11 มีนาคม, 2568

นครศรีธรรมราช รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม

๑. นครศรีธรรมราชสมัยสุโขทัย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นครศรีธรรมราชหรือตามพรลิงค์เป็นเมืองใหญ่ในคาบสมุทรมลายู มีแสนยานุภาพทางทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัพเรือ สามารถยกทัพไปตีลังกาถึงสองครั้ง นครศรีธรรมราชเป็นรัฐเอกราชที่มีความเป็นอิสระในตัวเองและมีความเจริญรุ่งเรืองในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยนั้นนครศรีธรรมราชเป็นรัฐที่มีความมั่งคั่ง มั่นคง และมีแสนยานุภาพแผ่อำนาจไปทั่วแหลมมลายู และสามารถยกทัพไปรบได้ถึงประเทศลังกา และเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท (ลัทธิลังกาวงศ์) ในขณะที่สุโขทัยยังคงอยู่ในสภาพที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการสนับสนุนให้คนสร้างบ้านเป็นเมืองและยังมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก ตามความที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหง แสดงว่ายังเป็นเมืองที่เล็กอยู่และศิลาจารึกหลักเดียวกันนี้ (จารึกในราว พ.ศ. ๑๘๓๕) ยังได้กล่าวถึงเมืองนครศรีธรรมราช มีข้อความตอนหนึ่งว่า (สังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่ศรีธรรมราชมา...) ซึ่งแสดงให้เห็นว่านครศรีธรรมราชมีมาก่อนสุโขทัยเป็นเวลาช้านาน และมีความเจริญรุ่งเรืองทางวิชาการ โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนาและวรรณกรรม และเพื่อเป็นการยกย่องและแสดงความน่าเชื่อถือต่อภูมิปัญญาของชาวนครศรีธรรมราช พ่อขุนรามคำแหงถึงกับระบุไว้อย่างชัดเจนในศิลาจารึกดังกล่าวแล้ว สรุปได้ว่าในช่วงตั้งแต่หลังพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา ในสมัยสุโขทัยรุ่งเรืองขึ้นมานั้น นครศรีธรรมราชมีสถานะเป็นดินแดนอิสระที่สำคัญ ของคาบสมุทรมลายู มีบทบาทสำคัญเรื่อง การเผยแผ่พระพุทธศาสนา และการประดิษฐ์อักษรของสุโขทัย โดยอาศัยนักปราชญ์จากนครศรีธรรมราชเป็นผู้ดำเนินการ
๒. นครศรีธรรมราชสมัยอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๗ ที่กรุงอโยธยา ครั้น พ.ศ. ๑๘๙๒ ได้ทรงย้ายราชธานีไปอยู่ริมหนองโสน และทรงเปลี่ยนนามว่า “กรุงศรีอยุธยา” ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์เมื่อ วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๑๘๙๓ ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ นี้ นครศรีธรรมราชอยู่ในฐานะเป็นเมืองพระยามหานครขึ้นตรงกับอยุธยาต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการ แก่อยุธยาตามกำหนดทุกปี และยังคงมีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ทั้งปวง ตามที่กฎในบัญชีเมือง ๑๒ นักษัตร ทุกประการ ครั้นถึงรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงปฏิรูปการปกครองบ้านเมืองรวมศูนย์อำนาจ มาอยู่ที่พระมหากษัตริย์ ทรงกำหนดระบบศักดินามาใช้ในการบริหาร ราชการแผ่นดิน และกำหนดให้มีหน่วยงานหลักในการบริหารประเทศแบ่งเป็น ๔ ฝ่าย เรียกว่า จตุสดมภ์ คือ เวียง วัง คลัง นา และได้ทรงตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินเพิ่มเติมจากของเก่าที่มีมาก่อนแล้ว ที่สำคัญ เช่น กฎหมายศักดินาข้าราชการฝ่ายพลเรือนทหารและข้าราชการหัวเมือง กฎหมายอาญาหลวง (เพิ่มเติม) กฎหมายลักษณะกบฏศึกและกฎมณเฑียรบาล เป็นต้น ในส่วนของนครศรีธรรมราชได้เปลี่ยนฐานะจากเมืองพระยามหานครเป็นหัวเมืองชั้นเอก ในปี พ.