14 พฤษภาคม, 2567

ประเพณีลากพระ-แข่งเรือเพรียวปากพนัง

วิถีชีวิตคนไทยผูกพันกับสายนํ้ามาตลอด เริ่มตั้งแต่การสร้างบ้านแปงเมือง ที่มักจะเลือกทำเลติดแม่นํ้าลำคลอง เพื่อเป็นแหล่งนํ้าในการอุปโภคบริโภค การค้าขายคมนาคมขนส่ง ตลอดจนการทำการเกษตร “สายนํ้า” จึงเปรียบเสมือน “สายโลหิตของชีวิตคนไทย” มาแต่บรรพกาล คนไทยสมัยก่อนนิยมสัญจรกันทางนํ้า โดยมีเรือเป็นพาหนะหลัก เรือพาย จึงมีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของคนไทย เมื่อถึงฤดูนํ้าหลาก ว่างเว้นจากการเพาะปลูก ในราวเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม โดยเฉพาะช่วงเทศกาลงานบุญประเพณีออกพรรษา ชาวพุทธนิยมไปทำบุญตักบาตรเทโวกันที่วัด แล้วจึงมีการจัดขบวนแห่เรือตกแต่งอย่างสวยงามนำองค์กฐิน องค์ผ้าป่าไปทอดถวายยังวัดที่ตนศรัทธา มีการลากเรือพระ หรือชักพระ อาราธนาพระพุทธรูปลงเรือตกแต่งสวยงาม แล้วเห่แหนไปตามแม่นํ้าลำคลองชักชวนชาวพุทธทั้งหลายให้ออกมาร่วมทำบุญกัน เมื่อเสร็จพิธีการทางศาสนาแล้ว เพื่อความสนุกสนานจึงมีการเล่นเรือเพลงตอบโต้สักวากัน เป็นโอกาสที่หนุ่มสาวได้พบปะเกี้ยวพาราสี ลงท้ายด้วยการพายเรือแข่งขัน เพื่อแสดงฝีไม้ลายมือและความพร้อมเพรียงของเหล่าฝีพายชายอกสามศอกสร้างบรรยากาศงานบุญให้ครึกครื้น เป็นการละเล่นหน้านํ้าหลากของคนไทย ควบคู่ไปกับงานบุญประเพณีนั้นเอง การแข่งขันเรือยาวนี้มีมาแล้วเนิ่นนาน ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าตั้งแต่สมัยใด แต่ในสมัยกรุงสุโขทัย มีปรากฏหลักฐานการแข่งขันเรือหลวงพระที่นั่ง ในห้วงเดือน ๑๑ ของทุกปีเป็นพระราชพิธีประจำเดือน ๑๑ เรียกว่าพระราชพิธีอาสยุช (อาสยุช แปลว่า เดือนสิบเอ็ด) เพื่อเป็นการเสี่ยงทายความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง มีการแข่งเรือระหว่างเรือสมรรถไชยของพระเจ้าแผ่นดิน กับเรือไกรสรมุขของอัครมเหสี พระราชพิธีนี้มีสืบเนื่องมาจนถึงปลายกรุงศรีอยุธยาจึงค่อยๆ ร้างลาไป ในสมัยอยุธยาแผ่นดินพระเอกาทศรถ โปรดให้มีการแข่งขันเรือของทหาร เพราะการปกป้องบ้านเมืองในอดีตนั้น เรือมีความสำคัญในการรักษาเอกราชของชาติ การยกทัพในเส้นทางแม่นํ้าลำคลองจะใช้เรือพายเป็นหลัก ยามไม่มีศึกสงครามจึงต้องมีการฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมฝีพายไว้ให้แกร่งกล้า การฝึกซ้อมฝีพายของทหารสร้างความฮึกเหิมให้กับราษฎร จึงขยายสู่การแข่งขันในระดับชาวบ้านจนแพร่หลาย ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ มีการกล่าวถึงการแข่งเรือของชาวบ้านว่าเป็นการละเล่นยอดนิยมซึ่งมักจะมีการพนันขันต่อร่วมอยู่ด้วยเสมอ เรือเพรียวประเพณีจากอดีต-ปัจจุบัน การแข่งขันเรือเพรียวประเพณี เป็นเสมือนกระจกเงาสะท้อนสภาพสังคมและชุมชน เป็นบทพิสูจน์ความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน โดยมีวัดริมแม่น้ำเป็นศูนย์กลางของการแข่งขัน เมื่อถึงฤดูนํ้าหลากผู้ชายในหมู่บ้านตั้งแต่เด็กหนุ่มไปจนถึงคนรุ่นปู่จะมาร่วมกันฝึกซ้อมพายเรือ เสียงหัวเราะรอยยิ้มของผองเพื่อนพี่น้องลูกหลาน เหมือนระฆังกังวานความสุขที่ดังขึ้นในทุกเทศกาลการแข่งขัน การแข่งเรือยาวในระยะแรกๆ แข่งกันแค่หมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อความสนุกสนาน รางวัลเป็นเพียงข้าวสาร อาหารแห้ง นํ้ามันก๊าด หรือผ้าแถบ ซึ่งเมื่อได้มาแล้วจะนำมาผูกไว้ที่โขนเรือ ชนะหลายเที่ยวก็จะได้มาหลายผืน เมื่อเลิกพายแล้วก็จะนำผ้าแถบเหล่านี้มาเย็บต่อกันเป็นผ้าม่านถวายวัด ต่อมาได้มีการพัฒนารางวัลมาเป็น ขันนํ้าพานรอง ถ้วยรางวัล เงินรางวัล จนถึงถ้วยพระราชทานกันไปเลย ระยะหลังเมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอีกหลายหน่วยงานราชการได้เข้ามาร่วมจัดกิจกรรมเพื่อช่วยกันฟื้นฟูอนุรักษ์ ส่งเสริมประเพณีท้องถิ่น รูปแบบในการจัดงานก็เปลี่ยนแปลงไป มีพิธีการ ขั้นตอน และกติกาการแข่งขันที่พัฒนาไปตามปัจจัยทางสังคม จนการแข่งขันเริ่มขยายไปสู่วงกว้าง มีการเชิญหรือทาบทามเรือดังในแต่ละภูมิภาคมาแข่งขัน ซึ่งการนำเรือจากที่ไกลๆ มาเข้าแข่งขันนั้น มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทางคณะกรรมการจัดการแข่งขันจึงเสนองบประมาณค่าลากจูงตามสมควรแก่ระยะใกล้ไกลให้แก่เรือที่เข้าร่วมแข่งขัน ต่อมาเมื่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนไป การแข่งขันเรือยาวกลับปรับเปลี่ยนให้เป็นช่องทางการโฆษณาทางธุรกิจและการเมือง เมื่อนายทุนนักการเมืองสนใจอยากได้คะแนนเสียงจากชุมชน จึงสนับสนุนเงินทุนการแข่งขัน เป็นรางวัลและค่าตอบแทนแก่ทีมที่เข้าแข่ง การพายเรือจึงค่อยๆ กลายเป็นอาชีพ โดยนายทุนได้มอบอำนาจให้กับผู้จัดการเรือเป็นผู้ฝึกซ้อมดูแลพัฒนาทักษะของฝีพาย พัฒนากลยุทธ์ และพัฒนาตัวเรือ ซ่อมบำรุงเรือด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้พร้อมลงแข่งในสนามต่างๆ ที่เจ้าของเรือเห็นชอบ ในการแข่งขันเรือเพรียวนั้น นอกจากทีมเรือของชาวบ้าน ก็ยังมีทีมเรือจากหน่วยราชการต่างๆ ตัวอย่างเช่น เรือเทศบาลเมืองตากใบ (จ.นราธิวาส) เรือฉลามเสือ ค่ายจุฬาภรณ์ สังกัด กรม ร.๓ พล.นย. เรือสันติวารี สังกัดสำนักงานชลประทานที่ ๑๗ ไม่เว้นแม้แต่หน่วยงานภาครัฐด้านความมั่นคง เช่น ทหาร ตำรวจ ก็มีการฝึกซ้อมกำลังพล ส่งฝีพายเข้าร่วมการแข่งขันกวาดรางวัลในแต่ละสนามด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะที่สังกัดกองทัพเรือ อย่างเรือ ยุทธการนาวา ฉายาราชาแห่งลำน้ำ สังกัดหน่วยมนุษย์กบจู่โจมทำลายใต้น้ำ หรือ หน่วยซีล ที่ใครๆ รู้จักก็คว้าถ้วยพระราชทานฯ ประเภท ๕๕ ฝีพายไปครองได้เกือบทุกสนาม ทำให้ฝีพายเรือทหารเหล่านี้กลายเป็นนักพายเรือทีมชาติไทยไปพายแข่งขันในระดับสากลหลายครั้งหลายหน เมื่อวงการเรือเพรียวเป็นที่นิยมมากขึ้น จึงก่อเกิดฝีพายมืออาชีพ ซึ่งพัฒนามาจากฝีพายทหารที่ปลดระวาง และมีโอกาสได้พายเรือไปกับหน่วยงานต้นสังกัด ก่อตัวเป็น “ทีมพายเรือ” ที่มีการพัฒนาเทคนิคและวิธีการแข่งขันอย่างเป็นระบบมากขึ้น มีการจ่ายค่าตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งแต่เดิม “เจ้าภาพหลัก” คือวัดและคณะกรรมการของชุมชน ต่อมาเมื่อหน่วยงานราชการต่างๆ ได้จัดงบประมาณสนับสนุนการจัดงาน เจ้าภาพจึงมีหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมกัน ก่อเกิดทีมงานในรูปแบบที่เรียกว่า “โปรโมเตอร์” มาเป็นกลไกสำคัญของการจัดงานแข่งเรือยาวประเพณี ซึ่งมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การประกวดขบวนแห่ การประกวดกองเชียร์ การแสดงทางวัฒนธรรม มหรสพ การออกร้านแบบงานวัด ตลาดย้อนยุค หรือการจำหน่ายสินค้า โอทอป ฯลฯ มีการประชาสัมพันธ์การแข่งขันผ่านสื่อต่างๆ ทั้งวิทยุโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ส่งผลให้เกิดการรับรู้วันเวลาและสถานที่จัดแข่งขันทั่วประเทศ มีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ก่อให้เกิดเว็บไซต์ของชุมชนคนรักเรือยาวขึ้้้้้นเกือบทุกจังหวัด การแข่งเรือเพรียวประเพณีภาคใต้ เกิดขึ้นบนแม่นํ้าสำคัญของภาคใต้ คือแม่นํ้าหลังสวน ซึ่งมีความยาวถึง ๑๐๐ กม. แม่น้ำตาปี แม่นํ้าบางนรา แม่นํ้าปัตตานี และแม่นํ้าสายบุรี เป็นต้น การแข่งขันเรือยาวทางภาคใต้มีอัตลักษณที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ รายการที่สำคัญได้แก่ “งานประเพณีแห่พระแข่งเรือชิงโล่และถ้วยพระราชทาน ขึ้นโขนชิงธง มรดกทางวัฒนธรรมแห่งลุ่มนํ้าหลังสวน” ณ บริเวณวัดด่านประชากร แม่นํ้าหลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร การแข่งขันที่นี่มีความตื่นเต้นเร้าใจมาก เพราะการตัดสินแพ้ชนะคือการชิงธงกลางแม่นํ้า ซึ่งนอกจากจะมาจากความพร้อมเพรียงของฝีพายแล้ว ยังขึ้นกับความสามารถของนายหัวเรือและนายท้ายเรืออีกด้วย แม่นํ้าตาปีจะมีการแข่งขันเรือยาวใน “งานประเพณีชักพระ-ทอดผ้าป่าและแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน” ริมแม่นํ้าตาปี อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีความสนุกสนานเร้าใจไม่แพ้สนามอื่น จัดเป็นเวลา ๙ วัน ๙ คืน มีขบวนแห่เรือพนมพระหรือชักพระทางนํ้า ล่องมาตามแม่นํ้าตาปี เพื่อให้ประชาชนริมฝั่งแม่นํ้าได้ร่วมนมัสการ ส่วนทางนครศรีธรรมราช มีการจัดการแข่งขันเรือเพรียว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นของชาวปากพนัง โดยงานมีขบวนลากพระทางนํ้า การประกวดขวัญใจชาวเรือ การแข่งขันซัดหลุด หรือขว้างโคลนใส่กันตามวิถีชาวบ้านโบราณ ลงไปถึงปลายด้ามขวาน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมีการแข่งขันเรือกอและ เรือยอกอง และเรือคชสีห์นานาชาติ ชิงถ้วยพระราชทาน ควบคู่กันไปกับงานของดีเมืองนรา ณ บริเวณพลับพลาหาดนราทัศน์ เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ในคราวที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นรายการสำคัญที่สุด แม้ประเพณีลากพระของเมืองปากพนังจะมีมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏชัด แต่เชื่อได้ว่าสืบทอดประเพณีดังกล่าวมาจากเมืองปากพนังซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่าในปี พ.ศ.1272 ได้มีประเพณีลากพระอยู่แล้วในเมืองนครศรีธรรมราช อย่างไรก็ตามการลากพระของเมืองปากพนังเพิ่งมาจัดยิ่งใหญ่เมื่อไม่กี่สิบปีนี่เอง โดยสมัยก่อนการลากพระจะทำในแม่น้ำปากพนัง ซึ่งจะเริ่มด้วยการ “คาดเรือพระ” หมายถึงนำเรือมาเทียบเคียงกันเข้า 2 หรือ 3 ลำ แล้วยึดเรือโยงกันให้มั่นคงแข็งแรง จากนั้นจึงเริ่มสร้าง "บุษบก" หรือที่ชาวใต้เรียกว่า “นมพระ” (นม คือ พนม) โดยจะมีการตกแต่งแข่งขันกันเพื่อความสวยงามก่อนจะอันเชิญ “พระลาก” (พระพุทธรูป) ลงประดิษฐานบนบุษบกกลางลำเรือ พอถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ก็จะใช้เรือแจว เรือพายหลายๆ ลำ มาช่วยกันลากเรือพระในช่วงที่พระภิกษุเสร็จจากฉันเช้าแล้ว จากนั้นจะมีการประชุมเรือกันที่ “บ้านบางนาว” เพื่อถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงค์ที่ไปกับเรือพระ ตกบ่ายก็จะช่วยกันลากพระกลับมาไว้หน้าวัด ส่วนวันแรม 2 ค่ำ เดือน 11 ก็จะมีการลากพระอีกครั้งหลังพระฉันเช้า โดยจะลากเรือตามน้ำไปทางปากน้ำและทอดสมออยู่ในอ่าว ในวันนี้จะมีเรือแจวและเรือพายเป็นจำนวนมากที่จะพากันมาร่วม “ซัดหลุด” (การขุดเอาขี้โคลนในอ่าวมาใส่เรือแล้วไล่ปากัน) ซึ่งเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่สนุกสนานมาก และพอตกบ่ายชาวบ้านก็จะลากเรือพระกลับวัดแล้วรื้อเครื่องประกอบเรือขึ้นเก็บไว้ใช้ในปีต่อไป อย่างไรก็ตามประเพณีนี้ยังอาจทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันถึงขั้นฆ่าแกงกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะการใช้ไม้พายที่ใช้พายเรือตีกัน ดังนั้นจึงมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้าไม่อยากให้คนตีกันในวันลากพระ ให้ใช้ "ลิ่มอัดตีนพระ” (ลิ่มหนุนพระบาทของพระพุทธรูปในเรือพระ) มาแทนฝีพาย นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมอื่นๆ เข้าไปแทน เช่น การละเล่นโบราณ ส่วนประเพณีซัดหลุดก็ไม่ปรากฏในประเพณีลากพระอีกต่อไป และมีประเพณี "การแข่งขันเรือเพรียว (เรือยาว)" ซึ่งจัดได้ดี ดูสนุก ตื่นเต้น จนมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาดูมากขึ้นทุกปี จุดเริ่มต้นของการแข่งขันเรือเพรียวที่ปากพนังเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2526 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยรางวัลจำนวน 3 ถ้วย เพื่อเป็นรางวัลชนะเลิศแก่เรือเพรียวรุ่นเล็ก รุ่นกลาง รุ่นใหญ่
ที่มา http://article.culture.go.th/ https://www.komchadluek.net/news "กฤษณะ ทิวัตถ์สิริกุล"

ประเพณีการสวดมาลัย

