05 กุมภาพันธ์, 2567
ประเพณีการกวนขนมอาซูรอ
ประเพณีการกวนขนมอาซูรอ
ความเป็นมาและความสำคัญ
ความเป็นมาของการกวนข้าวอาซูรอ หรือกวนขนมอาซูรอสืบเนื่องจากได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในสมัยนบีนุฮ (อล) ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน ไร่นาของประชาชนและสาวกของนบีนุฮ (อล) และคนทั่วไปอดอาหาร นบีนุฮ (อล) จึงประกาศให้ผู้ที่มีสิ่งของเหลือพอจะรับประทานได้ ให้เอามากองรวมกัน และให้เอาของเหล่านั้นมากวนเข้าด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนได้รับประทานอาหารกันโดยทั่วหน้า
การกวนข้าวอาซูรอ (ขนมอาซูรอ) เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คำว่า อาซูรอ เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม การรวมกัน คือการนำสิ่งของที่รับประทานได้หลายสิ่งหลายอย่างมากวนรวมกัน มีทั้งชนิดคาวและหวาน การกวนข้าวอาซูรอจะใช้คนในหมู่บ้านมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อความสามัคคีและสร้างความพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันมีผลต่อการอยู่ร่วมกันของสังคมอย่างมีความสุข ก่อนจะแจกจ่ายให้รับประทานกัน เจ้าภาพจะเชิญบุคคลที่นับถือของชุมชนขึ้นมากล่าวขอพร (ดูอา) ก่อน จึงจะแจกให้คนทั่วไปรับประทานกัน
ขนมอาซูรอหรือขนมบูโบร์ซูรอ (ภาษาตุรกี:Aşure) เป็นขนมที่ชาวไทยมุสลิมทำขึ้นในวันที่ 10 เดือนมุฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของปฏิทินอาหรับ ขนมชนิดนี้เป็นขนมที่ได้จากการนำอาหารหลายอย่างมารวมกันแล้วกวนให้เป็นเนื้อเดียวกันคล้ายขนมเปียกปูน ประเพณีการกวนขนมอาซูรอเริ่มจากเจ้าภาพประกาศเชิญชวนชาวบ้านว่าจะมีการกวนขนม เมื่อถึงวันนัดหมาย ชาวบ้านจะนำเครื่องปรุงขนมมารวมกันและช่วยกันกวน เมื่อเสร็จแล้วจะกล่าวขอพรพระเจ้า แล้วจึงแบ่งขนมไปกินกัน เครื่องปรุงขนมที่ใช้ได้แก่ เครื่องแกง ข้าวสาร น้ำตาล กะทิ และของที่กินได้อื่นๆ เช่น มัน กล้วย ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่
เทศกาลดังกล่าวนี้เป็นเทศกาลอาชูรออ์ของชาวชีอะหฺที่ไว้อาลัยต่อการเสียชีวิตของอิหม่ามฮุเซน ชาวตุรกีเรียกขนมที่ทำในเทศกาลนี้ว่า Aşure หรือพุดดิ้งของโนอาห์ ซึ่งจะประกอบด้วยธัญพืช ผลไม้และถั่ว ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นขนมที่ครอบครัวของโนอาห์ทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการที่พวกเขามาถึงภูเขาอารารัต ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของตุรกี ชาวตุรกีทำขนมนี้ในวันอาชูรออ์ เพื่อระลึกถึงการสิ้นสุดของสงครามที่คัรบาลา สูตรการทำขนมนี้ต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
ประเพณีการกวนขนมอาซูรอเป็นประเพณีที่สำคัญของชาวมุสลิมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานนับพันปี ตามความเชื่อของชาวมุสลิม ประเพณีการกวนอาซูรอ เป็นการรำลึกถึงความยากลำบากของศาสดานุ นบีนูว์ โดยเชื่อว่าในสมัยของท่านมีเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำท่วมโลกเป็นระยะเวลานาน ศาสดานุ นบีนูว์ ซึ่งล่องลอยเรืออยู่เป็นเวลานาน ทำให้อาหารที่ตระเตรียมไว้ร่อยหรอลง จึงได้นำส่วนที่พอจะมีเหลืออยู่เอามารวมแล้วกวนกินกัน จึงกลายเป็นตำนานที่มาของขนมอาซูรอ และกำหนดไว้ในหลักศาสนาให้เป็นประเพณีที่ต้องปฏิบัติ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนรักและสามัคคีกัน ในปัจจุบันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังมีการจัดเป็นงานประเพณีกวนขนมอาซูรอขึ้นในชุมชนเป็นประจำทุกปี ในชื่อว่า “งานอาซูรอสัมพันธ์” คำว่า อาซูรอ คือคำในภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม ในที่นี้หมายถึงการนำของที่รับประทานได้ทั้งของคาวของหวานจำนวน 10 อย่าง มากวนรวมกัน อีกทั้งยังหมายถึง วันที่ 10 ของเดือนมุฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของฮิจเราะห์ศักราชตามปฏิทินศาสนาอิสลาม เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาปีใหม่ของชาวมุสลิม โดยประเพณีอาซูรอสัมพันธ์จะจัดขึ้นในเวลานี้ ในทุกๆ หมู่บ้าน ชาวบ้านจะรวมตัวกันกวนขนมอาซูรอ และมีกิจกรรมต่อเนื่องทั้งเดือน ร่วมไม้ ร่วมมือ ร่วมใจ ประเพณีการกวนขนมอาซูรอ จึงเป็นประเพณีที่มีความสำคัญ เป็นการนำวัฒนธรรมที่ดีงามมาจัดเป็นกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ขึ้นในชุมชน เกิดความร่วมมือทั้งในหมู่พี่น้องประชาชนและหน่วยงานในท้องถิ่น เมื่อถึงเดือนมูฮัรรอม ชาวมุสลิมในพื้นที่ต่างๆ จะมีการหารือกันเพื่อจัดกิจกรรมนี้ขึ้น โดยมีเจ้าภาพจัดขึ้นตามบ้านบ้าง ตามมัสยิดหรือปอเนาะบ้าง
