05 ธันวาคม, 2567

ตัวตลกหนังตะลุง

ตัวตลกหนังตะลุง
รูปตัวตลก คือรูปหนังตะลุงทีเป็นเสมือนตัวแทนของชาวบ้านซึ่งจำลองรูปร่างลักษณะ กิริยาท่าทางและนิสัยมาจากคนจริงในสังคมภาคใต้ หนังตะลุงคณะหนึ่งๆ จะมีตัวตลกประมาณ 8 -15 ตัว แต่ละตัวมีรูปร่างและนิสัยแตกต่างกัน แต่ทุกตัวจะพูดภาษาถิ่น มีลีลาการพูดสุ้มเสียงแตกต่างกัน เมื่อเป็นตัวตลกตัวเดียวกันไม่ว่าคณะใดจะนำไปใช้จะต้องรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวตลกนั้นๆ ให้เป็นแบบเดียวกันหมด คนเชิดต้องศึกษาและฝึกเชิดแต่ละตัวให้เกิดความช่ำชองถูกต้องตามแบบฉบับจะผิดเพี้ยนไปไม่ได้ ดังนั้น "ยอดทอง" ของหนังตะลุงทุกคณะจะต้องแกะให้รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน มีขนาดใกล้เคียงกัน ผู้เชิดทุกคณะต้องฝึกเลียนเสียงยอดทองให้มีสำเนียงเป็นอย่างเดียวกันมีนิสัยตามที่เคยมีมาทุกประการ นายหนังตะลุงจึงต้องสวมวิญญาณของตัวตลกตัวนั้นๆ ตามแบบฉบับที่นิยมสืบถ่ายกันมาอย่างแนบเนียนและครบถ้วน ตัวตลกของหนังตะลุง มีบทบาทสำคัญเท่าที่ปรากฏอยู่ดังนี้ ให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ขัน เนื่องจากหนังตะลุงต้องแสดงกลางคืน ใช้เวลาแสดงนาน และมักแสดงไปจนกระทั่งสว่าง ดังนั้นการที่จะต้องคอยกระตุ้นไม่ให้ผู้ชมง่วงหลับจึงเป็นเรื่องสำคัญ นายหนังจึงต้องคอยแทรกเรื่องตลกให้ได้ฮากันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงจำเป็นต้องมีตัวตลกออกมาคอยเรียกเสียงฮาทุกฉากทุกตอน ฉากนั่งเมืองใช้ตัวตลกเป็นอำมาตย์เสนา ฉากเดินป่ามีตัวตลกเป็นผู้ติดตาม ฉากรบใช้ตัวตลกเป็นพลรบคอยยั่วเย้าท้าทาย ฉากรักใช้ตัวตลกคอยหยอกล้อชี้แนะ เป็นต้น โดยมากในแต่ละฉากแต่ละตอนจะมีตัวตลกเกินกว่า 1 ตัว เพื่อจะได้ชวนกันดึงเข้าสู่จุดได้สะดวกยิ่งขึ้น ผู้ชมหนังตะลุงบางคนสนใจการตลกมากกว่าการดำเนินเรื่อง หนังตะลุงที่ตลกเก่ง คือมีแง่มุมตลกได้มาก ตลกเหมาะจังหวะ มีความขำคมอยู่ในที ไม่หยาบโลนมากนัก ให้เป็นที่พอใจของผู้ชมทุกเพศทุกวัย ทำให้นายหนังสามารถแสดงทัศนะหรือวิพากษ์วิจารณ์ขัดแย้งได้สะดวกยิ่งขึ้น เนื่องจากบางสิ่งบางอย่างที่มีผลกระทบต่อสังคม ถูกจำกัดการแสดงทัศนะวิพากษ์วิจารณ์แต่เป็นความต้องการของสังคมที่ใคร่ฟังหรือได้ระบายออกกรณีเช่นนี้หนังตะลุงจะใช้วิธีแสดงออกผ่านตัวตลก เป็นทีเล่นทีจริง หยิกแกมหยอกหรือบางครั้งก็โจมตีตรงไปตรงมาอย่างรุนแรงสนองทั้งความต้องการของนายหนังเองและของผู้ชม ทำให้เรื่องหนักกลายเป็นเรื่องเบา กรณีเช่นนี้เคยมีนายหนังตะลุงบางคนถูกจับฟ้องร้องฐานด่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผ่านตัวตลก มีการสู้คดีกัน นายหนังตะลุงแก้ว่าตนไม่ได้พูด ตัวตลกเป็นตัวพูดให้นำตัวตลกไปจับขังแทน ในที่สุดนายหนังคณะนั้นถูกสั่งห้ามออกตัวตลกนั้นเป็นเวลา 3 ปี นายหนังก็เชื่อฟังพอครบ 3 ปี ก็นำตัวตลกนั้นมาใช้ตามเดิมและบอกเล่ากับผู้ชมที่หายหน้าไป 3 ปีเต็มเพราะติดคุก ช่วยให้นายหนังได้พักเหนื่อยไปในตัว เพราะเนื่องจากการแสดงหนังตะลุงแต่ละครั้ง ต้องใช้เวลาต่อเนื่องกันหลายชั่วโมง การดำเนินเรื่องอย่างเป็นกิจจะลักษณะทำให้นายหนังเหนื่อยมาก เพราะต้องคิดบทกลอนบ้าง คิดบทสนทนาบ้างเรื่องก็ดำเนินไปเร็วเกินควร ต้องใช้เรื่องยาวๆ ยากแก่การผูกเรื่องและคลี่คลายเหตุการณ์จึงใช้วิธีตลกแทรกมากๆ เพราะสามารถจะดึงเรื่องใดเข้ามาสอดแทรกก็ได้ เมื่อเรียกเสียงฮาได้ครั้งหนึ่ง นายหนังก็ได้หยุดพักผ่อนไปในตัว หรือแม้จะตลกต่อเนื่องไปก็ไม่เคร่งเครียดเหมือนกับการดำเนินเรื่อง ทำให้การเชิดหนังตะลุงมีหลากลักษณะและเป็นศิลปะที่คงอยู่ได้ เนื่องจากตัวตลกหนังตะลุงมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน มีน้ำเสียงและนิสัยผิดแปลกกัน ทำให้ลีลาการเชิดการสวมบทบาทมีหลายลักษณะ ผู้ชมจึงไม่เบื่อง่าย แม้ลูกคู่ที่บรรเลงดนตรีก็สนุกตาม และที่สำคัญยิ่งก็คือตัวตลกช่วยให้การแสดงหนังตะลุงเข้าถึงจิตใจประชาชนได้ทุกเพศทุกวัยสามารถดึงเหตุการณ์เฉพาะหน้าหรือสภาพความเป็นจริงของสังคมที่เป็นปัจจุบันมาสอดใส่ในบทบาทของตัวตลกได้ทุกเรื่องทุกช่วงตอน หนังตะลุงจึงเป็นสื่อชาวบานที่ตามสมัยนิยมกันอยู่เสมอ อันเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ช่วยให้ศิลปะการเชิดหนังตะลุงของภาคใต้คงอยู่ได้ การเสนอมุขตลกของหนังตะลุงบางคณะ นอกจากจะใช้ตัวตลกเป็นสื่อ อาจจะใช้ตัวสำคัญ เช่น เจ้าเมืองบางเมืองเป็นตัวตลกก็มี ในกรณีเช่นนี้เรียกกันว่า "ตลกรูปใหญ่ ส่วนการตลกที่ใช้ตลกโดยตรงชาวบ้านเรียกว่า "ตลกรูปกาก" (รูปกาก หมายถึงรูปประกอบเบ็ดเตล็ดไม่ใช่รูปสำคัญ ) หนังตะลุงบางคณะใช้ฤาษีทุศีล (เช่น ฤาษีเซ่ง) หรือใช้ยักษ์บ้าๆ บอๆเป็นตัวตลกก็มี ตัวตลกตัวหลัก ตัวตลกตัวหลักของหนังตะลุงภาคใต้ฝั่งตะวันออกที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย คือมีอยู่ทุกคณะ ได้แก่ เท่ง หนูนุ้ย สีแก้ว ยอดทอง ขวัญเมือง ตัวตลกที่นิยมรองมา คือนิยมกันหลายคณะแต่ไม่กว้างขวางเท่าชุดแรก ได้แก่ สะหม้อ อินแก้ว โถ พูน กรั้ง หรือ กลั้ง ปราบ คงรอด จีนจ็อง หนูเนือย (น้องของหนูนุ้ย) เป็นต้น ตัวตลกเหล่านี้เมื่อเรียกกันจริงๆ มักใช้คำว่า "อ้าย" นำหน้า เช่น อ้ายเท่ง อ้ายหนูนุ้ย อ้ายกรั้ง อ้ายคงรอด อ้ายหนูเนือย คำว่าอ้ายในที่นี้มิได้เป็นคำหยาบแต่ประการใด ส่วนตัวตลกของหนังตะลุงฝั่งตะวันตกที่เป็นตัวพิเศษ ซึ่งหนังฝั่งนั้นทุกคณะจะขาดไม่ได้คือ เณรพอน ศักดิ์ของตัวตลก รูปหนังตะลุงคณะหนึ่งๆ ซึ่งมีประมาณ 100 - 200 ตัว มีทั้ง ฤาษี มนุษย์ เทวดา ยักษ์มาร และรูปประกอบอื่นๆ หนังตะลุงถือว่ามีศักดิ์ศรีต่างกัน การจัดเก็บซ้อนในแผงเก็บรูปก็ดี การจัดปักหรือแขวนรูปไว้ในโรงขณะแสดงก็ดี ต้องจัดเป็นพวกลำดับให้ถูกตามศักดิ์ เช่น ฤาษีมีศักดิ์สูงสุดต้องเก็บไว้บนสุด เมื่อแขวนรูปเทวดาต้องอยู่เหนือศีรษะ รูปฝ่ายอธรรม เช่น ยักษ์ โจร นางเบียน ต้องปักวางไว้ซ้ายมือของหนัง รูปฝ่ายธรรมะไว้ทางขวา เหล่านี้เป็นต้น สำหรับตัวตลกนั้นถือว่าเป็นรูปที่มีศักดิ์สูงรองจากฤาษี พระอิศวร เทวดาและเจ้าเมืองลงไปแต่มีความสำคัญกว่าตัวพระตัวนางหรือเจ้าเมืองที่ขาดคุณธรรมรูปตลกบางตัวนายหนังถือเป็นรูปศักดิ์สิทธิ์มีการปิดทองเต็มตัวมีการเคารพบูชาเป็นพิเศษ แต่ทั้งนี้ย่อมแตกต่างกันไปตามความศรัทธาของคณะนั้นๆรูปตลกบางตัวแกะสลักขึ้นอย่างมีพิธีรีตอง มีการเลือกวันเริ่มแกะสลัก เลือกลักษณะของหนังที่นำมาตัด บางรูปใช้หนังเท้าจากศพของคนที่นายหนังบูชานับถือมาเป็นส่วนประกอบซึ่งโดยมากมักจะใช้เป็นตัวตลกเอก อาจมีพิธี "เบิกปาก" เพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์พูดจาเป็นที่พอใจ ผูกใจคนดู เหล่านี้เป็นต้น ลักษณะเฉพาะของรูปตัวตลก รูปตัวตลกแต่ละตัวมีวิธีการแกะสลักและประกอบให้แขนทั้ง 2 ข้างสามารถเคลื่อนไหวได้ โดยแบ่งตัดแขนแต่ละข้างเป็น 3 ตอน เป็นช่วงแขนบนตอนหนึ่ง ใช้เชือกเหนียวร้อยต่อกันเพื่อให้แขนเคลื่อนไหวได้ทั้ง 3 ส่วน คล้ายคนจริง โดยจะใช้ไม้กลมเล็กผูกโยงร้อยไว้กับสันหลังมือสำหรับเชิดให้มือเคลื่อนไหว อาจทำท่ายกมือไหว้ ผลัก ถอง ตบตี เอื้อม ฉุด ลาก ได้ทุกประการ นอกจากนั้นปากของรูปตัวตลกก็ทำให้สามารถเคลื่อนไหวริมฝีปากล่างขึ้นลงได้ โดยมีเชือกผูกสไรับชักปากให้อ้าออกและมีคันโยงคล้ายคันเบ็ดขนาดเล็กผูกแนบซ่อนไว้เพื่อดึง จึงสามารถชักปากตัวตลกขึ้นลงได้ตามจังหวะของการพูดทำให้มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น วิธีพากย์รูปหนังตะลุงโดยการชักปาก"นี้เป็นเหตุให้เกิดสำนวนภาษากล่าวตำหนิคนที่พูดอะไรโดยไม่เป็นตัวของตัวเองว่า" ถูกชักปาก " รูปตัวตลกบางตัวยังทำให้สามารถเคลื่อนไหวส่วนขาได้อีกด้วย ทำให้สามารถถีบอัดและขึ้นเข่าได้ เป็นที่น่าสังเกตว่ารูปตัวตลกหนังตะลุงส่วนมากเมื่อปล่อยแขนให้ห้อยเหยียดตรงขนานกับลำตัว ปลายนิ้วมือจะยาวเลยระดับเข่าลงมาซึ่งต้องตามตำราลักษณะมหาบุรุษ อาจเป็นโดยบังเอิญหรือเนื่องแต่คติใดยังไม่อาจทราบได้รูปตัวตลกทุกตัวสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวไทยภาคใต้ยุคที่ยังไม่สวมเสื้อ เป็นอย่างดี ทั้งยังสะท้อนถึงความนิยมในการใช้มีดและอาวุธพื้นบ้าน เช่น กริช (ของยอดทอง) อ้ายครกหรืออ้ายคล็อก (ของเท่ง) กรรไกรคีบหมาก (ของหนูนุ้ย) ขวาน (ของทองพูน) เป็นต้น หนังตะลุงยุคเก่ามีผู้ทำหน้าที่เชิดตัวตลกโดยเฉพาะบางคณะมีถึง 2 คน แต่หนังตะลุงในปัจจุบัน นายโรงทำหน้าที่เชิดรูปทุกตัวเพียงคนเดียว ตัวตลก หรือ รูปกาก มีความสำคัญในการแสดงหนังตะลุงมาก สามารถตรึงคนดูได้มีความผูกพันกับชีวิตของชาวบ้านมากกว่าตัวละครอื่นๆ หนังคณะหนึ่งๆ มีตัวตลกไม่น้อยกว่า 10 ตัวขึ้นไป พูดภาษาถิ่นใต้ การแต่งกายมักเปลือยท่อนบน หน้าตาจะผิดเพี้ยนจากคนจริงไปบ้าง แต่ละตัวมีเสียงพูดหรือสำเนียงโดยเฉพาะ ตัวตลกเอก นิยมนำหนังตีนของอาจารย์ที่ตนเคารพนับถือ มาทำเป็นริมฝีปากล่าง เพื่อให้เกิดความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ปิดทองทั้งตัว ขนาดเชือกชักปากทำด้วยทองแบบสร้อยคอก็มี ตัวตลกมีเป็นจำนวนมาก เฉพาะตัวที่สำคัญมีดังนี้
อ้ายเท่ง เอาเค้ามาจากชาวบ้านคนหนึ่ง ชื่อเท่ง อยู่บ้านคูขุด อำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา หนังจวนบ้านคูขุดนำมาตัดรูปตลกเป็นครั้งแรก หนังคณะอื่นๆ นำไปเลียนแบบ รูปร่างผอมบางสูง ท่อนบนยาวกว่าท่อนล่าง ผิวดำ ปากกว้าง หัวเถิก ผมงอหยิก ใบหน้าคล้ายนกกระฮัง นิ้วมือขวายาวโตคล้ายอวัยวะเพศผู้ชาย นิ้งชี้กับหัวแม่มือซ้ายงอหยิกเป็นวงเข้าหากัน นุ่งผ้าโสร่งลายตาหมากรุก คาดพุงด้วยผ้าขะม้า ไม่สวมเสื้อ ที่สะเอวเหน็บมีดอ้ายครก (มีดปลายแหลมด้านงอโค้งมีฝัก) ชอบพูดจาโผงผาง ไม่เกรงใจใคร ขู่สำทับผู้อื่น ล้อเลียนเก่ง เป็นคู่หูกับอ้ายหนูนุ้ย หนูนุ้ย
อ้ายหนูนุ้ย นำเค้ามาจากคนซื่อๆ แกมโง่ ผิวดำ รูปร่างค่อนข้างเตี้ย พุงยานโย้คอตก ทรงผมคล้ายแส้ม้า จมูกปากยื่นออกไป คล้ายกับปากวัว มีเครายาวคล้ายหนวดแพะ ใครพูดเรื่องวัวเป็นไม่พอใจ นุ่งผ้าโสร่งแต่ไม่มีลวดลาย ไม่สวมเสื้อ ถือมีดตะไกรหนีบหมากเป็นอาวุธ พูดเสียงต่ำสั่นเครือดันขึ้นนาสิก ชอบคล้อยตามคนยุยงส่งเสริม แสดงความซื่อออกมาเสมอ
