาเทมา โครงรอบศีรษะทำจากไผ่สีสุก เพื่อให้ชีวิตและการงานมีแต่ความสุขความเจริญ และใบหูทำจากไม้รัก เพื่อให้คนรัก หลงใหล และเมตตาเอ็นดู เป็นต้น
นอกจากนี้ในการแสดงมโนราห์แขก หรือโนราควน ซึ่งเป็นการแสดงลูกผสมระหว่างมโนราห์ของชาวไทยพุทธ กับมะโย่งของชาวไทยเชื้อสายมลายู ก็จะสวมเทริดเช่นเดียวกับมโนราห์ หากแต่นิยมห้อยอุบะด้วย ถือเป็นอัตลักษณ์สำคัญ
ประวัติความเป็นมา
เทริด เป็นเครื่องประดับศีรษะของตัวนายโรง หรือโนราใหญ่ หรือตัวยืนเครื่อง (โบราณไม่นิยมให้นางรำใช้) ทำเป็นรูปมงกุฎอย่างเตี้ย มีกรอบหน้า มีด้ายมงคลประกอบ ในพิธีครอบเทริด หรือผูกผ้าใหญ่ หลังจากพิธีตัดจุกแล้ว หากผู้เข้าพิธียังไม่เคยตัดจุก จะต้องทำพิธีตัดจุกก่อน และต้องมีอายุครบ ๒๒ ปี เป็นโสด หากแต่งงานมาแล้วต้องทำใบหย่าร้างโดยสมมุติกับภรรยาเพื่อมิให้ "ปาราชิก” ซึ่งผิดกฎสำหรับโนรา ในอดีต เมื่อครอบเทริดแล้วต้องไปรำ "สามวัดสามบ้าน” แล้วจึงมาเข้าพิธีอุปสมบทจึงจะถือว่าเป็นโนรา โดยสมบูรณ์ แต่ในปัจจุบันสามารถอุปสมบทได้เลย
เทริดโนรา หมายถึง เครื่องสวมศีรษะลักษณะคล้ายชฎา แต่มีรูปทรงสั้นกว่า มีโครงสร้าง ทำด้วยโลหะ หรือไม้ไผ่สาน ตกแต่งรายละเอียดด้วยการปั้นรักติดเป็นลวดลาย ลงรักปิดทอง ประดับตกแต่งด้วยกระจกสี หรือวัสดุอื่นที่เหมาะสม เทริดที่ผ่านการทำพิธีบูชาครูโนราแล้ว ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในพิธีผูกผ้าใหญ่ หรือแต่งพอกหรือพิธีโนราโรงครู โดยจัดวางเทริดไว้บนปะรำพิธีด้านบนและหย่อนเทริดเพื่อครอบให้กับ โนราที่ฝึกรำจนชำนาญแล้ว โดยมีครูโนราหรืออุปัชฌาย์ยืนคอยช่วยสวมเทริดให้ครอบศีรษะโนราใหม่ เทริดโนรา ต้องประณีต สวยงาม มีขนาด รูปทรง และสัดส่วนเป็นไปตามลักษณะที่ดีของเทริดโนรา มีองค์ประกอบครบถ้วนลวดลายต้องประณีต สวยงาม ถูกต้องตามแบบของเทริดโนราการประกอบ และตกแต่งด้วยวัสดุอื่นต้องประณีต ติดแน่น คงทน บริเวณรอยต่อต้องเรียบร้อย ไม่มีรอยเปรอะเปื้อน ของวัสดุที่ใช้ยึดติดชิ้นส่วน สีที่ทำต้องสม่ำเสมอ ติดแน่น คงทน ไม่หลุด หรือ ลอก
การทำเทริดโนราของภูมิปัญญา หรือช่างทำเทริดโนรา จะทำด้วยไม้ทองหลางใบมน นำมาขุด แกะ เหลาด้วยมือ และกลึงในส่วนยอด ประดับแววด้วยกระจกหรือเพชร ตัวเทริดกับเทริดสามารถถอดออกจากกันได้เทริดโนรา สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
๑. เทริดชัย เป็นเทริดโนราใหญ่ โบราณ ดั้งเดิม
๒. เทริดหน้าพระ เป็นเทริดที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน ทั้งชายและหญิง
๓. เทริดหน้านาง เป็นเทริดที่ออกแบบขึ้นเพื่อให้เหมาะสมและสวยงามสำหรับโนราผู้หญิง โดยได้ทำให้กับโนรายุพิน เสียงทอง เป็นยอดแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๖
ส่วนเทริดแบบดั้งเดิม ลงรักปิดทองคำแท้ ๑๐๐% ประดับกระจก แบ่งได้ดังนี้
๑. เทริดลงรักปิดทองคำแท้ประดับเพชร - พลอย
๒. เทริดหน้านาง ลงรักปิดทองคำแท้ ประดับเพชร พลอย
๓. เทริดเงิน ทำขึ้นเพื่อใช้คู่กับเทริดทองคำโดยได้ทำให้กับโนราละมัยศิลป์ เป็นยอดแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘
๔. เทริดสีทอง ที่ใช้กันโดยทั่วไปในปัจจุบันนี้มี ๒ แบบ เทริดสีทองประดับกระจก เทริดสีทอง ประดับเพชร
๕. เทริดสีต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สั่งทำ
๖. เทริดย่อส่วนสำหรับบูชาติดหิ้ง
ซึ่งจากการศึกษาโบราณห้ามผิดเพี้ยนเด็ดขาด คือ ห้ามเอาหัวลงข้างล่าง และลายกนกทุกตัวต้องถูกต้องตามตำแหน่ง นอกจากนั้นสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นสีใดก็ตาม
มโนราห์ หรือโนราห์ เป็นเอกลักษณ์ของชาวใต้ที่น่าภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นศิลปะการร้องและการรำชั้นสูง ทั้งนี้มีคนกล่าวกันว่าต้นกำเนิดนั้นคือ ที่อินเดียกว่าสี่ร้อยที่ผ่านมา โดยวัตถุประสงค์ก็เพื่อบูชามหาเทพทั้งสามนั้นก็คือ พระอิศวร พระพรหม และพระนารายณ์ ซึ่งในบทร้อง ของมโนราห์ปัจจุบันก็ยังคงมีเนื้อหาดังกล่าวเจือปนอยู่ แม้จะมีการดัดแปลงแก้ไขใส่เนื้อหาทางด้าน พุทธศาสนาและความเชื่อดั้งเดิม คือ การนับถือบรรพบุรุษ เติมไปบ้างตามอิทธิพลของศาสนาที่มีต่อท้องถิ่น ความเป็นศิลปะชั้นสูงของมโนราห์นั้นสามารถดูได้จากงานครอบครูโขนละครและดนตรีไทย ที่เป็นมรดก ของชาติ และเป็นที่ยอมรับว่างดงามและสูงส่ง บนปะรำพิธีจะมีเศียรเก้าเศียรซึ่งเศียรที่เก้านั้นก็คือ เทริดมโนราห์ (คล้ายมงกุฎ) อีกทั้งมโนราห์ยังเป็นศาสตร์ที่รวบรวมเอาศิลป์แขนงอื่นมาเกี่ยวข้อง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น งานช่างไม้ ช่างก่อสร้าง ช่างปักเย็บ เป็นต้น
ความเชื่อ โดยเชื่อกันว่าครูเหล่านี้คือกลุ่มคนที่เคยมีชีวิตในสมัยโบราณ ทั้งนี้จะเป็น เจ้าเมือง(เมืองพัทลุง) และบรมวงศานุวงศ์ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเครื่องแต่งกายของมโนราห์จึงมีลักษณะ คล้ายเครื่องทรงกษัตริย์ ซึ่งบรมครูเหล่านี้ ได้แก่ ขุนศรัทธา เจ้าพระยาสายฟ้าฟาด แม่ศรีมาลา แม่นางคงคา แม่นางนวลทองสำลี ตาม่วงแก้ว ตาม่วงทอง ขุนแก้วขุนไกร พ่อเทพสิงขร เป็นต้น เหล่าตาพรานป่าและ เหล่าเสนา เหล่านี้คือ ข้ารับใช้ในวัง และยังเป็นตัวตลกอีกด้วย เช่น พรานบุญ พรานเทพ พรานหน้าทอง พรานเฒ่า เป็นต้น ตายายมโนราห์ เหล่านี้ก็คือ บุคคลที่เคยมีชีวิตอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์ แต่เมื่อสิ้นชีพ ไปแล้วด้วยแรงครูจึงยังคอยวนเวียนปกปักษ์รักษาลูกหลานเชื้อสายมโนราห์ ตลอดมา
วัสดุและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในการทำเทริด
๑. ขวาน
๒. พร้า
๓. มีดกรีดยางหัก
๔. เลื่อยลันดา
๕. ค้อน
๖. เลื่อยหางหมู
๗. กระดาษทราย
๘. ดินสอ
๙. กาวลาเท็กซ์
๑๐. กรรไกร
๑๑. คีม เหล็ก
๑๒. สิ่ว
๑๓. ตะไบ
๑๔. เครื่องกลึง
๑๕. ท่อนไม้วางแบบเรียบ
๑๖. น้ำทอง
๑๗. พู่กัน
๑๘. สีโปสเตอร์
๑๙. ตัวแบบกนกต่าง ๆ
๒๐. เข็มและด้าย
๒๑. เชือกเส้นเอ็นไนลอน
๒๒. ชันและน้ำมันก๊าด
๒๓. แกลลอน
๒๔. แก้วสีต่าง ๆ เช่น ขาว,แดง,เขียว,น้ำเงิน
๒๕. ตะปูเข็ม
วิธีการทำเทริด