เมื่อถึงวัน ชาวบ้านจะนำวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเผือก มัน ฟักทอง กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เครื่องปรุง ข่า ตะไคร้ หอมกระเทียม เมล็ดผักชี ยี่หร่า เกลือ น้ำตาล กะทิ โดยชาวบ้านจะเตรียมทำให้วัตถุดิบแต่ละอย่างโดยหั่นให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บางอย่างทำให้สุกมาก่อน เพื่อที่พอมากวนแล้วจะได้เสร็จเร็วขึ้น การกวนจะใช้กระทะเหล็กขนาดใหญ่ ตัดไม้ไผ่มาทำเป็นไม้พาย ตั้งบนเตาฟืนที่ช่วยกันหาผืนเตรียมไว้ให้ หลังจากตั้งกะทะบนเตา คั้นน้ำกะทิใส่ลงไป ตำหรือบดเครื่องแกงหยาบ ๆ ใส่ลงในน้ำกะทิ เมื่อกะทิเดือดใส่อาหารดิบต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว คนด้วยไม้พายจนกระทั่งทุกอย่างเปื่อยยุ่ย กวนต่อไปจนเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อแห้งได้ที่แล้วตักใส่ถาด โรยหน้าด้วยไข่เจียวหั่นบาง ๆ หรืออาจโรยหน้ากุ้ง เนื้อวัวหรือเนื้อปลาเคี่ยวเปื่อย ผักชี หอมหั่นฝอย ประดับด้วยดอกไม้สวยงาม แล้วตัดเป็นชิ้นๆ แจกจ่ายกันรับประทาน
ในการกวนขนมอาซูรอ สิ่งที่จำเป็นคือความรักสามัคคี ของคนในชุมชน การกวนจะใช้คนจำนวนมากเนื่องจากกระทะใหญ่ กระทะหนึ่งจะมีคนถือไม้พายช่วยกันกวน 2-3 คนผลัดเปลี่ยนกันรอบละประมาณ 20 นาที โดยต้องกวนหมุนวนไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ชนกัน ใช้เวลายาวนานเกือบ 6-7 ชั่วโมง โดยต้องกวนตลอดเวลา ทนกับความร้อนและควันไฟจากเตาฟืน ยิ่งนานขนมยิ่งข้น น้ำหนักการกวนยิ่งมากขึ้น ต้องระวังไม่ให้ขนมไหม้ จนกระทั่งสุกแห้ง มีรสชาติกลมกล่อมอร่อย คนที่ไม่ได้กวนก็ดูแลบริการน้ำ อาหาร จัดเวรผลัดเปลี่ยนกันกวน เมื่อเสร็จการกวนก็จะทำพิธีทางศาสนาและรับประทานร่วมกัน และมีการแบ่งขนมให้แก่ผู้ร่วมกวน รวมทั้งแจกจ่ายให้เพื่อนบ้านโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา เป็นวิถีทางของชุมชนพหุวัฒนธรรม ประเพณีไม่แบ่งแยกศาสนา ประเพณีการกวนอาซูรอแม้ว่าจะเป็นประเพณีของชาวมุสลิม แต่มิได้เป็นหลักศาสนาที่กำหนดไว้แต่เฉพาะชาวมุสลิมเท่านั้น การกวนขนมไม่ได้จำกัดแค่ชาวมุสลิม ประชาชนไม่ว่าศาสนาใดก็สามารถมาร่วมกวนขนมได้ ภาพที่เกิดขึ้นในชุมชนก็คือชาวพุทธและมุสลิมต่างให้ความร่วมมือกัน เป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน จึงสร้างความสัมพันธ์ในชุมชนได้เป็นอย่างดี ในหมู่ประชาชนตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่จนถึงผู้สูงอายุ ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน เด็กๆ ในชุมชนก็ได้รับการสืบทอดผ่านการร่วมงานประเพณี ซึมซับตั้งแต่เด็กจนโตเช่นนี้ทุกปี
ในปัจจุบันได้มีการปรับกิจกรรมในงานประเพณีอาซูรอสัมพันธ์ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยจัดเป็นการแข่งขันกวนขนมอาซูรอเพื่อดึงดูดให้คนมาร่วมงาน เชิญกรรมการมาชิมขนมอาซูรอ โดยมีกรรมการจากทุกภาคส่วน ทั้งข้าราชการ และผู้นำศาสนา กระทะไหนชนะก็จะได้รางวัล มีทั้งรางวัลประเภทสวยงามและประเภทเลิศรส โดยรางวัลที่ได้รับ ชาวบ้านก็จะมอบให้กับมัสยิดของตนเอง เป็นการสร้างบุญกุศลตามศาสนาอิสลาม สามัคคีคือเบ้าหลอมแห่งสันติสุข
ประเพณีการกวนอาซูรอมีเรื่องราว ตำนานความศรัทธาทางศาสนาแฝงอยู่มากมาย ฐานความเชื่อหลักคือ หากผู้ใดนำหลักศาสนามาปฏิบัติในชีวิตประจำวันผู้นั้นจะเกิดสันติสุขในตนเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความร่วมไม้ร่วมมือของคนในชุมชน พี่น้องประชาชนต่างศาสนา ผู้นำชุมชน และหน่วยงานราชการ ที่จะช่วยกันรักษาประเพณีอันดีงาม สืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น และเมื่อที่ใดมีความรักความสามัคคี สันติสุขย่อมบังเกิดขึ้นในที่แห่งนั้นอย่างแน่นอน
"ขนมอาซูรอ" ในเดือนมุฮัรรอม เป็นขนมที่ได้จากการกวนวัตถุดิบที่หลากหลาย ไม่มีสูตรตายตัว ใครมีอะไรก็ใส่รวมไปได้เลย เช่น ตะไคร้ มันเทศ ข้าวสาร ข้าวโพด นำมาใส่รวมกันในกระทะแล้วกวนให้แห้งเหนียว
คำว่า “อาซูรอ” เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า การผสมหรือการรวม ขนมอาซูรอมีลักษณะคล้ายกับขนมเปียกปูน ซึ่งมีวิธีกวนคล้าย ๆ กับการกวนขนมกระยาสารทของไทย การกวนข้าวอาซูรอจะใช้คนในหมู่บ้านมาช่วยกันคนละไม้คนละมือมาช่วยกันทำ
