27 ตุลาคม, 2567
พลูปากหราม พลูดีนครศรีธรรมราช
พลูปากหราม พลูดีนครศรีธรรมราช
พลู (Betel) เป็นไม้เถา และเป็นพืชวงศ์เดียวกับพริกไทย จัดเป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ลำต้นเกลี้ยงเป็นปล้อง และมีข้อ และเวลาแตกออกตามข้อของลำต้น ก็จะยึดเกาะวัสดุสำหรับช่วยพยุงลำต้นเลื้อยขึ้นที่สูงได้ และทำให้ลำต้นไม่หลุดร่วงลงสู่พื้นได้ง่าย ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ออกสลับกัน รูปหัวใจหรือกลมแกมรูปไข่ ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม เนื้อใบค่อนข้างเป็นมันสด ใบอ่อนมีสีเหลืองอ่อน และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน และสีเขียวเข้ม เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะ รสเผ็ดร้อน เส้นใบนูนเด่นทางด้านล่าง ก้านใบยาว ดอกพลู มีสีขาว ออกรวมกันเป็นช่อ มีช่อดอกแบ่งเพศกันอยู่คนละต้น ประกอบด้วยช่อดอกตัวเมีย และดอกตัวผู้ มีใบประดับดอกขนาดเล็กรูปวงกลม ดอกมักบานไม่พร้อมกัน จึงทำให้ไม่ค่อยพบเห็นผลของพลู เพราะมีโอกาสผสมเกสรน้อย ดังนั้นเวลาปลูกจะต้องยึดกับเสาหรือต้นไม้อื่นเป็นหลักเรียกว่า ค้างพลู โดยทั่วไปจะเห็นต้นหมากเป็นค้าง (พลู ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่น ๆ และข้อมูลงานวิจัย, ม.ป.ป.)
ลักษณะเฉพาะของพลู
พลูเป็นพันธุ์ไม้เถาใบมีสีเขียวหลายระดับ การปรับระดับสีของใบพลูเป็นไปตามระยะเวลาของธรรมชาติ เนื้อใบของพลูผลิใบออกมาเป็นสีเขียวอ่อนสว่างปนเหลืองและจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากใบอ่อนมีสีเขียวอ่อนสว่าง จนเป็นใบแก่มีสีเขียวเข้มแก่จัด
-ใบเป็นรูปหัวใจขนาดต่าง ๆ กันตามความแก่อ่อน
-พลูแตกยอดเป็นช่อและเติบโตตามแขนงของลำต้นอย่างมั่นคง แข็งแรง
-เส้นของใบเป็นเส้นคู่สับหว่างบรรจบกันที่แกนกลางของใบ
-เถาพลูจะยืดออกเกาะติดพื้นด้วยรากอ่อนเลื้อยไปตามระดับพื้น พลูบางเถายึดต้นไม้ทำหลักแต่จะไม่ทำให้หลักหรือค้างพลูเสียหาย ต้นพลูยิ่งแตกใบมาก ต้นไม้หลักก็จะดีไปด้วยกัน พลูช่วยห่อลำต้นไม้หลักให้อบอุ่น
พลูเป็นพืชที่มีความเกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยมาช้านาน ในลักษณะการบริโภคกับหมากหรือที่เรียกกันว่า “การกินหมาก” ทั้งนี้เพราะในพลูมีสารชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคมีอาการกระปรี้กระเปร่า สมองแจ่มใส นอกจากนี้พลูยังสรรพคุณรักษาโรคได้หลายชนิด ทำให้พลูเข้ามามีส่วนกับศิลปะวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียม ประเพณี และวิถีชีวิตประจำวัน ดังนั้นการปลูกพลูจึงมีอยู่ทั่วไป นครศรีธรรมราชปลูกพลูเฉพาะเชิงเขา นิยมกินพลูหนัก ที่นิยมกินมีหลายชนิด พลูวังโหล พลูปากหราม พลูจำปา และพลูคลองงา แต่ที่นิยมกินกันมากที่สุดคือพลูปากหราม จนมีสำนวนถึงของดีเมืองนครศรีธรรมราชว่า “เคยปากพนัง ยากลาย ดีปลีกลาย พลูปากหราม ควายงามสิชล คนงามฉลอง”
พลูที่นิยมปลูกในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่
-พลูปากหราม ปลูกแถบอำเภอพรหมคีรี
-พลูวังโหล ปลูกแถบอำเภอลานสกา
-พลูจำปา ปลูกแถบอำเภอทุ่งสง
-พลูคลองงา ปลูกแถบอำเภอช้างกลาง
หลักฐานจากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช สมัยสุโขทัยมีกล่าวถึงพลูดีที่นครศรีธรรมราชไว้ว่า “ป่าหมาก ป่าพลู พ่อเชื้อมันไว้แก่ลูกมันสิ้น” เพราะพระร่วงเจ้าก็กินหมากสุโขทัยนำเข้า หมากและพลูไปจากนครศรีธรรมราช
พลูดีที่นครศรีธรรมราชกับบทบาทต่อประเพณีและวัฒนธรรมพื้นถิ่น
พลูมีประวัติความเป็นมายาวนานมีบทบาทต่อการบริโภคและเป็นยาสมุนไพร ในอดีตชาวบ้านมักพกพลูติดตัวหากเกิดอุบัติเหตุจะใช้พลูห้ามเลือด พอกแผลสด นอกจากนี้แล้วพลูยังมีบทบาทต่อประเพณีและวัฒนธรรมพื้นถิ่นของนครศรีธรรมราชอีกด้วย
ประเพณีและพิธีกรรม
ประเพณีที่มักจะใช้พลูเป็นส่วนสำคัญ และขาดไม่ได้ ได้แก่