ประวัติความเป็นมา ในจังหวัดของภาคใต้นั้นแต่เดิมเมื่อมีงานศพที่ใดมักมีประเพณีของสังคมที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างเป็นแบบแผนและต่อเนื่อง คือการสวดมาลัย การสวดมาลัยคือการตั้งวงกันขึ้นมาเพื่ออ่านหนังสือพระมาลัย ที่เป็นกวีนิพนธ์ร้อยกรองด้วยท่วงทํานองการอ่านที่มีลักษณะเฉพาะ การสวดชนิดนี้ใช้สวดเฉพาะตอนกลางคืนหลังจากสร็จพิธีสงฆ์แล้ว เป็นการสวดทํานองเดียวกับที่ภาคกลางเรียกว่าสวดคฤหัสถ์ การสวดมาลัยแต่เดิมมุ่งตักเตือนอบรมจิตใจของผู้ฟังให้เห็นชัดถึงผลของการกระทําความดีและผลของการกระทําความชั่ว รวมถึงการปฏิบัติตนในสังคมให้มีความสุขที่แท้จริงอย่างสงบ นอกจากมีจุดมุ่งหมายเพื่อการอบรมสั่งสอนแล้ว ยังมุ่งหมายเพื่อจะได้ร่วมกันชุมนุมอยู่เฝ้าศพมิให้งานศพเงียบเหงา เนื่องจากในงานศพของชาวภาคใต้โดยเฉพาะงานศพสด (ศพที่จัดพิธีกรรมหลังจากถึงแก่กรรมแล้วทันทีโดยไม่ต้องเก็บศพไว้จัดพิธีภายหลัง ถ้าเก็บศพจัดพิธีภายหลังเรียกว่าศพแห้ง) แล้วจะห้ามมิให้มีมหรสพใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้การสวดมาลัยจะช่วยให้เจ้าของบ้านหรือญาติของผู้ตายไม่ต้องเศร้าโศกจนเกินไปอีกด้วย ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าการสวดมาลัยเริ่มมีตั้งแต่สมัยใด ชาวบ้านที่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่อายุประมาณ ๘๐-๙๐ ปี ในท้องที่อําเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เล่าว่าสมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่การสวดมาลัยในพื้นที่อําเภอไชยา และอําเภออื่น ๆ ของจังหวัดสุราษฎร์ธานีแพร่หลายมาก มีงานศพที่ใดจะมีการสวดมาลัยที่นั้น และจะมีผู้ฟังการสวดมาลัยเป็นจํานวนมาก ๆ เสมอ สําหรับผู้สวดแต่เดิมจะมีเฉพาะพระภิกษเท่านั้น บทที่ใช้สวดคือหนังสือมาลัยซึ่งบันทึกไว้ในสมุดข่อยหรือสมุดไทยขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่าพระมาลัยคำสวด หนังสือนี้เป็นกวีนิพนธ์ร้อยกรอง ตัวอักษรที่ใช้บันทึกเป็นอักษรขอมไทย มีขอมบาลีแทรกอยู่บ้าง ในหนังสือมีภาพประกอบที่ประณีตสวยงามมาก พระมาลัยที่ใช้สวดกันแต่เดิมโดยผู้สวดคือพระภิกษุมีเนื้อเรื่อง กล่าวถึงพระมาลัยว่าเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งมีฤทธิ์มาก เคยไปโปรดสัตว์นรกและเทศนาสั่งสอนประชาชนทั่วไปให้ปฏิบัติดีเพื่อหลีกเลี่ยงการตกนรก วันหนึ่งพระมาลัยรับดอกบัวจากชายยากจนคนหนึ่ง แล้วนําดอกบัวนั้นไปบูชาพระเจดีย์จุฬามณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ณ ที่นั่นพระมาลัยได้สนทนากับพระอินทร์และได้ถามพระอินทร์เรื่องการประกอบกรรมดี พระศรีอาริย์ได้ร่วมสนทนาด้วยโดยไต่ถามความเป็นไปในโลกมนุษย์ ซึ่งพระศรีอาริย์เทศน์สอนพระมาลัยว่าเมื่อศาสนาของพระพุทธองค์สิ้นสุด ๕,๐๐๐ ปี แล้ว พระองค์จะเสด็จมาประกาศศาสนาของพระองค์ ผู้ที่จะเกิดในศาสนานี้ได้จะต้องทําบุญด้วยการฟังเทศน์คาถาพันให้จบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ เป็นต้น เมื่อหมดสมัยศาสนาของพระพุทธองค์จะเกิดกลียุคอายุคนทั้งโลกจะสั้นมาก คนจะไม่ละอายต่อบาป ครั้นผ่านกลียุคก็จะบังเกิดความอุดมสมบูรณ์ไปทั่ว ระยะนี้เองที่พระศรีอาริย์จะมาโปรดให้ทุกคนตั้งมั่นในความดี พระมาลัยได้นําเรื่องที่พระศรีอาริย์เทศน์สอนนั้นลงมาเล่าแก่ประชาชนในชุมพูทวีปอีกทอดหนึ่ง ส่วนชายยากจนผู้ถวายดอกบัวเมื่อสิ้นชีพแล้วผลบุญจากการถวายดอกบัวทําให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ชื่อว่าอุบลเทวินทร์ มีดอกบัวรองรับทุกก้าวที่เดินไป การสวดมาลัยแต่เดิมพระผู้สวดมีจํานวน ๔ รูป จะสวดบทมาลัยหลังจากพิธีสงฆ์เสร็จแล้ว เมื่อเริ่มสวดพระผู้สวดใช้ตาลปัตรบังหน้า ทํานองสวดเป็นแบบสรภัญญะ เนื้อหาที่สวดจะเริ่มจากบท “ในกาล” ไปจนกระทั่งจบเนื้อหา เนื่องจากการสวดมาลัยแบบนี้มุ่งเนื้อหาสาระในเชิงอบรมสั่งสอนไม่มุ่งที่ความสนุกสนานเป็นเรื่องหลัก ในระยะต่อมาผู้ฟังจึงไม่ค่อยนิยมกันนักเมื่อเป็นเช่นนี้การสวดมาลัย จึงเปลี่ยนแปลงทั้งในส่วนของผู้สวดและเนื้อหาที่สวด คือผู้สวดแทนที่จะเป็นพระภิกษุ ก็เปลี่ยนมาเป็นชาวบ้าน (คฤหัสถ์) ส่วนเนื้อหาก็เพิ่มเติมเนื้อหาอื่น ๆ แทรกเข้าไปนอกเหนือจากเรื่องพระมาลัย จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ทําให้การสวดมาลัยเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในระยะเวลาต่อมา ประเพณีการสวดมาลัยใช้สวดในงานศพเท่านั้น แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผู้สวดมาลัยจะรับปากไปสวดทุกงานศพ ในเรื่องนี้ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ผู้สวดจะรับไปสวดเฉพาะงานศพที่ผู้ตายตายโดยปกติวิสัยเท่านั้น หากถูกลอบฆ่าตายหรือตายโดยถูกสัตว์ร้ายทําอันตรายหรือตกจากที่สูงหรือตายขณะที่มีอายุน้อยเกินไป ฯลฯ วงมาลัยหรือผู้สวดมักจะหาข้ออ้างหาเหตุผลหลบเลี่ยงไม่ยอมไปสวดให้ ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อว่าผู้ที่ตายอย่างผิดปกติวิสัยเป็นอัปมงคลแก่วงมาลัยหรือผู้สวด แต่เดิมมาการสวดมาลัยไม่มีดนตรีประกอบ ต่อมาในระยะหลังการสวดมาลัยใช้เครื่องดนตรีบางอย่างเข้ามาบรรเลงด้วย เช่น ฉิ่ง ขลุ่ย และร่ามะนา ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าเครื่องดนตรีโดยเฉพาะขลุ่ยช่วยเร้าอารมณ์โศกเศร้าให้เกิดกับผู้ฟังได้อย่างดี ส่วนฉิ่งและรํามะนาใช้สําหรับให้จังหวะเพื่อความสะดวกแก่ต้นเพลงหรือแม่คู่และลูกคู่ ในการสวดมาลัยครั้งหนึ่ง ๆ จะมีจํานวนผู้สวด ๔ คน แต่เดิมมีตาลปัตรบังหน้าทุกคนจะมีอยู่ ๒ คนที่ ทําหน้าที่เป็น “แม่คู่” หรือต้นเพลง หรือแม่เพลงนั้นเอง ส่วนที่เหลือเป็น “ลูกคู่" ซึ่งมีหน้าที่รองรับการสวดของแม่คู่ ในการสวดแม่คู่จะนั่งหันหลังให้โลงศพส่วนลูกคู่จจะนั่งหันข้างให้โลงศพ ทั้งแม่คู่และลูกคู่จะแต่งกายตามความสะดวก แต่จะไม่เน้นแต่งสีฉูดฉาด ส่วนใหญ่จะสวมเสื้อสีดํา สีน้ำเงินหรือสีขาว เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าภาพ นอกจากนี้อาจจะมีอุปกรณ์บางอย่างที่ใช้ในการสวดด้วยคือผ้าซับเหงื่อ หัวโล้น หน้ากาก หนวด เขี้ยว สังข์ แว่นตา หวี และแป้งผัดหน้า อุปกรณ์เหล่านี้จะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่แสดงในแต่ละตอน ต่อมาในระยะหลังการสวดมาลัยไม่ค่อยเคร่งครัดตามที่ปฏิบัติมาแต่เดิม มีวงมาลัยที่มีผู้สวดเป็นผู้หญิงเกิดขึ้นจํานวนผู้สวดจะมีกี่คนก็ได้ การนั่งก็ไม่ค่อยกําหนดว่าใครจะนั่งตําแหน่งไหน มักนั่งล้อมวงกันหน้าศพตามความสะดวก ไม่มีตาลปัตรใช้ตั้งแต่ก่อนมีการผลัดกันร้องผลัดกันรับหรือไม่ก็ต่อกลอนกันไปทั้งวง การสวดมาลัยที่ถือปฏิบัติกันโดยทั่วไปมีขั้นตอนหรือลำดับคือ - จัดหมากพลู ธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย - ตั้งนะโม ๓ จบ เพื่อสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย - การไหว้คุณ คือไหว้ครูอาจารย์และสิ่งที่เคารพนับถือ เช่น สิบนิ้วเศียรสิบ บรรจงจิบขึ้นตั้ง ยกขึ้นเหนือเศียรรัง ต่างดอกประทุมมา ผมจะไหว้คุณพระพุทธ แล้วจะยุดคุณพระธรรม อันประเสริฐเลิศล้ําแคนไตร ฉันจะไหว้คุณพระสงฆ์ ท่านผู้ทรงวินัย ช่วยคุ้มโพยภัยตัวข้า ผมจะไหว้คุณบิดร ฉันขอพรคุณมารดา ท่านได้เลี้ยงรักษา ข้ามาจนเติบใหญ่ ไหว้ครูผู้สอนศิษย์ ท่านสอนให้ขีดให้เขียน ท่านสอนให้เล่า ท่านสอนให้เรียนทั้งขอมไทย คณะของฉันได้ฝึกหัด แต่ยังไม่ชัดเจน เปรียบเหมือนไม้หลักปักเลน ยอมโอนเอนไป …………………… เรื่องเคารพข้าขอจบลงไว้ จะสาธกยกขยายฝ่ายพระมาลัย - สวดบทในกาล อันเป็นบทเริ่มเรื่องในหนังสือพระมาลัย เหตุที่เรียกบทในกาลก็เพราะว่าคําขึ้นต้นของบทสวดตอนนี้ใช้ว่า “ในกาลอันลับล้น” เนื้อหาของบทนี้จะเป็นการเล่าประวัติของพระมาลัยเกี่ยวกับการโปรดสัตว์นรก มนุษย์ การบูชาพระเจดีย์ จุฬามณีในสวรรค์ การสนทนากับพระอินทร์ และพระศรีอาริย์ การแจกแจกรรมและโทษทัณฑ์ที่ได้รับจากการ ประพฤติชั่วดังความว่า ในกาลอันลับล้น พ้นไปแล้วแต่ครั้งก่อน ภิกษุหนึ่งได้พระพร ชื่อมาลัยเทพเถร อาศัยบ้านกัมโพธ ชลบาโรหเจน อันเป็นบริเวณ ในแว่นแคว้นแดนลังกา พระมาลัยผู้มีฤทธิ์ ท่านประสิทธิ์ด้วยปัญญา ครองศีลทรงสิกขา ฌาณสมาบัติเธอบริบูรณ์ พระมาลัยลงไปโปรดสัตว์ ดุจดังองค์โมคคัลลาน ให้นรกเย็นสําราญ พ้นจากยากเพียรปางตาย พระมาลัยท่านยังอยู่ เมื่อหม้อเหล็กนั้นบันดาลหาย พ้นทุกข์อันตราย ในนรกแสนเย็นใจ ---------- ผู้ใดดีพ่อแม่ ปู่ย่าแก่แลตายาย ดีด่าสงฆ์ทั้งหลาย ดีภิกษุแลเจ้าเณร ผู้นั้นครั้นตายไป ด้วยบาปกรรมเป็นนายเวร บาปตีแม่ที่เจ้าเณร ให้ล้มลุกเป็นฉกรรจ์ กงจักรพัดอยู่หัว สิ้นพุทธันดรกัลป์ เพราะบาปใจอาธรรม์ ตีพ่อแม่แลดีสงฆ์ กงจักรพัดหัวไว้ เลือดไหลซาบอาบรดตนเอง บาปตีแม่แลตีสงฆ์ กงจักรกรคพัดหัวไว้ เลือดไหลย้อยหยด กงจักรกรดพัดบ่วาย เร่งร้องเร่งครางตาย กงจักรกรดเร่งผัดผัน ----------- - สวดบทลำนอก หรือที่เรียกว่าบทเบ็ดเตล็ด การแทรกบทลํานอกเข้ามาก็เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้เกิดความสนุกสนาน ผู้เล่นจะสรรหาเนื้อหาสาระหรือเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยการนํามาจากวรรณกรรมพื้นบ้านบ้าง วรรณคดีบ้างหรือคิดขึ้นเองบ้าง วรรณกรรมพื้นบ้านที่นิยมนํามาแทรกได้แก่เรื่องนายทน-นางบัวโทน และเรื่องสุบินกุมาร ส่วนวรรณคดีน่ามาจากหลายเรื่อง เช่น ขุนช้าง-ขุนแผน พระอภัยมณี รามเกียรติ์ อิเหนา ลักษณาวงศ์ จันทโครพ ใคบุด และสาวเครือฟ้า เป็นต้น การสวดบทลํานอก ท่วงทํานองการสวดที่ใช้อาจจะเป็นเพลงลําตัด เพลงฉ่อย เพลงนา หรือทํานองเพลงไทยเดิม เช่น สร้อยสนตัด พัดชา แขกมอญ และลาวเสี่ยงเทียน เป็นต้น บางท้องถิ่นเรียกบทลํานอกนี้ว่า “บทยักมาลัย คือถือว่าเป็นการพลิกแพลงตามความถนัดและความสามารถของผู้สวด ตัวอย่างบทลํานอกจากวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องนายทน-นางบัวโทน นายทนเป็นคนโฉด ครั้นเพื่อนโกรธพูดยันชั้น เสือสางช้างสามพัน ก็ไม่ทันกับนายทน มีเมียชื่อนางทาน แม่นงคราญดูชอบกล มีบุตรอยู่หนึ่งคน แม่หน้ามนงามโสภา คารมพอสมศักดิ์ นายทนรักเป็นหนักหนา อายุได้สิบห้า นามชื่อว่าเจ้าบัวโทน วันนั้นเจ้าลูกสาว เข้าในห้องย่องย่างโจน ตีแมวถูกกระโถน น้ำหมากหกตกที่นอน นายทนโกรธโกรธา ร้องด่าว่าอีลูกอ่อน ขี้ริ้วแม่ไม่สอน ไม่น่านอนกับขุนนาง สําหรับกับลิงป่า ก็จะพาไปให้ค่าง ชอบอยู่ปลายยูงยาง กับขุนนางไม่พอใจ ตัวอย่างบทลํานอกจากวรรณคดีเรื่องจันทโครบ พอสายัณห์ตะวันแดงแจ้งอากาศ นางจําชาติขึ้นได้ว่าเลือดผัว ชะนีน้อยห้อยโหนแล้วโยนตัว ร้องเรียกตัวเสียงชัดภาษาคน นางชะนีนั้นไม่มีตัวผู้ผัว ผู้หญิงชั่วแรมร้างอยู่กลางหน เอาลิงค่างต่างตัวเป็นตัวตน ให้พิกลใบ้บ้านราคาญ มาประสบกับค่าสชมต่างผ้ว ผู้หญิงชั่วชายร้างกลางไพรสณห์ นางน้อยจิตคิดมาน่าราคาญ เพราะกรรมการเคยสร้างแค่ปางก่อน ท้าวโกสีย์สาปสรรให้ฉันเป็นสัตว์ เที่ยวลอดลัดอยู่ในไพรสรณ์ แต่ยังขาดตัวผู้นางไร้คู่นอน มิ่งสมรนางน้องร้องรำพัน เสียงโว้ยไว้ยโหยให้อยู่ปลายพฤกษา ไม่เห็นหน้าผัวรักชักโศกศัลย นางชะนี้จึงไม่มีตัวของมัน ถูกสาปสรรเพราะว่ากรรมเคยทำมา ---------- ตัวอย่าง...