การกวน “อาซูรอ” เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มด้วยการนัดหมายให้ชาวบ้านทราบว่าจะมีการกวนข้าวอาซูรอ ที่ไหน เมื่อใด เมื่อถึงกำหนดนัดหมายชาวบ้านก็จะนำอาหารดิบต่าง ๆ มารวมกัน ก่อนที่จะช่วยกันส่งต่อไม้พายสลับสับเปลี่ยนกันกวนข้าวจนแห้งเหนียวได้ที่ ซึ่งการกวนจะใช้เวลาร่วม 4-5 ชั่วโมง จากนั้นก็ตักใส่ถาด ซึ่งกิจกรรมนี้ทำให้เราได้เห็นความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชนก่อนที่ขนมจะเสร็จและพร้อมนำไปแจกจ่ายให้ทุกคนได้กินกัน
การกวนข้าวอาซูรอเริ่มด้วยการที่เจ้าภาพประกาศเชิญชวนนัดหมายให้ชาวบ้านทราบว่าจะมีการกวนข้าวอาซูรอกันที่ไหน เมื่อใด เมื่อถึงกำหนดนัดหมายชาวบ้านก็จะนำอาหารดิบ เช่น เผือกมัน ฟักทอง มะละกอ กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เป็นต้น มารวมเข้าด้วยกันแล้วปอกหั่น ตัดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นนำเครื่องปรุง เช่น ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม ผักชี ยี่หร่า เกลือ น้ำตาล กะทิ เป็นต้น มาเป็นเครื่องผสมโดยหั่นตัดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เช่นเดียวกัน สำหรับกะทิจะคั้นเฉพาะน้ำมาผสม
วิธีกวน
นำกะทะใบใหญ่ตั้งไฟ มีไม้พายสำหรับคนขนมอาซูรอ หลังจากตั้งกะทะบนเตา คั้นน้ำกะทิใส่ลงไป ตำหรือบดเครื่องแกงหยาบ ๆ ใส่ลงในน้ำกะทิ เมื่อกะทิเดือดใส่อาหารดิบต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว คนด้วยไม้พายจนกระทั่งทุกอย่างเปื่อยยุ่ย กวนต่อไปจนเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อแห้งได้ที่แล้วตักใส่ถาด โรยหน้าด้วยไข่เจียวหั่นบาง ๆ หรืออาจโรยหน้ากุ้ง เนื้อสมัน ปลาสมัน ผักชี หอมหั่นฝอย แล้วแต่รสนิยมของท้องถิ่น แล้วตัดเป็นชิ้น ๆ แจกจ่ายกันรับประทาน
ขั้นตอน/วิธีทำ
1.เริ่มจากการเตรียมวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้นำมาทำความสะอาด
2.จากนั้นก็ตั้งกระทะใบใหญ่ตั้งไฟมีไม้พายสำหรับคนขนมอาซูรอ หลังจากตั้งกระทะบนเตา ซึ่งกระทะทำด้วยถังน้ำมันเนื่องจากมีความกว้างและสูง สามารถให้ไฟได้อย่างเต็มที่
3.คั้นน้ำกะทิใส่ลงไป ตำหรือบดเครื่องแกงหยาบๆใส่ลงในน้ำกะทิ เมื่อกะทิเดือดแล้วใส่ข้าวสาร ต้องทำการกวนอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ข้าวสารจับตัว
4.เมื่อข้าวสารแตกตัวและเข้ากับน้ำแล้ว ก็ใส่วัตถุดิบอื่นๆ ตามไปด้วย อาทิ หัวมัน ข้าวโพด หัวปลี กล้วย ถั่ว เผือกมัน ฟักทอง เครื่องเทศ เครื่องชูรส ฯลฯ
5.คนด้วยไม้พายจนกระทั่งทุกอย่างเปื่อยยุ่ย กวนจนเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อแห้งได้ที่แล้วก็ตัดใส่ถาดโรยด้วยหน้ากุ้ง เนื้อสัตว์ ปลา ผักชี หอมหั่นฝอยแล้วแต่รสนิยมของท้องถิ่น แล้วตัดเป็นชิ้นๆแจกจ่ายกันรับประทาน
6.สุมไฟให้แรงอยู่ตลอดเวลาและกวนอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวัตถุดิบที่ใส่หลวมหรือละเลยจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็ชิมและแต่งรสชาติตามที่ต้องการ จากนั้นยกกระทงลงจากเตาเพื่อรอให้อาซูรอแข็งตัว เพื่อรับประทานต่อไป
ประโยชน์ของภูมิปัญญา
1.ใช้เป็นอาหารเหมาะกับการจัดงานต่างๆ แต่ขนมอาซูรอจะนิยมทำในเดือนมูฮัรรอมทางศาสนาอิสลาม
2.เหมาะกับการจัดงานที่ใหญ่โต เพราะขนมอาซูรอจะทำแต่ละครั้งต้องอาศัยผู้คนมากๆ ทำครั้งเดียวแต่รับประทานกันหลายคน
3.จากการจัดกิจกรรมนี้(ขนมอาซูรอ)ทำให้ประชาชนในหมู่บ้านเกิดความสมัครสมานสามัคคีขึ้น
ที่มา:
ประเพณีไทยดอทคอม http://www.prapayneethai.com/
http://www.prapayneethai.com/
http://www.m-culture.in.th/moc_new/
www.southpeace.go.th
04 กุมภาพันธ์, 2567
ประเพณีทำขวัญข้าว
ความเป็นมาของประเพณีทำขวัญข้าว
ประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับข้าวมีหลากหลาย หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามีเกือบทุกขั้นตอนของการทำนาตั้งแต่ก่อนการเพาะปลูกจนกระทั่งเก็บเกี่ยว ด้วยความเชื่อเรื่องการให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ประเพณีทำขวัญข้าวหรืออาจจะเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น สู่ขวัญข้าว สู่ขวัญแม่โพสพ เป็นประเพณีที่ทำกันในเกือบทุกภาคของประเทศ อาจมีพิธีกรรมทั้งที่คล้ายคลึงและแตกต่างกันไปตามพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่เป็นแสดงถึงการผสมผสานของความเชื่อเรื่องผีและขวัญ