ศ. ๑๙๙๘ เจ้าเมืองได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมราช ถือศักดินา ๑๐,๐๐๐ และดำรงฐานะเช่นนี้มาตลอดสมัยอยุธยา อนึ่งในครั้งนั้นได้ทรงกำหนดให้มีหัวเมืองชั้นเอก ๓ เมือง คือ เมืองพิษณุโลก เมืองนครราชสีมาและเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อเป็นหัวเมืองหลักในการควบคุมดูแลหัวเมืองชั้นนอกและหัวเมืองประเทศราชของอยุธยา ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นต้นมา เมืองนครศรีธรรมราช จึงได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอยุธยาอย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าแต่ก่อน ทางเมืองหลวงสามารถเข้าไปควบคุมดูแลการปกครองของนครศรีธรรมราชได้อย่างใกล้ชิด เพราะนอกจากทางเมืองหลวงจะเป็นผู้แต่งตั้งเจ้าเมืองออกไปปกครองโดยตรงแล้วยังเป็นฝ่ายกำหนดและแต่งตั้งข้าราชการตำแหน่งสำคัญ ๆ ในเมืองนครศรีธรรมราชอีกด้วย เช่น ตำแหน่ง “ยกกระบัตร” ซึ่งจะแต่งตั้งจากผู้มีความดีความชอบและความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว ออกไปควบคุมการบริหารงานในหัวเมืองของเจ้าเมืองอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทางเมืองหลวงส่งคนออกไปปกครองเมืองนครศรีธรรมราชโดยตรงแล้ว แต่ถ้าเมื่อใดทางเมืองหลวงเกิดการแย่งราชสมบัติกันจนบ้านเมืองระส่ำระส่าย และอ่อนกำลังลงหรือมีการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ที่ขึ้นครองราชย์ โดยมิได้เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีแล้ว เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชก็มักจะแข็งเมืองต่อทางเมืองหลวง ไม่ยอมส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการตามประเพณีที่เคยส่ง เช่น ในสมัยพระเจ้าปราสาททองและสมัยพระเพทราชา เป็นต้น โดยในสมัยพระเจ้าปราสาททอง (ครองราชย์ ปี พ.ศ. ๒๑๗๓ - ๒๑๙๘) นับเป็นครั้งแรกที่นครศรีธรรมราชเป็นกบฏ โดยมีสาเหตุมาจากความแตกแยกของข้าราชการในอยุธยาและมีการผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ในปี พ.ศ. ๒๑๗๒ ซึ่งตรงกับสมัยพระอาทิตยวงศ์ เหตุการณ์ในครั้งนั้นเริ่มต้นจากเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ซึ่งต้องการเป็นกษัตริย์ปกครองอยุธยา แทนพระอาทิตยวงศ์ ได้วางแผนกำจัดออกญาเสนาภิมุข (ยามาดา) เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น ผู้มีอำนาจในอยุธยาอย่างมาก ในเวลานั้นให้ออกไปเสียจากอยุธยา เพื่อที่จะได้ไม่ขัดขวางตนเองที่จะปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยส่งให้ออกญาเสนาภิมุขมาปราบกบฏที่ปัตตานีแต่เสียทีถูกอาวุธบาดเจ็บสาหัส กลับมารักษาตัวที่เมืองนครศรีธรรมราช จนเกือบหาย ถูกพระยามะริดซึ่งช่วยราชการอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ได้ใช้ผ้าพันแผลอาบยาพิษพันแผลให้จนถึงแก่กรรมเพราะยาพิษใน พ.ศ. ๒๑๗๓ เมื่อออกญาเสนาภิมุขเสียชีวิตแล้วนครศรีธรรมราชก็ตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับอยุธยาอีกเพราะไม่เห็นด้วย กับการปราบดาภิเษกของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ที่ขึ้นเป็น กษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าปราสาททอง อยุธยาจึงได้ส่งกองทัพมาปราบปราม โดยมีออกพระศักดาพลฤทธิ์และออกญาท้ายน้ำเป็นแม่ทัพและสามารถตีนครศรีธรรมราชได้สำเร็จ
