18 พฤศจิกายน, 2568
กาหลอ
กาหลอเป็นการละเล่นของภาคใต้ที่เน้นการบรรเลงดนตรีได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมมลายู พราหมณ์ ฮินดู และในสมัยพุทธกาล ตำนานกล่าวว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ริเริ่มขึ้น พระพุทธเจ้าทรงให้กำเนิดกาหลอขึ้นเพื่อใช้ประโคมแห่นาคและแห่ศพ โดยมีพระสาวก 12 องค์เป็นผู้แต่งเพลงถวาย ทำให้กาหลอมีเพลงบรรเลง 12 เพลง.. และมีหลักฐานพบว่ามีมาตั้งแต่สมัยตามพรลิงค์และศรีวิชัย. เดิมที กาหลอส่วนใหญ่ใช้ในพิธีอวมงคล เช่น งานศพ และมีความเชื่อว่าใช้บรรเลงเพื่อนำดวงวิญญาณผู้ตายไปสักการะ หรือเพื่อประกอบพิธีบวชนาคที่ผู้บวช
คำว่า " กาหลอ " น่าจะมาจาก " กาล " หรือ " พระกาฬ " ( สำเนียงมลายูถิ่น จะออกเสียงเป็นกาลอ ) หมายถึงพระอิศวร ซึ่งเป็นเทพแห่งความตาย คู่กับเจ้าแม่กาลี ( ชาวภาคใต้เรียกคู่กันว่า กาหลา กาหลี ) เครื่องดนตรีก็เป็นแบบมลายู แต่ไม่พบว่ามลายูเล่นดนตรีแบบนี้ ในยุคศาสนาอิสลาม เพราะประเพณีของอิสลาม จะไม่เก็บศพไว้จนค้างคืน ตายวันไหนรีบนำไปฝังวันนั้น " จึงอาจจะเป็นไปได้ว่า เดิมรับมาจากชวา มลายู แต่ตอนหลังเขาเลิกเล่น แต่ของไทยยังคงรักษาไว้ได้ ตำนานกาหลอซึ่งเล่าโดยผู้เล่นกาหลอ 2 ท่าน คือ นายเนื่อง เย็นทั่ว ต.หานโพธิ์ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง กับ นายเพิ่ม เย็นทั่ว ต.ควนขนุน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ในเรื่อง " กาหลอดนตรีงานศพ " ของ อาจารย์กฤตวิทย์ ดวงสร้อยทอง ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า " เชื่อกันว่า กาหลอเป็นเสียงฆ้องกลองสวรรค์ ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อกันว่า สมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ณ วัดแห่งหนึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ จากลานวัดมีบันไดทอดลงไปในแม่น้ำ สำหรับพระภิกษุชำระร่างกาย มีเด็กวัด 2 คนเป็นเด็กซุกซนมาก ชอบมาใช้บันไดท่าน้ำมากกว่าคนอื่น ๆ พระอธิการวัดได้ห้ามปรามแล้ว แต่เด็กไม่เชื่อฟัง ท่านจึงนำเอา " หลาว " ไปปักไว้ แต่เด็กที่ไปเล่นที่ท่าน้ำก็มิได้ถูกหลาวตำ ต่อมา พระอธิการรู้สึกร้อนจัด ได้กระโดดลงไปในน้ำทันที โดยลืมเรื่องหลาวที่ท่านปักเอาไว้ หลาวอันนั้นก็ตำถูกตรงหน้าอกท่าน พระภิกษุลูกวัดได้พยายามช่วยเหลือแต่ไม่สำเร็จ จึงไปทูลพระพุทธเจ้า ๆ จึงเสด็จไปดึงพระอธิการพร้อมหลาวเหล็กขึ้นมา และเรียกประชุมสงฆ์ภายในวัดนั้น เพื่อแสดงภูมิรู้และพระธรรมวินัย เมื่อทราบถึงความรู้ความสามารถของพระภิกษุ พระพุทธองค์จึงทรงแต่งตั้งภิกษุเหล่านั้นตามความรู้ความสามารถ คือ เป็นท่านกาแก้ว ท่านการาม ท่านกาชาด และท่านกาเดิม ( ตำแหน่งทั้ง 4 เป็นตำแหน่งพระครูผู้ช่วยรักษาพระบรมธาตุทั้ง 4 ทิศ โดยเชื่อว่า พระเจ้าศรีธรรมโศกราช ทรงเป็นผู้แต่งตั้ง เพื่อดูแลพระบรมธาตุเมืองนคร ซึ่งจะพบชื่อตำแหน่งนี้ในหัวเมืองปักษ์ใต้ที่มีพระบรมธาตุ เช่น ไชยา นครศรีธรรมราช พัทลุง ) และอีก 2 รูป ( ไม่ปรากฏนาม ) ส่วนอีกรูปเป็นพระภิกษุที่มาทีหลังสุด เมื่อเลิกประชุมแล้ว เพื่อให้สามารถแสดงธรรมในวันทั้งเจ็ด จึงทรงให้ชื่อ ตำแหน่งว่า " กาหลอ " ตามคำบอกเล่าของผู้ให้ความรู้ว่า " หลอ " หมายถึง " ขาด " หรือไม่มาประชุม เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว พระภิกษุทั้ง 7 รูปมาประชุมพร้อมกันว่าจะจัดอะไรเป็นพุทธบูชาพระบรมศพ ท่านกาเดิมได้คิดทำปี่ขึ้นมาเลาหนึ่ง ท่านการามคิดทำโทน ( ทน ) ขึ้นมา ท่านกาแก้วคิดทำโทนเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ใบ ส่วนท่านกาชาดคิดทำฆ้องขึ้นมา แล้วใช้เครื่องดนตรีเหล่านี้ตีบรรเลงแห่นำพระบรมศพของพระพุทธเจ้า และครั้งนั้นนับเป็นการบรรเลงหรือแสดงกาหลอครั้งแรก
กาหลอ เป็นการละเล่นของชาวปักษ์ใต้อีกอย่างหนึ่ง เท่าที่พบในพัทลุง จะเป็นดนตรีที่ใช้ละเล่นหรือประโคมในงานศพ ในหนังสือพจนะสารานุกรมของ อาจารย์เปลื้อง ณ นคร ได้ให้ความหมายของกาหลอไว้ว่า " กาหลอเป็นดนตรีชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับประโคมในงานศพ " แต่มีบางท่านกล่าวว่า " กาหลอเป็นงานแห่ในวันสงกรานต์ เพื่อความรื่นเริง และแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อผู้บังเกิดเกล้าของตน "
อาจารย์กฤตวิทย์ ดวงสร้อยทอง เขียนเรื่อง " กาหลอดนตรีงานศพ " ในวารสาร มศว.สงขลา ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 เอาไว้ตอนหนึ่งว่า " กาหลอเป็นการละเล่นประกอบเครื่องดนตรี ซึ่งมักจะเล่นเฉพาะในงานศพ ทำนองเดียวกันกับการสวดคฤหัสถ์หรือสวดมาลัย เข้าใจว่าคงนิยมเหมือนกับการเล่นซอพื้นเมืองของภาคเหนือ ซึ่งเดิมก็เล่นเฉพาะในงานศพ การเล่นเป็นการเล่นที่สนุกสนาน และต้องมีฝีมือในการร้อง และดนตรีโดยเฉพาะปี่กาหลอเป็นพิเศษ "
ความเชื่อเรื่องกาหลอ หรือตำนานกาหลอในหนังสือ " ตลุง " ของ อาจารย์สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ กล่าวเอาไว้ว่า " มีการละเล่นอีกอย่างหนึ่งที่น่าจะได้มาจากชาวมลายู ยุคอารยธรรมฮินดูเจริญเช่นกัน คือ การเล่น " กาหลอ " ซึ่งเป็นดนตรีบรรเลงแต่เฉพาะงานศพเท่านั้น คำว่า " กาหลอ " น่าจะมาจาก " กาล " หรือ " พระกาฬ " ( สำเนียงมลายูถิ่น จะออกเสียงเป็นกาลอ ) หมายถึงพระอิศวร ซึ่งเป็นเทพแห่งความตาย คู่กับเจ้าแม่กาลี ( ชาวภาคใต้เรียกคู่กันว่า กาหลา กาหลี ) เครื่องดนตรีก็เป็นแบบมลายู แต่ไม่พบว่ามลายูเล่นดนตรีแบบนี้ ในยุคศาสนาอิสลาม เพราะประเพณีของอิสลาม จะไม่เก็บศพไว้จนค้างคืน ตายวันไหนรีบนำไปฝังวันนั้น " จึงอาจจะเป็นไปได้ว่า เดิมรับมาจากชวา มลายู แต่ตอนหลังเขาเลิกเล่น แต่ของไทยยังคงรักษาไว้ได้ ตำนานกาหลอซึ่งเล่าโดยผู้เล่นกาหลอ 2 ท่าน คือ นายเนื่อง เย็นทั่ว ต.หานโพธิ์ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง กับ นายเพิ่ม เย็นทั่ว ต.