12 มีนาคม, 2568
บุคคลสำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช
ประวัติความเป็นมา
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นปฐมกษัตริย์ผู้ครองนครศรีธรรมราชเป็นต้นราชวงศ์ปทุมวงศ์เป็นผู้สร้างเมือง
นครศรีธรรมราช จากชุมชนเดิมซึ่งมีชื่อเรียกว่า “ตามพรลิงค์” บนหาดทรายแก้ว บริเวณตำบล ในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ จนกลายเป็นนครรัฐหรือเป็นอาณาจักรใหญ่ในคาบสมุทรไทย ก่อนที่จะเข้ารวมอยู่ในราชอาณาจักรไทย สมัยกรุงศรีอยุธยาในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ พระนามกษัตริย์พระองค์นี้ ปรากฏอยู่ในหลักฐานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เช่น ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช และจารึกดงแม่นางเมือง
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นผู้ที่อพยพมาจากถิ่นอื่นและเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เมื่อได้สร้างบ้านเมือง จึงนำเอาพระพุทธศาสนารวมทั้งลัทธิความเชื่อในศาสนาพราหมณ์มาด้วย พระนามว่า “ศรีธรรมาโศกราช” ภายหลังได้ใช้เป็นพระนามหรือนามที่เป็นอิสริยยศของพระมหากษัตริย์หรือเจ้าเมืองที่ปกครองเมืองตลอดมา พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้สร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเมื่อราว ๆ พ.ศ. ๑๐๙๘ คนทั่วไป เรียกว่า “สิริธัมนคร”
ในศิลาจารึกเมืองไชยา เรียกว่า “ตามพรลิงค์” หรือในจดหมายเหตุของจีน เรียกว่า“ตั้งมาหลิ่ง” เป็นต้น การที่เรียกเมืองตามพรลิงค์ว่า “นครศรีธรรมราช” ปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (หลักที่ ๑) เป็นครั้งแรก ชื่อนี้มีเค้ามูลที่จะเชื่อถือได้ว่าเป็นราชอิสริยยศที่ถวายแด่องค์พระมหากษัตริย์ผู้ครองนครศรีธรรมราชว่า “ศรีธรรมราช” คงจะถือเป็นประเพณีสืบต่อเนื่องกันมาหลายองค์ จึงเป็นเหตุให้ไทยขนานนามราชธานีนี้ตามพระนามราชอิสริยยศของกษัตริย์ผู้ครองนครนี้ว่า “นครศรีธรมราช”
ตั้งแต่ครั้งสุโขทัยเป็นต้นมา เมืองที่ทรงสร้างเป็นมหานครใหญ่มีอำนาจมาก มีกำแพงปราการโดยรอบทั้งชั้นนอกชั้นใน นอกจากนั้นยังมีเมืองขึ้น ๑๒ หัวเมือง เรียกว่า ๑๒ นักษัตร ตั้งอยู่โดยรอบพระราชอาณาเขต ด้านศาสนจักรได้ทรงสร้างสิ่งสำคัญคือสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้น จึงนับได้ว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นผู้สร้างเมืองนครศรีธรรมราช และสร้างพระสถูปเจดีย์ที่เรียกว่า “พระบรมธาตุ”ปูชนียสถาน ที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของไทยต่อมา
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงมีพระกรณียกิจและมีพระเกียรติคุณ ดังนี้
๑. ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ของนครศรีธรรมราชโบราณ และได้สถาปนาให้เป็นอาณาจักรสำคัญ ในแหลมอินโดจีน
๒. ทรงสร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๐๙๘ โดยสร้างกำแพง ป้อมปราการโดยรอบทั้งชั้นนอกชั้นใน ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทำให้นครศรีธรรมราช เป็นมหานครใหญ่ และมีอำนาจมาก มีเมืองขึ้น ๑๒ หัวเมือง เรียกว่า ๑๒ นักษัตร ตั้งอยู่โดยรอบพระราชอาณาเขต โดยกำหนดให้ใช้สัตว์ประจำปีเป็นตราเมืองแต่ละเมือง
๓. ทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ขึ้นบนหาดทรายแก้ว ซึ่งนับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญ ในสมัยต่อมาตราบจนปัจจุบัน
เจ้าพระยานครศรีธรรมราชหรือเจ้าพระยานคร (น้อย)
ประวัติความเป็นมา
เจ้าพระยานคร (น้อย) หรือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เป็นเจ้าเมืองลำดับที่ ๓ ของเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นับเป็นเจ้าเมืองที่มีชื่อเสียงโดดเด่นกว่าเจ้าเมืองใด ๆ ในสมัยเดียวกัน เพราะเป็นทั้งนักรบ นักปกครอง และเป็นผู้สันทัดในการช่างเป็นอย่างยอดเยี่ยม รับราชการสนองพระเดชพระคุณชาติบ้านเมืองด้วยความอุตสาหะ จงรักภักดีซื่อสัตย์ ต่อพระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์อย่างแน่วแน่มั่นคงถึง ๓ รัชกาล คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นับได้ว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ใด้บำเพ็ญกรณียกิจที่สำคัญแก่ชาติบ้านเมืองมายาวนานตั้งแต่วัยฉกรรจ์จนกระทั่งถึงอสัญกรรม
เจ้าพระยานคร (น้อย) หรือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๑๙ เป็นบุตรพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) มารดาชื่อ ปราง หรือ หนูเล็ก ด้านชีวิตครอบครัว เจ้าพระยานคร (น้อย) สมรสกับท่านผู้หญิงอิน ซึ่งเป็นราชนิกูลธิดาพระยาพินาศอัคคี (ตระกูล ณ บางช้าง) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่า “พี่อิน” ท่านผู้หญิงอิน มีบุตรธิดากับเจ้าพระยานคร (น้อย) ๖ คน ในจำนวนนี้คือ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ซึ่งต่อมาได้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราชสืบแทนบิดา ส่วนบุตรธิดาของเจ้าพระยานคร (น้อย) ที่เกิดจากภรรยาอื่น ก็ยังมีอีกหลายคน
เจ้าพระยานคร (น้อย) เริ่มเข้ารับราชการอย่างจริงจังในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย คือ ใน พ.ศ.๒๓๕๔ กล่าวคือ เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแล้ว เจ้าพระยานคร (พัฒน์) ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานถวายบังคมลาออกจากราชการเนื่องจากมีความชรา หูหนัก จักษุมืดมัวและหลงลืม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนเจ้าพระยานคร (พัฒน์) ขึ้นเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี และทรงตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราชเป็น “พระยาศรีธรรมาโศกราช” ว่าราชการเมืองนครศรีธรรมราช และได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในรัชกาลที่ ๒ ภายหลังได้ปราบปรามกบฏเมืองไทรบุรีครั้งแรกในพ.ศ. ๒๓๖๔ จนเป็นผลสำเร็จ และได้ปกครองเมืองนี้จนถึงแก่อสัญกรรม ในวันจันทร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๘๑ สิริรวมอายุได้ ๖๒ ปีเศษ
ผลงานและพระเกียรติคุณ
๑. ด้านการปกครอง การตีเมืองไทรบุรี เป็นเมืองที่มีปัญหาในการปกครองของไทยตลอดเวลา เจ้าพระยานคร (น้อย) ปกครองเมืองนคร ต้องใช้ความรู้ความสามารถทั้งในด้านการสงคราม การทูต การปกครอง และการบริหารอย่างยิ่งยวด จึงสามารถรักษาเมืองไทรบุรีให้อยู่ภายในราชอาณาจักรไทยตลอดชีวิตของท่าน ทั้งนี้เพราะปัญหาเมืองไทรบุรีเป็นปัญหาละเอียดอ่อน อยู่ในภาวะล่อแหลมต่ออันตราย คือ ภัยจากเจ้าเมืองเดิมประการหนึ่ง และภัยจากอังกฤษที่กำลังแสวงหาเมืองขึ้นอีกประการหนึ่ง ภัยทั้งสองประการดังกล่าวได้ทำให้เจ้าพระยานคร (น้อย) ต้องยกกำลังไปปราบถึง ๔ ครั้ง
๒. ด้านการทูต บทบาทของเจ้าพระยานคร (น้อย) ว่าเป็นนักการทูตคนสำคัญในยุคนั้น โดยเฉพาะการทูตระหว่างไทยกับอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ เจ้าพระยานคร (น้อย) มีความเฉลียวฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบในการเจรจาความเมืองและผลแห่งการเป็นนักการทูตผู้มีปฏิภาณทำให้เมืองนครศรีธรรมราช มีอิทธิพลต่อเมืองมลายูและเป็นที่นับถือยำเกรงแก่บริษัทอังกฤษ ซึ่งกำลังแผ่อิทธิพลการค้าและการเมืองมายังภาคพื้นเอเชียอาคเนย์
๓. ด้านการต่อเรือ เจ้าพระยานคร (น้อย) มีความเชี่ยวชาญในการต่อเรือมาก คือ ได้ต่อเรือกำปั่นหลวงสำหรับบรรทุกข้าวไปขายที่อินเดีย ทำให้ประเทศชาติมีรายได้มากและที่สำคัญคือ ได้ต่อเรือรบขนาดย่อมไปจนถึงเรือขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้กรรเชียงสองชั้น เรือรบที่ต่อก็มีขนาดใหญ่กว่าที่เคยปรากฏมาก่อน เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ต่อเรือรบและเรือลาดตระเวนเหล่านี้ที่เมืองตรัง และเมืองสตูล เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๒-๒๓๕๔ และในพ.ศ.๒๓๖๔-๒๓๖๖ ได้ต่อเรือรบเป็นจำนวนถึง ๑๕๐ ลำ ที่บ้านดอน เจ้าพระยานคร (น้อย) มีกองทัพเรือขนาดใหญ่ซึ่งเป็นกองทัพเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่เมืองตรัง ประกอบด้วยขบวนเรือทั้งหมด ประมาณ ๓๐๐ ลำ เป็นกองทัพเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในราชอาณาจักรขณะนั้น เพราะแม้ทางกรุงเทพมหานครเองก็เพิ่งจะมาตื่นตัวในการสร้างกองทัพเรือขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อไทยเริ่มเป็นศัตรูกับญวน
๔. ด้านการพัฒนาเครื่องถม “เครื่องถม” เป็นหัตถกรรมชั้นสูงที่ชาวนครทำสืบทอดกันมาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง เป็นฝีมือการรังสรรค์ของชาวนครโบราณที่ได้รับสืบทอดความรู้จากชาวโปรตุเกสที่มาติดต่อค้าขาย งานศิลปหัตถกรรมกลายเป็นงานฝีมือเอกลักษณ์ของเมือง ล่วงมาถึงสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นเจ้าเมืองก็ได้พัฒนางานนี้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง โดยกะเกณฑ์เอาเชลยชาวเมืองไทรบุรีที่มีฝีมือช่างโลหะอยู่ก่อนแล้ว มาฝึกฝนทำเครื่องถมจนชำนาญ เจ้าพระยานคร (น้อย) ให้การเอาใจใส่ดูแลอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเป็นผู้มีความประณีตบรรจงในงานช่างเป็นทุนอยู่แล้ว เครื่องถมในสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) จึงโดดเด่นเป็นพิเศษ งานถมชิ้นใดที่สวยงามเป็นเลิศก็มักนำไปทูลเกล้าฯ ถวายทุกครั้งที่เข้าเฝ้าฯ จนกล่าวได้ว่ามีจำนวนมากมายในราชสำนัก
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม ณ นคร)
ประวัติความเป็นมา
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม ณ นคร) เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ในตระกูล ณ นคร คนสุดท้าย ขณะที่ดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง มียศเพียงพระยาศรีธรรมราช เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม) เป็นบุตรคนโตของพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) กับท่านผู้หญิงหญิง ซึ่งเป็นธิดาหม่อมเจ้าจันทร์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๖ คน
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระเสน่หามนตรี แล้วเลื่อนเป็นพระยานครศรีธรรมราช ชาติเดโชไชย มไหสวริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช ก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง เคยบวชเป็นพระภิกษุที่วัดพิชัยญาติการาม กรุงเทพมหานคร และถูกคนลอบยิงแต่ไม่เป็นอันตราย รับราชการเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช อยู่ประมาณ ๓๔ ปี และต้องเข้าไปอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. ๒๔๗๗ จึงโปรดเกล้าให้พระยาศรีธรรมราช (หนูพร้อม) กลับมาเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราชอีกวาระหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือข้าหลวงเทศาภิบาลปฏิรูปการปกครองเมืองนครศรีธรรมราชในรูปแบบใหม่ ซึ่งเรียกว่า “ระบบมณฑลเทศาภิบาล”
ในระยะที่พระยาศรีธรรมราช (หนูพร้อม) กลับไปเมืองนครศรีรรมราชกำลังทรุดโทรมระส่ำระสาย เนื่องจากเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง จากกลุ่มอนุรักษ์นิยมมาสู่กลุ่มสยามใหม่ สภาพเมืองนครศรีธรรมราช มีโจรผู้ร้ายชุกชุม ราษฎรได้รับความเดือดร้อนและทรุดโทรม ทางรัฐบาลกลางจึงส่งพระวิจิตรวรสาสน์ (ปั้น สุขุม) ออกไปเป็นข้าหลวงพิเศษจัดการที่สงขลาก่อน แล้วจึงขยายออกไปยังเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราชตามลำดับ
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
๑. เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ในตระกูล ณ นคร คนสุดท้าย
๒. ร่วมมือกับข้าหลวงพิเศษจัดตั้งมณฑลนครศรีธรรมราช ใน ปี พ.ศ. ๒๔๓๙
๓. ปฏิรูปการศาล รวมศาลซึ่งมีมากมายให้เหลือ เพียง ๓ ศาล คือ ศาลแพ่ง อาญา และอุทธรณ์
๔. จัดเจ้าหน้าที่ถางกำแพงเมือง และป่าริมคลองหลังเมืองออกไปจนถึงปากน้ำพระยา
๕. เป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำนุบำรุงและปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ ให้มีความเจริญ เช่น วัดพระมหาธาตุฯ นครศรีธรรมราช
พระรัตนธัชมุนี(ม่วง ศิริรัตน์)
ประวัติความเป็นมา
พระรัตนธัชมุนี ศรีธรรมราช สังฆนายกตรีปิฎก คณาลังการ ศีลมาจาร วินยสุทร ยติคณิศรบวรสังฆราม คามวาสี เกิด ณ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันพุธ เดือน ๙ ปีฉลู ร.ศ. ๗๒ (พ.ศ. ๒๓๙๖) ในสกุล ศิริรัตน์ โยมชายชื่อ แก้ว โยมหญิงชื่อ ทองคำ
การศึกษาและการอุปสมบท
