22 ตุลาคม, 2567

ชักพระ : ประเพณีทำบุญในวันออกพรรษาของชาวนครศรีธรรมราช

ชักพระ หรือ ลากพระ เป็นประเพณีที่ชาวไทยพุทธในภาคใต้ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน คําว่า “ลากพระ” และ “ชักพระ” เป็นคําที่แต่ละท้องที่ใช้ต่างกันออกไป ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคําว่า ลาก และ ชัก ว่า คําว่า ลาก หมายถึง ดึงให้เคลื่อนที่ตามไปบนพื้น เช่น ลากเกวียน ม้าลากรถ กระโปรงยาวลากดิน ส่วนคําว่า ชัก หมายถึง ดึงสายเชือกเป็นต้นที่ผูกอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อให้สิ่งนั้นเคลื่อนไหวไปตามต้องการเช่น ชักธงขึ้นเสาทั้งนี้ คําว่าลากและชักมีความหมายที่คล้ายกันแต่มีลักษณะอาการที่แตกต่างกัน อาจกล่าวได้ว่าการลากพระคือการลากไปตามถนนเรียบ ๆ แต่การชักพระคือการชักขึ้นเนินต้องใช้แรงเยอะกว่าเป็นต้น (ราชบัณฑิตยสถาน, 2554) ที่มา สันนิษฐานว่าประเพณีเกิดในประเทศอินเดียตามลัทธิศาสนาพราหมณ์ ที่นิยมนำเทวรูปมาแห่ ต่อมาชาวพุทธจึงนำเอามาดัดแปลงให้ตรงกับคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ตามคัมภีร์ของพุทธศาสนากล่าวว่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ปรามเดียถีย์ ณ ป่ามะม่วง กรุงสาวัตถี เมื่อสิ้นสุดก็เป็นฤดูเข้าพรรษาพอดี จึงทรงตัดสินพระทัยไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์ ด้วยมีพระประสงค์จะแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา วันที่ 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นวันสุดท้ายของพรรษา พระพุทธองค์มีประสงค์กลับโลกมนุษย์ ได้เสด็จมาถึงประตูนครสังกัสสะเช้าตรู่ของวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ตรงกับวันออกพรรษา ประชาชนเตรียมอาหารเพื่อถวายภัตตาหาร เพื่อเป็นการแสดงถึงความปิติยินดีที่พระพุทธองค์เสด็จกลับจากดาวดึงส์ ชาวเมืองจึงอัญเชิญพระพุทธองค์ขึ้นประทับบนบุษบกที่เตรียมไว้ แล้วแห่ไปยังที่ประทับของพระองค์ จึงถือเอาเหตุการณ์นั้นเป็นประเพณีลากพระ หรือ ชักพระ ในสมัยก่อนนับว่าเป็นประเพณีใหญ่ทั้งชาวบ้านและชาววัด คือ ชาวบ้านต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมข้าวเหนียวทำต้ม เตรียมที่จะช่วยเหลือวัดตามที่ทางวัดต้องการ และทางวัดก็ต้องเตรียมจัดทำเรือพระสำหรับให้ชาวบ้านทำพิธีชักลาก เตรียมการโฆษณาให้ชาวบ้านทราบด้วยการตีโพนประโคมทั้งกลางวันและกลางคืน กิจกรรมวันชักพระ สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราช ประเพณี ชักพระ มีทั้งการชักพระบก และชักพระน้ำ ซึ่งมีการเตรียมการคล้ายกัน คือมีการสร้างบุษบกสำหรับชักพระ ซึ่งนิยมสร้างบนร้านม้า มีไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สองท่อนรองรับข้างล่างเพื่อให้ลากบุษบกไปได้อย่างสะดวก ไม้สองท่อนนี้สมมุติเป็นพญานาค หางด้านหัวและท้ายทำงอนคล้ายหัวและท้ายเรือ บางท้องถิ่นเรียก “เรือพระ” หรือ “เรือพระบก” ข้างหน้าอาจสลักเป็นรูปหัวเรือ หรือรูปนาค ข้างหลังทำเป็นรูปหางนาค อาจจะประดับด้วยตัวนาคด้วยกระจกสีต่าง ๆ เพื่อให้สวยงาม กลางลำตัวนาคทำเป็นร้านสูงราว 1.05 เมตร สำหรับวางบุษบกประดิษฐ์ฐานพระพุทธรูปรอบ ๆ นมพระมักประดับประดาด้วยธงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ด้านละ 3 ผืน และใช้ผ้าแพรสีประดับ ใช้กิ่งไม้ใบไม้สวย ๆ มาประดับ ส่วนด้านหลังบุษบกจะตั้งธรรมมาสน์หรือเก้าอี้สำหรับพระสงฆ์ผู้กำกับการแห่พระได้นั่ง ด้านหน้าพระลากจะตั้งบาตรสำหรับรับต้มจากผู้ทำบุญ รวมทั้งวางถาดและกะละมังไว้หลาย ๆ ใบด้วย (วิมล ดำศรี, 2535) ในปัจจุบันจะใช้รถหรือล้อเลื่อนประดิษฐ์ตกแต่งให้เป็นรูปเรือ
