10 กันยายน, 2567
ลูกเห็ดทอด อาหารพื้นบ้านงานบุญออกพรรษา
ลูกเห็ดทอด อาหารพื้นบ้านงานบุญออกพรรษา
ลูกเห็ด เป็นอาหารที่อยู่คู่กับงานบุญออกพรรษา สำหรับคนไทยพุทธในจังหวัดนครศรีธรรมราชก็มีคติการทำลูกเห็ดหรือลูกเห็บในงานบุญประเพณีลากพระ (วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑) ของทุกปี มีการประดิษฐานพระพุทธรูปที่เรียกว่า พระลาก ขึ้นประดิษฐานบนพนมพระ (นมพระ) แล้วใช้ยานพาหนะอาจเป็นเรือหรือรถลากจากวัดไปตามเส้นทาง เพื่อไปรวมกับเรือพระจากวัดอื่น ๆ ในสถานที่ที่นัดหมายกันไว้เรียกว่า ชุมนุมเรือพระ ในช่วงหัวรุ่งชาวบ้านจะนำลูกเห็ดหรือลูกเห็บคู่กับต้มมาตักบาตรเรียกว่า “ตักบาตรพระลาก” หรือ “ตักบาตรหน้าล้อ” รวมทั้งนำมาแขวนไว้ที่เรือพระก็มีเช่นกัน ส่วนงานบุญที่เชิญแขกมาร่วมงานกันมากๆ เช่น งานบวชก็มีการทำลูกเห็ดเพื่อเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน
ลูกเห็ด เป็นอาหารร่วมวัฒนธรรมที่มีความต่างในชื่อเรียกที่หลากหลาย ทั้งลูกเห็ด ลูกเห็บ ทอดมัน ฯลฯ ตลอดจนสูตรการทำที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ แม้จะเป็นเมนูที่มีลักษณะโดดเด่นประกอบไปด้วยเครื่องแกงเหมือนกัน แต่ส่วนผสมอื่นๆ นั้นกลับไม่มีสูตรใดตายตัว อาจใส่เนื้อสัตว์อย่างเนื้อกุ้ง หรือไม่ใส่เนื้อสัตว์ก็ได้ รวมถึงการใส่ผักต่างๆ ลงไปผสมก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่นั้น ๆ ว่ามีผักชนิดใด เช่น ใบมะยมอ่อน ใบชะพลู ใบเล็บครุฑ หรืออาจไม่ใส่ก็ได้เช่นกันเป็นต้น ซึ่งพบได้ในกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมบนคาบสมุทรไทย – มาเลย์
“ลูกเห็ดทอด” เคียงคู่วันออกพรรษาเสมอมา กว่าจะเป็นลูกเห็ดทอด ไม่ง่ายเลย จัดจ้านด้วยเครื่องแกงถิ่มเอง หรอยถึงใจ หอมสมุนไพร ครบเครื่อง พร้อมหัวมันเทศตรูนเนื้อละเอียด มาคลุกเคล้ากับเครื่องแกง ปั้นเป็นลูก ๆ แล้วนำไปทอด เตรียมตักบาตรหน้าล้อ และแจกจ่าย เป็นกุศลบุญ ให้กับ พี่ น้อง ผอง เพื่อน ลูกเห็ดที่ทอดเสร็จแล้ว กรอบนอก นุ่มใน ชวนรับประทาน มีรสเผ็ดร้อนของเครื่องแกง หอมด้วยสมุนไพรนานาชนิด
เครื่องปรุงและวัตถุดิบ
ในส่วนของพริกแกง ประกอบด้วย พริกขี้หนู ข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ขมิ้นด้วง ผิวมะกรูด พริกไทย เกลือ กะปิ พริกขี้หนู จะใช้พริกขี้นก ซึ่งเป็นพริกที่มีขนาดดอกเล็ก และมีรสชาติเผ็ดมาก ซึ่งจะใช้ทั้งพริกขี้หนูสด และ แห้ง ตำรวมกัน
ข่า จะใช้ เหง้าข่าที่แก่จัด เพื่อเพิ่มความหอมให้กับเครื่องแกง
ตะไคร้ จะใช้ตะไคร้บ้าน ซึ่งมีลำต้นขนาดเล็ก ให้กลิ่นหอมกว่าตระไคร้ต้นใหญ่
ขมิ้น โดยมากจะใช้ขมิ้นด้วง ซึ่งเป็นขมิ้นที่คนใต้นิยมนำมาใส่ในเครื่องต้ม แกง
มะกรูด นำผลมะกรูดที่แก่จัด ใช้เฉพาะเปลือกหั่นบาง ๆ
การตำเครื่องแกง สำหรับคนรุ่นปู่ ย่า ตายาย มักจะใช้ครกหิน และตำด้วยมือ โดยการนำเครื่องปรุง ตั้งแต่พริกขี้หนู ข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ขมิ้นด้วง ผิวมะกรูด พริกไทย ล้างให้สะอาด พักสะเด็ดน้ำให้แห้ง แล้วนำมาตำรวมกันในครกหิน เทคนิคการตำเครื่องแกงให้ละเอียด คือ เมื่อตำพอหยาบ ๆ ให้ใส่เกลือลงไป เป็นความเชื่อของคนในสมัยโบราณ บอกต่อ ๆ กันมาว่า หากใส่เกลือลงไปจะทำให้การตำเครื่องแกงละเอียดเร็วยิ่งขึ้น เมื่อตำเครื่องแกงได้ที่แล้ว ให้ใส่กะปิลงไป ตักออกจากครกหินมาพักไว้ เพื่อนำไปคลุกเคล้ากับวัตถุดิบอื่น ๆ ที่ใช้ในการทำลูกเห็ด
ส่วนของตัวลูกเห็ด
วัตถุดิบอื่น ๆ ของลูกเห็ดทอด เช่น มันเทศ กล้วยน้ำหว้าสุก แป้งข้าวเจ้า มะพร้าวขูด น้ำตาลปี๊บ น้ำมันพืช ไข่ไก่
มันเทศ หรือ มันสำปะหลัง ในภาษาไทยกลาง นำมาปอกเปลือก แล้วล้างให้สะอาด ตั้งพักให้สะเด็ดน้ำ หลังจากนั้นนำมาตรูน ให้ละเอียด เครื่องมือสำหรับ ตรูน มันเทศ ในสมัยก่อนจะใช้กระป๋องนมข้นหวานนำมาแผ่ให้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมแล้วนำมาเจาะรูด้วยตะปู ให้เป็นรู ๆ ละเอียดทั่วกระป๋องนำ เพื่อใช้อุปกรณ์ในการตรูนหัวมันเทศ แต่ในปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการตรูนหัวมันสามารถซื้อหาได้ เป็นเครื่องครัวที่มีชายทั่วไป
กล้วยน้ำหว้า หากสูตรไหนที่ใช้ กล้วยน้ำหว้าด้วย ก็ให้นำกล้วยน้ำหว้าที่สุกงอม นำมาปอกเปลือก แล้วขยำให้เป็นเนื้อเดียวกัน
มะพร้าว จะเลือกใช้มะพร้าวทึนทึก การขูดมะพร้าว มีอุปกรณ์ให้เลือก 2 แบบใช่กัน คือขูดด้วย “เหล็กขูด” แบบสมัยโบราณ หรือ ขูดด้วยเครื่องขูดมะพร้าว ในสมัยปัจจุบัน แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ ชอบให้ขูดด้วยเหล็กขูดมากกว่า เพราะเนื้อมะพร้าวจะไม่ละเอียดมาก เวลารับประทานลูกเห็ดทอดที่เสร็จแล้ว จะได้สัมผัสถึงรสชาติของมะพร้าว มากกว่าที่ขูดด้วยเครื่องขูดมะพร้าว
นำมันเทศ (มันสำปะหลัง) ที่ตรูนละเอียด หรือ กล้วยน้ำหว้าที่ขยำไว้แล้ว นำมาผสมกับแป้งข้าวเจ้า มะพร้าวขูด ไข่ไก่หรือไข่เป็ด น้ำตาลปี๊บ ใบมะกรูดหั่นฝอย แล้วใส่พริกแกงที่เราตำไว้ลงไปผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
การปั้นลูกเห็ด
นำแป้งลูกเห็ดที่เราผสมไว้เรียบร้อยแล้ว มาปั้นด้วยมือ เป็นรูปวงรี ขนาดพอรับประทาน วางเรียงในถาดรองใบตองที่เตรียมไว้
การทอดลูกเห็ด
ตั้งกระทะลงบนเตา ใส่น้ำมันพืช เมื่อน้ำมันร้อนแล้ว ให้ลดไฟลงปานกลาง นำลูกเห็ดที่ปั้นไว้แล้วลงไปทอดให้สุกจนเหลือง แล้วตักใส่กะชอนตั้งพักไว้เพื่อให้สะเด็ดน้ำมัน
พืชสมุนไพรในส่วนประกอบของลูกเห็ด
คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพรในส่วนประกอบของลูกเห็ด อาหารของภาคใต้ มักจะมีเครื่องปรุงที่มีส่วนผสมของพืชสมุนไพรเป็นจำนวนมาก เรามาดูกันว่า พืชสมุนไพรแต่ละอย่างมีคุณประโยชน์อย่างไรบ้าง
พริกขี้หนู พริกขี้หนูสวนมีขนาดเล็กกว่าพริกขี้หนูธรรมดา เผ็ดและหอมมากกว่าพริกขี้หนูธรรมดา มีสรรพคุณในการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ เนื่องจากเป็นพืชที่มีวิตามินซีสูง การได้รับวิตามินซีมาก ๆ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
ข่า เง้าแก่ของข่าทำให้อาหารมีกลิ่นหอมละมุน มีสรรพคุณทางยา ช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ ช่วยขับลม แก้ปวดท้อง ท้องเสีย จุกเสียด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย และอาการคลื่นไส้อาเจียนอีกด้วย
หอมแดง มีสรรพคุณที่ช่วยในการรักษาอาการไข้หวัด นอกจากหอมแดงยังอุดมไปด้วยวิตามิน ช่วยบำรุงสมอง มีสารต้านอนุมูลอิสระ
ตะไคร้ อุดมไปด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามิน มีสรรพคุณขับลมในลำไส้ เจริญอาหาร ขับปัสสาวะ แก้อาการขัดเบา ปัสสาวะไม่คล่อง
กระเทียม มีสรรพคุณในการช่วยลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันไข้หวัด ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง แก้ผิวหนังอักเสบ และบรรเทาอาการปวดข้อตามร่างกาย เคล็ดขัดยอก
พริกไทยดำ อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินชนิดต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ และไนอาซิน สรรพคุณทางยา เมล็ด แก้เสมหะ บำรุงธาตุ และยับยั้งการเจริญเติมโตของเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิด
มะกรูด อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินชนิดต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และ ไนอาซิน สรรพคุณของผิวมะกรูด แก้อาการหน้ามืด วิงเวียน น้ำมะกรูด แก้ไอ ขับเสมหะและใช้บำรุงเส้นผม
ส่วนประกอบ
วัตถุดิบ สูตรตวง ปริมาณ
แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง
มะพร้าว 2 ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำมันพืชสำหรับทอด 1 ถ้วยตวง
ส่วนประกอบของพริกแกง
ตะไคร้ 1/4 ถ้วยตวง 2 ต้น
ข่า 1 ช้อนตวง 3 แว่น
พริกขี้หนูแห้งเม็ดเล็ก 1/3 ถ้วยตวง 30 เม็ด
ขมิ้น 2 ช้อนชา
ใบมะกรูดหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
หอมแดง 1 1/2 ช้อนโต๊ะ 3 หัว
กระเทียม 1 1/2 ช้อนโต๊ะ 3 กลีบใหญ่
พริกไทยเม็ด 2 ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ 4 ช้อนชา
กะปิ 2 ช้อนชา
เกลือป่น 1 ช่อนชา
คุณค่าทางอาหาร
พลังงาน 1,510.71 แคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 111.87 กรัม
ไขมัน 111.56 กรัม
โปรตีน 22.24 กรัม
เส้นใยอาหาร 6.57 กรัม
วิตามิน เอ 153.4 ไมโครเรตินอล
เหล็ก 13.8 มิลลิกรัม
แคลเซียม 491.29 มิลลิกรัม
ลูกเห็ดทอดเป็นอาหารที่ “คนคอน” คุ้นชินเป็นอย่างดี เพราะเป็นอาหารที่ทำกันแทบทุกบ้านในงานบุญออกพรรษา เพื่อใช้ในการตักบาตรหน้าล้อ ในมัยเด็ก ๆ เรามักจะถูก แม่เฒ่า ย่า แม่ เรียกใช้ให้ ไปขุดมันเทศ (ภาษากลางเรียกว่ามันสำปะหลัง) ที่ปลูกไว้ข้างบ้านไม่ต้องซื้อหา หรือบางบ้าน ก็ใช้กล้วยน้ำหว้าสุกงอม นำมาเป็นส่วนผสมของลูกเห็ดทอด
วิถีชีวิต ในสมัยก่อนเก่า วัตถุดิบทั้งหลายในการทำอาหารคาวหวาน หรือ ขนมต่าง ๆ แทบไม่ต้องซื้อหา เพราะมีปลูกกันแทบทุกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นพืชสมุนไพร (ขี้หมิ้น ไคร ดีปลี พริกไทย ลูกกรูด ฯลฯ) กล้วย มันเทศ มะพร้าว ก็เช่นกัน เป็นวิถีชีวิตที่พึ่งพาตนเอง และ วิถีชีวิตแห่งการแบ่งปัน เหมือนสำนวนที่ว่า “น้ำเต้าล่ามา ขี้พร้าล่าไป” คือ มีการแบ่งบันอาหาร พืชผัก ที่เรามีให้แก่เพื่อนบ้านที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
สำหรับลูกเห็ดทอด ของคนนคร ในปัจจุบัน พบเห็นได้แทบทุกวัน เป็นอาหารที่สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับแม่ค้าแม่ขาย นอกจากทำในเทศกาลงานบุญออกพรรษาแล้ว บางแห่งยังทำในช่วงงานบุญเดือนห้าสงกรานต์อีกด้วย และที่สำคัญในปัจจุบันนี้สามารถซื้อหามารับประทานได้ทุกวันจากตลอดนัดต่าง ๆ ตลาดย้อนยุคกำแพงเมืองนคร ตลาดท่ามอญ ตลาดร้อยปีปากพนัง เป็นต้น
เป็นที่น่าสังเกตประการหนึ่ง สำหรับแม่ค้าที่ทำลูกเห็ดทอดขาย ส่วนมากมักจะมี “ทอดมันกุ้งใบเล็บครุฑ” ซึ่งเป็นอาหารที่ขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของคนนครวางขายด้วยกัน เพราะว่าส่วนผสมหลักและพริกแกงใช้ร่วมกันได้
ทอดมันกุ้งใบเล็บครุฑ ซึ่งเป็นอาหารที่วางขาย ตามตลาดนัดทั่วไปของจังหวัดนครศรีธรรมราช หรือร้านขายขนมจีน ซึ่งจะใช้ตัวแป้ง และ สูตรการทำ คล้ายกับลูกเห็ดทอด แต่จะแตกต่างกันที่ ทอดมันกุ้งใบเล็บครุฑ จะใส่กุ้ง และ ใบเล็บครุฑเพิ่มเข้าไปในตัวแป้งด้วย
ในปัจจุบัน สูตรของลูกเห็ดทอด สำหรับพริกแกงนั้น ๆ จะเหมือนกับครั้งสมัยก่อนเก่า แต่จะมีความต่างในส่วนผสมของตัวลูกเห็ดทอด ที่บางแหล่ง อาจจะใช้ มันเทศ บางแหล่งใช้กล้วยน้ำหว้าสุก หรือ บางแหล่งอาจจะใช้ทั้งสองอย่าง แต่สิ่งที่เหมือน ๆ กัน คือ พริกแกง มะพร้าวทึนทึกขูด ไข่ไก่ ไข่เป็ด และ แป้งข้าวเจ้า ซึ่งไม่ได้มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละพื้นถิ่น และ ลูกเห็ดทอด ยังคงเป็นอาหารสำหรับเทศกาลงานบุญออกพรรษา และเทศกาลงานบุญอื่น ๆ เช่น บุญเดือนห้า บุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เป็นต้่น นอกจากนั้นลูกเห็ดทอดยังเป็นอาหารที่สร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับคนพื้นถิ่น ซึ่งจะมีขายตามตลาดนัดต่าง ๆ ตามร้านขายขนมจีน ตลาดย้อยยุคของจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมากมักจะวางขายคู่กับทอดมันกุ้งใบเล็บครุฑ
เอกสารอ้างอิง
กัญญา สุจริตวงศานนท์. อาหารสมุนไพรประจำบ้าน
https://library.wu.ac.th/NST_localinfo/lukhed_tor/
กฤช เหลือลมัย. อันทอดมันนั้นหรือคือปลาเห็ด ใน โอชากาเล. เผยแพร่วันที่ 28 มกราคม พ.ศ.2561.บทความออนไลน์ : https://waymagazine.org/krit27/
สามารถ สาเร็ม. ปัต : ขนมร่วมรากต่างศรัทธาผู้คนบนคาบสมุทรไทย-มาเลย์. เผยแพร่วันที่ 17 เม.ย.พ.ศ.2565. บทความออนไลน์ : https://bit.ly/3MQb5Rd