๑. การทำกะโหลก (เพดานเทริด) ใช้ไม้ทองหลาง ถือเคล็ดตามชื่อและเป็นไม้มงคลโดยใช้เนื้อไม้จากกิ่ง เพราะจะได้ไม่ต้องตัดไม้ทั้งต้น หลังจากนั้นเลื่อยเป็นท่อนๆ (คล้ายเขียง) ให้มีผิวเรียบ ทั้งสองด้าน ใช้สิ่วหรือสว่านขูดเนื้อไม้ด้านนอกทิ้ง เพื่อให้เหลือเฉพาะส่วนวงกลมที่ต้องการทำกะโหลก ใช้เครื่องกลึงเป็นรูปกะโหลก และตกแต่งให้ผิวเรียบด้วยกระดาษทราย จากนั้นใช้สิ่วหรือมีดขุดเจาะ และตกแต่ง ให้ด้านนอกมีรูปร่างเป็นวงรี แต่ในส่วนของด้านบนกับด้านล่างยังคงเป็นทรงกลม เมื่อได้รูปทรง ตามที่ต้องการแล้ว ใช้สิ่วขูดเจาะร่องภายในให้เป็นชั้นๆ นำไปตากแดดให้แห้งเป็นเวลา ๒ วัน สำหรับส่วนนี้ จะมีอยู่ด้วยกัน ๓ ขนาด คือ ใหญ่ (๒๒ นิ้ว) ขนาดกลาง (๒๑ นิ้ว) ขนาดเล็ก (๒๐ นิ้ว)
๒. การทำยอดเทริด ใช้ไม้กระท้อนเพราะเป็นไม้เนื้ออ่อน เหลาง่าย และหาง่าย ในท้องถิ่น (ในอดีตใช้ไม้จากต้นเทียมแต่เนื่องจากหายากขึ้นจึงเปลี่ยนมาใช้ไม้กระท้อนแทน) หลังจากนั้นนำมาตัดเป็นท่อนๆ ใช้สิ่วแกะเซาะเป็นชั้นๆ ปัจจุบันนี้ใช้เครื่องกลึงตกแต่งส่วนยอดเพื่อให้ได้รูปทรงกลมมน และมี ผิวเรียบ (ลักษณะรูปแบบของยอดจะทำตามลูกค้าสั่ง) จากนั้นทำเดือยสามเหลี่ยมเพื่อใช้เป็นตัวยึดติด ระหว่างยอดกับกะโหลก (เพดาน) เทริด
๓. การทำหูใช้ไม้กระท้อน นำมาตัดตกแต่งให้มีลักษณะโค้งงอและเรียว คล้ายปีกนก
๔. การทำโครงเทริดโดยใช้ไม้ไผ่สาน ใช้ตอกไผ่สีสุกสานขัดเป็นลายสอง และสานเป็น รูปทรงกระบอกเพื่อใช้ทำโครงเทริด จากนั้นนำมาตัดปลายให้เสมอ แล้วนำไปประกอบกับกะโหลก (เพดาน) เทริด ทากาว ตัดแต่งด้านหน้าให้กว้างเพื่อทำหน้าผาก จากนั้นจึงนำส่วนหูมาติด
๕. การตกแต่งเพดานเทริด หรือเรียกว่า "เกร็ด” ด้วยหนังวัว ลดหลั่นกันเป็น ๓ ชั้น โดยนำหนังวัวมาตัดเป็นลวดลาย แล้วใช้ตะปูตัวเล็กตอกให้เป็นลวดลายอย่างต่อเนื่องบนเพดานเทริดทั้งสี่ชั้น แต่ปัจจุบันใช้พลาสติกแทนหนังวัว เนื่องจากพลาสติกมีความคงทน ซึ่งแตกต่างกับหนังวัวที่อ่อนตัว เมื่อโดนแดดหรือความร้อน
๖. การทาชันและทาสีเทริด ใช้ชันผงผสมกับน้ำมันก๊าด เพื่อให้เกิดความเหนียวและเปลี่ยนสี เป็นสีน้ำตาล (ชันหนึ่งถุงสามารถนำมาทาเทริดโนราได้จำนวน ๒ ยอด) ใช้พู่กันจุ่มชันที่ผสมแล้วทาโครงไม้ไผ่ให้ทั่วเพื่อปิดรอยสาน หลังจากนั้นใช้เชือกไนล่อนมาติดเป็นแนวเพื่อไว้ประดับกระจกแก้ว นำชันที่เหลือมาปั้นเป็นรูปกนกตกแต่งเกร็ดและโครงเทริดและยอดเทริด ในสมัยโบราณนิยมปั้นกนกด้วยมือ แต่ปัจจุบัน ได้พัฒนาทำเบ้าไว้สำหรับทำกนกเพื่อความสะดวกรวดเร็วและได้กนกที่มีขนาดเท่ากัน รอจนแห้ง
๗. การทาสีในส่วนของเทริดและยอดเทริด ตกแต่งประดับลายในส่วนต่างๆ ลงรักปิดทอง หรือทาน้ำทอง ปัจจุบันนิยมใช้สีอะคริลิคทาแทนการปิดทองคำเปลว โดยจะใช้สีอะคริลิคสีทอง ทาด้านหน้าของเกร็ด โครง และหูให้ทั่ว หลังจากนั้นผึ่งลมหรือตากแดดให้แห้ง ประมาณ ๑ - ๒ วัน (ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ) เพื่อให้สีแห้งสนิทและคงทน หลังจากนั้นทาสีแดงบนกะโหลกและด้านหลัง ของเกร็ดให้ทั่ว ส่วนยอดเทริดให้ทาสีทองและทาสีแดงเช่นเดียวกับเทริด
๘. การตกแต่งและทำลวดลาย ใช้กระจกแก้วสีต่างๆ มาตัดเป็นรูปทรงเรขาคณิต เพื่อประดับเทริด ให้เกิดความสวยตามแนวเชือกไนล่อน ส่วนใหญ่นิยมใช้กระจกสีขาวเขียว และแดง เพราะเมื่ออยู่บนเวทีแล้ว จะสวยงามกว่ากระจกสีอื่น ส่วนยอดเทริดติดกนกตามชั้นต่างๆ
๙. การติดยอดเทริด สำหรับยอดเทริดอาจประดับลูกแก้ว หรือเหลาไม้เป็นทรงกลม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของโนราที่สั่งทำการประดับตกแต่งด้วยกระจกแก้วสีต่างๆ เก็บรายละเอียด ให้เรียบร้อย เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
โนรา เป็นนาฏศิลป์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในบรรดาศิลปะการแสดงของภาคใต้ มีความยั่งยืน มานับเป็นเวลาหลายร้อยปี การแสดงโนราเน้นท่ารำเป็นสำคัญ ต่อมาได้นำเรื่องราวจากวรรณคดีหรือ นิทานท้องถิ่นมาใช้ในการแสดงเรื่อง พระสุธนมโนห์รา เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลต่อการแสดงมากที่สุด จนเป็นเหตุให้เรียกการแสดงนี้ว่า มโนห์รา ตามตำนานของชาวใต้เกี่ยวกับกำเนิดของโนรา มีความเป็นมา หลายตำนาน เช่น ต˚านานโนรา จังหวัดตรัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุง มีความแตกต่างกันทั้งชื่อที่ปรากฏในเรื่องและเนื้อเรื่องบางตอน ทั้งนี้อาจสืบเนื่องมาจากความคิด ความเชื่อ ตลอดจนวิธีสืบทอดที่ต่างกัน จึงทำให้รายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละตำนานแตกต่างกัน แต่ชาวบ้านจังหวัดยะลา แก้บน "มโนราห์โรงครู” ตามความเชื่อและความศรัทธาของชาวปักษ์ใต้ ที่บริเวณบ้านเรือนชาวบ้านในพื้นที่เขตจังหวัดยะลา ยังยึดหลักความเชื่อและอนุรักษ์ในพิธีกรรมของ การครอบครูโนรากับพิธีอุปสมบท มีวิธีการของขั้นตอนการปฏิบัติใกล้เคียงกัน สิ่งที่เป็นข้อสังเกตได้ว่า โนรานำแนวปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนต่อการอุปสมบทมาใช้ในการประกอบพิธีกรรมโนรา ได้แก่
๑. การนำบุตรของตนไป มอบกับครูโนราให้อบรมสั่งสอนความรู้โนราเหมือนกับ นำลูกไปถวายหลวงพ่อเพื่อให้เป็นศิษย์วัดคอยอบรมและสั่งสอน
๒. เมื่อลูกชายมีความรู้ ด้านโนราอย่างสมบูรณ์ อายุประมาณ ๒๐ - ๒๑ ปี จะต้องให้ครูรับรองความรู้เหมือนบวชพระให้ถูกต้องตามประเพณี
๓. การทำพิธีครอบเทริดโนรามีการตัดจุกโนราจะยึดถือเป็นการสระหัวโนราเหมือนกับการสระหัวเจ้านาค
๔. การทำพิธีตัดจุกและสระหัวโนราจะต้องน˚าเครื่องทรงหรือเตรียมเครื่องแต่งกาย
โนราให้พร้อมสรรพไว้สำหรับเปลี่ยนเหมือนกับเจ้านาคจะต้องเตรียมเครื่องอัฐบริขารให้ครบถ้วน
๕. การทำพิธีครอบครูโนราในโรงพิธีหรือโรงโนราเปรียบเสมือนกับเจ้านาคทำพิธีบวชในอุโบสถ
๖. เมื่อพิธีตัดจุก เรียบร้อยแล้วมีการปาวารนาตนแก่ครูโนรา ๔ คน หรือเปรียบเสมือน พระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจารย์โดยมีตาสำมะรุดเป็นสักขีพยาน
๗. การครอบเทริดจะต้องใช้เชือก ด้ายสายสิญจน์ในการทำพิธีมีทั้งหมด ๓ เส้น ในจำนวน ๑ ใน ๓ จะมีพระสงฆ์มาร่วมพิธีอยู่ด้วยซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระสงฆ์เข้ามามีบทบาทสำคัญเพื่อความเป็นสิริมงคล พิธีกรรมมีความผูกพันและเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างชัดเจน
