06 พฤศจิกายน, 2568

10.พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นับเป็นช่วงเวลาอันโศกเศร้า ในวาระสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต ในโอกาสนี้ ปวงชนชาวไทยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจที่ทรงทำเพื่อพสกนิกรชาวไทยมาอย่างยาวนาน ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช น้อมนำพระราชกรณียกิจที่ยังติดตรึงในความนึกคิดของปวงชนชาวไทย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด “ภาพแม่หลวงของคนไทย” จะยังคงสถิตอยู่ในใจนิจนิรันดร์…
1.พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง “โครงการป่ารักน้ำ” “ขาดน้ำ ทุกชีวิตสิ้นสุดทันที “ เป็นพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง อันสะท้อนถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำของประเทศไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน จนเป็นที่มาของ “โครงการป่ารักน้ำ” โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพลิกฟื้นความชุ่มชื้นให้กับผืนแผ่นดินไทย "โครงการป่ารักน้ำ" ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2525 ณ บ้านถ้ำติ้ว อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร จากการที่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงทอดพระเนตรเห็นความเสื่อมโทรมของป่าไม้ จนนำไปสู่ความแห้งแล้งของแผ่นดิน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งอยู่ใกล้กับแหล่งที่มีการสูบน้ำเกลือจากใต้ดินขึ้นมาใช้ประโยชน์ ส่งผลให้ผิวดินเป็นส่าเกลือ แผ่กระจายเป็นบริเวณกว้าง สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงศึกษาและพบว่า รากต้นไม้สามารถอุ้มน้ำจืดเอาไว้ และน้ำจืดจะไปกดน้ำเค็มที่อยู่ในพื้นดิน ต่อมาจึงมีพระราชดำริ ให้ฟื้นฟูสภาพป่าที่เสื่อมโทรม ให้กลับสภาพเป็นพื้นที่ดูดซับน้ำได้เหมือนเดิม อันเป็นที่มาของ โครงการป่ารักน้ำ โดยนับตั้งแต่เกิดโครงการป่ารักน้ำขึ้นแห่งแรกที่บ้านถ้ำติ้ว จังหวัดสกลนคร เมื่อปี พ.ศ. 2525 ได้มีการสานต่อโครงการนี้อีก 3 แห่ง คือ โครงการป่ารักน้ำ บ้านป่ารักน้ำ ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร โครงการป่ารักน้ำ บ้านกุดนาขาม ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร โครงการป่ารักน้ำ บ้านจาร ต.ม่วง อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร
2.พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง “โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่” อีกหนึ่งโครงการในพระราชดำริของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีแนวคิดให้คนและป่า ได้อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน พร้อมกันนั้น ยังเป็นการได้ช่วยเหลือให้ผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ได้ใช้ป่าเป็นจุดเริ่มต้นขอการสร้าง “วิถีชีวิตใหม่” เป็นที่มาของ “โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่”ตามพระราชดำริ โดยเป็นการจัดสรรที่อยู่อาศัยและที่ทำกินให้กับประชาชนในพื้นที่ป่าและพื้นที่ทุรกันดาร ซึ่งจัดตั้งโครงการแรกขึ้นที่ บ้านห้วยไม้หก อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ พ.ศ. 2534 โดยมีเป้าหมายสำคัญ เพื่อให้ “คน” ได้อยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน ผ่านหลักการ 3อ. คือ อิ่ม มีอาหารแหล่งโปรตีน, อุ่น มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และ อุดมการณ์ มีจิตสำนึกในการอยู่ร่วมกับป่า ตราบจนปัจจุบัน โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ในพระราชดำริของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ขยายไปยังหลายจังหวัด และบางแห่งได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม อาทิ บ้านห้วยไม้หก อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ต้นแบบที่วางรากฐานแนวคิดของโครงการ บ้านห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน หมู่บ้านเลี้ยงแกะและทอผ้าขนแกะในโครงการศิลปาชีพ ซึ่งยังคงดำเนินต่อมาจนถึงวันนี้ บ้านขุนแม่ละนา อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนตัวอย่างที่พลิกพื้นที่เสื่อมโทรมให้กลับมาเขียวชอุ่มด้วยกาแฟและพืชท้องถิ่น บ้านหนองห้า อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ศูนย์การเรียนรู้ด้านการปลูกป่าและเกษตรพอเพียง ที่ถ่ายทอดต่อให้คนรุ่นใหม่