03 กันยายน, 2567
ประวัติวัดท่าโพธิ์วรวิหาร
ประวัติวัดท่าโพธิ์วรวิหาร
เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ในตำบลท่าวัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
วัดท่าโพธิ์เป็นวัดโบราณที่สร้างขึ้นในสองยุคสมัย คือวัดท่าโพธิ์เดิมสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา แต่หลักฐานการสร้างไม่แน่ชัดปรากฏเรื่องราวในเชิงตำนานว่า สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น ณ บริเวณชุมชนท่าโพธิ์ พื้นที่ดังกล่าว เดิมเป็นเพียงท่าน้ำมีต้นโพธิ์ขึ้นอยู่ ต่อมาลำน้ำที่ไหลมาจากทิศตะวันตกนั้นเปลี่ยนเส้นทางหักมุมขึ้นไปทางเหนือ ทำให้ท่าน้ำตื้นเขิน เกิดเป็นแผ่นดินใหญ่มีประชาชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนและยังเรียกบริเวณนี้ว่า “ท่าโพธิ์” เมื่อมีชุมชนเป็นปึกแผ่นแล้ว จึงสร้างวัดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2029 ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเรียกว่า”วัดท่าโพธิ์” ตามชื่อย่านและลักษณะที่มีต้นโพธิ์อยู่ที่หน้าวัด
พ.ศ. 2181 ในสมัยที่พระรามราชท้ายน้ำ ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้มีโจรสลัดที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ณเกาะสิงคโปร์ ยกพวกเข้าปล้นเมืองนคร พระรามราชท้ายน้ำได้ต่อสู้ป้องกันเมืองอย่างเข้มแข็ง จนตัวเองเสียชีวิต โจรสลัดเข้าถึงวัดท่าโพธิ์และเผาทำลายบ้านเรือนราษฎร์ ตลอดจนวัดเสียหายทั้งหมด แต่ทหารเมืองนครก็สามารถขับไล่ข้าศึกออกไปจากเมืองได้ เรื่องของวัดท่าโพธิ์เก่ามีเพียงนี้ ปัจจุบันบริเวณวัดท่าโพธิ์เก่าเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเทศบาลวัดท่าโพธิ์ ด้านหน้าโรงเรียนยังมีร่องรอยของวัดเดิมคือซากพระอุโบสถก่อด้วยอิฐหนึ่งหลังภายในมีพระพุทธรูปประธานปูนปั้นปางมารวิชัยหนึ่งองค์ และเศียรพระพุทธศิลาทรายขาวสมัยอยุธยาสามเศียร
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่หนึ่งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ได้ย้ายไปสร้างวังใหม่ในเขตกำแพงเมืองและอุทิศที่ตั้งวังเดิมถวายวัดสร้างพระอารามวัดท่าโพธิ์ขึ้นใหม่แทนของเดิม ที่ปลัดหักพังแต่ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าปีใดสันนิษฐานว่าประมาณพ.ศ. 2327 หรือหลังจากนี้ไม่มากนัก เพราะช่วงเวลาที่ท่านได้รับสถาปนาเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช บริเวณที่ตั้งวัดท่าโพธิ์ใหม่นี้ เดิมเรียกกันว่า”ท่าวัง” เพราะเป็นย่านมีท่าเรือใกล้วังเจ้าเมือง ปัจจุบันนี้ก็ยังคงเรียกว่าตำบลท่าวัง วัดท่าโพธิ์ใหม่อยู่ห่างจากวัดเดิมไปทางทิศเหนือประมาณ 40 เมตร ทางวัดได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ที่ริมคลองท่าวัง บริเวณหน้าวัดเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของวัดดังเช่นเดิม
พื้นที่ซึ่งได้รับบริจาคดังกล่าวมีอาณาเขตกว้าง 2 เส้น 18 วา ยาว3เส้น 8 วา ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมพื้นผ้าและมีเขตอุปจารหรือที่ธรณีสงฆ์ต่อจากกำแพงวัดออกไปอีก ทุกด้านมีหลักปักฐานไว้เป็นสำคัญ แต่ละด้านไม่เท่ากันและยืดออกไป 1 เส้นบ้าง 2 เส้นบ้าง ในพ.ศ. 2474 พระรัตนธัชมุนี ได้มอบให้สรรพากรจังหวัด ขอตราจองที่วัดนี้ เจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดและทำแผนที่ตราจองกำหนดขอบเขตให้แน่นอน เนื้อที่ปรากฏในตราจองดังกล่าว อันเป็นหลักฐานสำคัญทางราชการ คือทิศตะวันออกยาว 5 เส้น 14 วาเศษ ทิศตะวันตก ยาว 8เส้นสองเศษ ทิศเหนือยาว 4 เส้น 18 วา ทิศใต้ยาว 7 เส้น 3 วาเศษมีหลัก เขตปากจำไว้ทุกทิศ
วัดท่าโพธิ์ใหม่นี้มีสิ่งที่สร้างไว้เป็นอนุสรณ์ ของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช(พัด) ด้วยสิ่งแรกคือกำแพงวัด ที่สร้างลักษณะใบเสมาให้คล้ายรูปภาพ ซึ่งตรงกับนามเดิมของท่าน และเมื่อเจ้าพระยานครศรีธรรมราช(พัด) ถึงแก่ศัลยกรรมในพ.ศ. 2385 เจ้าพระยานครศรีธรรมราช(น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ.2385 เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ผู้เป็นบุตรได้นำอัฐิของท่านบรรจุไว้ในเจดีย์ซึ่งสร้างไว้หลังพระพุทธรูปประธานในพระอุโบสถเจดีย์ดังกล่าวยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
วัดท่าโพธิ์เจริญรุ่งเรืองสืบมาจนกระทั่งพระอธิการศรี เจ้าอาวาส มรณะลงในปีพ.ศ. 2414 วัดท่าโพธิ์ขาดผู้ดูแลรักษาจึงกลายสภาพเป็นวัดร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ อาทิ พระอุโบสถ หอไตร และกุฎิชำรุดปรักหักพัง บริเวณทั่วไปในวัดมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมรกรุงรัง
พ.ศ. 2417 เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี(หนูพร้อม) ได้นิมนต์พระครูการาม(จู) เจ้าอาวาสวัดมเหยงค์มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์ เพื่อบูรณะฟื้นฟูวัดให้กลับมีสภาพดีดังเดิม พระครูการามได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดสร้างศาลาการเปรียญ 1 หลังกุฎิไม้มุงกระเบื้อง 3 หลัง กุฎิเล็ก 3 หลังหอฉัน1 หลังและจัดให้มีการสอนพระปริยัติติธรรมแก่พระภิกษุท่านได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นเวลา 10 ปีและมรณภาพลงในปีพ.ศ. 2427 พระมหาม่วง ศิริรัตน์ซึ่งภายหลังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระรัตนธัชมุนี ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส สืบมาจนถึงพ.ศ. 2477