บทลำนอกที่ผู้สวดคิดขึ้นเอง เมียท่านหน้าแช่มช้อย นางแน่งน้อยงามนงคราญ ใจเจ้าร้ายไปเบียนผลาญ ยุยงเอาด้วยเล่ห์กล ทํายาแฝดแล้วเรียนมนต์ ให้ผัวตนเมาตัณหา แต่งกายสามโสภา เพื่อจะให้ชายอื่นดู แต่งกายสามโสภา เพื่อจะให้ชายอื่นดู ต่อหน้าที่เป็นมิตร ลับหลังคิดเป็นศัตรู พรางตัวไม่ให้รู้ ลักเล่นชู้เสพกามา ในการสวดบทลํานอกผู้สวดมักจะแต่งตัวให้สอดคล้องกับเรื่องราวที่นํามาสวดนั้น ๆ อุปกรณ์ที่กล่าวถึงในตอนต้นก็จะนํามาใช้ในการสวดตอนนี้ นอกจากนี้ระหว่างการสวดบทลํานอกบางบทจะมีบทเจรจาแทรกเป็นตอน ๆ และจะมีการแสดงท่าทางหรือร่ายรําประกอบเนื้อหาที่สวดด้วย การสวดลํานอกจะสวดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรุ่งเช้า ก็จะหยุดสวด ในการสวดมาลัยมีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า จะต้องใช้สวดในงานศพและศพที่ผู้สวดจะไปสวดจะต้องเป็นศพที่เสียชีวิตตามปกติ ผู้สวดจะต้องเป็นผู้ชายและการสวดจะต้องสวดในเวลากลางคืนเท่านั้น นอกจากนี้การฝึกหัดสวดมาลัยจะต้องไปฝึกหัดสวด หรือซักซ้อมนอกบ้านเช่นที่ศาลาในป่าช้า ชายป่า กลางทุ่งนา ในวัด ขนํานา หรือโรงนา จะไม่นํามาฝึกสวดหรือซักซ้อมที่บ้าน เพราะเชื่อว่าจะเป็นเสนียดจัญไรแก่บ้านและผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ผู้สวดมาลัยเมื่อเดินทางกลับไปถึงบ้านจะต้องอาบน้ำชําระร่างกายให้สะอาดเสียก่อนที่จะขึ้นบ้านเรือนของตน ประเพณีการสวดมาลัยเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน การนําเรื่องพระมาลัยมาใช้สวดในงานศพนับเป็นการให้สาระแก่ชีวิตที่สอดคล้องกับความเชื่อของพุทธศาสนิกชน เป็นทางหนึ่งที่ช่วยอบรมจิตใจผู้ฟังให้เห็นถึงผลแห่งการกระทําความดีความชั่ว โดยมีศพเป็นสิ่งเชื่อมโยงให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้ตายว่าเป็นอย่างไร ควรแก่การยึดถือเป็นแบบอย่างหรือไม่เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ฟังการสวดมาลัย ก็สามารถที่จะนําไปใช้ปฏิบัติตนในสังคมให้มีความสุขสงบที่แท้จริงได้ อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการสวดมาลัยใช้สวดเฉพาะในเวลากลางคืน และสวดหลังจากที่พิธีสงฆ์เสร็จสิ้นแล้ว จุดประสงค์ที่เห็นได้ชัดก็คือในเวลาดังกล่าวแขกเหรื่อที่มาร่วมงานจะพากันกลับบ้าน จะเหลืออยู่เฉพาะผู้คุ้นเคยหรือญาติมิตรที่สนิทสนมจํานวนหนึ่งเท่านั้น การสวดมาลัยจึงมีส่วนช่วยให้งานศพไม่ว้าเหว่เหียบเหงา ช่วยปลุกปลอบใจให้เจ้าของบ้านไม่ตกอยู่ในความโศกเศร้าจนเกินไป นอกจากนี้สภาพตอนกลางคืนที่เงียบสลัดจะช่วยให้การสวดมีความไพเราะยิ่งขึ้น ผู้ฟังจะได้รับอรรถรสเข้าไปโดยปราศจากสิ่งรบกวนอื่น ๆ ในกรณีที่ว่าผู้สวดมีเฉพาะผู้ชายเท่านั้นประเด็นนี้น่าจะชี้ให้เห็นว่าการสวดมาลัย ซึ่งสวดในเวลากลางคืนจนกระทั่งรุ่งสาง จึงไม่เหมาะไม่ควร (สมัยต่อมาได้เปลี่ยนไป) ที่จะให้ผู้หญิงร่วมสวดประเภทนี้ เพราะสังคมชาวภาคใต้ค่อนข้างจะเคร่งครัด ที่จะให้ผู้หญิงควรอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนโดยเฉพาะในยามวิกาล ในส่วนของการฝึกหัดหรือซักซ้อมการสวดมาลัย ซึ่งห้ามกระทําที่บ้านและการที่ผู้สวดมาลัยต้องอาบน้ําชาระร่างกายให้สะอาดก่อนที่จะขึ้นบ้านเรือนของตนนั้น ในประเด็นนี้น่าจะเกี่ยวพันอยู่กับความเชื่อเรื่องสิ่งที่ไม่เป็นมงคล กล่าวคือพฤติกรรมที่เป็นข้อห้ามดังกล่าวเกี่ยวข้องอยู่กับศพ หรือผี ซึ่งชาวภาคใต้มีความเชื่อว่าอาจจะนําสิ่งไม่ดีมาสู่บุคคลและครอบครัวได้จึงให้ละเว้นดังกล่าว นอกจากนี้อาจจะมุ่งให้เห็นว่าการสวดมาลัยเป็นเรื่องสําคัญเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ที่บุคคลโดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องมิได้ จึงได้มีข้อห้ามเช่นนี้ขึ้นมายึดถือปฏิบัติกันมาในอดีตแทบทุกงานศพ แต่สําหรับในปัจจุบันประเพณีนี้หาดูได้ยากขึ้นทุกที่ทั้งนี้เพราะว่าในงานศพมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้กันมากขึ้น มีการเปิดเทปบันทึกเสียง ซีดี วีดีทัศน์ที่มีทํานองเศร้าโศกสะเทือนใจ ตามแบบของชาวภาคกลางมีอยู่แทบทุกงาน การสวดมาลัยผู้สวดมักเป็นสวดแบบสมัครเล่นเพราะจะยึดถือเป็นอาชีพหลักนั้นไม่ได้ ในส่วนของการสืบทอดการสวดมาลัยต้องจดจําบทเพลง ต้องฝึกฝนจนแม่นยําทั้งเนื้อร้องและทํานอง ต้องเป็นผู้รอบรู้ประเด็นต่าง ๆ เหตุและปัจจัยเหล่านี้ทําให้ขาดผู้สนใจที่จะสืบทอดการสวดมาลัยอย่างจริงจัง นอกจากนี้ประเพณีดังกล่าวต้องเกี่ยวข้องอยู่กับศพ กรอปความกลัวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี เรื่องเสนียดจัญไรก็มีผลต่อผู้ที่จะสืบทอดด้วย การสืบทอดจึงจํากัดอยู่ในวงแคบ ๆ สิ่งที่ควรพิจารณาสําหรับการอนุรักษ์ส่งเสริมหรือเผยแพร่ที่เพิ่มเติมเข้ามา คือการที่เมื่อมีการสวดมาลัยจะมีบทลํานอกแทรกอยู่อย่างมากมายซึ่งเน้นความบันเทิง ความสนุกสนานเป็นสาคัญนั้น จึงทําให้แก่นแท้หรือสาระสาคัญของประเพณีนี้หมดลงไปได้ ผู้อนุรักษ์จึงควรเน้นให้ชัดว่าจะมุ่งสิ่งใดเป็นสําคัญมิเช่นนั้น จะทําให้เกิดการเข้าใจผิดในเรื่องสาระสําคัญได้ นอกจากนี้การที่ผู้เล่นมาลัยนําเอาสุรามาเกี่ยวข้องกับประเพณีนี้ว่าต้องใช้สุรามาทําให้เกิดความกล้านั้น น่าจะเป็นความคิดผิด ๆ อย่างไรก็ตามถ้าหากว่า สังคมยังต้องการให้ประเพณีนี้ยังคงอยู่ตลอดไป ซึ่งจะต้องอาศัยการส่งเสริมของรัฐ นักวิชาการอย่างจริงจังเพื่ออนุรักษ์และสืบทอดประเพณีนี้ให้อยู่คู่งานศพและภาคใต้ตลอดไป
บรรณานุกรม ชวน เพชรแก้ว. (2537). ชีวิตไทยชุดสมบัติตายาย. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. Facebook : ฐานข้อมูลท้องถิ่นภาคใต้-มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

07 พฤษภาคม, 2567

ผ้ายกเมืองนคร

จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงในการทอผ้ายก (ฝ้าย / ไหม / โทเร)มีการทอลวดลายดั้งเดิมได้แก่ ลายราชวัติ ลายสับปะรด ลายดอกมะลิ ลายดอกเขมรกลม ลายดอกพิกุล ลายแมงมุมก้านแย่ง ลายดอกเขมร ลายดอกจัน ลายดอกรัก ลายเขมรหรือลายพระตะบอง ลายลูกแก้ว ลายคดกริชเป็นต้น นอกจากนั้นยังพบลวดลายอื่น ๆ อีกมากที่ไม่ทราบชื่อทั้งที่เป็นลายดั้งเดิมสืบทอดแต่ไม่ได้จดจำชื่อลาย และเป็นลายที่ประยุกต์ขึ้นมาในภายหลัง โดยการเปลี่ยนสีและพัฒนาลวดลาย เพิ่มเติมเข้าไปจากลวดลายเดิม เช่นก้าน ดอก ใบ เกสร ของพรรณไม้ต่าง ๆ เพื่อให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น เป็นต้น จากการสำรวจพบว่าส่วนใหญ่ได้ทอเพื่อนำมาทำเป็นผ้าซิ่น ผ้าสไบ ผ้าขาวม้า ผ้าห่ม และผลิตภัณฑ์แปรรูปได้แก่ เสื้อผ้า เน็คไท ผ้าเช็ดหน้า ผ้าพันคอ ผ้ารองจาน กระเป๋าถือ กรอบรูป พวงกุญแจ เครื่องตกแต่งบ้านเรือน เป็นต้น การสืบทอดทางวัฒนธรรม มีการสำรวจพบว่าวัฒนธรรมการทอผ้ายกเมืองนครศรีธรรมราชนั้นเริ่มต้นจากในปี พ.ศ. 2320 ตรงกับสมัยกรุงธนบุรี เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) มีความสนใจในงานทอผ้าและมีปัญหาหมางใจกับเจ้าเมืองสงขลา เนื่องจากได้เกณฑ์เอาช่างทอผ้า รวมทั้งบุตรสาวของกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่และ บุตรสาวของราษฎรเมืองสงขลาที่ทอผ้าเป็นมาไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช จากหลักฐานดังกล่าวเมืองนครศรีธรรมราชจึงน่าจะได้รับแบบอย่างการทอผ้าจากเมืองสงขลามาบ้างต่อมาในปี พ.ศ. 2354 เกิดกบฏขึ้นที่เมืองไทรบุรี เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ได้ออกไปปราบปราม และกวาดต้อนชาวไทรบุรีมาอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีช่างฝีมือและช่างทอผ้ารวมอยู่ด้วย (เดิมเป็นชาวอินเดียได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทรบุรีและสอนงานทอผ้าให้แก่ชาวไทรบุรีก่อน) จนในที่สุดได้เกิดการผสมผสานศิลปวัฒนธรรมการทอผ้าเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นงานทอผ้ายกเมืองนครศรีธรรมราชที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผ้ายกทองนั้นจะใช้เฉพาะเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ส่วนผ้ายกธรรมดาที่ใช้กันทั่วไปมักจะใช้ในงานพิธีกรรมต่างๆ โดยผู้หญิงมักจะนุ่งผ้ายกดอกหน้านาง หรือผ้าเก็บนัด ส่วนผู้ชายนุ่งผ้าหางกระรอกและนิยมใส่สีผ้าแยกตามวัน เพราะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่าจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวมาผ้ายกเมืองนครศรีธรรมราชน่าจะได้รับแบบอย่างมาจากชาวไทรบุรีที่ถูกกวาดต้อนมาในปี 2354 นั่นเอง “ยก” เป็นการทอซึ่งมีลักษณะคล้ายการขิดมากแต่ซับซ้อนยุ่งยากกว่า เนื่องจากผ้ายกจะทอลายพิเศษ โดยใช้เส้นด้ายพุ่งพิเศษ อย่างไหมดิ้นเงินหรือดิ้นทอง เพื่อเพิ่มลวดลายในเนื้อผ้าให้งดงามพิเศษยิ่งขึ้น นิยมเรียกผ้าซึ่งทอยกด้วยดิ้นเงินว่า “ผ้ายกเงิน” หากทอยกด้วยดิ้นทองจะเรียกว่า “ผ้ายกทอง” นอกจากนี้บางครั้งผ้ายกยังมีชายเชิงที่แปลกตาจะเรียกผ้ายก ซึ่งทอมีเชิงตามลักษณะของวัสดุที่ใช้ เช่น เรียกผ้ายกเชิงเงิน หรือผ้ายกเชิงทอง ปัจจุบันตัวผืนผ้ายกใช้การเก็บตะกอลอยหรือเขาลอย เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ผู้ทอไม่ต้องคัดเก็บลายแล้วถอดออก หรือต้องเก็บลายใหม่ทุกครั้งเมื่อจะทอ ทําได้โดยการยกตะกอแยกด้ายเส้นยืน และในบางครั้งการยกดอกจะมีการเพิ่มด้ายเส้นพุ่งจํานวนสองเส้น หรือมากกว่านั้นเข้าไปในผืนผ้า การทอผ้ายกนี้ใช้เวลานานมากและมีความสลับซับซ้อน ดังนั้นจึงมักทอผ้ายกสําหรับใช้ในโอกาสพิเศษเท่านั้น (ธีรพันธ์ จันทร์เจริญ, ๒๕๕๖, น. ๔๐ ; อ้างอิงใน สายฝน จิตนุพงศ์, ๒๕๕๗) ในเมืองไทยมีการทอผ้ายกกันหลายภูมิภาค ทั้งในภาคเหนือแถบจังหวัดเชียงใหม่ ลําพูน ลําปาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด และภาคใต้คือ จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานีและตรัง ทว่าผ้ายกซึ่งทอในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เรียกกันในชื่อเฉพาะถิ่นว่าผ้าพุมเรียง ส่วนผ้ายกซึ่งทอในจังหวัดตรัง มักเรียกว่าผ้านาหมื่นศรี ซึ่งผ้ายกในแต่ละที่ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะที่สวยงามและโดดเด่นแตกต่างกัน การทอยกดอกจะต้องเตรียมเส้นยืนโดยการก่อเขาหรือเก็บตะกอลายผ้าเพื่อยกหรือดึงเส้นยืนบางส่วนขึ้นและข่มหรือดึง เส้นยืนบางส่วนลง ทําให้เกิดช่องว่างสําหรับพุ่งกระสวย เส้นพุ่งเข้าไปสานขัดกับเส้นยืน เนื่องจากผ้ายกจะทอลายพิเศษโดยใช้เส้นด้ายพุ่งพิเศษ อย่างไหมดิ้นเงินดิ้นทอง เพื่อเพิ่มลวดลายในผ้าให้งดงามยิ่งขึ้นบางครั้งผ้ายกจะมีชายมีเชิงที่แปลกตา เรียกผ้ายกที่มีเชิงตามลักษณะของวัสดุที่ใช้ เช่น เรียกผ้ายกเชิงเงิน หรือผ้ายกเชิงทอง ปัจจุบันผ้ายกใช้เก็บตะกอ ตะกอลอยหรือเขาลอยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ผู้ทอไม่ต้องคัดเก็บลายแล้วถอดออก หรือต้องเก็บลายใหม่ทุกครั้งเมื่อจะทอ ทําได้โดยการยกตะกอแยกเส้นด้ายยืน และในบางครั้งการยกดอกจะมีการเพิ่มด้ายเส้นด้ายพุ่งจํานวนสองเส้น หรือมากกว่านั้นเข้าไปในผืนผ้า ผ้ายกนครจัดเป็นผ้าพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์ มีคุณภาพดีเป็นที่ต้องการอย่าง กว้างขวาง มีปรากฏในเพลงร้องเรือที่ว่า.... ไปเมืองคอนเหอ ไปซื้อผ้าลายทองสลับ ชื่อมาตั้งพับ สลับทองห่างห่าง หยิบนุ่งหยิบห่ม ให้สมขุนน้ำขุนนาง สลับทองห่างห่าง ทุกหมู่ขุนนางนุ่ง......เหอ จากเพลงกล่อมเด็กบทนี้ทําให้ทราบได้ทันทีว่าที่นครศรีธรรมราชมีการทอผ้ากันมาอย่างเป็นสําเป็นสันมาเป็นเวลานานแล้ว การทอผ้ายกนครมีหลักฐานว่าชาวนครศรีธรรมราช ผ้ายกเป็นวิธีการทำลวดลายบนผืนผ้าโดยแยกเส้นด้ายยืนขึ้นลงแล้วสอดเส้นด้ายพุ่งตามแนวที่คัดไว้โดยใช้ตั้งแต่สามตะกอขึ้นไป การยกในบางครั้งเพิ่มเส้นด้ายพุ่งจำนวน ๒ เส้น หรือมากกว่านั้นหรือเพิ่มดิ้นเงินดิ้นทองเข้าไปจะได้ลวดลายที่เหมือนกับการจกและขิด คือใช้ไม้ปลายแหลมยกเส้นด้ายยืนให้ลอยขึ้น สอดใส่เส้นด้ายพุ่งที่ทำจากไหมเข้าไปขัดกับเส้นยืน กลายเป็นผ้าพื้นสลับกับการพุ่งด้ายที่ทำจากดิ้นเงินหรือดิ้นทองให้เกิดเป็นลวดลายตามความต้องการ เส้นด้ายยืนที่ใช้ทอผ้ายกส่วนใหญ่ทำจากไหม ไหมเทียม ฝ้ายและด้ายใยผสมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับผืนผ้า ผ้ายกมักเรียกตามชื่อวัสดุที่ใช้ เช่น ผ้าทอยกดิ้นทอง เรียกว่าผ้ายกทอง ผ้ายกของแต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างด้วยวิธีการทอและสีสันที่เลือกใช้ ได้แก่ภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน นิยมทอเป็นผ้านุ่งผ้าซิ่นและยังนิยมทอเป็นผ้าห่ม เรียกว่าผ้าห่มตาแสง ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายทอยกดอกสีดำ แดง ขาว เป็นลายตารางสี่เหลี่ยม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการทอขึ้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด อุบลราชธานี สุรินทร์ และภาคใต้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สงขลา ลายโบราณที่นิยมทอเป็นลายดอกพิกุล ลายดอกแก้ว นิยมใช้เป็นผ้านุ่งโดยจะนุ่งในโอกาสพิเศษ เช่น งานแต่งงาน งานบวช เป็นต้น การทอผ้ายกมีความละเอียดประณีตการทอแต่ละผืนจึงต้องใช้เวลามาก กล่าวกันว่าบางครั้งใช้เวลาในการทอผ้ายกหลาละ ๑ เดือน การทอผ้ายกเมืองนครศรีธรรมราช มีชื่อเสียงเป็นที่เชิดหน้าชูตาของเมืองนครศรีธรรมราชมานาน เป็นสินค้าพื้นเมืองสําหรับชนชั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้ายกดิ้นเงินพื้นทอง ผ้ายกฝ่ายจะใช้ในหมู่คนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นผ้ายกจึงเป็นผ้าทอที่ใช้ในโอกาสพิเศษจริง ๆ ลักกษณะเฉพาะของผ้ายกนครศรีธรรมราช จะทอด้วยไหมทั้งผืนเล้วทอยกด้วยดิ้นเงิน หรือคนทอง เป็นผ้าชั้นสูงที่ใช้เฉพาะเจ้าเมืองและข้าราชการชั้นสูงเท่านั้น ผ้ายกเมืองนครเป็นผ้าทอพื้นเมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ทอสืบต่อกันมาแต่โบราณ เป็นผ้าที่ได้รับการยกย่องมาแต่โบราณว่าสวยงามแบบอย่างผ้าชั้นดี ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าในสมัยอาณาจักรตามพรลิงค์หรือตัมพะลิงค์ ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณที่มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธศตวรรษที่ ๗ และมี ศูนย์กลางอยู่ที่นครศรีธรรมราชในปัจจุบัน คงจะมีการทอผ้านี้กันแล้วเพราะยุคนั้นตามพรลิงค์เป็นเมืองท่าศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม จึงมีการแลกเปลี่ยนรับเอาศิลปวัฒนธรรมจากจีน อินเดียและอาหรับ ซึ่งชาติต่าง ๆ เหล่านี้คงจะนําเอาวิชาการทอผ้ามาถ่ายทอดไว้ ซึ่งทําให้ชาวพื้นเมืองรู้จักการทอผ้าทั้งผืนเรียบและผ้ายกดอก ส่วนการทอผ้ายกที่ลวดลวดลายสีสันวิจิตรงดงาม คงเพิ่งจะเริ่มทํากันในสมัยอยุธยาตอนปลายหรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น กล่าวกันว่าชาวเมืองนครศรีธรรมราชได้แบบอย่างการทอผ้ามาจากแขกเมืองไทรบุรี ในปี พ.