๓. นครศรีธรรมราชสมัยกรุงธนบุรี หลังจากกู้อิสรภาพอยุธยาจากพม่าได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้วปราบชุมนุมต่าง ๆ ครั้นใน พ.ศ. ๒๓๑๒ โปรดให้ เจ้าพระยาจักรี(หมุด) พระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยายมราช และพระยาเพชรบุรี ยกทัพบกเป็นทัพหน้าไปปราบชุมนุมเจ้านครแต่ทำการไม่สำเร็จ เพราะขัดแย้งกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงเสด็จยกทัพเรือไปตีเมืองนครศรีธรรมราชด้วยพระองค์เอง อีกทางหนึ่งเมื่อกองทัพเมืองหลวงเข้าตีค่ายท่าหมาก ที่คลองปากนคร และที่คลองศาลาสี่หน้า (บ้านปากพญา) แตก เจ้านครศรีธรรมราช (หนู) จึงทิ้งเมืองอพยพครอบครัวลงไป ณ เมืองสงขลา ให้หลวงสงขลา (วิเถียน) พาไปพักพิงที่เมืองเทพา เมืองปัตตานี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้เจ้าพระยาจักรีและพระยาพิชัยราชา ยกกองทัพเรือติดตามไปปัตตานี มีหนังสือขอให้ยอมส่งตัวเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) คืน เจ้าเมืองปัตตานียอมส่งตัวเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) มาถวายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโดยดี ครั้นได้เมืองนครศรีธรรมราชเรียบร้อยแล้วทรงแต่งตั้งพระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงศ์ครองเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๒ จนถึงแก่พิราลัย ใน พ.ศ. ๒๓๑๙ แล้วทรงแต่งตั้งเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ให้กลับไปปกครองเมืองนครครีธรรมราชอีกครั้ง โดยพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) เจ้าขัณฑสีมา ให้มีเกียรติเสมอเจ้าประเทศราช มีอำนาจแต่งตั้งขุนนาง ตามระบบจตุสดมภ์ได้เช่นเดียวกับราชธานี ในสมัยกรุงธนบุรีการจัดการปกครองยังคงใช้ระบบจตุสดมภ์ เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา รวมทั้งการใช้กฎหมายต่าง ๆ ก็นำแบบอย่างมาจากสมัยอยุธยาแทบทั้งสิ้น เว้นแต่ที่เมือง นครศรีธรรมราช มีความแตกต่างกันตรงที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกฐานะเมืองนครศรีธรรมราชที่เป็นเมืองเจ้าพระยามหานครอยู่ก่อน (หัวเมืองชั้นนอก) ขึ้นเป็นเมืองประเทศราช ทรงยกย่องเมืองนครศรีธรรมราชให้มีเกียรติยศเสมอเจ้าประเทศราช ตั้งพระยาอัครมหาเสนาและจตุสดมภ์สำหรับเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าเมืองได้รับพระสุพรรณบัฏเป็นพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) เจ้าขัณฑสีมา แต่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชที่ดำรงฐานะเป็นเจ้าประเทศราชในสมัยกรุงธนบุรีมีเพียง ๒ องค์ คือ พระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงศ์เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๑๒ - ๒๓๑๙ และพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๑๙ - ๒๓๒๗ ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองนครศรีธรรมราชกับกรุงธนบุรีนับว่ามีความสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นมากโดยเฉพาะความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเจ้าเมืองกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทั้งนี้เพราะเจ้านราสุริยวงศ์ มีฐานะเป็นพระเจ้าหลานเธอและพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ก็มีฐานะเป็นพระสัสสุระ (พ่อตา) ของพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วย