เริ่มศึกษาอักขรวิธีตั้งแต่ อายุ ๗ ขวบ บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดแจ้ง อำเภอปากพนัง เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย ณ วัดมเหยงคณ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์วรมหาวิหาร ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๒๗ ครั้งเมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส เสด็จมาตรวจการพระศาสนาหัวเมืองปักษ์ใต้มาประทับ ณ นครศรีธรรมราช ท่านได้ขอโดยเสด็จพระองค์ไปศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๒ ปี ระหว่างนั้นท่านได้บวชแปลงเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย และเข้าสอบไล่แปลพระปริยัติธรรมสนามหลวง ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้เปรียญ ๔ ประโยค จึงทูลลากลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์ดังเดิม
สมณศักดิ์
พุทธศักราช ๒๔๔๑ (ร.ศ. ๑๑๗) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสมณฑลนครศรีธรรมราชเป็นครั้งที่ ๓ ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะที่พระศิริธรรมมุณี ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลปัตตานี
พ.ศ. ๒๔๕๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่มีราชทินนามตามสัญญาบัตรว่า “พระเทพกวีศรีสุทธิดิลกตรีปิฎกบัณฑิตยติคณิศร บวรสังฆารามคามวาสี” ต่อมาได้โปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น “พระธรรมโกศาจารย์ สุนทรญาณดิลก ตรีปิฎกธรรมภูษิตยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี”
พ.ศ. ๒๔๖๖ โปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น “พระรัตนธัชมุนี ศรีธรรมราชสังฆนายก ตรีปิฎกคุณาลังการ ศีลสมาจารวินยสุนทร ยติคณิศร บวรสังฆรามคามวาสี” สถิต ณ วัดท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
มรณภาพ
วันศุกร์ เดือน ๑๐ ค่ำ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๗๗ มรณภาพขณะอายุได้ ๘๒ ปี พรรษา ๔๕ พรรษา ได้รับพระราชทานโกศโถพร้อมเครื่องประกอบเกียรติยศ โปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานเพลิงศพ ณ สนามหน้าเมือง วันที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๘
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
๑. ด้านการศาสนา
แก้ไขการปกครองสงฆ์ สามเณร ในนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลาใหม่ โดยกำหนดให้มีเจ้าคณะเมือง เจ้าคณะแขวง อธิการวัด และพระครู บังคับบัญชากันตามลำดับชั้น วิธีการแบบนี้เป็นที่ยอมรับและได้รับการยกย่องมาก สามารถแก้ไขปัญหาในการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้
๒. ด้านการศึกษา
เป็นผู้ริเริ่มจัดการศึกษาฝ่ายสามัญและวิสามัญขึ้นในมณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลปัตตานี
เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้อำนวยการศึกษาแผนใหม่ จำนวนโรงเรียนที่ท่านได้จัดตั้งทั้งหมด ๒๑ แห่ง โรงเรียนหลวงหลังแรกตั้งอยู่ที่วัดท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “เบญจมราชูทิศ”) และท่านยังริเริ่มจัดตั้งโรงเรียนสอนวิชาชีพ คือ โรงเรียนช่างถม โรงเรียนช่างไม้ และโรงเรียนการช่างสตรี ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ยกฐานะขึ้นมาเป็นวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช วิทยาลัยเทคนิคนครศรีธรรมราช และวิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช
ในส่วนของโรงเรียนเบญจมราชทิศ ท่านเจ้าคุณพระรัตนธัชมุนีได้ทุ่มเททั้งพลังกายและพลังสมอง ในการรังสรรค์ปั้นแต่งอย่างเต็มที่ เพราะท่านมีปณิธานอันแน่วแน่ที่จะให้เป็นโรงเรียนตัวอย่างของโรงเรียนอื่น ๆ ที่จะตั้งขึ้นใหม่ภายหลัง ท่านจึงต้องเหนื่อยยากชั่วชีวิตของท่าน นักเรียนเบญจมราชูทิศ ทั้งส่วนที่เคยเป็นศิษย์ของท่าน และรุ่นหลังต่อมาต่างตระหนักดี และต่างสำนึกในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของท่าน จึงร่วมใจกันสร้างรูปหล่อของท่านขึ้นไว้เป็นอนุสรณ์ เพื่อให้ชาวเบญจมราชูทิศและบุคคลทั่วไปได้สักการะบูชา
๓. ด้านกวีนิพนธ์
พระรัตนธัชมุนี มีความสามารถด้านกลอนสด กลอนเพลงบอก และโคลงกลอนอื่นๆ อีกมาก ตัวอย่างเช่น แต่งคำร้องรับเสด็จในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้นักเรียนร้องรับเสด็จเมื่อเสด็จถึงจังหวัดนครศรีธรรมราช แต่งโคลงรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาส จังหวัดนครศรีธรรมราช
พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์
ประวัติความเป็นมา
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ (พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์) หรือเทวดาเมืองคอน อดีตเจ้าอาวาสวัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช เดิมชื่อ คล้าย สีนิล เกิดวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๔๑๙ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีชวด ตรงกับ จ.ศ. ๑๒๓๘ ที่บ้านโคกทือ ตำบลช้างกลาง กิ่งอำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นบุตรของ นายอินทร์ นางเหนี่ยว สีนิล
พ่อท่านคล้ายมีนิสัยเป็นคนมีมานะอดทน ขยันหมั่นเพียร อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของบิดามารดาและครูอาจารย์อย่างเคร่งครัด สุภาพ เรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย นิสัยอ่อนโยน ละมุนละไม
เมื่ออายุ ๑๕ ปี ขาของท่านเสียข้างหนึ่งคือขาด้านซ้ายขาดตั้งแต่ตาตุ่มลงไป ท่านประสบอุบัติเหตุในการถางป่าทำไร่ กระดูกปลายเท้า สามนิ้วแตกละเอียด รักษาไม่หาย ด้วยกำลังใจที่เด็ดเดี่ยว พ่อท่านคล้าย ได้ใช้มีดปาดตาลตัดปลายเท้าออกด้วยตัวเอง และใช้ยาพอกจนหายเป็นปกติ
การศึกษา
พ่อท่านคล้ายได้รับการศึกษาโดยมีบิดาเป็นผู้สอน ได้เรียนวิชาคำนวณตลอดถึงวิชาอักษรโบราณ จนสามารถอ่านออกเขียนได้อย่างชำนาญ ทั้งหนังสือไทยและหนังสือขอม ต่อมาศึกษาต่อในสำนักนายขำ ที่วัดทุ่งปอน บ้านโคกทือ จนจบหลักสูตร ต่อมาได้ไปฝึกหัดเล่นหนังตะลุงกับนายทองสาก ประกอบกับพ่อท่านคล้าย มีหน้าตาดี น้ำเสียงไพเราะ จึงมีคนติดใจการเล่นหนังตะลุงของท่านมาก
บรรพชาและอุปสมบท
เมื่ออายุ ๑๙ พ่อท่านคล้ายได้บรรพชาที่วัดจันดี ตำบลหลักช้าง เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ มีพระอุปัชฌาย์คือ พระอธิการจัน เจ้าอาวาสวัดจันดี (ทุ่งปอน) ท่านสามารถท่องพระปาฏิโมกข์จนได้อย่างแม่นยำ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อุทกุกเขปสีมา หรือศาลาน้ำ และได้รับฉายาว่า จนฺทสุวณฺโณ โดยมีพระครูกราย คงคสุวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดหาดสูงเป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งปอนหรือวัดจันดี การศึกษาสมัยอุปสมบท ตามลำดับ ดังนี้
ปี พ.ศ. ๒๔๔๑ พ่อท่านคล้าย ได้เข้าศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี เรียนมูลกัจจายนะ ในสำนักพระครูกาแก้ว (ศรี) ณ วัดหน้าพระธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จบหลักสูตรมูล พอแปลบาลีได้ ศึกษาอยู่เป็นเวลา ๒ พรรษา
ปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ต่อมาได้ศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฏฐานที่สำนักวัดสามพัน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีอาจารย์หนูเจ้าอาวาสเป็นผู้สอน
ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ พ่อท่านคล้าย ได้กลับมาอยู่จำพรรษาวัดหาดสูง ใกล้ตลาดทานพอ ในสำนักพระครูกราย ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพ่อท่าน เพื่อศึกษาวิปัสสนาและไสยศาสตร์ โดยเหตุที่พระครูกราย เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาและทรงวิชาทางไสยศาสตร์ในสมัยนั้น
ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ พ่อท่านคล้าย ได้ไปจำพรรษาที่วัดมะขามเฒ่า อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เพื่อศึกษาบาลีและพระอภิธรรมเพิ่มเติม
ปี พ.ศ. ๒๔๔๘ พ่อท่านคล้ายกลับจากวัดมะขามเฒ่า มาจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งปอน (จันดี) ตลอดเวลาที่ท่านจำพรรษา ณ ที่ใดก็ตาม ท่านได้ศึกษาค้นคว้าภาษาบาลี วิชาโหราศาสตร์ และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ติดต่อกันมาโดยมิได้ประมาท ด้านการก่อสร้างได้สร้างวัดและปูชนียวัตถุต่าง ๆ ไว้มากมาย
สมณศักดิ์
พ่อท่านคล้ายได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่พระครูพิศิษฐ์อรรถการในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นพิเศษในนามสมณศักดิ์เดิม พระครูพิศิษฐ์อรรถการ (พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์) ได้เป็นเจ้าอาวาส วัดสวนขัน ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ และเป็นเจ้าอาวาสวัดธาตุน้อย
มรณภาพ
เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๓ ตรงกับแรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีจอ พ่อท่านคล้าย ได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบ รวมสิริอายุได้ ๙๖ ปี เมื่อบำเพ็ญกุศลศพครบ ๑๐๐ วัน ทางคณะศิษยานุศิษย์จึงได้บรรจุสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว โดยประดิษฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์ในวัดพระธาตุน้อยจนถึงปัจจุบันนี้
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
๑. ด้านศาสนา พระครูพิศิษฐ์อรรถการ (พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์) เป็นผู้นำในการสร้างวัดพระเจดีย์ พระพุทธรูป และร่วมกันในการปฏิสังขรณ์ บูรณะศาสนสถานเป็นจำนวนมาก
๒. ด้านพัฒนาท้องถิ่น เป็นนักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่มาตลอดชีวิต ทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ท่านได้เดินทางไปพัฒนาในที่ต่าง ๆ สร้างถนน สร้างสะพานไว้มากมาย ด้วยเมตตาบารมีและความเคารพศรัทธาของศิษย์และประชาชน
๓. ด้านความเมตตาและวาจาสิทธิ์ ศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือศรัทธาพ่อท่านคล้ายได้เชื่อถือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวาจาพูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น พ่อท่านคล้ายจะพูดจากับทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและแจ่มใส อารมณ์เยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา ท่านมักจะให้พรกับทุกคน “ขอให้เป็นสุข เป็นสุข”
ขุนพันธรักษ์ราชเดช
ประวัติความเป็นมา
พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือชื่อเดิมว่า บุตร พันธรักษ์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๖ ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ที่ ๕ ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัด
นครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอ้วน นางทองจันทร์ พันธรักษ์ เริ่มเรียนหนังสือครั้งแรกกับบิดา ตั้งแต่ ก ข ก กา ไปจนจบ พออ่านสมุดข่อยได้บ้างจึงเข้าเรียนที่วัดอ้ายเขียวกับอาจารย์ปานซึ่งเป็นสมภาร และอาจารย์นาม สมภารรูปต่อมาและที่วัดอ้ายเขียวนี้เองท่านได้เรียนกับครูฆราวาสคนหนึ่งด้วยชื่อ นายหีด เป็นชาวอำเภอสวี จังหวัดชุมพร ซึ่งอาจารย์ปานได้พามาอยู่ที่วัดนี้ เป็นผู้มีความรู้ ใคร ๆ ก็เรียกว่าหลวงหีด นายหีดได้สอนหนังสือไทยแบบใหม่ให้คือใช้แบบเรียนเร็ว เล่ม ๑-๒-๓ จนท่านขุนมีความรู้ในวิชาเลขและหนังสืออยู่ในเกณฑ์ดี หลังจากนั้นท่านจึงเข้าสู่การศึกษาในระบบโรงเรียน โดยเริ่มเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่โรงเรียนวัดสวนป่าน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เนื่องจากท่านมีความรู้ในวิชาเลขและหนังสืออยู่แล้วก่อนที่จะเข้าโรงเรียน ดังนั้นเมื่อเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้ ๑ วัน ทางโรงเรียนก็เลื่อนชั้นให้เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ และวันรุ่งขึ้นก็เลื่อนชั้นให้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ เป็นอันว่าท่านเข้าโรงเรียนได้เพียง ๓ วัน ได้เลื่อนชั้นถึง ๒ ครั้ง เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ที่โรงเรียนวัดพระนคร ตำบลพระเสื้อเมือง (ปัจจุบันคือตำบลในเมือง) อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์วรวิหาร
พอเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ได้ไม่กี่เดือน ก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะป่วยเป็นโรคคุดทะราด ต้องพักรักษาตัวปีกว่า หลังจากนั้นได้เดินทางเข้าไปศึกษาที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ขณะเรียนที่โรงเรียนนี้ ท่านได้เรียนวิชามวย ยูโดและยิมนาสติก จนมีความชำนาญในเชิงมวย ท่านสอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ จึงได้เข้าเรียนต่อที่ โรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ (โรงเรียนนายร้อยตำรวจในปัจจุบัน) จังหวัดนครปฐม ขณะที่เรียนได้เป็นครูมวยไทยด้วย พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นอดีตนายตำรวจชื่อดัง ของวงการตำรวจไทย เป็นบุคคลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าตำแหน่งใดยศใด ยกย่อง นับถือ และกล่าวถึง เนื่องจากท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของกรมตำรวจ มีชื่อเสียงเป็นอันมากในการปราบโจรผู้ร้ายในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย จากผลงานที่โดดเด่นที่สามารถปราบปรามโจรผู้ร้ายได้มากมายจึงได้รับฉายาต่าง ๆ ว่า “นายพลตำรวจหนังเหนียว” “นายพลตำรวจหนวดพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดชเซี้ยว” “ขุนพันธ์ดาบแดง” “รายอกะจิ” “จอมขมังเวท” ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้ราชทินนามเป็นชื่อสกุล “ขุนพันธรักษ์ราชเดช” และเป็นคนสุดท้ายของประเทศไทยที่ได้รับพระราชทินนาม
