03 พฤศจิกายน, 2568
การชนวัวกับวิถีชีวิตคนนครศรีธรรมราช
การชนวัวกับวิถีชีวิตคนนครศรีธรรมราช
ชนวัว เป็นกีฬาพื้นเมืองที่เป็นที่นิยมของภาคใต้และของจังหวัดนครศรีธรรมราช แรกเริ่มนั้นเริ่มจากเป็นการละเล่นของผู้ใหญ่ เนื่องจากในอดีตคนนครศรีธรรมราชมีอาชีพทำนาเป็นอาชีพหลักว่างเว้นจากการทำนา จึงนำวัวมาชนกัน เป็นกิจกรรมของชาวบ้าน หากวัวที่นำมาชนตัวใหม่มาชน ซึ่งต่อมาการชนวัวได้พัฒนาเป็นกีฬาพื้นเมือง
กำเนิดของการชนวัว
	กำเนิดของการชนวัวนั้น มีความคิดเห็นเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มแรกมีความเห็นว่า มีกำเนิดขึ้นในภาคใต้ของประเทศไทย ไม่ได้เลียบแบบมาจากต่างชาติ โดยจังหวัดในภาคใต้ที่นิยมเลี้ยงวัวชนเป็นอันดับต้น ๆ คือ จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดพัทลุง ต่อมาจึงแพร่หลายไปสู่จังหวัดอื่น ๆในภาคใต้และบางจังหวัดในภาคกลาง และภาคเหนือ อีกกลุ่มหนึ่ง มีความคิดเห็นว่า ชาวไทยภาคใต้น่าจะรับกีฬาชนิดนี้มาจากชาวโปรตุเกสที่เช้ามาเจริญทางพระราชไมตรีกับไทยในสมัยอยุธยา คือในสมัยพระเจ้าเอมมานูเอลแห่งโปรตุเกสได้แต่งทูตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีกับไทยใน พ.ศ. ๒๐๖๑  ซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้ชาวโปรตุเกสเข้ามาค้าขายในไทย โดยให้ทำการค้าขายใน ๔ เมือง คือ กรงศรีอยุธยา นครศรีธรรมราช ปัตตานี และมะริด ทำให้
วัฒนธรรมหลายอย่างของชาวโปรตุเกสได้เผยแพร่เข้ามาสู่ไทย เช่น การติดตลาดนัด การทำเครื่องถมและการชนวัว
การพนันชนวัว
การชนวัว ได้พัฒนาจากการเป็นกีฬาพื้นเมืองมาสู่การพนันขันต่อ ซึ่งการพนันขันต่อนี้เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาข้านาน การชนวัวมักจัดขึ้นในเทศกาลต่าง ๆ ของคนใต้เช่น งานเทศาลสารทเดือนสิบที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หรืองานเฉลิมพระขนมพรรษา (งานฉองรัฐธรรรมนูญเดิม)ที่จังหวัดตรัง เป็นต้น หากเป็นช่วงเวลาปกติจะชนได้เดือนละ ๑ ครั้ง โดยกำหนดให้ชนในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์สัปดาห์ใดสัปดาห์หนึ่งของเดือน แต่วันที่กำหนดจะต้องไม่ตรงกับวันธรรมสวนะ ในบางครั้งอาจมีการชนวัวเดือนละ ๒ ครั้งเนื่องจากค่าใช้จ่ายประจำในการชนวัวสูง ชนวันเดียวจึงไม่คุ้ม แต่วันที่สองต้องเสียค่าธรรมเนียมขออนุญาตพิเศษ์ โดยการชนวัวในภาคใต้นั้นมักจะไม่จัดให้ตรงกัน คือหมุนเวียนกันจัดในจังหวัดหรือในอำเภอใกล้ ๆ กัน ถ้าหากบ่อนหนึ่งจัดวันเสาร์ อีกบ่อนหนึ่งจะจัดวันอาทิตย์ หรืออาจจะจัดให้ชนกันคนละสัปดาห์ของเดือนหนึ่ง ๆ เพื่อให้นักเลงขึ้นวัวได้มีโอกาสเล่นพนันอย่างทั่วถึง