ศ. ๒๓๕๔ เมื่อครั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชยกกองทัพไปปราบกบฏ เมื่อถึงเวลากลับก็ได้กวาดต้อนครอบครัวเชลย ในจำนวนนั้นก็มีพวกช่างฝีมือต่าง ๆ มาด้วย รวมทั้งช่างทอผ้ายกจึงทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมกับความรู้ดั้งเดิม ผ้ายกนครเกิดขึ้นโดยกรรมวิธีการทอที่สลับซับซ้อนประกอบกับทอด้วยความพิถีพิถันจากวัสดุที่นํามาทอก็เป็นสิ่งที่สูงค่ามีราคา จึงถือได้ว่าผ้ายกเมืองนครเป็นงานประณีตศิลป์ชั้นเยี่ยมตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนเป็นเอกลักษณ์ของการทอผ้ายกเมืองนครที่ขึ้นชื่อในเวลาต่อมาจนถึงรัชกาลพระจุลจอมเกล้า เป็นยุคสมัยที่การปกครองบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นและสภาพเศรษฐกิจดี ส่งผลให้การทํานุบํารุงศิลปะในแขนงต่าง ๆ เจริญรุ่งเรือง ผ้ายกเมืองนครเป็นของที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้กับบุคคลสําคัญ เจ้านายและข้าราชบริพารชั้นสูง ใช้สวมใส่เวลาเข้าเฝ้าเป็นการแสดงสถานะของบุคคล ฝีมือการทอผ้าของชาวเมืองนครศรีธรรมราชมีชื่อเสียงมานาน เป็นที่รู้จักกันดีทั้งในกรุงเทพฯ และทั่วภาคใต้ คนทั่วไปเรียกกันว่า “ผ้ายกเมืองนคร” สมัยก่อนชาวเมืองนครศรีธรรมราชนิยมนุ่งผ้าโจงกระเบนกันทั้งหญิงและชาย พวกข้าราชการกรมเมือง ข้าราชการศาลและราษฎรนุ่งกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะเจ้านายผู้หญิงของเมืองนครฯ นุ่งผ้ายกจีบเวลาออกรับแขกเมืองหรือไปร่วมพิธีทําบุญที่วัดอยู่เป็นประจํา นอกนี้แล้วในพิธีถือน้ําพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการเมืองนครศรีธรรมราช ผู้ที่เข้าพิธีถือน้ําจะต้องนุ่งผ้ายกขาวเชิงทองเรียกว่า “ผ้าสัมมะรส” สําหรับผ้ายกทองนั้นจะใช้เฉพาะเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในรั้วในวังหรือเจ้า ซึ่งพระยานครได้ส่งเข้ามาถวายเจ้านายในกรุงเทพฯ ส่วนผ้ายกธรรมดาก็ใช้กันโดยทั่วไป มักจะใช้พิธีแต่งงานไปวัดหรืองานมงคลอื่น ๆ เช่น บวชนาคและโกนจุก ผู้หญิงมักจะนุ่งผ้ายกดอกหน้านางหรือผ้าเก็บนัด ผู้ชายก็นุ่งผ้าหางกระรอก ตัวอย่าง ผ้ายกรุ่นเก่าของเมืองนครศรีธรรมราชในปัจจุบันนี้หาดูได้ยากที่พอจะหาดูได้และอยู่ในสภาพสมบูรณ์ซึ่งเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ของวัดมหาธาตุวรมหาวิหาร จากการพิจารณาเนื้อผ้าและลวดลายยกดอกจะเห็นได้ว่าผ้ายกเมืองนคร มีความสวยงามมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองและเป็นแบบฉบับของช่างฝีมือชั้นสูงแห่งหนึ่งในประเทศไทย ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนได้กล่าวถึงผ้ายกเมืองนครศรีธรรมราช ในตอนที่ขุนช้างนุ่งผ้าแต่งตัวจะไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้พลายงาม (ขุนแผน) แต่งงานกับนางพิมพิลาไลยไว้ว่า “คิดแล้วอาบน้ํานุ่งผ้า ยกทองของพระยาละครให้ ห่มส่านปักทองเยื้องย่องไป บ่าวไพร่ตามหลังสะพรั่งมา” นอกจากนี้ในกลอนชาวบ้านซึ่งเป็นบทกลอนที่ร้องเล่นกันในหมู่ชาวบ้านในจังหวัดนครศรีธรรมราชและใกล้เคียง ยังมีกลอนเกี่ยวกับการทอหูก เรียกกันว่าบทสมห้องหรือบทอัศจรรย์ ดังนี้ พระนาคีรักนางอย่างพันผูก ต้องคิดอย่างทอหูกให้ถูกเส้น แลตีนทีมสับทับก็เม่น ไว้เส้นแกวกล่องไว้ช่องตรน ถีบยังแกรกอ้าร้าขยับ พอทบฉับกุ้งขวิดติดทุกหน สองเท้าตรันตีนทีมเข้าชอบกล ข้างพื้นบนวัดฝังไว้หลังคือ จนตลอดลอดลองกับช่องด้าย หัตถ์ขวาซ้ายลบต้องประคองถือ ผ้าร้ายชุบน้ำเช็ดพอติดมือ ชักให้ชื่อริมผ้าตามหน้าฟืม ถีบผังเกะกะระกระเส พอตรนแหวะเข้ารับกับตองหืน พัลวัลกันยุ่งด้ายพุ่งยืน บางคนอื่นไปมาเขายอว่างาม ฉันขอโทษท่านผู้ฟังอยู่ทั้งหลาย อภิปรายให้ทราบใช่หยาบหยาม ว่าตัวฉันทอผ้าว่าไม่งาม จึงรู้ความจริงแจ้งอย่าแช่งด่า เพลงร้องเรือหรือเพลงชาน้องเกี่ยวกับการทอผ้าเมืองนครศรีธรรมราช มีดังนี้ บทที่ ๑ ไก่ชาวเกาะราวทอหูก ขันหมากจะมาต่อพรุก หูกนี้จะคาไว้ให้ใคร ตาไว้ให้แม่บ้าแม่ยายแม่ย่าก็อยู่ไกล หูกนี้จะคาไว้ให้ใคร ใยไหมตอกคําอ่อนเอย บทที่ ๒ ไปเหนือสั่งให้บุญเกื้อ ผูกไว้ท่าทอผ้าบาหลี ทอติดทอต้อง สาวน้อยลองทอสองสามที่ ทอผ้าบาหลี ทอสีดอกคําย่อนเอย บทที่ ๓ ทอผ้าทอพิ่มยี่สิบห้า ก้มแลเนื้อผ้าลอดหลังนิ้วก้อย ทําพร็อพี่บ่าวเอ๋ย ตัวน้องยังน้อย ลอดหลังนิ้วก้อย ตัวน้องยังน้อยเอย บทที่ ๔ ทอผ้าพิมยี่สิบเจ็ด ทอให้น้าเณรทองเพ็ชร ไปล่องไม้เหลี่ยม ผืนหนึ่งดอกส้มผืนหนึ่งดอกเทียน ไปล่องไม้เหลี่ยม ดอกส้มดอกเทียนปนเอย สมเด็จพระเจ้าพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธวงศ์วรเดช ได้เสด็จตรวจราชการหัวเมืองปักษ์ใต้ในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ได้รับรายงานถึงผลประโยชน์และการทํามาหากินของเมืองต่าง ๆ ที่ได้เสด็จถึงและได้กล่าวถึงสินค้าออกจากเมืองนครศรีธรรมราชที่เกี่ยวข้องกับผ้ายกเมืองนครในหนังสือชื่อชีวิวัฒน์ ดังนี้คือ... ราคาสิ่งของที่ขายในตลาด ผ้านุ่งผ้าห่ม ผ้ายกไหม ผ้ายกทองไม่มีขายในตลาด เป็นของทอเฉพาะผู้สั่งจะซื้อและเป็นของทําในบ้านผู้ว่าราชการเมืองกรมการ ผู้หลักผู้ใหญ่เป็นต้น ผ้าม่วงราคาผืนละ ๕-๖ เหรียญ ผ้าริ้ว ผ้าตา ผ้าพื้น ผืนละ ๖ ก้อน หรือ ๒ ยำไป หรือ ๖ ตําลึง ผ้าขาวม้าไหมผืนละ ๗ เหรียญ ผ้าขาวม้าด้ายกุลีละ ๘ บาท ถึง ๑๐ บาท ผ้าเช็ดปาก ผ้าขาวกุลีละ ๔ บาท ถึง ๕ บาท ผ้าโสร่งไหมผืนละ ๔-๕-๖ เหรียญ ผ้าโสร่งคด้ายผืนละ ๑ บาท... ผ้ายกนครมีหลายชนิดและหลายลายแต่ละชนิดมีลายมีความวิจิตรงดงามเป็นแบบฉบับของตนเอง เช่น ผ้าตา (ซึ่งมีชายผ้าทอเป็นแถบลายทองและลายเงิน นิยมใช้นุ่งโจงกระเบนทั้งหญิงและชาย) ผ้าเก้ากี่ ผ้าราชวัตร ผ้าห่ม ผ้าม่วง ผ้าพื้น ผ้าเก็บดอก ผ้ายกเงิน ผ้ายกทอง ผ้าเก็บชาย ผ้าหางกระรอก ผ้าลายดอกชนิดต่าง ๆ (ได้แก่ลายดอกมะร่วง ดอกพิกุล ยกริ้ว ยกริ้วร่อง) โดยผลิตออกจําหน่ายเป็นศิลปหัตถกรรมจนเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช การทอผ้ายกดอกเมืองนคร น่าจะรับเอาวิธีการทอผ้ายกดอกของชาวมลายูมาผสมผสานกับความรู้ดั้งเดิมประยุกต์เข้ากับลวดลายไทยและพัฒนาวิธีการทอที่สลับซับซ้อนด้วยความพิถีพิถัน ช่างทอผ้าที่มีความชํานาญสูง ได้ปรับปรุงบางสิ่งบางอย่างให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของตน ผ้ายกเมืองนครเป็นความงามทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่นสืบทอดภูมิปัญญามาตั้งแต่โบราณ การทอผ้าพื้นเมืองของนครศรีธรรมราช มี ๒ ลักษณะ คือ ๑. ผ้ายก เป็นกระบวนการทอลวดลายบนเนื้อผ้า โดยใช้การทอเพิ่มเส้นพุ่งพิเศษเกิดเป็นลวดลายยกนูนขึ้นบนเนื้อผ้า วิธีการทอจะคัดเส้นด้ายยืนขึ้นลงเป็นจังหวะที่แตกต่างกันตามลวดลายที่ต้องการ แล้วใช้เส้นด้ายพุ่งพิเศษสอดเขาไป หากใชเสนไหมทอเรียกว่าผ้ายกไหม ถ้าใช้เส้นเงินหรือเสนทองทอเรียกว่าผ้ายกเงินและผ้ายกทอง นอกจากใช้เส้นด้ายพิเศษแล้วยังมีเชิงเป็นกรวยเชิงชั้นเดียวหรือกรวยเชิงซ้อนกันหลายชั้น และกรวยเชิงขนานกับริมผ้า ๒. ผ้าทอยกดอก ลักษณะของผ้าทอยกดอกใช้กรรมวิธีการทอให้เกิดลวดลายโดยการยกตะกอแยกเส้น ด้ายยืนขึ้นเป็นลวดลายเฉพาะไม่ได้เพิ่มเส้นด้ายยืน หรือเส้นด้ายพุ่งพิเศษเข้าไปลักษณะการทอใช้ตะกอร่วม ที่ออกแบบให้สามารถทอได้ทั้งลายขัดและลายยกดอกสลับกันไปในเนื้อผ้า การยกและขมเส้นยืนในแนวหน้าผ้าที่ แล้วสอดเส้นด้ายพุ่งเข้าไปในระหว่างช่องกลางเส้นด้ายยืน พุ่งข้ามแยกจากโครงสร้างของลายขัดแตกต่างกัน ทําให้เกิดลวดลายนูนขึ้นบนผ้าสังเกตได้จากลายยกดอกจะแทรกอยู่ในเนื้อผ้าลายขัดเกิดเป็นผ้ายกดอกที่มีลายขัดอยู่ในตัว ทําให้เนื้อผ้ามีความแข็งแรงทนทานต่อการใช้สวมใส่ ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มทอผ้ายกในนครส่วนใหญ่ทอผ้ายกดอกด้วยกี่กระตุกทําให้ทอได้เร็วผ้าจึงมีราคาถูก ลักษณะการใชสอยของผายกเมืองนคร การแต่งกายของคนไทยสมัยโบราณมีแบบแผนการแต่งกายและการใช้ผ้าแตกต่างกันไปตามฐานันดรศักดิ์ ยศ และตําแหน่ง พระมหากษัตริย์พระราชทานผ้าแก่ข้าราชบริพาร ประเภทของผ้าและคุณภาพของผ้าที่พระราช ทานจะแตกต่างกันตามบรรดาศักดิ์ ผ้านุ่งผู้ชายมีกรวยเชิงหลายชั้น ผ้านุ่งผู้หญิงมีกรวยเชิงชั้นเดียว ซึ่งการใช้ผ้า แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงฐานะในสังคม ใครมีฐานะอย่างไรสังเกตได้จากการใช้ผ้า เจ้านายและชนชั้นสูงจะใช้ผ้า ไหมเพราะเป็นผ้าที่พิเศษต้องใช้ฝีมือในการทอและการดูแลรักษามาก ชาวบ้านโดยทั่วไปใช้ผ้าฝ้าย เพราะมีขั้น ตอนในการผลิตไม่ซับซ้อนและไม่ต้องพิถีพิถันในการดูแลมาก ผ้ายกทองเป็นเครื่องนุ่งห่มเฉพาะเจ้าเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของเมืองหรืเจ้าพระยานครส่งฝ่ายกทองไปถวายในราชสํานักและถวายเจ้านายในเมืองหลวงรวมทั้งจัดหาให้คหบดี ส่วนเจ้านายผู้หญิงนุ่งผ้ายกจีบ เวลาออกรับแขกเมือง หรือไปร่วมพิธีทําบุญที่วัดอยู่เป็นประจํา ส่วนผ้ายกธรรมดาใช้กันทั่วไปซึ่งมักจะใช้ในพิธี แต่งงาน นั่งไปวัดหรืองานมงคลอื่นๆ เช่น งานบวชนาคและโกนจุก ผู้หญิงมักจะนั่งยกดอกหน้านาง ผู้ชายนุ่งผ้าหางกระรอก จุดเด่น/เอกลักษณ์ การทอผ้ายกเมืองนครนับเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของจังหวัดนครศรีธรรมราช ในปัจจุบันผ้ายกเมืองนครเป็นผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากผ้าทออื่น ๆ ดอกผ้าจะยกนูนขึ้นเห็นลายชัดเจนและมีความละเอียดอ่อน ประณีตในตัวของผืนผ้ามีความเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นโบราณแบบดังเดิมของคนสมัยก่อน ผ้ายกเมืองนครถือเป็นผ้าสําหรับเจ้าเมือง ขุนนางชั้นสูงและพระบรมวงศานุวงศ์ ในสมัยก่อนเป็นของที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้กับบุคคลสําคัญ เจ้านายและข้าราชบริพารชั้นสูง ใช้สวมใส่เวลาเข้าเฝ้า และเป็นการแสดงสถานะของบุคคล ต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นผ้าสําหรับคหบดี เจ้านายลูกหลานเจ้าเมือง และสามัญชนทั่วไปใช้นั่งสําหรับงานพิธีสําคัญต่าง ๆ ผ้ายกเมืองนคร เป็นผ้าทอพื้นเมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ทอสืบต่อกันมาแต่โบราณ เป็นผ้าที่ได้รับการยกย่องมาแต่โบราณว่าสวยงามแบบอย่างผ้าชั้นดี การทอผ้ายกมีกระบวนการทอโดยเพิ่มลวดลายผ้าให้เป็นพิเศษขึ้น มีขั้นตอนและวิธีการทอ คล้ายการทอผ้าขิดหรือผ้าจก แต่ต่างกันที่บางครั้งผ้ายกจะทอเป็นลายพิเศษ มีตะกอเขาลอยยกดอกแยกเส้นยืนต่างหาก ซึ่งจะยกครั้งละกี่เส้นก็ได้ขึ้นอยู่กับการออกแบบลายทอต้องการลวดลายอย่างไร มีลายมีเชิงที่แปลกออกไป การทอจึงต้องใช้ขั้นตอนและวิธีการเก็บลายด้วยไม้เรียวปลายแหลม ตามลวดลายที่กำหนดจนครบคัดยกเส้นยืนขึ้นเป็นจังหวะ มีลวดลายเฉพาะส่วนสอดเส้นพุ่งไปสานขัดตามลายที่คัดไว้ การเก็บตะกอเขาลอยยกดอกเพื่อผู้ทอจะได้สะดวกไม่ต้องคัดเก็บลายทีละเส้นเป็นความสามารถ และเทคนิคเฉพาะตัวของช่างแกะดอกผูกลาย ซึ่งการร้อยตะกอเขาลายนี้ใช้เวลามากเพราะต้องทำด้วยมือทั้งหมด บางลายเสียเวลาหลายเดือนกว่าจะมัดเขาเสร็จและเมื่อร้อยตะกอเสร็จแล้ว ถ้าเป็นกี่กระตุกก็จะทอได้รวดเร็วแต่ถ้าเป็นกี่โบราณก็จะทอได้ช้า การทอผ้ายกดอกนี้สามารถตกแต่งลวดลายให้สวยงามและทอออกมาได้หลากหลายสี ลายเชิงผ้า (ลายกรวยเชิง) เป็นลายส่วนล่างของผ้าหรืออยู่ริมผ้า ตามที่พบมี ๓ ลักษณะ ดังนี้ แบบที่ ๑ ผ้ายกเมืองนคร