ในช่วงที่พระรัตนธัชมุนี (ม่วง) เป็นเจ้าอาวาสนี้ วัดท่าโพธิ์ เจริญรุ่งเรืองมากเพราะนอกจากดูแลเอาใจใส่บริเวณพระอารามบูรณะปฏิสังขรณ์ และ สร้างสิ่งต่างๆในพระอารามขนาดใหญ่แล้วท่านยังได้จัดการศึกษาของพระภิกษุสามเณรใหม่ตามแนวทางวัดมกุฏกษัตริย์ตยารามกรุงเทพก่อตั้งโรงเรียนสามัญสำหรับธิดาประชาชนทั่วไปในพ.ศ. 2442 และตั้งโรงเรียนช่างถมขึ้นในวัดในปีพ.ศ. 2459 ส่วนสถานภาพของวัดนั้นสันนิษฐานว่าเดิมคงเป็นวัดฝ่ายนิกายต่อมาเมื่อพระรัตนทัตชนมุนีได้ตามเสด็จสมเด็จพระมหาสมณะจ้าวกรมพระยาวชิยานวโรรส ไปอยู่ที่วัดมกุฏกษัตริย์ยารามระยะหนึ่งและได้แปลงเป็นพระธรรมยุตนิกายแล้วถึงพ.ศ. 2434 ท่านได้ทุนลากลับมาคลองวัดตามเดิมช่วงเวลานี้วัดท่าโพธิ์คงมีการเปลี่ยนแปลงเป็นวัดฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ตามอย่างเจ้าอาวาสด้วย
พ.ศ. 2460 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัววัดท่าโพธิ์ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหารซึ่งมีชื่อเรียกเป็นทางราชการว่าวัดท่าโพธิ์วรวิหารมาจนถึงปัจจุบันนี้
ในอดีตวัดท่าโพธิ์เป็นวัดใหญ่ที่มีความเจริญมากดังนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายรัชกาลจึงเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรในขณะเสด็จประพาสภาคใต้ดังเช่น
พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราชโดยเรือกลไฟได้เสด็จจากปากพญาต่อมาทางคลองท่าวังโดยเรือเก๋งที่เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี(หนูพร้อม) จัดไปรับเสด็จแล้วเสด็จขึ้นโบกที่วัดท่าโพธิ์และเข้าเยี่ยมวัดทรงมีพระราชปรารภ ยกย่องความเสียสละของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช(พัด) ที่อุทิศวังเพื่อสร้างวัด
พ.ศ. 2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสแหลมมลายูได้เสด็จทรงเยี่ยมวัดท่าโพธิ์อีกครั้งหนึ่งคราวนี้ได้เสด็จประทับในพระอุโบสถมีพระราชปฏิสันถารกับพระสิริธรรมมุนีเจ้าอาวาสพร้อมด้วยคณะสงฆ์ในวัดแล้วทอดพระเนตรโรงเรียนกุฎิของพระสิริธรรมมุนีหอไตรเก่าทรงฉายพระรูปและพระราชทานเสมาแก่เด็กจากนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินกลับ
พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จประพาสปักษ์ใต้และเสด็จพระราชดำเนินยังสถานที่สำคัญต่างๆในเมืองนครศรีธรรมราชครั้งนี้ได้เสด็จเยี่ยมวัดท่าโพธิ์ด้วยปรากฏข้อความในหนังสือจดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. 128 ดังนี้
“ออกจากที่วัดพระบรมธาตุได้เสด็จไปวัดท่าโพธิ์ซึ่งเป็นที่สถิตแห่งพระสิริธรรมมุนีเจ้าคณะมณฑลส่งรถไปยังมิทันจะถึงฝนก็ตกลงมามากแต่ก็เสด็จเรื่อยไปทางไปตามถนนจนถึงคลองท่าวังเลี้ยวลงทางขวาเลียบไปทางริมคลองท่าวังสักหน่อยก็ถึงวัดท่าโพธิ์ นักเรียนตั้งแถวรับเสด็จอยู่ที่หน้าพระอุโบสถดูมีหมูใหญ่นำดูจริงๆเสด็จตรงเข้าไปในพระอุโบสถส่งมนัสการพระและตรัสกับพระสงฆ์ตามสมควรและเสด็จทอดพระเนตรโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ในวัดนี้มีนักเรียนรวมสิ้นกว่า 200 คนการศึกษาเพียง ชั้นประถมและฝึกหัดเป็นครูต่อไปพระสิริธรรมมุนีท่านเอาใจใส่ในการศึกษาอยู่มากจึงเจริญดี“
พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสปักษ์ใต้อีกครั้งหนึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสมโภชพระบรมธาตุเสด็จประพาสน้ำตกทอดพระเนตรการคล้องช้างที่ทุ่งสงและ จัดตั้งกองเสือป่าจากนั้นได้เสด็จทรงเยี่ยมพระรัตนาธัชมุนี (ม่วง) ณวัดท่าโพธิ์ด้วยเนื่องจากทรงศรัทธาเลื่อมใสมากถึงกับทรงเรียกว่า“ท่านพ่อ”
ผลประโยชน์ของวัด
ในสมัยโบราณเมื่อเมืองนครศรีธรรมราชยังต้องส่งต้นไม้เงิน-ทอง เป็นเครื่องราชบรรณาการแก่ราชธานีนั้นวัดท่าโพธิ์มีที่กัลปนาเรียกว่าหน้าพระ และมีคนอยู่ประจำทำนาและดูแลพระอาราม “ข้าพระ” ได้ผลประโยชน์ส่วนหนึ่งจากการทำนาเป็นค่าบำรุงวัดต่อมาได้มีการยกเลิกที่นาของวัดท่าโพธิ์ไปรวมกับวัดมหาธาตุวัดท่าโพธิ์จึงขาดการอุดหนุนด้านนี้
พ.ศ. 2472 พระโพธาภิรมมุนี(จวง) ซึ่งมาเป็นครูสอนพระวินัยและพระอภิธรรมแก่พระภิษุสงฆ์วัดท่าโพธิ์ได้ขออนุญาตพระรัตนธัชมุนี เจ้าอาวาสจัดตั้งมูลนิธิสำหรับวัดขึ้นนำผลประโยชน์ไปเป็นค่าภัตตาหารยาและบำรุงการศึกษาของพระภิกษุสามเณรในวัดเริ่มเปิดรับเงินเมื่อวันที่หกตุลาคมพ.ศ. 2472 ปัจจุบันได้มีการก่อตั้งมูลนิธิวัดท่าโพธิ์ขึ้นเมื่อพ.ศ. 2516 และนำผลประโยชน์มาบำรุงวัดและสนับสนุนการศึกษาของพระภิกษุสงฆ์ในวัด
สิ่งสำคัญภายในวัด
พระอุโบสถ สร้างในสมัยเจ้าพระยานคร(น้อย) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช ประมาณพ.ศ. 2354 รูปแบบคล้ายพระวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารและอุโบสถเดิมไม่มีเฉลียงด้านข้างมีแต่มุกด้านหน้าและด้านหลังครั้นพ.ศ. 2440 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพระจุลจอมเกล้าเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าพระรัตนธัชมณี(ม่วง) เป็นเจ้าอาวาสพระสิริธรรมรักษ์(ถัด ณ นคร) ปลัดเมืองได้เป็นแม่กองปฏิสังขรณ์ ได้ขยายเฉลียงออกโดยรอบพร้อมทั้งซ่อมแซมวัตถุต่างๆ ภายในพระอุโบสถและซุ้มเสมา
พ.ศ. 2475 พระธรรมวโรดม อดีตเจ้าอาวาสวัดราชาทาสและอดีตเจ้าคณะมณฑลศรีธรรมราชและภูเก็ตได้ติดต่อเจ้าจอมสว่าง ณ นคร ในรัชกาลที่ห้าซึ่งเป็นหลานของเจ้าพระยานคร(น้อย) ผู้สร้างพระอุโบสถนี้ขอทุนบูรณะปฏิสังขรณ์ เจ้าจอมสว่าง ณนคร ยินดีบริจาคทรัพย์ตามจำนวนที่ทางวัดขอไปและเปิดโอกาสให้ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคสมทบได้ การบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งนี้ ได้เปลี่ยนโครงสร้างหลังคาและเสาร์เป็นคอนกรีตเสริม เสร็จแล้วมีงานสมโภชเมื่อพ.ศ. 2476