๘. การตัดด้ายสายสิญจน์ของการครอบเทริดจะตัดด้วยไฟเทียนไขซึ่งติดอยู่ที่ปลายพระขรรค์ ของครูโนรา พระขรรค์เป็นอาวุธประจำกายของพระอินทร์ ครูโนรานำพระขรรค์มาใช้ประกอบกิจกรรม ซึ่งแสดงให้เห็นอิทธิพลคติเทวนิยมของพราหมณ์ โนราได้รับและปรับใช้อย่างกลมกลืน
๙. การทำพิธีครอบครูโนรา มิได้เกิดจากการรับและปรับใช้หรือยอมรับเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ชาวบ้านในชุมชนทั้งใกล้และไกลจะมาร่วมเป็นสักขีพยานอย่างพร้อมเพรียงกันโดยเฉพาะ ในกิจกรรมวันที่สอง ของพิธีกรรม ซึ่งแสดงให้ทราบว่าการทำพิธีดังกล่าวเป็นที่ยอมรับและเล็งเห็นความสำคัญอย่างกว้างขวาง
๑๐. เมื่อทำพิธีครอบเทริดแล้ว ผู้ที่เป็นโนราจะต้องไปรำ ๓ วัด ๓ บ้าน และ บวชพระ จึงเป็นโนราที่สมบูรณ์ที่มีความบริสุทธิ์ที่ร่างกายและจิตใจ สามารถแสดงโนราและประกอบพิธีกรรมใด สำเร็จลุล่วงได้ตามความต้องการของลูกหลานทุกครั้ง
ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจในศิลปะการแสดงมโนราห์น้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ยังทำการ แสดงอยู่ก็มีอายุตั้งแต่ ๔๐ ปีขึ้นไป และจะให้ความสนใจในการแก้บนต่างๆ มากกว่าการร่วมสืบทอด การร่ายรำมโนราห์ ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของวิถีวัฒนธรรม ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ และของชาวปักษ์ใต้
สถานะการคงอยู่ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
- เสี่ยงต่อการสูญหายต้องได้รับการส่งเสริมและรักษาอย่างเร่งด่วน
รายชื่อผู้สืบทอดหลัก
๑. กลุ่มผู้ผลิตเทริดมโนราห์ ณ บ้านเลขที่ ๑๔๘ หมู่ที่ ๔ ตำบลสมหวัง อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง
๒. นายนริศร เพชรมณี (มโนราห์โทน สมพงษ์น้อยดาวรุ่ง) บ้านเลขที่ ๒ หมู่ที่ ๒ ตำบลนาท่อม อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง
ภัยคุกคาม
ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้วิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปนิยมชมการแสดงด้านอื่น และคงอยู่ในด้านความเชื่อมากกว่างานแสดง
การทำเทริดโนราห์ของกลุ่มผู้ผลิตเทริดมโนราห์ ณ บ้านเลขที่ ๑๔๘ หมู่ที่ ๔ ตำบลสมหวัง อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของบ้านไร่ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ โดย นายล่าย หนูยก และได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาในการทำเทริด ให้แก่นายเสริมศักดิ์ เลื่อนจันทร์ /นายพัน เลื่อนจันทร์ ซึ่งเกิดจากการแสดงมโนราห์และผู้แสดงมีเทริดที่จะสวมใส่ไม่เพียงพอ เลยเกิดความคิดที่จะทำเทริดให้เพียงพอกับผู้แสดง เพื่อแก้ปัญหาในขณะนั้น ภูมิปัญญาที่อาศัยความรู้และประสบการณ์ เป็นการนำวัสดุหรือทรัพยากรที่มีในท้องถิ่นมาประดิษฐ์และก่อให้เกิดประโยชน์กับท้องถิ่นแห่งบ้านสมหวัง การทำเทริดได้พัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่องเพื่อให้งานออกมาอย่างประณีต และเป็นที่ยอมรับของคนในท้องถิ่น
เมื่อผู้คนในท้องถิ่นบ้านสมหวังภูมิใจยอมรับในชิ้นงานที่ออกมา ทำให้ชิ้นงานแพร่หลาย เลื่องลือไปยังตำบลใกล้เคียง จนทำให้ในปัจจุบันการทำเทริดถือได้ว่าเป็นอาชีพเสริมอีกทางหนึ่งที่ทำให้มีรายได้เพิ่มพูนให้กับครอบครัวและชุมชน การันตีโดยการได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) และ ผลิตภัณฑ์ OTOP ระดับ ๔ ดาว
(เทริดทรงนคร ยอด ๑๕)
อัตลักษณ์เทริดโนราและคติความเชื่อของสกุลช่างในภาคใต้
แนวคิดอัตลักษณ์ และความเชื่อ ผลการศึกษาพบว่า อัตลักษณ์เทริดโนราของสกุลช่างภาคใต้มีความโดดเด่นที่แตกต่างกันดังนี้ สกุลช่างอ้น จังหวัดสงขลา การตกแต่งโครงเทริดด้วยการปั้นลายตัวพุด ลายตัวผมเทริด และลายแมงดาตามกัน สกุลช่างลุ้น จังหวัดตรัง โดดเด่นด้านการทำเพดานเทริด 4 ชั้น การแต้มสีเป็นลายตีนจุกตูบริเวณโครงเทริด สกุลช่างแว็ก จังหวัดนครศรีธรรมราช การใช้ไม้รักทำยอดเทริดเพราะมีความเชื่อจะมีคนรักคนหลง เพดานเทริดประดับดอกไม้ไหว โครงเทริดตกแต่งด้วยการปั้นลายรักร้อย ลายตาข้าวพอง ส่วนโครงหน้าเทริดทำเป็นรูปทรงเรียกว่าหยักไรผม และสกุลช่างล่าย จังหวัดพัทลุง โดดเด่นในการใช้ไม้ขนุนและไม้ยอทำเพดานเทริด ส่วนยอดเทริดใช้วิธีการขุดเป็นรูปดอกบัว โครงเทริดตกแต่งด้วยการปั้นลายหยดน้ำค้าง การแต้มสีแดงซึ่งภาษาช่างเรียกว่าการเขียนศิลป์ ส่วนคติความเชื่อของสกุลช่าง สำหรับลวดลายของแต่ละสกุลช่างสะท้อนคติความเชื่อ ดังนี้ สกุลช่างอ้น ใช้ลายตัวพุด มีลักษณะเหมือน ตัวโอม แทนความโชคดี ในขณะสกุลช่างลุ้นใช้ลวดลายตัวโอมเหมือกันให้ความหมายแทนความสำเร็จ ส่วนสกุลช่างแว็ก ใช้ลายดอกประจำยามทั้ง 4 ทิศ หรือเทวดาทั้ง 4 ทิศ ซึ่งเปรียบเสมือนพระพรหม และสกุลช่างล่าย เน้นลาย หยดน้ำค้าง แทนเมตตามหานิยม
(✨โนห์ราอารีน้อย เสียงทอง ✨เทริดทรงนคร สกุลช่างแว็ก ที่สมบูรณ์ที่สุด🫶🏻เทริดยอดนี้ ใช้ประกอบละคร เรื่อง โนห์รา ถึง 2 ครั้ง🎥)
ที่มาสิบค้นข้อมูล
https://www.m-culture.go.th/phatthalung/
https://th.wikipedia.org/
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/HUSOTSU/article/view/261789
ภาพประกอบจากInternet
https://www.facebook.com/people/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3-By%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B9%8C/
21 พฤษภาคม, 2568
ขนมปะดา เมนูประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ประจำปี 2566
เมืองนคร ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรมโบราณอันเก่าแก่แห่งหนึ่งของภาคใต้ เมืองนคร นอกจากจะมีปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้แล้ว ยังมีอาหารปักษ์ใต้รสเด็ด และความแน่นแฟ้นของวัฒนธรรมไทยที่หลากหลายของเชื้อชาติที่ต่างกัน แต่อยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนของทั้งคนไทย คนจีน และคนมุสลิม จึงทำให้อาหารโบราณอร่อยๆ แบบชาวปักษ์ใต้หลายๆ ชนิดเป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้คนและนักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนเมืองนคร จากคำบอกเล่าของคนเมืองนคร เขาบอกว่า เป็นขนมสูตรโบราณของชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ส่วนมากมักจะทำในช่วงเทศกาลต่างๆ หรือประเพณีสำคัญของชาวไทยมุสลิม ที่มักจะทำ“ขนมปะดา” หรือบ้างเรียกว่า “ขนมปาดา” พื้นบ้านชนิดนี้มาเลี้ยงแขก