1.ประเพณีการแต่งงาน ใช้หมากพลูจัดขันหมาก
2.ประเพณีสารทเดือนสิบใช้หมากพลูใส่หฺมฺรับ
3.พิธีไหว้ครูโนรา โนราโรงครู พิธีครอบเทริดผูกผ้าใหญ่ ใช้หมากพลู และกรวยพลู
4.พิธีทำขวัญเด็กใช้ใบพลูเจิมหน้าเด็ก
5.พิธีกรรมอื่น ๆ ที่ใช้กรวยหมากพลู เช่น พิธีอุปสมบท พิธีวางศิลาฤกษ์ พิธีบวงสรวงต่าง ๆ
6.และรวมถึงวัฒนธรรมการกินหมากมีใบพลูเป็นเครื่องเคียงด้วย
วัฒนธรรมการกินหมากและพลู
คนไทย โดยเฉพาะคนไทยสมัยโบราณมีวัฒนธรรมการกินหมากมีใบพลูเป็นเครื่องเคียงด้วย แต่ในปัจจุบันความนิยมลดลงมากจนหายากแล้ว ในอดีตชาวนครศรีธรรมราชนิยมกินหมาก ในแต่ละวันกินไม่น้อยกว่าสามคำ บางคนก็กินไม่ขาดปาก จนปากลิ้น ฟันแดง นานๆเข้าจากฟันแดงก็กลายเป็นฟันดำ ซึ่งในสมัยนั้นเรียกฟันดำว่า "ฟันงาม" ผู้ที่นิยมกินหมากก็อยากจะให้ฟันของตนงาม ก็จะเสาะหา หมากและพลูที่มีคุณภาพและรสชาติดี ถูกปาก นั่นก็คือ "พลูปากหราม" สำหรับพลูที่ใช้กินหมากมีหลายชนิดด้วยกัน เช่น พลูเผ็ด พลูลูกยาว แต่พลูที่นิยมมากที่สุดคือพลูปากหราม เพราะกินแล้วฟันงาม
บ้านปากหราม เป็นชื่อดั้งเดิมของบ้านนอกท่า มีอาณาบริเวณคลอบคลุมบ้านในหมง บ้านปลายอวน บ้านพรุชนเหนือ พรุชนใต้และบ้านอ้ายเขียว ในเขตตำบลพรหมโลก และ ตำบลทอนหงษ์ อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นที่บ้านปากหราม ตั้งอยู่เชิงเขา อยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติสมบูรณ์ มีความชุ่มชื้นตลอดทั้งปี พลูจึงเจริญงอกงามดีเป็นพิเศษกว่าที่อื่น และรสชาติถูกปากชาวนคร ชื่อเรียกมาจากภาษาพื้นบ้านนครศรีธรรมราชเรียกคนที่กินหมากจนปากเป็นสีแดงว่า ปากหราม และพื้นที่ในเขตภูเขาเรียกว่า เหนือ ชื่อโบราณนี้จึงสะท้อนลักษณะทางวัฒนธรรมและทำเลที่ตั้งของชุมชน “เหนือปากหราม” ต่อมาเปลี่ยนชื่อชุมชนเป็น “พรหมโลก” ตามชื่อของผู้ปกครอง คือ ขุนพรหมโลก
ลักษณะของพลูปากหราม ใบจะเขียวอ่อน รูปใบสวยงามคล้ายใบโพธิ์ ปลายใบแหลม ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ไม่หนาเกินไป ใบพลูกรอบน่าเคี้ยวขนาดก็พอดีคำ รสเผ็ดพอดี ไม่เผ็ดมากเหมือนพลูเผ็ด และไม่จืดเหมือนพลูก้านยาว
ในปัจจุบันบ้านปากหราม จะไม่ค่อยมีคนรู้จัก จะมีก็คนเก่าแก่ในพื้นที่เรียกบ้าง แต่จะเปลี่ยนจากปากหรามเป็นสวนหราม ซึ่งสวนของคุณแม่ผู้เขียนก็มีสวนสมรมอยู่ที่นี่ด้วย และเพื่อให้พลูปากหรามยังคงมีอยู่ คู่กับชาวพรหมคีรี หลายครัวเรือนที่สนใจปลูก โดยปลูกลงไปในสวนสมรม ที่มีอยู่ ให้เถาว์พลูยึดเกาะกับต้นไม้ใหญ่ในสวนที่มีอยู่ เป็นการเสริมรายได้อีกทาง ซึ่งราคาจำหน่ายพลูปากหรามในปัจจุบัน ขายเป็นกำ กำละ 15-25 บาท แต่ละกำจะมีพลูอยู่4แถว แถวละ 10 ใบ และสามารถเก็บใบพลูได้ตลอดทั้งปี ทิ้งช่วงระยะห่างบ้างให้พลูแตกยอดใหม่ ก็ประมาณ 3 เดือน พลูปากหราม สามารถเสริมรายได้อย่างงาม กับคนที่เห็นคุณค่าในการอนุรักษ์พันธุ์พืชชนิดนี้ไว้
ที่มา https://library.wu.ac.th/NST_localinfo/betel/
https://trippromkhiri.blogspot.com/
22 ตุลาคม, 2567
ชักพระ : ประเพณีทำบุญในวันออกพรรษาของชาวนครศรีธรรมราช
ชักพระ หรือ ลากพระ เป็นประเพณีที่ชาวไทยพุทธในภาคใต้ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน คําว่า “ลากพระ” และ “ชักพระ” เป็นคําที่แต่ละท้องที่ใช้ต่างกันออกไป ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคําว่า ลาก และ ชัก ว่า คําว่า ลาก หมายถึง ดึงให้เคลื่อนที่ตามไปบนพื้น เช่น ลากเกวียน ม้าลากรถ กระโปรงยาวลากดิน ส่วนคําว่า ชัก หมายถึง ดึงสายเชือกเป็นต้นที่ผูกอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อให้สิ่งนั้นเคลื่อนไหวไปตามต้องการเช่น ชักธงขึ้นเสาทั้งนี้ คําว่าลากและชักมีความหมายที่คล้ายกันแต่มีลักษณะอาการที่แตกต่างกัน อาจกล่าวได้ว่าการลากพระคือการลากไปตามถนนเรียบ ๆ แต่การชักพระคือการชักขึ้นเนินต้องใช้แรงเยอะกว่าเป็นต้น (ราชบัณฑิตยสถาน, 2554)