นายยอดทอง เชื่อกันว่าเป็นชื่อคนจริงชาวจังหวัดพัทลุง รูปร่างอ้วน ผิวดำ พุงย้อยก้นงอนขึ้นบนผมหยิกเป็นลอน จมูกยื่น ปากบุ๋ม เหมือนปากคนแก่ไม่มีฟัน หน้าเป็นแผลจนลายคล้ายหน้าจระเข้ โครพูดถึงเรื่องจระเข้ไม่พอใจ นุ่งผ้าลายโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ เหน็บกริชเป็นอาวุธประจำกาย เป็นคนเจ้าชู้ ปากพูดจาโอ้อวด ใจเสาะ ขี้ขลาด ชอบขู่หลอก พูดจาเหลวไหล ยกย่องตนเอง บ้ายอ ชอบอยู่กับนายสาว ที่มีสำนวนชาวบ้านว่า "ยอดทองบ้านาย" นายยอดทอง แสดงคู่กับตัวตลกอื่นๆ ได้หลายตัว เช่น คู่กับอ้ายหลำ คู่กับอ้ายขวัญเมือง คู่กับอ้ายพูนแก้ว คู่กับอ้ายดำบ้า คู่กับอ้ายลูกหมี คู่กับอ้ายเสมียน เป็นต้น
นายสีแก้ว เชื่อกันว่าเอาเค้ามาจากคนที่ชื่อสีแก้วจริงๆ เป็นคนมีตะบะ มือหนักโกรธใครตบด้วยมือหรือชนด้วยศรีษะ เป็นคนพูดจริง ทำจริง สู้คน ชอบอาสาเจ้านายด้วยจริงใจ ตักเตือนผู้อื่นให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามทำนองคลองธรรม รูปร่างอ้วนเตี้ย ผิวคล้ำ มีโหนกคอ ศรีษะล้าน นุ่งผ้าโจงกระเบนลายตาหมากรุก ไม่สวมเสื้อ ไม่ถืออาวุธใดๆ ใครพูดล้อเลียนเกี่ยวกับเรื่องพระ เรื่องร้อน เรื่องจำนวนเงินมากๆ จะโกรธทันที พูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ เพื่อนคู่หูคือนายยอดทอง
สะหม้อ อ้ายสะหม้อ หนังกั้น ทองหล่อ นำมาจากคนจริง โดยได้รับอนุญาตจากชาวอิสลามชื่อสะหม้อ อยู่บ้านสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา หนังตะลุงอื่นๆ ที่นำไปเลียนแบบ พูดกินรูปสู้หนังกั้น ทองหล่อไม่ได้ รูปร่างอ้ายสะหม้อ หลังโกง มีโหนกคอ คางย้อย ลงพุง รูปร่างเตี้ย สวมหมวกแขก นุ่งผ้าโสร่ง ไม่สวมเสื้อ พูดล้อเลียนผู้อื่นได้เก่ง ค่อนข้างอวดดี นับถือศาสนาอิสลามแต่ชอบกินหมู ชอบดื่มเหล้า พูดสำเนียงเนิบนาบ รัวปลายลิ้น
ขวัญเมือง อ้ายขวัญเมือง ไม่มีประวัติความเป็นมา เป็นตัวตลกเอกของหนังจันทร์แก้ว จังหวัดนครศรีธรรมราช คนในถิ่นนั้น เขาไม่เรียกว่าอ้ายเมือง แต่เรียกว่า "ลุงขวัญเมือง" แสดงว่าได้รับการยกย่องจากคนในท้องถิ่นอย่างสูงเหมือนกับเป็นคนสำคัญผู้หนึ่ง ใบหน้าของขวัญเมืองคล้ายแพะ ผมบางหยิกเล็กน้อย ผิวดำ หัวเถิก จมูกโด่งโตยาว ปากกว้าง พุงยานโย้ ก้นเชิด ปลายนิ้งชี้คล้ายนิ้วมืออ้ายเท่ง นุ่งผ้าพื้นดำ คาดเข็มขัด ไม่สวมเสื้อ เป็นคนซื่อ บางครั้งแฝงไว้ซึ่งความฉลาด ชอบสงสัยเรื่องของผู้อื่น พูดจาเสียงหวาน หนังจังหวัดสงขลาแสดงคู่กับอ้ายสะหม้อ หนังจังหวัดนครศรีธรรมราชแถวอำเภอเชียรใหญ่ หัวไทร ปากพนัง ท่าศาลา ให้แสดงคู่กับนายยอดทอง หนังพัทลุง ตรัง นิยมให้เป็นตัวบอกเรื่อง เฝ้าประตูเมือง ออกตีฆ้องร้องป่าว
อ้ายโถ เอาเค้ามาจากจีนบ๋าบา ชาวพังบัว อำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา รูปร่าง มีศรีษะค่อนข้างเล็ก ตาโตถลน ปากกว้าง ริมฝีปากล่างเม้มเข้าใน ส่วนท้องตึง อกใหญ่เป็นรูปโค้ง สวมหมวกมีกระจุกข้างบน นุ่งกางเกงถลกขา ถือมีดบังตอเป็นอาวุธ ชอบร้องรำทำเพลง ขี้ขลาดตาขาว โกรธใครไม่เป็น ถือเอาเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ ใครจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม อ้ายโถจะชักเรื่องที่พูดวกเข้าหาเรื่องกินเสมอ เป็นตัวตลกประกอบ