ทั้งนี้จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้ดำเนินการจัดกิจกรรม 1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น” ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่น มรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ความเป็นไทย (Thailand Best Local Food) รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของอาหารไทย อาหารท้องถิ่น ทีมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตคนไทย รวมถึงการรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งเสนอสาระความรู้เกี่ยวกับอาหารไทย และอาหารท้องถิ่น ต่อยอดสมุนไพรไทย สรรพคุณทางเลือกและส่งต่อเป็นภูมิปัญญาที่มีการสืบทอดรุ่นสู่รุ่น อีกทั้งเป็นการส่งเสริมศักยภาพของเครือข่ายวัฒนธรรมในการบริหารจัดการงานวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท้องถิ่นได้พิจารณาคัดเลือกเมนู “ขนมปะดา” หรือบ้างเรียกว่า “ขนมปาดา” เมนูประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นขนมโบราณคู่บ้านคู่เมืองนคร รูปร่างหน้าตาคล้ายๆ กับขนมโดนัทของต่างชาติ แต่เป็นโดนัทที่มีไส้ ซึ่งปัจจุบันหาทานได้
ลักษณะของขนมจะทำจากแป้งข้าวเจ้า คลุกเคล้าผสมกับกล้วยน้ำว้าที่สุกงอม โดยนำแป้งมานวดกับกล้วยน้ำว้าจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน ส่วนไส้ขนมจะประกอบด้วยสมุนไพรต่างๆ ได้แก่ ตะไคร้ หัวหอมแดง พริกไทย กระเทียม มะพร้าวขูด กะทิ กุ้งสด เกลือ และน้ำตาล นำมาบดส่วนผสมให้เข้ากันจนละเอียด จากนั้นก็นำไปผัดให้สุก เวลาทำก็นำแป้ง 2 ชิ้น มาประกบกัน โดยให้ไส้อยู่ตรงกลาง จากนั้นใช้นิ้วกดให้เป็นรู นำไปทอดในน้ำมันจนสุกมีสีเหลืองทอง ลักษณะขนมจะเหนียว นุ่ม ตัวแป้งมีความหวานและความหอมของกล้วยน้ำว้า ไส้รสเค็ม หวาน เจือเผ็ดเล็กๆ พอไม่ให้เลี่ยน หอมมะพร้าวและตะไคร้ขอบอกว่าหรอย! จริงๆ นิ และนอกจากรสชาติความอร่อยแล้ว หนมปะดา ยังอุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารครบทุกหมู่ด้วยค่ะ
ส่วนผสมตัวแป้ง
แป้งข้าวเจ้า 2 กิโลกรัม, กล้วยน้ำว้าสุก 3-4 หวีเล็กๆ, ส่วนผสมของใส้, มะพร้าวทึนทึกขูด 1 กก., พริกแกงขนมปาดาเพิ่มเผ็ด พริกไทย 20 บาท (เครื่องน้ำแกงหวานขนมจีน), น้ำตาลปี๊บ 1/2 กก. น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันสำหรับทอด, กะทะ, ไม้แหลมสำหรับเขี่ยขนมในกะทะ, ถ้วย, ผ้าขาวบาง, น้ำเปล่า
วิธีทำสูตรโบราณ
1. นำข้าวสารมาแช่น้ำไว้ประมาณ 2 -3 ชั่วโมง ล้างให้สะอาดประมาณ 2-3 น้ำ พักให้หมาด
2. นำข้าวสารไปโม่เป็นแป้ง แล้วใช้ผ้าขาวบางนำมารับน้ำแป้ง โม่ให้หมดแล้วมัดผ้าให้แน่น
3. นำแป้งไปทับไว้ โดยใช้ของหนักๆ วางทับบนผ้า ประมาณ 4-5 ชั่วโมงให้แป้งแห้งสนิท
4. เมื่อแป้งแห้ง นำกล้วยมาคลึงเบาๆ หรือนำเข้าเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียดแล้วนำมาขยำกับแป้งให้เข้ากันดี เติมผงฟูเพื่อให้พองตัว 1 คืน (กล้วยยิ่งเยอะยิ่งอร่อย)
วิธีทำแป้งขนมปะดา
ข้าวสารแช่น้ำในกาละมัง หนึ่งคืน
นำข้าวสารที่แช่ไปโม่เป็นแป้ง
ทับให้แป้งแห้งสนิท
กล้วยน้ำว้าสุกงอม ใช้ช้อนขูดบาง ๆ หรือใช้เครื่องปั่นให้ละเอียด
นำแป้งกับกล้วยน้ำว้านวดหรือขยำให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว วางทิ้งไว้ให้แป้งหมักตัว
ส่วนผสมไส้ขนมปะดา
มะพร้าวทึนทึกขูด พริกแกง (ตะไคร้ หอมแดง พริกไทย กระเทียม) กะทิ เกลือ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย
วิธีทำไส้ขนมปะดา
นำมะพร้าวทึนทึกขูดกับพริกแกง โขลกให้เข้ากันหยาบ ๆ
ตั้งกระทะ ใส่กะทิ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย ตั้งให้เดือด
มะพร้าวทึนทึกโขลกเครื่องแกงลงไปผัดให้เข้ากัน เติมเกลือ (อาจจะใส่กุ้งหรือกุ้งแห้ง หรือกะปิ ตามชอบ)
ผัดให้เข้ากัน ชิมให้ได้รสชาติที่ถูกใจ ยกลงจากเตา รอให้เย็น
ไส้ขนม
มะพร้าวขูดนำมาผัดกับพริกแกง ทำไส้ขนม
อุปกรณ์สำหรับการทอดขนมปะดา
น้ำมันสำหรับทอด, กระทะ, ไม้แหลมสำหรับเขี่ยขนม, ถ้วย, จาน, ผ้าขาวบาง, น้ำเปล่า
วิธีทำขนมปะดา
คว่ำถ้วยบนจานเอาท้ายถ้วยเป็นพิมพ์ วางผ้าขาวบางบนท้ายถ้วย พรมน้ำบนผ้าไม่ให้แป้งติดผ้า
ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันครึ่งกระทะ รอน้ำมันเดือด
ใช้ช้อนตักแป้ง หรือจะใช้มือตัก เอาตามสะดวก วางแป้งบนผ้า
ปั้นไส้เป็นก้อนใส่บนแป้ง ทบชายผ้าให้แป้งปิดไส้ จิ้มนิ้วเจาะเป็นรูตรงกลาง ถ้าแป้งห่อไม่มิด ไส้โผล่จะหยอดแป้งทับบนอีกครั้งสักนิดก็ได้ไม่ให้ไส้โผล่ พลิกลูกขนมใส่ฝ่ามือ นำลงทอดในกระทะน้ำมันเดือด
ทอดขนม
นำขนมมาทอดให้สุกทั้งสองด้าน
ทอดทีละด้านจนสุก พลิกกลับอีกด้าน ทอดให้สุดจนทั่ว ใช้ไม้แหลมจิ้มรูตรงกลาง แขวนบนกระทะสะเด็ดน้ำมัน
ขนมปะดา
ขนมสุกตักพักให้สะเด็ดน้ำมัน
เคล็ดลับการทำขนมปะดา
ใช้แป้งบดเองจากข้าวสาร
แป้งผสมกล้วยน้ำว้าสุกงอมจนกลายเป็นเนื้อเดียว วางทิ้งให้แป้งหมักตัว
ไส้ใช้มะพร้าวทึนทึกเท่านั้นและเพิ่มกะปิ ไส้จะอร่อยมาก
ให้แป้งห่อไส้มิด ถ้าไส้โผล่ ทอดแล้วไม่สวย
ลูกขนมจะสวยหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวแป้งและความชำนาญของคนทำ
เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับวิธีทำขนมปะดา ยังไงแล้วลองทำกันดูได้นะค่ะ หรือหากได้มาเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็สามารถหาเมนูนี้ทานกันได้ค่ะ
แหล่งข้อมูล :
https://library.wu.ac.th/NST_localinfo
https://www.nakhononline.com/2297/
https://blog.wu.ac.th/archives/11395
08 พฤษภาคม, 2568
ผ้าพระบฏและผ้าพระบฎพระราชทาน