ที่มา สันนิษฐานว่าประเพณีเกิดในประเทศอินเดียตามลัทธิศาสนาพราหมณ์ ที่นิยมนำเทวรูปมาแห่ ต่อมาชาวพุทธจึงนำเอามาดัดแปลงให้ตรงกับคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ตามคัมภีร์ของพุทธศาสนากล่าวว่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ปรามเดียถีย์ ณ ป่ามะม่วง กรุงสาวัตถี เมื่อสิ้นสุดก็เป็นฤดูเข้าพรรษาพอดี จึงทรงตัดสินพระทัยไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์ ด้วยมีพระประสงค์จะแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา วันที่ 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นวันสุดท้ายของพรรษา พระพุทธองค์มีประสงค์กลับโลกมนุษย์ ได้เสด็จมาถึงประตูนครสังกัสสะเช้าตรู่ของวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ตรงกับวันออกพรรษา ประชาชนเตรียมอาหารเพื่อถวายภัตตาหาร เพื่อเป็นการแสดงถึงความปิติยินดีที่พระพุทธองค์เสด็จกลับจากดาวดึงส์ ชาวเมืองจึงอัญเชิญพระพุทธองค์ขึ้นประทับบนบุษบกที่เตรียมไว้ แล้วแห่ไปยังที่ประทับของพระองค์ จึงถือเอาเหตุการณ์นั้นเป็นประเพณีลากพระ หรือ ชักพระ ในสมัยก่อนนับว่าเป็นประเพณีใหญ่ทั้งชาวบ้านและชาววัด คือ ชาวบ้านต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมข้าวเหนียวทำต้ม เตรียมที่จะช่วยเหลือวัดตามที่ทางวัดต้องการ และทางวัดก็ต้องเตรียมจัดทำเรือพระสำหรับให้ชาวบ้านทำพิธีชักลาก เตรียมการโฆษณาให้ชาวบ้านทราบด้วยการตีโพนประโคมทั้งกลางวันและกลางคืน
กิจกรรมวันชักพระ สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราช ประเพณี ชักพระ มีทั้งการชักพระบก และชักพระน้ำ ซึ่งมีการเตรียมการคล้ายกัน คือมีการสร้างบุษบกสำหรับชักพระ ซึ่งนิยมสร้างบนร้านม้า มีไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สองท่อนรองรับข้างล่างเพื่อให้ลากบุษบกไปได้อย่างสะดวก ไม้สองท่อนนี้สมมุติเป็นพญานาค หางด้านหัวและท้ายทำงอนคล้ายหัวและท้ายเรือ บางท้องถิ่นเรียก “เรือพระ” หรือ “เรือพระบก” ข้างหน้าอาจสลักเป็นรูปหัวเรือ หรือรูปนาค ข้างหลังทำเป็นรูปหางนาค อาจจะประดับด้วยตัวนาคด้วยกระจกสีต่าง ๆ เพื่อให้สวยงาม กลางลำตัวนาคทำเป็นร้านสูงราว 1.05 เมตร สำหรับวางบุษบกประดิษฐ์ฐานพระพุทธรูปรอบ ๆ นมพระมักประดับประดาด้วยธงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ด้านละ 3 ผืน และใช้ผ้าแพรสีประดับ ใช้กิ่งไม้ใบไม้สวย ๆ มาประดับ ส่วนด้านหลังบุษบกจะตั้งธรรมมาสน์หรือเก้าอี้สำหรับพระสงฆ์ผู้กำกับการแห่พระได้นั่ง ด้านหน้าพระลากจะตั้งบาตรสำหรับรับต้มจากผู้ทำบุญ รวมทั้งวางถาดและกะละมังไว้หลาย ๆ ใบด้วย (วิมล ดำศรี, 2535) ในปัจจุบันจะใช้รถหรือล้อเลื่อนประดิษฐ์ตกแต่งให้เป็นรูปเรือ
ประเพณีการชักพระบก วัดส่วนใหญ่ในนครศรีธรรมราชจะชักพระทางบก ไปตามถนนหนทางต่าง ๆ ทั่วเมืองนครศรีธรรมราช และจะพักเรือพระบริเวณหน้าอำเภอหรือสถานที่กำหนดในแต่ละท้องที่ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมทำบุญ หลังจากนั้นจึงจะเคลื่อนขบวนกลับไปยังวัดของตนเอง ส่วนการชักพระน้ำ คือการอัญเชิญพระพุทธรูปป่างอุ้มบาตรขึ้นประดิษฐานบนบุษบกบนเรือ แล้วแห่แหนโดยการลากไปทางน้ำ วัดส่วนใหญ่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำลำคลองมักจะมีการชักพระน้ำเป็นส่วนใหญ่ การเตรียมการสำหรับการชักพระในน้ำ คล้ายคลึงกับการชักพระบก คือ นำเอาเรือขนาดใหญ่ 2-3 ลำมาเรียงกัน โดยใช้ไม้วางตามขวางของเรือเพื่อให้เรือติดกันจากนั้นใช้ไม้กระดานวางเรียงให้เต็มก็จะได้พื้นที่ราบเสมอกัน ต่อจากนั้นอัญเชิญพระลากประดิษฐานบนบุษบกกลางลำเรือ เรียกว่า “เรือพระ” แล้วตกแต่งเรือพระและนมพระด้วยแพรพรรณ กระดาษสี ธงทิว