ประเพณีการทำขวัญข้าวคือสิ่งที่ชาวนาเชื่อว่าเป็นประเพณีที่ดีงาม ที่ต้องปฏิบัติเพราะจะมีเทพเจ้าผู้มีอำนาจมาดลให้ การเพาะปลูกข้าวได้ผลผลิตดีตามต้องการ ซึ่งเทพเจ้านั้นก็คือพระแม่โพสพ โดยการทำขวัญข้าวนี้ เป็นพิธีกรรมที่แสดงถึงความเชื่อและความศรัทธาต่อพระแม่โพสพ เพราะท่านเป็นธิดาแห่งข้าวฉะนั้นประเพณีดังกล่าว จึงจัดขึ้นเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคล และขอบคุณพระแม่โพสพที่ช่วยดูแลผืนนาให้มีความอุดมสมบูรณ์ ตามความเชื่อเมื่อได้ทำพิธีแล้ว พระแม่โพสพจะช่วยคุ้มครองข้าวที่ปลูกในนา ให้มีผลผลิตที่ดีรวมทั้งยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับชาวนา และสร้างความมั่นใจว่าการทำนาในครั้งต่อไป นาข้าวจะปราศจากโรคภัยต่างๆ ทั้งสิ่งที่เกิดตามธรรมชาติและแมลงศัตรูพืช เช่น ช่วยให้เมล็ดข้าวไม่ล้มหนอนรวมถึงสัตว์ต่างๆ ไม่มากล้ำกรายและยังช่วยให้ได้ผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์อีกด้วย
นอกจากจะเป็นการบูชาพระแม่โพสพและช่วยให้ชาวนามีกำลังใจในการทำนาแล้ว การทำขวัญข้าว ยังช่วยให้เกิดความรักความสามัคคีของคนในท้องถิ่นด้วย การมาช่วยเกี่ยวข้าวอีกทั้งยังได้มาสนุกสนาน และช่วยกันทำงานกระทั่งการเก็บเกี่ยวสำเร็จและเมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็จะนำเข้าไปถวายพระสงฆ์ด้วย ซึ่งหลังนวดข้าวเสร็จเรียบร้อย เมื่อถึงวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์ ก่อนจะนำเข้าขึ้นยุ้งฉาง ให้ชาวบ้านนำเข้าที่เก็บได้นั้นมาทำขวัญข้าวและร้องเพลงทำขวัญข้าวแม่โพสพสร้างความสมัครสมานสามัคคีในชุมชนไปด้วยในตัว
พระแม่โพสพเป็นเทพธิดาแห่งข้าว ถือเป็นผู้มีพระคุณต่อชาวนาทุกคนดังนั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในผืนนาทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่คนทำให้เกิด เช่น การ เกี่ยวข้าวโดยจะต้องมีการกล่าวขอขมาลาโทษ และเรียกขวัญต่อพระแม่โพสพทุกครั้ง รวมทั้งยังเป็นการแสดงความขอบคุณพระแม่โพสพที่ ดูแลผืนนามาตลอดระยะเวลาการปลูกข้าวและสร้างความเป็นสิริมงคล พร้อมช่วยดลบันดาลให้มั่งมีมากขึ้น ซึ่งการทำขวัญข้าวจะนิยมทำในวันศุกร์เพราะถือเป็นวันขวัญข้าวนั่นเอง
ตำนานพระแม่โพสพกับการทำขวัญข้าว
ตามความเชื่อเกี่ยวกับพระแม่โพสพของชาวพัทลุง มีเรื่องเล่าว่ามีเทพธิดาแห่งข้าวองค์หนึ่งอาศัยอยู่บนสวรรค์ต้องการให้มนุษย์ทั้งหลายมีข้าวกิน จึงจำแลงแปลงกายลงมาบนโลกในร่างของหญิงชรา แล้วนำหอผ้ามาด้วยห่อหนึ่งซึ่งในหอผ้านั้นมีเมล็ดพันธุ์ข้าวอยู่ เมื่อเทพธิดาในร่างหญิงชราเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ก็มีแต่คนรังเกียจแต่เมื่อไปถึงกระท่อมเก่าเก่าหลังหนึ่ง มีสองผัวเมียผู้ใจบุญแต่ยากไร้เงินทอง ถึงอย่างนั้นยังมีน้ำใจให้หญิงชราได้พักในกระท่อมของตนหญิงชรา จึงซาบซึ้งน้ำใจสองผัวเมียคู่นั้นอย่างมาก เทพธิดาข้าวในร่างหญิงชราจึงได้มอบห่อผ้า ซึ่งมีเมล็ดพันธุ์ข้าวอยู่ข้างในให้และบอกว่าให้นำเมล็ดนี้ไปโปรยลงพื้นดิน เมื่อเมล็ดข้าวได้รับน้ำและเกิดความชุ่มชื้นจะสามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว กระทั่งออกรวงและสุกเหลืองก็สามารถนำมาใช้เป็นอาหารได้ หญิงชราบอกกับสองผัวเมียอย่างนั้นและได้ให้ทั้งสองผัวเมียนำเมล็ดพันธุ์ข้าวไปแจกจ่ายให้กับชาวนาด้วย เพราะนี่นี่คือสิ่ง ที่จะใช้เป็นอาหารในภายภาคหน้า เมื่อผู้จบหญิงชราคนนั้นก็หายไปชาวบ้านจึงคิดว่าน่าจะเป็นพระแม่โพสพหรือธิดาแห่งจำแลงลงมา ต่อจากนั้นมาเมื่อถึงเดือน6 ฝนเริ่มตกชาวนาจะทำการแรกไถนาและอัญเชิญพระแม่โพสพลงมาช่วยดูแลรักษา ให้ต้นข้าวแข็งแรงปราศจาก โรค และแมลงต่างๆ ตลอดจนมีการทำพิธีเรียกขวัญข้าวเพื่อตอบแทนและบูชาพระคุณ ของพระแม่โพสพด้วยที่ให้ข้าวกับมนุษย์ไว้ปลูกกินเป็นอาหารกระทั่งถึงปัจจุบัน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำขวัญข้าว
การทำขวัญข้าวของบางจังหวัดอาจจะมีหนึ่งช่วงหรือบางจังหวัดทำสองช่วง คือช่วงที่เข้าตั้งท้องและช่วงเข้าพร้อมเพียว (ประมาณกลางเดือน 10 หรือประมาณเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนของทุกปี) ซึ่งแต่ละช่วงจะมีการเซ่นไหว้ไม่เหมือนกัน โดยการทำพิธีในช่วงข้าวตั้งท้อง มีความเชื่อว่าพระแม่โพสพเป็นเหมือนมนุษย์ หรือสิ่งเช่นกันเมื่อตั้งท้องก็น่าจะต้องกินอะไรที่เหมือนคนท้อง ซึ่งสิ่งนี้ขาดไม่ได้เลยคือของที่มีรสเปรี้ยว อ้อยและน้ำมะพร้าวเ ป็นต้น นอกจากนั้นยังต้องเตรียม หมากพลู กระทงกระดาษสีต่างๆ ผ้าแดง ผ้าขาว แป้ง น้ำมันใส่ผม น้ำอบไทย หวี กระจก ขนมหวานซัก2-3อย่างส้มเขียว หวานส้มโอ แกะกลีบ ใส่ลงชะลอมเล็กๆ รวมทั้งมี เส้นด้ายสีแดงและสีขาว เพื่อปลูกเครื่องเซ่นกับต้นข้าวดอกไม้ปักเสาไม้ไผ่แล้วเอาชะลอมแขวนไว้ในนา เพื่อให้พระแม่โพสพแต่งตัวและเสวยสิ่งของนั้นนั้น อีกทั้งมีความเชื่อว่าผู้ที่ทำพิธีขวัญข้าวนั้นนิยมให้ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของที่นาทำมากกว่าผู้ชาย แต่หากการทำพิธีรับขวัญข้าวจะทำพิธีได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น