ประวัติการรับราชการ
๑. นักเรียนนายร้อย กองบังคับการตำรวจภูธรมณฑลนครศรีธรรมราชประจำจังหวัดสงขลา
๒. ผู้บังคับหมวด กองเมือง จังหวัดพัทลุง ผู้บังคับกองเมืองจังหวัดพัทลุง
๓. รองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี
๔. ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร
๕. ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท
๖. รองผู้อำนวยการกองปราบพิเศษ
๗. ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร
๘. ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง
๙. รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๘ จังหวัดนครศรีธรรมราช
๑๐. ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๘ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
๑. ด้านการเมือง ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒
๒. ผลงานด้านวิชาการ พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นนักอ่านและนักเขียน ได้เขียนเรื่องราวลงในหนังสือ วารสารต่าง ๆ เช่น ด้านประวัติศาสตร์ คติชนวิทยา และไสยศาสตร์
๓. ผลงานด้านการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เป็นผู้ริเริ่มให้มีการบวงสรวงพระธาตุนครศรีธรรมราช อันเป็นที่มาของการสร้างจตุคามรามเทพ
เห้ง โสภาพงศ์
ประวัติความเป็นมา
นายเห้ง โสภาพงศ์ เกิดเมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๕ ที่บ้านหน้าวัดพระบรมธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายชีและนางนุ้ย โสภาพงศ์ เมื่ออายุ ๘ ปี เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาโรงเรียนพระเสื้อเมืองในสมัยนั้น แต่ปัจจุบันคือโรงเรียนวัดพระมหาธาตุ และได้ออกไปเรียนโรงเรียนช่างถม หน้าวัดวังตะวันออก ๓ ปี ซึ่งพัฒนาเป็นวิทยาลัยหัตถกรรมนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน จบแล้วก็ฝึกงานต่อผลงานที่ทำได้ส่งให้ทางโรงเรียนจัดจำหน่าย มีกำไร โรงเรียนก็แบ่งสรรให้ นายเห้งฝึกงานและส่งผลงานให้โรงเรียนช่างถมอยู่ราว ๒๐ ปี ช่วงเวลาดังกล่าวได้ครูช่างถมที่สำคัญ ๒ คนเป็นผู้ฝึกสอน คือครูกลั่น จันทรังษี และครูเปรม โดยทำงานประจำอยู่ที่ร้านสุพจน์ (เป็นโรงงานและร้านที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องถมที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครศรีธรรมราช ) ณ ที่นี้ นายเห้ง โสภาพงศ์ ได้รับการฝึกทำเครื่องถมเป็นพิเศษจากนายรุ่ง สินธุรงค์ ช่างถมฝีมือเยี่ยมในยุคนั้น จนทำให้นายเห้ง โสภาพงศ์ มีฝีมือเข้าขั้นเป็นช่างถมยอดเยี่ยมของเมืองนครศรีธรรมราชตามไปด้วย
นายเห้ง โสภาพงศ์ มีบุตรธิดากับนางตุ้น ๘ คน (ชาย ๕ คน ผู้หญิง ๓ คน) ในจำนวนนี้ มีผู้ชายสองคน คือ นายโสฬส โสภาพงศ์ และนายจรวย โสภาพงศ์ ที่ได้สืบทอดวิชาการทำเครื่องถม และนำไปประกอบอาชีพ สืบแทนบิดา นายเห้ง โสภาพงศ์ ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจวาย เมื่อ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมอายุ ๘๘ ปี
ประวัติการทำงาน
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๑ ได้ปฏิบัติงานอยู่ที่โรงเรียนช่างถมวัดวังตะวันออกถึงสามปี แล้วจึงออกไปทำงานเป็น “ช่างถม” อย่างเต็มตัวเมื่ออายุ ๒๒ ปี โดยประจำอยู่ที่ร้านสุพจน์ (เป็นโรงงาน และร้านที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องถมที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดนครศรีธรรมราช) ณ ที่นี้ นายเห้ง ได้รับการฝึกทำเครื่องถมเป็นพิเศษจากนายรุ่ง สินธุรงค์ ช่างถมฝีมือเยี่ยมในยุคนั้น จนทำให้นายเห้ง โสภาพงศ์ มีฝีมือเข้าขั้นเป็นช่างถม ยอดเยี่ยมของเมืองนครศรีธรรมราช ในการทำเครื่องถม นายเห้ง ยังคงใช้กรรมวิธีแบบดั้งเดิม งานทุกชิ้นจะทำด้วยวัสดุที่เป็นของแท้ งานที่ทำมีหลายชนิด เช่น หีบบุหรี่ กล่องไม่ขีดไฟ ขันน้ำ พานรองสำหรับตักบาตร จานรองแก้ว ฝาครอบแก้ว ตลับแป้ง คนโทกรวดน้ำ โตก ตลอดจนทำถมเลี่ยม กระเป๋าย่านลิเภา เลี่ยมหัวไม้เท้า เลี่ยมเครื่องรางของขลัง มีเขี้ยวหมูตัน กระดูกหัวเสือ
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
๑. ได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็นผู้อนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมทำถมนคร สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เป็นศิลปินพื้นบ้านดีเด่น พ.ศ. ๒๕๒๘
๒. ผลงานการทำชุดน้ำชาถมทอง ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทรงสั่งให้จัดทำขึ้นเพื่อไปพระราชทานแก่
ประธานาธิบดีดไวต์ ดี.ไอเซนฮาวค์ แห่งสหรัฐอเมริกา
๓. คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ประกาศยกย่องให้นายเห้ง โสภาพงศ์ เป็นศิลปินพื้นบ้านดีเด่น ประจำปี ๒๕๒๙ สาขาเครื่องถม
๔. ในวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๐ คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้ยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๒๙ สาขาทัศนศิลป์ (เครื่องถม) เข้ารับพระราชทานรางวัลจาก
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ
ประวัติความเป็นมา
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๒ เป็นคนบ้านตาล ต.กำแพงเซา อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พ่อชื่อ ฮัจญีอิสมาแอล แม่ชื่อ ซอฟียะห์ พิศสุวรรณ เป็นลูกชายคนโต จากทั้งหมด ๑๑ คน มีคุณตาชื่อ ฮัจญียะโกบ พิศสุวรรณ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปอเนอะบ้านตาลหรือ โรงเรียนประทีปศาสน์ โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามของเอกชน ส่วนคุณตาทวดของ ดร.สุรินทร์ เป็นผู้บุกเบิกชุมชนมุสลิมใน จ.นครศรีธรรมราช ชื่อ อิหม่ามตูวันฆูอัลมัรฮูม ฮัจญีซิดฎิก พิศสุวรรณ
ด้านการศึกษา ดร.สุรินทร์เข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดบ้านตาล มัธยมศึกษาจาก โรงเรียนพรสวัสดิ์วิทยา โรงเรียนเบญจมราชูทิศ และโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ตามลำดับ ในระดับปริญญาตรี ได้ศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยเรียนปี ๑-๒ และได้รับทุน Frank Bell Appleby ไปศึกษาต่อ ปี ๓-๔ ด้านรัฐศาสตร์ที่ Claremont Men’s College, Claremont University และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากที่นั้น และศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกที่ Harvard University ด้านรัฐศาสตร์ โดยได้รับทุนจาก Rockefeller ภายใต้การสนับสนุนของ อ.เสน่ห์ จามริก ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ สมรสกับอลิสา พิศสุวรรณ (ฮัจญะห์อาอีชะฮ์) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ มีลูกชายด้วยกัน ๓ คน โดยคนโตชื่อ ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ คนที่สองชื่อ ฮุสนี พิศสุวรรณ และคนสุดท้องชื่อ ฟิกรี่ พิศสุวรรณ
หลังจากจบการศึกษาปริญญาเอกจาก Harvard University ดร.สุรินทร์ ต้องกลับมาเป็น อาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามเงื่อนไขของทุนการศึกษาที่ได้รับไปศึกษา ในระดับปริญญาโทและเอก โดยเป็นอาจารย์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๒๙ ชีวิตการเป็นนักการเมืองของ ดร.สุรินทร์จึงได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อสัมพันธ์ ทองสมัคร มาโนชย์ วิชัยกุล และคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาหา ดร.สุรินทร์ ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้ชักชวนให้ ดร.สุรินทร์ สมัคร ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ในนามของพรรคประชาธิปัตย์ ในตอนแรก ดร.สุรินทร์ ไม่ได้ตอบรับในทันที แต่ในเวลาต่อมาก็ตอบรับคำที่จะลงสมัครและก็ได้รับเลือกตั้งในที่สุด เมื่อได้เป็น ส.ส. นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ชักชวนให้ ดร.สุรินทร์ มารับหน้าที่เป็นเลขานุการประธานสภา หลังจากนั้นเมื่อมีการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ดร.สุรินทร์ ก็ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. อีกครั้งและได้รับการแต่งตั้ง เป็นเลขานุการให้กับ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ด้วยเหตุที่ ดร.สุรินทร์ ศึกษามาทางด้านรัฐศาสตร์อยู่แล้วทางผู้ใหญ่ในพรรคจึงเห็นว่าน่าจะเหมาะสมที่จะไปช่วยงาน ในกระทรวงมหาดไทย หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เมื่อชวน หลีกภัยได้รับการเลือกตั้งจากสภาฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดร.สุรินทร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ๑ พ.ศ. ๒๕๓๕-๒๕๓๘) และในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เมื่อประเทศไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ และในครั้งนี้ นายชวน หลีกภัยได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ ๒ คณะรัฐมนตรีชวน ๒ ครั้งนี้ได้แต่งตั้งให้ ดร.สุรินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (สมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย ๑ พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔) และได้มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศในช่วงหลังวิกฤตเพื่อนำพาประเทศกลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงมีการผลักดันบทบาทของอาเซียนในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างสมาชิกภายในอาเซียนอีกด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ประเทศไทยได้รับสิทธิในการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศจึงได้ทำการสรรหาบุคคลที่ประเทศไทยจะส่งไปดำรงตำแหน่งดังกล่าว และในที่สุดจึงได้เสนอชื่อ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๕๕ ในระหว่างการเป็นเลขาธิการอาเซียนนั้น ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้ดำเนินการเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนให้สัตยาบันกฎบัตรอาเซียนให้สามารถประกาศใช้ได้ และยังรณรงค์ และประชาสัมพันธ์เพื่อประชาชนในประเทศสมาชิกตระหนักถึงความสำคัญของอาเซียน หลังจากหมดวาระ ดร.สุรินทร์ ก็ยังทำงานในการเผยแพร่และให้ความรู้เกี่ยวกับอาเซียนต่อไป ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มอบตำแหน่ง ธรรมศาสตราภิชาน ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้มีบทบาทอย่างสำคัญในเรื่องการต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่ง ดร.สุรินทร์ มีผลงานที่โดดเด่นอยู่ ๒ เรื่องด้วยกัน โดยในเรื่องแรกนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ ดร.สุรินทร์เป็นผู้รณรงค์หาเสียง และสนับสนุน ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ณ ขณะนั้นให้ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การการค้าโลก
(World Trade Organization; WTO) ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้นต้องแข่งกับ ไมค์ มัวร์ (Mike Moore) อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังในการแข่งขันการเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO นี้ มีการแข่งขันอย่างดุเดือดมากถึงขั้นมีการเดินขบวนนำพวงหรีดไปวางไว้ที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยจนอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ จนในที่สุด ดร.สุรินทร์ ได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์กับ แมเดลีน อัลไบรท์ (Madeleine Albright) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ในเรื่องดังกล่าวจนนำไปสู่ข้อเสนอของ ดร.สุรินทร์ ที่ให้ผลัดกันเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO คนละ ๓ ปี โดยให้ ไมค์ มัวร์ ได้เป็นก่อน แล้วตามด้วย ดร.ศุภชัยในวาระต่อไปอีก ๓ ปี