นักเลงชนวัวในภาคใต้จึงรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี"เมื่อมีการเล่นพนันขันต่อ ทางราชการได้เป็นไปตามกฎหมาขอ เพื่อความสงบเรียบร้อย โดยกำหนดให้มีการขออนุญาตในการตั้งบ่อนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เรียกว่า "สนามชนโค" แต่ชาวบ้านมักเรียกกันว่า "บ่อนชนวัว" หรือ "บ่อนวัวชน" อีกทั้งต้องมีการขออนุญาตทุกครั้งเมื่อจะจัดให้มีการชนวัว ผู้ที่เป็นเจ้าของสนาม เรียกว่า "นายบ่อน" ผู้ที่จะเป็นนายสนามได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่กว้างขวาง ดังที่นายอมร สุขมง
สนามชนวัวบ้านบ่อล้อ กล่าวว่า "ต้องรู้จักทีมวัว มีพวก มีทีมงาน บริสุทธิ์ ยุติธรรม" เมื่อมีการพนันชันต่อ จึงเกิดการฉ้อโกงกัน ดังนั้นเพื่อป้องกันการฉ้อโกง ก่อนการชนวัวจึงต้องมีการเช็ดล้างวัวให้สะอาดรวมทั้งตรวจสอบสิ่งปลกปลอมที่อาจซ่อนเร้นไว้ ซึ่งจะมีผลต่อการแพ้ หรือชนะของวัวชน การเช็ดล้างวัวชนในรอบแรกเจ้าของวัวจะเป็นผู้เช็ดล้าง ในรอบที่สองกรรมการกลางของสนามจะเป็นผู้เช็ดล้างบริเวณใบหน้า ลำคอ โคนเขา ชอกหู จนถึงคร่อมส่วนหน้า ต่างฝ่ายจะส่งตัวแทนไปควบคุมการเช็ดล้างในวัวชนคู่สำคัญที่มีเดิมพันสูงจะมีการนำน้ำน้ำผสมผงชักฟอกที่ผสมกันแล้วของทั้งสองผ้ายจากกกรรมการกลางมาเช็ดล้างครั้งสุดท้ายอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการใช้ทรายลูบปลายเขา เพราะเจ้าของวัวอาจเคลือบทา หรือใช้มีดกรีดปลายเขาให้เป็นร่องเล็ก ๆ แล้วแข่ของมีพิษหรือสิ่งที่ทำให้แสบร้อน หลังจากนั้นนำกล้วยสุกหรือลูกตาลสุกที่ปอกเปลือกแล้ว ไปทาที่จมูกวัวใบหน้า แก้ม และกกหูเพื่อดับกลิ่นของคู่ต่อสู้
อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการชนวัว
การชนวัว นอกจากจะเป็นกีฬาพื้นเมืองแล้ว ยังมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนนครศรีธรรมราช เนื่องจากการขนวัวเป็นการสร้างอาชีพให้คนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ อาชีพรับจ้างเลี้ยงวัวชน คนกลุ่มนี้จะรับจ้างเลี้ยงวัวชนให้กับผู้อื่น อาชีพเลี้ยงวัวชนเพื่อขาย การเลี้ยงวัวชนทำรายได้มากกว่าการเลี้ยงวัวเนื้อทั่วไป อาชีพปลูกหญ้าขาย เนื่องจากวัวขนต้องกินหญ้าในปริมาณมากถึงวันละประมาณ ๕๐ กิโลกรัม ทำให้เกิดอาชีพปลูกหญ้า ซึ่งหญ้าที่วัวชนกินนั้นมีหลายชนิด ได้แด้แก่หญ้าหวาย หญ้าหราด หญ้าปล้อง หญ้าครุน และหญ้าพันธุ์ ในหนังสือเรื่องหัวเชือกวัวชน
หญ้าที่ผู้เลี้ยงวัวจัดหามาให้วัวนั้นจะต้องก็มียังความสด พันธุ์ คุณภาพ และความเคยชินของวัวเป็นพิเศษซึ่งมีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น วัวชนที่อยู่ในเขตที่ราบสูงเชิงเขา ได้แก่ อำเภอทุ่งสง ตำบลจันดี ตำบลเสาธง และบ้านยวนแหล นิยมให้วัวกินหญ้าหราค หญ้าชนิดนี้มีมากในสวนผลไม้ ในขณะที่บริเวณเขตลุ่มน้ำปากพนังได้แก่ สนามชนวัวบ้านโคกพิกุลและชะเมา นิยมให้วัวกินหญ้าหวาย หญ้าหวาย หญ้าครุนที่มีอยู่ตามคันนา ขอบบ่อเลี้ยงกุ้ง และขอบคันคู่ไร่นาสวนผสม หญ้าที่วัวกินนี้มักจะเป็นหญ้าประเภทเดิมที่วัวชนเคยกิน หากเปลี่ยนประเกทของหญ้าจะมีผลต่อสุขภาพของวัวชน ดังนั้นหากวัวขนไปติดคู่ที่ต่างอำเภอหรือต่างจังหวัด เจ้าของวัวบางรายอาจมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งหญ้าไปให้วัวชนกินด้วย" อาชีพที่น่าสนใจอีกอาชีพหนึ่งคือ ทำเขาวัวเทียม และซ่อมเขาวัวมีหน้าที่ซ่อมเขาวัวที่ชำรุดเสียหาย หรือทำเขาเทียมให้วัว โดยทำให้วัวชนมีเขาที่แข็งแรง และยาวกว่าเดิม อาชีพหมอวัว เป็นผู้ทำพิธีกรรม
ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัวชน เพื่อสร้างขวัญ กำลังใจ และเป็นการเสียงทาย อาชีพให้เช่าโรงวัว(คอกวัว)อาชีพกรรมการวัวชน อาชีพค้าขายบริเวณโดยรอบสนามชนวัว ซึ่งมีทั้งค้าขายอาหารทั่วไป อาหารพื้นเมือง และของใช้ที่เกี่ยวกับวัวชน อาชีพทำของใช้ และเครื่องประดับของวัวชน เช่น ถักผ้าคลุมเขาวัว(ล็อคเขา) พวงมาลัย และผ้าผูกคอสีแดง นอกจากนี้ยังมีการจำหน่าย ยาต่าง ๆ ที่วัวชนต้องใช้ เช่นยาเขียว ซึ่งจะนำมาต้มให้วัวกินเมื่อวัวเป็นไข้ มีอาการเชื่องซึม มีการทำเสื้อทีมวัวขนขาย" จะเห็นได้ว่าการชนวัวเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก
การคัดวัวชน
	การคัดเลือกวัวเพื่อฝึกให้เป็นวัวชนนั้น ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งแต่ละคนนั้นมีวิธีการคัดเลือกวัวชนที่แตกต่างกัน วัวที่มีลักษณะที่ดีย่อมนำชัยชนะมาสู่เจ้าของวัว และต้องต้องมีคุณสมบัติที่ดีในการต่อสู้ คือ ต้องมีใจทรหด อดทน มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีไหวพริบหรือชั้นเชิงในการซนที่ดี ที่เรียกว่า "ชนดี ใจดี แรงดี" ลักษณะที่สำคัญมี ๓ ประการ คือ ขวัญ ขวัญ สีหรือพันธุ์ และเขา"
ขวัญ คือ ลักษณะที่อยู่ตามตัววัว ขวัญนี้จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไป ซึ่งลักษณะขวัญของวัวชนได้แก่ ขวัญตรงหัวใจและขวัญตรงกระดูกสันหลังนั้นดีมาก ขวัญที่เท้าทั้งสี่ หรือสองเท้าเรียกว่า "จำตรวน"ขวัญที่อยู่บนโหนกเรียกว่า "จอมปราสาท" ดีมาก ขวัญโคนหูทั้งสองที่ติดกับเขานั้นดีมาก ขวัญกลางหลังซึ่งเวียนก้นหอยดีมากเช่นกัน ขวัญที่อยู่ใต้กีบ ที่เรียกว่า "ขุมทอง" นั้นดีเลิศ ขวัญที่หน้าแข้งดี ถ้าทั้งสี่ดีเลิศ"
สีหรือพันธุ์วัวที่เป็นมงคล เช่น วัวศุภราช เป็นวัวสีแดงเปรียบเสมือนเปลวเพลิงที่ลุกช่วงโชติและมีรอยด่างสีขาวปรากฏอยู่ที่บริเวณโหนก หางและตีน ดังตำราที่ว่า "ตีนด่าง หางดอก หนอก โหนก) พาดผ้าและหน้าใบโพธิ์" วัวนิลเพชร เป็นวัวสีดำนิล หรือดำเป็นมันทั้งตัว คือ เขา เล็บ ตาดำทั้งสิ้น เชื่อกันว่าน้ำมุตรดำในบางวันด้วย วัวสีดำหรือที่เรียกว่านิลนี้มีหลายชนิด เช่น "สีเขียว" หรือ "กะเลียว"เป็นวัวสีเขียวอมดำ ซึ่งหายากมาก ในอดีตเคยมีวัวลักษณะนี้ ได้แก่ วัวเขียวไฟ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช
เขา เขาของวัวเรียกว่า "ยอด" ซึ่งยอดนี้มีความสำคัญในการชนวัวมาก เป็นอาวุธสำคัญในการชนวัว หากยอดเสียหรือบกพร่องมักไม่ชนะคู่ต่อสู้ ตามตำรามีการกล่าวถึงลักษณะของเขาที่ดีไว้ต่าง ๆ เช่น โคนเขาเป็นเงาและแววออกสีเหลือง ข้างปลายแดงดุจสีมณีนั้นดี เขามีสีดำสนิทนั้นดีเช่นกัน เพราะจะนำทรัพย์มาให้เจ้าของ ลักษณะของเขาวัวก็มีหลายแบบ เรียกชื่อต่างกัน เช่น "เขาลอม",\มีลักษณะเขาเป็นวง และโค้งขึ้นบน ส่วน"เขาวง" มีลักษณะเป็นวง แต่ไม่โค้งขึ้นบน และ"เขาคล้ายเขาวง แต่ยกสูงเหมือนโนรารำท่าเขาควาย"
นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากในการคัดเลือกวัวขน คือ วัวชนที่มีสายเลือกมาท พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ซึ่งเป็นวัวชนที่ดีมาก่อนและมีลักษณะสวยงาม โดยเจ้าของอาจจะทำการผสมพันธุ์วัวเองด้วยการนำพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์มาจากวัวชนที่มีชื่อเสียง และลักษณะที่ดี จากการสัมภาษณ์คุณวุฒิชัย ณ พัทลุง ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงวัวชนเล่าให้ฟังว่า ได้ทำการผสมพันธุ์วัวชน ซึ่งกว่าวัวจะคลอดต้องใช้เวลาถึง ๑๐ เดือน ทั้งนี้ผู้เลี้ยงวัวขนอาจซื้อวัวขนมาจากผู้เลี้ยงวัวขนรายอื่นก็ได้ ถ้าหากเห็นว่าเป็นวัวชนที่มีลักษณะดีมีชั้นเชิงในการชนดี
การเลี้ยงดูวัวชน
การเลี้ยงดูวัวขนเป็นสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องคำนึงถึง เพราะหากเลี้ยงรู้วัวชนอย่างดีย่อมมีผลต่อการแพ้ ชนะของการขนวัว ผู้เลี้ยงจึงต้องเอาใจใส่วัวของตนทุกขั้นตอนในการเลี้ยงดู ถือว่าเป็นกิจวัตรประจำวันก็ว่าได้ ซึ่งในแต่ละวันภารกิจการเลี้ยงดูวัวขนจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเข้า คือ ในช่วงเช้า ต้องพาวัวไปเดินออกกำลังกาย (ไล่ทุ่ง) โดยการเดินนี้จะอยู่ในช่วงเวลาประมาณ ๐๕:๐๐ น. ถึง๐๗.๐๐ น.ขึ้นอยู่กับเจ้าของ ซึ่งเวลาอาจไม่ตรงกัน หลังจากนั้นจึงให้วัวกินหญ้า อาบน้ำ แล้วนำวัวไปตากแดดเพื่อให้วัวมีความอดทน (ถ้าฝนตกต้องรีบนำวัวเข้าในที่ร่ม) การตากแดดนี้มีช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป จากการสัมภาษณ์คุณโชค วารีนาค ซึ่งเป็นเจ้าของวัวชนพบว่าเป็นช่วงเวลา ๑๐.๐๐ น. ถึง ๐๖.๐๐ น. จากหนังสือหัวเชือกวัวชน กล่าวว่าเป็นช่วงเวลา ๙.๐๐ น. ถึง ๑๕.๐๐ น. หลังจากนั้นจึงนำเข้าร่ม
ประมาณ ๑ ชั่วโมง แล้วเช็ดตัวให้วัวสดชื่น หลังจากนั้นให้วัวกินหญ้า เดินออกกำลังกายเบา อาบน้ำวัว แล้วผูกวัวไว้ที่หลัก เพื่อให้กินหญ้า และตากน้ำค้างจนถึงเวลา ๒๑.๐๐ น. การตากน้ำค้างจะทำให้วัวสดชื่น กินหญ้าได้เยอะขึ้น จากเดิมที่กินหญ้า ๒ กิโลกรัม จะสามารถกินหญ้าเพิ่มได้เป็น ๔ กิโลกรัม การสุมไฟให้วัวชนก็เป็นการช่วยไล่แมลงให้วัวชน และทำให้วัวมีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งบางแห่งอาจสุมไฟเฉพาะช่วงกลางคืน แต่บางแห่งอาจสุมไฟช่วงกลางวันด้วย หลังจากเวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. จะนำวัวเข้าไปนอนในโรงวัว ซึ่งเวลาต่าง ๆ ที่เจ้าของวัวปฏิบัติต่อวัวอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม  หลังจากการปฏิบัติต่อวัวเช่นนี้ ๒๒ วัน จึงไปสู่ขั้นตอนต่อไป คือ การซ้อมวัว (การช้อมคู่ วางวัว ปรือ ปรือวัว) ซึ่งจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันบ้าง แต่สรุปได้ว่าคือการฝึกซ้อมวัวชน การข้อมวัวใช้เวลา ๕ – ๓๐ นาที เวลามากน้อยขึ้นอยู่กับวัยและความแข็งแกร่งของวัวแต่ละตัว การข้อมคู่จะใช้ปลาสเตอร์พันปลาย