การกล่าวคำขอขมาต่อพระแม่โพสพ
หลังจากที่มัดโยงเครื่องเซ่นกับต้นข้าวด้วยด้ายสีแดงและสีขาวเข้าด้วยกันแล้ว ผู้ทำพิธีจะมีการพรมน้ำหอม แป้งร่ำ ต้นข้าว ต่อจากนั้นให้จุดธูปปักลงบนที่นา พร้อมกล่าวคำขอขมาต่างๆ แล้วแต่ที่นึกได้โดย ส่วนมากจะเป็นการพูดบอกกล่าวถึงสิ่งที่กำลังจะทำและสิ่งที่ต้องการให้เกิดกับข้าวเช่นข้าวสวยๆ ได้ข้าวเยอะๆ ผลผลิตสูงเมื่อพูดทุกอย่างจบแล้วให้โห่ร้องเพื่อบอกกล่าวให้พระแม่โพสพรู้เจตนาของตน
ทำพิธีรับขวัญพระแม่โพสพหลังเก็บเกี่ยว
หลังจากพิธีขวัญข้าวในช่วงค่ำพร้อมเกี่ยวแล้ว ชาวนาจะลงเกี่ยวข้าวหลังจากนั้นจะมีการทำพิธีรับขวัญ พระแม่โพสพในวันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6 ของทุกปี ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันนี้จะสามารถทำนาได้ปีละประมาณ3ครั้ง แต่ประเพณีการทำขวัญข้าวและรับขวัญแม่โพสพ ยังคงทำตามแค่ในฤดูกาลเพาะปลูกหรือตามประเพณีในอดีตเท่านั้น โดยจะไม่มีการทำหลายครั้งตามจำนวนการเพาะปลูกข้าวของปัจจุบัน
เครื่องสังเวยในการทำพิธีแต่ละช่วงเวลา
เครื่องสังเวยสำหรับการทำพิธีช่วงเข้าในนากำลังตั้งท้อง ประกอบด้วย กล้วย อ้อย ถั่ว งา ส้มอย่างละ 1 คำ ใส่ตะกร้าสาน และ หมากพลูจีบ 1 คำ ส่วนของเซ่นไหว้ เมื่อเกี่ยวข้าวและนำขึ้นยุ้งข้าว ประกอบด้วยหมากพลูจีบ 1 คำและบุหรี่ 1 มวนทั้งมีข้าวที่เกี่ยวแล้ว 1 กำ ผ้าแดงผ้าขาว ขนาด 1 คืบอย่างละ 1 ผืนซึ่งสิ่งของเหล่านี้ก่อนจะทำพิธี ต้องจัดเตรียมให้พร้อม โดยเป็นสิ่งที่หาไม่ยากเลยเมื่อเทียบกับความเชื่อที่ว่าพระแม่โพสพ ทำให้ได้ผลผลิตของข้าวมากตามที่ต้องการ ประเพณีการทำขวัญข้าวนี้ถือเป็นประเพณีอันดีงามอย่างหนึ่งของไทย ที่แฝงไว้ด้วยคติสอนคนว่าคนเราจะต้องรู้จักสำนึกบุญคุณ ของผู้มีพระคุณ เรียกว่ากตัญญูและเมื่อรู้แล้วจะต้องตอบแทนบุญคุณท่านด้วย นั่นคือกตเวทีเหมือนการทำขวัญข้าวนี้ที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อพระแม่โพสพ ผู้บันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้กับข้าว จึงเป็นประเพณีหนึ่งที่ต้องหวงแหนให้อยู่คู่กับเมืองไทยไปตราบกาลนาน
01 กุมภาพันธ์, 2567
ประเพณีใส่ข้าวโบสถ์ เดือนสามหลามเหนียว
ประเพณีใส่ข้าวโบสถ์ เดือนสามหลามเหนียว
ความเป็นมาและความสำคัญ
ประเพณี หมายถึง การทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างสืบเนื่อง มีการถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งมายังรุ่นต่อๆ มาได้ ถ้าหากผู้หนึ่งผู้ใดไม่เห็นด้วยหรือไม่ทำตามก็อาจถือได้ว่ากระทำผิดประเพณี อาจได้รับการติฉินนินทาหรือแม้กระทั่งการถูกลงโทษ ประเพณีและพิธีกรรมในประเทศไทยเกิดจากความเชื่อในอำนาจลี้ลับเหนือธรรมชาติและศาสนา อันประกอบด้วยพุทธและพราหมณ์ มีการปฏิบัติเพื่อบูชาตามความเชื่อดังกล่าวผ่านประเพณีและพิธีกรรมในรอบปีหรือประเพณี 12 เดือน ทั้งนี้จำแนกได้เป็น ประเพณีหลวง และประเพณีราษฎร์หรือประเพณีท้องถิ่น ประเพณีหลวง คือ ประเพณีและพิธีกรรมอันเกี่ยวแก่พระมหากษัตริย์ ขณะที่ประเพณีราษฎร์หรือประเพณีท้องถิ่น คือ ประเพณีและพิธีกรรมอันเกี่ยวแก่ราษฎร มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่เนื่องจากมีประวัติศาสตร์ความเป็นมา และสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน (ศรีศักร วัลลิโภดม, 2559)
ประเพณีหลวง เป็นประเพณีที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ปฏิบัติเฉพาะในราชสำนัก ปัจจุบันกระทำขึ้นเพื่อเทิดทูนศาสนาและความเป็นสิริมงคลแก่สิริราชสมบัติ ตลอดจนเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของบูรพกษัตริย์ และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ราษฎรในการทำการเกษตร ทั้งนี้พระราชพิธี 12 เดือน ที่ปรากฏในปัจจุบัน ได้แก่ พระราชพีธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช พระราชพิธีสงกรานต์ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชกุศลวิสาขบูชา พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช เป็นต้น ขณะที่ประเพณีราษฎร์หรือประเพณีท้องถิ่น เป็นประเพณีที่สะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของท้องถิ่นและกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความหลากหลายและมีความแตกต่างไปในแต่ละพื้นที่เนื่องจากมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ สภาพอากาศตลอดจนประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ประกอบไปด้วย ประเพณีเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ ประเพณีเพื่อความเป็นสิริมงคลของชุมชนและงานรื่นเริง ประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อในโลกหน้าและความสำคัญของเครือญาติกลุ่มสายตระกูลและความสามัคคีและบูรณาการของชุมชนและท้องถิ่น และประเพณีการทำบุญเนื่องในพระพุทธศาสนามีการจัดขึ้นในรอบปีหรือเรียกว่า ประเพณี 12 เดือน ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ เทศกาลสารท เทศกาลออกพรรษา ประเพณีเซิ้งบั้งไฟหรือบุญบั้งไฟ เทศกาลเข้าพรรษา งานปอยส่างลอง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเพณีทิ้งกระจาดวัดพนัญเชิง จังหวัดอยุธยา ประเพณีกำเกียง จังหวัดสุโขทัย ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเพณีสารทไทยกล้วยไข่ จังหวัดกำแพงเพชร ประเพณีเผาข้าวหลาม ไหว้พระบรมธาตุนครชุม เป็นต้น (ศิราพร ณ ถลาง, 2558, หน้า 360)
ประเพณีใส่ข้าวโบสถ์ เดือนสามหลามเหนียว เป็นประเพณีที่จัดสืบทอดกันมาและเพื่อสืบสานพิธีกรรมทางศาสนา นอกจากการทำบุญกุศลแล้วยังเป็นการชุมนุมพบปะกันของคนในชุมชน นิยมจัดงานประเพณีในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี ปัจจุบันมีการจัดงานประเพณี ใส่ข้าวโบสถ์ เดือนสามหลามเหนียว หลายพื้นที่ และมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น ประเพณีเผาข้าวหลาม จังหวัดระยอง ประเพณีขึ้นเขาเผาข้าวหลามหรือประเพณีบุญข้าวหลาม จังหวัดฉะเชิงเทรา และประเพณีเผาข้าวหลาม ไหว้พระบรมธาตุนครชุม จังหวัดกำแพงเพชร ประเพณีใส่ข้าวโบสถ์ เดือนสามหลามเหนียว จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น
หลามเหนียวหรือข้าวหลาม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมบริโภคในทุกจังหวัดของประเทศไทย กระบวนการผลิตได้จากการนำข้าวเหนียว กะทิ น้ำตาล และเกลือ อาจเติมส่วนประกอบอื่นๆ เป็นไส้ข้าวหลาม เช่น สังขยา เผือก ถั่ว เนื้อสัตว์ ผัก หรือ ผลไม้มาบรรจุในกระบอกไม้ไผ่แล้วปิ้งจนสุก เนื่องจากในสมัยก่อนคนไทยจะใช้กระบอกไม้ไผ่ในการหุงข้าว ข้าวที่ได้มีลักษณะเป็นทรงกระบอกที่ถูกเชื่อมกันไว้ด้วยเยื่อไผ่ทำให้เป็นรูปทรงสวยงาม ปัจจุบันนี้คนไทยนิยมรับประทานข้าวหลามเป็นขนมหวาน โดยมีส่วนผสมหลักคือ ข้าวเหนียว กะทิ เกลือ ถั่วดำ และน้ำตาล หรืออาจมีส่วนผสมอื่นที่หลากหลายขึ้น เช่น ข้าวหลามสอดไส้โมจิ ซึ่งเป็นข้าวหลามที่นำเอาไส้ขนมโมจิที่เป็นที่นิยมและชื่นชอบ เช่น ไส้ถั่วไข่เค็ม แห้ว เผือก มะพร้าวอ่อน เป็นต้น นำมาใส่ในเนื้อข้าวหลามทำให้ได้รสชาติกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันพบว่ามีแหล่งผลิตข้าวหลามที่มีชื่อเสียงและเป็นผลิตภัณฑ์ของฝากประจำท้องถิ่นในประเทศไทยในหลายจังหวัด ได้แก่ ข้าวหลามหนองมน อำเภอแสนสุข จังหวัดชลบุรี ข้าวหลามพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ข้าวหลามแม่สวิงหนองเบน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ข้าวหลามชุมชนบ้านสวนตาล อำเภอเมือง จังหวัดน่าน และ ข้าวหลามบ้านพร้าว อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว มีการพัฒนารูปแบบของบรรจุภัณฑ์ข้าวหลามทดแทนการใช้ไม้ไผ่ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย เช่น ข้าวหลามในลูกมะพร้าวอ่อน และข้าวหลามบรรจุในถ้วยฟลอยด์พร้อมฝาพลาสติกปิดสนิท ซึ่งสามารถเก็บรักษาในตู้เย็นได้นานถึง 1 เดือน เวลารับประทานก็เพียงนำมาอุ่นในตู้ไมโครเวฟ เป็นต้น
เนื่องจากในอดีตการเดินทางมาทำบุญค่อนข้างลำบาก ต้องใช้เวลานาน การนำข้าวปลาอาหารมาทำบุญ ถ้านำมาจากบ้านจะทำให้อาหารบูดเน่า ไม่สามารถถวายพระได้ ประกอบกับในช่วงเดือน 3 นี้เป็นช่วงที่ชาวบ้านกำลังเก็บเกี่ยวข้าวใหม่ ดังนั้นชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธจึงนิยมนำข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวได้ในช่วงต้นฤดู มาทำบุญกับพระสงฆ์เพื่อเป็นสิริมงคล คนโบราณจึงได้นำข้าวเหนียวมาเผาในบริเวณวัดเพื่อถวายพระสงฆ์ ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนวิถีปฏิบัติให้เข้ากับยุคสมัยในภายหลัง ซึ่งทุกขั้นตอนกระบวนการทำข้าวหลามนั้นต้องใช้วัตถุดิบที่สดใหม่ทุกวันเพื่อคุณภาพและความหอมอร่อยของข้าวหลามที่ไม่เหมือนใครทำให้เวลามีการจัดงานประเพณี ใส่ข้าวโบสถ์ เดือนสามหลามเหนียว นี้ขึ้น ข้าวหลามที่ขายอยู่เป็นประจำในเมืองจะขายแทบไม่ได้เลยเพราะประชาชนจะแห่มาซื้อข้าวหลามที่วัดกันหมด เพราะความอร่อยหอมมันแบบโบรา ประชาชนจะชอบรสชาติที่อร่อยแบบโบราณและเมื่อมีงานก็จะมีมหรสพ การแสดงหนังตลุง มโนรา เพลงบอก ซึ่งจะได้ทานข้าวหลามไปด้วยและเดินชมมหรสพไปด้วย