เมืองนครครีธรรมราชมีประวัติศาสตร์ความเจริญและศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว ตั้งแต่สมัยอาณาจักรตามพรลิงค์ สุโขทัย และเป็นเมืองเจ้าพระยามหานคร หรือเมืองชั้นเอกมา แต่สมัยอยุธยาและเป็นศูนย์กลางของหัวเมืองปักษ์ใต้ตลอดมาทุกสมัย ฐานที่ตั้งของเมืองนครศรีธรรมราช เหมาะสมในแง่ยุทธศาสตร์สมัยกรุงธนบุรี เพราะเป็นเมืองใหญ่ค่อนลงมาทางใต้ ไกลจากเมืองหลวงพอสมควร แต่ในยามเกิดศึกสงครามก็ ไม่เกินกำลังหรือเวลาที่จะเดินทัพ มาสมทบกับเมืองหลวงได้ทั้งทางบกและทางเรือ ประกอบกับเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่นอกเส้นทางการเดินทัพโดยปกติของข้าศึก ที่มุ่งมาประชิดเมืองหลวง จึงไม่ค่อยถูกย่ำยีหรือยับเยินเพราะสงคราม เหมาะกับการเป็น ชุมกำลังพลกับคลังสรรพาวุธและเสบียงอาหาร เพื่อเสริมกำลังกับทางเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นเมืองนครศรีธรรมราชยังมีเมืองบริวารตั้งแต่ชุมพรลงไปจนถึงเมืองปัตตานี ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ซึ่งบริบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ กำลังทางเศรษฐกิจและ กำลังคน นครศรีธรรมราชเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญกับต่างประเทศ ช่วยให้สามารถจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ ได้สะดวกกว่าเมืองหลวงและเมืองอื่นที่อยู่ห่างเส้นทางค้าขายกับต่างประเทศ โดยเฉพาะในยามศึกสงคราม ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงอาจสรุปได้ว่าการที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกฐาน เมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเป็นเมืองประเทศราชนั้นเป็นด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์มากกว่าการยกย่องบุคคลเป็นการส่วนพระองค์
๔. นครศรีธรรมราชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จขึ้นครองราชย์และสถาปนากรุงเทพมหานคร เป็นราชธานี ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วทรงพระราชดำริว่าที่พระเจ้ากรุงธนบุรี ยกเจ้านครขึ้นเป็นเจ้าประเทศราชเป็นการให้อำนาจมากเกินไป จึงโปรดให้ลดบรรดาศักดิ์ลงเป็นเจ้าพระยานคร ซึ่งเป็นเจ้าเมืองชั้นเอกเช่นเดียวกับเมืองพิษณุโลกและเมืองนครราชสีมา และให้ลดตำแหน่งเสนาบดีเมืองนครลงเป็นกรมการเมืองเหมือนหัวเมืองอื่นๆ และให้ยกเมืองสงขลาซึ่งขึ้นกับเมืองนครอยู่ในครั้งนั้นเป็นหัวเมืองขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานครด้วย ครั้น พ.ศ. ๒๓๒๗ ได้โปรดเกล้าให้พระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) พ้นจากตำแหน่งและเอาตัวเข้ารับใช้ราชการในกรุงเทพมหานคร พร้อมกันนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอุปราช (พัฒน์) ซึ่งเป็นบุตรเขยของเจ้านคร (หนู) ขึ้นไป “เจ้าพระยานครศรีธรรมราช” แทน ในวันเดียวกัน ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทางเมืองหลวงได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ๔ คน ๑. ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตั้งอุปราช (พัฒน์) เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) พ.ศ. ๒๓๒๗ ๒. ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลัานภาลัย ตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) เป็นพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) พ.ศ. ๒๓๕๔ ๓. ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งพระเสน่หามนตรี (น้อยกลาง) บุตรเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) พ.ศ. ๒๓๘๒ ๔. ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งพระยาสุธรรมมนตรี (พร้อม) บุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชพ.ศ. ๒๔๑๐ ถึงแม้ว่าจะถูกลดอำนาจลงมากมายก็ตาม แต่นครศรีธรรมราชยังเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของปักษ์ใต้อยู่ เพราะต้องกำกับ ไทรบุรี กลันตัน และเป็นผู้ดูแลรักษาหัวเมืองฝ่ายตะวันตก ตลอดจนปราบปรามแขกสลัดและสืบข่าวความเคลื่อนไหวของพม่าในภาคใต้ นอกจากนี้ตัวเจ้าเมืองกรมการยังมีหน้าที่ส่วนตัวที่จะต้องปฏิบัติต่อเมืองหลวงเพื่อจะแสดงความจงรักภักดี ด้วยการส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการเข้าไปถวายในเมืองหลวง ปีละ ๒ ครั้ง เนื่องจากเป็นหัวเมืองชั้นเอก ซึ่งมีหลักฐานปรากฎอยู่ในตราตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ เป็นพระยานครศรีธรรมราชว่า... “อนึ่งเมืองนครเป็นเมืองเอก ถึงงวดปีแล้วให้จัดแต่งดอกไม้ทองเงิน เครื่องราชบรรณาการส่งเข้าไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ปีละ ๒ งวดตามบุราณราชประเพณีสืบมาแต่ก่อน ทุกปีอย่าให้ขาด”.... และมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อประชาชนชาวเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อไม่ให้เป็นผู้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนซึ่งนับเป็นภาระที่หนักมากสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชแต่ทางเมืองหลวง ก็เข้าใจถึงภาระหน้าที่อันยากลำบากของเจ้าเมืองนี้ จึงมอบอำนาจให้แก่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชมากกว่าเจ้าเมืองอื่นๆ เพื่อเป็นการชดเชยภาระหน้าที่ที่มีอยู่ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เจ้าเมืองนครครีธรรมราชที่มีบทบาทมากกว่าเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนอื่นๆ คือ เจ้าพระยานคร (น้อย) เพราะแม้ว่าจะไม่ได้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราชในฐานะเจ้าประเทศราช ดังเช่น พระเจ้านครศรีธรรมราชในสมัยกรุงธนบุรี แต่ในทางพฤตินัยเจ้าพระยานคร (น้อย) มีอำนาจในการปกครองหัวเมืองฝ้ายใต้ทั้งหมดตลอดถึง ไทรบุรี ตรังกานู เประ นอกจากนี้ยังเป็นผู้สำเร็จราชการทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกอีกด้วย เนื่องจากท่าน มีความสามารถพิเศษในด้านการต่อเรือและการบังคับบัญชากองทัพเรือ ความกล้าหาญเฉลียวฉลาด และรอบรู้ของเจ้าพระยานคร (น้อย) และความสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักในกรุงเทพฯ ทำให้ฐานะของเมืองนครศรีธรรมราชก็ดีตามขึ้นไปด้วย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรง ราชานุภาพทรงกล่าวยกย่องพระยานคร (น้อย) ว่า “เป็นผู้มีอำนาจมากกว่าเจ้าพระยานครทั้งปวง ได้บังคับบัญชาตลอดขึ้นมาถึงเมืองไชยาของฝั่งตะวันตกก็มีอำนาจแผ่เชื่อมไปถึงถลาง นำทัพศึกที่เป็นเรื่องสำคัญ ก็คือเมืองไทรมีอำนาจในเมืองแขกมากนับถือเป็นเจ้าแผ่นดินรอง เป็นผู้ได้รับอำนาจทำหนังสือกับอังกฤษ เจ้าของพระองค์นวโลหะพระเเท่นถม พระยานถม พระแสงง้าว พระแสงทวนถม และอื่นๆ” เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้สร้างความสำคัญให้แก่เมืองนครศรีธรรมราชเป็นอันมาก งานสำคัญของท่านมีทั้งด้านการปกครอง การช่าง การรบ และการทูต กล่าวคือ ในด้านการ ปกครอง