พระบฏ เป็นภาพเขียนภาพพระพุทธเจ้าหรือพุทธประวัติไหว้เพื่อใช้เป็นรูปเคารพบูชาอย่างหนึ่งของชาวพุทธ มีประวัติการสร้างตั้งแต่ครั้งพุทธกาลและเป็นสิ่งบูชาที่เปลี่ยนบทบาทตามบริบททาง สังคม จากรูปเคารพมาเป็นเครื่องบูชาพระพุทธองค์ในสมัยหลัง ดินแดนที่นับถือพุทธศาสนาอาจมีการสร้างพระบฎ ในรูปแบบและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันเช่นเดียวกับพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชก็ร่วมกันสร้างพระบทเพื่อนำไปห่มรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุด้วยความเชื่อว่าเป็นการบูชาพระพุทธเจ้าได้กุศลสูงประเพณีนี้ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนานนับ 100 ปี แม้ว่าบางช่วงเวลาอาจซบเซาไปบ้างแต่หลังพ.ศ. 2530 เป็นต้นมา ได้มีการส่งเสริมในระดับจังหวัดจึงทำให้ประเพณีได้รับการถือปฏิบัติกว้างขวางขึ้น และหนึ่งในปัจจัยการส่งเสริมดังกล่าว ก็คือการได้รับพระราชทานพระจากสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย เพื่ออัญเชิญมาใช้ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ จึงเป็นผลให้ประเพณีนี้ดำรงอยู่อย่างมั่นคง และแพร่ขยายวงกว้างศรัทธา ต่อพระบรมธาตุเจดีย์และพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว้างขวางทั่วคาบสมุทรไทยในปัจจุบัน
รู้จักผ้าพระบฎ
ความหมายของพระบฎ ซึ่งหมายถึงผืนผ้าที่มีภาพพระพุทธเจ้าหรือพุทธประวัติสร้างขึ้นมาเพื่อไว้บูชาความเป็นมาของพระบฏ ปรากฏในตำนานสมัยพระเจ้าอชาตศัตรู ในชั้นแรกพระบทถือเป็นรูปเคารพแทนพระพุทธเจ้า ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงบทบาทมาเป็นเครื่องบูชาที่ถวายต่อพระพุทธองค์ การสร้างพระบฏมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือสร้างถวายวัดเพื่อเป็นพุทธะบูชาและไว้สักการะบูชาภายในบ้านภาพและเรื่องราวในพระบฏ ส่วนใหญ่เป็นภาพพระพุทธเจ้าหรือพุทธประวัติรูปแบบพระบทมีทั้งที่เป็นผืนผ้าขนาดยาวซึ่งเขียนภาพลงเต็มผืนและผืนผ้าขนาดเล็กเขียนภาพเล่าเรื่องเป็นตอนตอนพระบทที่นิยมผลิตในนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่เป็นผืนยาวเพื่อเหมาะสมแก่การอัญเชิญไปโฮมรอบวงพระบรมธาตุเจดีย์ณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเพื่อเป็นพุทธบูชา
ในดินแดนที่พระพุทธศาสนาแผลไปถึงต่างก็มีพระบุตรไหว้สักการะในประเทศอินเดียมีตำนานเล่าถึงที่มาของภาพพระบุตรว่าสมัยพุทธกาลพระเจ้าอชาตศัตรู ได้ทุนขอพระพุทธฉายจากพระพุทธเจ้าเพื่อนำมาสักการะบูชาแทนพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าจึงได้โปรดประทานพระพุทธฉายเป็นภาพพระพุทธองค์ประทับอยู่บนผ้าผืนหนึ่งให้แก่พระเจ้าอาชาตศัตรูจากนั้นจึงเกิดความนิยมเขียนภาพพระพุทธเจ้าลงบนผืนผ้าเพื่อสักการะบูชาแพร่หลายไปยังดินแดนอื่นที่นับถือพุทธศาสนาเช่นประเทศ Nepal ศรีลังกาที่เบตจีนญี่ปุ่นเกาหลีพม่าลาวเป็นต้นบางท้องถิ่นมีการนำสัญลักษณ์อื่นในทางพระพุทธศาสนามาเขียนบนผืนผ้าด้วยเช่นพระบฎในทิเบตเรียกว่า“ถังกา” เขียนภาพกาลจักรหรือปฎิจจสมุปบาท อันเป็นสื่อแสดงถึงพระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้และสั่งสอนเอาไว้เป็นต้น
จากการศึกษาพบว่าในดินแดนไทยสมัยโบราณ พระบฏ ถือเป็นรูปเคารพอย่างหนึ่งของพุทธศาสนิกชนซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นรูปแทนพระพุทธเจ้าที่เสด็จดับขันปรินิพพานไปแล้วพระบฏ มีหลายขนาดตามกำลังความสามารถในการโทรและการวาด การทำพระบทได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากพุทธศาสนิกชนในสมัยโบราณ เนื่องจากลงทุนต่ำและใช้เวลาน้อยกว่าการสร้างพระพุทธรูปอีกทั้งสามารถพกพาติดตัวไปยังที่ต่างๆได้ง่ายต่อมาเมื่อพุทธศาสนิกชนรู้จักเครื่องมือในการทำพระพิมพ์ความนิยมทำพระบทก็เริ่มลดลง เพราะพระพิมพ์สามารถผลิตได้ครั้งละจำนวนมากเก็บรักษาไว้ในศาสนสถานได้นานกว่า รวมถึงยังสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายกว่า ส่งผลให้บทบาทหน้าที่ของพระบทได้เปลี่ยนแปลงจากการเป็นรูปเคารพ มาเป็นเครื่องบูชาที่ถวายต่อพระพุทธองค์
ในปัจจุบันพระบฎ ในนครศรีธรรมราชนิยมนำผ้าขาวขนาดยาวมาเขียนภาพพระพุทธองค์หรือภาพพระพุทธรูปปางต่างๆตามแนวนอนแต่ละผืนมีภาพลักษณะดังกล่าวหลายภาพ ผู้สร้างและผู้เขียนภาพจึงต้องใช้เวลานับเดือนในการทำ เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็นำภาพไปประดับตกแต่งด้วยแถบผ้าหรือลูกปัดสีต่างๆ เพื่อเพิ่มความสวยงามแก่พระบฎ ก่อนที่จะนำเข้าขบวนแห่แหไปบูชาพระบรมธาตุเจดีย์ ณวัดพระธาตุวรมหาวิหาร ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ระยะต่อมาการประดับพื้นผ้านิยมให้สตรีที่มีมีฝีมือมาเย็บผ้าแพร และลวดลายดอกไม้ที่ขอบแถบผ้าตลอดทั้งผืน ปัจจุบันช่างผู้ชำนาญด้านการวาดและการตกแต่งมีจำนวนน้อยลง ประกอบกับพุทธศาสนิกชนไม่ค่อยมีเวลาว่างมาจัดทำพระบฏ ทำให้แต่ละปีมีพระบทเพียงจำนวนหนึ่งที่มาเข้าร่วมขบวนแห่ ส่วนใหญ่มักใช้ผ้าผืนยาวสีขาวแดงและเหลืองแทน
ผ้าพระบฏ:ที่มาของประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ
กล่าวถึงตำนานของประเพณีนี้มีมาตั้งแต่พ.ศ. 1773 สมัยที่พระเจ้าสามพี่น้องคือพระเจ้าศรีธรรมสุราชพระเจ้าจันทรภาณุและพระเจ้าพงษาสุระ กำลังสมโภชพระธาตุคลื่นได้ชัดพระบทมาขึ้นฝั่งที่ชายหาดปากพนังชาวบ้านจึงนำภาพผืนนั้นไปถวายพระเจ้าศรีธรรมราชเมื่อซักผ้าพระบทจนสะอาดก็เห็นภาพพุทธประวัติเด่นชัดสวยงามเมื่อประกาศหาเจ้าของก็ได้ความว่าชาวพุทธร่วม 100 คนจากเมืองอินทปัตย์ จะเดินทางไปลังกาเพื่อนำพระบทไปบูชาพระพุทธบาทที่ศรีลังการะหว่างเดินทางพายุพัดเรือมาขึ้นฝั่งที่นครศรีธรรมราชพระเจ้าศรีธรรมโศก ส่งพิจารณาเห็นว่าพระบทผืนนั้นควรจะนำไปหุงพระบรมธาตุเจดีย์เนื่องในโอกาสสมโภชพระธาตุ เจ้าของพระบทก็ยินดีด้วย เหตุนี้การแห่ผ้าขึ้นทาสจึงมีขึ้นนับตั้งแต่นั้น
ตำนานดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่าการแห่ผ้าขึ้นธาตุกระทำในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุประจำปีเดิมทีเจ้าเมืองทายาทจะจัดขบวนแห่พระบทพร้อมนำอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภคไปถวายพระสงฆ์ที่วัดพระมหาธาตุวรพระมหาวิหารโดยจะมีชาวเมืองเข้าร่วมขบวนไปไปด้วย สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ทายาทของ เจ้าพระยานคร(หนู) พร้อมชาวเมืองก็ยังคงสืบทอดต่อครั้งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยการแห่พระขึ้นธาตุก็เปลี่ยนมาทำในวันวิสาขบูชาต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่4 มีพระราชประสงค์ให้พุทธศาสนิกชนจัดพิธีทางพุทธศาสนาเพิ่มในวันมาฆบูชา (ขึ้น 15 ค่ำเดือนสาม) เหตุนี้ทำให้ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุมีการจัดปีละสองครั้งคือวันมาฆบูชาและวันวิสาขบูชา