ควนขนุน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ในเรื่อง " กาหลอดนตรีงานศพ " ของ อาจารย์กฤตวิทย์ ดวงสร้อยทอง ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า " เชื่อกันว่า กาหลอเป็นเสียงฆ้องกลองสวรรค์ ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อกันว่า สมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ณ วัดแห่งหนึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ จากลานวัดมีบันไดทอดลงไปในแม่น้ำ สำหรับพระภิกษุชำระร่างกาย มีเด็กวัด 2 คนเป็นเด็กซุกซนมาก ชอบมาใช้บันไดท่าน้ำมากกว่าคนอื่น ๆ พระอธิการวัดได้ห้ามปรามแล้ว แต่เด็กไม่เชื่อฟัง ท่านจึงนำเอา " หลาว " ไปปักไว้ แต่เด็กที่ไปเล่นที่ท่าน้ำก็มิได้ถูกหลาวตำ ต่อมา พระอธิการรู้สึกร้อนจัด ได้กระโดดลงไปในน้ำทันที โดยลืมเรื่องหลาวที่ท่านปักเอาไว้ หลาวอันนั้นก็ตำถูกตรงหน้าอกท่าน พระภิกษุลูกวัดได้พยายามช่วยเหลือแต่ไม่สำเร็จ จึงไปทูลพระพุทธเจ้า ๆ จึงเสด็จไปดึงพระอธิการพร้อมหลาวเหล็กขึ้นมา และเรียกประชุมสงฆ์ภายในวัดนั้น เพื่อแสดงภูมิรู้และพระธรรมวินัย เมื่อทราบถึงความรู้ความสามารถของพระภิกษุ พระพุทธองค์จึงทรงแต่งตั้งภิกษุเหล่านั้นตามความรู้ความสามารถ คือ เป็นท่านกาแก้ว ท่านการาม ท่านกาชาด และท่านกาเดิม ( ตำแหน่งทั้ง 4 เป็นตำแหน่งพระครูผู้ช่วยรักษาพระบรมธาตุทั้ง 4 ทิศ โดยเชื่อว่า พระเจ้าศรีธรรมโศกราช ทรงเป็นผู้แต่งตั้ง เพื่อดูแลพระบรมธาตุเมืองนคร ซึ่งจะพบชื่อตำแหน่งนี้ในหัวเมืองปักษ์ใต้ที่มีพระบรมธาตุ เช่น ไชยา นครศรีธรรมราช พัทลุง ) และอีก 2 รูป ( ไม่ปรากฏนาม ) ส่วนอีกรูปเป็นพระภิกษุที่มาทีหลังสุด เมื่อเลิกประชุมแล้ว เพื่อให้สามารถแสดงธรรมในวันทั้งเจ็ด จึงทรงให้ชื่อ ตำแหน่งว่า " กาหลอ " ตามคำบอกเล่าของผู้ให้ความรู้ว่า " หลอ " หมายถึง " ขาด " หรือไม่มาประชุม เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว พระภิกษุทั้ง 7 รูปมาประชุมพร้อมกันว่าจะจัดอะไรเป็นพุทธบูชาพระบรมศพ ท่านกาเดิมได้คิดทำปี่ขึ้นมาเลาหนึ่ง ท่านการามคิดทำโทน ( ทน ) ขึ้นมา ท่านกาแก้วคิดทำโทนเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ใบ ส่วนท่านกาชาดคิดทำฆ้องขึ้นมา แล้วใช้เครื่องดนตรีเหล่านี้ตีบรรเลงแห่นำพระบรมศพของพระพุทธเจ้า และครั้งนั้นนับเป็นการบรรเลงหรือแสดงกาหลอครั้งแรก
กาหลอวงหนึ่งหรือคณะหนึ่งใช้ผู้ประโคม ๔ คน คือ หัวหน้าวง เป็นผู้เป่าปี่ เรียกว่า นายโรง หรือ นายปี่ ลูกวงอีก ๓ คน ทําหน้าที่ตีกลองโทน ๒ คน เรียกว่า นายทน และตีฆ้อง ๑ คน เรียกว่า นายฆ้อง บางวงอาจมีคนเป่าปี่เพิ่มขึ้นอีก ๒ คนก็ได้ ในวงดนตรีกาหลอ คนเล่นปี่ หรือที่เรียกกันว่า “หมอปี่” จะเป็นผู้นําทํานอง ทนตีตามจังหวะเพลงปี่ และฆ้องตีตามจังหวะเป็นทน ถ้าเครื่องดนตรีสามสิ่งนี้ไล่ล้อสอดประสานกันอย่างเข้าท่วงทํานอง เพลงกาหลอจะไพเราะเพราะพริ้งมาก
เครื่องดนตรีกาหลอ