ยอดหรือปลายเขาทั้งสองข้าง และการข้อมจะต้องใช้เชือกยาวเพื่อความสะดวกในการแยกวัวออกจากกันเมื่อต้องการจะหยุดซ้อม วัวชนตัวหนึ่งต้องช้อมคู่ ๓ - ๕ ครั้งก่อนชน หากวัวได้รับการเลี้ยงดูและฝึกข้อมอย่างดีจากเจ้าของวัวก็อาจมีชัยชนะเหนือคู่ต่อสู้ได้ แม้ว่าจะมีชั้นเชิงต้อยกว่าคู่ต่อสู้ก็ตาม เรียกว่ามี "น้ำเลี้ยง" หรือ "เนื้อเลี้ยง" หรือ "เนื้อ" ดีกว่า" เมื่อวัวชนของตนมีชัยชนะเหนือคู่แข่ง เจ้าของวัวจะได้รับเงินทอง มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักจากคนทั่วไป ดังนั้นวัวขนและเจ้าของวัวจึงอยู่ร่วมกัน เปรียบดังคนในครอบครัวเดียวกัน ที่จะต้องช่วยเหลือดแลกัน แม้แต่เวลากลางคืน คนเลี้ยงวัวกับวัวชนก็มักจะนอนด้วยกัน จะเห็นได้จากโรงวัวที่ปลูกสร้างมาเพื่อวัวชนโดยเฉพาะ โดยสร้างไว้เป็นโรงนอนขนาดพอเหมาะ มักมีการกางมุ้งหลังใหญ่ไว้ภายในโรงวัว เพื่อป้องกันยุง ริ้น ไม่ให้มารบกวนวัวชนในขณะที่นอนหลับ โรงวัวนี้ต้องทำความสะอาดทุกวัน" สำหรับคนเลี้ยงวัว ซึ่งอาจเป็นเจ้าของวัวหรือเป็นผู้ที่รับจ้างเลี้ยงวัวนั้น ก็มักจะนอนเฝ้าวัวชนของตนที่ด้านหน้าของโรงวัว ซึ่งจะสร้างเป็นแคร่สำหรับนอนอยู่หน้าประตูทางเข้าของโรงวัว เป็นการเฝ้าระวัง และดูแลวัวของตน
พิธีกรรมและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับวัวชน
พิธีกรรมและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับวัวชน เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนเลี้ยงวัวซึ่งจะปฏิบัติต่อวัวด้วยวิธีการต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องโชคลาง และความเชื่อทางไสยศาสตร์ เมื่อปฏิบัติแล้ว ผู้ปฏิบัติเกิดความมั่นใจ เกิดความสบายใจ จึงปฏิบัติสืบต่อกันมา คุณโชค วารีนาค ผู้มีความรู้เกี่ยวกับวัวชน และเป็นผู้เลี้ยงวัวชน ได้ให้ข้อมูลพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการขนวัวว่า จะเริ่มพิธีกรรมเมื่อมีการเช้ารอบชน หรือติดคู่ ซึ่งวัวชนจะต้องไปอยู่โรงวัวก่อนชนประมาณ ๑๕ วัน หากเป็นวัวใหม่ที่ยังไม่เคยชนมาก่อนจะต้องไปอยู่โรงวัวก่อนชนประมาณ ๒๐ วันเพื่อให้วัวปรับตัว" มีการพาวัวชนไปเดินในสนามชนวัวเพื่อให้วัวชนคุ้นเคยกับสนาม โรงวัวนี้ บางครั้งอาจเรียกว่า "โรงเรือน" มีอยู่ ๒ ประเภท คือ โรงเรือนประเภทชั่วคราวกับโรงเรือนถาวร โดยโรงเรือนชั่วคราวจะถูกสร้างขึ้นในโอกาสพิเศษตามแต่ละเทศกาล เช่น เทศกาลงานเดือนสิบและเทศกาลสงกรานต์ โรงเรือนชั่วคราวมีขนาดประมาณ ๔x๔ เมตร หลังคามุ่งด้วยจาก ฝากั้นด้วยจากหรือผ้าใบ เสาทำด้วยไม้ไม้ไผ่ พื้นเป็นดินกลบผิวหน้าด้วยทรายโรงเรือนชั่วคราวจะสร้างขึ้นเมื่อมีจำนวนวัวมากกว่าที่โรงเรือนถาวจะรองรับได้"ซึ่งการจะไปโรงวัวต้องหาวันที่ดี คือวันที่เป็นมงคล โดยการดูฤกษ์ยาม ซึ่งคุณโชค วารีนาค ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า วันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นวันที่ดีที่สุด และวันที่ห้ามนำวัวออกจากบ้านเพื่อไปโรงวัวคือวันพระ เมื่อไปถึงโรงวัวสิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การไปขอขมาเจ้าที่ที่อยู่ข้างสนามชนวัว ซึ่งที่สนามชนวัวจะมีศาลเจ้าที่อยู่ เจ้าของวัวจะนำดอกไม้ ธูป เทียน หมากพลูไปไหว้เจ้าที่ และบอกล่าวว่าตนจะนำวัวมาชนที่สนามชนวัวแห่งนี้ และต้องดูฤกษ์ที่จะเอาวัวเข้าโรงวัว โดยดูจากยามอุบากอง ซึ่งผู้ทำพิธีกรรมต่าง ๆ และเป็นผู้ดูฤกษ์ยาม คือ หมอวัว ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้สืบทอดกันมา
	นอกจากการดูฤกษ์ยามแล้ว หมอวัวต้องมีความรู้เรื่องการลงอักขระ ซึ่งการลงอักขระนี้ มีทั้งการลงอักขระที่เสาหลักผูกวัว และการลงอักขระในการปลกเสกลงยันต์ตามอวัยวะต่าง ๆ ของวัวชนสำหรับการลงอักขระที่เสาหลักผูกวัว คุณโชค วารีนาค ให้ข้อมูลว่า จะต้องนำดอกไม้ ธูป เทียนไปปักที่เสาหลัก และต้องสวดคาถาก่อนที่จะนำวัวไปผูกที่เสาหลัก คาถาที่สวดเป็นคาถาผูกจิต ผูกใจ ไม่ให้ใครเอาวัวไปได้ ส่วนการลงอักขระที่เสาหลักผูกวัว เป็นการเสียงทาย เพื่อจะสังเกตอาการ และพฤติกรรมของวัวชน ถ้าวัวไม่กลัวเสาหลักผูกวัว จะเอาเขาไปสีที่เสาหลักผูกวัว ซึ่งส่วนมากวัวในลักษณะนี้จะชนชนะคู่ต่อสู้ ถ้าวัวตัวใดที่หนีออกจากเสาหลักผูกวัว และไม่เข้าใกล้เสาหลักผูกวัว ส่วนมากจะชนแพ้คู่ต่อสู้  นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าพฤติกรรมการนอนของวัวก็สามารถทำนายผลการแพ้ ชนะได้ เช่น ถ้าวัวชนนอนหันหน้าไปทางสนามชนวัว แสดงว่าวัวชนจะสามารถสู้กับคู่ต่อสู้ได้ ถ้าวัวนอนกอดเสาหลักเอาขาโอบเสาหลักผูกวัวไว้ แล้วหันหน้าไปหาคู่ต่อสู้ หรือสนามขนวัวตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เป็นพฤติกรรมการนอนที่ดี แสดงถึงความกล้าชน แต่ถ้าวัวชนตัวใดนอนหันหลังพิงหลัก เอาขาออกจากหลัก มักจะแพ้คู่ต่อสู้ อีกทั้งยังเชื่อกันว่าหากเวลา ๑๕.๐๐ น. วัวนอนเอาเขาคร่อมเสาหลักผูกวัว เป็นพฤติกรรมการนอนที่ดี วัวจะชนชนะคู่ต่อสู้อย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าของวัว และหมอวัวจะนอนที่โรงวัว เพื่อคอยดูแลวัวชนของตน ไม่ให้ผู้ใดมาขโมย หรือมาทำอันตรายกับวัวชน อีกทั้งคอยสังเกตพฤติกรรมต่าง ๆของวัวชนตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