ในเรื่องที่สอง ดร.สุรินทร์ เป็นคนสำคัญที่ไปเจรจาของบประมาณช่วยเหลือจากญี่ปุ่นเพื่อใช้ในการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพ ไทย-ฟิลิปปินส์ เพื่อไปรักษาสันติภาพในติมอร์-เลสเต หรือ ติมอร์ ซึ่งเพิ่งแยกตัวออกและจากอินโดนีเซีย และในขณะนั้นเกิดความขัดแย้งและความวุ่นวายจนบานปลายกลายเป็นปัญหาระหว่างอินโดนีเซีย-ติมอร์-เลสเต จนนำไปสู่การฆ่าพลเมืองติมอร์-เลสเต จำนวนมาก ประชาคมโลกต้องการให้เหตุการณ์ดังกล่าวยุติลง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีประเทศมหาอำนาจใดเข้ามาควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าบริเวณดังกล่าวจะอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของออสเตรเลีย แต่ออสเตรเลียก็กลัวที่จะเข้าไปแทรกแซงเพราะอาจจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ที่สุดจึงประสานให้ไทย ซึ่งขณะนั้นอยู่ในวาระการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนช่วยเป็นแกนหลักในการขอความช่วยเหลือจากประเทศในอาเซียนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าว แม้แต่ โคฟี อันนัน (Kofi Annan) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (United Nations) และ บิล คลินตัน (Bill Clinton) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็ขอความช่วยเหลือให้ไทยช่วยเป็นแกนนำหลักในการแก้ปัญหาดังกล่าว และได้ข้อยุติโดยมีฟิลิปปินส์กับไทยที่พร้อมจะส่งกองกำลังรักษาสันติภาพจำนวน ๓,๔๐๐ นาย ไปที่ติมอร์-เลสเต แต่ด้วยที่ทั้งไทยและฟิลิปปินส์ประสบปัญหาในวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง (วิกฤตการเงินพ.ศ. ๒๕๔๐) อยู่จึงไม่มีงบประมาณในการสนับสนุนการส่งกองกำลังดังกล่าวได้ ในที่สุด ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้ไปเจรจาของบประมาณสนับสนุนดังกล่าวจากญี่ปุ่น และญี่ปุ่น ได้อนุมัติเงินจำนวน ๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้การส่งกองกำลังร่วมไทย-ฟิลิปปินส์เพื่อไปรักษาสันติภาพที่ติมอร์-เลสเต ประสบความสำเร็จในที่สุด
หลังจากครบวาระของรัฐบาลชวนหลีกภัย (พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔) ดร.สุรินทร์ ไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ ในทางการเมือง จนในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นวาระที่ไทยจะต้องเป็นเลขาธิการอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศจึงได้มีการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมในตำแหน่งดังกล่าว และได้มีมติให้เสนอชื่อ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นเลขาธิการอาเซียนตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ ซึ่ง ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ มีส่วนสำคัญในการผลักดันในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศให้สัตยาบันต่อกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) จนแล้วเสร็จในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ และได้ประกาศใช้ในที่สุด นอกจากนี้แล้ว ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ยังได้รณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนทั้ง ๑๐ ชาติตระหนักและรู้จักอาเซียนให้มากขึ้นอีกด้วย ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ณ โรงพยาบาลรามคำแหง ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน สิริอายุรวม ๖๘ ปี
สร้อย ดำแจ่ม
ประวัติความเป็นมา
นายสร้อย ดำแจ่ม ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้านเพลงบอก) เกิดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๘ ที่อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช อายุ ๗๕ ปี จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ จากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านมีความสนใจ และเริ่มหัดเพลงบอกครั้งแรกเมื่ออายุ ๑๗ ปี โดยได้ไปเป็นศิษย์ของเพลงบอก ปาน ชีช้าง ซึ่งมีฉายาว่า “ปานบอด” เพลงบอกสร้อยได้ฝึกฝนอย่าง เอาจริงเอาจัง จนเกิดความชำนาญและยึดเป็นอาชีพ จนถึงแก่กรรม นับเป็นเวลาเกือบ ๖๐ ปี ท่านได้ออกตระเวนว่าเพลงบอกอย่างสม่ำเสมอจนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายไปทั่วภาคใต้ ทั้งยังได้เดินทางไปแสดงที่กรุงเทพมหานครและประเทศมาเลเซียด้วย
เพลงบอกสร้อย เป็นผู้ที่มีความตั้งใจในการทำงานเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่จะออกแสดงท่านจะเตรียมตัว ค้นคว้าหาความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะแสดงเป็นอย่างดี จึง
ทำให้ผลงานของท่านมีคุณค่าสูง ทั้งท่านยังมีลีลาและชั้นเชิงเป็นเยี่ยม ทำให้เป็นที่ถูกใจของผู้ชมและผู้ฟังเสมอ จุดเด่นประการสำคัญที่ทำให้เพลงบอกสร้อยมีความโดดเด่นเป็นพิเศษคือความสามารถในการสร้างผลงานประเภท “มุขปาฐะ” ซึ่งขับสด ๆ และแต่งบทเพลงบอก ด้วยตัวของท่านเอง ซึ่งท่านได้สร้างผลงานเอาไว้มากมาย แต่ที่น่าเสียดายว่า ผลงานจำนวนมากของท่านไม่ได้รับการบันทึกเอาไว้ ต่อมาในระยะหลังยุคเทคโนโลยีได้การบันทึกเสียงแพร่หลาย ผลงานของท่านจึงได้รับการบันทึกเผยแพร่ส่วนหนึ่ง
นอกจากการรับงานว่าเพลงบอกในงานประเภทต่าง ๆ เช่น งานบวช งานเทศกาลรื่นเริงทั่วไปอันเป็นงานที่มีรายได้เลี้ยงชีพแล้ว ท่านยังได้ช่วยเหลืองานบุญกุศลตลอดจนงานสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ ที่มีผู้มา ขอความร่วมมืออยู่เสมอ ทั้งยังมีส่วนในการอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปะและวัฒนธรรมพื้นบ้านแขนงนี้ให้ยังคงเป็นที่นิยมอยู่ได้ บทบาทสำคัญในการนี้ของเพลงบอกสร้อย คือ การถ่ายทอดฝึกฝนผู้ที่สนใจและมีแววเพื่อให้สืบทอดศิลปะเพลงบอกนี้ต่อไป จนมีลูกศิษย์ลูกหาที่มีฝีมือและชื่อเสียง เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี เช่น เพลงบอกสุรินทร์ เสียงเสนาะ เพลงบอกเปลื้อง เสียงเสนาะ เพลงบอกแพ่ง เสียงเสนาะ และเพลงบอกนิกร เสียงเสนาะ ซึ่งเป็นบุตรชายของท่านเอง เป็นต้น
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
๑. เพลงบอกสร้อย เสียงเสนาะได้รับรางวัลจากการประชันการว่าเพลงบอกและเกียรติคุณ จากการบำเพ็ญคุณประโยชน์หลายประการ อาทิ
- ได้รับรางวัลจากนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสชนะเลิศการประชัน ว่าเพลงบอก ที่จังหวัดสงขลา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๐
- ได้รับโล่เกียรติคุณชนะเลิศในการแข่งขันการว่าเพลงบอก ในงานแห่พระและทอดผ้าป่าประจำปีพุทธศักราช ๒๕๒๐ จากจังหวัดสงขลา
- ได้รับโล่เกียรติคุณชนะเลิศในการแข่งขันการว่าเพลงบอก ในงานเทศกาลเดือนสิบประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๒ จังหวัดนครศรีธรรมราช
- ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขากีฬาและนันทนาการ ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๔ จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรม
๒. ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขากีฬาและนันทนาการ ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๔ จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
๓. ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้านเพลงบอก) พุทธศักราช ๒๕๓๘ นับเป็นศิลปินเพลงบอกท่านแรกที่ได้รับเกียรติยศ
คล้าย พรหมเมศ หรือมโนราห์คล้ายขี้หนอน
ประวัติความเป็นมา
นายคล้าย พรหมเมศ หรือมโนราห์คล้ายขี้หนอน เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๖ ที่บ้านคลองเขเปล ตำบลชะมาย อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช หัดรำโนรากับโนราเดช แห่งบ้านหูด่าน อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้สมรสกับนางปราง มีบุตร ๒ คน คือนายคล้อย พรหมเมศ และนางแคล้ว พิบูลย์ (พรหมเมศ) โนราคล้ายขี้หนอนเป็นโนราที่มีชื่อเสียงของเมืองนครศรีธรรมราช มาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง ท่านมีชีวิตอยู่ถึงสี่แผ่นดินด้วยกัน ท่านเกิดในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) และถึงแก่กรรมในปีพ.ศ. ๒๔๗๖ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) รวมอายุได้ ๘๐ ปี โนราคล้าย พรหมเมศ ได้ออกโรงรำมโนราห์อยู่หลายปีจนมีชื่อเสียงโด่งดัง โดยมีท่ารำที่เป็นเอกลักษณ์สวยงาม คือ “ท่าตัวอ่อน” และ “ท่ากินนรเลียบถ้ำ” จึงทำให้มีสมญานามต่อมาว่า “คล้ายขี้หนอน” (คำว่าขี้หนอนเป็นภาษาถิ่นใต้ หมายถึง “กินนร”) ดังนั้นคำว่า“โนราคล้ายขี้หนอน” ก็คือ “โนราคล้ายกินนร” นั่นเอง ที่เรียกกันเช่นนั้นเพราะว่าท่านชื่อคล้ายและรำโนราสวยงามราวกับกินนร
โนราคล้ายขี้หนอนเป็นศิลปินมโนราห์คนแรกและคนเดียวเท่านั้นที่มีบรรดาศักดิ์อันเนื่องด้วยทางการศิลปะการแสดงมโนราห์โดยตรง ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ว่า “หมื่นระบำบันเทิงชาตรี” แต่คนทั่วไปในสมัยนั้น มักเรียกว่า “หมื่นระบำ” หรือ “หมื่นระบำบรรเลง” หมื่นระบำบรรเลงมีศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดศิลปะการแสดงมโนราห์ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เช่น โนราเย็น โนราคลื้น แห่งอำเภอฉวาง โนราไข่ร็องแร็ง บ้านทุ่งโพธิ์ อำเภอร่อนพิบูลย์ (ปัจจุบันอำเภอจุฬาภรณ์) โนราคลัน บ้านเตาปูน อำเภอร่อนพิบูลย์ (ปัจจุบันอำเภอจุฬาภรณ์) โนราคลี่ ชูศรี (ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมภูผา หรือวัดดอนกลาง) ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ และอีกหลาย ๆ ท่าน
โนราคล้ายขี้หนอนมีคู่แข่งที่สำคัญในสมัยนั้นก็คือ คณะโนราช่วยรามสูร คณะโนราเย็นใหญ่ และโนราคล้ายขี้หมิ้น เป็นต้น โนราคล้ายขี้หนอน นับเป็นมโนราห์ผู้อาวุโสของจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นโนราคนแรกที่ได้นำเอาศิลปะการร่ายรำแบบโนราไปแพร่หลายในเมืองหลวงยุคนั้นและยังได้รำถวายหน้าพระที่นั่งพระเจ้าแผ่นดินถึง ๒ พระองค์ จนทางราชการเห็นความสำคัญของมโนราห์ จึงได้บันทึกและถ่ายภาพไว้ศึกษาและรับไว้เป็นศิลปะการแสดงของชาติในเวลาต่อมา
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
๑. ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้โนราคล้ายขี้หนอนเป็น “หมื่นระบำบันเทิงชาตรี” โดยโปรดเกล้าให้โนราคล้ายขี้หนอนเข้าไปรำโนราถวายหน้าพระที่นั่งในพระบรมมหาราชวังกรุงเทพมหานคร ในครั้งนั้นมีผู้ร่วมคณะไปด้วยกัน ๑๓ คน
๒. ในปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หมื่นระบำฯ และคณะโนราเมืองนครศรีธรรมราชอันมี โนรามดลิ้น ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ โนราเสือ อำเภอทุ่งสง โนราพลัด บ้านทุ่งให้ อำเภอฉวาง โนราคลิ้ง ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ โนราไข่ร็องแร็ง บ้านทุ่งโพธิ์ ตำบลสามตำบล อำเภอร่อนพิบูลย์ (ปัจจุบันอยู่ในอำเภอจุฬาภรณ์) พรานทองแก้ว พรานนุ่น กับลูกคู่รวม ๑๔ คน เข้าไปรำหน้าพระที่นั่งภายในพระบรมมหาราชวังอีกครั้ง ในครั้งนี้โนรามดลิ้น ซึ่งแสดงเป็นตัวนาง ได้รับพระราชทานนามสกุลว่า “ยอดระบำ”
๓. หมื่นระบำบรรเลง นำคณะโนราของเมืองนครศรีธรรมราชเข้าไปแสดงในกรุงเทพฯอีก ในการแสดงครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายศิลปากรได้ถ่ายรูปท่ารำต่าง ๆ ของหมื่นระบำฯ และโนราเย็น แห่งอำเภอฉวาง ผู้เป็นศิษย์ไว้เป็นแบบฉบับ เพื่อการศึกษาและเผยแพร่ ดังปรากฏในหนังสือตำรารำไทยในหอสมุดแห่งชาติ จากชีวประวัติดังกล่าวจึงทำให้ทราบว่าศิลปะการแสดงแขนงนี้ได้เกิดขึ้นและรุ่งเรืองที่นครศรีธรรมราชมาก่อน
สุชาติ ทรัพย์สิน
ประวัติความเป็นมา
นายสุชาติ ทรัพย์สิน เกิดเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๔๘๑ ที่บ้านสระแก้ว เลขที่ ๑๓๔ หมู่ที่ ๕ ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัดสระแก้ว และได้เรียนวิธีการแกะหนังตะลุงจากนายทอง หนูขาว ซึ่งเป็นช่างแกะหนังตะลุงฝีมือดีของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสามารถในการแกะหนังตะลุงและหนังใหญ่ ได้เป็นอย่างดีและได้เล่นหนังตะลุงด้วย สุชาติ ทรัพย์สิน มีความสามารถในการเขียนรูปและแกะตัวหนังตะลุง โดยสามารถออกแบบตัวหนังตะลุงและ หนังใหญ่ ได้ตามแบบโบราณและแบบประยุกต์ได้อย่างสวยงาม นอกจากนี้สุชาติ ทรัพย์สินยังมีความสามารถในการเขียนกาพย์กลอนและบทหนังตะลุง ที่บ้านของนายหนังสุชาติ ทรัพย์สิน จะมีการสาธิตการทำตัวหนังตะลุงและมีการสาธิตการเล่นหนังตะลุงให้กับผู้ที่สนใจด้วย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมาก นิยมมาดูศิลปะการแสดงหนังตะลุง และการแกะหนังตะลุง อีกทั้งมีผลิตภัณฑ์การแกะหนังตะลุงและหนังใหญ่ ที่ส่งขายไปยังต่างประเทศ
พิพิธภัณฑ์บ้านนายหนังสุชาติ ทรัพย์สิน ได้แรงบันดาลใจจากพระกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทรงขอบใจที่รักษาของอันหมายถึง ศิลปะการแกะหนังตะลุง ไว้ให้ในคราวแสดงหนังตะลุงถวายช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๒๗
นายหนังสุชาติ ทรัพย์สิน เป็นศิลปินหนังตะลุงและช่างทำรูปหนังตะลุงฝีมือดีเยี่ยมของเมืองนครศรีธรรมราช ที่ริเริ่มและสืบทอดวัฒนธรรมการทำตัวหนังตะลุงรวมไปถึงการเชิดหนังตะลุงจนเป็นที่ยอมรับในระดับชาติและนานาชาติ ได้รับคัดเลือกให้เป็นศิลปินท้องถิ่น ซึ่งได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (ไทยแลนด์ทัวริสซึ่ม อวอร์ด) ประจำปี ๒๕๓๙ รางวัลดีเด่นประเภทวัฒนธรรมและโบราณสถานบ้านหนังตะลุงสุชาติเป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายตัวหนังตะลุงและหนังใหญ่อีกทั้งยังมีการแสดงในลักษณะสาธิตในบริเวณบ้านหนังตะลุง นอกจากนี้ยังได้แบ่งพื้นที่เพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้านและพิพิธภัณฑ์หนังตะลุงนานาชาติ