และต้นไม้ ดนดรีและอุปกรณ์ในการรับต้มจากผู้ทำบุญก็ไม่ต่างจากลากพระบก และที่หัวเรือก็มีเชือกขนาดใหญ่ผู้ไว้สำหรับเรือของชาวบ้านมาช่วยกันลากเรือพระไป (วิมล ดำศรี, 2535) การชักพระทางน้ำเรียกว่า “เรือพระน้ำ” ในปัจจุบันใช้เรือเรื่องจริง ๆ มาลากจูงและใช้เพียงลำเดียวเพราะหาเรือยาก และจะประดิษฐ์ตกแต่งเรือพระน้ำจะใช้เรือสำปั้นหรือเรือสำหรับลากจูง ขนาดบรรทุกความจุประมาณ ๓-๕ เกวียน สมัยก่อนนิยมใช้เรือ 2-3 ลำ ผูกขนานกัน ปัจจุบันใช้เพียงลำเดียวเพราะหาเรือชักยาก และชักพระน้ำ มีเพียงหนึ่งเดียวในจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ วัดพัทธสีมา หมู่ที่ 5 ตำบลท่าดี อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช
วัดพัทธเสมา มีการจัดงานประเพณีชักพระทางน้ำ ซึ่งเป็นประเพณีโบราณที่สืบสานมาอย่างยาวนาน หรือเป็นประเพณีที่แปลกแตกต่างไปจากที่อื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็น “หนึ่งเดียวในโลก” ก็ว่าได้ พิธีชักพระทางน้ำเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมโบราณเอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีการนำเรือพระของวัดพัทธเสมา ลากลงในลำห้วย ทำให้บรรยากาศของงานชักพระทางน้ำเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจำนวนหลานพันคน มาร่วมชักพระโดยการลงแช่น้ำทำให้เปียกโชกไปทั้งตัว แต่เพื่อความเป็นสิริมงคลก็ยอม ทั้งนี้ประเพณีชักพระทางน้ำของวัดพัทธเสมาแห่งนี้ชาวบ้านสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน โดยมี “พระลาก” ประดับอยู่บนเรือพระ ชาวบ้านเชื่อกันว่าพระองค์นี้มีเทวดามาช่วยหล่อ มีลักษณะคล้ายกับพระพุทธชินราช ปางอุ้มบาตรมีความสวยงามเป็นอย่างมาก จึงพากันเชื่อว่าเทวดาได้ลงมาจากสวรรค์มาช่วยหล่อให้แล้วเสร็จ ชาวบ้านเชื่อว่าพระลากวัดพัทธเสมาศักดิ์องค์นี้สิทธิ์มาก ใครบนบานมักจะสมความปรารถนา ซึ่งจะสมโภชทุกปี และนำไปประดิษฐานบนเรือพระเพื่อให้ชาวบ้านได้สักการะในวันชักพระช่วงออกพรรษา ที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือพิธี “ชักพระทางน้ำ” อันเป็นประเพณีที่สร้างความสามัคคีและความสนุกสนานให้กับชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ซึ่งทางวัดพัทธเสมาจัดมาอย่างต่อเนื่องจนเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากเพราะมีแห่งเดียวในโลก
พระลากวัดพัทธเสมา เป็นพระพุทธรูปปางยืนอุ้มบาตร เนื้อทอง มีชื่อว่า พระอิศระชัย สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ทั้งหมดมีอยู่ด้วยกัน 7 องค์ ซึ่งแยกอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ แต่ไม่รู้ที่มาแน่ชัด ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในวัดพัทธเสมา ซึ่งชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช และ จังหวัดใกล้เคียง ต่างทราบกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความเก่าแก่ และศักดิ์สิทธิ์ ใครบนบานขอสิ่งใด มักประสงค์ดังใจหวัง โดยตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งที่หล่อองค์พระ เกิดมืดฟ้ามัวดิน ฝูงชนชาวบ้านในพิธีเห็นเหตุการณ์ต่างก็วิ่งหนีกลับบ้าน เมื่อแสงสว่างมาก็พากันมาดู ก็ได้เห็นองค์พระหล่อเสร็จแล้ว และมีความสวยงามมาก จึงพากันเชื่อว่าเทวดาได้ลงทำการหล่อจนเสร็จ และปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้กลับคืนมา ด้วยความศรัทธาชาวบ้านในพื้นที่จะมีการจัดพิธีสมโภชพระลากเป็นพระเพณีทุก ปี คือ เดือนหก และเดือนสิบเอ็ด โดยการสรงน้ำพระ และจัดประเพณีชักพระทางบก และทางน้ำ (องค์การบริหารส่วนตำบลท่าดี, 2563)
พิธีกรรมสำคัญ - การแทงต้ม