1. ปี่กาหลอ ปี่กาหลอมี 7 รู มากกว่ารูปี่ไฉน 1 รู คือรูปี่ไฉนหรือปี่ชวามี 6 รู รูข้างใต้เรียกว่า " ทองรี " เวลานำศพเคลื่อนออกจากบ้านห้ามไม่ให้มีเสียงรูทองรีออกมา
2. โทน โทนมี 2 ใบ เรียกโทนยืนกับโทนหลัก โทนยืนเป็นโทนที่ใช้ตีเป็นตัวยืนในการบรรเลง ส่วนโทนหลัก เป็นโทนที่ใช้คอยตีหลัก ตีหยอก เพื่อให้เกิดความสนุกยิ่งขึ้น
3. ฆ้อง แต่เดิมมี 2 ใบ แต่มาในระยะหลัง ๆใช้เพียงใบเดียว และมักเลือกฆ้องที่มีเสียงก้องกังวานเสียงดังไปไกล
เพลงกาหลอ
เพลงที่คณะกาหลอใช้บรรเลงนั้นมีทั้งหมด 12 เพลง คือ เพลงสร้อยทอง เพลงจุดไต้ เพลงสุริยัน เพลงคุมพล เพลงทองศรี เพลงแสงทอง เพลงนกเปล้า เพลงทองท่อม เพลงตั้งซาก ( ศพ ) เพลงยายแก่ เพลงโก้ลม เพลงสร้อย และเพลงซัดผ้า การบรรเลงเพลงกาหลอนั้นก็เป็นไปตามความเชื่อ เช่น ตอนไหว้ครูใช้เพลงสร้อยทอง เพลงจุดไต้ เพลงสุริยัน เพลงคุมพล เวลานำศพเคลื่อนไปที่สามสร้าง ( เชิงกราน - เชิงตะกอน ) จะบรรเลงเพลงตั้งซาก เพลงยายแก่ บรรเลงเพื่อขอไฟจากยายแก่มาจุดเผาศพ เพลงโก้ลม ( เรียกลม ) บรรเลงเพื่อขอลมให้มาช่วยพัดกระพือไฟให้ติดดีขึ้น เพลงสร้อย เพลงซัดผ้า จะบรรเลงตอนซัดผ้าข้ามโลงศพขณะจุดไฟเผาศพ ตอนกลางคืนใช้เพลงทองศรี ตอนเช้าใช้เพลงนกเปล้า เพลงแสงทอง
บางคณะบอกว่าตั้งแต่เพลงที่ 1 - 12 จะใช้บรรเลงเฉพาะตอนนำศพไปป่าช้าเท่านั้น โอกาสอื่นจะไม่บรรเลง ซึ่งเรื่องนี้แล้วแต่ความเชื่อของกาหลอแต่ละคณะ และในแต่ละท้องถิ่นมักจะแตกต่างกันออกไป
เพลงกาหลอที่ใช้บรรเลงในแต่ละวงนั้นไม่เท่ากันมีจํานวนอยู่ระหว่าง 7-12เพลง ส่วนมากจะมี 12 เพลง แต่เพลงเหล่านี้ มีชื่อและความหมายที่คล้ายกันมาก เช่น ชื่อเพลงที่วงกาหลอ เล่น ๗ เพลง ได้แก่ เหยี่ยวเล่นลม ทองท่อม ยั่วยาน สุริยน ทองศรี พลายแก้วพลายทอง พระพาย กาหลอ บางวงมีเพลงที่ใช้บรรเลง 12 เพลง ได้แก่ สร้อยทอง จุดไต้ สุริยัน คุมพล ทองศรี แสงทอง นกเปล้า ทองท่อม ตั้งซาก(ศพ) ยายแก่ โก้ลม และเพลงสร้อย และบางวงมีถึง 22 เพลง ซึ่งจะมีชื่อเพลงซ้ํากับวง เพลง และ 12 เพลงอยู่บ้าง
เพลงที่ใช้ในงานศพมี 2 ประเภท
1. เพลงคาถา เช่น เพลงไหว้พระ ลาพระ พ่อบัต ขันเพชร ไม้พัน สุริยน เมไร เรื่อยาน เหยี่ยวเล่นลม
2. เพลงโทน ได้แก่ ทองศรี นกกรง นกเปล้า พลายแก้วพลายทอง ทองท่อม แสงทอง ขอไฟ จุดไต้ตามเทียน พระพาย นกกระจอกเต้น กระต่ายติดแร้ว พี่ทิศโสธร สร้อยทอง มอญโลมโลก เกี่ยวกับชื่อเพลงกาหลอนี้ มีข้อสังเกตอยู่ประการหนึ่ง คือ แม้ว่าชื่อเพลงบางเพลงจะเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นกาหลอต่างวง หรืออยู่ต่างถิ่นกันเนื้อร้องของบทเพลงนั้น ๆ ก็อาจผิดเพี้ยนไปบ้าง ส่วนความหมายหรือเนื้อร้องส่วนใหญ่มีเนื้อความเหมือนกัน เช่น เพลงทองศรี มีเนื้อว่า “โอ้ทองศรีพี่ทองศรีเหอ ตอนค่ําเจ้านอนด้วยใคร เจ้าสุดสายใจ เจ้าคงนอนคนเดียวหลับได้ เจ้าสุดใจเหอ เจ้านอนหลับดี เจ้าทองสุกปลุกเจ้าทองศรี ลุกสักทีเจ้าทองศรี พี่ทองศรีเหอ” ความหมายของเพลงนี้ว่า คนตายนั่นเราปลุกด้วยเสียงปี่ เสียทน เสียงฆ้อง ปลุกสักเท่าใดก็ไม่ลุก ยังคงนอนนิ่งเฉยอยู่ในโลงศพนั่นแหละ
