09 ตุลาคม, 2567
ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย
ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย
ประวัติ
เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2522 นายจรง ชูกลิ่น และนายถวิล ช่วยเกิด อาศัยอยู่ใน หมู่บ้านคลองท้อนหมู่ที่ 9 ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เดินทางไปในป่าแถบหุบเขาช่องคอย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านโคกสะท้อน ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร บุคคลทั้งสองได้พบแผ่นหินกว้างใหญ่อยู่ใกล้กับร่องน้ำระหว่างหุบเขา แผ่นหินดังกล่าวมีความกว้าง 1.60 เมตร ยาว 6.83 เมตร หนา 1.20 เมตร บนแผ่นหินนั้นมีเส้นเป็นรอยลึกขีดไปมาเป็นรูปอักษร นั่นคือศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2523 นายอำไพ ขันทาโรจน์ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้ทราบเรื่องการพบศิลาจารึกหลักนี้ จากพระภิกษุเพิ่ม เจ้าอาวาส วัดหนองหม้อ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้รายงานให้นางกัลยา จุลนวล หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ทราบ และได้ออกสำรวจจารึกดังกล่าว 2 ครั้ง คือวันที่ 17 มกราคม 2522 และวันที่ 19 มกราคม 2523 พร้อมทั้งได้ทำสำเนา และถ่ายภาพศิลาจารึกนั้น และได้ส่งสำเนาจารึกพร้อมภาพถ่ายมายังกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2523 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2523 กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้ส่งสำเนาศิลาจารึกพร้อมภาพถ่ายมายังกองหอสมุดแห่งชาติ เพื่อให้เจ้าหน้าที่งานบริการหนังสือโบราณอ่าน-แปล เมื่อเจ้าหน้าที่อ่าน-แปลเสร็จแล้วได้ส่งคำอ่าน-แปลไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2523 นางจิรา จงกล ผู้อำนวยการกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้นำคำอ่า-แปล ศิลาจารึกหลักนี้ เสนอนายเดโช สวนานนท์ อธิบดีกรมศิลปากร เพื่อทราบเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2523 เมื่อนายเดโช สวนานนท์ ได้รับทราบแล้ว จึงได้ให้ใช้ชื่อศิลาจารึกหลักนี้ว่า “ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย” จากนั้น ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร กับชะเอม แก้วคล้ายจึงได้อ่านและแปลจารึกนี้ เพื่อพิมพ์เผยแพร่ในวารสารศิลปากร ปีที่ 24 ฉบับที่ 4 (กันยายน 2523) ลักษณะของศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยบ่งชัดว่า เป็นการสร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีง่ายๆ ไม่ปราณีตบรรจง ใช้แผ่นศิลาธรรมชาติที่มีอยู่ในบริเวณหุบเขานั้น เป็นที่จารึกรูปอักษรขึ้น 3 ตอน มีความหมายต่อเนื่องกัน แต่ขนาดของรูปอักษรไม่เท่ากัน ตอนที่ 1 มีขนาดของตัวอักษรสูง 25 เซนติเมตร มีอักษรข้อความ 1 บรรทัด ตอนที่ 2 ขนาดของตัวอักษรสูง 7 เซนติเมตร มีอักษรข้อความ 4 บรรทัด ตอนที่ 3 ขนาดของตัวอักษรเท่ากับตอนที่ 2 แต่มีอักษรข้อความเพียง 2 บรรทัด ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยปัจจุบันได้ดังนี้.