ได้ปกครองบ้านเมืองด้วยธรรมานุภาพ บ้านเมืองสงบเรียบร้อยน่าสรรเสริญ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในหนังสือสาส์นสมเด็จภาคที่ ๖ ว่าเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นโอรสลับของพระเจ้ากรุงธนบุรีปกครองบ้านเมืองเข้มแข็งกว่าเจ้าเมืองแต่ก่อน ด้านการช่าง ได้ต่อเรือรบและเรือกำปั่นแปลงแก่กองทัพไทยในสมัยรัชกาลที่ ๒ จำนวน ๓๐ ลำ ได้ส่งเสริมศิลปะหัตถกรรม เครื่องถมผ้ายกเมืองนครจนเป็นที่รู้จักกว้างขวางด้านการรบ ได้ทำศึกสงครามเพื่อปราบปรามกบฏเมืองไทรบุรีชนะทำให้ไทรบุรียังคงขึ้นอยู่กับไทย และทำให้อังกฤษยอมรับว่าไทรบุรีเป็นประเทศราชของไทย ด้านการทูต ได้ทำหน้าที่เจรจาความเมืองชั้นต้น เพื่อเจริญความสัมพันธ์ทางไมตรีกับตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ (จอร์น ครอเฟิร์ดและเฮนรี่ เบอร์นี) หลายครั้งก่อนที่จะเดินทางไปเข้าเฝ้าที่กรุงเทพมหานคร ลักษณะเด่นเช่นนี้ทำให้ราชธานี ให้อำนาจและความไว้วางใจแก่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชมากกว่ายุคสมัยใด เมื่อเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. ๒๓๘๒ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่งตั้งพระเสน่าหามนตรี (น้อยกลาง) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นบุตรคนที่ ๔ ของเจ้าพระยานคร (น้อย) กับท่านผู้หญิงอินเป็นเจ้าเมือง ปรากฏนามในตราตั้งว่า พระยานครศรีธรรมราช แต่คนทั่วไป มักเรียกว่า พระยานครน้อยกลาง ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ใน พ.ศ. ๒๓๙๕ และถึงอสัญกรรมใน พ.ศ. ๒๔๑๐ ภายหลังอสัญกรรมของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช (น้อย) ทางกรุงเทพมหานคร ประสงค์จะโอนอำนาจ เจ้าเมืองมาไว้ในส่วนกลางให้มากขึ้นจึงเข้าไปเกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาเมืองไทรบุรีโดยตรงเสียเอง แทนที่จะยินยอมให้นครศรีธรรมราชเป็นตัวแทนราชธานีในการดูแล รักษาราชอาณาจักรทางใต้ ดังเช่น ในสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) ซึ่งยกเมืองสตูลซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับเมืองสงขลา ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งกับอาณาเขตระหว่างประเทศไทยกับบริษัทอังกฤษทางหัวเมืองมลายูสามารถตกลงกันได้เรียบร้อย เป็นผลให้กรุงเทพมหานคร สามารถแก้ปัญหาเมืองไทรบุรีลงได้สำเร็จ นอกจากนี้ทางกรุงเทพมหานคร สามารถต่อเรือใหญ่กว่าเรือกำปั่นที่เจ้าพระยานคร (น้อย) สร้าง จึงสามารถเดินทางไปมาติดต่อกันได้สะดวกกว่าเดิม ทำให้เมืองนครศรีธรรมราชใกล้หูใกล้ตากรุงเทพมหานครมากขึ้น จนทำให้เชื่อได้ว่าไม่เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพของราชธานี บทบาทของเมืองนครศรีธรรมราชจึงลดลงไปเหลือเป็นเมืองเอกเมืองหนึ่ง มีหน้าที่แต่เพียงกำกับหัวเมืองปักษ์ใต้อื่น ๆ ตามคำสั่งของทางราชธานีเท่านั้น ส่วนบทบาทของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ได้ปฏิบัติราชการด้วยดี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สถาปนาเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชใน พ.ศ. ๒๓๙๕ สิ้นสมัยเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ในพ.