	สำหรับการปลุกเสกลงยันต์ตามอวัยวะต่าง ๆ ของวัวชน หมอวัวจะเป็นผู้ทำการปลุกเสกลงยันต์ที่ส่วนต่าง ๆ ของวัวชนได้แก่ หน้าหัว คิ้ว เท้าทั้งสี่ เปลือกปากทั้งบนและล่าง ลำตัวทั้งสองข้างปลายลึงค์ (ปลายอวัยวะเพศ) ปลายหางและบนสันหลัง การปลุกเสกลงยันต์ในตำแหน่งต่าง ๆ ล้วนมีความหมายทั้งสิ้น ได้แก่ การปลุกเสกลงยันต์ที่เขาทั้งสองข้างเพื่อให้วัวใช้เขาต่อสู้ได้แม่นยำ และตรงเป้าหมายในทางกลับกันการปลุกเสกลงยันต์ที่หน้าหัวเพื่อให้วัวชนปลอดภัยแคล้วคลาดจากของคู่ต่อสู้ เช่นเดียวกับการลงยันต์ที่ตาและคิ้วทั้งสองข้างเพื่อให้แคล้วคลาดและพลาดไปด้านข้าง การปลุกเสกลงยันต์ที่เท้าทั้งสี่ เพื่อให้เหยียบย่ำละกนพื้นพื้นดินได้อย่างมั่นคง และการปลุกเสกลงยันต์
ที่สันหลัง ใช้อักษร ๑๖ ทั้งอักษรตัวผู้และตัวเมีย โดยการปลุกเสกลงยันต์อักษรตัวผู้ก่อน ในกรณีที่ปลุกเสกจนมีอาการคลุ้มคลั่ง จะลงอักขระ ๑๖ ที่เป็นตัวเมียเพื่อปรับสู่ภาวะปกติ ซึ่งเป็นการบอกกล่าวแม่พระธรณีได้ทราบและขอความคุ้มครองให้วัวชนรอดพ้นจากการทำร้ายของฝ่ายตรงข้าม จากกรณีนี้ จะเห็นได้ว่า พิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชนวัวผูกพันอยู่กับความเชื่อของคนไทยในอดีต เช่นพระธรณี อันเป็นความเชื่อเกี่ยวกับเทพธิดาประจำแผ่นดิน หรือเจ้าแม่แห่งแผ่นดิน
การชนวัวเป็นกีฬาที่พัฒนามาจากการทำนา ทำให้มีความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการขนวัวซึ่งเป็นการสืบทอด และพัฒนามาจากการทำนา เช่น การไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่เพื่อเป็นการบอกกล่าวก่อนการชนวัว ซึ่งสอดคล้องกับประเพณีการทำนา โดยชาวนาจะบอกกล่าวเจ้าที่นาก่อนไถนา โดยทำเป็นศาลเตี้ย ๆ ความเชื่อเรื่องเจ้าที่ในการทำนาจะอยู่ในประเพณีข้าวภาคใต้ เช่น ประเพณีแรกปักดำ จะมีการบนเจ้าที่ให้คอยปกป้องดูแลต้นข้าวในนาไม่ให้ศัตรูข้าวมาทำลายต้นข้าว ประเพณีแรกนาขวัญ ก็มีการนำหมาก พลู ธูป เทียน ไปอาราธนาเจ้าที่ เพื่อบอกกล่าวก่อนเริ่มทำนา และขอให้การทำนามีความสะดวกปลอดภัยจากอุบัติเหตุในการทำนา อีกทั้งประเพณีสวดนาที่ทำหลังจากทำนาเสร็จแล้ว นอกจากพิธีสงฆ์ ก็ยังมีพิธีไหว้พระภูมิเจ้าที่พร้อมเครื่องเช่นสังเวย เพื่อขอให้ข้าวในนาเจริญเติบโตดี และมีน้ำบริบูรณ์
	นอกจากการไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่แล้ว ยังมีการบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ โดยนิยมทำตอนกลางคืนก่อนที่วัวจะทำการชนในวันรุ่งขึ้น ได้แก่ ต้นไม้ขนาดใหญ่ และสิ่งอื่น ๆ ที่เชื่อถือสืบทอดกันมา ทั้งที่ภูมิลำเนา และสนามวัวชน เช่น การห่มผ้าต้นยางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสนามชนวัวบ้านยวลแหล อีกทั้งยังมีการป้องกันให้แคล้วคลาดจากเสนียดจัญไร เป็นการกระทำเพื่อชับไล่ภูตผีปีศาจ เสนียดจัญไรที่เชื่อว่าจะมารบกวน จึงทำการท่องคาถาเสกข้าวสารหรือทราย แล้วชัดไปรอบโรงเรือนที่เข้าอยู่อาศัย ซึ่งคาถาที่ใช้เสกนี้มาจาก มนต์พิธีที่พระสงฆ์ใช้สวดโดยที่ว่าไป"