เพลงพลายแก้ว มีเนื้อว่า “เจ้าทิ้งแม่ไปแล้ว ลูกพลายแก้ว พลายแก้วของแม่เหอ ตกน้ําแม่ได้ตามไปงม เจ้าพลายแก้วตกตม แม่ได้ตามไปหา เจ้าไปเมือง เจ้าไม่รู้มา อนิจจาพลายแก้ว พลายแก้วของแม่เหอ” ความหมายของเพลงพลายแก้ว กล่าวว่า คนที่ตายไปนั้น ถ้าตกน้ําก็ยังไปงมเอามาได้ ถ้าตกในตมก็ยังไปหาเอาได้ แต่คนที่ตายไป จะไปเอามาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
เพลงพี่ทิศโสธร มีความหมายว่า “คนที่เป็นคู่ผัวตัวเมียกัน พากันไปอยู่ที่ขนําไร่ ในที่เปลี่ยว บังเอิญมีเหตุต้องตายไปเสียคนหนึ่ง คนที่เหลืออยู่ก็จะต้องบ่นหา เพลงนกกระจอกเต้น มีเนื้อร้องว่า “นกกระจอกเหอ นางนกกระจอกเต้น พาลูกคาบรวงข้าวเล่น เที่ยวเต้นกลางนา กลางนาไหน กลางนาใคร กลางนาสยามเหอ ความหมายของเพลงนี้กล่าวว่า เมื่อก่อนนั้นผู้ตายเคยพาลูกไปเที่ยวเล่นในนา ทํางานด้วยกัน ไปเที่ยวไปไหนด้วยกัน แต่มาบัดนี้ไม่มีโอกาสอีกแล้ว นอนตายนิ่งอยู่ในโลง กล่าวกันว่า เมื่อเพลงปี่กาหลอขับขานขึ้น ผีสางดวงวิญญาณจากทั่วสารทิศจะเร่กันเข้ามาฟัง เสร็จแล้วหมอปี่ก็จะใช้บทเพลงขับกล่อม แผ่เมตตา และว่าคาถาส่งไปในเพลงปี่ ให้วิญญาณเหล่านั้นไปสู่ที่ชอบ วงกาหลอใช้บรรเลงดนตรีล้วน ๆ ไม่มีการขับร้อง แม้ว่าบทเพลงที่บรรเลงจะมีเนื้อร้องก็ตาม ปี่กาหลอ หรือปี่ฮ้อ จะทําหน้าที่แทนคนขับร้องอธิบายให้เข้าใจภาษาและความหมายของเนื้อเพลงไปด้วย
ลีลาของเสียงและจังหวะเพลงใดที่เป็นคําร้อง หรือ คาถาก็สามารถแสดงออกได้ด้วยเสียงปี่ สร้างบรรยากาศให้เกิดอารมณ์ลึกซึ้ง สังเวช วังเวง สลดหดหู่ และ เนื้อเพลงของกาหลอ ส่วนใหญ่จะมีข้อความเป็นทํานองให้เศร้าสลดใจ
ชุดการแสดง
งานที่นํากาหลอไปบรรเลง มี 3 ประการ คือ งานศพ งานบวชนาคของผู้สูงอายุที่ตั้งใจบวชแล้วไม่สึก และงานขึ้นเบญจา รดน้ําคนเฒ่าคนแก่ แต่นิยมนําไปเล่นในงานศพมากกว่างานอื่น ๆ ผู้ที่ไปติดต่อวงกาหลอจะต้องนําหมากไปหนึ่งคําด้วย เพื่อคณะกาหลอจะได้บูชาครู และบอกกล่าวให้ครูกาหลอทราบ ถ้าไม่นําหมากไป กาหลอมักจะไม่รับงาน เพราะถือว่าไม่ถูกต้อง เมื่อรับแล้วกาหลอจะนัดวันกับผู้ไปติดต่อและเอาหมากหนึ่งคํา วางบนหิ้งเพื่อบูชาครูและบอกกล่าวงานที่ต้องไปเล่น หากวงกาหลอรับงานเฉพาะในวันเผาศพเรียกว่า “ นํา ” คือไปบรรเลงแห่นําศพจากบ้านไปเผาที่วัด พิธีการและธรรมเนียมต่าง ๆ มีน้อย ไม่ต้องปลูกโรงพิธี แต่ถ้ากาหลอไปบรรเลงที่บ้านจัดงานศพจนกว่าจะถึงวันเผาเจ้าภาพจะต้องปลูกโรงพิธีเตรียมเครื่องสังเวยครูหมอ ส่วนราคาค่ารับงานของกาหลอเรียกว่า “ ค่าเปิดปากปี่ ” หรือ “ ค่าราดทําขวัญข้าว ” หรือ “ ค่าราดโรง ” นั้น แต่เดิมจะคิดตามราคาของโลงศพ ถ้าเจ้าภาพฐานะดีทําโลงศพราคาแพงค่าราดโรงกาหลอก็แพงตาม ทั้งนี้จะมีกรรมการช่วยประเมินราคา แต่ในปัจจุบันแล้วแต่จะตกลงกัน ขึ้นอยู่กับจํานวนวันที่ไปบรรเลง รวมทั้งระยะทางใกล้ไกล