ประเพณีการชักพระบก วัดส่วนใหญ่ในนครศรีธรรมราชจะชักพระทางบก ไปตามถนนหนทางต่าง ๆ ทั่วเมืองนครศรีธรรมราช และจะพักเรือพระบริเวณหน้าอำเภอหรือสถานที่กำหนดในแต่ละท้องที่ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมทำบุญ หลังจากนั้นจึงจะเคลื่อนขบวนกลับไปยังวัดของตนเอง ส่วนการชักพระน้ำ คือการอัญเชิญพระพุทธรูปป่างอุ้มบาตรขึ้นประดิษฐานบนบุษบกบนเรือ แล้วแห่แหนโดยการลากไปทางน้ำ วัดส่วนใหญ่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำลำคลองมักจะมีการชักพระน้ำเป็นส่วนใหญ่ การเตรียมการสำหรับการชักพระในน้ำ คล้ายคลึงกับการชักพระบก คือ นำเอาเรือขนาดใหญ่ 2-3 ลำมาเรียงกัน โดยใช้ไม้วางตามขวางของเรือเพื่อให้เรือติดกันจากนั้นใช้ไม้กระดานวางเรียงให้เต็มก็จะได้พื้นที่ราบเสมอกัน ต่อจากนั้นอัญเชิญพระลากประดิษฐานบนบุษบกกลางลำเรือ เรียกว่า “เรือพระ” แล้วตกแต่งเรือพระและนมพระด้วยแพรพรรณ กระดาษสี ธงทิว และต้นไม้ ดนดรีและอุปกรณ์ในการรับต้มจากผู้ทำบุญก็ไม่ต่างจากลากพระบก และที่หัวเรือก็มีเชือกขนาดใหญ่ผู้ไว้สำหรับเรือของชาวบ้านมาช่วยกันลากเรือพระไป (วิมล ดำศรี, 2535) การชักพระทางน้ำเรียกว่า “เรือพระน้ำ” ในปัจจุบันใช้เรือเรื่องจริง ๆ มาลากจูงและใช้เพียงลำเดียวเพราะหาเรือยาก และจะประดิษฐ์ตกแต่งเรือพระน้ำจะใช้เรือสำปั้นหรือเรือสำหรับลากจูง ขนาดบรรทุกความจุประมาณ ๓-๕ เกวียน สมัยก่อนนิยมใช้เรือ 2-3 ลำ ผูกขนานกัน ปัจจุบันใช้เพียงลำเดียวเพราะหาเรือชักยาก และชักพระน้ำ มีเพียงหนึ่งเดียวในจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ วัดพัทธสีมา หมู่ที่ 5 ตำบลท่าดี อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช
วัดพัทธเสมา มีการจัดงานประเพณีชักพระทางน้ำ ซึ่งเป็นประเพณีโบราณที่สืบสานมาอย่างยาวนาน หรือเป็นประเพณีที่แปลกแตกต่างไปจากที่อื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็น “หนึ่งเดียวในโลก” ก็ว่าได้ พิธีชักพระทางน้ำเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมโบราณเอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีการนำเรือพระของวัดพัทธเสมา ลากลงในลำห้วย ทำให้บรรยากาศของงานชักพระทางน้ำเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจำนวนหลานพันคน มาร่วมชักพระโดยการลงแช่น้ำทำให้เปียกโชกไปทั้งตัว แต่เพื่อความเป็นสิริมงคลก็ยอม ทั้งนี้ประเพณีชักพระทางน้ำของวัดพัทธเสมาแห่งนี้ชาวบ้านสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน โดยมี “พระลาก” ประดับอยู่บนเรือพระ ชาวบ้านเชื่อกันว่าพระองค์นี้มีเทวดามาช่วยหล่อ มีลักษณะคล้ายกับพระพุทธชินราช ปางอุ้มบาตรมีความสวยงามเป็นอย่างมาก จึงพากันเชื่อว่าเทวดาได้ลงมาจากสวรรค์มาช่วยหล่อให้แล้วเสร็จ ชาวบ้านเชื่อว่าพระลากวัดพัทธเสมาศักดิ์องค์นี้สิทธิ์มาก ใครบนบานมักจะสมความปรารถนา ซึ่งจะสมโภชทุกปี และนำไปประดิษฐานบนเรือพระเพื่อให้ชาวบ้านได้สักการะในวันชักพระช่วงออกพรรษา ที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือพิธี “ชักพระทางน้ำ” อันเป็นประเพณีที่สร้างความสามัคคีและความสนุกสนานให้กับชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ซึ่งทางวัดพัทธเสมาจัดมาอย่างต่อเนื่องจนเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากเพราะมีแห่งเดียวในโลก
พระลากวัดพัทธเสมา เป็นพระพุทธรูปปางยืนอุ้มบาตร เนื้อทอง มีชื่อว่า พระอิศระชัย สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ทั้งหมดมีอยู่ด้วยกัน 7 องค์ ซึ่งแยกอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ แต่ไม่รู้ที่มาแน่ชัด ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในวัดพัทธเสมา ซึ่งชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช และ จังหวัดใกล้เคียง ต่างทราบกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความเก่าแก่ และศักดิ์สิทธิ์ ใครบนบานขอสิ่งใด มักประสงค์ดังใจหวัง โดยตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งที่หล่อองค์พระ เกิดมืดฟ้ามัวดิน ฝูงชนชาวบ้านในพิธีเห็นเหตุการณ์ต่างก็วิ่งหนีกลับบ้าน เมื่อแสงสว่างมาก็พากันมาดู ก็ได้เห็นองค์พระหล่อเสร็จแล้ว และมีความสวยงามมาก จึงพากันเชื่อว่าเทวดาได้ลงทำการหล่อจนเสร็จ และปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้กลับคืนมา ด้วยความศรัทธาชาวบ้านในพื้นที่จะมีการจัดพิธีสมโภชพระลากเป็นพระเพณีทุก ปี คือ เดือนหก และเดือนสิบเอ็ด โดยการสรงน้ำพระ และจัดประเพณีชักพระทางบก และทางน้ำ (องค์การบริหารส่วนตำบลท่าดี, 2563)
พิธีกรรมสำคัญ - การแทงต้ม การแทงต้ม — ประเพณีในสมัยก่อน ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 และในวันแรม 1 เดือน 11 เป็นวันออกพรรษา และเริ่มลากพระเป็นวันแรก ประชาชนเตรียมตักบาตร ตอนเช้าก็นำอาหารไปใส่บาตรที่จัดเรียงกันตรงหน้าพระลาก ซึ่งชาวนครเรียกว่า ” ตักบาตรหน้าล้อ ” บางท้องที่เช่นอำเภอปากพนัง หัวไทร เชียรใหญ่ จะสร้างศาลาเล็ก ๆ เสาเดียวเพื่อตักบาตร เรียกศาลานี้ว่า ” หลาบาตร ” เมื่อพระฉันเช้าแล้วการชักพระเริ่มด้วยการนำต้มมาทำบุญ ต้ม คือขนมต้ม เป็นขนมประจำงานประเพณีชักพระ ที่ทำถวายแด่พระสงฆ์ และแจกจ่ายให้แก่คนลากพระและเพื่อนบ้าน ซึ่งนับเป็นการทำบุญและทำทานไปในคราวเดียวกัน ต้มในเรือพระจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเมื่อผ่านไปทางใด ประชาชนที่อยู่รอจะต้มมาทำบุญตลอดทาง ดังนั้นจึงมีต้มเป็นจำนวนมาก กินเท่าใดไม่หมด จึงเอาไปปาเล่นเสียงบ้าง ทำให้เกิดประเพณีที่เรียกว่า “ประเพณีซัดต้ม” แต่ในปัจจุบันอาจจะหาดูได้ยากแล้ว เนื่องจากปัจจุบันการทำขนมต้มในระดับครัวเรือนมีน้อยลง เนื่องจากสภาพสังคมเปลี่ยนไป ส่งผลให้แต่ละครัวเรือนไม่สะดวกจะทำขนมต้ม ที่มาของขนมต้มในปัจจุบันอาจมาจากซื้อจากตลาดมากกว่าทำเองในครัวเรือน ประเพณีลากพระ สืบค้นจาก https://library.wu.ac.th/content/chak-pra-festival/