ต่อมาพระอุโบสถได้รับความเสียหายจากวาตภัยและอุทกภัย ทางวัดจึงดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ โดยรื้อโครงสร้างเครื่องบนทั้งหมด เหลือแต่ผนังและเสารอบนอก ทำโครงสร้างใหม่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กเริ่มบูรณะปฏิสังขรณ์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมพ.ศ. 2517 ได้ติดตัวกนกที่หน้าบันพระอุโบสถทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่ซุ้มประตู หน้าต่าง บัวหัวเสาคันทวยและเพดานเฉลียง ทาสีลงรักปิดทอง ระดับกระจกสีที่หน้าบันซุ้มประตูหน้าต่างคันทวยและเพดานเฉลียงซ่อมองค์พระประธานฐานชกะฉีกและเจดีย์หลังพระประธานมณฑปพัทธสีมาและสร้างกำแพงแก้วรอบลานพระอุโบสถ ค่าใช้จ่ายได้จากเงินบริจาคของผู้ผู้มีจิตศรัทธาเงินสนับสนุนของกรมการศาสนาและทุนสะสมของวัดรวมเป็นเงิน 2,364,434 บาทงานแล้วเสร็จในเดือนเมษายนพ.ศ. 2528
พระประธาน ในพระอุโบสถวัดท่าโพธิ์มีพระประธานสององค์องค์หน้าเป็นพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 42 นิ้วพระศเป็นก้นหอยพระเกศมาลารูปเปลวไฟเดิมอยู่วัดมเหยงค์ ที่ฐานมีจารึกคำว่า “ คุณนายละอองสร้างพุทธศักราช 2460 พรรษา”
พระประธานองค์ใหญ่ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องทำด้วยปูนปั้นปิดทองประดับกระจกปางมารวิชัยหน้าตักกว้างสาม ศอกคืบ สร้างในสมัยเจ้าพระยานคร(น้อย) เป็นผู้สร้างส่วนองค์ทางซ้ายของพระประธานคุณนุ้ยใหญ่ณนครเป็นผู้สร้าง
เจดีย์หลังพระประธาน เป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้ 12 ทรงมณฑปลงรักปิดทองกระจกประดิษฐานในพระอุโบสถมาแต่แรกสร้างเจ้าพระยานคร(น้อย) ให้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิส่วนหนึ่งของเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ชาติเดโชไช ย มไหสุริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ หรือเจ้าพระยา สุธรรมมนตรี (พัด ณ นคร) ผู้ซึ่งยกที่วางถวายเป็นของสงฆ์วัดท่าโพธิ์ที่ซุ้มทั้งสี่ของเจดีย์มีพระพุทธรูปยืนทรงเครื่องซุ้มละหนึ่งองค์ที่ซุ้มทิศตะวันออกและตะวันตกเป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติที่ซุ้มทิศเหนือและใต้เป็นพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร
ในกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถมีซุ้มเสมาแปดซุ้มเป็นใบเสมาคู่ปิดทองประดับกระจก
พระวิหารหรือโรงธรรม สร้างเมื่อพ.ศ. 2494 พระราชไพศาลมุนี (ย้อย มาหาสาโล) เจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์ขณะนั้นเห็นว่าโรงธรรมเก่าชำรุดมากจึงดำริสร้างขึ้นใหม่มอบให้ครูหวาน มุสิกธรรม
จัดหาเงินและให้นายธัช ภูมี ออกแบบและควบคุมงาน ซึ่งทำให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเริ่มก่อสร้างเมื่อพ.ศ. 2494 เป็นอาคารขนาด 12 × 12 เมตร โครงสร้างทั้งหมดเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก สร้างเสร็จเมื่อพ.ศ. 2498
หอรัตนานุสรณ์ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขนาด 3 × 4 เมตรอยู่ริมสระน้ำด้านทิศตะวันตกคณะสิทธิ์พร รัตนธัช มณี(ม่วง) และผู้มีจิตศรัทธาพร้อมใจการบริจาคทรัพย์ให้หล่อรูปเหมือนเท่าตัวจริงของพระรัตนธัช มณี(ม่วง) และสร้างอาคารขึ้นเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของท่าน การสร้างรูปหล่อและอาคารสำเร็จเมื่อปีพ.ศ. 2494 ที่ผนังด้านหลังรูปหล่อพระรัตนธัชมุณี(ม่วง) เจาะเป็นช่องสำหรับตั้งเจดีย์ขนาดเล็กบรรจุอัฐิและอังคารของพระรัตนธัชมุณี (ม่วง)
ตึกรัตนธัชมุนี เป็นตึกก่อด้วยอิฐถือปูนพระรัตนทัตมุนี(ม่วง) ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมโกศาจารย์ ได้ให้ช่างก่อสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 2459 ด้วยทุนส่วนตัวสร้างตามแบบจากรูปถ่ายบ้านพักของผู้สำเร็จราชการรัฐปีนังประเทศมาเลเซียเมื่อครั้งพระรัตนธัชมุนี (ม่วง) ไปตรวจการศึกษามณฑลภูเก็ตพระธรรมปาลาจารย์(เอี่ยม) เจ้าคณะมณฑลภูเก็ตได้นิมนต์พระรัตนธัชมุนี (ม่วง) ไปเยี่ยมคณะสงฆ์ไทยในรัฐปีนังพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี้ ณ ระนอง) สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต เป็นผู้จัดเรือพาหนะและอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปและกลับ พระรัตนธัชมุนี (ม่วง) พอใจแบบบ้านพักดังกล่าวจึงได้ให้ช่างถ่ายภาพไว้ ตึกรัตนธัชมุณี กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมพ.ศ. 2530 ปัจจุบันตึกรัตนทัตมุณีชำรุดทรุดโทรมมากทางวัดและศิษย์ยานุศิษย์ของวัดท่าโพธิ์กำลังพยายามหาทุนมาซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมไว้
ตึกสว่างวิทยา เป็นตึกขนาดเล็กสองชั้น คุณผัน ณนคร ได้บริจาคเงิน 120,000 บาทสร้างเสร็จเมื่อพ.ศ. 2494 เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้าจอมสว่าง ณนคร ในรัชรัชกาลที่ห้า มีจารึกประวัติการสร้างอยู่ที่ชั้นล่างของตึกทางวัดได้ใช้ตึกนี้เป็นที่ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมและจัดเป็นหอสมุดสำหรับรวบรวมสรรพตำรา ของวัดท่าโพธิ์ เรียกว่า “ โรงเรียนพระปริยัติติธรรมและหอสมุดสำนักวัดท่าโพธิ์” และเป็นกุฎิเจ้าอาวาสปัจจุบัน
สระน้ำ มีมาแต่สมัยรัชกาลที่สองเมื่อเจ้าพระยานคร(น้อย) สร้างพระอุโบสถ ได้ขุดดินในสระไปถมที่แล้วสร้างหอไตรรงค์กลางสระ ใต้ขอบสระโดยรอบขุดพบไม้เสาเขื่อนปักเป็นระยะเจาะยึดด้วย ไม้เคร่า เขื่อนมีสองแนว ที่ไม้เจาะยึดระหว่างแนวเข้าด้วยกัน ไม้ที่ใช้เป็นไม้เนื้อแข็งแข็งฝังใต้ดินตามแนวเชิงกลของสระโดยรอบเพื่อการดินพัง เมื่อคราวขุดลอกสระพ.ศ. 2500 อย่างได้พบไม้เขื่อนนี้ ปัจจุบันได้ซ่อมแซมขอบสระเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กล้อมรั้วเหล็กรอบกลางสระด้านตะวันออกมีสะพานยื่นลงในสระเพื่อใช้ตักน้ำ
ลำดับและประวัติเจ้าอาวาส
เจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์วรวิหารเท่าที่ค้น คว้าได้เพียงสมัยรัชกาลที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยสืบเนื่องกันมาดังนี้
รัชกาลที่3
1. พระครูกาเดิม(ปุ่น)
2. พระอธิการ บุญจันทร์