พูน ผู้ใหญ่พูน น่าจะเลียนแบบมาจากผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ จมูกยาวคล้ายตะขอเกี่ยวมะพร้าว ศรีษะล้าน มีผมเป็นกระจุกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงกลางกลวงอยู่ กลางพุงโย้ย้อยยาน ตะโพกใหญ่ขวิดขึ้นบน เพื่อนมักจะล้อเลียนว่า บนหัวติดงวงถังตักน้ำ สันหลังเหมือนเขาพักผ้า (อยู่ระหว่างพัทลุง-ตรัง) นุ่งผ้าโจงกระเบน ไม่มีลวดลาย ชอบยุยง โม้โอ้อวด เห่อยศ ขู่ตะคอผู้อื่นให้เกรงกลัว ธาติแท้เป็นคนขี้ขลาดตาขาว ชอบแสแสร้งปั้นเรื่องฟ้องเจ้านาย ส่วนมากเป็นคนรับใช้อยู่เมืองยักษ์หรือกับฝ่ายโกง พูดช้าๆ หนีบจมูก เป็นตัวตลกประกอบ
ไอ้เปี๊ยก ไม่ทราบประวัติความเป็นมา เป็นตัวตลกอีกตัวหนึ่งที่มาใหม่ แสดงในคณะ อาจารย์ณรงค์ น้องเดียว สุทิพย์ เอียดนุ้ย ชัยยันต์ ไข่นุ้ย และคณะอื่นๆ รูปร่างเตี้ย ผิวดำ ทรงผมคล้ายแส้ม้า มีเคราคล้ายแพะ คล้ายกับของหนูนุ้ย ชอบใส่กางเกงขายาว บางคณะใส่เสื้อเปิดพุง ชอบล้อเลียน ชอบแฉ
อ้ายปราบ เป็นชื่อตัวตลกหนังตะลุงส่วนมากมักเป็นทหารของฝ่ายยักษ์ อ้ายปราบเป็นคนที่จมูกเป็นริดสีดวงจนจมูกยุบจึงพูดแบบคนจมูกบี้ เพื่อนๆ จึงมักล้อเลียนเสียงและเป็นเหตุให้ทะเลาะกัน นุ่งกางเกงขาสั้น ไม่สวมเสื้อ ตัดผมสั้นหวีแสกกลาง มือถือหวีข้างหนึ่งถือ กระจกข้างหนึ่ง เป็นคนเจ้าสำรวย ชอบแต่งกาย เป็นห่วงทรงผมยิ่งกว่าอื่นใด มักหยุดพูดหยุดทำงาน เพื่อแอบหวีผมแต่งหน้า แม้ตอนรบรากันบางครั้งต้องหยุดหวีผมแล้วรบกันต่อ แต่ไม่เป็นคนเจ้าชู้เพราะสนใจตัวเองมากกว่าคนอื่น
อินแก้ว อินแก้ว เป็นตัวตลกหนังตะลุงตัวหนึ่ง มักทำหน้าที่เฝ้าประตูเมือง คอยซักถามแขกเมือง และนำความไปกราบบังคมทูลเจ้าเมือง เป็นตัวตลกที่มีเฉพาะหนังตะลุงบางคณะ อินแก้วมีรูปร่างผอม ค่อนข้างสูง ฟันล่าง ครอบฟันบน มีผมหร็อมแหร็มเป็นกระจุกอยู่ตรงกลางกระหม่อม นุ่งผ้าลายตาหมากรุก ไม่สวมเสื้อ มีนิสัยเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีชั้นเชิง เป็นคนเอางานเอาการ
อ้ายเหมียน มีนิสัยชอบรำมโนราห์ เป็นรูปหนังตะลุงที่หนังหนูจันทร์คิดทำขึ้นให้ เป็นตัวตลกเด่นประจำคณะ เพื่อเรียกความสนใจจากคนดู
ไอ้หลำ เป็นตัวตลก ที่มีชื่อเสียงมากในสมัยที่หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากลมีชื่อเสียง อ้ายหลำเป็นตลกเอกคู่บารมีหนังพร้อมโดยแท้ กล่าวว่าหนังพร้อมดังได้ก็เพราะไอ้หลำ ภายหลังต่อมา หนังพร้อได้เป็นถึงส.ส.ของจังหวัดพัทลุง ถึง 3 สมัยติดต่อกัน คณะหนังตลุงที่จะใช้ไอ้หลำเป็นตัวตลก ได้มีเฉพาะหนังพร้อม และลูกศิษย์ของหนังพร้อมเท่านั้น
แก้วกบหรือลูกหมี เป็นตัวตลกเอกของหนังจังหวัดนครศรีธรรมราช รูปร่างอ้วน ปากกว้างคล้ายกบ ชอบสนุกสนาน พูดจากไม่ชัด หัวเราะเก่ง ชอบพูดคำศัพท์ที่ผิดๆ เช่น อาเจียนมะขาม (รากมะขาม) ข้าวหนาว (ข้าวเย็น) ชอบร้องบทกลอน แต่ขาดสัมผัส เพื่อคู่หูคือนายยอดทอง นอกจากที่นำมาเสนอไว้ ยังมีตัวตลกอีกหลายตัว เช่น ครูฉิม ครูฉุย สิบค้างคูด อีโร้ง อ้ายทองทิง อ้ายบองหลา อ้ายท่าน้ำตก เผียก อ้ายโหนด ตัวตลกฝ่ายหญิงก็มีหลายตัว เช่น อีหนูเตร็ด อีหนูเน่า หนังแต่ละคณะ มีตลกเอกไม่เกิน 6 ตัว เข้ากับเสียงและนิสัยของนายหนัง นอกนั้งเป็นตัวตลกประกอบ ทุกตัวต้องเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้ ตัวตลกเอกเรียกเสียงหัวเราะได้มากและแสดงตลอดเรื่อง : https://www.silpa-mag.com/culture/article_43692 https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/2/50385f2c

