05 มีนาคม, 2568
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช : การตั้งถิ่นฐาน
หลักฐานทางโบราณดีและประวัติศาสตร์ที่สำรวจและขุดพบ สามารถแบ่งลักษณะการตั้งถิ่นฐาน และการดำเนินชีวิตของผู้คนในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น ๔ ช่วง เวลาดังนี้
๑. ชาวถ้ำหรือมนุษย์ถ้ำ
จากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ในภาคใต้นำมาเปรียบเทียบกับเมืองนครฯ เชื่อว่า คนก่อนประวัติศาสตร์ในเมืองนครฯ คงไม่แตกต่างกันมากนักคือ พักอาศัยอยู่ตามถ้ำหรือเพิงผา หาอาหาร โดยการล่าสัตว์เก็บผลไม้ ใช้เครื่องมือหินประเภทครกและสาก สำหรับบดตำพืชประกอบอาหาร บางครั้งอาจใช้ใบมีดหรือขวานหิน สำหรับปอกลูกไม้หรือเปลือกไม้ ตัดเฉือนเนื้อสัตว์ มีหลักฐานทางโบราณคดี แสดงให้เห็นว่าเมื่อประมาณ ๖,๕๐๐ - ๕,๐๐๐ ปี มาแล้ว มนุษย์ถ้ำในภาคใต้ประกอบอาหารโดยใช้ความร้อน จากไฟ รู้จักการหุงต้มโดยใช้หม้อดินเผาและมีถ่านไม้เป็นเชื้อเพลิง ภาชนะที่ใช้ประกอบอาหารที่มีใช้โดยทั่วไปคือ หม้อดินเผากั้นกลมและภาชนะแบบหม้อสามขาซึ่งสามารถตั้งคร่อมกองไฟ โดยไม่ต้องใช้เสาหรือก้อนเส้า นอกจากนี้ยังมีภาชนะใส่อาหาร เช่น ภาชนะทรงพาน หม้อก้นตื้น หม้อมีสัน ภาชนะประเภทชาม จอก ถ้วย เหยือก แท่นรองหม้อและแท่นพิงถ้วยสำหรับรองรับถ้วยน้ำดื่มอาจทำจากเขาสัตว์ เป็นต้น นอกจากนี้ชาวถ้ำ ยังรู้จักก่อกองไฟให้ความอบอุ่น รู้จักทำเครื่องนุ่งห่มโดยทำจากหนังหรือขนสัตว์ หรือทำจากเปลือกไม้ พบหินทุบเปลือกไม้หลายชิ้น
๒. ชุมชนเกษตรกรรมเริ่มแรก
เป็นวิวัฒนาการของการตั้งถิ่นฐานช่วงที่สองของเมืองนครฯ เริ่มจากชุมชนยุคหินใหม่ที่อาศัย
บนที่ราบปรากฏชัดขึ้นเมื่อรู้จักใช้เครื่องมือโลหะซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการพัฒนาของชุมชนเกษตรกรรมทำให้สามารถปลูกข้าวได้มากกว่าเดิม เริ่มตั้งถิ่นฐานถาวรมีการเลือกถิ่นฐานในภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ปรากฏชุมชนโบราณตามแนวสันทราย และที่ราบลุ่มแม่น้ำลำคลอง เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๕ เป็นต้นมา โบราณวัตถุของชุมชนสมัยนี้ นอกจากเครื่องมือที่ใช้ในชีวิตประจำวันแล้วยังมีเครื่องดนตรีซึ่งน่าจะเกิดจากการขัดแต่งหินจากธรรมชาติที่เคาะแล้วมีเสียงดังกังวาน สันนิษฐานว่า เป็นระนาดหิน มีลักษณะคล้ายขวานหินยาว ขัดแต่งจนเรียบร้อย ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีด้านยาวมากกว่าด้านกว้าง ๓-๖ เท่า ด้วยเหตุที่มีขนาดแตกต่างกันจึงทำให้เกิดระดับเสียงแตกต่างกัน ระนาดหินนี้พบที่แหล่งโบราณคดีริมคลองกลาย ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา นอกจากระนาดหินแล้วยังพบกลองมโหระทึกสำริดในภาคใต้ และเมืองนครฯ ๑๒ ใบ แสดงพัฒนาการทางด้านโลหะกรรม และการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อ กลองมโหระทึกเป็นวัตถุที่นำมาจากชุมชนภายนอกอาจมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชุมชนโพ้นทะเลจากจีน หรือเวียดนามตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑-๓ เป็นต้นมา
๓. ชุมชนเมืองท่าและสถานีการค้า
นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๓ เป็นต้นมา ชาวอินเดีย ชาวเปอร์เซีย ชาวอาหรับ และชาวโรมัน ได้เดินเรือมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกไกลแล้ว คาบสมุทร
มลายูจึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางของเส้นทางเดินเรือ จากฝ่ายตะวันตกอันได้แก่ อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ และโรมัน กับฝ่ายตะวันออก ได้แก่ จีน เวียดนาม จามปา และเจนละ เรือสินค้ามักต้องแวะเวียนพักเพื่อขนถ่ายสินค้าหรือหาเสบียงอาหาร ระยะแรกของการเดินเรือนั้นต้องอาศัยการเดินเรือเลียบชายฝั่ง ต่อมาได้อาศัยลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ดังนั้นคาบสมุทรมลายู จึงเป็นจุดเหมาะสมสำหรับเป็นสถานีแวะพัก รวมทั้งรอมรสุมสำหรับเดินทางต่อไปโดยมีปัจจัยเกื้อหนุนคือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดระหว่าง เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน นักเดินเรืออาศัยเดินทางจากตะวันตกไปตะวันออก และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งพัดระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม นักเดินเรือก็อาศัยเดินทางกลับ จากตะวันออกไปตะวันตก จากจุดนี้เรือสินค้าจากตะวันตกเข้าเทียบทางบริเวณฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมลายู ในแนวเส้นรุ้ง ๗ องศาเหนือ และไม่เกินเส้นรุ้ง ๘ องศาเหนือ บริเวณดังกล่าวอยู่ระหว่างจังหวัดตรังไปถึงจังหวัดพังงา จากบริเวณนี้สามารถเดินทางบกข้ามคาบสมุทรมลายูไปทางฝั่งตะวันออกที่พัทลุง เมืองนครฯ และบ้านดอน โดยเส้นทางตรัง-พัทลุง หรือเมืองนครฯ และตะกั่วป่า-ไชยา-บ้านดอน ซึ่งบริเวณเมืองท่า ฝั่งตะวันออก ก็เป็นจุดที่เรือสินค้าจากจีนและจากตะวันออกมาเทียบได้พอดี ช่วงเวลาที่รอมรสุมก็อาจเป็นเวลาซ่อมแซมเรือจัดหาเสบียง เมื่อเตรียมการเสร็จก็เป็นเวลาพอดีกับลมมรสุมเริ่มพัดผ่าน ทำให้เดินทางกลับได้พอดี หลักฐานสำคัญได้แก่ โบราณวัตถุอันเป็นสินค้าจากต่างประเทศ เช่น ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหินสีเครื่องประดับ เครื่องแก้ว เศษเครื่องถ้วยชามตลอดจนประติมากรรม รูปเคารพทางศาสนาที่ติดมากับเรือเดินทะเล ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๘ เป็นต้นมา เกิดชุมชนอย่างถาวรบริเวณเมืองท่าชายฝั่งทะเล ได้แก่ ตะกั่วป่า พบจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาทมิฬ มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ส่วนชายฝั่งตะวันออกพบหลักฐานจากศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย อักษรปัลลวะ ภาษาสันสฤกต มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ แสดงถึงชุมชนของกลุ่มผู้นับถือศาสนาพราหมณ์อินดู ลัทธิไศวนิกายในเมืองนครฯ
นอกจากกลุ่มพ่อค้าและนักแสวงโชคแล้วกลุ่มนักบวชพราหมณ์ และพระภิกษุในพุทธศาสนาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแถบนี้ในเวลาใกล้เคียงกันเพราะพบประติมากรรมรูปเคารพ
ในศาสนา ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๐ ซึ่งเป็นของที่นำเข้าจากอินเดียโดยตรง และมีประติมากรรมท้องถิ่นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ เป็นต้นมา แสดงถึงการรับอิทธิพลทางศิลปกรรมจากอินเดีย เช่น พระพุทธรูปศิลปะอมราวดี คุปตะ หลังคุปตะ ปาละ เสนะ เทวรูปอิทธิพลปัลลวะ และโจฬะ จากอินเดียใต้ เป็นต้น