การแทงต้ม — ประเพณีในสมัยก่อน ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 และในวันแรม 1 เดือน 11 เป็นวันออกพรรษา และเริ่มลากพระเป็นวันแรก ประชาชนเตรียมตักบาตร ตอนเช้าก็นำอาหารไปใส่บาตรที่จัดเรียงกันตรงหน้าพระลาก ซึ่งชาวนครเรียกว่า ” ตักบาตรหน้าล้อ ” บางท้องที่เช่นอำเภอปากพนัง หัวไทร เชียรใหญ่ จะสร้างศาลาเล็ก ๆ เสาเดียวเพื่อตักบาตร เรียกศาลานี้ว่า ” หลาบาตร ” เมื่อพระฉันเช้าแล้วการชักพระเริ่มด้วยการนำต้มมาทำบุญ ต้ม คือขนมต้ม เป็นขนมประจำงานประเพณีชักพระ ที่ทำถวายแด่พระสงฆ์ และแจกจ่ายให้แก่คนลากพระและเพื่อนบ้าน ซึ่งนับเป็นการทำบุญและทำทานไปในคราวเดียวกัน ต้มในเรือพระจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเมื่อผ่านไปทางใด ประชาชนที่อยู่รอจะต้มมาทำบุญตลอดทาง ดังนั้นจึงมีต้มเป็นจำนวนมาก กินเท่าใดไม่หมด จึงเอาไปปาเล่นเสียงบ้าง ทำให้เกิดประเพณีที่เรียกว่า “ประเพณีซัดต้ม” แต่ในปัจจุบันอาจจะหาดูได้ยากแล้ว เนื่องจากปัจจุบันการทำขนมต้มในระดับครัวเรือนมีน้อยลง เนื่องจากสภาพสังคมเปลี่ยนไป ส่งผลให้แต่ละครัวเรือนไม่สะดวกจะทำขนมต้ม ที่มาของขนมต้มในปัจจุบันอาจมาจากซื้อจากตลาดมากกว่าทำเองในครัวเรือน
ประเพณีลากพระ สืบค้นจาก https://library.wu.ac.th/content/chak-pra-festival/
15 ตุลาคม, 2567
ดนตรีพื้นเมืองภาคใต้
ดนตรีพื้นเมืองภาคใต้
ดนตรีพื้นเมืองภาคใต้ มีเอกลักษณ์ที่เด่นชัด คือ ถือเอาจังหวะเป็นเอก ส่วนทำนองเพลงเป็นเพียงช่วยสอดเสริม เครื่องดนตรีที่เป็นของพื้นบ้านพื้นเมืองจริง ๆ จึงเป็นเครื่องตีให้จังหวะแทบทั้งสิ้น การบรรเลงก็มีขึ้นเพื่อประกอบการละเล่นพื้นเมืองเป็นส่วนใหญ่ ที่เป็นการบรรเลงหรือประโคมล้วน ๆ มีแต่กาหลอ ซึ่งประโคมในงานศพ และการประโคม โพน ฆ้อง และกลองในประเพณีลากพระ
ลีลาของดนตรีพื้นเมืองภาคใต้มีจังหวะกระชั้นหนักแน่นเฉียบขาดรุกเร้ามากกว่าความอ่อนหวาน เนิบช้า ลีลา เช่นนี้สอดคล้องกับลักษณะนิสัยทั่วไปของชาวใต้ที่บึกบึน หนักแน่นเด็ดขาดและค่อนข้างแข็งกร้าว
เครื่องตีที่ใช้เป็นหลักมี ทับ กลอง โพน โหม่ง ฆ้อง ฉิ่ง กรับ และแตระ (คล้ายกรับพวง) เครื่องตีที่รับมาจากมลายูคือ ทน (กลองแขก) รำมะนา ส่วนเครื่องตีที่นิยมกันเฉพาะกลุ่มไทยมุสลิมมีกลองบานอ กรือโต๊ะ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นเครื่องตีแข่งขันกันเพื่อนันทนาการโดยตรง จึงจัดเป็นดนตรีโดยอนุโลม
ทับ เป็นเครื่องดนตรีหลักสำคัญในการควบคุมเปลี่ยนจังหวะให้สอดคล้องกับผู้รำ มีลักษณะคล้ายกลองยาว แต่จะมีขนาดเล็กเป็นคู่ เสียงต่างกันเล็กน้อยใช้คนตีเพียงคนเดียว นิยมใช้ไม้ขนุนนำมาขุดและแกะให้ได้รูปทรง นิยมหุ้มด้วยหนังเช่นหนังค่าง ตรึงด้วยเชือกหรือหวาย แต่ปัจจุบันมีการนำแผ่นฟิล์มพลาสติกมาหุ้มทดแทน
กลอง ทำหน้าที่เสริมเน้นจังหวะและล้อเสียงทับ นิยมทำจากไม้ขนุนหรือไม้เนื้อแข็งเพราะจะทำให้เสียงดี หุ้มด้วยหนังวัวหนุ่มหรือหนังควายหนุ่มทั้ง 2 หน้า ตอกยึดหนังกลองด้วยหมุดไม้หรือ “ลูกสัก” มีขาตั้ง 4 ขา ทำด้วยไม้ไผ่ผ่าซีก ใช้เชือกตรึงให้ติดกับกลอง
โหม่ง หรือฆ้องคู่ หล่อด้วยโลหะทองเหลือง มีเสียงต่างกันเรียกว่า "เสียงโหม้ง" และ “เสียงทุ้ม” ส่วน ฉิ่ง มี ลักษณะเป็นรูปฝาชีมีรูตรงกลางสำหรับร้อยเชือก จำนวน 1 คู่ หล่อด้วยโลหะทองเหลือง ใช้ตีคู่กับโหม่ง
เครื่องดีดสีที่เป็นของพื้นเมืองแท้ ๆ ไม่มี นอกจากดนตรีของพวกซาไกซึ่งทำขึ้นจากปล้องไม้ไผ่สำหรับดีด ที่รับ มาจากมลายู คือ ระบับ (Rebab) หรือรือบะ คล้ายซอสามสาย แต่มีเพียง 2 สาย นิยมใช้ในวงดนตรีมะโย่ง วายังยาวอ เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีซอที่รับไปจากภาคกลาง ใช้ประกอบดนตรีหนังตะลุงและโนรา