มีเทคนิคทอแบบกรวยเชิงซ้อนหลายชั้น เป็นผ้าสําหรับเจ้าเมือง ขุนนางชั้นสูงและพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งนิยมทอผ้าด้วยเส้นทองลักษณะกรวยเชิง จะมีความละเอียดอ่อนช้อย ลวดลายหลายลักษณะประกอบกัน ริมผ้าจะมีลายขอบผ้าเป็นแนวยาวตลอดทั้งผืน กรวยเชิงส่วนใหญ่มีตั้งแต่ ๒ ชั้น และ ๓ ชั้น ลักษณะพิเศษของกรวยเชิงรูปแบบนี้ คือพื้นผ้าจะมีการทอสลับสีด้วยเทคนิคการมัดหมีเป็นสีต่าง ๆ เช่น แดง น้ำเงิน ม่วง ส้ม น้ำตาล ลายท้องผ้าพบนิยมทอผ้าพื้นและยกดอก เช่น ยกดอกลายเกร็ดพิมเสน ลายดอกพิกุล เป็นต้น แบบที่ ๒ กรวยเชิงชั้นเดียว นิยมทอผ้าด้วยเส้นทองหรือเส้นเงิน จะพบในผ้ายกเมืองนครซึ่งเป็นผ้าสำหรับคหบดีและเจ้านายลูกหลานเจ้าเมือง ลักษณะกรวยเชิงจะสั้น ทอคั่นด้วยลายประจำยามก้ามปู ลายประจำยามเกลียวใบเทศ ไม่มีลายขอบในส่วนของลายท้องผ้านิยมทอด้วยเส้นไหมเป็นลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายดอกพิกุล ลายก้านแย่ง ลายดอกเขมร ลายลูกแก้วฝูง เป็นต้น แบบที่ ๓ กรวยเชิงขนานกับริมผ้า ผ้ายกเมืองนครลักษณะนี้เป็นผ้าสำหรับสามัญชนทั่วไปใช้นุ่ง ลวดลายกรวยเชิงถูกดัดแปลงมาไว้ที่ริมผ้าด้านใดด้านหนึ่ง โดยผสมดัดแปลงนำลายอื่นมาเป็นลายกรวยเชิงเพื่อให้สะดวกในการทอและการเก็บลายสามารถทอได้เร็วขึ้น ผ้าลักษณะนี้มีทั้งทอด้วยไหม ทอด้วยฝ้ายหรือทอผสมฝ้ายแกมไหม ที่พบจะเป็นผ้านุ่ง สำหรับสตรี หรือใช้เป็นผ้านุ่งสำหรับเจ้านาคในพิธีอุปสมบท โดยผสมดัดแปลงนำลายอื่นมาเป็นลายกรวยเชิงเพื่อให้สะดวกในการทอและการเก็บลายสามารถทอได้เร็วขึ้น ผ้าลักษณะนี้มีทั้งทอด้วยไหม ทอด้วยฝ้ายหรือทอผสมฝ้ายแกมไหม ที่พบจะเป็นผ้านุ่ง สำหรับสตรี หรือใช้เป็นผ้านุ่งสำหรับเจ้านาคในพิธีอุปสมบท การทอผ้ายกนคร ซึ่งช่างพื้นบ้านจะเรียกเครื่องมือทอผ้าประเภทนี้ว่า “เกหรือกี่” ซึ่งมีอยู่ ๒ ชนิด คือเกยกกับเกฝัง สําหรับเกยกนั้นเป็นเครื่องมือทอผ้าที่สร้างขึ้นมาให้สามารถเคลื่อนที่ได้ ตั้งบนพื้นถอนออกและประกอบได้ง่าย ส่วนใหญ่ใช้ไม้เนื้อแข็งทําเพราะมีความแข็งแรงทนทาน เกยกกับเกฝั่งนั้นมีขนาดเดียวกัน แต่เกยกทําตั้งสูงกว่าเพื่อให้เท้าถีบ กระตุกด้ายเวลาทอผ้าสะดวกขึ้นและไม่ติดพื้น เกยกเหมาะสําหรับเคลื่อนย้ายนําไปใช้ทอในสถานที่ต่าง ๆ แม้แต่บนเรือนก็ทอได้ ส่วนเกฝั่งเป็นเครื่องทอผ้าที่ใช้เสาฝั่งยึดอยู่กับดินเคลื่อนที่ไม่ได้มักจะสร้างไว้ตามใต้ถุนเรือน เป็นเครื่องทอผ้าที่นิยมใช้กันมากกว่าเกยก ส่วนประกอบของเครื่องทอผ้ายกนคร มีดังนี้คือ ๑. พิม มีลักษณะคล้ายกับหวี ยาวเท่าความกว้างของหน้าผ้ามีพื้นเป็นซี ๆ ระหว่างพื้นที่มหนึ่ง ๆ ร้อยด้าย ๒ เส้น พิมทําหน้าที่ตบหรือกระแทกให้เส้นด้านซึ่งสานขัดกัน เป็นลายเนื้อผ้าติดกัน พิมในสมัยโบราณทําสลักสวยงามมากจะเป็นรูปนกหรือทําเป็นลวดลายต่าง ๆ ๒. ตีนฟืมหรือฟันหวี เป็นไม้สองอันผูกเชือกห้อยอยู่ที่พื้นตรงหน้าใช้สําหรับเท้าเหยียบ เพื่อขยับยกขาเหยียบให้ขึ้น ๆ ลง ๆ เวลาขัดลายดอกและเนื้อผ้า ๓. เขา เขามี ๒ ชนิด คือเขายกดอก และเขาเหยียบ เขายกดอกสามารถทอได้ขนาดตั้งแต่ ๔-๑๐ เขา แต่ส่วนมากจะทอแค่ ๔-๗ ผู้ทอก็ใช้ที่เขาก็ได้แล้วแต่ดอก ส่วนเขาเหยียบนั้น คือเขาส่วนที่ใช้เท้าเหยียบ เพื่อขยับตัวขึ้นลงตามต้องการ เขาเหยียบพ้นเส้นเชือกขนาดเล็กเท่ากับจํานวนเส้นด้ายที่ใช้ทอผ้าผืนหนึ่ง ๆ ไม้พันเชือก ทั้งหมดมี ๘ อัน (หรือ ๔ เขา) แต่รวมกันเป็นคู่ ๆ มี ๔ คู่ อยู่ข้างบน ๒ คู่ อยู่ข้างล่าง ๒ คู่ ๔. ลูกพันและพัน ตั้งอยู่บนขาเก (กี่) คือแผ่นไม้อยู่ตอนหัวสุดของเครื่องทอและที่หน้าตักคนทอใช้ สําหรับพันเส้นด้ายที่จะใช้ทอและพันผืนผ้าที่ทอเสร็จแล้ว ๕. ลูกกะหยก เป็นที่สําหรับยกเขาเหยียบ ซึ่งสัมพันธ์กับไม้เหยียบ (ไม้ตีนฟีม) ข้างล่าง ๖. ลูกตุ้ง คือที่แขวนลูกพัน (กระดาน) ม้วนด้ายตรงหัวเกมีสองลูกซ้ายและขวา ๗. ผัง คือไม้ที่ใช้ดึงให้ริมผ้าที่ทอเสร็จใหม่ทั้งสองข้างดึงเท่ากัน (หัวท้ายไม้ผูกเข็มสอดอยู่ใต้ผืนผ้า) เพื่อไม่ให้เส้นด้ายยุ่งอันจะทําให้พื้นฟีมหักได้ ๘. นัด นัดมี ๒ ชนิด คือนัดไจกับนัดสอด ทําด้วยไม้แผ่นบาง ๆ อย่างละหนึ่งแผ่นหัวท้ายมนใช้สําหรับพุ่งสอดระหว่างเส้นด้าย ๙. ตรน เป็นที่ใส่ไหมตอกใช้เฉพาะเวลาทอผ้ายกดอกเท่านั้น ทําหน้าที่เหมือนกระสวย ๑๐. กระสวย เป็นที่สําหรับใส่หลอดด้าย มีรูปลักษณะคล้ายเรือใช้สําหรับพุ่งขวางไปขวางมาเพื่อทําให้เกิด ๑๑. คานเก เป็นโครงไม้ที่ตั้งขึ้นเพื่อใช้แขวนฟีม เขา และอื่น ๆ ในการทอผ้า
กรรมวิธี/ขั้นตอนการผลิต วิธีการทอโดยเริ่มจากการกรอกระสวยสำหรับทอกรวยเชิง เลือกสีที่เหมาะสมและความต้องการของลูกค้า การทอกรวยเชิงต้องใช้ช่างทอ ๓ คน ทอตามไม้ลายที่คัดไว้จนครบทุกไม้และเริ่มทอหน้านางตามลายครบตามจำนวนความยาวที่ต้องการแล้วเริ่มทอลายท้องผ้าตามความต้องการหรือตามที่ลูกค้าสั่ง เสร็จจาการทอลายแล้วก็ทอกรวยเชิงอีกครั้งให้ครบเหมือนกับครั้งแรก หลังจากครบกรวยเชิงตามที่ต้องการแล้วก็ทอผ้าพื้นตามจำนวนที่เหมาะสมในการใช้งาน การทอผ้ายกจะยากกว่าผ้ายกดอก เพราะเป็นผ้าโบราณมีความละเอียดและประณีต ในวันหนึ่ง ๆ ช่างทอจะทอผ้ายกเมืองนครได้ประมาณ ๓๐–๔๐ เซนติเมตร เท่านั้น ในผ้ายกเมืองนครหนึ่งผืน 4 หลา) จะใช้เวลาทอประมาณ ๑๕-๒๐ วัน เทคนิค/เคล็ดลับการผลิต การทอลวดลายใหม่ ๆ การเลือกสีของเส้นด้ายเพื่อให้มีความกลมกลืน สวยงาม ความโดดเด่นสะดุดตา ลายผ้ามีความละเอียดประณีต เส้นด้ายเลือกใช้เส้นฝ้าย เมื่อสวมใส่ทำให้สบายตัว ขั้นตอนการทอผ้ายก ๑. สืบเส้นด้ายยืนเข้ากับแกนม้วนด้ายยืน และร้อยปลายด้ายแต่ละเส้นเข้าในตะกอแต่ละชุดและฟันหวี ดึงปลายเส้นด้ายยืนทั้งหมดม้วนเข้ากับแกนม้วนผ้าอีกด้านหนึ่ง ปรับความตึงหย่อนให้พอเหมาะ กรอด้ายเข้ากระสวยเพื่อใช้เป็นด้ายพุ่ง ๒. เริ่มการทอโดยกดเครื่องแยกหมู่ตะกอ เส้นด้ายยืนชุดที่ ๑ จะถูกแยกออกและเกิดช่องว่าง สอดกระสวยด้ายพุ่งผ่านสลับตะกอชุดที่ ๑ ยกตะกอชุดที่ ๒ สอดกระสวยด้ายพุ่งกลับทําสลับกันไปเรื่อย ๆ ๓. การกระทบฟันหวี (ฟิม) เมื่อสอดกระสวยด้ายพุ่งกลับก็จะกระทบฟันหวี เพื่อให้ด้ายพุ่งแนบติดกัน ได้เนื้อผ้าที่แน่นหนา ๔. การเก็บหรือม้วนผ้า เมื่อทอผ้าได้พอประมาณแล้วก็จะม้วนเก็บในแกนม้วนผ้า โดยผ่อนแกนด้ายยืน ให้คลายออกและปรับความตึงหย่อนใหม่ให้พอเหมาะ เทคนิคการผลิตที่เป็นเอกลักษณ์ ลายผ้ายกนคร ลายผ้าของผ้ายกนครที่ทอกันสืบต่อมาตั้งแต่โบราณนั้นมีอยู่หลายลายด้วยกันแต่ที่รู้จักกันดี ก็คือลายผ้าราชวัตร (การทอจะไม่ใช้เขา) ลายตาสมุก (หรือผ้าเก้ากี่) ผ้าตา (ชายเงินชายทองหรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าผ้าชายธง) ผ้าห่ม (ใช้เป็นผ้าเบี่ยงหรือเคียนพุง) ผ้าหางกระรอก ผ้าพื้น ผ้าเก็บดอก (บางที่เรียกตีนัด) ผ้าม่วง ส่วนผ้าเก็บนัด หรือผ้าดอกก็มีหลายชนิด เช่น ผ้าลายดอกพิกุล ผ้าลายก้านแย่ง ผ้าลายดอกมะลิร่วง ผ้าลายดอกมะลิใหญ่ ผ้าลายก้านแย่ง รองชั้น ผ้าลายดอกสี่เขา ผ้าลายดอกพิกุลแก้ว หรือดอกพิกุลใหญ่ (ลายนี้ใช้ทอขนาด ๗ เขา) ผ้าลายดอกเขมร ผ้ารายริ้ว ผ้าลายกริ้วร่อง นอกจากนี้ยังมีลายอื่น ๆ อีกมากมายหลายชนิดที่คนทําเองก็ไม่ทราบชื่อแต่ก็ได้ทอสืบต่อ ๆ มา แต่ละลายต่างก็ตีความงดงามในตัวของมันเองแทบทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่าศึกษาอย่างยิ่ง จากการศึกษาพบว่าลายผ้ายกเมืองนครมีอยู่ ๘ ลายประกอบด้วย ๑. ลายดอกกริช เป็นลายที่เลียนแบบมาจากอาวุธของชวา (ประเทศอินโดนีเชีย) คือเลียนแบบคมของกริช มีลักษณะเป็นรูปคล้ายกริชเล็ก ๆ แต่จะเป็นด้ามสั้น ๆ ๒. ลายดอกจอก เป็นลายที่เลียนแบบลักษณะของขนมชนิดหนึ่งทางภาคใต้ มีลักษณะเป็นวงกลม มีแฉกตรงกลาง ๓. ลายดอกพุดซ้อน เป็นลายที่เลียนแบบดอกพุดซ้อน มีลักษณะคล้ายดอกพิกุล แต่กลีบดอกจะมีขนาดกว้างกว่า ๔. ลายดอกพิกุลใหญ่ เป็นลายที่เลียนแบบดอกพิกุล มีลักษณะเป็นวงกลม มีกลีบดอกเล็ก ๆ เรียงกันภายในวงกลม ๕. ลายพิกุลสองหน้า เป็นลายที่เลียนแบบดอกพิกุล แต่ทอให้เห็นทั้งสองด้าน ๖. ลายพิมพ์ทอง เป็นลายที่เลียนแบบลักษณะของขนมชนิดหนึ่งทางภาคใต้ที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า มีลักษณะคล้ายดอกไม้ ๗. ลายยกเชิงก้านแย่ง เป็นลายที่วางโครงไขว้ซ้อนทับเรียงกัน มีลักษณะลายเหมือนดอกไม้แต่แบ่งก้านกันและกัน แสดงความสัมพันธ์ระหว่างดอกไม้แต่ละดอก ๘. ลายสมุก เป็นลายที่จำลองลายของภาชนะชนิดหนึ่งทางภาคใต้ มักใช้สำหรับใส่สิ่งของ การทอผ้ายกมีกระบวนการทอโดยเพิ่มลวดลายผ้าให้เป็นพิเศษขึ้น มีขั้นตอนและวิธีการทอ คล้ายการทอผ้าขิดหรือผ้าจก แต่ต่างกันที่บางครั้งผ้ายกจะทอเป็นลายพิเศษ มีตะกอเขาลอยยกดอกแยกเส้นยืนต่างหาก จะ ยกครั้งละกี่เส้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับการออกแบบลายทอต้องการลวดลายอย่างไร มีลายมีเชิงที่แปลกออกไป การทอ จึงต้องใช้ขั้นตอนและวิธีการเก็บลายด้วยไม้เรียวปลายแหลม ตามลวดลาย ที่กําหนดจนครบ คัดยกเส้นยืนขึ้น เป็นจังหวะ มีลวดลายเฉพาะส่วนสอดเส้นพุ่งไปสานขัดตามลายที่คัดไว้ การเก็บตะคอเขาลอยยกดอกเพื่อผู้ ทอจะได้สะดวกไม่ต้องคัดเก็บลายทีละเส้น เป็นความสามารถและเทคนิคเฉพาะตัวของช่างแกะดอกผูกลาย ซึ่งการร้อยตะกอเขาลายนี้ใช้เวลามาก เพราะต้องทําด้วยมือทั้งหมด บางลายเสียเวลาหลายเดือนกว่าจะมัดเขา เสร็จ และเมื่อร้อยตะกอเสร็จแล้ว ถ้าเป็นกี่กระตุกก็จะทอได้รวดเร็วแต่ถ้าเป็นกี่โบราณก็จะทอได้ช้า การทอ ผ้ายกดอกนี้สามารถตกแต่งลวดลายให้สวยงาม และทอออกมาได้หลายสี ลักษณะผ้ายกเมืองนครมีรูปแบบการทอ ๓ รูปแบบ แตกต่างกันในการทอและการนําไปใช้งาน แบบที่ ๑ กรวยเชิงซ้อนหลายชั้น เป็นผ้าสําหรับเจ้าเมือง ขุนนางชั้นสูงและพระบรมวงศานุวงศ์ นิยมทอผ้าด้วยเส้นทองลักษณะกรวยเชิงจะมีความละเอียดอ่อนช้อย ลวดลายหลายลักษณะประกอบกันริมผ้า ๑๒ ลายขอบผ้าเป็นแนวยาวตลอดทั้งผืน กรวยเชิงส่วนใหญ่มีตั้งแต่ ๒ ชั้นและ ๓ ชั้น ลักษณะพิเศษของกรวยเชิง รูปแบบนี้คือพื้นผ้าจะมีการทอสลับสีด้วยเทคนิคการมัดหมีเป็นสีต่าง ๆ เช่น แดง น้ําเงิน ม่วง ส้ม น้ําตาล ท้องผ้าพบนิยมทอผ้าพื้นและยกคอก เช่น ยกดอกลายเกรดพิมเสน ลายดอกพิกุล เป็นต้น แบบที่ ๒ กรวยเชิงชั้นเดียว นิยมทอผ้าด้วยเส้นทองหรือเส้นเงิน จะพบในผ้ายกเมืองนครซึ่งเป็นผ้า สําหรับคหบดีและเจ้านายลูกหลานเจ้าเมือง ลักษณะกรวยเชิงจะสั้น ทอคั่นด้วยลายประจํายามก้ามปู ลายประจํายามเกลียวใบเทศ ไม่มีลายขอบในส่วนของลายท้องผ้านิยมทอด้วยเส้นไหมเป็นลวดลายต่าง ๆ เช่น ลาย ดอกพิกุล ลายก้านแย่ง ลายดอกเขมร ลายลูกแก้วฝูง เป็นต้น แบบที่ ๓ กรวยเชิงขนานกับริมผ้า ผ้ายกเมืองนครลักษณะนี้เป็นผ้าสําหรับสามัญชนทั่วไปใช้นุ่ง ลวดลายกรวยเชิงถูกดัดแปลงมาไว้ที่ริมผ้าด้านใดด้านหนึ่ง โดยผสมดัดแปลงนําลายอื่นมาเป็นลายกรวยเชิงเพื่อให้สะดวกในการทอและการเก็บลายสามารถทอได้เร็วขึ้น ผ้าลักษณะนี้มีทั้งทอด้วยไหม ทอด้วยฝ้ายหรือทอผสมฝ้ายแกมไหม ที่พบจะเป็นผ้านุ่งสําหรับสตรีหรือใช้เป็นผ้านุ่งสําหรับเจ้านาคในพิธีอุปสมบท ลวดลายผ้ายกเมืองนครที่ทอกันมาแต่โบราณ มักเป็นลวดลายที่พบเห็นได้อยู่รอบตัวของช่าง ทอผ้า ลวดลายเหล่านี้ถูกถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา ด้วยวิธีการจดจําหรือทอลอกเลียนแบบอย่างไว้นับเป็นภูมิ ปัญญาและฝีมือของช่างทอผ้าอย่างแท้จริงลวดลายผ้ายกเมืองนครแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ ๑) กลุ่มลายพันธุ์ไม้ เป็นลวดลายจากดอกไม้และต้นไม้ ได้แก่ ลายดอกพิกุล ลายดอกพิกุลแก้ว ลายดอก พิกุลเถื่อน ลายดอกพิกุลล้อม ลายดอกพิกุลก้านแยก ลายดอกพิกุลสลับลายลูกแก้ว ลายดอกมะลิร่วง ลายดอก มะลิตูมก้านแย่ง ลายดอกเขมร ลายดอกไม้ ลายใบไม้ ลายตาย่านัด ลายหัวพลู เม็ดพริกไทย ลายเครือเถา ๒) กลุ่มลายสัตว์ ได้แก่ ลายม้า ลายหางกระรอก ลายหิงห้อยชมสวน ลายแมงมุมก้านแย่ง ๓) กลุ่มลายเรขาคณิต ได้แก่ ลายเกล็ดพิมเสนทรงสี่เหลี่ยม ลายเกล็ดพิมเสนรูปเพชรเจียระไน ลายก้าน แข่ง ลายราชวัด ลายเก้ากี ลายดาสมุก ลายตาราง ลายลูกโซ่ ลายลูกแก้ว ลายลูกแก้วฝูง ๔) กลุ่มลายเบ็ดเตล็ด ได้แก่ ลายไทยประยุกต์ ลายไทยประยุกต์ผสม ลายพิมทอง และลายอื่น ๆ อีกที่ไม่ ทราบชื่อลาย ลายราชวัตร ลายราชวัตร เป็นชื่อลายผ้าที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ นิวัติเมือง สงขลาเมื่อปี ๒๔๙๕ เป็นผ้า "ลายยกดอกก้านแย่ง" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ลายหลังนกเขา" เนื่องจากว่ามีลาย คล้ายลายขนบนหลังนกเขา ลายเกล็ดพิมเสน ลายเกล็ดพิมเสน เป็นลายผ้ายกเมืองนครโบราณที่มีความสวยงามมาก ทอเป็นลายอยู่บริเวณท้องผ้า ลักษณะลวดลายเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก และผลึกรูปเพชรเจียระไน ผ้ายกเมืองนครลายเกล็ดพิมเสนที่พบมีทั้งผ้ายกทองและผ้ายกไหม กลุ่ม OTOP / ผู้ประกอบการ แหล่งผลิตผ้ายกเมืองนคร กลุ่มทอผ้ายกเมืองนครที่สําคัญมีอยู่ ๑๒ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทอผ้าตําบลนาสาร กลุ่มทอผ้าบ้านมะม่วงปลายแขน กลุ่มทอผ้าตําบลฉลอง กลุ่มทอผ้าหัวตะพาน กลุ่มทอผ้าประตูหอม กลุ่มทอผ้าสวนหลวง กลุ่มทอผ้าเขาพระบาท กลุ่มทอผ้าบ้านแหลม กลุ่มทอผ้าเขาพังไกร กลุ่มทอผ้าบานขอนหาด กลุ่มทอผ้าบานควนพัง และกลุ่มทอผ้าบ้านสามตําบล - กลุ่มทอผ้ายกเมืองนคร บ้านมะม่วงปลายแขน เป็นชุมชนที่ทอผ้ายกเมืองนครที่มีลายเอกลักษณ์ของจังหวัด เช่น ลายพิกุล มีการรวมกลุ่มผู้ทอและสืบทอดศิลปะการทอในหมู่ญาติพี่น้องภายในครอบครัว ทําการทอผ้าตลอดทั้งปีโดยใช้ช่วงว่างจากการทํานาทําสวน จากการสัมภาษณ์นางสาวละออง บัวเพชร อายุ ๕๒ ปี ผู้มีบทบาทสําคัญผู้หนึ่งของกลุ่มทอผ้ายกบ้านมะม่วงปลายแขน ซึ่งมีความคุ้นเคยกับการทอผ้าที่ได้รับการถ่ายทอดจากญาติผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก ได้เริ่มประกอบอาชีพการทอผ้าของตนเอง โดยได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์การทอผ้าจากพ่อแม่โดยเป็นผู้ทอผ้าเพียงคนเดียวในขณะนั้น (พ.