อย่างไรก็ดีเนื่องจากสมัยก่อนการคมนาคมทางบกยังไม่ไม่สะดวกผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เดินทางมาทางเรือในช่วงที่น้ำยังเต็มลำคลองสะดวกกว่าจึงยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 สืบมานับตั้งแต่นั้น ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวชาวบ้านเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จแล้วจึงชวนกันไปทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวและเพื่อให้ผลบุญได้ช่วยอำนวยให้ผลผลิตบังเกิดความอุดมสมบูรณ์ในปีต่อไป ตามคตินิยมที่มีมาแต่โบราณด้วยผู้คนที่เดินทางมาร่วมงานประเพณีนี้นิยมเดินทางมาตั้งแต่เช้าของวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 เพื่อมาค้างอ้างแรมที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารหรือวัดละแวกข้างเคียง เช่นวัดหน้าพระบรม วัดสระเรียง วัดพระนคร วัดหน้าพระลาน วัดชลเฉนียน (วัดชายคลอง) โดยเฉพาะบนลานทรายของวัดพระมหาธาตุฯ เพื่อจะได้ประกอบพิธีถวายผ้าพระบุตรหรือผ้าห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาในช่วงสายหรือเที่ยงวัน
เมื่อพิจารณาด้านคุณค่าจะเห็นว่าประเพณีแห่ผ้าขึ้นทาสมีคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม ทั้งในด้านคุณค่าต่อครอบครัวและเครือญาติ การปฎิบัติประเพณีเป็นการสร้างความสัมพันธ์กันในกลุ่มเครือญาติคุณค่าทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนทำให้เกิดความช่วยเหลือกันในด้านแรงงานและกำลังทรัพย์ จากคนในชุมชนและคนในชุมชนใกล้เคียงคุณค่าทางด้านการส่งเสริมจริยธรรมส่งเสริมให้คนในสังคมทำความดีอันจะส่งผลให้สังคมมีความปกติสุขคุณค่าต่อประเพณีเป็นการสืบทอดการ ปฎิบัติประเพณีจากรุ่นสู่รุ่นและคุณค่าด้านศาสนาและความเชื่อเป็นการสืบทอดความเชื่อและความศรัทธาต่อพระบรมธาตุเจดีย์นอกจากนี้ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุยังมีคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจการที่พุทธศาสนิกชนจำนวนมากเข้าร่วมประเพณีทำให้มีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าแก่ผู้มาร่วมงานในท้องถิ่น
ผ้าพระบฎพระราชทาน
กล่าวถึงพระบฎพระราชทานที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมในประเพณีแห่ผ้าขึ้นทาสตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการขอวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างการประสานงานจัดสร้างรูปแบบและลักษณะของ ผืนผ้าและการพระราชทานพระบทในโอกาสอันเป็นมงคลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์มาใช้ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นท่าตามลำดับดังนี้
ผืนแรกเป็นผ้าพระบฏ พระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัฐราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเมื่อพ.ศ. 2530 มีลักษณะเป็นภาคขาวใหญ่สังเคราะห์ขนาดกว้าง1.15 เมตร ยาว 32 เมตร ต้นผ้าหรือหัวผ้าอัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ ส.ธ. ประดิษฐานไว้ต่อจากต้นผ้าไปทางขวามีภาพจิตรกรรมไทยเขียนด้วยสีอะคริลิค เขียนตามแนวนอนจำนวน 30 ตอน สาระของภาพเป็นพุทธประวัติตั้งแต่พระสิทธัตถะจุติจากสวรรค์ จนกระทั่งเจริญพระชนม์พรรษา และเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผืนนี้ได้ใช้มาจนถึงพ.ศ. 2549 พระบทเสื่อมสภาพลง จึงได้ขอพระราชทานผืนใหม่ในปีเดียวกัน(รวมจำนวนภาพที่ได้รับพระราชทานมีสองผืน)
ผืนที่สอง ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเมื่อพ.ศ. 2555 เนื่องในโอกาสปีพุทธชยันตรี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 พระบทที่ได้รับพระราชทานเป็นผ้าแคนวาส ขนาดกว้าง 1.20 เมตร ยาว 39 เมตร ส่วนต้นผ้าอัญเชิญตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถประดิษฐานไว้ ต่อจากส่วนต้นภาพเป็นภาพจิตรกรรมไทยเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ
ผืนที่สาม ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระบรมโอโอรสาธิราชฯ เมื่อพ.ศ. 2556 ภาพพระบฎพระราชทานผืนนี้เป็นผ้าใยสังเคราะห์ขนาดกว้าง 1.15 เมตร ยาว 39 เมตร ต้นผ้าได้อัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ ม.ว.ก. มาประดิษฐานไว้ต่อจากสวนต้นผ้าเขียนภาพจิตรกรรมไทยเรื่องราวพุทธประวัติตั้งแต่ ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน 12 ตอน
ผืนที่สี่ ได้รับพระบรมราชานุญาต ให้จัดสร้างเมื่อ พ.ศ. 2556 เนื่องในคราวเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา จึงได้ขอพระราชทานผ้าพระบฏ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าตามวัตถุประสงค์ของการจัดสร้างพระบฏ ที่ได้รับพระราชทานเป็นผ้าแคนวาสขนาดกว้าง 1.20 เมตรยาว 89 เมตรต้นผ้าได้อัญเชิญพระประมาทที่ไทยย่อ ภ.ป.ร. ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎประดิษฐานไว้จากต้นผ้าไปทางขวาเขียนภาพจิตรกรรมไทยเรื่องราวพุทธประวัติจำนวน 29 ตอน ประกอบด้วย ทศชาติชาดก 24 ตอน พุทธประวัติตอนสำคัญ4 ตอน และเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 1 ตอน
ผืนที่5 ได้รับพระราชอนุญาตให้จัดสร้างเมื่อพ.ศ. 2557 จากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารีตามที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 12 และโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช โดยทรงอนุญาตให้ใช้อักษรพระนามย่อ จ.ภ. ประดิษฐานบนผืนผ้าที่ได้รับพระราชทานเป็นผ้าแคนวาสขนาดกว้าง 1.20 เมตรยาว 30 เมตร ส่วนต้นผ้าประดิษฐานอักษรพระนามย่อ ต่อจากต้นผ้าเขียนภาพจิตรกรรมไทยเรื่องราวพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติจนปรินิพพาน
การปฏิบัติต่อภาพพระบทพระราชทาน