3.พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง “โครงการสมเด็จฯ อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล” นอกเหนือจากการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้ความสำคัญกับทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ที่หากย้อนเวลากลับไปกว่า 40 ปี ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินโครงการอนุรักษ์เต่าทะเล โดยเป็นการศึกษาวิจัยชีววิทยาของเต่าทะเล เพื่อช่วยเพิ่มจำนวนโดยการเพาะขยายพันธุ์ ก่อนจะปล่อยคืนกลับสู่ทะเล นอกจากนี้ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยังทรงพระราชทาน “เกาะมันใน” ที่ตั้งอยู่จังหวัดระยอง จัดให้เป็นศูนย์กลางอนุรักษ์และเพาะขยายพันธุ์เต่าทะเล พร้อมพระราชทานชื่อโครงการว่า โครงการสมเด็จฯ อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล โครงการดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2522 นับถึงวันนี้มีระยะเวลากว่า 46 ปี ปัจจุบันศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้ ยังคงดำเนินงานตามพระราชดำริอย่างแข็งขัน ทั้งการเฝ้าระวังการวางไข่ การเพาะฟักไข่เต่า การอนุบาลลูกเต่าให้แข็งแรงก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ และยังเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้แก่ประชาชน
4.พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง “โครงการฟาร์มตัวอย่าง” ถือเป็นอีกชื่อโครงการหนึ่งที่อยู่ในการจดจำของประชาชนชาวไทยมาอย่างยาวนาน สำหรับ “โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ” โดยที่มาของการจัดตั้งโครงการนี้ เริ่มขึ้นเมื่อครั้งที่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคเหนือ ทรงพบเห็นปัญหาความยากลำบากของราษฎร ซึ่งขาดความรู้ในการประกอบอาชีพ ขาดแหล่งอาหารเพื่อการดำรงชีวิต สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีความห่วงใยและมีพระราชประสงค์ช่วยราษฎรให้หลุดพ้นจากความยากลำบาก โดยเฉพาะชาวเขา จึงมีพระราชประสงค์ที่จะช่วยเหลือชาวเขาให้มีอาชีพที่มีรายได้เพิ่มขึ้น จึงมีพระราชดำริให้จัดตั้ง "ฟาร์มตัวอย่าง" ขึ้น สำหรับฝึกอาชีพด้านการเกษตร เพื่อให้ชาวบ้านสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้โครงการฟาร์มตัวอย่าง จัดตั้งขึ้นแห่งแรกที่บ้านขุนแตะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริได้สร้างคุณูปการหลายประการ อาทิ เป็นแหล่งจ้างแรงงานและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้ประชาชนมีอาชีพที่มั่นคง ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์พื้นเมือง พร้อมกันนี้ยังเป็นการช่วยรักษาทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า ต้นน้ำ ลำธาร ปัจจุบันโครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริได้รับการขยายผลไปในหลายจังหวัดกว่า 56 แห่งทั่วประเทศไทย อาทิ บ้านแม่ตุงติง อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่, บ้านแม่ต่ำ อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง, บ้านหนองหมากเฒ่า อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร, บ้านโคกปาฆาบือซา อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส และบ้านทุ่งคลองชีพ อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง เป็นต้น