พิพิธภัณฑ์หนังตะลุง
ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ ๑๐/๑๘ ถนนศรีธรรมโศก ๓ เป็นอาคารขนาดใหญ่สองชั้น จัดแสดงตัวหนังตะลุง ในอาคาร มีทั้งเทวดา ยักษ์ เจ้าเมือง ตัวพระ ตัวนาง ผี รวมไปถึงตัวเอียด ซึ่งเป็นตัวตลกหญิง นอกจากนี้ยังมีตัวหนังจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศในแต่ละยุคสมัย เช่น ตัวหนังในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตัวหนังของภาคกลาง ตัวหนังมุสลิม (วายังดูเละ) ตัวหนังประโมทัย (หนังตะลุงอีสาน) ตัวหนังนานาชาติ เช่น อินเดีย อินโดจีน ตุรกี อีกทั้งยังมีตัวหนังตลกอายุ ๕๐-๑๐๐ ปี อย่างหนูนุ้ย เท่ง แก้ว สะหม้อ สายนุ้ย ขวัญเมือง เป็นต้น และยังมีการจัดแสดงเครื่องดนตรีที่ใช้ในการเชิดหนังตะลุงอีกด้วย
ผลงานของคุณลุงสุชาติ ทรัพย์สิน ไม่เพียงแต่ทำให้เขามีชื่อเสียง มีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ยังทำให้ต่างชาติปรารถนาจะได้ตัวเขาไปถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการแกะหนังให้แก่ชาติของเขาด้วย ดังปรากฏว่าในปี พ.ศ.๒๕๒๓ ได้มีชาวเยอรมันมาติดต่อว่าจ้างให้เขาไปสอนการแกะหนังที่เยอรมนี โดยเสนอค่าจ้างปีละ ๑,๕๐๐,๐๐ บาท จ้างเป็นเวลา ๕ ปี เมื่อเขาได้รับข้อเสนอจึงตอบว่า “งานแกะหนังเป็นสมบัติของชาติ ถ้าต้องการตัวเขาให้ติดต่อกับรัฐบาล” ซึ่งผลปรากฏว่าผู้ที่มาติดต่อได้เงียบหายไป
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
สุชาติ ทรัพย์สิน ได้รับรางวัลชีวิต หลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร , สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง , สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตลอดจนหน่วยราชการ สถาบันและบุคคลต่าง ๆ มากมาย เช่น ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลดีเด่นทางวัฒนธรรมสาขาทัศนศิลป์ของ สวช. (การแกะหนัง) ได้รับรางวัลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหลายครั้ง ได้เป็นกรรมการ และผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์สาขาวัฒนธรรมศึกษา ของสถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช เป็นกรรมการที่ปรึกษาการซ่อมแซมหนังใหญ่ วัดขนอน จังหวัดราชบุรี ตามพระดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สุชาติ ทรัพย์สิน ได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาคือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้ประดิษฐ์และแกะหนังใหญ่เรื่องพระมหาชนกรวม ๔๕ ภาพ
อังคาร กัลป์ยาณพงศ์
ประวัติความเป็นมา
นายอังคาร กัลยาณพงศ์ เป็นบุตรของนายเข็บและนางขุ้ม เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๙ ที่ตำบลท่าวัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวัยเด็กเขาเคยป่วยเป็นอัมพาต เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ แต่ครั้งนั้นมีหมอท่านหนึ่งทดลองรักษาด้วยสมุนไพรจนอาการของเด็กชายอังคารหายเป็นปกติ
ศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนวัดจันทาราม ต่อมาศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดใหญ่จนจบชั้นประถม ๔ และศึกษาชั้นมัธยมที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช ศึกษาศิลปะและหัตถกรรมที่โรงเรียน เพาะช่าง และคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
อังคาร กัลยาณพงศ์ เป็นศิษย์ของศิลปินใหญ่คือ ศาตราจารย์ศิลป์ พีระศรี , อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ และอาจารย์เฉลิม นาคีรักษ์ ทำให้ได้ติดตามและร่วมงานกับอาจารย์ในการศึกษาค้นคว้างานด้านต่าง ๆ ทั้งศิลปกรรม โบราณคดี ประวัติศาสตร์ ความเป็นกวีและจิตรกรนั้นจึงเป็นสิ่งที่ท่านอังคารเชื่อมั่นและมีโอกาสฝึกฝนมาแต่ครั้งวัยเยาว์ ท่านกล่าวถึงการเป็นจิตรกรและกวีของตนไว้ว่า จิตรกรรมและบทกวีนั้นมาจากดวงใจดวงเดียวกัน อุทิศชีวิตสู่งานศิลป์ ท่านเป็นผู้มีพรสวรรค์ทั้งด้านกวีและจิตรกรรม จนได้รับสมญานามว่า “กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” เป็นผู้ชุบชีวิตขนบวรรณศิลป์โบราณ ให้เติบโตสอดคล้องกับวรรณศิลป์ร่วมสมัย และมุ่งสร้างสรรค์บทกวีที่เตือนมนุษย์ให้ออกจากความโง่เขลา เพื่อมุ่งสู่หนทางแห่งปัญญา โดยการพินิจธรรมชาติและเรียนรู้ธรรมะจากธรรมชาติ สุนทรียภาพทางภาษาของท่านที่มีความแปลกแตกต่างจากผู้อื่น คือ มีความแข็งกร้าวและโลดโผน บางครั้งใช้ฉันทลักษณ์ที่ไม่ตายตัว
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
ผลงานรวมเล่มร้อยกรอง
- กวีนิพนธ์ของอังคาร
- กัลป์ยาณพงศ์
- ลำนำภูกระดึง
- บางบทจากสวนแก้ว
- ปณิธานกวี
- กวีศรีอยุธยา
- บางกอกแก้วกำสรวลหรือนิราศนครศรีธรรมราช
รางวัลที่ได้รับ
- ได้รับรางวัลกวีนิพนธ์ดีเด่น คนแรกของมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕
- ได้รับรางวัลซีไรต์จากผลงานเรื่อง “ปณิธานกวี” เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙
- ได้รับการประกาศเกียรติคุณยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒
นายไมตรี ลิมปิชาติ
ประวัติความเป็นมา
นายไมตรี ลิมปิชาติ อดีตนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช
ไมตรี ลิมปิชาติ จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ที่โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา แล้วไปเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๗ โรงเรียนวัดสุทธิวราราม แต่สอบไม่ผ่านเพราะมัวแต่เล่นบาสเกตบอล เพื่อนจึงชวนไปเรียนที่วิทยาลัยก่อสร้างอุเทนถวาย และจบปริญญาตรีสาขาช่างไฟฟ้าที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ เมื่อปี ๒๕๐๖ เขาได้เป็นนักบาสเกตบอล ทีมเยาวชนและนักกีฬามหาวิทยาลัยรุ่นแรกที่ได้ไปแข่งขันที่ญี่ปุ่นเข้าทำงานครั้งแรก เมื่อปี ๒๕๐๗ เป็นช่างจัตวาที่เทศบาลนครกรุงเทพฯ แล้วย้ายไปเป็นช่างควบคุมการประปา
ที่เทศบาลเมืองสมุทรปราการ และในปีเดียวกันย้ายกลับไปเป็นหัวหน้าเขตบริการผู้ใช้น้ำพระโขนง
เขาทำงานที่การประปานครหลวง จนได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์
ไมตรี ลิมปิชาติ ชอบอ่านหนังสือและเขียนต้นฉบับเก็บไว้ เมื่อภรรยาได้อ่าน จึงแนะนำให้ส่งเรื่อง
สั้นชื่อ “หล่อนต่ำเพราะอยากสูง” ไปลงพิมพ์ในคอลัมน์ “เขาเริ่มต้นที่นี่” ของนิตยสาร “ฟ้าเมืองไทย” ซึ่งเป็นผลสำเร็จเมื่อปี ๒๕๓๑ อาจินต์ ปัญจพรรค์ สนับสนุนให้เขียนเรื่องสั้นชุดประปาและชีวิตข้าราชการลงพิมพ์ในนิตยสาร “ฟ้าเมืองไทย” “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” และ”“สตรีสาร” จนมีชื่อเสียงในปี ๒๕๑๖ ได้นำเรื่องสั้นของตนเองมารวมพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรก ในชื่อ “คนอยู่วัด” ได้รับคัดเลือกเป็นหนังสืออ่านประกอบชั้นมัธยมศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ นวนิยายเรื่อง “ความรักของคุณฉุย” ได้รับการสร้างภาพยนตร์ที่ ประสบความสำเร็จอย่างดี จนต้องเขียนภาคสองต่อ เมื่อ “ดอกเตอร์ครก” มีการนำไปสร้างภาพยนตร์ก็ได้รับรางวัลและโด่งดัง ไมตรี ลิมปิชาติ ยังเขียนคอลัมน์ประจำให้แก่สื่อสิ่งพิมพ์โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์”
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
ประเภทงานเขียน เรื่องสั้น, นวนิยาย, ความเรียง, วรรณกรรมเยาวชน, สารคดี
ผลงานเด่น คนอยู่วัด, ดอกเตอร์ครก, ความรักของคุณฉุย
ผลงานรวมเล่ม รวมเล่ม : ทางออกที่ถูกปิด, เกาไม่ถูกที่คัน, ทางไปสุขา, ช่องว่างระหว่างฟัน, บุรุษผู้เอาหัวชน
กำแพง, เย็นลมร้อน, คนอยู่วัด ฯลฯ
นวนิยาย : ประสาพ่อบ้าน, ครั้งเดียวเกินพอ, ดอกเตอร์ครก, ความรักของคุณฉุย, ยอดคุณลูก ฯลฯ
สารคดีท่องเที่ยว : เที่ยวกับเมีย, เที่ยวเมืองฝรั่ง
จำลอง ฝั่งชลจิตร
ประวัติความเป็นมา
นายจำลอง ฝั่งชลจิตร ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พุทธศักราช ๒๕๖๑ เกิดเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันอายุ ๖๘ ปี สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช จากนั้นเข้าศึกษาต่อคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ก่อนจะลาออกไปเป็นครู เป็นพนักงานโรงแรม เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ และเป็นนักเขียนอิสระ
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
นายจำลอง ฝั่งชลจิตร เริ่มเขียนเรื่องสั้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ จากนั้นสร้างสรรค์งานประเภทต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ ทั้งเรื่องสั้น วรรณกรรมเยาวชน นวนิยาย สารคดี และบทความ รวมเล่มแล้ว ๒๖ เล่ม ได้แก่ หนังสือรวมเรื่องสั้น ๑๘ เล่ม วรรณกรรมเยาวชน ๒ เล่ม นวนิยาย ๔ เล่ม สารคดีอีก ๒ เล่มและบทความที่ไม่ได้รวมเล่มเป็นจำนวนมาก จากการเขียนเรื่องสั้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้รับฉายาในวงวรรณกรรมว่า “ลอง เรื่องสั้น” ผลงานที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่อง ได้แก่
- วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง ขนำน้อยกลางทุ่งนา ได้รับรางวัลดีเด่น ประเภทหนังสือสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่น อายุ ๑๑-๑๔ ปี (บันเทิงคดี) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๔ จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ และรางวัลหนังสือดีเด่นสำหรับเยาวชน จากสำนักงานส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ
- เรื่องสั้น สีของหมา ได้รับรางวัลเรื่องสั้นยอดนิยม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๐ จากนิตยสารลลนา มีรวมเรื่องสั้น ๓ ชุดได้รับรางวัล ได้แก่ ลิกอร์ พวกเขาเปลี่ยนไป ชนะเลิศรางวัล
เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๔๘ รวมเรื่องสั้น เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า ได้รับรางวัลชมเชย จากการประกวดหนังสือดีเด่น ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ของกระทรวงศึกษาธิการ
- รวมเรื่องสั้น เรื่อง ผม เล่า ได้รับรางวัลชมเชยจากการประกวดหนังสือดีเด่นประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ของกระทรวงศึกษาธิการ นายจำลอง ฝั่งชลจิตร ได้รับรางวัลรพีพร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๓ ในฐานะนักเขียน ผู้สะท้อนสังคมและสร้างงานคุณภาพอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า ๔๐ ปี บนเส้นทางนักเขียน
- นายจำลอง ฝั่งชลจิตร เป็นนักคิดและนักสังเกตการณ์ชีวิตและสังคม ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมนุษย์ ความเปลี่ยนแปลงของสังคม วิถีชีวิต วัฒนธรรม และ การเมืองอย่างตรงไปตรงมา
- นายจำลอง ฝั่งชลจิตร จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พุทธศักราช ๒๕๖๑
ผลงานของเขาทุกรูปแบบโดดเด่นด้วยเนื้อหาที่สะท้อนความเป็นจริงของมนุษย์และความเป็นไปในสังคม และด้วยกลวิธีในการนำเสนอซึ่งแฝงความหมายระหว่างบรรทัด ลุ่มลึกด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ ตลอดจนลีลาน้ำเสียงประชดประชันอย่างมีอารมณ์ขัน ทำให้สังคมได้ตระหนักถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ประยงค์ รณรงค์
ประวัติความเป็นมา
นายประยงค์ รณรงค์ เกิดปี ๒๔๘๐ ในท้องที่อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นถิ่นทุรกันดาร ห่างไกลความเจริญ และเติบโตมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นยุคข้าวยากหมากแพง จึงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือจบแค่ ป.๔ แล้วก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน ส่งน้อง ๆ เรียน โตขึ้นจึงต้องยึดอาชีพเกษตรกรเหมือนพ่อแม่ แต่สังเกตพบว่าเกษตรกรเมื่ออายุ ๖๐-๗๐ ปี แล้วยังต้องทำงานหนักตากแดด ตากฝน หาเช้า กินค่ำอยู่อย่างลำบาก แต่ข้าราชการพออายุ ๖๐ ปี ก็เกษียณอายุราชการ มีบำนาญกินอยู่อย่างสบาย จึงคิดในใจว่าถึงแม้จะเป็นเกษตรกร ในบั้นปลายชีวิต ก็จะเกษียณอายุจากเกษตรกรด้วยเหมือนกันแต่ก่อนหน้านั้นเราจะต้องสร้างบำนาญไว้ให้ตัวเองก่อน เพื่อจะได้มีกินมีใช้ ไม่ลำบากเมื่อเวลานั้นมาถึง
เริ่มก่อร่าง สร้างตัว มีครอบครัวเมื่ออายุ ๒๕ ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ จึงได้วางแผนที่จะต้องทำงานหนัก สัก ๓๐ ปี เพื่อสร้างบำนาญให้กับตัวเอง คาดว่าจะปลดเกษียณตัวเองเมื่ออายุ ๕๕ ปี ราชการทำงาน ไม่นานเขาเกษียณเมื่ออายุ ๖๐ ปี แต่เกษตรกรทำงานหนัก ๕๕ ปี ก็น่าจะพอเหมาะ ด้วยความมุ่งมั่นพยายามตลอดเวลา ๓๐ ปี ประสบความสำเร็จในชีวิต มีอาชีพที่มั่นคง ครอบครัวมีความสุขตามอัตภาพ ลูก ๆ ทั้ง ๕ คน สามารถพึ่งตนเองได้ โดยไม่มีหนี้สิน
ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ ๕๑ หมู่ ๙ ต.ไม้เรียง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ๘๐๒๖๐ ประกอบ อาชีพหลัก ทำสวนยางพารา อาชีพรอง ทำสวนผลไม้ (สวนสมรม) อาชีพเสริม เลี้ยงสัตว์ (ปลา,ไก่พื้นเมือง) การศึกษาจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านนาเส หมู่ที่ ๕ ต.นากะชะ อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
- รางวัลผู้นำอาชีพก้าวหน้า โดยคณะกรรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ.๒๕๓๐
- รางวัลคนดีศรีสังคม โดยคณะกรรมการคัดเลือกคนดีศรีสังคม ปี พ.ศ. ๒๕๓๗
- รางวัลผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐
- รางวัลครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ ๑ โดยสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔
- ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- รางวัลแมกไซไซ สาขาผู้นำชุมชน จากมูลนิธิรามอน แมกไซไซ ประเทศฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. ๒๕๔๗
นายประยงค์ รณรงค์ ยังมีส่วนร่วมในการผลักดันเชิงนโยบายที่สำคัญที่เห็นได้ชัด คือ การจัดทำแผนแม่บทการพัฒนายางพาราไทย และพระราชบัญญัติวิสาหกิจชุมชน และจากฐานของกิจกรรมนายประยงค์ รณรงค์ ได้ดำเนินการและมีส่วนผลักดัน ทำให้องค์กรหรือสถาบันต่าง ๆ ได้มอบรางวัลให้กับนายประยงค์ รณรงค์ มากมาย โดยในปี ๒๕๔๗ มูลนิธิรามอน แมกไซไซ ประเทศฟิลิปปินส์ ได้มอบรางวัลแมกไซไซ สาขาพัฒนาชุมชน ให้แก่นายประยงค์ รณรงค์ ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ได้รับการยอมรับจากคนนครศรีธรรมราชและชุมชนทั่วประเทศว่าเป็น "ผู้นำ" ทางปัญญา ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ชุมชนลุกขึ้นมาเรียนรู้และค้นหาทางออก เพื่อให้พึ่งพาตนเอง ไม่ใช่นั่งรอความช่วยเหลือจากรัฐหรือใคร
ผลงานดีเด่น
๑. เป็นผู้นำการก่อตั้งกลุ่มเกษตรกรทำสวนยางตำบลไม้เรียง และเป็นผู้จัดการและประธานกลุ่มเกษตรทำสวนยางไม้เรียง
๒. ผู้ก่อตั้งและเป็นประธานศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนไม้เรียง
๓. ผู้นำจัดทำแผนแม่บทชุมชนไม้เรียง อ.ฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช และเป็นผู้นำจัดทำแผนแม่บทการพัฒนายางพาราไทย ฉบับประชาชน
กั้น เชาวพ้อง
ประวัติ
นางกั้น เชาวพ้อง ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ปัจจุบันอายุ ๘๖ ปี เกิดวันอาทิตย์ เดือนสี่ ปีจอ พ.ศ. ๒๔๗๖ จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัดจันพอ หมู่ ๓ ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช
ประวัติเกียรติคุณที่ได้รับ
โนรากั้น บันเทิงศิลป์ ได้แสดงโนราเพื่อสังคม โดยรูปแบบการแสดงไม่เคยทอดทิ้งเอกลักษณ์การเป็นโนราแบบ
โบราณ ยังคงรักษาศิลปะการแสดงโนราที่ถูกต้อง ทั้งการร้อง การรำแทงเข้ การรำคล้องหงส์ ซึ่งเป็นการรำแสดงแบบโบราณเครื่องดนตรีอุปกรณ์การแต่งกายเป็นโนราโบราณขนานแท้ ได้อนุรักษ์และสืบสานเอกลักษณ์ของโนราคนหนึ่งของภาคใต้ไว้อย่างน่าภาคภูมิใจ
โนรากั้น บันเทิงศิลป์ เป็นผู้ที่มีความสามารถในการแสดงโนราเป็นอย่างมาก และเป็นศิลปินที่มีประชาชนชื่นชม รวมถึงเป็นบุคคลที่มีน้ำใจมีความเอื้ออาทร เสียสละ เป็นที่รักใคร่ของบุคคลทั่วๆ ไป จึงทำให้มีคนมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ฝึกหัดรำโนราอยู่ตลอดเวลารุ่นแล้วรุ่นเล่า
นางกั้น เชาวพ้อง หรือโนรากั้น บันเทิงศิลป์ เป็นบุคคลที่ครองตัวครองตน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี และได้บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น รวมถึงสังคมส่วนรวมต่าง ๆ มามากมาย อีกทั้งมีความรู้ความสามารถในด้านการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นหลายด้านจนเป็นที่ยอมรับ จึงเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญ ที่ยังคงสืบสานเอกลักษณ์ในศิลปะการแสดงอันเป็นภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของภาคใต้ไว้ได้อย่างดี
นางกั้น เชาวพ้อง ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) พุทธศักราช ๒๕๖๑
ที่มา : https://sites.google.com/benjama.ac.th/benjama1
11 มีนาคม, 2568
นครศรีธรรมราช รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม
๑. นครศรีธรรมราชสมัยสุโขทัย
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นครศรีธรรมราชหรือตามพรลิงค์เป็นเมืองใหญ่ในคาบสมุทรมลายู มีแสนยานุภาพทางทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัพเรือ สามารถยกทัพไปตีลังกาถึงสองครั้ง
นครศรีธรรมราชเป็นรัฐเอกราชที่มีความเป็นอิสระในตัวเองและมีความเจริญรุ่งเรืองในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยนั้นนครศรีธรรมราชเป็นรัฐที่มีความมั่งคั่ง มั่นคง และมีแสนยานุภาพแผ่อำนาจไปทั่วแหลมมลายู และสามารถยกทัพไปรบได้ถึงประเทศลังกา และเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท (ลัทธิลังกาวงศ์) ในขณะที่สุโขทัยยังคงอยู่ในสภาพที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการสนับสนุนให้คนสร้างบ้านเป็นเมืองและยังมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก ตามความที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหง แสดงว่ายังเป็นเมืองที่เล็กอยู่และศิลาจารึกหลักเดียวกันนี้ (จารึกในราว พ.ศ. ๑๘๓๕) ยังได้กล่าวถึงเมืองนครศรีธรรมราช มีข้อความตอนหนึ่งว่า (สังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่ศรีธรรมราชมา...) ซึ่งแสดงให้เห็นว่านครศรีธรรมราชมีมาก่อนสุโขทัยเป็นเวลาช้านาน และมีความเจริญรุ่งเรืองทางวิชาการ โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนาและวรรณกรรม และเพื่อเป็นการยกย่องและแสดงความน่าเชื่อถือต่อภูมิปัญญาของชาวนครศรีธรรมราช พ่อขุนรามคำแหงถึงกับระบุไว้อย่างชัดเจนในศิลาจารึกดังกล่าวแล้ว
สรุปได้ว่าในช่วงตั้งแต่หลังพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา ในสมัยสุโขทัยรุ่งเรืองขึ้นมานั้น นครศรีธรรมราชมีสถานะเป็นดินแดนอิสระที่สำคัญ ของคาบสมุทรมลายู มีบทบาทสำคัญเรื่อง การเผยแผ่พระพุทธศาสนา และการประดิษฐ์อักษรของสุโขทัย โดยอาศัยนักปราชญ์จากนครศรีธรรมราชเป็นผู้ดำเนินการ
๒. นครศรีธรรมราชสมัยอยุธยา
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๗ ที่กรุงอโยธยา ครั้น พ.ศ. ๑๘๙๒ ได้ทรงย้ายราชธานีไปอยู่ริมหนองโสน และทรงเปลี่ยนนามว่า “กรุงศรีอยุธยา” ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์เมื่อ วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๑๘๙๓ ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ นี้ นครศรีธรรมราชอยู่ในฐานะเป็นเมืองพระยามหานครขึ้นตรงกับอยุธยาต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการ แก่อยุธยาตามกำหนดทุกปี และยังคงมีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ทั้งปวง ตามที่กฎในบัญชีเมือง ๑๒ นักษัตร ทุกประการ
ครั้นถึงรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงปฏิรูปการปกครองบ้านเมืองรวมศูนย์อำนาจ มาอยู่ที่พระมหากษัตริย์ ทรงกำหนดระบบศักดินามาใช้ในการบริหาร
ราชการแผ่นดิน และกำหนดให้มีหน่วยงานหลักในการบริหารประเทศแบ่งเป็น ๔ ฝ่าย เรียกว่า จตุสดมภ์ คือ เวียง วัง คลัง นา และได้ทรงตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินเพิ่มเติมจากของเก่าที่มีมาก่อนแล้ว ที่สำคัญ เช่น กฎหมายศักดินาข้าราชการฝ่ายพลเรือนทหารและข้าราชการหัวเมือง กฎหมายอาญาหลวง (เพิ่มเติม) กฎหมายลักษณะกบฏศึกและกฎมณเฑียรบาล เป็นต้น
ในส่วนของนครศรีธรรมราชได้เปลี่ยนฐานะจากเมืองพระยามหานครเป็นหัวเมืองชั้นเอก ในปี พ.ศ. ๑๙๙๘ เจ้าเมืองได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมราช ถือศักดินา ๑๐,๐๐๐ และดำรงฐานะเช่นนี้มาตลอดสมัยอยุธยา
อนึ่งในครั้งนั้นได้ทรงกำหนดให้มีหัวเมืองชั้นเอก ๓ เมือง คือ เมืองพิษณุโลก เมืองนครราชสีมาและเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อเป็นหัวเมืองหลักในการควบคุมดูแลหัวเมืองชั้นนอกและหัวเมืองประเทศราชของอยุธยา
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นต้นมา เมืองนครศรีธรรมราช จึงได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอยุธยาอย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าแต่ก่อน ทางเมืองหลวงสามารถเข้าไปควบคุมดูแลการปกครองของนครศรีธรรมราชได้อย่างใกล้ชิด เพราะนอกจากทางเมืองหลวงจะเป็นผู้แต่งตั้งเจ้าเมืองออกไปปกครองโดยตรงแล้วยังเป็นฝ่ายกำหนดและแต่งตั้งข้าราชการตำแหน่งสำคัญ ๆ ในเมืองนครศรีธรรมราชอีกด้วย เช่น ตำแหน่ง “ยกกระบัตร” ซึ่งจะแต่งตั้งจากผู้มีความดีความชอบและความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว ออกไปควบคุมการบริหารงานในหัวเมืองของเจ้าเมืองอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทางเมืองหลวงส่งคนออกไปปกครองเมืองนครศรีธรรมราชโดยตรงแล้ว แต่ถ้าเมื่อใดทางเมืองหลวงเกิดการแย่งราชสมบัติกันจนบ้านเมืองระส่ำระส่าย และอ่อนกำลังลงหรือมีการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ที่ขึ้นครองราชย์ โดยมิได้เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีแล้ว เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชก็มักจะแข็งเมืองต่อทางเมืองหลวง ไม่ยอมส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการตามประเพณีที่เคยส่ง เช่น ในสมัยพระเจ้าปราสาททองและสมัยพระเพทราชา เป็นต้น โดยในสมัยพระเจ้าปราสาททอง (ครองราชย์ ปี พ.ศ. ๒๑๗๓ - ๒๑๙๘) นับเป็นครั้งแรกที่นครศรีธรรมราชเป็นกบฏ โดยมีสาเหตุมาจากความแตกแยกของข้าราชการในอยุธยาและมีการผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ในปี พ.ศ. ๒๑๗๒ ซึ่งตรงกับสมัยพระอาทิตยวงศ์
เหตุการณ์ในครั้งนั้นเริ่มต้นจากเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ซึ่งต้องการเป็นกษัตริย์ปกครองอยุธยา แทนพระอาทิตยวงศ์ ได้วางแผนกำจัดออกญาเสนาภิมุข (ยามาดา) เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น ผู้มีอำนาจในอยุธยาอย่างมาก ในเวลานั้นให้ออกไปเสียจากอยุธยา เพื่อที่จะได้ไม่ขัดขวางตนเองที่จะปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยส่งให้ออกญาเสนาภิมุขมาปราบกบฏที่ปัตตานีแต่เสียทีถูกอาวุธบาดเจ็บสาหัส กลับมารักษาตัวที่เมืองนครศรีธรรมราช จนเกือบหาย ถูกพระยามะริดซึ่งช่วยราชการอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ได้ใช้ผ้าพันแผลอาบยาพิษพันแผลให้จนถึงแก่กรรมเพราะยาพิษใน พ.ศ. ๒๑๗๓
เมื่อออกญาเสนาภิมุขเสียชีวิตแล้วนครศรีธรรมราชก็ตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับอยุธยาอีกเพราะไม่เห็นด้วย กับการปราบดาภิเษกของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ที่ขึ้นเป็น กษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าปราสาททอง อยุธยาจึงได้ส่งกองทัพมาปราบปราม โดยมีออกพระศักดาพลฤทธิ์และออกญาท้ายน้ำเป็นแม่ทัพและสามารถตีนครศรีธรรมราชได้สำเร็จ
๓. นครศรีธรรมราชสมัยกรุงธนบุรี
หลังจากกู้อิสรภาพอยุธยาจากพม่าได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้วปราบชุมนุมต่าง ๆ ครั้นใน พ.ศ. ๒๓๑๒ โปรดให้ เจ้าพระยาจักรี(หมุด) พระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยายมราช และพระยาเพชรบุรี ยกทัพบกเป็นทัพหน้าไปปราบชุมนุมเจ้านครแต่ทำการไม่สำเร็จ เพราะขัดแย้งกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงเสด็จยกทัพเรือไปตีเมืองนครศรีธรรมราชด้วยพระองค์เอง อีกทางหนึ่งเมื่อกองทัพเมืองหลวงเข้าตีค่ายท่าหมาก ที่คลองปากนคร และที่คลองศาลาสี่หน้า (บ้านปากพญา) แตก เจ้านครศรีธรรมราช (หนู) จึงทิ้งเมืองอพยพครอบครัวลงไป ณ เมืองสงขลา ให้หลวงสงขลา (วิเถียน) พาไปพักพิงที่เมืองเทพา เมืองปัตตานี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้เจ้าพระยาจักรีและพระยาพิชัยราชา ยกกองทัพเรือติดตามไปปัตตานี มีหนังสือขอให้ยอมส่งตัวเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) คืน เจ้าเมืองปัตตานียอมส่งตัวเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) มาถวายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโดยดี ครั้นได้เมืองนครศรีธรรมราชเรียบร้อยแล้วทรงแต่งตั้งพระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงศ์ครองเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๒ จนถึงแก่พิราลัย ใน พ.ศ. ๒๓๑๙ แล้วทรงแต่งตั้งเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ให้กลับไปปกครองเมืองนครครีธรรมราชอีกครั้ง โดยพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) เจ้าขัณฑสีมา ให้มีเกียรติเสมอเจ้าประเทศราช มีอำนาจแต่งตั้งขุนนาง ตามระบบจตุสดมภ์ได้เช่นเดียวกับราชธานี