กล่าวถึงการปฏิบัติของชาวนครศรีธรรมราชต่อพระบฎพระราชทานในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุอย่างสมและสมฐานะ นับตั้งแต่การสมโภชเพื่อแสดงถึงความยินดีที่ได้รับพระราชทานพระบฎจะให้ความสำคัญกับการเลือกสถานที่ พิธีการ ผู้เข้าร่วมพิธี ตลอดจนกิจกรรมประกอบพิธีการจัดขบวนแห่เน้นความสง่างาม และความสงบเป็นระเบียบเรียบร้อย ในพิธีถวายผ้าเริ่มจากพระสงฆ์ให้ศีลและเจริญชัยมงคลคาถา จากนั้นนักแสดงก็รำบูชาพระบรมธาตุ ต่อหน้าพุทธศาสนิกชนที่เข้าร่วมพิธีอย่างเนืองแน่น ทำให้พิธีอัญเชิญพระบฎ มีความเข้มขลังและเป็นสิริมงคล
การเลือกสถานที่ จะถือเอาตำนานและนัย ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระบฎเป็นสถานที่สมโภชคือที่อำเภอปากพนังอันเป็นแหล่งที่มาของพระตามตำนานและที่สวนสาธารณะศรีธรรมราชซึ่งมีอนุสาวรีย์พระเจ้าศรีธรรมสุขประดิษฐานอยู่ ส่วนพิธีกรรมและพิธีการในการสมโภชพระบฎ จะเริ่มประกอบพิธีที่อำเภอปากพนังก่อนถึงวันแห่ภาคขึ้นธาตุ 2 วันเพื่อสมโภชพระบฎพระราชทาน วันรุ่งขึ้นจึงอัญเชิญผ้าพระบฏขึ้นบุษบก เพื่อส่งมอบให้แก่จังหวัดนครศรีธรรมราชที่สวนสาธารณะศรีธรรมราช แล้วจึงมีพิธีสมโภชครั้งก่อนที่จะอัญเชิญไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์ในวันถัดไป
การเชิญผู้ร่วมพิธี ทั้งที่อำเภอปากพนังและที่สวนสาธารณะศรีธรรมโศกราช มีผู้ร่วมพิธี3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มพระภิกษุสงฆ์ ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคลกลุ่มหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทำหน้าที่อัญเชิญพระบฎจากอำเภอปากพนัง และรับพระบฎ ที่สวนสาธารณะศรีธรรมราช เพื่อให้พิธีมีความหมายสมบูรณ์ที่สุดและกลุ่มพุทธศาสนิกชนทั่วไปที่เข้าร่วมพิธีด้วยความตั้งใจในการจัดกิจกรรมประกอบ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เพิ่มคุณค่าให้แก่การสมโภชพระบฎ โดยเลือกจัดกิจกรรมพิเศษที่เกี่ยวข้องกับพระบฎ พระธรรม และพระมหากษัตริย์
การจัดขบวนแห่พระบฎ นับตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชได้รับพระพระราชทานเพื่ออัญเชิญมาใช้ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ตั้งแต่ พ.ศ. 2530 คณะกรรมการได้ให้ความสำคัญแก่การจัดขบวนแห่พระบฎ เพื่ออัญเชิญขึ้นห่มโอบรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ โดยจะพิถีพิถันในเรื่องการจัดขบวนแห่ให้มีความสง่างาม และเป็นระเบียบตั้งขบวนบริเวณหน้าศาลาประดู่หก และสนามหน้าเมืองตามแผนผังการจัดริ้วขบวนเป็นลำดับชัดเจน ผู้เข้าร่วมขบวนแต่ละปีมีจำนวนนับ 10,000 คน ซึ่งมาจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และพุทธศาสนิกชนทั่วไป ครั้งถึงเวลา 15:00 น. จึงจะเคลื่อนขบวนมุ่งสู่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
การถวายผ้าพระบทพระราชทาน เมื่อขบวนแห่พระบฎพระราชทานมาถึงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร พระสงฆ์ศีล และเจริญชัยมงคลคาถา ศิลปินแสดงศิลปวัฒนธรรมเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาจากนั้นผู้ร่วมขบวนแห่พระบฎและพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีถวายผ้าพระบฎพระราชทาน โดยการกล่าวคำถวายตามประธานในพิธีถัดมาเข้าสู่พิธีอัญเชิญพระบฎขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์เริ่มต้นด้วยการส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธีประมาณ 10 คนส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัด พระสงฆ์เดินนำคณะตัวแทนอัญเชิญพระบฎเวียนขวา บนลานประทักษิณรอบฐานเจดีย์ จำนวนสามรอบ
ผ้าพระบฎพระราชทาน : ปัจจัยและสื่อส่งเสริมสืบสานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ กล่าวถึงความสำคัญของพระบฎพระราชทาน ในแง่การสื่อที่ช่วยส่งเสริมสืบสานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุที่นครศรีธรรมราช ทั้งในด้านแนวคิดมีการเตรียมย้ำแนวคิดเรื่องการสร้างพระบฎ เพื่อเป็นเครื่องบูชาและขยายผลไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน ด้านพิธีกรรมมีการปรับปรุงการประกอบพิธีสมโภชพระบฎให้มีความเข้มขลัง และพิธีอัญเชิญพระบทขึ้นห่มพระบรมธาตุเจดีย์ให้มีระบบระเบียบและสง่างามด้านสมาชิกมีสมาชิกร่วมงานเพิ่มขึ้นทั้งหน่วยงานที่เข้าร่วมเป็นผู้จัดงานและบุคคลที่เป็นผู้มาร่วมงานสุดท้ายด้านการเฉลิมฉลอง มีการขยายขอบเขตของงานกว้างขึ้น ในด้านระยะเวลาการจัดงานสถานที่จัดงานและกิจกรรมดังกล่าว
การจัดสร้างพระบฎพระราชทาน แต่ละผืนนอกจากเพื่อเทิดพระเกียรติพระผู้พระราชทานพระบฎเนื่องในโอกาสพิเศษ แล้วการส่งเสริมสืบสานประเพณีแห่พระขึ้นธาตุ ที่นครศรีธรรมราชก็เป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญประการหนึ่งด้วยในประเพณีนี้พสกนิกรและพุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราชได้อัญเชิญพระบฎพระราชทานทุกผืนมาใช้ประกอบพิธี ตามวัตถุประสงค์ของการจัดสร้างด้วยตระหนักในคุณค่าและความหมายของพระบฎพระราชทาน ตลอดจนมุ่งมั่นในผลแห่งการปฎิบัติทั้งในด้านประเพณีและในวโรกาสอันเป็นมงคลพ้นจากการปฎิบัติต่อพระบฎพระราชทานดังกล่าวทำให้พระบฎพระราชทานเป็นปัจจัยและสื่อสำคัญที่ช่วยส่งเสริมสืบสานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ตามองค์ประกอบของประเพณีใ นด้านแนวคิด พิธีกรรมและการเฉลิมฉลองดังต่อไปนี้
1.แนวคิด คือหลักการหรือความเชื่อที่ยอมรับกันมาตั้งแต่อดีตว่าเป็นสิ่งดีงามที่ต้องกระทำเพื่อความสงบสุข หรือความเป็นระเบียบของสังคม แนวคิดอาจจะมีที่มามาจากลัทธิศาสนาความเชื่อเกี่ยวกับผีสางเทวดา และสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ แนวคิดหลักดั้งเดิมของประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุคือพุทธศาสนิกชนใช้พระบฎ ถวายพระบรมธาตุเจดีย์ เพื่อเพื่อเป็นพุทธบูชาในโอกาสสำคัญ เช่น วันสำคัญทางพุทธศาสนา วันสมโภชพระบรมธาตุเจดีย์ เป็นต้น แนวคิดนี้ได้รับการเสริมย้ำและขยายผลไปสู่การปฏิบัติอย่างชัดเจนทั้งในกลุ่มพุทธศาสนิกชนทั่วไป หน่วยงานราชการ องค์กรเอกชน และองค์กรภาคประชาชนดังจะเห็นได้ว่า พุทธศาสนิกชนช่วยกันจัดสร้างพระบฎมากขึ้น ขณะที่ส่วนราชการและองค์กรได้จัดสร้างพระบฎ เป็นการเฉพาะเพิ่มขึ้นด้วยทำให้จำนวนพระบฏในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เพิ่มขึ้นทุกปี
แนวคิดที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือมีการยกระดับประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นประเพณีนานาชาติโดยการนิมนต์พระสงฆ์ และเชิญพุทธศาสนิกชนจากประเทศต่างๆมาเข้าร่วมประเพณีด้วยได้แก่ เนปาล บังคลาเทศ ทิเบต จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม พม่า ลาว เขมร และมาเลเซียเพื่อให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้เข้าร่วมพิธีกรรมอันเป็นกุศลนี้และยังเป็นการสนับสนุน การนำเสนอวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นมรดกโลก การดำเนินการดังกล่าวทำให้ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ มีความเป็นสากลมากขึ้นและก่อให้เกิดแนวคิดในการจัดสร้างพระบฎ ในรูปแบบและขนาดที่ต่างไปจากเดิม อีกทั้งส่งผลให้มีการขยายแนวคิดไปสู่การจัดงานแห่ผ้าห่มองค์พระบรมธาตุ วัดธาตุน้อย อำเภอช้างกลาง และเจดีย์ศรีธรรมราชอำเภอเชียรใหญ่จังหวัดนครศรีธรรมราช
2.พิธีกรรม คือการกระทำที่มีแบบแผนอย่างเป็นขั้นตอนเพื่อให้วัตถุประสงค์ของผู้จัดพิธีกรรมพิธีกรรมประกอบด้วย เจ้าพิธี คือผู้ประกอบพิธีกรรมอย่างมีแบบแผนเพื่อเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ อีกสิ่งหนึ่งเป็นกรรมวิธี คือ ลำดับขั้นตอนในการประกอบพิธีกรรม พบว่า การเสริมย้ำและขยายแนวคิดเรื่องการนำพระบฎ ไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เพื่อเป็นพุทธบูชา ทำให้ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุพัฒนาไปจากเดิมทั้งในด้านเจ้าพิธีเพื่อเป็นประเพณีนานาชาติ จึงมีพระสงฆ์จากต่างประเทศเข้าร่วมพิธีกรรมมากขึ้น ส่วนในด้านกรรมวิธี มีการพัฒนาวิธีการจัดทำพระบฎ เช่นการเขียนลงบนผืนผ้าการพิมพ์ลงบนกระดาษและการพิมพ์ลงบนไวนิว ทั้งยังมีการจัดพิธีสมโภชพระบฎ ให้มีความเข้มแข็งรวมถึงการจัดขบวนแห่พระบฎ การถวายพระบฎ และการนำพระบฎขึ้นห่มพระบรมธาตุเจดีย์ได้พัฒนามากขึ้น
3.การเฉลิมฉลอง คือการจัดงานรื่นเริงต่างๆให้เกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมเพื่อให้สมาชิกสังคมได้ร่วมแสดงความยินดีและเกิดความสนุกสนานการจัดงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ได้ขยายขอบเขตกว้างขึ้นทั้งในด้านระยะเวลาการจัดงานสถานที่จัดงานและกิจกรรมกล่าวคือนับตั้งแต่พ.ศ. 2553 เป็นต้นมาจะจัดงาน4-7วัน ที่วัดพระพระมหาธาตุวรมหาวิหาร สวนสาธารณะศรีธรรมโศกราช และอำเภอปากพนังกิจกรรมที่สำคัญได้แก่กิจกรรมปฏิบัติบูชาและส่งเสริมพระพุทธศาสนา กิจกรรมสมโภชแห่พระขึ้นธาตุและเวียนเทียนกิจกรรมนิทรรศการทางพุทธศาสนา กิจกรรมประเพณีท้องถิ่น กิจกรรมการแสดงและมหรสพ กิจกรรมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน กิจกรรมท่องเที่ยวทางธรรมและกิจกรรมตกแต่งสถานที่ ประกอบพิธีกรรมการเฉลิมฉลองดังกล่าว ทำให้ประเพณีแห่ขึ้นธาตุเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
ผลสืบเนื่องจากการส่งเสริมประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ทำให้ประเพณีนี้ได้รับคัดเลือกให้เป็นกิจกรรมดีเด่นเพื่อรับรางวัลนวัตกรรมด้านการตลาด การท่องเที่ยวตามกลยุทธ์สร้างการรับรู้ความเป็นเอกลักษณ์พื้นที่ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2555 นอกจากนี้พบว่า การปฎิบัติประเพณีก่อให้เกิดความสามัคคีในชุมชนและความสามัคคีนั้นเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความเจริญมั่นคงให้แก่ท้องถิ่นและประเทศชาติ ดังที่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้บริหารจัดการบ้านเมืองโดยใช้หลักธรรมนำการพัฒนาด้วยวิธีการสร้างความศรัทธา ให้พระบรมธาตุเจดีย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และมีประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นกุศโลบายหนึ่งในการรวมพลังศรัทธาของประชาชน ทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ และเป็นปัจจัยนำไปสู่การพัฒนาบ้านเมืองให้มีความเจริญ สะท้อนความเป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีต
<b>ผ้าพระบฎและผ้าพระบฎพระราชทาน จึงเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ศึกษาประวัติเกี่ยวกับพระในประเทศไทยและนครศรีธรรมราช ได้เป็นอย่างดีซึ่งก่อให้เกิดเข้าใจความหมายความเป็นมาและความมุ่งหมายในการสร้างพระบฎ รวมทั้งรูปแบบและลักษณะพระบฏที่พบในประเทศต่างๆยิ่งกว่านั้นกรณีศึกษาผ้าพระบฎพระราชทานในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุที่นครศรีธรรมราช ทำให้เห็นว่าพระบฎได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงค์ ส่วนในการส่งเสริมประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ยิงขณะเดียวกันยังแสดงให้เห็นถึงพลวัตของความเชื่อเกี่ยวกับพระบทในสังคมไทยที่มีความเชื่อมโยงการถวายพระบุตรเพื่อเป็นพุทธะบูชาและการถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นเรื่องเดียวกัน
กระนั้นก็ดีหากพิจารณาจากแง่มุมของพุทธศาสนิกชนที่อัญเชิญพระบฎ หรือนำผ้าผืนยาวสีขาวแดง และเหลือง มาห่มล้อมรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ จะพบว่าการปฎิบัติในประเพณีมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อถวายเครื่องบูชาต่อพระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์ ด้วยหวังกุศลจากการปฎิบัติ จะส่งผลดีต่อตนเองและสมาชิกในครอบครัวทั้งยังสื่อถึงความศรัทธาอย่างสูงของพุทธศาสนิกชน ที่มีต่อพระบรมธาตุเจดีย์ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการปฎิบัติต่อพระบรมธาตุเจดีย์ในประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นการสืบทอดคติ “ ธาตุบูชา” ทำให้คติดังกล่าวยังคงมีการถือปฏิบัติสืบมาแม้บริบททางสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปแต่คติธาตุบูชาก็ยังดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่นจึงเป็นผลให้พระบรมธาตุเจดีย์ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนไม่เสื่อมคลาย
ที่มา ผ้าพระบฏและผ้าพระบฎพระราชทาน .รศ.วิมล ดำศรี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)