และยังต้องให้ค่ายกครูอีก 9 บาท ลักษณะโรงและเครื่องประกอบในพิธี เจ้าภาพต้องสร้างโรงพิธีให้วงกาหลอเรียกว่า “ โรงฆ้อง ” ในเขตบ้านหรือนอกบ้านก็ได้ แต่ต้องใกล้ที่ตั้งศพ ขนาดโรงกว้าง 5 ศอก ยาว 6 ศอก ส่วนยาวของโรงฆ้องต้องปลูกตามตะวัน จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกเสมอมีเสาจํานวน 6 เสา เสาตั้งตรงกลาง 2 เสา ไม่ใช้ขื่อ เพราะพวกกาหลอถือเคล็ดลาง ไม่ลอดขื่อ พื้นโรงมีประตูเข้าออกทางเดียว ทิศเหนือหรือใต้ก็ได้หน้าโรงหันไปทางทิศตะวันตก หลังคาทําเป็นหน้าจั่ว สมัยก่อนมุงด้วยกระแชงหรือใบเตยเย็บติดกันเป็นแผ่น ปัจจุบันมุงจาก แต่ยังมีเคล็ดว่า ให้ใช้กระแชงขนาดเท่าฝ่ามือคลุมข้างบนแปทูด้วย เครื่องประกอบพิธีที่เจ้าภาพต้องเตรียมให้นายโรงกาหลอทําพิธีมี “ ที่สิบสอง ” และ “ เครื่องราด ” “ ที่สิบสอง ” หรือ “ ข้าวสิบสอง ” คือ อาหารหวานคาวและผลไม้ 12 อย่างไม่ซ้ํากัน สําหรับบูชาครู 1 สํารับ มียําหยวก ยําหัวปลี ข้าวแกง เหล้า น้ํา ขนม ข้าวเหนียว ผลไม้และอื่น ๆ จนครบ 12 อย่าง ที่สิบสองนี้ต้องจัด 2 ครั้ง ตอนเบิกโรงเมื่อวงกาหลอมาถึงโรงฆ้องต้องทําพิธีไหว้ครหมอ และอีกครั้งหนึ่ง คือ ตอนลาโรง เมื่อวงกาหลอออกจากโรงฆ้องเตรียมไปแห่ศพ ต้องบูชาครูอีกครั้งหนึ่ง “ เครื่องราด ” มีเงิน 12 บาท หมาก 9 คํา ด้ายดิบ1 ไจ ข้าวสารและเทียน 1 เล่ม ของเหล่านี้ใส่รวมกันใน “ สอบหมาก ” ซึ่งเป็นภาชนะทําด้วยกระจูดเรียกว่า “ สอบราด ” รูปทรงคล้ายกระสอบขนาดเล็ก สอบราดนี้ต้องปลิ้นปาก ออกนอก นอกจากนี้เจ้าภาพยังต้องเตรียมผ้าขาวสําหรับขึงเพดาน 1 ผืน หมอน 1ใบ ผ้าขาวปูที่ครู สําหรับวางข้าวสิบสอง หมาก 9 คํา สําหรับใส่เพดาน ดอกไม้ ดอก และยังมีแป้ง น้ําหอม น้ํามัน สําหรับครูหมอแต่งตัวเมื่อกินเครื่องเซ่นเสร็จแล้ว
ในการบรรเลงเพลงกาหลอ วงกาหลอแต่ละวงใช้ดนตรีบรรเลงหมุนเวียนกันไปจนครบเพลงที่มีคือ 7 เพลงบ้าง 12 เพลงบ้าง 22 เพลงบ้างดังกล่าวข้างต้น เพลงที่บรรเลงต้องให้เหมาะสมกับบรรยากาศด้วย เช่น ตอนย่ําค่ําใช้เพลงทองศรี ตอนดึกใช้เพลงนกพิทิด ตอนย่ํารุ่งใช้เพลงทองศรี ตอนเช้าตรู่น้ําค้างยังไม่แห้งใช้เพลงนกกระจอกเต้น พอดวงอาทิตย์ขึ้นใช้เพลงแสงเงินแสงทอง ต่อจากนั้น ตอนเช้าใช้เพลงนกเปล้ากินไทร เป็นต้น
ส่วนบทเพลงที่ใช้บรรเลงตอนนําศพออกจากบ้านจนกระทั่งเผาศพมีดังนี้
1. ตอนยกศพจากเรือนออกนอกบ้าน บรรเลงเพลง “ เหยี่ยวเล่นลม ”
2. ตอนนําศพ บรรเลงเพลง “ ทอมท่อม ” ตอนนําศพนี้ มีข้อกําหนดว่า กาหลอจะต้องอยู่ใกล้กับศพเสมอ แม้จะมีวงดนตรีแห่นําหลายอย่างก็ตาม
3. ตอนเข้าแดนป่าช้า บรรเลงเพลง “ ยั่วยาน ”
4. ตอนถึงเมรุ เมื่อเคลื่อนศพขึ้นตั้งบนเมรุ บรรเลงเพลง “ สุริยน ”
5. ตอนตั้งศพ ขณะที่สับปะเหร่อจัดเตรียมไฟและพิธีเกี่ยวกับคนตาย บรรเลงเพลง “ ทองศรี ”
6. ตอนประชุมเพลิง บรรเลงเพลง “ พระพาย ” ตอนนี้กาหลอบางวงบรรเลงเพลง “ ยายแก่ ”เพลง “ โก้ลม ” ( กู่ลม ) และ เพลง “ สร้อยทองซัดผ้า ” ( ขว้าง,ปาผ้า ) เพลงยายแก่ เป็นเพลงที่มี