เครื่องเป่ามีแต่ปี่ ซึ่งขนาดใกล้เคียงกับปี่ในมากที่สุด ใช้ประกอบการเล่นหนังตะลุงและโนราเป็นสำคัญ จากคำบอกเล่าว่าสมัยก่อนการเป่าปี่จะเน้นที่จังหวะมากกว่าทำนอง คนเป่าปี่ต้องคอยฟังเสียงทับเสียงกลอง ต้องเป่าทอดเสียงหรือหดเสียงตามจังหวะทับและกลอง และจะหยุดเมื่อใดก็ได้แล้วแต่เสียงทับกำหนด ไม่พบทำนองเพลงที่เป็นของพื้นเมืองแท้ ๆ ที่มีอยู่ล้วนเป็นเพลงไทยเดิมอย่างภาคกลาง และเป็นเพียงการสอดเสริมการเป่าปี่เป็นทำนองเพลง จึงอาจเกิดขึ้นชั้นหลัง มีอีกชนิดหนึ่ง คือ ปีห้อหรือปี่อ้อ ซึ่งรับมาจากมลายู ใช้ประกอบการละเล่นที่รับมาจากมลายู เช่น สิละ กาหลอ เป็นต้น
ปี่ เป็นเครื่องเป่าเพียงชิ้นเดียวของวงใช้เดินทำนอง จะใช้ปี่ในหรือปี่นอกก็ได้ นิยมทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ขาวดำ ไม้มะเกลือ ไม้งิ้วดำ ไม้มะริด ไม้หลุมพอ ไม้รักเขา พวดปี่ทำด้วยแผ่นทองแดง ลิ้นปี่ทำด้วยใบตาล
ภาพปี่
ที่มา : รัญชกร จันจำปา
อันที่จริงเครื่องเป่าส่งสัญญาณหรือเป่าเลียนเสียงสัตว์ในวัฒนธรรมของชาวใต้มีอยู่ไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นเครื่องเป่าที่ไม่มีรูสำหรับไล่เสียงให้แตกต่างกัน เพียงแต่ใช้วิธีผ่อนลมหนักเบาและสั้นยาวก็สามารถเลียนเสียงสัตว์ต่าง ๆ ได้เกือบทุกชนิด โดยใช้ลำไม้ไผ่ที่มีรูปแบบและขนาดที่ต่างกัน อาศัยความชำนาญของผู้เป่าเป็นสำคัญ โดยสามารถใช้เครื่องเป่าเหล่านั้นทำเสียงหลอกนกและสัตว์แต่ละชนิดให้สำคัญผิดว่าเป็นเสียงร้องเรียกของคู่ของมันจนสามารถจับนกและสัตว์นั้น ๆ ได้ ซึ่งเครื่องเป่าเหล่านี้พวกพรานป่าจะมีความชำนาญทั้งในแง่การทำและการใช้ ทั้งนี้สรุปได้ว่าการเป่าเครื่องเป่าของชาวภาคใต้เน้นให้เป็นภาษาคนหรือเสียงนกเสียงสัตว์มากกว่าจะเป่าให้เป็นเพลงที่มีจังหวะและทำนองตายตัว
นอกจากนี้ ชื่อเพลงเท่าที่ปรากฏมักตั้งตามลีลาของเครื่องตี เช่น เพลงที่ใช้ประกอบการเล่นโนรามี “เพลงหน้าแตระ” และ “เพลงร่ายหน้าแตระ” เป็นการเกริ่นขับที่ใช้เสียงแตระเป็นหลัก “เพลงทับ เพลงโทน” มีการขับร้องและตีท่าประกอบบทร้องใช้จังหวะทับเป็นหลัก “เพลงปี่” ใช้เสียงปี่เป็นหลัก แต่ก็ใช้ทับและกลองเป็นเครื่องควบคุมลีลา หรือเพลงโหมโรงของหนังตะลุงซึ่งของดั้งเดิมมีอยู่ 12 เพลง เรียกชื่อต่างกันตามลีลานั้น ๆ แต่ล้วนเอาจังหวะทับเป็นหลัก จึงเรียกว่า “เพลงหน้าทับ” ในระยะหลังจึงมีเพลงโหมโรงที่เรียกชื่อตามทำนองของเพลงไทยเดิม เช่น เพลงพัดชา เพลงลมพัดชายเขา เป็นต้น ซึ่งชุดเพลงโหมโรงที่หนังตะลุงแต่ละคณะใช้อยู่จะไม่เหมือนกัน
แตระ เป็นเครื่องเคาะให้จังหวะ ทำด้วยไม้ไผ่หรือไม้เนื้อแข็ง ผ่าให้ได้ขนาดที่ต้องการ มีลักษณะเป็นพวง ประมาณ 5 - 7 อัน เจาะรูตรงกลางร้อยเป็นพวง ด้านข้างยึดด้วยเชือก ที่แกนกลางใช้โลหะหรือเหล็กแข็ง พร้อมตกแต่งที่จับด้านบนให้ได้ขนาดพอเหมาะกับมือจับ
การเทียบเสียงในการร้องขับของภาคกลางมักเทียบกับเครื่องดีดสีหรือเครื่องเป่า แต่ของภาคใต้จะเทียบกับ เครื่องตี คือ เทียบกับเสียงโหม่ง นักแสดงที่ต้องร้องรับต้องพยายามปรับเสียงของตนให้มีเสียงใสกลมกลืนกับเสียงโหม่ง ถ้าเหมาะกันดีจะเรียกว่า“เสียงเข้าโหม่ง” เหตุนี้นายโรงโนราหรือหนังตะลุงส่วนใหญ่จะต้องสรรหาหรือว่าจ้างให้หล่อโหม่งให้ได้เสียงเหมาะกับสุ่มเสียงของตน
การเล่นดนตรีของภาคใต้ไม่มีการเล่นเดี่ยว จะต้องเล่นประกอบกันเป็นวงหรือไม่ก็ต้องมีการร้องขับหรือร่ายรำประกอบ เช่น เล่นเพลงบอก โนรา หนังตะลุง ลิเกป่า โต๊ะครึม เป็นต้น หรือไม่ก็เป็นการตีแข่งขันกัน เช่น การแข่งโพน (กลองเพล) แข่งกลองบานอ กรือโต๊ะ เป็นต้น การสำเริงอารมณ์เฉพาะตนมีแต่การขับบทกลอนหรือผิวปาก การเป่าปี่หรือขลุ่ยเล่นคนเดียวอย่างชาวภาคอื่นเป่านั้นจะพบก็แต่เฉพาะการฝึกซ้อมหรือการทบทวนเท่านั้น จึงนับได้ว่าการดนตรีของภาคใต้เป็นสื่อประสานความสามัคคีของชาวบ้านประเภทหนึ่งเพราะต้องเล่นประสมวง
เรียบเรียงโดยสรุปจากเรื่อง “ดนตรีพื้นเมืองภาคใต้” (หน้า 2333-2342). ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่มที่ 5. (2542). มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์. กรุงเทพฯ.