รัชกาลที่4
3. พระอธิการ ศรีปาน
4. พระอธิการ หนู
รัชกาลที่5-6-7
5. พระอธิการ สีไหม
6. พระครูการาม (จูป.ธ.๔) เดิมเป็นเจ้าอาวาสวัดมเหยงค์ต่อมาเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช นิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์วรวิหาร เมื่อพ.ศ. 2417 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสอยู่ 11 ปีถึงมรณภาพ
7. พระรัตนธัชมุนีศรีธรรมราช (ม่วง รตนทฺธโช ป.ธ.๔) นามเดิมม่วง นามสกุลศิริรัตน์ เกิดในรัชกาลที่สี่ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมพ.ศ. 2300 ตรงกับ เดื จุลศักราช 1215 เป็นสหชาติในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าบิดาชื่อมารดาชื่อทองคำ เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องแปดคน ภูมิลำเนาเดิมบ้านหมากตำบลบ้านเพลิงหมู่ที่ห้า อำเภอปากพนังจังหวัดนครศรีธรรมราช
เมื่ออายุได้ 9 ปี ได้เรียนอักษรสมัยในสำนักพระอาจารย์เพชร วัดแจ้ง อำเภอปากพนัง ครั้นเล่าเรียนหนังสือไทยและขอม มีความชำนาญพอควรแก่สมัยนั้นแล้ว จึงได้เรียนภาษาบาลี จนอายุ 15 ปี บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดแจ้ง
ถึงรัชกาลที่5 เมื่ออายุ 17 ปีย้ายมาอยู่วัดมเหยงค์อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชเรียนพระปริยัติธรรมกับพระครูการามจู ป.ธ.๔ จนพ.ศ. 2416 อายุครบอุปสมบทจึงอุปสมบทในคณะนิกาย พระครูการาม จู เป็นพระอุัชฌาย์ บวชแล้วอยู่วัดวัดมเหยงค์อีกพรรษาหนึ่ง พระครูการาม จู ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์ จึงตามมาอยู่ด้วย ครั้นพ.ศ. 2427 พระครูการามจูถึงมรณภาพจึงได้เป็นอธิการวัดท่าโพธิ์ต่อมา
พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิญาณวโรรส ครั้นดำรงยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นวชิยวรโรรส เสด็จลงไปตรวจพระศาสนาในหัวเมืองปักษ์ใต้เสด็จไปถึงจังหวัดนครศรีธรรมราชเจ้าเจ้าอธิการวัดท่าโพธิ์ได้เฝ้ามีความเลื่อมใสจึงทูลขอตามเสด็จเข้ามาเล่าเรียนในกรุงเทพทรงพระกรุณาโปรด ให้ตามเสด็จเข้าไปและทรงรับให้อยู่ที่วัดมกุฏกษัตริย์รยารามแล้วบวชแปลงเป็นพระธรรมยุตติกนิกาย ในปีนั้น พระพรหมมุนี (แฟง กิตติสาร) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิยานวรโรรสทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรมกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้าต่อมาปีพ.ศ. 2433 เท่าแปลพระปริยัติธรรมที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามได้ปริเรียนสี่ประโยคแล้วเรียนอยู่ในกรุงเทพอีกปีหนึ่งถึงพ.ศ. 2434 จึงทูลลากลับมาอยู่วัดท่าโพธิ์ตามเดิม
พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้เมื่อเสด็จประทับที่จังหวัดนครศรีธรรมราชพระมหาม่วงได้เฝ้าหลายครั้งส่งไต่ถามถึงการคณะสงฆ์ในเมืองนครศรีธรรมราชพระมหาม่วงได้ถวายพระพรชี้แจงเป็นที่ชอบพระราชอัธยาศัยและทรงทราบว่าเป็นพระสหชาติประกอบทั้งเป็นผู้มีคุณธรรมคือพระอุตสาหจึงทรงตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระสิริธรรมมุนี ในเวลาเสด็จประทับที่เมืองนครศรีธรรมราชคราวนั้น
พ.ศ. 2442 ส่งพระกรุณาโปรดตั้งให้เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลนครศรีธรรมราช
พ.ศ. 2445 ทรงพระกรุณากรุณาโปรดตั้งให้เป็นเจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลปัตตานี
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่หกทรงตั้งเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่พระเทพกวีเมื่อวันที่ 25 มกราคมพ.ศ. 2453
พ.ศ. 2445 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนเป็นพระธรรมโกศาจารย์
พ.ศ. 2463 ลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลเนื่องจากความชราทุพลภาพ
พ.ศ. 2466 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนเลื่อนเป็น เลื่อนเป็น พระรัตนธัชมุนี ศรีธรรมมราช สั่งฆ นายก ตรีปิฎกคุณาลังการ ศีลมาจารวินยสุนทร ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2467 ทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เป็นเจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราชอีกต่อไปเพราะเนื่องจากการปกครองคณะสงฆ์ในมณฑลนครศรีธรรมราชในเวลานั้น บางจังหวัดไม่เรียบร้อยแม้ แม้ท่านจะ ชราพอจะบัญชาการคณะอีกได้
พ.ศ. 2470 ได้ทุนลาออกลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะ ทรงพระกรุณาโปรดให้เป็นเจ้าเจ้าคณะมณฑลกิตติมศักดิ์ แต่ยังคงเป็นเจ้า อาวาสวัดท่าโพธิ์อยู่ต่อมา
พระรัตนธัชมุนี ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 21 กันยายนพ.ศ. 2477 อายุได้ 82 ปี
รัชกาลที่6
8. พระโพธาภิรามมุนี (จวง อิสิทตฺโต ปี,ธ.๔) นามเดิม จวง นามสกุล แก้วภาราดัย เกิดวันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคมพ.ศ. 2441 ปีจอเป็นบุตรกำนันมีและนางอ่อนจันทร์ แก้วภาราดัย ภูมิลำเนาเดิมบ้านเกาะรุ้งตำบลบ้านใหม่อำเภอปากพนังจังหวัดนครศรีธรรมราชมีพี่น้องเก้าคน
เมื่ออายุประมาณ 10 ปีได้เรียนหนังสือกับอาจารย์หวาน ฐิตสีโล เจ้าอาวาสวัดเกาะจากภายหลังมาเรียนต่อที่วัดเสาธงทองอำเภอปากพนังได้มาบรรพชาเป็นสามเณรณวัดท่าโพธิ์พระรัตนธัชมุนี ครดำรงสมณศักดิ์เป็นพระสิริ ธรรมมุนีเป็นพระอุปปัชฌาย์
พ.ศ. 2459 ย้ายไปอยู่วัดบวรนิเวศวิหารที่กรุงเทพเมื่อวันที่ 14 มกราคมพ.ศ. 2461 อุปสมบทเป็นพระภิกษุสมเด็จพระมหาสมณะจ้าวกรมพระยาวอชิยานวโรรสทรงเป็นพระอุปปัชฌาย์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิญาณวงศ์ เมื่อดำรงสมณศักดิ์เป็นพระยานวราภรณ์ ทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้นามฉายาว่า อิสิทธิ์ตฺโต ศึกษาพระ ปริยัติธรรมทั้งนักธรรมและบาลีสอบได้นักธรรมโทและสอบได้ปเรียนห้าประโยคเมื่อพ.ศ. 2463 ได้เป็นครูสอนปริยัติติธรรมณวัดเขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี และวัดบุปผารามกรุงเทพ