ศ. ๒๕๒๓-๒๕๒๔) จนถึงปัจจุบันมีผู้หันมาทอผ้ามากขึ้น กิจการทอผ้าได้มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น - กลุ่มทอผ้าบ้านตรอกแค จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยนางวิไล จิตเวช มีอัตลักษณ์สำคัญคือดอกผ้าจะยกนูนขึ้นเห็นลายชัดเจน และมีความละเอียดประณีต กลุ่มทอผ้าบ้านตรอกแค เดิมทอผ้าฝ้าย ขนาด ๒ หลา จำหน่ายในราคา ๔,๐๐๐ บาท เมื่อได้รับคำวินิจฉัยให้ทอสลับดิ้นเงิน ดิ้นทอง เปลี่ยนเส้นผ้าฝ้ายใช้เส้นนิ่มและให้ใช้เส้นยืนสีดำ เส้นพุ่งสีน้ำเงินสลับดิ้นเงิน เมื่อนำออกจำหน่ายทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด จำหน่ายผ้าขนาด ๒ หลา ราคาผืนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ยอดจำหน่ายตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ถึง เดือนมีนาคม ๒๕๖๔ รวมทั้งสิ้น ๘๘๐,๐๐๐ บาท (๕๕,๐๐๐ ต่อเดือน)
อ้างอิง กรมหม่อมไหม. ผ้ายกเมืองนคร.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. http://www.qsds.go.th/silkcotton/k_15.php (16 ตุลาคม 2560). นพพล เจริญสุข. (2557). ผ้าทอภาคใต้: ความหมายและพลวัตของผ้าทอในมิติของเจ้าของวัฒนธรรม. วารสารมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ. 9(1), 147-165. วิมล ดำศรี. (2535). ผ้าทอพื้นเมือง ศิลปหัตถกรรมอันล้ำค่าของเมืองนคร : ที่ระลึกในการจัดงานประเพณี เทศกาลเดือนสิบ ประจำปี 2535 จังหวัดนครศรีธรรมราช, 45-49 วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย (2519). ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของภาคใต้, 17-23 https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/2/dc04d320

ประเพณีสวดด้าน

ความเป็นมาของประเพณีสวดด้าน ประเพณีสวดด้าน (suaddan) ประเพณีที่มีมาแต่โบราณของชาวเมืองนครศรีธรรมราช เกิดขึ้นที่ระเบียงคดทางทิศเหนือ พระวิหารคด พระระเบียง หรือพระด้าน ล้อมรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราชทั้ง 4 ทิศ ยกพื้นสูงประดิษฐานพระพุทธรูปเป็นแถวยาวทุกด้านจำนวน 173 องค์ ฝีมือช่างสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ชาวเมืองนครศรีธรรมราชนิยมเรียกกันว่า “พระด้าน” ในวันพระ ชาวเมืองนครจะไปฟังธรรมที่ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นจำนวนมากก็จะต้องมาเตรียมตัวนั่งรอพระสงฆ์ ระหว่างนั่งรอมีความเห็นตรงกันว่าควรหาสิ่งมีสาระมาทำ จึงตกลงกันว่าหาหนังสือมาอ่านจนกว่าพระสงฆ์จะมา เนื่องจากในสมัยโบราณคนที่อ่านออกเขียนได้มีอยู่น้อยมาก จึงอยากให้คนที่รู้หนังสือมาอ่านหรือสวดหนังสือให้ได้ฟังกัน โดยใช้หนังสือบุดมาอ่านที่ระเบียงพระด้าน อ่านหนังสือร้อยกรองเป็นทำนองเหมือนเพลงบอก โนรา ประชาชนที่มารอทำบุญก็มาร่วมนั่งฟังกันเยอะจนเกิดเป็น “ประเพณีสวดด้าน” นับแต่นั้นมา เดิมเรียกการอ่านหนังสือร้อยกรองเป็นทำนองว่า “สวดหนังสือที่พระด้าน ” แต่เหลือเรียกติดปากว่า “สวดด้าน” และมีทั้งสี่ด้าน การสวดด้านเริ่มขึ้นเมื่อทุกคนพร้อมกันที่พระระเบียงในวันพระเพื่อฟังพระเทศน์และในขณะที่รอพระอยู่นั้นก็มีการสวดด้านก่อน การสวดด้านมีวิธีการทํานองเดียวกันกับการสวดโอ้เอ้วิหารรายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร แต่ต่างกันที่เรื่องที่ใช้สวดกล่าวคือการสวดโอ้เอ้วิหารรายจะสวดหนังสือเพียงเรื่องเดียวคือ “มหาชาติคําหลวง” ซึ่งเป็นหนังสือชาดก ส่วนการสวดด้านมีเรื่องที่ใช้สวดหลายเรื่อง คนสวดก็เป็นคนที่สวดหนังสือเก่ง ๆ และสวดหนังสือดี ๆ ที่เป็นที่นิยมชมชอบของที่ประชุม หนังสือที่เลือกมามักเป็นหนังสือชาดก สํานวนกวีเมืองนคร และเรื่องอื่น ๆ ที่กวีเมืองนครเป็นผู้เขียน เช่น สุบิน วันคาร ทินวงศ์ สี่เสาร์ กระต่ายทอง พระรถเสน (ของนายเรือง นาใน) เรื่องเสือโดคําฉันท์ (ของ พระมี) เป็นต้น โดยผู้สวดด้านจะต้องเป็นผู้มีความสามารถในการสวดอย่างยิ่ง กล่าวคือต้องรู้จักเน้น เสียง รู้จักเล่นลูกคอ รู้จักเล่นท่าทางประกอบในตอนที่จาเป็นเช่นการใช้สีหน้า การโยกตัว และการประกอบท่าทาง บางครั้งคนสวดเป็นนักเทศน์เก่า นักแหล่ หมอทําขวัญนาค ครู มาลัย นายหนังตะลุง โนราเก่า หรือเพลงบอกก็ยิ่งเป็นที่ติดอกติตใจของผู้ฟังมากแม้กระทั่ง คนเฒ่าคนแก่ที่ไม่รู้หนังสือก็สามารถจําบทกลอนในหนังสือได้ตลอดเล่ม หรือหลาย ๆ เล่ม บทกลอนต่าง ๆ ที่คนเฒ่าคนแก่ถ่ายทอดให้เราฟังในปัจจุบันก็มาจากการฟังสวดด้าน สําหรับผู้สวดด้านเมื่อสวดจบก็จะได้รับเงินรางวัลหรือได้รับเลี้ยงข้าวปลาอาหาร ความสำคัญ เป็นประเพณีที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญทางด้านพุทธศาสนาและวัฒนธรรม ประเพณีสวดด้านหมายถึงการอ่านหนังสือร้อยกรอง ประเภทนิทานต่าง ๆ ที่เป็นนิทานพื้นเมืองที่กวีชาวนครเป็นผู้แต่งขึ้น การสวดหรือการอ่าน จะสวด (อ่าน) ด้วยภาษาพื้นเมือง (ภาษาถิ่น) นครศรีธรรมราช การสวดหรือการอ่านหนังสือร้อยกรองประเภทนิทานภายในวิหารคดวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในวันธรรมสวนะ ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ระหว่างรอพระมาแสดงพระธรรมเทศนา ซึ่ง การสวดหนังสือหรือสวดด้านนี้นับเป็นใช้เวลาให้เกิดประโยชน์และจิตเป็นสมาธิ การสวดด้านรอบ ๆ พระระเบียงหรือวิหารคด ทั้ง ๔ ด้าน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นจำนวน ๑๗๓ องค์ พระพุทธรูปเหล่านี้เรียกว่าพระด้าน การสวดหนังสือกระทําบริเวณที่ประดิษฐานพระด้านจึงเรียกว่า “สวดหนังสือที่พระด้าน” ประเพณีสวดด้านเป็นประเพณีสําคัญและเก่าแก่ประเพณีหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนครศรีธรรมราช เป็นประเพณีที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญทางด้านพุทธศาสนาและวัฒนธรรม ประเพณีสวดด้านหมายถึงการอ่านหนังสือร้อยกรอง (ซึ่งชาวนครศรีธรรมราชเรียกการสวดหนังสือ) ประเภทนิทานต่าง ๆ ที่เป็นนิทานพื้นเมืองที่กวีชาวนครเป็นผู้แต่งขึ้น การสวดหรือการอ่าน จะสวด (อ่าน) ด้วยภาษาพื้นเมือง (ภาษาถิ่น) นครศรีธรรมราช การสวดหรือการอ่านหนังสือร้อยกรองประเภทนิทานภายในวิหารคดวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในวันธรรมสวนะ ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ระหว่างรอพระมาแสดงพระธรรมเทศนา ซึ่ง การสวดหนังสือหรือสวดด้านนี้นับเป็นใช้เวลาให้เกิดประโยชน์และจิตเป็นสมาธิ การสวดด้านรอบ ๆ พระระเบียงหรือวิหารคด ทั้ง ๔ ด้าน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นจำนวน ๑๗๓ องค์ พระพุทธรูปเหล่านี้เรียกว่าพระด้าน การสวดหนังสือกระทําบริเวณที่ประดิษฐานพระด้านจึงเรียกว่า “สวดหนังสือที่พระด้าน” การประกอบพิธี การสวดด้านเริ่มขึ้นเมื่อทุกคนพร้อมกันที่พระระเบียงในวันพระเพื่อฟังพระเทศน์และในขณะที่รอพระอยู่นั้นก็มีการสวดด้านก่อน การสวดด้านมีวิธีการทํานองเดียวกันกับการสวดโอ้เอ้วิหารรายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร แต่ต่างกันที่เรื่องที่ใช้สวดกล่าวคือการสวดโอ้เอ้วิหารรายจะสวดหนังสือเพียงเรื่องเดียวคือ “มหาชาติคําหลวง” ซึ่งเป็นหนังสือชาดก ส่วนการสวดด้านมีเรื่องที่ใช้สวดหลายเรื่อง คนสวดก็เป็นคนที่สวดหนังสือเก่ง ๆ และสวดหนังสือดี ๆ ที่เป็นที่นิยมชมชอบของที่ประชุม หนังสือที่เลือกมามักเป็นหนังสือชาดก สํานวนกวีเมืองนคร และเรื่องอื่น ๆ ที่กวีเมืองนครเป็นผู้เขียน เช่น สุบิน วันคาร ทินวงศ์ สี่เสาร์ กระต่ายทอง พระรถเสน (ของนายเรือง นาใน) เรื่องเสือโดคําฉันท์ (ของ พระมี) เป็นต้น โดยผู้สวดด้านจะต้องเป็นผู้มีความสามารถในการสวดอย่างยิ่ง กล่าวคือต้องรู้จักเน้น เสียง รู้จักเล่นลูกคอ รู้จักเล่นท่าทางประกอบในตอนที่จาเป็นเช่นการใช้สีหน้า การโยกตัว และการประกอบท่าทาง บางครั้งคนสวดเป็นนักเทศน์เก่า นักแหล่ หมอทําขวัญนาค ครู มาลัย นายหนังตะลุง โนราเก่า หรือเพลงบอกก็ยิ่งเป็นที่ติดอกติตใจของผู้ฟังมากแม้กระทั่ง คนเฒ่าคนแก่ที่ไม่รู้หนังสือก็สามารถจําบทกลอนในหนังสือได้ตลอดเล่ม หรือหลาย ๆ เล่ม บทกลอนต่าง ๆ ที่คนเฒ่าคนแก่ถ่ายทอดให้เราฟังในปัจจุบันก็มาจากการฟังสวดด้าน สําหรับผู้สวดด้านเมื่อสวดจบก็จะได้รับเงินรางวัลหรือได้รับเลี้ยงข้าวปลาอาหาร ตัวอย่างบทสวดเรื่องสุบิน บทกวีของชาวนคร ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยม สูงสุดของผู้ฟังสวดค้าน และเป็นแบบเรียนของชาวนครมาแต่เดิม บทไหว้ครู ข้าขอถวายบังคม ยอกรประนมขึ้นเหนือเศียร ต่างดอกประทุมเทียน บริสุทธบูชา วรบาทพุทธกงจักร และลายลักษณ์ทั้งซ้ายขวา ประเสริฐงามโสภา ยิ่งกว่าเขียนด้วยน้ําทอง วรบาทพระชินสีห์ สร้างบารมีมากก่ายกอง หวังจะโปรดสัตว์ทั้งผอง ให้จากโทษและโพยภัย ขอนบพระปิฏกสัจจธรรม อันลึกล้าฟันอุปมัย พระสูตรพระวินัย พระปรมัตถ์มากเหลือตรา บทเริ่มเนื้อเรื่อง ปางโพ้นพระโพธิสัตว์ องค์หนึ่งสันทัด ธนศรศรี กล้าหาญชาญณรงค์ ทรง อิทธิฤทธิ์ ครองเมืองสาวัตถี เป็นเอกกรุงไกร มีบาทบริจา รูปโฉมโสภา สิบห้าปีใหม่ ผิวเนื้อเหลืองขมิ้น กลิ่นหอมเอาใจ เกษาประไพ ไรเกษตลากัน พระพักตร์ฝั่งผาด งามจริงยิ่งวาด คิ้วก้อมเกาทัณฑ์ เนตรคือตาทราย พรายแสง เมลืองมัน ระใบพระกรรณ ปานกลีบอุบล การวิวัฒนาการของประเพณีสวดด้าน จากคําบอกเล่าของผู้รู้ กล่าวว่าปัจจุบันนี้ประเพณีเก่า ๆ ที่เกี่ยวกับการสวดด้านและประเพณีในวันพระที่ปฏิบัติมาแต่โบราณ ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก กล่าวคือในสมัยโบราณเมื่อจะมาฟังเทศน์ฟังธรรมในวัด ทุกคนจะชนทรายมาถมในวัดด้วยทีละเล็กทีละน้อยทุกคราวไป เป็นอันว่าในวัดจะมีกองทรายเต็มไปหมด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าตอนจะออกจากวัดทรายจะติดเท้าออกไป หากไม่ชนทรายมาทดแทนก็จะเป็นบาป ครั้นถึงตอนเสร็จกิจแล้วก่อนกลับบ้านก็ต้องถอนหญ้าภายในวัดติดมือไป ทั้งนอกวัดด้วย แต่ต่อมาข้อปฏิบัติเหล่านี้มิได้กระทํากัน ส่วนการสวดด้านก็เปลี่ยนไปจากเดิมหลายประการ กล่าวคือในสมัยต่อมามีการสวดทั้งในพระด้านและที่วิหารทับเกษตร เรื่องที่ใช้สวดก็เปลี่ยนไปจากเดิมคือสมัยหลัง ไม่ได้สวดหนังสือบุด แต่กลับนิยมสวดหนังสือที่พิมพ์โดยโรงพิมพ์ราษฎร์เจริญ วัดเกาะ โดยเช่ามาจากบ้านนายปลอด ในราคา ๔ เล่ม ๕ สตางค์ เรื่องที่สวดมีหลายเรื่อง เช่น รามเกียรติ์ พระอภัยมณี สุวรรณศิลป์ สังข์ทอง ส่วนพระที่มาเทศน์ก็แบ่งกันเป็นวัด ๆ วัดละด้าน วัดที่มาเทศน์ เช่น วัดสวน หลวง วัดหน้าพระธาตุ วัดหน้าพระลาน และวัดสระเรียง ครั้นต่อมาพระที่มาเทศน์มีน้อยลงเรื่อย ๆ ธรรมมาสน์ในพระด้านและในวิหารทับเกษตรก็ลดลงเรื่อย ๆ เช่นกัน ปัจจุบันการสวดด้านแทบไม่มีให้เห็นแล้ว ที่มา ปรีชา นุ่นสุข และเปรมจิต ชนะวงศ์. (2525). ประเพณีสวดด้าน : ประเพณีประจําวัดพระมหาธาตุฯ. นครศรีธรรมราช : กรุงสยามการพิมพ์,. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. (2556). อนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้. นครศรีธรรมราช :