ความหมายของคำว่า "เหนียวหลาม"
เหนียวหลาม ก็คือ ข้าวหลามในภาษากลาง มีชื่อเรียกได้หลายอย่าง เช่น ข้าวหลาม หลามเหนียว เหนียวหลาม เป็นการนำข้าวเหนียวพร้อมส่วนผสม มาเผาโดยใช้ถ่านเผา หรือไมฟืน โดยมีผู้ที่ชำนาญในการย่างข้าวหลาม และปัจจุบันยังอนุรักษ์วัฒนธรรมการเผาที่มีลักษณะดั้งเดิมที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ จึงถือได้ว่าเป็นจุดเด่นของภูมิปัญญาท้องถิ่น ในแถบอำเภอท่าศาลา
วิธีการทำหลามเหนียว
ส่วนผสม
1. ข้าวสารเหนียว
2. น้ำตาลทราย
3. กะทิ
4. ถั่วดำต้มสุก
5. เกลือป่น
6. ไม้ไผ่ข้าวหลาม
7. กาบมะพร้าว
วัสดุอุปกรณ์
1. ไม้ไผ่อ่อน
2. มีดปลอกข้าวหลาม (พร้า)
3. ราวเหล็ก (เตาเผาข้าวหลาม)
4. ถ่าน
5. ช้อนหรือทัพพี
6. หม้อสำหรับต้มน้ำกะทิ ใช้ในการต้มน้ำกะทิที่ผสมน้ำตาลและเกลือเพื่อจะนำมากรอกใส่ข้าวหลามและทำให้ข้าวหลามบูดช้าลง เพราะกะทิมีการต้มให้สุกแล้วนั่นเอง
7. ไม้คีบถ่าน
ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงาน
1. ตัดไผ่ข้าวหลามให้ยาวประมาณ 12 นิ้ว ล้างเฉพาะด้านนอกกระบอกให้สะอาด คว่ำกระบอกลง พักไว้ให้แห้ง
2. ผสมกะทิ น้ำตาล และเกลือ รวมกันแล้วคนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย
3. ล้างข้าวสารเหนียวให้สะอาดจนกระทั่งน้ำใส นำข้าวใส่ตะกร้าเพื่อให้สะเด็ดน้ำ ใส่ถั่วดำ ต้มสุกลงในข้าว คลุกเคล้าให้เข้ากัน
4. นำข้าวที่ผสมถั่วดำแล้วใส่ลงในกระบอก 1 กำมือ กระแทกเบาๆ ทำสลับกันต่อไปเรื่อยๆ จนเต็มกระบอก เลือกด้านบนกระบอกไว้ประมาณ 2 นิ้ว สำหรับปิดจุก
5. นำกาบมะพร้าวม้วนมาปิดกระบอกข้าวหลาม
6. เผาข้าวหลามพอประมาณ 30-45 นาที สังเกตกระบอกมีสีเหลืองทั่ว แสดงว่าข้าวหลามสุก
7. ทิ้งไว้ให้อุ่น ปอกเปลือก และเหลาให้เปลือกข้าวหลามบางลง เพื่อให้แกะรับประทานได้ง่าย
วิธีการเผาหลามเหนียว
1. ติดไฟเตา เมื่อไฟติดได้ที่แล้วจึงนำกระบอกหลามเหนียว ที่เตรียมไว้มาวางเรียงในลักษณะตั้งเอนขึ้นให้พิงกับแนวหลักที่ทำจากท่อนเหล็ก
2. ควรพลิกหลามเหนียวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หลามเหนียวสุกอย่างทั่วถึง และไม่ให้หลามเหนียวไหม้บริเวณใดบริเวณหนึ่ง
3. หากกะทิเดือดมาก ต้องคอยดึงจุกหลามเหนียวออก แล้วเทกะทิใส่เข้าไปใหม่
4. การย่างหลามเหนียว จะต้องอาศัยระยะเวลาในการย่างถึง 1 ชั่วโมง หลามเหนียวจึงจะออกมาดูน่ารับประทาน
จะเห็นได้ว่าข้าวหลามเป็นของกินเล่น พื้นบ้านที่อร่อย แต่วิธีการทำ ส่วนผสม จะต้องมีเทคนิคและความชำนาญ รวมถึงแต่ละขั้นตอนการทำนั้นจะต้องใช้เวลาทั้งนั้น แต่เมื่อเทียบกับรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนใต้ ก็สมกับที่รอคอยเวลาให้ข้าวหลามสุก พร้อมไปทำบุญ และแบ่งปันให้ญาติและเพื่อนบ้านกันทีเดียว
ประเพณี ใส่ข้าวโบสถ์ เดือนสามหลามเหนียว เป็นประเพณีที่สำคัญของชาวนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะอำเภอพรหมคีรี อำเภอท่าศาลา ที่มีประวัติความเป็นมาตามที่ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติร่วมกันมายาวนาน เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญในสังคมของแต่ละยุคสมัย แสดงถึงความสงบสุขร่มรื่น มีความผูกพันกันแบบพี่น้อง เครือญาติ มีความเป็นระเบียบแบบแผนกฎเกณฑ์ที่ทุกคนต่างยึดถือปฏิบัติในรูปแบบเดียว สมาชิกในสังคมจึงมีส่วนช่วยทำให้เกิดวัฒนธรรมที่ดีงาม ช่วยให้สังคมและชุมชนมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นและเกิดความเจริญอย่างยั่งยืน ถึงแม้ว่าสภาพของสังคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์โลก และเมื่อสังคมมีการเปลี่ยนแปล งจากสาเหตุดังที่กล่าวไว้แล้วจึงต้องทำให้วัฒนธรรมและประเพณีเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย แต่เราจำเป็นจะต้องช่วยกันอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีในรูปแบบต่างๆ ที่มองเห็นว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวมในปัจจุบันและอนาคตเข้าไว้ เพื่อให้วัฒนธรรม พิธีกรรม และประเพณีเคียงคู่ไปพร้อมสังคมต่อไป