น้ำมนต์ สายสิญจน์ และสายมงคล เป็นความเชื่อที่นิยมนำมาใช้ในวันชนวัวในอดีตความเชื่อเรื่องน้ำมนต์ได้รับความนิยมมาก จะมีหมอวัวถือหม้อน้ำมนต์นำหน้าเพื่อพรมน้ำมนต์ตั้งแต่ออกจากโรงเรือนไปจนถึงสถานที่ยืนในสังเวียน แต่ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงไป คือ ใช้ขวดใส่น้ำมนต์เพื่อความสะดวกในการพกพา น้ำมนต์นี้ผ่านการปลุกเสกด้วยคาถาพระพุทธเจ้าเปิดโลกซึ่งจะช่วยปัดรังควาญให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง โดยจะเอาน้ำมนต์กรอกให้วัวดื่มกินก่อน ส่วนที่เหลือจึงราดลงที่ศีรษะตลอดไปถึงลำคอและลำตัวของวัวชน แต่คนบางกลุ่มก็ให้วัวดื่มน้ำมนต์ เพื่อดับกระหายเท่านั้นไม่ได้ราดไปที่วัวดังเช่นคนกลุ่มแรก อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ สายมงคลที่ทำด้วยสายสิญจน์ที่ผ่านการ
ปลุกเสกลงยันต์แล้ว จะนำไปสวมที่โคนเขาของวัวทั้งสองข้าง วัวทุกตัวจะสวมสายมงคลในวันชน ทั้งนี้มาจากความเชื่อว่าเขาวัว เป็นอาวุธที่สำคัญมากในการขนวัว การสวมสายมงคลจะทำให้เกิดความมั่นใจว่าวัวชนจะใช้เขาได้แม่นยำ และสามารถหลบหลีกคู่ต่อสู้ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้สายมงคลยังช่วยให้รู้ว่าวัวติดคู่ชนแล้วอีกด้วย"
	ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับวัวชนมีมากมาย ซึ่งมีทั้งเหมือนกันและแตกต่างกัน เนื่องมาจากการสืบทอดต่อกันมา เป็นการบอกเล่าแบบปากต่อปาก ทำให้อาจมีการผิดแผกแตกต่างกันบ้าง อีกทั้งขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคลของผู้ปฏิบัติแต่ละคน พิธีกรรมต่าง ๆ ที่กระทำก็เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับตนเอง ให้เกิดความสบายใจ รู้สึกปลอดภัย และทำให้มั่นใจในการชนวัว
การชนวัว จึงเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนนครศรีธรรมราช เพราะวัวเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวิถีการเกษตรมาแต่เดิม เมื่อมีกีฬาวัวชน ก็ทำให้คนนครศรีธรรมราชมีอาชีพใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นมีความผูกพันกับวัวจากการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน มีความสุข และความยินดีเมื่อวัวชนของตนได้รับชัยชนะ จึงเกิดมีความเชื่อและพิธีกรรมต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับวัวชนมากมาย  นอกจากนี้การชนวัวยังทำให้เจ้าของวัวเป็นที่รู้จักในสังคมมากขึ้น อาจเนื่องมาจากได้พบปะกันในสนามชนวัว เมื่อมีงานบุญ งานบวช งานแต่งงาน ฯลฯ ก็จะบอกกล่าวกัน เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในสังคมอีกทั้งหากวัวขนของตนชนะ เจ้าของวัวก็จะเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น ได้รับชื่อเสียง และการยอมรับจากคนในสังคม
ที่มาสืบค้นข้อมูล  
	ปกิณกศิลปวัฒนธรรม เล่ม ๒๒ จังหวัตนครศรีธรรมราช
	
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)