คุณค่าหนังตะลุงไทยภาคใต้ สืบพงศ์ ธรรมชาติ
09 ตุลาคม, 2567
ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย
ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย
ประวัติ
เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2522 นายจรง ชูกลิ่น และนายถวิล ช่วยเกิด อาศัยอยู่ใน หมู่บ้านคลองท้อนหมู่ที่ 9 ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เดินทางไปในป่าแถบหุบเขาช่องคอย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านโคกสะท้อน ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร บุคคลทั้งสองได้พบแผ่นหินกว้างใหญ่อยู่ใกล้กับร่องน้ำระหว่างหุบเขา แผ่นหินดังกล่าวมีความกว้าง 1.60 เมตร ยาว 6.83 เมตร หนา 1.20 เมตร บนแผ่นหินนั้นมีเส้นเป็นรอยลึกขีดไปมาเป็นรูปอักษร นั่นคือศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2523 นายอำไพ ขันทาโรจน์ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้ทราบเรื่องการพบศิลาจารึกหลักนี้ จากพระภิกษุเพิ่ม เจ้าอาวาส วัดหนองหม้อ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้รายงานให้นางกัลยา จุลนวล หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ทราบ และได้ออกสำรวจจารึกดังกล่าว 2 ครั้ง คือวันที่ 17 มกราคม 2522 และวันที่ 19 มกราคม 2523 พร้อมทั้งได้ทำสำเนา และถ่ายภาพศิลาจารึกนั้น และได้ส่งสำเนาจารึกพร้อมภาพถ่ายมายังกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2523 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2523 กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้ส่งสำเนาศิลาจารึกพร้อมภาพถ่ายมายังกองหอสมุดแห่งชาติ เพื่อให้เจ้าหน้าที่งานบริการหนังสือโบราณอ่าน-แปล เมื่อเจ้าหน้าที่อ่าน-แปลเสร็จแล้วได้ส่งคำอ่าน-แปลไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2523 นางจิรา จงกล ผู้อำนวยการกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้นำคำอ่า-แปล ศิลาจารึกหลักนี้ เสนอนายเดโช สวนานนท์ อธิบดีกรมศิลปากร เพื่อทราบเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2523 เมื่อนายเดโช สวนานนท์ ได้รับทราบแล้ว จึงได้ให้ใช้ชื่อศิลาจารึกหลักนี้ว่า “ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย” จากนั้น ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร กับชะเอม แก้วคล้ายจึงได้อ่านและแปลจารึกนี้ เพื่อพิมพ์เผยแพร่ในวารสารศิลปากร ปีที่ 24 ฉบับที่ 4 (กันยายน 2523) ลักษณะของศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยบ่งชัดว่า เป็นการสร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีง่ายๆ ไม่ปราณีตบรรจง ใช้แผ่นศิลาธรรมชาติที่มีอยู่ในบริเวณหุบเขานั้น เป็นที่จารึกรูปอักษรขึ้น 3 ตอน มีความหมายต่อเนื่องกัน แต่ขนาดของรูปอักษรไม่เท่ากัน ตอนที่ 1 มีขนาดของตัวอักษรสูง 25 เซนติเมตร มีอักษรข้อความ 1 บรรทัด ตอนที่ 2 ขนาดของตัวอักษรสูง 7 เซนติเมตร มีอักษรข้อความ 4 บรรทัด ตอนที่ 3 ขนาดของตัวอักษรเท่ากับตอนที่ 2 แต่มีอักษรข้อความเพียง 2 บรรทัด ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยปัจจุบันได้ดังนี้.
ตอนที่ 1 ศิลาจารึกนี้เป็นของพระศิวะ
“ศฺรีวิทฺยาธิการสฺย”
อธิบายว่า เป็นพระนามอันหนึ่งของพระศิวะ ซึ่งแปลว่าผู้เป็นสวามีของนางวิทยาเทวี (นางทุรคา) นางวิทยาเทวีเป็นร่างหนึ่งของนางทุรคา
ตอนที่ 2 ขอความนอบน้อมจงมีแก่ท่านผู้อยู่เป็นเจ้าแห่งป่าพระองค์นั้นขอความนอบน้อมจงมีแก่ท่านผู้เป็นเจ้าแห่งเทพทั้งมวลพระองค์นั้นชนทั้งหลายเคารพต่อพระศิวะขอให้ท่านผู้เจริญนี้เป็นที่พึง ให้บุคคลที่อยู่ที่นี้มีประโยชน์ทั่วกัน
ตอนที่ 3 ถ้าคนดีอยู่ในหมู่บ้านของชนเหล่าใดความสุขและผลจักมีแก่ชนเหล่านั้น
อักษรที่จารึกเป็นภาษาสันสกฤตอักษรปัลลวะซึ่งเป็น อักษรที่พบในอาณาจักรตามพรลิงค์อันเป็นสถานที่ติดต่อแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าของพราหมณ์มาตั้งแต่ พุทธศตวรรษ ที่ 11 อักษรที่จารึกมีรูปแบบเหมือนกับอักษรในจารึกพระราชทานพระบรมชูปถัมถ์ของพระเจ้าสิงหวรมันแห่งอินเดียตอนใต้สมัยพุทธศตวรรษ ที่ 11
การค้นพบศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยทำให้ได้ทราบหลักฐานเกี่ยวกับอารยธรรมของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณภาคใต้โดยเฉพาะในเขตเมืองนครศรีธรรมราชในอดีตกาล และได้ค้นพบร่องรอยแห่งพราหมณ์ทั้งหลายในนครศรีธรรมราช จากลักษณะรูปอักษรที่ปรากฎในจารึกประมาณได้ว่าจารึกนั้นสร้างขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 ซึ่งร่วมสมัยกับจารึกวัดมเหยงณ์ จารึกวัดพระมหาธาตุ ฯ จังหวัดนครศรีธรรมราชและจารึกเขาพระนารายณ์จังหวัดพังงากลุ่มคนผู้สร้างศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยขึ้นนี้เป็นกลุ่มชนที่ใช้ภาษาสันสกฤต นับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายและคงจะได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยในบริเวณนั้นเป็นการชั่วคราว โดยได้เดินขึ้นไปบนยอดเขาช่องคอย แล้วสมมุติให้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ สถานที่แห่งนั้นจึงได้กลายเป็นศาสนะสถานของพราหมณ์ลัทธิไศวะนิกายเพื่อปฏิบัติศาสนกิจตามจารีตของพราหมณ์พร้อมๆ กันนั้นก็อบรมสั่งสอนให้ผู้อยู่ในสันนิบาตนั้นสำนึกในความเป็นคนต่างถิ่นพลัดบ้านเมืองมาสมควรประพฤติตนเป็นคนดีจะได้พำนักอาศัยอยู่ร่วมในสังคมที่มีขนบธรรมเนียมแตกต่างกันได้อย่างสุขสงบและ สันติ แต่เนื่องสภาพดินฟ้าอากาศหรือธารน้ำและน้ำตกที่ไหลลงมาจากเขาช่องคอยไม่ได้เอื้ออำนวยในการดำรงค์ชิวิตโดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งน้ำก็ไม่ค่อยสมบูรณ์เนื่องจากเป็นภูเขาลูกเล็ก พราหมณ์ทั้งหลายจึงไม่ได้ใช้สถานที่แห่งนั้นก่อสร้างเป็นเทวสถานใหญ่เหมือนดังเช่นที่โบราณสถานเขาคาซึ่งมีแม่น้ำใหญ่ที่ไหลอยู่ตลอดเวลาเพื่อสมมุติให้เป็นแม่น้ำคงคาในการลงอาบและประกอบศาสนกิจในทางศาสนาพราหมณ์
การพิจารณาศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยในทางอักขรวิทยาจาเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์ลักษณะเส้นสันฐานแห่งรูปอักษรจะเห็นได้ว่าลักษณะรูปอักษรในศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยเหมือนกับรูปอักษรในจารึกวัดมเหยงคณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช และจารึกอื่นๆที่ใช้รูปอักษรปัลลวะในศาสนะสถานของพราหมณ์ในภาคใต้ซึ่งจารึกขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 12 เมื่อนำรูปอักษรในจารึกดังกล่าวมาเปรียบเทียบกันแล้วจะทราบได้ว่าเป็นรูปอักษรร่วมสมัยกันศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยจารึกขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 ด้วยภาษาสันสกฤต เทวนาครีปัจจุบันศิลาจารึกสถานช่องคอย อยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งโพธิ์
จากการสำรวจร่องรอยแห่งพราหมณ์ได้พบว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นแหล่งอารธรรมโบราณที่มีพราหมณ์ชุกชุมมากที่สุดในประเทศไทย สืบเนื่องจากได้ค้นพบร่องรอยแห่งพราหมณ์ และซากอิฐเทวสถานต่างๆ มากมาย และยังมีอีกหลายสถานที่ๆชาวบ้านพบเจอในสถานที่ของเขาเองแต่ไม่ได้แจ้งให้ทางกรมศิลป์เข้าไปสำรวจในสถานที่บ้านหรือเรือกสวนไร่นาของเขาเหล่านั้น
เนื้อหาโดยสังเขป
ตอนที่ 1 ประกาศให้ทราบว่า ศิลาจารึกหลักนี้ เป็นจารึกอุทิศบูชาพระศิวะ ตอนที่ 2 กล่าวนอบน้อมพระศิวะแล้วเสริมว่า ผู้เคารพในพระศิวะมา (ในที่นี้) เพราะจะได้ ประโยชน์ที่พระศิวะประทานให้ ตอนที่ 3 กล่าวสรรเสริญคนดี ไม่ว่าเขาจะอยู่ในที่ไหน ก็จะทำให้เจ้าถิ่นได้รับความสุข ดังนั้น ถ้าจะพิจารณาถึงเนื้อหาทั้งหมดแล้วอาจกล่าวได้ว่า จารึกหลักนี้กล่าวถึงการเคารพบูชาพระศิวะ พระสวามีแห่งนางวิทยาเทวี พระผู้เป็นเจ้าอันสูงสุด บุคคลใดสรรเสริญองค์พระศิวะเทพอย่างเทิดทูนบูชา บุคคลนั้นจะได้รับพรจากพระองค์ไม่ว่าจะไปอยู่ ณ ที่ใดย่อมได้รับการต้อนรับด้วยดีทุกสถาน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กลุ่มชนผู้สร้างศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยขึ้นนี้ จะต้องเป็นกลุ่มชนที่ใช้ภาษาสันสกฤตนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวะนิกาย และคงจะได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยในบริเวณนั้น เป็นการชั่วคราว ไม่ใช่กลุ่มชนที่อยู่ประจำถิ่น อีกทั้งยังได้กำหนดสถานที่บริเวณจารึกหุบเขาช่องคอยนั้น เป็นศิวะสถาน เพื่อปฏิบัติศาสนกิจตามจารีตของตน พร้อมๆ กันนั้นก็อบรมสั่งสอนให้ผู้อยู่ในสันนิบาตนั้น สำนึกในความเป็นคนต่างถิ่น พลัดบ้านเมืองมา ซึ่งสมควรประพฤติตนเป็นคนดี จะได้พำนักอาศัยอยู่ร่วมในสังคมที่มีขนบธรรมเนียมแตกต่างกัน ได้อย่างสุขสงบ ดังที่ปรากฏข้อความในจารึก
กำหนดอายุเบื้องต้นจากรูปแบบอักษรได้อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 โดยชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และชะเอม แก้วคล้าย อธิบายว่า จากการศึกษารูปแบบของตัวอักษรพบว่า มีลักษณะเหมือนกับอักษรใน จารึกพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ (Magdur and Pikira grants ในหนังสือ Indian Palaeography โดย Dr. A. H. Dani) ของพระเจ้าสิงหวรมันแห่งอินเดียตอนใต้ สมัยกลางพุทธศตวรรษที่ 11 เป็นอย่างมาก ดังนั้น อายุของอักษรในจารึกหลักนี้ควรจะตกอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 11-12 ซึ่งน่าจะร่วมสมัยกับจารึกวัดมเหยงค์ จารึกวัดมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจารึกเขาพระนารายณ์ จังหวัดพังงา
ข้อมูลอ้างอิง
อ้างอิง ตามรอยพราหมณ์ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย phram.org
https://www.nakhononline.com/1659/
เรียบเรียงข้อมูลโดย : ตรงใจ หุตางกูร, โครงการฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย, ศมส., 2547, จาก :
1) กรมศิลปากร, นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช (กรุงเทพฯ : กรม., 2529), 99-100.
2) ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และชะเอม แก้วคล้าย, “จารึกหุบเขาช่องคอย,” ใน จารึกในประเทศไทย เล่ม 1 : อักษรปัลลวะ หลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ 12-14 (กรุงเทพฯ : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2529), 48-55.
3) ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และชะเอม แก้วคล้าย, “ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย,” ศิลปากร 24, 4 (กันยายน 2523) : 89-93.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)