พ.ศ. 2472 พระรัตนธัชมุนี (ม่วงรตนทฺธโช) วัดท่าโพธิ์ ขอให้พระมหาจวง อิสิทตฺโต ออกมาเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม และเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์ด้วย ได้สอนนักเรียนของสำนักวัดท่าโพธิ์ และเทศนาสั่งสอนประชาชนตามอำเภอต่างๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช จนได้รับแต่งตั้งเป็นพระคณาจารย์โท
พ.ศ. 2476 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะมีราชทินนามว่า พระโพธาภิรามมุนี เมื่อพระรัตนทธัชมุนี มรณภาพในพ.ศ. 2477 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการ และ เป็นเจ้าอาวาสในเวลาต่อมา หลังจากจัดงานศพพระรัตนธัช มุนี เสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ทุนลาสิกขาเมื่อปลายปีพ.ศ. 2478
9.พระอโนมคุณมุนี (กิ้ม วิสารโท ป.ธ.6) นามเดิม กิ้ม นามสกุล โรจนชีวะ บิดาชื่อนายก้มห้าง มารดาชื่อนางขาว เกิดวันพุธที่ 27 เมษายนพ.ศ. 2436 ปีมะแมภูมิลำเนาเดิมตำบลพระเสเมืองอำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราชมีพี่น้อง4คน
เมื่ออายุได้ 12 ปีบิดามารดาถึงแก่กรรมจึงไปอาศัยอยู่กับญาติคือนายนายเอียดและนางจิตมุกดา ได้ศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นตามวัย ต่อมาผู้ปกครองนำไปฝากเรียนกับพระจันทร์ ที่วัดหน้าราหู(วัดหน้าพระบรมธาตุ) แล้วบรรพชาเป็นสามเณร พระครูกาแก้ว(ศรี) เจ้าอาวาสเป็นพระอุปประชาท่านเห็นว่าสามเณรก้มตั้งใจศึกษาเล่าเรียนดีจึงนำไปฝากให้อยู่กับน้องชายคือพระครูปลัดสีธรรมวัฒน์(แป้น) เมื่อยังเป็นพระครูใบฎีกา ณวัดท่าโพธิ์
วันที่ 3 กรกฎาคมพ.ศ. 2460 อายุ 22 ปีได้อุปสมบทที่วัดท่าโพธิ์ พระรัตนธัชมุนี เป็นพระอุปปัชฌาย์ พระเขมาภิมุขธรรม (นวล ยสเถระ เปรียญ ) ครั้งยังเป็นพระครูเป็นพระกรรมวาจาจารย์
พ.ศ. 2461 พระรัตนธัชมุนี ไปกรุงเทพจึงนำพระกิ้ม วิสารโท ไปฝากให้อยู่กับพระรัตนธัช มุนี(แบน) ครั้งเป็นพระครูพุทธปริตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติการาม พ.ศ. 2463 พระรัตนธัชมณี(ม่วง) นำไปฝากให้อยู่วัดราชาธิวาส ระหว่างนี้สอบได้นักธรรมโทและเปรียญ 6ประโยค
พ.ศ. 2475 -2476 กลับนครศรีธรรมราชได้เป็นครูสอนปริยัติธรรมที่วัดท่าโพธิ์
วันที่ 1 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2478 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการวัดท่าโพธิ์ เป็นเจ้าอาวาสในเวลาต่อมา
พ.ศ. 2479 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูโพธิพิรามมุนี
พ.ศ. 2480 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปปัชฌาย์
พ.ศ. 2492 ได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์
วันที่ 10 พฤษภาคมพ.ศ. 2497 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนป่า น
วันที่ 25 มิถุนายนพ.ศ. 2501 ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสวนป่าน ย้ายไปอยู่วัดธรรมบูชาอำเภอเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี
วันที่ 5 ธันวาคมพ.ศ. 2503 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระอโนมคุณมุนี เจ้าคณะธรรมยุต  ผู้ช่วยจังหวัดสุราษฎร์ธานี
วันที่ 17 มิถุนายนพ.ศ. 2507 มรณภาพด้วยโรคมะเร็ง อายุได้ 60 เก้าปีพรรษา 48 พรรษา
รัชกาลที่ 9
10. พระราชไพศาลมุนี (ย้อย มหาสาโล)
พระราชไพศาลมณีนามเดิมย้อยนามสกุลทองนาแค เกิดวันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายนพ.ศ. 2434 ปีเถาะ บิดาชื่อเอียดมารดาชื่อแก้ว ภูมิลำเนาเดิมบ้านงิ้ว ตำบลเสือหึงอำเภอเชียรใหญ่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่ออายุสองปีมารดาถึงแก่กรรม  บิดามีภรรยาใหม่ชื่อนางกวั้ง ซึ่งได้เป็นผู้เลี้ยงดูต่อมา มีน้องต่างมาา 4 คน
เมื่ออายุประมาณ 12 ปีบิดานำไปฝากให้ศึกษาอักษรสมัย ในสำนักพระอธิการแก้ว วัดสระโพธิ์ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเชียรใหญ่จังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นวัดอยู่ใกล้บ้าน จนมีความรู้หนังสือไทยหนังสือขอมและมูลกัจจายน์ พอสมควรกับสมัยนั้น
อายุ 14 ปีมาอยู่กับพระทองวัดจันทาราม ตำบลท่าวังอำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช  ในสมัยนั้นพระปลัดเอี่ยมเป็นเจ้าอาวาส เดินมาเรียนที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์หนึ่งปี และศึกษาวิชาลูกคิดกับพระทองเป็นพิเศษ
พ.ศ. 2453 อายุ 20 ปี ได้บรรพชาอุปสมบทที่วัดสระโพธิ์ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช พระครูใหม่วัดรามประดิษฐ์(วัดบ้านใหม่) อำเภอปากพนังเป็นพระอุปปัชฌาย์ พระชูวัดบางดำ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ จำพรรษาที่วัดสระโพธิ์ 1 พรรษา
พ.ศ. 2454 อายุ 21 ปี ได้บวชแปลงเป็นพระธรรมยุติกนิกาย ณนครราชสีมาวัดท่าโพธิ์ พระรัตนธัชมุนี(ม่วง รตนทฺธโช ป.ธ.4) เมื่อยังเป็นพระเทพกวี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเถื่อน อุปโล วัดท่าโพธิ์เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระ คลิ้ง ขุทรานนท์ วัดท่าโพธิ์ เป็นผู้ให้สรณคม อุปสมบทคู่กับพระใบฎีกาเกลี้ยง อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ จำพรรษาที่วัดท่าโพธิ์ 2 พรรษา
พ.ศ. 2456 ย้ายไปจำพรรษาที่วัดพระนคร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช 3 พรรษา
พ.ศ. 2459 ย้ายไปจำพรรษาที่วัดพระมหาธาตุ เป็นพระอนุจรในคณะพระวินัยธรนุ่น วัดเพชรจริต อำเภอเมือง ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฑัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ อุปราชมณฑลภาคใต้ ได้ทรงอาราธนาพระวินัยธรนุ่น พร้อมด้วยพระห้ารูป ให้อยู่จำพรรษาคลองวัดพระมหาธาตุ ราชวรวิหาร เป็นครั้งแรก ซึ่งพระวินัยธรุ่นเป็นเจ้าอาวาส วัดพระมหาธาตุรูปแรก