ศ. ๒๔๑๐ บุตรคนโตคือ พระเสน่หามนตรี (หนูพร้อม) ก็เข้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเป็นพระยานครศรีธรรมราช สืบแทนปรากฏนามภายหลังว่าเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี คนทั่วไปรู้จักอีกนามหนึ่งว่าเจ้าพระยาขนทวน ในเวลานั้นแม้ว่าจะไม่มีศึกพม่า หรือญวนแล้วก็ตาม แต่ไทยต้องเผชิญหน้ากับฝรั่งชาติตะวันตก ที่เข้ามาล่าอาณานิคมในแถบ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือฝรั่งเศสและอังกฤษ การดำเนินนโยบายปิดประเทศแบบเดิมซึ่งใช้มาครั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น มิอาจทำให้ปลอดภัยจากการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตกได้ แม้เราจะยอมผ่อนปรนตามเงื่อนไขของฝรั่งทั้งสองชาติไปบ้างแล้วก็ตาม หนทางที่จะรอดปลอดภัยจากการสูญเสียเอกราชทางหนึ่ง ก็คือการจัดการปกครองหัวเมืองเสียใหม่ให้รัดกุมและมีเอกภาพกว่าที่เป็นอยู่ ต้องพยายามเสริมสร้างกำลังและปิดช่องว่างอันเกิดจากการปกครองเสียโดยเร็ว ในพ.ศ. ๒๔๑๘ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม) ถูกเรียกตัวไปอยู่ในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากบกพร่องหน้าที่ราชการให้ทรงตำหนิติเตียนได้ เช่น ไม่ได้ไปรับเสด็จพระราชดำเนินเมืองไทรบุรี ใน พ.ศ. ๒๔๑๔ ทั้งที่เมืองนครศรีธรรมราชบังคับบัญชาเมืองไทรบุรีอยู่ และในปีนั้นเองได้โปรดเกล้าให้เลื่อนบรรดาศักดิ์พระยาไทรบุรีขึ้นเป็นเจ้าพระยาแล้วเมืองไทรบุรีขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และถูกขุนพิบาลกล่าวฟ้องร้องโทษใน พ.ศ. ๒๔๑๙ จนกรมพระยากลาโหมต้องตั้งตุลาการเพื่อชำระความตัดสิน เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม) ถูกเรียกตัวเข้าไปรับราชการอยู่ในกรุงเทพมหานครเกือบ ๒๐ ปี จึงได้กลับมารับราชการที่เมืองนครศรีธรรมราชอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. ๒๔๓๗ อันเป็นระยะเวลาที่ราชธานีกำลังดำเนินการปฏิรูปการปกครองบ้านเมืองแบบสมัยใหม่ที่เรียกว่าระบบเทศาภิบาลอันส่งผลให้อำนาจและบทบาทของเมืองนครศรีธรรมราชที่เคยเป็นหัวเมืองชั้นเอกและมีความสำคัญที่สุดของปักษ์ใต้ลดลง กลายมาเป็นหัวเมืองหนึ่งในมณฑลนครศรีธรรมราชอยู่ในบังคับบัญชาของหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๕๖๘) ได้มีการเปลี่ยนแปลง การบริหารราชการแผ่นดินด้านการปกครองหัวเมืองอีกครั้งหนึ่ง ในรัชกาลนี้ได้โปรดฯให้มีการแต่งตั้งตำแหน่งอุปราชปักษ์ใต้ขึ้นเพื่อปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้ทั้งหมด ในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ดำรงตำแหน่งอุปราชปักษ์ใต้ จนกระทั่งได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงได้ยุบมณฑลนครศรีธรรมราช ลงเป็นจังหวัดหนึ่งของราชอาณาจักรไทยและดำรงฐานะดังกล่าวเรื่อยมาจนปัจจุบัน ด้วยเหตุที่นครศรีธรรมราชมีประวัติอันยาวนานมาก่อนกรุงสุโขทัยซึ่งถือว่าเป็นราชธานีแรกของไทย มีความเจริญรุ่งเรืองทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์มาก่อน จึงทำให้ศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญ เช่น ประติมากรรม สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ช่างฝีมือพื้นบ้าน การละเล่น และขนบธรรมเนียมประเพณี อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมจึงมีมาก ซึ่งชาวเมืองยังยึดถือปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน นครศรีธรรมราชจึงมีอารยธรรมและศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติบ้านเมืองมาจนกระทั่งปัจจุบัน ที่มา https://sites.google.com/benjama.ac.th/benjama1