06 พฤษภาคม, 2567

ประเพณีทำศพของชาวนครศรีธรรมราช

ความเป็นมาของประเพณีทำศพ พิธีศพของคนไทย สามารถเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในประเพณี หรือพิธีกรรมที่สืบทอดกันมานานหลายพันปีแล้ว จะเห็นได้ว่าทุกชนชาติ ทุกประเทศทั่วโลกจะมีพิธีกรรมการจัดงานศพเฉพาะเป็นของตนเอง บางประเทศอาจมีขั้นตอนที่คลายคลึงกัน เนื่องด้วยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศนั้น และนำมาผสมผสานกับประเพณี วัฒนธรรมของท้องถิ่นตนเอง จนเกิดเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีของแต่ละพื้นที่ขึ้นมา หรือบางพื้นที่อาจมีพิธีกรรมการจัดงานศพที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ อย่าง พิธีศพของชาวมอญ ที่จะมีประเพณีร้องไห้มอญ หรือการทำพิธีศพลอยฟ้า ของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นต้น สำหรับประเทศไทยนั้นก็มีประวัติความเป็นมา เกี่ยวกับการจัดพิธีศพมาอย่างยาวนาน จนพัฒนาการเป็นขั้นตอนการจัดงานศพอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน การจัดพิธีศพของคนไทยในสมัยอดีต มี ความเป็นมายาวนานกว่า 5,000 ปีแล้ว ในสมัยแรกๆนั้น ในชนชั้นผู้ที่มีอำนาจในยุคนั้น อย่างผู้นำหมู่บ้าน หากยามตายลงการจะจัดพิธีศพโดยการฝังลงร่างของผู้ตายลงดิน หากเป็นชาวบ้านทั่วไปจะนำศพไปทิ้งไว้กลางป่า เพื่อให้สัตว์ป่า แร้ง กา มาจิกกิน เป็นรูปแบบหนึ่งในการทำพิธีของยุคแรกๆ ต่อมาได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ จึงมีการทำพิธีปลงศพโดยการเผา แบบเดียวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในส่วนของการแต่งกายร่วมงานศพ ยุคแรกนั้นชุดแต่งกายไปงานศพจะมีสีสันที่ฉูดฉาด ไม่ได้เน้นแต่เพียง สีดำ อย่างในปัจจุบัน ซึ่งการแต่งชุดดำเพื่อไว้ทุกข์นั้นเริ่มมีมาตั้งแต่ สมัยของ รัชกาลที่ 5 ด้วยได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตก ช่วงแรกจะนิยมแต่งดำเพียงในกลุ่มของชั้นผู้ราชการ หรือชั้นเจ้านาย ก่อนค่อยๆแพร่กระจายออกไปยังชนชั้นต่างๆ จนกลายเป็นธรรมเนียมที่แต่งชุดดำไปงานศพ งานศพไทย มักมีพิธีแบบศาสนาพุทธที่มีพิธีหลากหลายขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมในภูมิภาคนั้น ๆ ผู้คนในบางกลุ่มชาติพันธุ์หรือศาสนามีธรรมเนียมพิเศษของตนเอง พิธีศพของไทยแบ่งออกเป็นพิธีรดน้ำศพหลังเสียชีวิตไม่นาน การอ่านบทสวดอภิธรรมของพระสงฆ์ และพิธีฌาปนกิจ โดยมีผู้ทำพิธีฌาปนกิจทั่วประเทศ ยกเว้นผู้ที่มีเชื้อสายจีน, มุสลิม และคริสเตียน พิธีกรรมในงานศพไทยแบ่งออกเป็น 3 พิธี ได้แก่ ๑.พิธีรดน้ำศพ ก่อนที่จะนำศพใส่โลงเมื่อมีคนสิ้นลมหายใจแล้วจะนำศพมาทำพิธี ซึ่งพิธีที่จะทำเริ่มแรก คือ การอาบน้ำศพหรือที่เรียกกันว่า "พิธีรดน้ำศพ" ซึ่งการรดน้ำศพจะจัดพิธีหลังจากคนตายไปไม่นานนัก โดยใช้น้ำมนต์ผสมน้ำสะอาด โรยด้วยดอกไม้หอมหรืออาจะใช้น้ำอบผสมด้วย ผู้ที่มารดน้ำศพจะรดที่มือข้างหนึ่งของผู้ตายที่ยื่นออกมาและกล่าวคำไว้อาลัย ถือเป็นพิธีเริ่มต้นเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ตาย มักเชิญคนสนิท คนรู้จักหรือผู้ที่เคารพนับถือไปรดน้ำศพเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ที่จากไป เมื่อท่านไปถึงในพิธีควรจะทักทายและแสดงความเสียใจต่อเจ้าภาพจากนั้นจึงนั่งรอในที่จัดเตรียมไว้ เจ้าภาพจึงจะเชิญท่านไปรดน้ำยังบริเวณที่ตั้งศพ ท่านจึงทำความเคารพศพและเทน้ำอบที่เจ้าภาพได้จัดเตรียมไว้ลงบนฝ่ามือและอโหสิกรรมให้กับผู้ที่ล่วงลับ ๒.พิธีสวดอภิธรรม งานสวดอภิธรรมหรืองานสวดศพ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นสัจธรรมของชีวิตว่า โดยปรมัตถธรรมแท้จริงแล้ว ชีวิตประกอบด้วยธรรมชาติ ๒ ส่วน คือ ส่วนที่เป็นรูป คือ ร่างกาย อันประกอบด้วยธรรมชาติ ๔ อย่าง คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ (ธาตุ ๔) กับส่วนที่เป็นนาม คือ จิตเจตสิก (ขันธ์ ๕ : เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ถ้าเห็นสัจธรรมของชีวิตตามธรรมชาติด้วยปัญญาญาณ ย่อมบรรลุถึงพระนิพพาน การดับกิเลสคือการดับทุกข์ได้ ดังนั้นการสวดพระอภิธรรมในงานศพ ย่อมมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เห็นความจริงของชีวิต ตามธรรมชาติหรือธรรมดา รวมถึงระลึกถึงคุณความดีของผู้ที่ล่วงลับ และการเชิญพระมาสวดบทอภิธรรมที่มีความหมายเกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิต ส่วนใหญ่มักจัดเป็นงานบุญ ๗ วันในตอนกลางคืน ในส่วนนี้เองที่มักมีการส่งพวงหรีดไปร่วมแสดงความไว้อาลัยแก่ผู้ที่ล่วงลับ โดยอาจเลือกพวงหรีดที่สวยงามสามารถย่อยสลายง่าย หรือของใช้ประโขชน์ได้อย่างในปัจจุบันพวงหรีดพัดลมจะพบเห็นการส่งความอาลัยไปในงานศพกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน หรือพวงหรีดที่ทำจากวัสดุธรรมชาติหรือพวงหรีดผ้าที่มีการจัดเตรียมอย่างสวยงามไม่แพ้พวงหรีดดอกไม้สด รวมถึงสามารถสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ซึ่งการติดตั้งพวงหรีดไม่ควรติดตั้งเอง ควรส่งให้กับเจ้าภาพหรือผู้ที่ดูแลนำไปติดตั้ง เมื่อเข้ามาในศาลาที่ตั้งโลงศพ ควรกราบพระก่อนด้วยเบญจางคประดิษฐ์ จากนั้นจึงจุดธูป ๑ ดอกเพื่อไหว้เคารพตามความเหมาะสม เช่น หากผู้ตายเป็นผู้สูงอายุ ให้กราบ ๑ ครั้งแบบไม่แบมือ หากผู้ตายเป็นพระภิกษุสงฆ์ ให้กราบเบญจางคประดิษฐ์ หากผู้ตายอยู่ในวัยเดียวกัน ให้ยืนคำนับหรือนั่งไหว้ หากผู้ตายเป็นผู้น้อยหรืออายุน้อยกว่า ให้ยืนหรือนั่งในท่าสงบ หลังจากที่การสวดอภิธรรมเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว จะเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่จากไป ด้วยพิธีทอดผ้าบังสุกุลและถวายของจตุปัจจัยให้แก่พระสงฆ์ จากนั้นเป็นการกรวดน้ำให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ จึงจบพิธีสวดอภิธรรมในแต่ละคืน นับเป็นพิธีกล่าวอำลาในครั้งสุดท้ายกับผู้ที่ล่วงลับ ในตอนเช้าของพิธีมักจะให้ญาติหรือลูกหลานช่วยกันหามโลงศพ เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ตาย โดยการเวียนศพต้องเวียนซ้ายต่างกับการเวียนเทียนหรือแห่นาคซึ่งเป็นงานมงคลจะทำการเวียนขวาเรียกว่า ทักษิณาวรรต การเวียนศพ ๓ รอบเป็นการเวียนเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ตาย และเป็นปริศนาธรรมเกี่ยวกับพระไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ในสามภพ คือ ในโลก นรก และสวรรค์ ก่อนจะทำพิธีฌาปนกิจจะมีการกล่าวชีวประวัติของผู้ล่วงลับ เพื่อระลึกถึงคุณความดีและให้ผู้มีชีวิตอยู่ตระหนักถึงสัจธรรมของชีวิต จึงทำการทอดผ้าบังสุกุล จากนั้นเจ้าภาพในงานจึงจะรับเชิญให้เริ่มพิธี โดยให้ท่านนำธูปเทียนสำหรับขอขมาศพและดอกไม้จันทน์ค่อยๆ เดินตามขึ้นเมรุเผา จากนั้นนำดอกไม้จันทน์วางที่ใต้เชิงตะกอนสำหรับจุดไฟ หรือนำดอกไม้จันทน์และธูปเทียนวางหน้าพานศพ อาจไหว้เคารพหรือกล่าวขอขมาในใจก่อนค่อยวางดอกไม้จันทน์และธูปเทียนลง แล้วจึงเดินลงบันไดอีกข้างหนึ่ง เพราะหากเดินย้อนกลับไปทางที่ขึ้นมาจะทำให้ขวางทางเดินผู้อื่นได้ เมื่อพิธีเผาศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นสามารถมาเก็บอัฐิได้แต่ถ้าเป็นชนบทจะเก็บอัฐิภายหลังการเผาแล้ว 3 วัน เนื่องจากชนบทจะใช้ฟืนเผาจึงจะต้องรอให้ไฟมอดสนิทก่อน ลูกหลานจะเก็บส่วนที่สำคัญไว้บูชา และบางส่วนอาจจะนำไปลอยอังคาร ซึ่งอาจจะเป็นแม่น้ำ หรือทะเล ทั้งนี้มีความเชื่อที่ว่าจะทำให้วิญญาณของผู้ตายมีความสงบและร่มเย็น ๓. พิธีงานฌาปนกิจ งานศพ เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงผู้ตายและยังเป็นพิธีกรรมที่ทำให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้มีโอกาสระลึกถึงผู้ตายและพิจารณาถึงความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่ง ทำให้มีความตั้งใจในการทำความดีและทำบุญกุศลกันมากขึ้นต่อไป[8] การจัดทำให้แก่ศพของผู้ตาย ในจังหวัดนครศรีธรรมราชหรือหลายๆ จังหวัดในภาคใต้ ซึ่งได้ปฏิบัติกันมาแต่ก่อน ๆ ได้กระทำกันเป็นพิธีรีตรองอย่างพิถีพิถันมาก ผิดกับการกระทำในสมัยนี้ เข้าใจว่าจะเป็นขนบประเพณีสืบๆ กันมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว โดยถือว่าการตายเป็นเรื่องอัปมงคล เป็นเสนียดจัญไร ต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้ผีดุร้ายกลับมาอาละวาดหลอกหลอน หรือเกิดเหตุร้ายขึ้นได้ จึงเห็นว่าสมควรที่จะนำมากล่าวไว้เพื่อเป็นเครื่องเปรียบเทียบและวิจารณ์กันดูว่า เหตุใดคนแต่ก่อนเขาจึงทำกันอย่างนั้น มีความมุ่งหมายเพื่อประโยชน์อย่างไรบ้าง กล่าวคือ ๑. ถ้ามีการตายลง ณ ที่บ้านเรือนใด เจ้าภาพต้องเชิญผู้ที่มีความรู้ในทางเวทย์มนต์ หมอผี มาร่ายโองการเสกทำน้ำมนต์ขับไล่ผีสางรังควาน ประพรมน้ำมนต์ที่ซากศพเพื่อป้องกันมิให้ผีดุร้ายมาอาละวาดหลอกหลอน ทำให้เดือดร้อนรำคาญ เรียกว่า ‘พิธีดอย’ พิธีนี้เข้าใจว่า เกิดขึ้นจากความกลัวผีนั้นเอง คนโบราณกลัวผียิ่งกว่าคนสมัยนี้ คนสมัยนี้ไม่ค่อยทำพิธีดอยกันแล้ว เว้นแต่ในชนบทยังมีทำกันอยู่บ้าง และบางท้องถิ่นยังเอาลูกพันธุ์ (ลูกคันธ์สำหรับอบน้ำ) มาตั้งไว้ข้างศพ คือทำเป็นปริศนาธรรม ดังปรากฏตามหนังสือเฉลยปริศนาธรรมของนายเลียบ ประพันธ์ ว่า “ขอแถลงแจ้งข่าวกล่าวยุบล หวังให้คนรู้เรื่องเบื้องโบราณ เมื่อคราวศพหลบหลับอยู่กับที่ ปิดภูษีมิดชิดคิดสงสาร เอาลูกพันธุ์มาแนบกายผู้วายปราณ จะบรรหารบอกเล่าให้เข้าใจ คำว่าพันธุ์นั้นสืบต่อจากพ่อแม่ เป็นเที่ยงแท้มั่นคงไม่สงสัย ให้ดูข้างพันธุ์พ่อแม่มาแต่ไร ไม่มีใครรอดพ้นสักคนเลย แต่ล้วนกายแตกดับจิตกลับหาย ยังแต่กายตั้งกลิ้งนอนนิ่งเฉย ไม่มีใครนึกรักสักคนเลย ตั้งหน้าเฉยเกลียดชังทั้งหญิงชาย คิดแต่จะให้พาไปหาเปลว เป็นคนเลวทรามใหญ่นึกใจหาย น่าสมเพชเวทนาแก่ร่างกาย เกิดมาได้เป็นมนุษย์วิสุทโธ เพราะมีศีลห้าประจำจึ่งล้ำเลิศ ได้มาเกิดเป็นมนุษย์วิสุทธิ์โส ภณะได้พบลาภยิ่งสิ่งบุญโต มากลับโซเปื่อยเน่าไม่เข้าการ ท่านทำมาเพื่อให้รู้อยู่ทั่วกัน เราเป็นพันธุ์ปลดปลงในสงสาร ตลอดถึงเผ่าพงศ์ในวงวาน อยู่ไม่นานถึงตายได้ทุกคน” ๒. เมื่อทำพิธีดอยแล้ว ก็จัดการอาบน้ำศพ คือเอาขมิ้น ดินเหนียวตำเคล้าให้เข้ากัน แล้วเอาน้ำร้อน น้ำเย็น น้ำมะพร้าว มาประสมอาบชำระศพให้สะอาด อาบให้ครบสิบสอง (ลูกหลานจะอาบน้ำศพ หรือช่วยขัดถูทำความสะอาดศพ ก็จะให้ทำกันในระหว่างนี้ นอกจากเวลานี้แล้ว จะไม่มีการรดน้ำกันอีก และทำการเฉพาะลูกหลานเป็นการภายในเท่านั้น) “ให้อาบน้ำตามกฎบทโบราณ ที่ทำการอาบน้ำตามคัมภีร์ เอาน้ำร้อนน้ำเย็นขมิ้นดินประสม คือดินน้ำไฟลมสมเป็นสี่ น้ำมะพร้าวได้แก่จิตลิขิตมี ตัวเรานี้คือธาตุสี่มีขึ้นก่อน ส่วนดวงจิตจรมาอยู่อาศัย ในดินน้ำลมไฟใจพักผ่อน พอกายแตกแยกพรากจิตจากจร เที่ยวเร่ร่อนตามกรรมสุดรำพัน” คำว่าอาบน้ำครบสิบสองนั้น คือสิบสองภาชนะที่ตัก ถ้าตักด้วยขันก็ให้ครบสิบสองขัน “จะกล่าวพร่องเรื่องจริงทุกสิ่งสรรพ์ ครบสิบสองภาชนะประหลาดครั้น เค้าจัดสรรประมวลประมาณมา คืออายตนะทั้งสิบสอง ให้ถูกต้องตามกระแสแน่หนักหนา เค้าแถลงแจ้งข่าวเล่ากันมา ให้รู้จักอายตนะสิบสองอัน คือตาหูจมูกลิ้นกายและใจ เป็นอายตนะภายในใหญ่มหันต์ เรียกอายตนะสิบสองนั้น ที่จัดสรรตั้งไว้ข้างภายใน ข้างภายนอกบอกเล่าเป็นข้อข้อ เติมติดต่อแจ้งศาลออกขานไข มีหกอย่างทางนอกบอกต่อไป รูปเสียงใสกลิ่นรสกำหนดมา พร้อมทั้งโผฏฐัพพะธรรมหกข้อ นี่แหละหนอให้เห็นเป็นปัญหา สิ่งถูกต้องจำได้กายกายา อารมณ์มาเกิดไปในใจจริง ทั้งสองฝ่ายได้ประจบครบสิบสอง อยู่ปกครองร่างกายทั้งชายหญิง เป็นบ่อบุญบ่อบาปทราบความจริง สิบสองสิ่งติดตนทุกคนไป ใครทำบุญบุญพาไปหาลาภ ใครทำบาปบาปตามติดผิดวิสัย” บางท้องถิ่นเอาใบมะกรูด ใบมะนาว รากสะบ้า มาตำกับขมิ้นทาศพด้วย เข้าใจว่าเพื่อดับกลิ่น ฆ่าเชื้อโรคบางอย่าง เพราะรากสะบ้ามีพิษเมา โบราณเอามาตำสระผมทำลายขี้รังแคและค่าตัวเหาได้ ตามหนังสือเฉลยปริศนาธรรมว่า “ส่วนรากสะบ้านั้นเล่าจะกล่าวพร่อง ไปตามคลองรำพันดังบรรหาร คือความหลงไม่รู้จริงสิ่งอยู่นาน