01 ธันวาคม, 2567

เพลงบอก เพลงพื้นบ้านภาคใต้

เพลงบอก เพลงพื้นบ้านภาคใต้
ความเป็นมา เพลงบอก เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคใต้ประเภทหนึ่ง บริเวณจังหวัดภาคใต้ตอนบนและตอนกลาง ได้แก่ จังหวัด จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง และสงขลา ซึ่งนิยมเล่นกันแพร่หลายที่สุดในวันสงกรานต์ เพื่อเป็นการป่าวประกาศให้ชาวบ้านได้รู้โดยทั่วกันว่าวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่แล้ว หรือใช้เป็นการบอกเรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ เช่น บอกงานบุญกุศล เพราะในสมัยโบราณคนที่รู้หนังสืออ่านออกเขียนได้มีน้อย กิจการการพิมพ์ก็ไม่แพร่หลายโดยเฉพาะรายละเอียดการเปลี่ยนปี หรือการประกาศสงกรานต์ประจำปีไม่ได้มีการพิมพ์ปฏิทินอย่างเช่นปัจจุบัน เพลงบอกมีลักษณะของการแสดงเป็นการร้องปากเปล่า ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกโดยใช้ถ้อยคำที่ง่าย ๆ แต่ใช้โวหารหรือการเปรียบเทียบที่คมคาย สมัยก่อนเพลงบอกเปรียบเสมือนกระบอกเสียงในการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารบ้านเมืองจากผู้แสดงไปสู่ชาวบ้าน สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (2558) ได้กล่าวว่าเพลงบอกนั้นประกอบด้วยคำ 2 คำ คือคำว่า “เพลง” กับคำว่า “บอก” เพลงหมายถึงสำเนียงขับร้อง, ทำนองดนตรี หรือชื่อการร้องแก้กัน ส่วนบอกหมายถึงพูดให้รู้หรือเล่าให้ฟัง เพราะฉะนั้นเพลงบอกเพลงเล่าเรื่องหรือเล่าเป็นเพลง,พูดเป็นเพลง เพลงบอกเป็นเพลงพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมสูงสุดและมีการแพร่กระจายทั่วทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ ตลอดไปจนถึงคนไทยในประเทศมาเลเซีย จังหวัดนครศรีธรรมราชได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีนักเล่นเพลงบอกมากที่สุด ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จนได้รับสมญานามว่าเมืองเพลงบอก นอกจากมีนักเล่นเพลงบอกเป็นจำนวนมากแล้ว นักเล่นเพลงบอกที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมชมชอบว่ามีฝีปากคมคายเป็นที่ดีเยี่ยมส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพลงบอกเป็นการละเล่นประเภทการขับร้องที่ต้องใช้สำเนียงภาษาถิ่นใต้ในการร้องบท ตามคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ได้เล่าว่าเพลงบอกนั้นมีมานานแล้ว โดยนักวิชาการและผู้สนใจศึกษาค้นคว้าสืบหาประวัติความเป็นมาของเพลงบอกต่างมีข้อสันนิษฐานตรงกันว่า มีการเล่นเพลงบอกอย่างแพร่หลายในนครศรีธรรมราชมานานแล้ว ประมาณ 150 – 200 ปีที่ผ่านมา โดยมีข้อมูลและเหตุผลประกอบการพิจารณา ดังนี้ 1) ชวน เพชรแก้ว เขียนไว้ในหนังสือเพลงบอก และนักเล่นเพลงบอกรุ่นเก่าของเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ.2523 ความว่า “เมืองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวัฒนธรรมมาแต่สมัยโบราณ เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าความเจริญทางด้านการศึกษาเล่าเรียน และศิลปวิทยาการ เกิดขึ้นที่เมืองนี้ก่อนในสมัยสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณดังกล่าวแล้ว ก็ชวนให้คิดว่าเพลงบอกน่าจะถือกำเนิดขึ้นที่เมืองนี้ก่อน แ้วแพร่กระจายออกไปยังจังหวัดใกล้เคียง คือ สุราษฎร์ธานี ชุมพร ตรัง พัทลุง และสงขลา” (ชวน เพชรแก้ว, 2523, น. 4-5) “การเล่นเพลงบอกเป็นศิลปะของชาวภาคใต้โดยแท้ ไม่ได้รับเอามาจากที่ใด และการเล่นชนิดนี้น่าจะเริ่มที่เมืองนครศรีธรรมราชอย่างแน่นอนเพราะเมืองนครฯ เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานนับเป็นพันปี ศิลปวัฒนธรรมและวิชาการต่าง ๆ ก็เริ่มต้นที่เมืองนี้” (ขุนอาเทศคดี, 2523) “…เชื่อว่าเพลงบอกต้องเป็นการเล่นรุ่นเก่าของเมืองนครศรีธรรมราชคือ เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองนี้อย่างแน่นอน… นักเล่นเพลงบอกของเมืองนี้มีมากมาย และมีแบบฉบับการเล่นที่เป็นแบบของตัวเอง นักเล่นเพลงบอกรุ่นเก่า เช่น นายเรือง นาใน นายควาย ท่านพานรักษ์ นายช่วย เสมาชัย ก็เป็นชาวเมืองนครศรีธรรมราชทั้งสิ้น” (เนตร ชลารัตน์, 2520) 2) พร้อม บุญสุข เขียนไว้ในวารสาร วิชชา ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 มิถุนายน – กันยายน 2519 หน้า 192 ความว่า “พอถึงปลายเดือนสี่ต่อกับต้นเดือนห้า ซึ่งย่างเข้าเขตตรุษย์สงกรานต์ ถ้าท่านท่องเที่ยวไปในท้องที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง หรือสงขลา ตอนพลบค่ำมักจะได้ยินเสียง เอ้ๆ อ้าๆ ตามละแวกบ้านใกล้เรือนเคียง นั่งแหละคือเสียงของนักเพลงลูกทุ่งของปักษ์ใต้ โดยทั่ว ๆ ไปเรียกกันว่า “เพลงบอก” 3) สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา หน้า 2542-2543 บันทึกเรื่องเพลงบอกไว้ดังนี้ เพลงบอก เป็นเพลงพื้นเมืองที่นิยมเล่นแพร่หลายที่สุด ในสมัยก่อนเมื่อถึงหน้าสงกรานต์ยังไม่มีปฏิทินบอกสงกรานต์แพร่หลายอย่างปัจจุบัน แม่เพลงจำรายละเอียดเกี่ยวกับสงกรานต์ออกป่าวประกาศแก่ชาวบ้าน โดยร้องเป็นเพลงพื้นบ้าน มีลูกคู่รับเป็นทำนองเฉพาะ เพลงดังกล่าวจึงได้ชื่อว่า “เพลงบอก” ด้วยเหตุนี้
ประเภทของเพลงบอก • เพลงบอกบอกสงกรานต์ เพลงบอกบอกสงกรานต์ถือเป็นการละเล่นที่เป็นจุดเริ่มต้นของเพลงบอก จะเล่นกันราว ๆ ประมาณปลายเดือน 4 หรือย่างเข้าเดือน 5 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวนาทางภาคใต้ใต้ส่วนใหญ่ทำการเก็บเกี่ยวข้าวขึ้นยุ้งฉางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนพลบค่ำตามละแวกบ้านจะได้ยินเสียงเพลงบอกแทบทุกบ้านของจังหวัดนครศรีธรรมราช คณะเพลงบอกจะออกตระเวณตามบ้านใกล้เรือนเคียง โดยมีบุคคลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บ้านนั้น ๆ เป็นคนนำทางคอยไปปลุกเจ้าของบ้านให้เปิดประตูรับเจ้าของบ้านจะเปิดประตูรับ ก็ต่อเมื่อเขาแน่ใจว่าคนที่มานั้นเป็นผู้ซึ่งเขารู้จักดี ทั้งนี้เพราะว่าบางทีก็มีการสวมรอยของผู้ร้ายมาทำทีเป็นเพลงบอก แล้วเข้าปล้นบ้านก็มี เมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตูรับแม่เพลงก็จะขับกล่อมเพลงบอกขึ้นในทันที เนื้อความตอนแรกมักจะเป็นบทไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวขมเชยเจ้าของบ้านตามสมควร