ตามประวัติการก่อเกิดประเพณี “ใส่ข้าวโบสถ์ เดือนสามหลามเหนียว” มีประวัติความเป็นมาว่าในสมัยโบราณวัดวาอารามพื้นที่อำเภอพรหมคีรีเป็นวัดเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีโบสถ์สำหรับให้พระสงฆ์ปฏิบัติกิจในทางพระพุทธศาสนา ทำให้พระสงฆ์จะต้องเดินทางไกล เพื่อไปหาวัดที่มีโบสถ์เพื่อปฏิบัติกิจของสงฆ์ หรือที่เรียกว่า “ลงพระอุโบสถ” โดยในขณะนั้นการคมนาคมไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนในปัจจุบันต้องเดินเท้าเป็นหลัก ชาวบ้านเกรงว่าการเดินทางไกลหลายวันของพระสงฆ์จะไม่มีภัตตาหารฉันท์ระหว่างทาง จึงได้ร่วมกันทำหลามเหนียว หรือ “ข้าวหลาม” นำมาเก็บไว้ในโบสถ์หรือ “ใส่ข้าวโสถ์” เพื่อถวายพระสงฆ์ ให้ได้นำเหนียวหลามติดตัวในขณะเดินทางไกล โดยเหนียวหลามสามารถเก็บไว้ฉันได้นานหลายวัน จนกลายเป็นประเพณีในทางพุทธศาสนาสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และเชื่อว่าผู้ที่ร่วมกิจกรรม “ใส่ข้าวโบสถ์” จะได้บุญกุศลเป็นอย่างมาก
ซึ่งประเพณีนี้โดยจะยึดเอาวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี เป็นวันร่วมกันหลามเหนียว ก่อนจะนำนำไปถวายพระหรือ “ใส่ข้าวโบสถ์ในวันรุ่งขึ้นคือวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 3 โดยในปัจจุบันนอกจากพุทธศาสนิกชนจะ ทำเหนียวหลามที่บ้านแล้วยังรมกลุ่มกันในแต่ละชุมชนในเขตเทศบาลตำบลทอนหงส์ ทั้ง 7 ชุมชน มาร่วมทำกันคนละไม้ละมือ โดยมารวมกันทำเหนียวหลามภายในวัดทอนหงส์ อำเภอพรหมคีรี เทศบาลพรหมโลก 13 ชุมชน รวมตัวกันทำหลามเหนียวที่วัดพรหมโลก หมู่ที่ 1 ต.พรหมโลก อ.พรหมคีรี พร้อมสละทรัพย์ส่วนตัว จัดหาวัตถุดิบในการทำเหนียวหลาม เช่น ไม้ไผ่ ข้าวเหนียว มะพร้าว ถ่านไฟ หรือฟืนที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลงในการเผาเหนียวหลาม รวมทั้งวัสดุ อุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำเหนียวหลาม
ที่วัดหลวงครู หมู่ที่ 7 ตำบลนาเรียง ได้มีการจัดกิจกรรมเดือนสามหลามเหนียว ทุกวันที่3 เดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี โดยชาวบ้าน จะช่วยกันนำหลามเหนียว มาเผาที่วัด หลังจากได้หลามเหนียว ก็นำมาให้คนได้ร่วมบุญกับทางวัด รายได้มาบูรณวัดและโรงเรียน โดยเรียกงานนี้ว่า งานเดือนสามหลามเหนียว ซึ่งจัดต่อเนื่องกันมากว่า 29 ปี โดยชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนชุมชนที่จะมีอาชีพทำนาทุกปี หลังเก็บเกี่ยวก็นำข้าวมาถวายให้กับทางวัดเพื่อให้วัดนำข้าวสารไปขายแล้วนำเงินมาทำนุบำรุงวัด และชาวบ้านก็จะเผาหลามเหนียวมาถวาย จนเป็นที่มาของประเพณี เดือนสามเหนียวเหนียวสืบสานกันมาจนถึงทุกวันนี้ กว่า29 ปี ทั้งงนี้ก็เพื่อรำลึกถึงพระครูวิริยานุศาสตร์หรืออาจารย์น่วมเจ้าอาวาสที่ก่อตั้งวัดและโรงเรียนวัดหลวงครูแห่งนี้
การหลามเหนียว หรือข้าวหลาม เป็นประเพณีการทำเหนียวหลาม เพื่อทำบุญเดือนสาม วันมาฆะบูชา โดยชาวบ้านแถบอำเภอท่าศาลาและพรหมคีรี จะร่วมกันหลามเหนียว เพื่อนำไปถวายพระที่วัด เรียกกันว่า “เดือนสาม หลามเหนียวข้าวโบสถ์” ชาวบ้านแต่ละบ้านจะช่วยกันตระเตรียมกระบอกไม้ไผ่ ข้าวเหนียว มะพร้าว น้ำตาล ตามแต่กำลังศรัทธา รวมตัวกันหลามเหนียว นอกจากจะนำไปถวายวัดแล้ว ทีเหลือก็แจกจ่าย แบ่งปันกันรับประทาน เป็นประเพณีที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคี การช่วยเหลือกันและกัน และความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
การทำบุญเดือนสามหลามเหนียว นั้นเมื่อได้ข้าวหลาม หรือ “เหนียวหลาม” แล้ว จะมีการแบ่งปันให้เพื่อนบ้านแล้ว ชาวบ้านจะนำมาเก็บไว้ในโบสถ์หรือ “ใส่ข้าวโบสถ์” เพื่อถวายพระสงฆ์ ให้นำ เหนียวหลามไว้ฉันท์ได้นานหลายวัน และเชื่อว่า ประเพณีห ลามเหนียว ใส่ข้าวโบสถ์ จะได้บุญกุศลเป็นอย่างมาก
การทำบุญใส่ข้าวโบสถ์เดือนสามหลามเหนียวที่วัดสโมสร อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ตรงกับวันมาฆบูชา ขี้น 15 คํ่าเดือน 3 ชาวบ้านพื้นถิ่นส่วนใหญ่เรียกว่า “หลามเหนียว” นิยมทำกันปีละครั้ง เป็นประเพณีชุมชนท้องถิ่นของ ต.หัวตะพาน อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งจะแตกต่างกับชาวอำเภอพรหมคีรีที่ทำในวันขึ้น 7ค่ำเดือน3 และนอกจากชาวบ้านในอำเภอท่าศาลาที่ดำรงประเพณี เดือนสามหลามเหนียว ใส่ข้าวโบสถ์แล้ว ในอำเภอใกล้เคียงกัน เช่น อำเภอพรหมคีรี ก็ยังคงสืบสานประเพณีนี้เช่นเดียวกันอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปบ้าง เข่น การจัดริ้วขบวนแห่ข้าวหลาม พิธีทอดผ้าป่าเพื่อสมทบทุนสร้างโบราณสถาน โบราณวัตถุ หรือปรับปรุงวัด พิธีฉลองข้าวหลาม และถวายข้าวหลามแก่พระสงฆ์-สามเณร ถวายสังฆทานจากวัดต่าง ๆ ด้วย เป็นต้น
ที่มา
https://library.wu.ac.th/NST_localinfo/khawhlam/
https://acc.kpru.ac.th
: ชญาน์นันท์ ศิริกิจเสถียร และคณะ, 2562)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)