ตอนที่ 1 ศิลาจารึกนี้เป็นของพระศิวะ
“ศฺรีวิทฺยาธิการสฺย”
อธิบายว่า เป็นพระนามอันหนึ่งของพระศิวะ ซึ่งแปลว่าผู้เป็นสวามีของนางวิทยาเทวี (นางทุรคา) นางวิทยาเทวีเป็นร่างหนึ่งของนางทุรคา
ตอนที่ 2 ขอความนอบน้อมจงมีแก่ท่านผู้อยู่เป็นเจ้าแห่งป่าพระองค์นั้นขอความนอบน้อมจงมีแก่ท่านผู้เป็นเจ้าแห่งเทพทั้งมวลพระองค์นั้นชนทั้งหลายเคารพต่อพระศิวะขอให้ท่านผู้เจริญนี้เป็นที่พึง ให้บุคคลที่อยู่ที่นี้มีประโยชน์ทั่วกัน
ตอนที่ 3 ถ้าคนดีอยู่ในหมู่บ้านของชนเหล่าใดความสุขและผลจักมีแก่ชนเหล่านั้น
อักษรที่จารึกเป็นภาษาสันสกฤตอักษรปัลลวะซึ่งเป็น อักษรที่พบในอาณาจักรตามพรลิงค์อันเป็นสถานที่ติดต่อแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าของพราหมณ์มาตั้งแต่ พุทธศตวรรษ ที่ 11 อักษรที่จารึกมีรูปแบบเหมือนกับอักษรในจารึกพระราชทานพระบรมชูปถัมถ์ของพระเจ้าสิงหวรมันแห่งอินเดียตอนใต้สมัยพุทธศตวรรษ ที่ 11
การค้นพบศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยทำให้ได้ทราบหลักฐานเกี่ยวกับอารยธรรมของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณภาคใต้โดยเฉพาะในเขตเมืองนครศรีธรรมราชในอดีตกาล และได้ค้นพบร่องรอยแห่งพราหมณ์ทั้งหลายในนครศรีธรรมราช จากลักษณะรูปอักษรที่ปรากฎในจารึกประมาณได้ว่าจารึกนั้นสร้างขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 ซึ่งร่วมสมัยกับจารึกวัดมเหยงณ์ จารึกวัดพระมหาธาตุ ฯ จังหวัดนครศรีธรรมราชและจารึกเขาพระนารายณ์จังหวัดพังงากลุ่มคนผู้สร้างศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยขึ้นนี้เป็นกลุ่มชนที่ใช้ภาษาสันสกฤต นับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายและคงจะได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยในบริเวณนั้นเป็นการชั่วคราว โดยได้เดินขึ้นไปบนยอดเขาช่องคอย แล้วสมมุติให้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ สถานที่แห่งนั้นจึงได้กลายเป็นศาสนะสถานของพราหมณ์ลัทธิไศวะนิกายเพื่อปฏิบัติศาสนกิจตามจารีตของพราหมณ์พร้อมๆ กันนั้นก็อบรมสั่งสอนให้ผู้อยู่ในสันนิบาตนั้นสำนึกในความเป็นคนต่างถิ่นพลัดบ้านเมืองมาสมควรประพฤติตนเป็นคนดีจะได้พำนักอาศัยอยู่ร่วมในสังคมที่มีขนบธรรมเนียมแตกต่างกันได้อย่างสุขสงบและ สันติ แต่เนื่องสภาพดินฟ้าอากาศหรือธารน้ำและน้ำตกที่ไหลลงมาจากเขาช่องคอยไม่ได้เอื้ออำนวยในการดำรงค์ชิวิตโดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งน้ำก็ไม่ค่อยสมบูรณ์เนื่องจากเป็นภูเขาลูกเล็ก พราหมณ์ทั้งหลายจึงไม่ได้ใช้สถานที่แห่งนั้นก่อสร้างเป็นเทวสถานใหญ่เหมือนดังเช่นที่โบราณสถานเขาคาซึ่งมีแม่น้ำใหญ่ที่ไหลอยู่ตลอดเวลาเพื่อสมมุติให้เป็นแม่น้ำคงคาในการลงอาบและประกอบศาสนกิจในทางศาสนาพราหมณ์
การพิจารณาศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยในทางอักขรวิทยาจาเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์ลักษณะเส้นสันฐานแห่งรูปอักษรจะเห็นได้ว่าลักษณะรูปอักษรในศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยเหมือนกับรูปอักษรในจารึกวัดมเหยงคณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช และจารึกอื่นๆที่ใช้รูปอักษรปัลลวะในศาสนะสถานของพราหมณ์ในภาคใต้ซึ่งจารึกขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 12 เมื่อนำรูปอักษรในจารึกดังกล่าวมาเปรียบเทียบกันแล้วจะทราบได้ว่าเป็นรูปอักษรร่วมสมัยกันศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยจารึกขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 ด้วยภาษาสันสกฤต เทวนาครีปัจจุบันศิลาจารึกสถานช่องคอย อยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งโพธิ์