ทํานองคล้ายขอไฟไปจากยายแก่เพื่อเอามาเผาศพ เพลงโก้ลมหรือเรียกลม เพื่อให้มาช่วยพัดกระพือให้ไฟติด จะได้เผาศพดีขึ้น เพลงสร้อยทองซัดผ้า เพลงนี้บรรเลงพร้อมกับขว้างผ้าคลุมโลงข้ามศพไปมา เสร็จแล้วจุดไฟเผาพร้อมกับเพลงจบ เมื่อจบเพลงพระพาย หรือ เพลงสร้อยทองซัดผ้าแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อน จะบรรเลงเพลงต่อไปจนจบครบ 12 เพลง ถือว่าหมดหน้าที่ของกาหลอ แต่ปัจจุบันเมื่อจบเพลงดังกล่าว วงกาหลอจะเลิกกลับบ้านเลยก็ได้ หรือบางวงอาจจะบรรเลงเพลงนกเปล้าอีกครั้ง เสร็จแล้วนายโรงก็จะทํากิจพิธี
กาหลอจะต้องมีโรงแสดงโดยเฉพาะ และต้องสร้างตามแบบที่เชื่อถือกัน หากสร้างผิดแบบกาหลอจะไม่ยอมแสดง การปลูกสร้างโรงกาหลอ ต้องให้ประตูที่เข้าสู่โรงอยู่ทางทิศใต้ มีเสาจำนวนหกเสา มีเสาดั้ง เสาสี่เสานั้นแต่ละข้างให้ใช้ขื่อได้ แต่ส่วนกลางไม่ให้ใช้ขื่อ หลังคามุงด้วยจากหรือแชง ส่วนพื้นจะยกสูงไม่ได้ ใช้ไม้ทำเป็นหมอนทอดบนพื้น แล้วหาไม้กระดานมาปูเรียบเป็นพื้น ส่วนแปทูบ้านเจ้าภาพจะตรงกับแปทูโรงกาหลอไม่ได้
เมื่อคณะกาหลอมาถึงไปถึงจะตรวจโรงพิธี หากเรียบร้อยดีก็จะเข้าไปภายในโรงพิธี หากตรวจแล้วพบข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว ก็จะต้องให้เจ้าภาพแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน คณะกาหลอจึงจะเข้าไป การเดินเข้าโรงพิธี จะให้นายปี่ซึ่งถือว่าเป็นนายโรงเดินนำหน้าพาคณะเข้าไป นายปี่จะเดินไปที่ห้องของตัว ส่วนผู้ตีฆ้องและนายโทน จะหยุดอยู่แค่ห้องของตัว จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือล่วงล้ำเข้าไปในห้องนายปี่ไม่ได้ คือ นายปี่อยู่ห้องหนึ่ง ส่วนนายโทนและผู้ที่ตีฆ้องอยู่รวมกันอีกห้องหนึ่ง เมื่อเข้าไปในโรงพิธีแล้ว หากยังไม่ถึงเวลา ( เลยเที่ยงวัน ) จะออกไปไหนมาไหนไม่ได้ ( บางคณะก็ไม่เคร่งครัดนัก ) แต่มีข้อห้ามว่า นอกจากหมากพลูและบุหรี่แล้ว ห้ามมิให้บริโภคสิ่งใดภายนอกโรงพิธีเป็นเด็ดขาด หากจะบริโภคต้องนำเข้าไปบริโภคภายในโรงพิธีและห้ามยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงในทางชู้สาว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก่อนลงมือแสดง เจ้าภาพจะต้องจัดเตรียมจัด " ที่สิบสอง " หมายถึงอาหารหวานคาว ได้แก่ ข้าว แกง เหล้า น้ำ ขนม ฯ ล ฯ จัดใส่ถ้วยใบเล็ก ๆ วางไว้ในภาชนะ ( ถาด ) ให้ครบ 12 อย่าง เหมือนการจัดสำรับกับข้าวของไทยสมัยก่อน และที่ถ้วยทุกใบจะมีเทียนไขเล่มเล็ก ๆปักอยู่ อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า " เครื่องราชย์ " มีเงิน 12 บาท หมาก 9 คำ ด้ายริ้ว 3 ริ้ว ข้าวสาร เทียนไข 1 เล่ม ทุกอย่างใส่รวมกันใน " สอบหมาก " ( ลักษณะคล้ายกระสอบ แต่มีขนาดเล็ก เป็นภาชนะใส่หมากพลูของคนเฒ่าคนแก่ทางปักษ์ใต้เมื่อสมัยก่อน) เมื่อนายโรงได้ที่สิบสอง และเครื่องราชย์มาแล้วก็จะทำพิธีบวงสรวงครูบาอาจารย์ รำลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วลงมือแสดง เริ่มต้นด้วยเพลงไหว้ครู คือเพลงสร้อยทองและเพลงอื่น ๆ