ไม่มีการเปลื้องปลดให้หมดไป อุปาทานยึดถือเหมือนมือกุม เข้ามารุมกันหลงให้สงสัย เพื่อเป็นสองของจิตสนิทใน ให้หลงใหลเป็นบ้าในอารมณ์ หลงรูปรสกลิ่นเสียงสำเนียงหวาน อุปาทานยึดถือเล่าเข้าประสม หลงรูปรสกลิ่นเสียงสำเนียงหวาน อุปาทานยึดถือเล่าเข้าประสม ไม่รู้สึกสิ่งเดียวว่าเปรี้ยวขม เลยหลงชมทุกอันจนวันตาย นี่แหละเอารากสะบ้ามาทาตัว ให้รู้ทั่วความจริงสิ่งทั้งหลาย เลยเกาะแกะแนะนำควรจำไว้ รู้สึกกายตรงความไปตามกาล” ๓. เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วยกทรงให้นั่ง ใช้ยอดกล้วยเป็นหลอดกรอกน้ำผึ้งรวงกับการบูรลงไปในท้องมากๆ เพื่อป้องกันมิให้ศพเน่าเร็ว แล้วจัดการตกแต่งให้แก่ศพ คือหวีผมกลับมาข้างหน้า เมื่อหวีเสร็จแล้วให้หักหวีทิ้งลงในโลง ตามชนบทบางแห่งหวีด้วยพด (เปลือกมะพร้าว) การหวีกลับและหักหวีนี้เป็นปริศนาธรรม เพื่อแสดงให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง ไม่สวย ไม่งาม การหักหวีก็เพื่อให้คิดหักจิตพักใจ ไม่ต้องเศร้าโศกอะไร เมื่อมีเกิดก็ต้องมีตายเป็นธรรมดา . วิธีจัดนุ่งห่มให้แก่ศพนั้น โดยมากใช้ผ้าที่ผู้ตายชอบใช้นุ่งห่มประจำหรือผ้าขาวก็ได้ ทำชายพกไว้ข้างหลัง โจงกระเบนไว้ข้างหน้า หรือจะนุ่งไม่โจงกระเบนก็ได้ การกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นปริศนาธรรม ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง ไม่สวย ไม่งาม ดังกล่าวแล้ว บางท้องถิ่นใช้ผ้านุ่งเพียงหนึ่งศอกปิดไว้เพียงข้างหน้า ผ้าห่มก็กว้างเพียงหนึ่งศอกเท่านั้น เพื่อแสดงว่ามนุษย์ที่เกิดมาแล้วอายุไม่ยาวยืน อายุสั้นพลันตาย ควรรีบประกอบกรรมดีไว้ให้มาก อย่าประมาทว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่มีโรคภัย ยังไหลต่อความตาย เพราะความตายเป็นสิ่งที่รู้ไม่ได้ ว่าจะตายเมื่อใด วันนี้หรือวันไหน อาจตายเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้ก็ได้ วันคืนล่วงไปๆ ชีวิตของคนสัตว์ก็ล่วงไปๆ ตามวัน เวลานั้นด้วย ท่านเปรียบเหมือนคนจูงโคไปฆ่า ยิ่งก้าวไปเท่าใด ก็ยิ่งใกล้ที่ที่จะฆ่าเข้าไปทุกที เวลานี้ใกล้เข้าไปเพียงไหนแล้วไม่รู้ จงรีบทำดี ทำดีไว้ อย่าได้ประมาท “ข้างหลังเผยปิดข้างหน้าเวลาตาย นุ่งและห่มผ้านั้นสั้นหนึ่งศอก ผมผู้บอกคิดไปหัวใจหาย ชีวิตสัตว์เกิดมาสั้นเร็วพลันตาย ควรขวนขวายทำความดีเป็นศรีตัว” ๔. แล้วเอาด้ายขาว ผูกกรองมือ กรองเท้า เอาดอกไม้ ธูป เทียน ซองหมากพลู ใส่มือให้ แล้วโยงไปผูกไว้กับคอ ถ้าเป็นศพคนที่มั่งมีเงินทอง ก็เอาแหวนทองรูปพรรณใส่ปากศพ และบางคนเอาทองปิดหน้าศพ หรือปิดด้วยทองอังกฤษตามสถานะของตน บางท้องถิ่นใช้ใบพลูปิดหน้าศพก็มี (ตามหนังสือประเพณีไทย ของหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ว่า การที่เอาทองปิดหน้านั้น เพื่อเป็นเครื่องป้องกันดวงตาหลุด เช่นเดียวกับชาวอียิปต์) และตามหนังสือเฉลยปริศนาธรรมอธิบายว่า การผูกกรองมือ เท้า และคอ หมายถึง บ่วง ๓ ได้แก่ บุตร และทรัพย์กับภรรยา ยากที่จะตัดนิวรณ์ห่วงใยให้ขาดได้ ดังปรากฏตามโคลงโลกนิติว่า ๑. ปุตโต คีเว = มีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยว พันคอ ๒. ธนัง ปาเท = ทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้ ๓. ภริยา หัตเถ = ภรรยาเยี่ยงบ่วงปอ รึงรัด มือนา และผู้เขียนได้แต่งเทียบ มีบุตรดุจบ่วงคล้อง คอกระสัน อยู่ฮา ทรัพย์ผู้บาทาพัน แน่นไว้ ภรรยาเยี่ยงบ่วงขัด ขึงรัด มือพ่อ ใครติดสามบ่วงได้ จึ่งพ้นสงสารฯ ดอกไม้ ธูป เทียน หมากพลูที่ใส่มือให้นั้น เพื่อจะได้นำไปบูชาพระจุฬามณี อันเป็นพระเจดีย์บรรจุพระเกศธาตุพระพุทธเจ้า อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือเพื่อแสดงว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา . แหวนทองรูปพรรณที่ใส่ปากนั้น หมายความว่าทรัพย์สมบัติเป็นของกลางสำหรับโลก แม้จะปกครองยึดถือก็ได้เฉพาะชั่วคราว เมื่อตายแล้วใส่ปากให้ก็เอาไปไม่ได้ ต้องคืนให้แก่โลก สิ่งที่ติดตัวไปได้คือบุญกุศลและบาปเท่านั้น . แหวนหรือทองรูปพรรณที่ใส่ปากนั้น เป็นของเสียสละ เจ้าภาพไม่ได้คิดเอาคืน เป็นของตกได้แก่สัปเหร่อ ผู้เขียนเคยเห็นสัปเหร่อควักเอาแหวนจากปากศพ แล้วใส่หมับเข้าปากตนทั้งที่มีน้ำเน่าน้ำหนอง ถามเขาว่าทำไมทำอย่างนั้น ถ้าเช็ดล้างให้สะอาดเสียก่อนไม่ได้หรือ เค้าตอบว่าเป็นธรรมเนียมของสัปเหร่อ ต้องทำความสนิทสนม ไม่รังเกียจแก่ศพ หากไม่ทำอย่างนั้น จะเอาของเขาไม่ได้ เป็นอุบาทว์จัญไร ทำมาหากินไม่เกิดผล คล้ายกับที่ถือกันว่าถ้าฆ่าคนตายแล้ว ต้องเลียโลหิตที่เปื้อนมีด ดาบ เพื่อแก้ขวง คือเสียผีนั่นเอง แต่ตามหนังสือประเพณีไทยว่า “การที่เอาแหวนใส่ปากศพนั้น เพื่อสำหรับผูกได้สายสิญจน์ในปากศพ ซึ่งเวลาเผา สัปเหร่อก็เอาออกมาทำความสะอาดแล้วกลับคืนให้เจ้าภาพ ถ้าเจ้าภาพต้องการจะเอาไว้ ก็เอาเงินแลกกลับคืนตามตกลงกัน ถ้าไม่ต้องการ ของก็เป็นของสัปเหร่อ เข้าใจว่าเป็นของล่อใจสัปเหร่อให้ทำศพนั้นโดยประณีตเท่านั้น” . การเอาวัตถุปิดหน้าศพนั้น ถือว่าการตายเท่ากับถูกแผ่นดินกลบหน้าไปชาติหนึ่ง คนที่ยังไม่ตายควรจะถือเป็นคติรีบทำบุญกุศลประกอบการงานที่ควรทำทำเสียให้เสร็จ อย่าทอดทิ้งการงานไว้ให้อากูลแก่ลูกหลาน เมื่อถูกแผ่นดินกลบหน้าแล้ว ก็หมดเรื่องกันไปคราวหนึ่ง “เร่งหาผลกุศลก่อนจะดับจิต เมื่อชีวิตบรรจบพบสว่าง ถึงชีพลับดับกระเด็นให้เห็นทาง แสงสว่างคือกุศลที่ตนทำ ทำสิ่งใดแล้วทำให้ตลอด อย่าทิ้งทอดเอาไว้ดูไม่ขำ คิดนึกตึกตรองต้องจดจำ คิดหรือทำรีบร้อนเสียก่อนตาย ครั้นตายแล้วแคล้วคลาดนิราศหมด ทั้งลาภยศผาสุกทุกข์ก็หาย จะช่วยใครที่ไหนก็ไม่ได้ เหมือนความตายปิดหน้าดั่งวาที” ๕. เมื่อกรองมือเท้า นุ่งห่มเสร็จแล้ว ก็เอาผ้าขาวห่อศพทบไปมาหลายๆ ชั้น ผูกตราสังด้วยด้ายขาวเป็นเปลาะๆ ตลอดหัวและเท้าให้แน่นหนา แล้วจึงนำศพลงในโลง เรื่องผูกมัดตราสังศพนี้ ปรากฏตามหนังสือศาสนาสากล ของหลวงวิจิตรวาทการว่า เป็นสิ่งที่ได้กระทำกันมาแล้วแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณของมนุษย์สมัยหินที่เห็นศพเป็นของร้าย เข้าใจกันว่าคนตายก็เหมือนคนนอนหลับ ดวงวิญญาณยังอยู่ในร่างนั้นจะลุกขึ้นมาหลอกหลอนหรือทำความไม่ดีอะไรให้ จึงได้มัดแข้งมัดขาเพื่อมิให้ลุกขึ้นมาได้ และเมื่อนำไปกลบหรือฝังแล้ว ก็ยังได้เอาหินก้อนใหญ่ๆ มหึมา มากองทับกันไว้อย่างแน่นหนา จนแน่ใจว่าจะลุกขึ้นไม่ได้อีกต่อไปอีก . ความคิดอย่างนี้ก็ได้แพร่มาจนกระทั่งถึงไทยเรา เช่นเรื่องตราสังมัดศพหรือทำน้ำมนต์พระพรมศพที่เรียกกันว่า ‘ดอย’ นั้นก็ไม่ใช่อื่นใด เป็นเรื่องป้องกันผีดุเท่านั้น เวลานี้เลิกกรองมือกรองเท้าผูกมัดตราสังกันแล้ว การแต่งตัวนุ่งห่มให้แก่ศพ ก็นุ่งห่มกันตามธรรมดา ตามฐานะของผู้ตายที่ควรแก่การบริโภคใช้สอย ฉะนั้น โอกาสที่พระจะชักผ้าบังสุกุล (ผ้าเปื้อนฝุ่น น้ำเลือด น้ำหนอง) อย่างสมัยก่อนๆ จึงไม่มีในปัจจุบันแล้ว ๖. วิธีทำโลง ต้องทำให้ปากโลงผายกว่าก้นนิดหน่อย แล้วเอาดินเหนียวมาตำผสมกับใบบอนและใบฝรั่ง เพื่อให้เหนียว ยาตามแนวก้นโลงและข้างๆ เพื่อป้องกันมิให้น้ำเน่า น้ำหนอง ไหลซึมออกมาได้ แล้วให้เอากระดาษฟางหรือปูนขาวโรยอีกทีหนึ่งเพื่อดูดน้ำเน่า น้ำหนองไว้ด้วย ต่อจากนั้น ก็เอาไม้รอด ๔ อัน ยิงตั้งขวางไว้ในโลง (บางท้องถิ่นเรียกว่าไม้ข้ามทะเล) แล้วเอาฟาก ๗ ซี่วางลงบนไม้รอด (ฟาก ๗ ซี่นี้ ต้องถักด้วยเชือกเป็น ๓ แห่ง จะใช้กรองทับไปมาเหมือนอย่างที่กรองกันตามธรรมดาไม่ได้) แล้วจึงเอาศพใส่ลงในโลง ให้สายด้ายที่ผูกมัดมือศพเหลือยื่นออกมาจากโลงเพื่อผูกกับผ้าโยงสำหรับพระใช้ชักบังสุกุลต่อไป ไม้รอด ๔ อันนั้น หมายเอาธาตุสี่ ที่เรียกว่าไม้ข้ามทะเล คือหมายเอาการข้ามโอฆะ ๔ นั้นเอง ได้แก่ กามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะ ไม้ฟาก ๗ ซี่ หมายเอาพระธรรมเจ็ดคัมภีร์ เชือกที่กรองฟาก ๓ แห่ง (๓ เปลาะ) นั้นหมายถึง พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ รวมความว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องข้ามโอฆะ ที่ห้ามมิให้กรองฟากกลับไปกลับมา ก็เพื่อจะไม่ให้กลับมาเกี่ยวพันกับโลกอีก “เรื่องเชือกพับบังคับกลับกรองหลบ แจ้งให้ครบตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ พระอริยะละกิเลสเหตุพัวพัน ท่านบากบั่นข้ามไปเสียไกลตน ไม่ต้องมาละอีกหลีกไปแล้ว ให้คลาดแคล้วกลอกกลับรับแต่ผล” ขณะเมื่อเอาศพลงบรรจุในโลงนั้น ต้องนิมนต์พระมาสวดพระอภิธรรมเสียหนึ่งเตียง เรียกว่าสวดหน้าศพ หรือหน้าหนวยไม้ ๗. เมื่อเอาศพลงหีบแล้ว ถ้ามีความประสงค์จะตั้งศพไว้ที่บ้าน เพื่อสะดวกแก่การทำบุญให้ทานต่อหน้าศพ ก็ให้จัดสถานที่ที่ตั้งศพ ที่พระสวด ที่พักพระที่ พักแขกไปมาในงาน . ที่ตั้งศพนั้น ให้มีฐานวางศพ ๒ – ๓ ชั้น และมีแจกันปักดอกไม้ พานดอกไม้ เชิงเทียนวางขัดกันไป และตั้งผ้าโยงที่บูชาพระให้ผู้ตายตรงหน้าศพ ตั้งโต๊ะหมู่สำหรับพระพุทธรูป ควรจัดให้ศพหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก แต่ถ้าตั้งอย่างนั้นไม่ได้ เพราะสถานที่บังคับจะตั้งให้หันศีรษะไปทางไหนก็ได้แล้วแต่สะดวก ข้อสำคัญ อย่าจัดให้พระนั่งสวดพระอภิธรรม ที่ตั้งโต๊ะหมู่พระพุทธรูป หรือที่แสดงพระธรรมมาเทศนาอยู่ทางงปลายเท้าศพเท่านั้น . การตั้งศพทำบุญที่บ้าน โดยมาก ๓ วันหรือ ๗ วัน มีเทศน์และสวดพระอภิธรรมในเวลากลางคืน รุ่งขึ้นตอนเช้าเลี้ยงพระ โดยมากพระที่สวดเตียงหลังๆ เพราะท่านอยู่ดึก และตั้งอาหาร ข้าว น้ำ ให้แก่ศพทั้งสองเวลา มีการเคาะที่โลงบอกให้รับประทานอาหาร ประเพณีอันนี้อาจเกิดขึ้นด้วยกตัญญูรู้คุณ หรือการเซ่นวิญญาณมาจากจีนก็ได้ ๘. วันเผาศพนั้น ทางปักษ์ใต้ถือเอาวันขึ้นแรมเป็นสำคัญคือ ข้างขึ้นถือวันคี่ ข้างแรมถือวันคู่ ห้ามมิให้ทำการเผาศพ เช่น วันขึ้นค่ำ ๓ ค่ำ ๕ ค่ำ หรือวันแรม ๒ ๔ ๖ ค่ำเหล่านี้ จะเผาศพมิได้ ถือว่าเป็น ‘วันผีหามคน’ ถ้าจะเผาวันข้างขึ้นให้เผาวันขึ้น ๒ ค่ำ ๔ ค่ำ ซึ่งเป็นวันคู่ หรือถ้าจะเผาวันข้างแรมก็เผาวันแรมค่ำ ๓ ค่ำ เป็นต้นเรียกว่า ‘วันคนหามผี’ แม้จะตรงกับวันพระหรือวันอาทิตย์วันศุกร์หรือวันไหนไหนก็ใช้ได้ไม่ห้าม (ตรงข้ามกับภาคกลางซึ่งถือวันศุกร์ไม่เผาศพ) ๙. เครื่องประโคมในงานศพนั้น ใช้เครื่อง ‘กาหลอ’ มีกลองแขก (กลองชนะ) ๒ ใบ ฆ้องโหม่ง ๑ ใบ ปี่ห้อ (ปี่ชวา) ๑ อัน ใช้ประโคมตั้งแต่คืนแรกจนตลอดงาน ต้องปลูกโรงให้อยู่เป็นเอกเทศ มีคนประจำเครื่อง ๓ คน กินอยู่หลับนอนในโรงนั้นเสร็จ ถ้ามีธุระจำเป็นจะออกจากโรง ก็ต้องอยู่เฝ้าโรงคนหนึ่ง จะทิ้งโรงไปไม่ได้ มีพิธีรีตองถือครูถือผี เช่นเริ่มจะลงมือประโคมต้องทำพิธีเบิกปากปี่เสียก่อน มีดอกไม้ ธูป เทียน หมาก ๙ คำ ผ้าขาวสองผืน เงินหกสลึง เป็นค่าขึ้นครู . เมื่อวันจะออกจากโรงแห่นำศพไปป่าช้า ต้องดูทิศทางมิให้ต้อง ‘ผีหลวง’ หรือ ‘หลาวเหล็ก’ ถ้าจะออกทางประตูไม่ได้โดยเป็นทิศห้าม ก็ต้องแหกฝาโรงออกไป เครื่องกาหลอนี้ สมัยก่อนๆ นิยมใช้กันมากเพราะค่าแรงงานถูก และมีเสียงไพเราะ โหยหวน คล้ายพิณพาทย์ทำเพลงนางหงส์ แต่ปัจจุบันนี้นิยมใช้พิณพาทย์หรือแตรเครื่องดุริยางค์กันแล้ว เว้นแต่ชนบทยังใช้กาหลอกันอยู่ แต่เมื่องานพระราชทานเพลิงศพพระครูกาเดิม (คลิ้ง มงฺคโล) วัดจันทาราม วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๑๓ นี้ ได้หาเครื่องกาหลอมาประโคมในงาน รู้สึกว่าครึกครื้นดี คำว่า ‘กาหลอ’ เข้าใจว่ามาจากรากศัพท์ว่า ‘กาหล’ ซึ่งแปลว่า แตรงอน อึกทึก (หมายความว่าเครื่องประโคมอันมีเสียงอึกทึก) ๑๐. เวลาจะยกศพออกไปจากบ้าน ต้องทำประตูพราง คือเอาไม้ ๔ อันทำเป็นสี่เหลี่ยมพื้นผ้า ทาบไว้ที่ประตูเรือนข้างนอก ที่จะนำศพออกไป และต้องให้ลูกหรือหลานคนสุดท้องถือข้าวสารออกตามศพไปด้วย ประตูพรางนี้ เมื่อนำศพออกไปแล้ว ให้เอาออกทิ้งเสีย ศพที่นำออกไปนั้นให้เอาเท้าออกไปก่อน และกลบลบรอยคนหามศพเสียด้วย ทั้งนี้เพื่อมีให้ผีกลับบ้านถูก ส่วนลูกหลานเด็กเล็กก็ให้เอามีดหม้อทาหน้า เพื่อมิให้ผีจำหน้าได้หรือให้ผีเกลียดฯ (คำอธิบายภาพปก ศพพระครูกาชาด (ย่อง อินฺสุวณฺโณ) วัดวังตะวันตก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จาก Facebook : Krit Jakkrit) จากบทความ “ประเพณีการจัดทำศพ (ที่ถูกต้อง) ของชาวใต้” ของขุนอาเทศคดี ในสารนครศรีธรรมราช ฉบับเดือน กรกฎาคม ๒๕๑๓ https://www.wreath789.com/blog https://th.wikipedia.org/wiki