พ.ศ. 2460 ไปศึกษาปริยัติธรรมที่กรุงเทพ จำพรรษาที่วัดบุปผาราม หนึ่งพรรษา และเข้าสอบนักธรรมตรีได้
พ.ศ. 2461 ย้ายจากวัดบุปผารามไปจำพรรษาที่วัดราชาธิวาสกรุงเทพ
พ.ศ. 2462 สอบได้นักธรรมโท และได้สวดพระปาติโมกข์ ในพระอุโบสถวัดราชาธิวาส ได้รับคำชมเชยจากพระพระธรรมวโรดม เจ้าอาวาส ว่าสวดดี ได้รับรางวัลผ้าจีวรหนึ่งไตร และรูปถ่ายของท่านหนึ่งรูป ซึ่งเขียนที่รูปถ่ายนั้นว่า ให้พระพระย้อย มหาสาโล ผู้สวดพระปาติโมกข์ได้และสวดดี
พ.ศ. 2465 กลับมาอยู่จังหวัดนครศรีธรรมราชพระรัตน ธัช มุนีเจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราชมีบัญชาให้พระญาณเวที (ลือ เปรียญ) เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราชส่งไปเป็นครูสอนปริยัติธรรมที่วัดโตนด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ตามคำขอของพระธรรมมารามคณี เจ้าคณะจังหวัดชุมพร
พ.ศ. 2466 กลับมาจำพรรษาที่วัดมเหยงค์ ตำบลคลังอำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูสอนปริยัติธรรมประจำสำนักวัดพระมหาธาตุนครศรีธรรมราช
พ.ศ. 2468 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระปลัดฐานานุกรมในพระครูเหมเจติยานุรักษ์
พ.ศ. 2470 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดมเหยงค์ สืบต่อจากพระครูเหมเจติยานุรักษ์(แบน เปรียญ) ซึ่งย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุ
พ.ศ. 2471 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะหมวดธรรมยุต ตำบลท่าวังอำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช
พ.ศ. 2472 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอนุศาสนาจารย์ ประจำอำเภอฉวาง และวันที่ 30 สิงหาคมพ.ศ. 2472 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวง อำเภอฉวางจังหวัดนครศรีธรรมราช
พ.ศ. 2474 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูไพศาลศีลวาท
พ.ศ. 2477 จัดตั้งสำนักเรียนปริยัติติธรรมขึ้นที่วัดมเหยงคณ์ เป็นนักเรียนชั้นโท อยู่ในการบำรุงของมงกุฎราชวิทยาลัย มีการสอนการเรียนทั้งนักธรรมและบาลี มีพระมหาซ้าย ฐานวโร ป.ธ.6 จากวัดราชาธิวาสกรุงเทพเป็นครูสอนประจำสำนักเรียน
พ.ศ. 2479 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำอำเภอฉวาง
พ.ศ. 2480 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปประชาในคณะธรรมยุตพระธรรมโรดม (เซ่ง อุตฺตโม) เจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราชและภูเก็ต เป็นผู้ฝึกอบรมในหน้าที่พระอุปปัชฌาย์
พ.ศ. 2481 -2483 ออกบำเพ็ญธุดงค์เพื่อบำเพ็ญกรรมฐานและวิปัสสนา
วันที่ 7 กรกฎาคมพ.ศ. 2492 ย้ายจากวัดมเหยงค์มาคลองวัดท่าโพธิ์และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์
พ.ศ. 2493 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระไพศาลศีลวาท
พ.ศ. 2494 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะธรรมยุตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช
พ.ศ. 2495 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะธรรมยุตผู้ช่วยจังหวัดนครศรีธรรมราช
พ.ศ. 2502 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชไพศาลมุนี ศีลาจารนิวิฏฐ์ ศาสนกิจอุราทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2507 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดนครศรีธรรมราช
พ.ศ. 2516 ขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดเนื่องจากชราภาพและมีโรคภัยเบียดเบียน ไม่สะดวกแก่การบริหาร ทางการคณะสงฆ์ก็อนุญาตให้ออกตามประสงค์ และได้แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช(ธรรมยุต) ตลอดมา
พระราชไพศาลมุนีถึงมรณะเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมพ.ศ. 2519 ด้วยโรคชรารวมอายุได้ 85 ปีพรรษา 65
11. พระเทพปัญญากวี(บุญสงค์ อตฺตคุตโต ป.ธ.7)
พระเทพปัญญากวีนามเดิมบุญส่งนามสกุลอ่อนน้อม เกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมพ.ศ. 2455 ปีชวดที่ตำบลขนาบนาค อำเภอปากพนังจังหวัดนครศรีธรรมราชบิดาชื่อนาคมารดาชื่อนวลแก้ว มีพี่น้องเก้าคนหญิงหกคนชายสามคน
พ.ศ. 2475 กลับมานครศรีธรรมราชเพื่อฉลองโบสถ์วัดท่าโพธิ์และกลับไปจำพรรษาที่วัดราชาธิราช
พ.ศ. 2487 สอบได้ ป.ธ.7 แล้วกลับมาอยู่วัดท่าโพธิ์ ขนาดนั้นพระครูโพธิ์ภิรามมุนี (กิ้ม วิสารโท ป.ธ.6) เป็นเจ้าอาวาสซึ่งต่อมาท่านได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดธรรมบูชาและเป็นเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี พระราชไพศาลมุนี (ย้อย มหาสาโล) เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์แทน
พ.ศ. 2519 พระราชไพศาลมุนี (ย้อย มหาสาโล) มรณภาพ พระเทพปัญญากวี (บุญสงค์ อตฺตคุตโต ป.ธ.7 ) ขณะดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชยาณเวที ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์ เมื่อวันที่ 6 กันยายนพ.ศ. 2520 และเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
พระเทพปัญญากวี (บุญสงค์ อตฺตฺคุตฺโต) อยู่ในตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด 10 ปี จึงขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด และเมื่อท่านอาพาธจึงมอบหน้าที่การงานเกี่ยวกับวัดท่าโพธิ์ให้พระครูโอภาสโพธิรัต (จรัล โอภาโส น.ธ.เอก) รองเจ้าอาวาสทำการแทน
12. พระราชญาณมุนี วิ. (จรัล โอภาโส)
ที่มา
"ประวัติวัดท่าโพธิ์วรวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช". หอสมุดแห่งชาติ นครศรีธรรมราช.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)