ในสมัยกรุงธนบุรีการจัดการปกครองยังคงใช้ระบบจตุสดมภ์ เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา รวมทั้งการใช้กฎหมายต่าง ๆ ก็นำแบบอย่างมาจากสมัยอยุธยาแทบทั้งสิ้น เว้นแต่ที่เมือง นครศรีธรรมราช มีความแตกต่างกันตรงที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกฐานะเมืองนครศรีธรรมราชที่เป็นเมืองเจ้าพระยามหานครอยู่ก่อน (หัวเมืองชั้นนอก) ขึ้นเป็นเมืองประเทศราช ทรงยกย่องเมืองนครศรีธรรมราชให้มีเกียรติยศเสมอเจ้าประเทศราช ตั้งพระยาอัครมหาเสนาและจตุสดมภ์สำหรับเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าเมืองได้รับพระสุพรรณบัฏเป็นพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) เจ้าขัณฑสีมา แต่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชที่ดำรงฐานะเป็นเจ้าประเทศราชในสมัยกรุงธนบุรีมีเพียง ๒ องค์ คือ พระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงศ์เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๑๒ - ๒๓๑๙ และพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๑๙ - ๒๓๒๗
ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองนครศรีธรรมราชกับกรุงธนบุรีนับว่ามีความสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นมากโดยเฉพาะความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเจ้าเมืองกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทั้งนี้เพราะเจ้านราสุริยวงศ์ มีฐานะเป็นพระเจ้าหลานเธอและพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ก็มีฐานะเป็นพระสัสสุระ (พ่อตา) ของพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วย
เมืองนครครีธรรมราชมีประวัติศาสตร์ความเจริญและศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว ตั้งแต่สมัยอาณาจักรตามพรลิงค์ สุโขทัย และเป็นเมืองเจ้าพระยามหานคร หรือเมืองชั้นเอกมา แต่สมัยอยุธยาและเป็นศูนย์กลางของหัวเมืองปักษ์ใต้ตลอดมาทุกสมัย
ฐานที่ตั้งของเมืองนครศรีธรรมราช เหมาะสมในแง่ยุทธศาสตร์สมัยกรุงธนบุรี เพราะเป็นเมืองใหญ่ค่อนลงมาทางใต้ ไกลจากเมืองหลวงพอสมควร แต่ในยามเกิดศึกสงครามก็ ไม่เกินกำลังหรือเวลาที่จะเดินทัพ มาสมทบกับเมืองหลวงได้ทั้งทางบกและทางเรือ ประกอบกับเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่นอกเส้นทางการเดินทัพโดยปกติของข้าศึก ที่มุ่งมาประชิดเมืองหลวง จึงไม่ค่อยถูกย่ำยีหรือยับเยินเพราะสงคราม เหมาะกับการเป็น ชุมกำลังพลกับคลังสรรพาวุธและเสบียงอาหาร เพื่อเสริมกำลังกับทางเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นเมืองนครศรีธรรมราชยังมีเมืองบริวารตั้งแต่ชุมพรลงไปจนถึงเมืองปัตตานี ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ซึ่งบริบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ กำลังทางเศรษฐกิจและ กำลังคน นครศรีธรรมราชเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญกับต่างประเทศ ช่วยให้สามารถจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ ได้สะดวกกว่าเมืองหลวงและเมืองอื่นที่อยู่ห่างเส้นทางค้าขายกับต่างประเทศ โดยเฉพาะในยามศึกสงคราม
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงอาจสรุปได้ว่าการที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกฐาน เมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเป็นเมืองประเทศราชนั้นเป็นด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์มากกว่าการยกย่องบุคคลเป็นการส่วนพระองค์
๔. นครศรีธรรมราชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จขึ้นครองราชย์และสถาปนากรุงเทพมหานคร เป็นราชธานี ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วทรงพระราชดำริว่าที่พระเจ้ากรุงธนบุรี ยกเจ้านครขึ้นเป็นเจ้าประเทศราชเป็นการให้อำนาจมากเกินไป จึงโปรดให้ลดบรรดาศักดิ์ลงเป็นเจ้าพระยานคร ซึ่งเป็นเจ้าเมืองชั้นเอกเช่นเดียวกับเมืองพิษณุโลกและเมืองนครราชสีมา และให้ลดตำแหน่งเสนาบดีเมืองนครลงเป็นกรมการเมืองเหมือนหัวเมืองอื่นๆ และให้ยกเมืองสงขลาซึ่งขึ้นกับเมืองนครอยู่ในครั้งนั้นเป็นหัวเมืองขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานครด้วย
ครั้น พ.ศ. ๒๓๒๗ ได้โปรดเกล้าให้พระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) พ้นจากตำแหน่งและเอาตัวเข้ารับใช้ราชการในกรุงเทพมหานคร พร้อมกันนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอุปราช (พัฒน์) ซึ่งเป็นบุตรเขยของเจ้านคร (หนู) ขึ้นไป “เจ้าพระยานครศรีธรรมราช” แทน ในวันเดียวกัน
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทางเมืองหลวงได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ๔ คน
๑. ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตั้งอุปราช (พัฒน์) เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) พ.ศ. ๒๓๒๗
๒. ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลัานภาลัย ตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) เป็นพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) พ.ศ. ๒๓๕๔
๓. ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งพระเสน่หามนตรี (น้อยกลาง) บุตรเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) พ.ศ. ๒๓๘๒
๔. ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งพระยาสุธรรมมนตรี (พร้อม) บุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชพ.ศ. ๒๔๑๐
ถึงแม้ว่าจะถูกลดอำนาจลงมากมายก็ตาม แต่นครศรีธรรมราชยังเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของปักษ์ใต้อยู่ เพราะต้องกำกับ ไทรบุรี กลันตัน และเป็นผู้ดูแลรักษาหัวเมืองฝ่ายตะวันตก ตลอดจนปราบปรามแขกสลัดและสืบข่าวความเคลื่อนไหวของพม่าในภาคใต้ นอกจากนี้ตัวเจ้าเมืองกรมการยังมีหน้าที่ส่วนตัวที่จะต้องปฏิบัติต่อเมืองหลวงเพื่อจะแสดงความจงรักภักดี ด้วยการส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการเข้าไปถวายในเมืองหลวง ปีละ ๒ ครั้ง เนื่องจากเป็นหัวเมืองชั้นเอก ซึ่งมีหลักฐานปรากฎอยู่ในตราตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ เป็นพระยานครศรีธรรมราชว่า... “อนึ่งเมืองนครเป็นเมืองเอก ถึงงวดปีแล้วให้จัดแต่งดอกไม้ทองเงิน เครื่องราชบรรณาการส่งเข้าไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ปีละ ๒ งวดตามบุราณราชประเพณีสืบมาแต่ก่อน ทุกปีอย่าให้ขาด”.... และมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อประชาชนชาวเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อไม่ให้เป็นผู้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนซึ่งนับเป็นภาระที่หนักมากสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชแต่ทางเมืองหลวง ก็เข้าใจถึงภาระหน้าที่อันยากลำบากของเจ้าเมืองนี้ จึงมอบอำนาจให้แก่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชมากกว่าเจ้าเมืองอื่นๆ เพื่อเป็นการชดเชยภาระหน้าที่ที่มีอยู่
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เจ้าเมืองนครครีธรรมราชที่มีบทบาทมากกว่าเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนอื่นๆ คือ เจ้าพระยานคร (น้อย) เพราะแม้ว่าจะไม่ได้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราชในฐานะเจ้าประเทศราช ดังเช่น พระเจ้านครศรีธรรมราชในสมัยกรุงธนบุรี แต่ในทางพฤตินัยเจ้าพระยานคร (น้อย) มีอำนาจในการปกครองหัวเมืองฝ้ายใต้ทั้งหมดตลอดถึง ไทรบุรี ตรังกานู เประ
นอกจากนี้ยังเป็นผู้สำเร็จราชการทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกอีกด้วย เนื่องจากท่าน มีความสามารถพิเศษในด้านการต่อเรือและการบังคับบัญชากองทัพเรือ ความกล้าหาญเฉลียวฉลาด และรอบรู้ของเจ้าพระยานคร (น้อย) และความสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักในกรุงเทพฯ ทำให้ฐานะของเมืองนครศรีธรรมราชก็ดีตามขึ้นไปด้วย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรง ราชานุภาพทรงกล่าวยกย่องพระยานคร (น้อย) ว่า
“เป็นผู้มีอำนาจมากกว่าเจ้าพระยานครทั้งปวง ได้บังคับบัญชาตลอดขึ้นมาถึงเมืองไชยาของฝั่งตะวันตกก็มีอำนาจแผ่เชื่อมไปถึงถลาง นำทัพศึกที่เป็นเรื่องสำคัญ ก็คือเมืองไทรมีอำนาจในเมืองแขกมากนับถือเป็นเจ้าแผ่นดินรอง เป็นผู้ได้รับอำนาจทำหนังสือกับอังกฤษ เจ้าของพระองค์นวโลหะพระเเท่นถม พระยานถม พระแสงง้าว พระแสงทวนถม และอื่นๆ”
เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้สร้างความสำคัญให้แก่เมืองนครศรีธรรมราชเป็นอันมาก งานสำคัญของท่านมีทั้งด้านการปกครอง การช่าง การรบ และการทูต กล่าวคือ ในด้านการ ปกครอง ได้ปกครองบ้านเมืองด้วยธรรมานุภาพ บ้านเมืองสงบเรียบร้อยน่าสรรเสริญ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในหนังสือสาส์นสมเด็จภาคที่ ๖ ว่าเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นโอรสลับของพระเจ้ากรุงธนบุรีปกครองบ้านเมืองเข้มแข็งกว่าเจ้าเมืองแต่ก่อน
ด้านการช่าง ได้ต่อเรือรบและเรือกำปั่นแปลงแก่กองทัพไทยในสมัยรัชกาลที่ ๒ จำนวน ๓๐ ลำ ได้ส่งเสริมศิลปะหัตถกรรม เครื่องถมผ้ายกเมืองนครจนเป็นที่รู้จักกว้างขวางด้านการรบ ได้ทำศึกสงครามเพื่อปราบปรามกบฏเมืองไทรบุรีชนะทำให้ไทรบุรียังคงขึ้นอยู่กับไทย และทำให้อังกฤษยอมรับว่าไทรบุรีเป็นประเทศราชของไทย
ด้านการทูต ได้ทำหน้าที่เจรจาความเมืองชั้นต้น เพื่อเจริญความสัมพันธ์ทางไมตรีกับตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ (จอร์น ครอเฟิร์ดและเฮนรี่ เบอร์นี) หลายครั้งก่อนที่จะเดินทางไปเข้าเฝ้าที่กรุงเทพมหานคร ลักษณะเด่นเช่นนี้ทำให้ราชธานี ให้อำนาจและความไว้วางใจแก่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชมากกว่ายุคสมัยใด
เมื่อเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. ๒๓๘๒ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่งตั้งพระเสน่าหามนตรี (น้อยกลาง) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นบุตรคนที่ ๔ ของเจ้าพระยานคร (น้อย) กับท่านผู้หญิงอินเป็นเจ้าเมือง ปรากฏนามในตราตั้งว่า พระยานครศรีธรรมราช แต่คนทั่วไป มักเรียกว่า พระยานครน้อยกลาง ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ใน พ.ศ. ๒๓๙๕ และถึงอสัญกรรมใน พ.ศ. ๒๔๑๐
ภายหลังอสัญกรรมของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช (น้อย) ทางกรุงเทพมหานคร ประสงค์จะโอนอำนาจ เจ้าเมืองมาไว้ในส่วนกลางให้มากขึ้นจึงเข้าไปเกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาเมืองไทรบุรีโดยตรงเสียเอง แทนที่จะยินยอมให้นครศรีธรรมราชเป็นตัวแทนราชธานีในการดูแล รักษาราชอาณาจักรทางใต้ ดังเช่น ในสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) ซึ่งยกเมืองสตูลซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับเมืองสงขลา ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งกับอาณาเขตระหว่างประเทศไทยกับบริษัทอังกฤษทางหัวเมืองมลายูสามารถตกลงกันได้เรียบร้อย เป็นผลให้กรุงเทพมหานคร สามารถแก้ปัญหาเมืองไทรบุรีลงได้สำเร็จ
นอกจากนี้ทางกรุงเทพมหานคร สามารถต่อเรือใหญ่กว่าเรือกำปั่นที่เจ้าพระยานคร (น้อย) สร้าง จึงสามารถเดินทางไปมาติดต่อกันได้สะดวกกว่าเดิม ทำให้เมืองนครศรีธรรมราชใกล้หูใกล้ตากรุงเทพมหานครมากขึ้น จนทำให้เชื่อได้ว่าไม่เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพของราชธานี บทบาทของเมืองนครศรีธรรมราชจึงลดลงไปเหลือเป็นเมืองเอกเมืองหนึ่ง มีหน้าที่แต่เพียงกำกับหัวเมืองปักษ์ใต้อื่น ๆ ตามคำสั่งของทางราชธานีเท่านั้น ส่วนบทบาทของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ได้ปฏิบัติราชการด้วยดี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สถาปนาเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชใน พ.ศ. ๒๓๙๕
สิ้นสมัยเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ในพ.ศ. ๒๔๑๐ บุตรคนโตคือ พระเสน่หามนตรี (หนูพร้อม) ก็เข้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเป็นพระยานครศรีธรรมราช สืบแทนปรากฏนามภายหลังว่าเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี คนทั่วไปรู้จักอีกนามหนึ่งว่าเจ้าพระยาขนทวน ในเวลานั้นแม้ว่าจะไม่มีศึกพม่า หรือญวนแล้วก็ตาม แต่ไทยต้องเผชิญหน้ากับฝรั่งชาติตะวันตก ที่เข้ามาล่าอาณานิคมในแถบ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือฝรั่งเศสและอังกฤษ การดำเนินนโยบายปิดประเทศแบบเดิมซึ่งใช้มาครั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น มิอาจทำให้ปลอดภัยจากการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตกได้ แม้เราจะยอมผ่อนปรนตามเงื่อนไขของฝรั่งทั้งสองชาติไปบ้างแล้วก็ตาม หนทางที่จะรอดปลอดภัยจากการสูญเสียเอกราชทางหนึ่ง ก็คือการจัดการปกครองหัวเมืองเสียใหม่ให้รัดกุมและมีเอกภาพกว่าที่เป็นอยู่ ต้องพยายามเสริมสร้างกำลังและปิดช่องว่างอันเกิดจากการปกครองเสียโดยเร็ว