ต่อจากนั้นเจ้าของบ้านก็จะเชิญขึ้นบนเรือน • เพลงบอกบอกข่าวทั่ว ๆ ไป เพลงบอกบอกข่าวทั่ว ๆ ไป ในการว่าเพลงบอกนอกจากเพลงบอกจะบอกสงกรานต์อันถือเป็นสัญลักษณ์เฉพาะแล้วยังบอกข่าวคราวทั่ว ๆ ไปด้วย เช่น บอกบุญเรี่ยไรในงานบุญงานกุศล ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งและเชิญชวนให้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง ตลอดจนโฆษณาสินค้าต่าง ๆ เป็นต้น ข่าวที่ใช้เพลงบอกจะเข้าถึงและได้รับความสนใจจากชาวบ้านมากกว่าการสื่อสารธรรมดา เพราะท่วงท่าทำนองลีลาจังหวะ ถ้อยคำ และน้ำเสียง ชวนให้เกิดความหรรษาไปด้วย • เพลงบอกประชัน การละเล่นเพลงบอกเพื่อการประชันเป็นการว่าเพลงอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยม ในสมัยก่อนการประชันเพลงบอกส่วนมากจะจัดขึ้นภายในวัด โดยมีแม่เพลงบอกนั่งร้องขับบทกันที่ศาลากลางวัด แม่เพลงผู้อวุโสจะเป็นผู้แสดงฝีปากก่อน ซึ่งจะเริ่มร้องด้วยบทไหว้ครู สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บุคคลสำคัญ และเจ้าบ้านผ่านเมือง เมื่อแม่เพลงร้องจบ ฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มร้องบทไหว้ครูเช่นเดียวกัน • เพลงบอกร้องชา เพลงบอกร้องชาเป็นการร้องบูชาหรือชมเชยสิ่งชองหรือบุคคลที่ควรชมเชยหรือบูชา เช่น ชาขวัญข้าว ชาประธาตุ ชาเจ้านายหรือข้าราชการผู้ใหญ่ ชาผู้อาวุโสและครูอาจารย์ เป็นต้น การร้องชาแม่เพลงจะสรรหาแต่สิ่งดีงาม สวยงามขึ้นมากล่าว เพื่อให้สิ่งของหรือผู้ที่ถูกชาเกิดความมีคุณค่า รู้สึกอิ่มเอมใจ การชาพบได้บ่อยในงานบุญ โดยเพลงบอกจะชาผู้ทำบุญว่าเป็นผู้สูงส่งด้วยคุณธรรมต่าง ๆ ปัจจุบันเพลงบอกได้รับความนิยมลดน้อยลง เนื่องจากถูกแทนที่ด้วยสื่อบันเทิงรูปแบบใหม่ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ สื่อออนไลน์ ฯลฯ (Utong, Interview, February 2, 2016) ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยทำให้ค่านิยมของคนเปลี่ยนไป เพลงบอกจึงตกอยู่ในภาวะของการแสดงที่ล้าสมัยมีพื้นที่ในสังคมลดน้อยลง จากผลกระทบดังกล่าวทำให้เพลงบอกพยายามปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความทันสมัยและดึงดูดความสนใจจากผู้ชม มีเพลงบอกหลายคณะในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พยายามปรับประยุกต์การแสดงเพื่อความอยู่รอด เพลงบอกเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปัจจุบันเพลงบอกยังคงเป็นที่รู้จักและได้รับการอนุรักษ์ โดยมีการจัดการแสดงในงานประเพณีและงานเทศกาลต่าง ๆ ทั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราชและพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมให้เยาวชนและคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และสืบทอดศิลปะการแสดงนี้ผ่านการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนและกิจกรรมชุมชน การอนุรักษ์และส่งเสริมเพลงบอกยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานท้องถิ่นในจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อให้ศิลปะการแสดงนี้ยังคงอยู่และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยต่อไป ที่มา https://library.wu.ac.th/NST_localinfo/plengbok/