5.พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง “สถาบันสิริกิติ์” เป็นพระราชดำรัสสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2550 ซึ่งสะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์ และพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะลูกหลานชาวไร่ ชาวนา ที่มีฐานะยากจน อันป็นที่มาของ โรงฝึกศิลปาชีพในสวนจิตรลดา ซึ่งปัจจุบันคือ “สถาบันสิริกิติ์” ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการฝึกอบรมราษฎรที่ทรงรับมาจากครอบครัวชาวนา ชาวไร่ ผู้ยากจน ไม่มีที่ทำกิน โดยพระราชทานโอกาสให้มาฝึกอบรมงานศิลปาชีพแขนงต่าง ๆ และทรงจัดหาครูและชาวบ้านที่มีฝีมือดีมาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้ฝึกฝนงานหัตถศิลป์ ณ สถานที่แห่งนี้ ปัจจุบันสถาบันสิริกิติ์ ผลิตบุคลากรที่มีฝีมือออกมามากมาย หลากหลายผลงานได้รับการจัดแสดงในต่างประเทศ และทุก ๆ ผลงานต่างได้รับการจัดสรรรวบรวมไว้ใน “พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน” ซึ่งสะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณในการพระราชทานโอกาสให้ลูกหลานชาวไร่ ชาวนาในท้องถิ่นทุรกันดาร ได้มาสร้างสรรค์งานศิลปะ ประการที่สำคัญ ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจที่ได้มีอาชีพ และได้เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาศิลปะอันประณีตงดงามของชาติเอาไว้สืบไป
6.พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง “ศูนย์ศิลปาชีพ” หนึ่งในศิลปะอันทรงคุณค่า คือ ผลงานด้านหัตถศิลป์ของไทย นอกเหนือจากความงดงาม ยังสะท้อนถึงเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น รวมถึงภูมิปัญญา ที่ได้รับการถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ด้วยเหตุนี้เอง สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงทรงพระพรุณาโปรดเกล้าฯ ก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 ด้วยสายพระเนตรที่กว้างไกล จึงทรงเห็นว่า หากได้มีการส่งเสริมและพัฒนางานด้านศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านอย่างจริงจัง จะเกิดประโยชน์ถึงสองทาง คือ ประการแรก เป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวบ้าน และประการที่สอง คือ เป็นการอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านโบราณ อันเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติไทยให้คงอยู่ต่อไป ปัจจุบัน มูลนิธิฯ มีศูนย์ศิลปาชีพกระจายอยู่ทั่วประเทศ อาทิ ศูนย์ศิลปาชีพพิเศษบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, ศูนย์ศิลปาชีพบ้านกุดนาขาม จังหวัดสกลนคร, ศูนย์ศิลปาชีพแม่ต่ำ จังหวัดลำปาง และศูนย์ศิลปาชีพพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส เป็นต้น ศูนย์ศิลปาชีพทุกแห่งล้วนประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ประการที่สำคัญ คือ ได้ช่วยเหลือชาวนาชาวไร่ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นการขยายโอกาสและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ราษฎร ด้วยผลิตภัณฑ์อันวิจิตรบรรจงที่ยังคงสืบสานวัฒนธรรมอันเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศชาติตลอดไป
7.พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง “ศาลารวมใจ” “ศาลารวมใจ” ชื่อที่เปรียบเสมือนความสามัคคีของคนในชาติ หากย้อนกลับไปกว่า 49 ปี โครงการนี้ได้รับการโปรดเกล้าฯ จัดตั้งขึ้นโดยสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อให้เป็น “ห้องสมุดอเนกประสงค์” พระราชทานแก่ราษฎรทุกเพศ ทุกวัย และทุกระดับความรู้ แม้กระทั่งบุคคลผู้อ่านหนังสือไม่ออกที่อยู่ในท้องถิ่นทุรกันดาร เนื่องด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชประสงค์ในการส่งเสริมความรู้ให้กับคนทุกหมู่เหล่า ห้องสมุดรวมใจจึงมีหนังสือหลากหลายประเภท อาทิ คู่มือการเกษตร ความรู้ทั่วไป จนถึงนวนิยาย มีภาพติดผนังและสมุดภาพเกี่ยวกับเมืองไทย เพื่อให้ราษฎรรู้จักเมืองไทย รู้จักความเป็นไปของบ้านเมือง และเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างท้องถิ่นของตนกับประเทศและโลกกว้าง ทั้งหมดล้วนเป็นการส่งเสริมความภาคภูมิใจในชาติ ความหวงแหนมรดกของชาติ และปลูกฝังความรักความสามัคคีของชนในชาติ สมดังชื่อ “ศาลารวมใจ” ศาลารวมใจ ยังเป็นห้องปฐมพยาบาล มียาพระราชทานพื้นฐานจัดไว้ช่วยเหลือชาวบ้าน โปรดเกล้าฯ ให้คัดเลือกราษฎรในหมู่บ้านมาเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลศาลารวมใจ และให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้ไปรับการฝึกอบรมหลักสูตร “หมอหมู่บ้าน” โดยสอนให้รู้จักการปฐมพยาบาล เรียนรู้ด้านสุขภาพอนามัย และการประสานงานในการจัดส่งผู้ป่วยหนักไปโรงพยาบาล ศาลารวมใจ ได้รับการจัดสร้างขึ้นเป็นแห่งแรก ณ ศาลารวมใจพร้าว ตำบลเขื่อนผาก อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาจึงมีศาลารวมใจเพิ่มขึ้นอีกเป็นลำดับ อาทิ ศาลารวมใจบ้านกาด อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่, ศาลารวมใจบ้านขุนคง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่, ศาลารวมใจวัดพระพุทธ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส, ศาลารวมใจบ้านวัดจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ และศาลารวมใจวัดสารวัน กิ่งอำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี แม้เวลาจะผ่านไป ปัจจุบันมีห้องสมุดที่ทันสมัย รวมถึงสถานพยาบาลที่มีคุณภาพมากขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ศาลารวมใจ คือ “จุดเริ่มต้น” ของความเอื้ออาทร ตลอดจนการเสริมสร้างการเรียนรู้อย่างเท่าเทียมให้กับผู้คนตัวเล็ก ๆ ทุกหมู่เหล่าอย่างแท้จริง
8.พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง “สภานายิกาสภากาชาดไทย” 12 สิงหาคม พ.ศ.2499 นับเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงดำรงตำแหน่ง สภานายิกาสภากาชาดไทย จากอดีตสู่ปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 69 ปี ที่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน โดยสอดคล้องกับภารกิจขององค์กรกาชาดและสภากาชาดไทยมาอย่างยาวนาน อาทิ การรักษาพยาบาลผู้ป่วยไข้ การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย การจัดหาโลหิตให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วย ตลอดจนการส่งเสริมคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และการสงเคราะห์ประชาชนผู้ทุกข์ยากและผู้ที่เดือดร้อน สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงติดตามการดำเนินงานของสภากาชาดไทยอย่างใกล้ชิด โดยเสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการสภากาชาดไทย ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริในการดำเนินงาน เพื่อให้เป็นไปตามหลักการพื้นฐาน 7 ประการ คือ มนุษยธรรม ความไม่ลำเอียง ความเป็นกลาง ความเป็นอิสระ บริการอาสาสมัคร ความเป็นเอกภาพ และความเป็นสากล นับถึงวันนี้ สภากาชาดไทย ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในองค์กรสาธารณกุศลที่ทำประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง โดยไม่เลือกชนชั้น วรรณะ ศาสนา หรือเชื้อชาติ กระทั่งกลายเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติตราบถึงปัจจุบัน
9.พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง “โขนพระราชทาน” นึ่งในพระราชกรณียกิจที่พสกนิกรชาวไทยได้สัมผัสมาอย่างยาวนาน กับศิลปะการแสดง “โขนพระราชทาน” ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์ศิลปะการแสดงดังกล่าวนี้เอาไว้ ย้อนเวลากลับไปยังอดีต โขนในประเทศไทย เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วนใหญ่มักจัดแสดงในราชสำนัก โดยทำการฝึกหัดกันตามบ้านขุนนางชั้นสูงในสมัยนั้น เพื่อใช้แสดงในงานมหรสพหลวง และในพิธีต่าง ๆ รวมทั้งยังเป็นสื่อเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่สอดแทรกคติธรรมต่าง ๆ โขนซบเซาลงตามกาลเวลา กระทั่ง สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเข้ามารื้อฟื้นและทำนุบำรุง เป็นที่มาของ “โขนพระราชทาน” มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเริ่มจัดการแสดงเมื่อครั้งเฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 75 พรรษา ในปี พ.