จากการสำรวจร่องรอยแห่งพราหมณ์ได้พบว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นแหล่งอารธรรมโบราณที่มีพราหมณ์ชุกชุมมากที่สุดในประเทศไทย สืบเนื่องจากได้ค้นพบร่องรอยแห่งพราหมณ์ และซากอิฐเทวสถานต่างๆ มากมาย และยังมีอีกหลายสถานที่ๆชาวบ้านพบเจอในสถานที่ของเขาเองแต่ไม่ได้แจ้งให้ทางกรมศิลป์เข้าไปสำรวจในสถานที่บ้านหรือเรือกสวนไร่นาของเขาเหล่านั้น
เนื้อหาโดยสังเขป
ตอนที่ 1 ประกาศให้ทราบว่า ศิลาจารึกหลักนี้ เป็นจารึกอุทิศบูชาพระศิวะ ตอนที่ 2 กล่าวนอบน้อมพระศิวะแล้วเสริมว่า ผู้เคารพในพระศิวะมา (ในที่นี้) เพราะจะได้ ประโยชน์ที่พระศิวะประทานให้ ตอนที่ 3 กล่าวสรรเสริญคนดี ไม่ว่าเขาจะอยู่ในที่ไหน ก็จะทำให้เจ้าถิ่นได้รับความสุข ดังนั้น ถ้าจะพิจารณาถึงเนื้อหาทั้งหมดแล้วอาจกล่าวได้ว่า จารึกหลักนี้กล่าวถึงการเคารพบูชาพระศิวะ พระสวามีแห่งนางวิทยาเทวี พระผู้เป็นเจ้าอันสูงสุด บุคคลใดสรรเสริญองค์พระศิวะเทพอย่างเทิดทูนบูชา บุคคลนั้นจะได้รับพรจากพระองค์ไม่ว่าจะไปอยู่ ณ ที่ใดย่อมได้รับการต้อนรับด้วยดีทุกสถาน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กลุ่มชนผู้สร้างศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยขึ้นนี้ จะต้องเป็นกลุ่มชนที่ใช้ภาษาสันสกฤตนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวะนิกาย และคงจะได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยในบริเวณนั้น เป็นการชั่วคราว ไม่ใช่กลุ่มชนที่อยู่ประจำถิ่น อีกทั้งยังได้กำหนดสถานที่บริเวณจารึกหุบเขาช่องคอยนั้น เป็นศิวะสถาน เพื่อปฏิบัติศาสนกิจตามจารีตของตน พร้อมๆ กันนั้นก็อบรมสั่งสอนให้ผู้อยู่ในสันนิบาตนั้น สำนึกในความเป็นคนต่างถิ่น พลัดบ้านเมืองมา ซึ่งสมควรประพฤติตนเป็นคนดี จะได้พำนักอาศัยอยู่ร่วมในสังคมที่มีขนบธรรมเนียมแตกต่างกัน ได้อย่างสุขสงบ ดังที่ปรากฏข้อความในจารึก
กำหนดอายุเบื้องต้นจากรูปแบบอักษรได้อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 โดยชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และชะเอม แก้วคล้าย อธิบายว่า จากการศึกษารูปแบบของตัวอักษรพบว่า มีลักษณะเหมือนกับอักษรใน จารึกพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ (Magdur and Pikira grants ในหนังสือ Indian Palaeography โดย Dr. A. H. Dani) ของพระเจ้าสิงหวรมันแห่งอินเดียตอนใต้ สมัยกลางพุทธศตวรรษที่ 11 เป็นอย่างมาก ดังนั้น อายุของอักษรในจารึกหลักนี้ควรจะตกอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 11-12 ซึ่งน่าจะร่วมสมัยกับจารึกวัดมเหยงค์ จารึกวัดมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจารึกเขาพระนารายณ์ จังหวัดพังงา
ข้อมูลอ้างอิง
อ้างอิง ตามรอยพราหมณ์ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย phram.org
https://www.nakhononline.com/1659/
เรียบเรียงข้อมูลโดย : ตรงใจ หุตางกูร, โครงการฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย, ศมส., 2547, จาก :
1) กรมศิลปากร, นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช (กรุงเทพฯ : กรม., 2529), 99-100.
2) ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และชะเอม แก้วคล้าย, “จารึกหุบเขาช่องคอย,” ใน จารึกในประเทศไทย เล่ม 1 : อักษรปัลลวะ หลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ 12-14 (กรุงเทพฯ : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2529), 48-55.
3) ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และชะเอม แก้วคล้าย, “ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย,” ศิลปากร 24, 4 (กันยายน 2523) : 89-93.