ในพ.ศ. ๒๔๑๘ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม) ถูกเรียกตัวไปอยู่ในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากบกพร่องหน้าที่ราชการให้ทรงตำหนิติเตียนได้ เช่น ไม่ได้ไปรับเสด็จพระราชดำเนินเมืองไทรบุรี ใน พ.ศ. ๒๔๑๔ ทั้งที่เมืองนครศรีธรรมราชบังคับบัญชาเมืองไทรบุรีอยู่ และในปีนั้นเองได้โปรดเกล้าให้เลื่อนบรรดาศักดิ์พระยาไทรบุรีขึ้นเป็นเจ้าพระยาแล้วเมืองไทรบุรีขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และถูกขุนพิบาลกล่าวฟ้องร้องโทษใน พ.ศ. ๒๔๑๙ จนกรมพระยากลาโหมต้องตั้งตุลาการเพื่อชำระความตัดสิน
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม) ถูกเรียกตัวเข้าไปรับราชการอยู่ในกรุงเทพมหานครเกือบ ๒๐ ปี จึงได้กลับมารับราชการที่เมืองนครศรีธรรมราชอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. ๒๔๓๗ อันเป็นระยะเวลาที่ราชธานีกำลังดำเนินการปฏิรูปการปกครองบ้านเมืองแบบสมัยใหม่ที่เรียกว่าระบบเทศาภิบาลอันส่งผลให้อำนาจและบทบาทของเมืองนครศรีธรรมราชที่เคยเป็นหัวเมืองชั้นเอกและมีความสำคัญที่สุดของปักษ์ใต้ลดลง กลายมาเป็นหัวเมืองหนึ่งในมณฑลนครศรีธรรมราชอยู่ในบังคับบัญชาของหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๕๖๘) ได้มีการเปลี่ยนแปลง การบริหารราชการแผ่นดินด้านการปกครองหัวเมืองอีกครั้งหนึ่ง ในรัชกาลนี้ได้โปรดฯให้มีการแต่งตั้งตำแหน่งอุปราชปักษ์ใต้ขึ้นเพื่อปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้ทั้งหมด ในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ดำรงตำแหน่งอุปราชปักษ์ใต้
จนกระทั่งได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงได้ยุบมณฑลนครศรีธรรมราช ลงเป็นจังหวัดหนึ่งของราชอาณาจักรไทยและดำรงฐานะดังกล่าวเรื่อยมาจนปัจจุบัน
ด้วยเหตุที่นครศรีธรรมราชมีประวัติอันยาวนานมาก่อนกรุงสุโขทัยซึ่งถือว่าเป็นราชธานีแรกของไทย มีความเจริญรุ่งเรืองทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์มาก่อน จึงทำให้ศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญ เช่น ประติมากรรม สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ช่างฝีมือพื้นบ้าน การละเล่น และขนบธรรมเนียมประเพณี อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมจึงมีมาก ซึ่งชาวเมืองยังยึดถือปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน นครศรีธรรมราชจึงมีอารยธรรมและศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติบ้านเมืองมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ที่มา
https://sites.google.com/benjama.ac.th/benjama1
ยุคสมัยประวัติศาสตร์
วิวัฒนาการนครศรีธรรมราชในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๗ - ๘
ปรากฏในคัมภีร์มหานิทเทศซึ่งแต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ได้กล่าวถึงเมืองท่าที่สำคัญ ในอินเดีย ลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายเมือง ในจำนวนเมืองเหล่านี้ตอนหนึ่งได้กล่าวถึงเมืองนครศรีธรรมราชไว้ด้วย ดังความตอนหนึ่งที่ว่า “. . . ไปชวาไปกะมะลิง (ตะมะลิง) ไปวังกะ (หรือวังคะ) . . .” นอกจากนี้ ยังปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหาซึ่งแต่งขึ้นในระยะเดียวกันกับคัมภีร์มหานิทเทศด้วย คำว่า “กะมะลิง” หรือ“ตะมะลิง” หรือ“กะมะลี” หรือ“ตมะลี” จีนเรียกว่า “ตั้งมาหลิ่ง” เจาชูกัวเรียก “ตัน-มา-ลิง” ในศิลาจารึกเรียก“ตามพรลิงค์” หรือ “ตามรลิงค์” คือ เมืองนครศรีธรรมราชโบราณ แสดงว่าในระยะนี้ เมืองนครศรีธรรมราชโบราณเป็นเมืองที่มีความเจริญทางด้านการค้า หรือเป็นตลาดการค้าที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเดินเรือและ พ่อค้าชาวอินเดีย อาหรับ และจีน
วิวัฒนาการนครศรีธรรมราชพุทธศตวรรษที่ ๙–๑๐
นอกจากเอกสารของต่างชาติจะกล่าวถึงนครศรีธรรมราชในระยะนี้แล้วได้มีการค้นพบ พระวิษณุศิลาอันเป็นเทวรูปกลุ่มที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน ๓ องค์ในภาคใต้ พระวิษณุในกลุ่มนี้จำนวน ๒ องค์ ค้นพบในจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ องค์แรกค้นพบที่หอพระนารายณ์ อำเภอเมือง ต่อมาย้ายไปประดิษฐาน ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช ตามลำดับองค์ที่สองค้นพบที่วัดพระเพรง ตำบลนาสาร อำเภอพระพรหม และปัจจุบันนี้จัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช เทวรูปกลุ่มนี้มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๙–๑๐ เพราะเหตุว่าแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะอินเดียสมัย มถุราและอมราวดี ตอนปลาย (พุทธศตวรรษที่
๘-๙) ปรากฏอยู่
วิวัฒนาการนครศรีธรรมราชพุทธศตวรรษที่ ๑๑–๑๒
ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๑ หลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาก็ได้ปรากฏขึ้นในนครศรีธรรมราช คือ เศียรพระพุทธรูปศิลาขนาดเล็กซึ่งพบที่อำเภอสิชล (สูง ๘.๙๐ เซนติเมตร) ปัจจุบันนี้จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช เศียรพระพุทธรูปดังกล่าวนี้ มีต้นแบบมาจากศิลปะลุ่มแม่น้ำกฤษณาทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย และศิลปะแบบนี้ได้ส่งอิทธิพลต่อศิลปะรุ่นหลังมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๓
นอกจากนี้ในชุมชนโบราณสิชล ซึ่งตั้งอยู่บนแนวสันทรายที่ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ โดยเป็นแนวตั้งแต่เขตอำเภอขนอม ผ่านลงมายังอำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งยาวประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร และอยู่ห่างจากชายฝั่งอ่าวไทยประมาณ ๕–๑๐ กิโลเมตร ได้ค้นพบโบราณวัตถุและโบราณสถานที่ได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์มากมาย
นอกจากจะพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะในประเทศอินเดียโดยตรงอย่างมากมายในนครศรีธรรมราชในระยะนี้แล้ว ยังค้นพบศิลาจารึกรุ่นแรกของประเทศไทยในนครศรีธรรมราชอีกหลายหลักในระยะนี้ เช่น ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ซึ่งค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ ณ หุบเขาช่องคอย บ้านคลองท้อน หมู่ที่ ๙ ตำบลควนเกย อำเภอจุฬาภรณ์ โดยจารึกด้วยอักษรปัลลวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐–๑๑ (นายชูศักดิ์ ทิพย์เกษร นักภาษาโบราณ กองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร มีความเห็นว่าเมื่อพิจารณาโดยอาศัยวิวัฒนาการของรูปแบบอักษรเป็นเกณฑ์แล้ว จะปรากฏว่าศิลาจารึกหลักนี้มีรูปอักษรเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยในขณะนี้) ศิลาจารึกหลักนี้ใช้ภาษาสันสกฤต ข้อความที่จารึกบางท่านกล่าวว่าเป็นการบูชาพระศิวะ, ความนอบน้อมต่อพระศิวะ, เหตุที่บุคคลผู้นับถือพระศิวะเข้าไปหาพระศิวะ และคติชีวิตที่ว่าคนดีอยู่ในบ้านของผู้ใด ความสุขและผลดีย่อมมีแก่ผู้นั้น แต่บางท่านมีความเห็นว่าเป็นจารึกเกี่ยวกับการสรรเสริญและสดุดีพระเกียรติคุณของกษัตริย์ศรีวิชัย และศิลาจารึกวัดมเหยงคณ์ อำเภอเมือง (จารึกหลักที่ ๒๗ ในหนังสือประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๒) ซึ่งจารึกด้วยอักษรปัลลวะคล้ายกับตัวอักษรที่พบในดินแดนเขมรโบราณ ภาษาสันสกฤต อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ กล่าวถึงเรื่องราวทางศาสนา เรื่องของสงฆ์ พราหมณ์ และจริยวัตรอันเป็นส่วนประกอบทางศาสนาเป็นต้น
จากหลักฐานที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่านครศรีธรรมราชได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอินเดีย ทั้งในด้านอักษร ภาษา ความเชื่อ ศาสนา ประเพณี กฎหมาย และระบบการปกครอง อันเป็นรากฐานที่สำคัญทางวัฒนธรรมของนครศรีธรรมราชและของไทยในปัจจุบันนี้
วิวัฒนาการนครศรีธรรมราชพุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๙
นักปราชญ์บางท่านมีความเห็นว่าในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ จดหมายเหตุจีนในสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑–๑๔๙๙) เรียกนครศรีธรรมราชว่า “ชิหลีโฟชี” หรือ “ชิ-ลิ-โฟ-ชิ” หรือ
“ชิหลีโฟเช” ต่อมา ถึงสมัยราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ. ๑๕๐๓–๑๘๒๒) เปลี่ยนเป็นเรียกว่า “สันโฟซี” หรือ “ซันโฟซี” ตำนานและพงศาวดารลังกาเรียกว่า “ชวกะ” ส่วนจดหมายเหตุพ่อค้าชาวอาหรับเรียกว่า “ซาบัก” หรือ “ซาบากะ” ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ เรียกว่า “ศรีวิชัย” อันเป็นชื่อที่ได้มาจากศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ (วัดเสมาเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช) เพราะในคำแปลศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ ซึ่งสลักเมื่อ พ.ศ. ๑๓๑๘ นี้ ท่านเรียกกษัตริย์ว่า “พระเจ้ากรุงศรีวิชัย” และท่านยืนยันว่าชื่อที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นชื่อเดียวกัน เพียงแต่ท่านไปมีมติว่าศูนย์กลางหรือราชธานี ของอาณาจักรศรีวิชัยควรอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง ในเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย แต่ต่อมาศาสตราจารย์ มาชุมดาร์มีความเห็นขัดแย้งว่าราชธานีควรจะอยู่ ณ ที่ที่พบศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ คือ นครศรีธรรมราช
นอกจากชื่อพวกชวกะแล้ว ตำนานพงศาวดารลังกา และจดหมายเหตุ เช่น คัมภีร์มหานิทเทศ ยังเรียกชื่อดินแดนปลายแหลมทองอีกหลายชื่อ เช่น สุวรรณทวีป, สุวรรณปุระ, และตามพรลิงค์ เป็นต้น คำ “ตามพรลิงค์” นั้น ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ (วัดหัวเวียง ไชยา) ด้วย ทำให้นักโบราณคดียอมรับว่าหมายถึงนครศรีธรรมราช เพราะฉะนั้นนักปราชญ์บางท่านจึงมีความเห็นว่า รัฐศรีวิชัยกับนครศรีธรรมราชก็คือแผ่นดินเดียวกัน ขอบเขตของรัฐนี้จะกว้างขวางแค่ไหนก็เป็นไปตามระยะแห่งความเจริญความเสื่อม ที่ตั้งของราชธานีจะโยกย้ายไปตั้งที่เมืองใดบ้างก็ย่อมแล้วแต่พระราชอัธยาศัย และอานุภาพของกษัตริย์ผู้ปกครองรัฐในแต่ละช่วงสมัย แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่เป็นที่ยุติ คงจะต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไปอีกไม่น้อย
อาณาจักรตามพรลิงค์ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอาณาจักรนครศรีธรรมราชนั้น เป็นอาณาจักรโบราณที่มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธศตวรรษที่ ๗ มีศูนย์กลางอยู่ที่นครศรีธรรมราชในปัจจุบัน (อาจจะเป็นบริเวณบ้านท่าเรือ หรือบ้านพระเวียง) อยู่ทางด้านเหนือของอาณาจักรลังกาสุกะ (บริเวณปัตตานี) มีอาณาเขตทางตะวันออก และตะวันตกจรดทะเลอันดามันถึงบริเวณที่เรียกว่าทะเลนอกซึ่งเป็นบริเวณจังหวัดกระบี่ในปัจจุบัน คำว่า “ตามพ” เป็นภาษาบาลี แปลว่า ทองแดง ส่วน “ลิงค์” เป็นเครื่องหมายบอกเพศ เขียนเป็นอักษรภาษาอังกฤษว่า Tambalinga หรือ Tanmaling หรือ Tamballinggam จีนเรียก ตันเหมยหลิง หรือโพ-ลิง หรือโฮลิง (แปลว่าหัวแดง) บางทีเรียกว่า เชียะโท้ว (แปลว่าดินแดง) อาณาจักรตามพรลิงค์ มีกษัตริย์สำคัญ คือ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช และพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราช อาณาจักรตามพรลิงค์นี้เป็นเส้นทาง การเผยแพร่พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ ไปยังอาณาจักรสุโขทัยและดินแดนทั่วแหลมมลายู เนื่องจากอาณาจักรตามพรลิงค์กับศรีลังกามีความสัมพันธ์แบบบ้านพี่เมืองน้องมาแต่สมัยโบราณ
พัฒนาการของการเกิดเมืองสำคัญต่าง ๆ ในอาณาจักรตามพรลิงค์
อาณาจักรตามพรลิงค์ มีเมืองรองที่สำคัญอยู่ ๒ เมือง เมืองแรกคือ เมืองไชยา ตั้งอยู่ถัดไปทางด้านใต้ ศูนย์กลางอยู่ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎฺร์ธานี กำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กับเมืองตามพรลิงค์ ในระยะแรกต่างเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อกันต่อมาในยุคหลังเมืองไชยากลับขึ้นกับอาณาจักรตามพรลิงค์ ในฐานะเมืองอุปราช และคงจะอยู่ในฐานะดังกล่าวเรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองที่สอง คือ เมืองสทิง คือ บริเวณโดยรอบทะเลสาบสงขลา จังหวัดสงขลาและพัทลุงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาเมืองบริวาร ได้แก่ เมืองสิบสองนักษัตร ที่ปรากฏในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งปัจจุบันตราสิบสองนักษัตร ได้เป็นตราประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่
ลำดับเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับอาณาจักรตามพรลิงค์
ขอบคุณที่มา : วินัย พงศ์ศรีเพียร. “ดินแดนไทยตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐,” ในคู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทยจะเรียนจะสอนกันย่างไร. กรุงเทพมหานคร: กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๓ หน้า ๗๓
https://sites.google.com/benjama.ac.th/benjama1
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)