ศ. 2550 ในชื่อตอน “พรหมาศ” ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย หลังจบการแสดง มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้มีการดำเนินงานปรับปรุงเกี่ยวกับโขนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเครื่องแต่งกายโขน ที่เพิ่มรายละเอียดให้วิจิตรบรรจง รวมถึงเทคนิคการแสดงบนเวทีที่มีความร่วมสมัย กระทั่งสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมรุ่นใหม่ ให้เข้ามาชมการแสดงโขนมากขึ้นเป็นลำดับ ผ่านมาแล้วกว่า 18 ปี นับจากวันที่ได้รับการจัดแสดงเป็นครั้งแรก ปัจจุบันการแสดงโขนพระราชทานได้รับการยกระดับ จนกลายเป็นหนึ่งในการแสดงที่ประชาชนมากมายต่างรอคอยชมในทุก ๆ ปี กระทั่งในปี 2568 มีเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ เข้าร่วมสมัครเพื่อรับคัดเลือกแสดงในโขนพระราชทาน ตอน สัตยาพาลี เกือบหนึ่งพันคน ทั้งหมดล้วนสะท้อนถึงความนิยม แต่เหนืออื่นใด คือพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงร่วมในการอนุรักษ์มรดกของชาติชิ้นนี้มาอย่างยาวนาน กระทั่งได้รับความนิยมเช่นในปัจจุบัน
10.พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง “ชุดไทยพระราชนิยม” ย้อนกลับไปราว 70 ปีก่อน สุภาพสตรีในประเทศไทย ยังไม่มีเครื่องแต่งกายประจำชาติ เหมือนดังเช่นสุภาพสตรีประเทศอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้เอง สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงทรงสอบถามผู้รู้และผู้มีประสบการณ์ รวมทั้งทรงศึกษาจากประวัติศาสตร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน กระทั่งมีพระราชเสาวนีย์ให้ผู้เชี่ยวชาญ ค้นคว้าประวัติศาสตร์ ธรรมเนียมการแต่งกายของสตรีไทยในราชสำนักโบราณ ก่อนที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบฉลองพระองค์ชุดไทยแบบต่าง ๆ โดยนำรูปแบบการแต่งกายของสตรีไทยในอดีต มาผสมผสานกับวิธีการตัดเย็บปัจจุบันอย่างลงตัว ในเวลาต่อมา สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระราชทานพระราชานุญาตให้จัดพิมพ์สมุดภาพ "หญิงไทย" เผยแพร่การแต่งกาย ชุดไทยพระราชนิยม ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบ จำนวน 5 แบบ ซึ่งแบบดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สร้างสรรค์เพิ่มขึ้นอีก 3 แบบ รวมทั้งสิ้น 8 แบบ ไทยเรือนต้น เป็นชุดที่ใช้ได้หลายโอกาส ใช้เป็นชุดลำลองในงานเลี้ยงที่ไม่เป็นพิธีการ ไทยจิตรลดา เป็นชุดไทยสำหรับพิธีกลางวัน ใช้ในงานพิธีการมากกว่าชุดไทยเรือนต้น ไทยอมรินทร์ ไทยบรมพิมาน ไทยจักรพรรดิ และไทยดุสิต เป็นชุดสำหรับสตรีสวมสายสะพายในงานพระราชพิธี ที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศ ไทยจักรี ใช้สำหรับงานกลางคืน งานแต่งงานหรืองานราตรีสโมสรที่ไม่เป็นทางการ และอากาศไม่เย็นมากนัก โดยเป็นชุดไทยห่มสไบ เปิดไหล่ข้างหนึ่ง ไทยศิวาลัย เป็นชุดไทยของสตรีบรรดาศักดิ์ในสมัยก่อน มักใช้ในงานตอนค่ำ งานเลี้ยง งานฉลองสมรส หรืองานพิธีเต็มยศ เหมาะสมสำหรับช่วงอากาศเย็นเพราะมีหลายชั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เผยแพร่ชุดไทยทั้ง 8 แบบ ให้สุภาพสตรีไทยทั่วไป ได้นำไปแต่งกาย และใช้เป็นแบบมาตรฐาน ซึ่งต่อมามีการประยุกต์เป็นชุดไทยอีกหลายแบบ ปรากฏเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย และถือเป็นชุดประจำชาติไทย ที่ในปัจจุบันมีประชาชนรุ่นใหม่สวมใส่อย่างสวยงาม พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ล้วนสร้างประโยชน์ต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ประการที่สำคัญ คือการสร้างความภาคภูมิใจ ในอัตลักษณ์ความเป็นไทย เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้สัมผัสและรักษา ให้คงไว้สืบไป… อ้างอิง สำนักงานพระคลังข้างที่ รอบรู้เรื่องวัง และสาระน่ารู้ / หน่วยราชการในพระองค์ พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน แหล่งสืบค้นข้อมูล https://www.thaipbs.or.th/now/content/3323