ข้อปฏิบัติของคณะกาหลอ
คณะกาหลอมีข้อปฏิบัติมากมาย เช่น การรับประทานอาหาร เมื่อเจ้าภาพจัดสำรับกับข้าวมาครั้งแรกกี่สำรับก็ตาม ครั้งต่อ ๆ ไปจะต้องจัดมาเท่าเดิม จะขาดไม่ได้ แต่หากจะจัดมาเพิ่มมากกว่าครั้งแรกก็จะเป็นการดียิ่งขึ้น อาหารการกินจะต้องไม่ปะปนกับใคร เจ้าภาพจะต้องแยกปรุงต่างหาก และขณะที่กำลังแสดงอยู่จะพูดทักทายกับใครภายนอกโรงหรือจะชักชวนใครให้เข้ามานั่งในโรงพิธีไม่ได้ เพราะถือว่าเหมือนกับการชักผีให้เข้ามาในโรงพิธี หรือแม้แต่จะออกจากบ้านเมื่อรับงานใครแล้ว ได้เวลาเดินทางก็จะหยิบเครื่องดนตรีของตนแล้วลงเรือนไปเลย แม้พ่อ แม่ บุตร หรือภรรยาเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะกลับไปจับต้องหรือดูแลไม่ได้ ในระหว่างที่สามีไปแสดงกาหลอ ผู้เป็นภรรยาที่อยู่ข้างหลังจะทาแป้งแต่งตัวหรือคบชู้ไม่ได้ จะเป็นอันตรายแก่สามีอาจถึงตายได้ เมื่อสามีกลับมาบ้านตอนเลิกแสดงแล้ว ภรรยาจะต้องเป็นผู้ตักน้ำวางไว้ที่บันไดบ้านเพื่อให้สามีใช้น้ำนี้ล้างเท้า และต้องเป็นน้ำที่ภรรยาเป็นผู้ตักจริง ๆ ส่วนผู้ที่จะเป็นหัวหน้าคณะกาหลอได้ จะต้องเรียนรู้คาถาอาคม หรือพิธีการทางกาหลอให้ได้อย่างสมบูรณ์และจะเป็นได้เมื่ออายุล่วง 40 ปีแล้วเท่านั้น
เท่าที่กล่าวมาจะเห็นว่า เรื่องของกาหลอมีข้อปฏิบัติและความเชื่อมากมาย เครื่องดนตรีโดยเฉพาะปี่ก็เล่นยาก ต้องเรียนรู้และยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กาหลอเสื่อมความนิยมจากผู้เล่นและผู้รับ ประจวบกับความเจริญสมัยใหม่เข้ามาแทนที่ จนในปัจจุบันเราจึงหาดูการแสดงกาหลอในงานศพแม้แต่ในชนบทได้ยากเต็มที ทั้ง ๆ ที่กาหลอเป็นดนตรีงานศพที่ถ่ายทอดความรู้สึกที่โศกเศร้า เสียงอันโหยหวนของปี่และฆ้อง เหมาะกับการบรรเลงในงานศพก็ตาม น่าที่เราคนรุ่นหลังจะได้หาทางศึกษา ค้นคว้าความเป็นมาและพิธีการ หรือหาทางส่งเสริมเพื่อรักษาเอกลักษณ์ของปักษ์ใต้และชาวพัทลุงเอาไว้ ก่อนที่คนเฒ่าคนแก่ผู้เล่นกาหลอ หรือกาหลอดนตรีงานศพจะหายสาบสูญไปในที่สุด
อ้างอิงแหล่งที่มา
- กฤตวิทย์ ดวงสร้อยทอง " กาหลอ ดนตรีงานศพ " ในวารสาร มศว. ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2518 หน้า 65 - 82
- ชวน เพชรแก้ว " กาหลอ " ศิลปวัฒนธรรม นครศรีธรรมราช ศูนย์วัฒนธรรมวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช 2522 หน้า 69 - 79
- สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ " หนังตะลุง " มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา ร่วมกับมูลนิธิเอเซียจัดพิมพ์เผยแพร่
ศิลปวัฒนธรรม จังหวัดพัทลุง ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง โรงพิมพ์พัทลุง พ. ศ 2526
แหล่งสืบค้นข้อมูล https://www.krabipao.go.th/tradition/detail/14
http://moradoktai.muanglung.com/kalhoa.htm