๔. ชุมชนเมืองและนครรัฐ
การเข้ามาของวัฒนธรรมอินเดีย ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อชุมชนในภูมิภาคนี้ ในระยะเริ่มแรกศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จะเด่นกว่าศาสนาพุทธอยู่เล็กน้อย
พราหมณ์จึงเป็นบุคคล ที่พึงปรารถนาของชนชั้นปกครองเพราะเป็นผู้สร้างและรับรองความศักดิ์สิทธิ์ของเทวราชา ชนชั้นปกครอง จึงยกตนให้เหนือกว่าระดับหัวหน้าชุมชนเป็นเทวราชา โดยผ่านแนวความคิดของศาสนาพราหมณ์ ชุมชนหมู่บ้านเปลี่ยนฐานะเป็นเมืองหรือนคร เอกสารจีนตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๘ ได้กล่าวถึงรัฐต่าง ๆ ในเอเชียตะวันอกเฉียงใต้ เช่น ฟูนัน ลินยี่ พงศาวดาร ราชวงศ์เหลียงในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ กล่าวถึงอาณาจักร ชื่อ ลังกาสุกะ นักประวัติศาสตร์ลงความเห็นว่า คือ รัฐลังกาสุกะอยู่ในเขตจังหวัดปัตตานี มีหลักฐาน คือ ซากโบราณสถานในเขตอำเภอยะรัง อีกรัฐหนึ่งคือ รัฐตันมาลิง จากบันทึกของเฉาจูกัวและหวังด้าหยวน ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และ ๑๙ ซึ่งก็คือ รัฐตามพรลิงค์ หรือเมืองนครศรีธรรมราช
เมืองนครศรีธรรมราช เป็นรัฐที่มีพื้นฐานทางการเกษตร สินค้าพื้นเมือง ได้แก่ ข้าว การบูร ไม้หอม (ไม้กฤษณา) ไม้ฝาง ไม้จันทน์ ขี้ผึ้ง งาช้าง เขาสัตว์ หนังสัตว์ และดีบุก
เป็นเมืองท่าสำคัญมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๘ จากการรับวัฒนธรรมของศาสนาพราหมณ์และความเจริญทางด้านค้าขาย ส่งผลให้ชุมชนเมือง หลายชุมชน รวมกันเป็นนครรัฐตามพรลิงค์ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีกษัตริย์ปกครองอย่างต่อเนื่อง จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ได้ผนวกกับนครรัฐอื่นๆของอาณาจักรศรีวิชัย จนประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ พ.ศ. ๑๗๗๓ ตามพรลิงค์ได้ประกาศตัวเป็นอิสระอีกครั้ง จากหลักฐานจารึกหลักที่ ๒๔ ของพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราช แสดงว่า เมืองนคร ได้ดำรงตนเป็นรัฐอิสระ มีความรุ่งเรืองในสมัยปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นรัฐเอกราช ในระยะเวลาเดียวกันกับสมัยพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย เป็นรัฐที่มั่งคั่ง เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนาม พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เป็นอาณาจักรที่มีอิทธิพลครอบคลุมทั้งแหลมมลายู บรรดาบ้านเมืองในอาณาบริเวณนี้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรนครศรีธรรมราช โดยเรียกเมืองหลวงนั้นว่า เมืองสิบสองนักษัตร เมืองนครศรีธรรมราชเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดประมาณร้อยปีเศษ ก่อนจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษ ที่ ๑๙ หรือต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐
ที่มา
https://sites.google.com/benjama.ac.th/benjama1/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81
https://th.images.search.yahoo.com/